เป็นอิสระจากโซ่ตรวนแห่งบ้าน

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย เฉิง สือ, ประเทศจีน

หลังจากที่ฉันได้รับพระราชกิจของพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้ายได้ไม่นาน ฉันก็ประกาศข่าวประเสริฐกับสามีฉัน ฉันประหลาดใจมากในตอนที่หลังจากเขาได้ยินไป เขาก็เจอรายงานข่าวเท็จทุกชนิดในอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ซึ่งเป็นการให้ร้ายและเป็นข่าวลือที่พรรคคอมมิวนิสต์แต่งขึ้นเพื่อต่อต้านคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หลังจากนั้นเขาก็จ้องฉันอย่างเกลียดชังและตะโกนว่า “ดูสิ! ที่คุณเชื่อน่ะคือฟ้าแลบจากทิศตะวันออกที่ทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดการขั้นเด็ดขาดมาหลายปี พอพวกเขาจับคุณได้เมื่อไหร่ คุณจะถูกตัดสินโทษและถูกขังคุก คุณเชื่อต่อไปอีกไม่ได้!” จากนั้นเขาก็ฉีกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉันทุกเล่ม ตอนนั้นฉันโกรธมาก แต่ฉันก็คิดว่า สามีฉันอาจจะต่อต้านที่ฉันเชื่อก็เพราะเขาถูกข่าวลือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลอกเอาแค่ชั่วขณะ แต่ต่อไปเขาจะเข้าใจเอง แต่ฉันเองก็รู้ว่าต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น การเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้องแล้วในชีวิต และฉันจะไม่มีทางล้มเลิก หลังจากนั้นสามีก็โทรหาฉันทุกวันเพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของฉัน ในตอนนั้นฉันเป็นนักศึกษาปริญญาโท ดังนั้นเพื่อเลี่ยงการสอดส่องของเขา ฉันเลยไปเข้าร่วมการประชุมใกล้ๆ กับวิทยาลัย และกลับบ้านเฉพาะในสุดสัปดาห์เท่านั้น ช่วงสิ้นปีค.ศ. 2012 ตอนที่ทางพรรคออกการรณรงค์เพื่อปราบปรามและจับกุมคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม ทั้งทางอินเทอร์เน็ต โทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ มีข่าวลือและความคิดที่ไม่ถูกต้อง กล่าวโทษและให้ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่ทุกที่ และพวกเขาก็จับกุมผู้เชื่อในพระเจ้าทั่วทุกแห่งหน สามีฉันกลัวว่าฉันจะถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้า ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเขาและครอบครัวเขาด้วย ข้อจำกัดที่เขาวางให้ฉันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเขายังข่มขู่ฉันด้วย บอกว่าเขาจะหย่ากับฉันถ้ายังเชื่อในพระเจ้าต่อไป พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ฉันก็เสียใจมาก ที่ประเทศจีน การเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่แค่ทำให้เราเสี่ยงต่อการถูกตัดสินโทษและจำคุก แต่ยังต้องทนทุกข์จากการถูกครอบครัวข่มเหงด้วย สิ่งต่างๆ ยากลำบากกับเรามาก! ฉันคิดว่าถ้าเราหย่าร้าง แล้วลูกสาวเราจะเป็นยังไง? ช่วงสองสามวันนั้น ฉันไม่สนใจทำหน้าที่ของตัวเองเลย ฉันทุกข์ระทมมาก

หลังจากนั้น ตอนที่พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้เรียนรู้ถึงสภาวะของฉัน เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง มันช่วยฉันได้เยอะมาก “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจ ว่ารูปการณ์แวดล้อมที่ลำบากยากเย็นนี้ จากภายนอกแล้วคือสามีจำกัดและข่มเหงฉัน แต่ที่จริงคือการก่อความไม่สงบของซาตาน พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยผู้คนให้รอด และซาตานก็ทำให้เกิดการก่อความไม่สงบและการทำให้หยุกชะงักทุกชนิด เพื่อทำให้ฉันทรยศต่อพระเจ้า เสียความรอดของพระองค์ไป และถูกฉุดลงสู่นรกพร้อมกับมันในที่สุด ซาตานมันมุ่งร้ายและชั่วร้ายจริงๆ! ในตอนนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์น้อยเกินไป จึงขอให้พระองค์ประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์ แม้หากข้าพระองค์ต้องหย่ากับสามี ข้าพระองค์ก็จะไม่ทรยศต่อพระองค์ และจะไม่หลงกลอุบายของซาตาน” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ทนได้ไม่ยากนักและเผยแผ่ข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ให้ลุล่วงต่อไป

ฉันได้ยินมาว่าช่วงสิ้นปีนั้น คุณโดนจับที่การประชุม ตำรวจตั้งยังข้อหา “รบกวนความสงบเรียบร้อยของสังคม” กับฉันด้วย และกักขังฉัน 30 วัน ในการซักถาม ตำรวจจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติข่มขู่ฉันว่า “วิทยาลัยของคุณรู้แล้วว่าคุณถูกจับฐานเชื่อในพระเจ้า และพวกเขามีแผนการจะไล่คุณออก แต่ถ้าคุณให้ความร่วมมือกับเราและบอกสิ่งที่คุณรู้ เราจะคุยกับคณบดีให้คุณเอง และคุณก็เรียนปริญญาโทต่อไปได้ คิดดูให้ดีๆ!” หลังจากที่พวกเขาออกไป ