การยอมรับการตรวจตราช่วยเหลือฉันอย่างไร

วันที่ 09 เดือน 03 ปี 2023

โดย ตันยี ญี่ปุ่น

ฉันรับผิดชอบ งานข่าวประเสริฐของสองทีม ไม่นานมานี้ พี่น้องชายหญิงบางคน โดนปลดเพราะไม่ทำงานจริง และมักจะ ทำหน้าที่แบบส่งๆ ฉันรู้สึก ค่อนข้างกังวลใจ คิดว่า ฉันต้องแน่ใจว่า ตัวเองทำงานจริง และแก้ไขปัญหาจริง ไม่อย่างนั้น ฉันก็จะโดนปลดเหมือนกัน ตอนชุมนุมครั้งนึง ผู้นำถามฉันว่า “ช่วงนี้คุณได้สามัคคีธรรมถึงหลักธรรม กับพี่น้องชายหญิง ที่ย้ายมาจากคริสตจักรอื่นบ้างรึเปล่า?” ฉันอึ้งไปเลยค่ะ นั่นแหละปัญหา ฉันบอกพวกเขา แค่ขั้นตอนการทำงาน ไม่ได้บอกหลักธรรม ฉันควรบอกผู้นำว่ายังไง? ถ้าบอกว่า ไม่ได้สามัคคีธรรม เธอจะคิดว่า ฉันไม่ทำงานจริงรึเปล่า? แต่ถ้าบอกว่าสามัคคีธรรมแล้ว นั่นก็จะไม่เป็นความจริง ฉันค่อนข้างรู้สึกผิด และตอบไป แบบตะกุกตะกักว่า “ฉันสามัคคีธรรมนิดหน่อยถึงสิ่งที่ พวกเขาไม่มีค่ะ” ผู้นำตอบทันทีว่า “ถ้าไม่แบ่งปันหลักธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่มีทิศทางในหน้าที่ แบบนั้นจะเกิดผลที่ดีได้เหรอ? เราต้องมุ่งบ่มเพาะ พี่น้องชายหญิงเหล่านี้” ตอนเธอชี้ให้ฉันเห็นปัญหา ฉันรู้สึกได้ว่า หน้าฉันร้อนผ่าว สงสัยว่า ต่อไปเธอจะมองฉันยังไง ถ้าเธอคิดว่า ฉันทำงานพื้นฐานให้เสร็จไม่ได้ด้วยซ้ำ ก็แปลว่า ฉันไม่ได้ทำงานจริง

ไม่นาน หนึ่งในทีมที่ฉันดูแล มีผลงานน้อยลง และปัญหามากมาย ก็เกิดขึ้นในงานของฉันตอนนั้น ผู้นำคิดว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ก็อาจกระทบประสิทธิผลของงาน เธอเลยลดทีมที่ฉันดูแล จากสองทีม เหลือทีมเดียว ตอนที่รู้ข่าวนี้ ฉันเสียใจจริงๆ ค่ะ อดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้นำคิดว่าฉัน เป็นคนที่ไม่ทำงานจริงรึเปล่า ไม่งั้นเธอคงไม่ลดขอบเขตความรับผิดชอบของฉันลง แถมช่วงนี้ เธอติดตามงานของฉันบ่อยมาก เธอคิดว่าฉันไม่ขยันทำหน้าที่ และพึ่งไม่ได้รึเปล่า? ถ้าเจอความผิดพลาดของฉันอีก เธอจะปลดฉันออกมั้ย? ช่วงนั้นเวลาที่ ฉันได้ยินว่าผู้นำจะมาชุมนุมด้วย ฉันก็จะเริ่ม คิดอยู่นั่นว่า เธอจะถามอะไร จะตามงานเรื่องไหน ฉันคิดว่า ทุกครั้งผู้นำจะถาม ว่าพี่น้องชายหญิงทำหน้าที่เป็นยังไงบ้าง ฉันก็เลย รีบไปหาคำตอบ ก่อนที่จะชุมนุม บางครั้งมีปัญหาอื่น ที่จะต้องแก้ไข แต่พอคิดว่า วันรุ่งขึ้นฉันจะตอบคำถามของผู้นำไม่ได้ ฉันก็กลัวถูกเปิดโปง ว่าไม่ทำงานจริง เพราะงั้นฉันเลยทิ้งปัญหาที่ต้อง แก้ไขโดยด่วนไว้ก่อน และไปคุยกับคนอื่นทีละคน เวลาผ่านไปสักพัก ฉันก็ทำแต่งาน ที่ผู้นำเน้นที่สุด แบบไม่ยอมหยุด ถึงฉันจะยุ่ง จนหัวหมุนทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ผลดีขึ้นในหน้าที่ อันที่จริง กลับแย่ลงไปอีก ผู้นำเคยถามฉัน ตอนชุมนุมว่า “เมื่อก่อนอัญชิสาทำงานข่าวประเสริฐได้ดี ทำไมช่วงนี้ทำได้ไม่ดีเลย? คุณรู้สาเหตุรึเปล่า?” ฉันก็ได้แต่อึ้ง แย่แล้ว ฉันมัวแต่ ใส่ใจจัดการพวกปัญหาอย่างอื่น เลยไม่รู้ว่า ทำไมอัญชิสาถึงทำงานข่าวประเสริฐได้ไม่ดี แล้วผู้นำก็ถามต่อว่า “คุณได้ตรวจสอบมั้ยว่า ตอนประกาศข่าวประเสริฐ อัญชิสาสามัคคีธรรมความจริงเรื่องไหน เธอแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของผู้คนรึเปล่า?” พอเธอถาม ฉันก็ยิ่งเสียขวัญ ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้นเลย ทำยังไงดี? ถ้าฉันตอบไม่ได้ ผู้นำอาจคิดว่า ฉันไม่ติดตามงานของอัญชิสา และไม่ได้แก้ปัญหาของเธอ ให้ทันท่วงที ทำให้ผลงาน ของอัญชิสาลดลง ฉันเลย ส่งข้อความไปหาอัญชิสาทันที แต่เธอไม่เห็นข้อความของฉัน ฉันกังวลมาก จนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ แล้วอยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ ว่าอัญชิสาเคยเล่าให้ฟังว่าเธอสามัคคีธรรมเรื่องอะไร ฉันเลยบอกผู้นำไปทันที เธอไม่พูดอะไรอีก และในที่สุด ความกังวลของฉันก็สงบลง ฉันกลัวที่จะ ได้รับข้อความจากผู้นำอยู่พักหนึ่ง บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับ ในคืนก่อนวันชุมนุม ฉันหยุดคิดไม่ได้ว่า ผู้นำจะถามอะไร? ฉันควรตอบเธอยังไง? ยิ่งถึงเวลาชุมนุม ฉันก็ยิ่งประหม่า กังวลว่าถ้างานของฉันมีปัญหาเพิ่มขึ้นอีก ฉันจะโดนปลด ชุมนุมแต่ละที ฉันก็พูดตะกุกตะกัก แต่ในใจกลับเป็นทุกข์ แล้วก็รู้สึกเหนื่อย ฉันไม่มีแรง จะไปทำหน้าที่ พองานคนอื่นมีปัญหา และผลงานเขาลดลง ฉันก็รู้สึกเหมือนจัดการไม่ได้ ตอนนั้นเองที่ฉัน รู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดี ฉันรีบมาอธิษฐาน และแสวงหาเฉพาะพระพักตร์ “พระเจ้า ช่วงนี้ข้าพระองค์กลัวตอนที่ผู้นำมาตรวจดูงานจริงๆ กลัวว่าถ้ามีปัญหา สุดท้ายจะโดนปลด ข้าพระองค์รู้ว่ามุมมองนี้ไม่ถูก เลยอยากทบทวนและรู้จักตัวเอง โปรดนำข้าพระองค์ด้วย”

แล้วฉันก็ อ่านบทตอนนี้ในการเฝ้าเดี่ยว “ผู้คนบางคนไม่เชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าสามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระองค์ ว่าความจริงเป็นใหญ่ที่นั่น พวกเขาเชื่อว่าหน้าที่ใดก็ตามที่บุคคลผู้หนึ่งปฏิบัติ หากมีปัญหาเกิดขึ้นในหน้าที่นั้น พระนิเวศของพระเจ้าจะจัดการบุคคลผู้นั้นทันที ปลดพวกเขาออกจากตำแหน่งที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้น โยกย้ายพวกเขาออกไป หรือแม้กระทั่งให้พวกเขาออกจากคริสตจักร นั่นใช่วิธีที่สิ่งทั้งหลายเป็นไปจริงๆ หรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อทุกคนตามหลักธรรมของความจริง พระเจ้าทรงชอบธรรมในการปฏิบัติต่อทุกคน พระองค์ไม่ทรงมองเพียงว่าบุคคลผู้หนึ่งประพฤติตัวอย่างไรในครั้งเดียวเท่านั้น พระองค์ทรงดูที่ธรรมชาติและแก่นแท้ของบุคคล เจตนาของพวกเขา ท่าทีของพวกเขา และพระองค์ทรงพิจารณาเป็นพิเศษว่าบุคคลผู้หนึ่งสามารถทบทวนตนเองได้หรือไม่เมื่อพวกเขาทำผิดพลาด และพวกเขาสำนึกผิดหรือไม่ และพวกเขาสามารถเข้าใจแก่นแท้ของปัญหาเมื่อมองตามพระวจนะของพระองค์จนถึงขั้นที่พวกเขาเข้าใจความจริง ชิงชังตนเอง และกลับใจอย่างแท้จริงหรือไม่…จงบอกเรา หากใครบางคนที่ทำผิดพลาดสามารถเข้าใจอย่างแท้จริงและเต็มใจที่จะกลับใจ พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะให้โอกาสนั้นแก่พวกเขาไม่ใช่หรือ? ขณะที่แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าใกล้จะสิ้นสุดลง มีหน้าที่ที่จำเป็นต้องปฏิบัติมากมายเหลือเกิน แต่หากผู้คนไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล และละทิ้งงานของตน หากพวกเขามีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่รู้จักถนอมความล้ำค่าของโอกาสนั้น ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย ปล่อยให้เวลาที่เหมาะสมที่สุดผ่านไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะถูกเปิดโปง หากเจ้าสะเพร่าและสุกเอาเผากินตลอดเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าไม่นบนอบเลยเมื่อเผชิญหน้าการตัดแต่งและจัดการ พระนิเวศของพระเจ้าจะยังคงใช้เจ้าปฏิบัติหน้าที่อยู่หรือ? ในพระนิเวศของพระเจ้า ความจริงเป็นใหญ่ หาใช่ซาตานไม่ พระเจ้าทรงเป็นผู้ชี้ขาดในทุกสิ่ง พระองค์คือผู้ที่กำลังทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์คือผู้ที่เป็นใหญ่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด เจ้าจำเป็นต้องรับฟังและเชื่อฟังเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้าการตัดแต่งและจัดการ เจ้าต้องยอมรับความจริงและสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของเจ้า หากเจ้าทำเช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะไม่ปลดเจ้าจากตำแหน่งที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ หากเจ้ากลัวอยู่เสมอว่าจะถูกขับออกไป มีข้ออ้างอยู่เสมอ สร้างความชอบธรรมให้ตนเองอยู่เสมอ นั่นคือปัญหา หากเจ้าปล่อยให้ผู้อื่นเห็นว่าเจ้าไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ว่าเจ้าไม่สนใจเหตุผล เจ้าก็ย่อมเดือดร้อน คริสตจักรจำเป็นที่จะต้องจัดการแก้ไขเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับความจริงเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและกลัวการถูกเปิดโปงและขับออกไปอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วความกลัวของเจ้านี้ก็ปนเปื้อนไปด้วยเจตนาของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ปนเปื้อนไปด้วยความระแวง ความระแวดระวัง และความเข้าใจผิด สิ่งเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นท่าทีที่บุคคลผู้หนึ่งควรมี เจ้าต้องเริ่มต้นด้วยการแก้ไขความกลัวของตน รวมทั้งความเข้าใจผิดที่เจ้ามีในพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะทำให้ฉันรู้ว่า ที่กลัวโดนปลด เพราะฉันไม่เข้าใจพระอุปนิสัย หรือหลักธรรมในการปลดคนในพระนิเวศ พอเห็นว่ามีคนโดนปลด เพราะไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเห็นได้ชัด ว่างานฉันมีปัญหาเยอะ ฉันก็กังวลว่า ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้นำจะคิดว่าฉันไม่ทำงานจริง และปลดฉันอีกคน ฉันเลย อยู่ในสภาวะที่เข้าใจผิด และระวังตัว กลัวผู้นำตรวจงาน แต่ที่จริง ปัญหาและข้อบกพร่องที่เผยออกมา ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย นั่นช่วยให้ฉันพบ และแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ได้พัฒนาประสิทธิผลในหน้าที่ แต่ตัวฉัน กลับจุกจิกใจแคบ เวลาผู้นำตรวจตรางานของฉัน ฉันก็คอยระวัง และเริ่มเดาใจเธอ เธอคิดมั้ยว่าฉันไม่ทำงานจริง คิดมั้ยว่าฉันพึ่งไม่ได้ ฉันคิดว่าเธอกำลังจับตาดูฉัน และเธอก็อาจ ปลดฉันสักวัน ในหัวฉัน มีแต่แผนและอุบาย ในคริสตจักรนั้น มีหลักธรรมสำหรับปลดผู้คนอยู่ จะไม่มีใครถูกปลด เพราะความพลั้งเผลอ หรือความผิดพลาด เล็กๆ น้อยๆ ในหน้าที่ ผู้คนได้โอกาสกลับใจมากเท่าที่จะมากได้ ถ้าพวกเขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง และส่งผลลบต่องาน พวกเขาก็ต้องโดนปลด ฉันได้เห็นว่าพี่น้องชายหญิงบางคน มีปัญหาและความพลั้งเผลอในงาน แต่ผู้นำ ก็ไม่ได้ปลดพวกเขาออก เธอช่วยเหลือ เกื้อหนุน และสามัคคีธรรมกับพวกเขาตามหลักธรรม พอได้หมั่นวิเคราะห์ และเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ขีดความสามารถของพี่น้องบางคน มีไม่พอทำงาน คริสตจักรก็เลย จัดเตรียมหน้าที่ที่เหมาะสมให้ตามจุดแข็งของพวกเขา นั่นไม่ใช่การปลดโดยพลการ ถึงบางคนโดนปลด เพราะไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่พอพวกเขาทบทวนและรู้จักตัวเอง และกลับใจได้จริงๆ คริสตจักรก็จะส่งเสริมและใช้งานอีก ปัญหา ที่เกิดขึ้นในหน้าที่ ไม่น่ากลัวเลย สิ่งสำคัญที่สุด คือการยอมรับความจริง และทบทวนปัญหา กลับใจและเปลี่ยนได้จริง ฉันเห็นว่า ผู้นำไม่ปลดฉัน ทั้งที่ฉันเบี่ยงเบนและผิดพลาด ฉันเลยไม่ควร เข้าใจเธอผิด ฉันควรสรุป และทบทวนปัญหาของตัวเอง และเปลี่ยนแปลงบ้าง ต่อมา ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ และพร้อมที่จะ นบนอบต่อการทรงจัดเตรียม ไม่ว่าฉันจะโดนปลดหรือไม่ พร้อมจะหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ หลังจากนั้น ฉันก็รู้สึกสงบสุขมาก

ต่อมา ฉันเปิดใจเรื่องสภาวะกับพี่น้องหญิงคนหนึ่ง เธอแนะนำให้ฉัน อ่านพระวจนะเรื่องการยอมรับการตรวจตรา ฉันได้อ่านที่บอกว่า “หากเจ้าสามารถเปิดโอกาสให้พระนิเวศของพระเจ้ากำกับดูแล เฝ้าสังเกต และตรวจสอบเจ้า นั่นย่อมเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ การทำเช่นนั้นจะช่วยเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้เป็นที่น่าพอใจและในการสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่ย่อมเป็นประโยชน์และช่วยเหลือผู้คนโดยไม่มีข้อเสียแต่อย่างใด ทันทีที่ใครบางคนเข้าใจหลักธรรมในแง่มุมนี้ เมื่อนั้นพวกเขาควรหรือไม่ควรที่จะรู้สึกต้านทานหรือระแวดระวังการกำกับดูแลของผู้นำ คนทำงาน และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต่อไป? เจ้าอาจถูกตรวจสอบและถูกจับสังเกตเป็นครั้งคราว และงานของเจ้าอาจถูกสอดส่อง แต่นี่ไม่ใช่บางสิ่งให้ถือสา เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เพราะกิจทั้งหลายที่เป็นของเจ้าในตอนนี้ หน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ และงานใดๆ ที่เจ้าทำไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวหรืองานส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พวกเขาแตะต้องงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเกี่ยวข้องกับส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดก็ตามใช้เวลาสอดส่องหรือเฝ้าสังเกตเจ้าอยู่บ้าง หรือถามคำถามที่ลึกซึ้งกับเจ้า โดยลองพยายามที่จะสนทนาแบบใจแลกใจกับเจ้าและค้นหาจนพบว่าสภาวะของเจ้าเป็นเช่นใดในระหว่างเวลานี้ และแม้กระทั่งบางครั้งที่ท่าทีของพวกเขากร้าวกระด้างขึ้นเล็กน้อย และพวกเขาจัดการและตัดแต่งเจ้าเล็กน้อย และบ่มวินัยเจ้า และตำหนิเจ้า ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะพวกเขามีท่าทีที่มีมโนธรรมและรับผิดชอบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าไม่ควรมีความคิดหรือความรู้สึกเชิงลบต่อการนี้(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน) การอ่านพระวจนะ ให้ความรู้แจ้งกับฉัน แต่ละงานที่พวกเราทำ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวกับงานของคริสตจักร และการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง เวลาผู้นำ และคนทำงาน ตรวจสอบหน้าที่ของเรา พวกเขากำลังทำในสิ่งที่ควรทำ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ ต่อหน้าที่ของเรา และงานของคริสตจักร ทุกคน ต่างก็มีอุปนิสัยเสื่อมทราม ก่อนเราได้รับความจริง ก่อนอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเราจะเปลี่ยน เราก็ต่างพึ่งพา หรือไว้ใจไม่ได้ ถ้าไม่มีคนคอยตรวจตรา เราอาจทำตามใจตัวเองได้ทุกเมื่อ เราจะทำงานตามอำเภอใจ และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และทำสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางงานของคริสตจักร การที่ ผู้นำมาตรวจงาน ก็เพื่อช่วยเราในหน้าที่ และเพื่อให้งานของคริสตจักรคืบหน้า ฉันจำได้ว่า ตอนที่ผู้นำพูดว่า ฉันไม่แบ่งปันหลักธรรมในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้สมาชิกใหม่ในทีม นั่นเป็นการเบี่ยงเบนในหน้าที่จริงๆ ฉันไม่คิดถึงความคืบหน้า มัวแต่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ เลยคิดว่า ค่อยๆ สอนพี่น้องที่ไม่คุ้นเคยกับงานไปก็ได้ คงไม่กระทบประสิทธิผลในงานของเรา ท่าทีที่ฉันมีนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ ถ้าฉันไม่เปลี่ยน เวลาผ่านไป จะไม่ใช่แค่ขัดขวางงานของคริสตจักร แต่จะทำร้ายการเข้าสู่ชีวิตของฉันเองด้วย ตอนที่ผู้นำเห็นปัญหานี้ แล้วชี้ให้ฉันทราบ ฉันก็ได้โอกาสทบทวนตัวเองทันที สิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับฉันอย่างเหลือเชื่อ เวลาที่ ผู้นำตรวจทานงานของฉัน เธอชี้ให้เห็นบางปัญหา ที่ปกติฉันไม่เห็น ซึ่งนี่จะช่วยแก้ไขปัญหาในงานของฉัน ได้มากมายและรวดเร็ว ทำให้มีเส้นทางปฏิบัติ และทิศทางในหน้าที่ พอได้เข้าใจทั้งหมดนั้น ก็รู้สึกว่าฉันเคยโง่มามาก แล้วก็เสียใจ ถ้าฉันสมัครใจ บอกข้อผิดพลาดในงานให้ผู้นำทราบ ปัญหาพวกนี้ คงแก้ไขได้ไปนานแล้ว และงานข่าวประเสริฐของเรา ก็คงไม่เสียหาย

ต่อมา ฉันได้ทบทวนตัวเอง ว่าทำไมฉันมักจะกลัวการตรวจตรา ทำไมกลัวโดนปลด? รากเหง้าของปัญหานี้คืออะไร? ตอนเฝ้าเดี่ยว ฉันก็ได้อ่านบทตอนนี้ “หากพวกเจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าจะกลัวพระนิเวศของพระเจ้าซักถามและกำกับดูแลงานของพวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าจะกลัวว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะค้นพบความพลาดพลั้งและข้อผิดพลาดในงานของพวกเจ้าและจัดการพวกเจ้าหรือไม่? พวกเจ้าจะกลัวว่าหลังจากที่เบื้องบนทรงรู้ขีดความสามารถและวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงมองเห็นพวกเจ้าในแง่มุมที่ต่างออกไปและไม่พิจารณาให้พวกเจ้าได้เลื่อนตำแหน่งหรือไม่?…เมื่อรู้ว่าเจ้ามีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ เหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าเผชิญหน้าอุปนิสัยนั้น? เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถดำเนินการกับอุปนิสัยนั้นอย่างตรงไปตรงมาและพูดว่า ‘ถ้าเบื้องบนตรัสถามถึงงานของฉัน ฉันจะพูดทุกสิ่งที่ฉันรู้ และต่อให้สิ่งไม่ดีทั้งหลายที่ฉันทำไว้ถูกเปิดเผย และเบื้องบนไม่ทรงใช้ฉันอีกต่อไปทันทีที่พระองค์ทรงรู้ และฉันสูญเสียสถานะของฉัน ฉันก็จะยังคงพูดสิ่งที่ฉันต้องพูดให้ชัดเจน’? ความกลัวของเจ้าที่จะถูกพระนิเวศของพระเจ้ากำกับดูแลและสอบถามเรื่องงานของเจ้าพิสูจน์ว่าเจ้ารักสถานะของเจ้ามากกว่าความจริง นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? การทะนุถนอมสถานะเหนือทุกสิ่งคืออุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่แปด: พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (ภาคที่สอง)) พระวจนะเปิดโปงรากเหง้า ของการที่ฉันกลัวโดนผู้นำตรวจงาน ฉันหลงรักสถานะตัวเองมากไป ฉันกลัวผู้นำจะพบปัญหาในหน้าที่ของฉัน คิดว่าฉันไม่ทำงานจริง แล้วปลดฉันออก เพื่อรักษาสถานะเอาไว้ ฉันเลยทำเป็นทำหน้าที่ ทำงานแค่เปลือกนอก ไม่ทำงานที่เป็นสาระสำคัญ ที่ฉันควรจะทำ จนงานข่าวประเสริฐเกิดผลน้อยลง ฉันเห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจมาก! ที่จริง คนที่มีใจเคารพพระเจ้าจริงๆ ย่อมมองว่า งานของคริสตจักรสำคัญที่สุด พวกเขายอมให้ชื่อและสถานะตัวเองเสียหายเพื่อค้ำจุน งานคริสตจักร พวกเขายอมรับการทรงพินิจของพระเจ้า และการตรวจตราจากเหล่าพี่น้องได้ พวกเขามีใจที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ แต่ฉันกลับ คิดแต่ว่าจะปกป้องชื่อและสถานะยังไง ถึงกับพร้อมจะเห็นงานของคริสตจักรเสียหาย เพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเอง ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์ ที่ให้ค่าสถานะเหนือทุกสิ่ง และจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สถานะ พฤติกรรมของฉัน เปิดเผยอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์นั่นเอง ยิ่งคิดฉันยิ่งรู้สึกว่า สิ่งที่ฉันแสดงออก เหมือนเป็นชีวิตชั้นต่ำ ไม่มีเกียรติหรือศักดิ์ศรีเลย ฉันรังเกียจตัวเองจริงๆ ฉันอยากเป็นคนซื่อตรงและมีเกียรติ จากก้นบึ้งของหัวใจ ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “สำหรับบรรดาผู้ที่รักความจริง ตัวเลือกของพวกเขาคือการปฏิบัติความจริง เป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง และย่อมได้รับพรจากพระเจ้า สำหรับพวกที่ไม่รักความจริง พวกเขาเลือกทำสิ่งใด? พวกเขาใช้คำโกหกมาปกป้องความมีหน้ามีตา สถานะ ศักดิ์ศรี และบุคลิกลักษณะของตน คนเช่นนี้พอใจที่จะเป็นผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และถูกพระเจ้าทรงเกลียดชังและปฏิเสธเสียมากกว่า พวกเขาไม่ต้องการความจริงหรือพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาเลือกคือความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง พวกเขาต้องการเป็นผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และพวกเขาไม่ใส่ใจว่านั่นทำให้พระเจ้าทรงยินดีหรือไม่ หรือพระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดหรือไม่ ดังนั้นผู้คนเช่นนี้จะยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเลือกเดินบนเส้นทางที่ผิด พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการโกหกและการฉ้อโกงเท่านั้น และพวกเขาจะทำได้เพียงมีชีวิตที่เจ็บปวดจากการโกหกและปกปิดคำโกหกเหล่านั้น และเค้นสมองคิดหาทางปกป้องตนเองทุกวันเท่านั้น เจ้าอาจคิดว่าสามารถใช้คำโกหกปกป้องชื่อเสียง สถานะ และความถือดี ที่เจ้าอยากได้อยากมีได้ แต่นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ คำโกหกไม่เพียงปกป้องความถือดีและศักดิ์ศรีส่วนตัวของเจ้าไม่ได้เท่านั้น แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือทำให้เจ้าพลาดโอกาสที่จะปฏิบัติความจริงและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์อีกด้วย ต่อให้เจ้าปกป้องความมีหน้ามีตาและความถือดีของเจ้าไว้ได้ในเวลานั้น แต่สิ่งที่เจ้าสูญเสียคือความจริง และเจ้าก็ทรยศพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าเจ้าสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดจากพระเจ้าและโอกาสที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมอย่างสิ้นเชิง นี่คือการสูญเสียอันใหญ่หลวงที่สุดและเป็นความเสียใจชั่วนิรันดร์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่แท้จริง) พอใคร่ครวญดู ฉันก็รู้สึกละอายใจ ตอนใช้คำโกหก เพื่อรักษาชื่อและสถานะภายนอกเอาไว้ ฉันนึกว่าฉันฉลาดมาก แต่ฉันกำลังเสียโอกาสในการเป็นคนซื่อสัตย์ไป รวมทั้งโอกาส ที่จะได้ความรอดและความจริง นั่นเป็นความสูญเสีย ที่ทดแทนไม่ได้ ฉันใช้คำโกหกและอุบายครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อปกป้องชื่อและสถานะ แต่พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง ฉันอาจหลอกคนได้สักระยะ แต่ไม่มีวันรอดพ้นจากการทรงพินิจ ไม่ช้าก็เร็ว ข้อเท็จจริงที่ฉันไม่ทำงานจริงและฉุดรั้งสิ่งต่างๆ ก็จะปรากฏ พระอุปนิสัยนั้นไม่ยอมทนการล่วงเกิน ถ้าฉันไม่กลับใจ แต่มัวเลือกที่จะโกหก และปกป้องสถานะ ฉันก็แค่ รอเวลาโดนปลดเท่านั้น ฉันนึกถึงเหล่าศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาทำงานแค่เพื่อชื่อและสถานะ ไม่ทำงาน ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง บางคนถึงกับยอมทำทุกอย่างที่ทำลายงานของคริสตจักร เพื่อชื่อและสถานะของตัวเอง สุดท้ายก็ทำชั่วมากมาย ถูกเปิดโปง และขับออก งานสำคัญที่สุดของพระนิเวศตอนนี้ คือการแผ่ขยายข่าวประเสริฐออกไป แต่ในฐานะที่รับผิดชอบงานนี้ ฉันไม่ใช่แค่ ไม่ผลักดันงานข่าวประเสริฐ แต่ฉันพยายามปกป้องชื่อและสถานะ ทำให้งานของเราล่าช้าด้วย จากพฤติกรรมแล้ว ฉันควรจะถูกเปลี่ยนตัว การทำหน้าที่ต่อไปได้ แปลว่าพระเจ้าทรงอดทนกับฉันมาก พอตระหนักได้ ฉันก็มาอธิษฐานและกลับใจเฉพาะพระพักตร์ พร้อมจะเปลี่ยนแปลงการไล่ตามเสาะหาที่ผิด ยอมรับการตรวจตรา และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่

ต่อมาในการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะ ที่ให้เส้นทางปฏิบัติกับฉัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้ที่สามารถยอมรับการกำกับดูแล การตรวจสอบ และการตรวจทานของผู้อื่นได้ จึงเป็นผู้ที่มีเหตุผลที่สุด พวกเขามีความอดทนอดกลั้นและมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เมื่อเจ้าพบว่าตัวเจ้ากำลังทำสิ่งผิดหรือพรั่งพรูอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา หากเจ้าสามารถเปิดใจและสัมพันธ์สนิทกับผู้คนได้ นี่จะช่วยให้ผู้คนรอบตัวเจ้าเฝ้าจับตาดูเจ้า แน่นอนว่าการยอมรับการกำกับดูแลมีความจำเป็น แต่สิ่งสำคัญคือการอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ ทบทวนตัวเจ้าเองอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เจ้าเดินอยู่บนทางที่ผิดหรือกระทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องลงไป หรือในยามที่เจ้ากำลังจะกระทำการอันเป็นเผด็จการและไม่ฟังเสียงใคร แล้วมีใครบางคนที่อยู่ใกล้ตัวกล่าวถึงการนั้นขึ้นมาและเตือนให้เจ้ารู้สึกตัว เจ้าก็จำเป็นต้องยอมรับการนั้นและรีบเร่งทบทวนตนเอง ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง และแก้ไขให้ถูกต้อง นี่จะสามารถช่วยให้เจ้าไม่ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ หากมีใครบางคนช่วยเหลือและสะกิดเตือนเจ้าเช่นนี้ เจ้าก็กำลังได้รับการปกปักรักษาโดยไม่รู้ตัวมิใช่หรือ? ใช่แล้ว—นั่นคือการปกปักรักษาเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) ขอบคุณพระเจ้า! พอมีเส้นทางปฏิบัติ ฉันก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก ฉันไม่ตั้งป้อมใส่การตรวจตรา และการสอบถามของผู้นำแล้ว แถมยังเลิกซ่อนตัวอยู่หลังปัญหา ฉันเริ่มมุ่งทำงาน และแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันไม่รู้สึกอึดอัด เวลาผู้นำถามถึงเรื่องงาน และฉันก็ยอมรับการทรงพินิจ และทำตัวซื่อสัตย์ได้แล้ว เวลาทำบางงานได้ไม่ดี ฉันก็ยอมรับได้ ฉันเลิกปกป้องหน้าตาและสถานะแล้วค่ะ เวลาผู้นำพบปัญหาในงานของฉัน ฉันก็เลิกคิดว่า เธอจะมองฉันยังไง หรือจะปลดฉันไหม คิดแค่ว่าจะเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด และทำหน้าที่ให้ดียังไง ตั้งแต่ทำแบบนี้ ฉันสบายใจจริงๆ และการเปิดใจทำหน้าที่ ก็ยอดเยี่ยมมาก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger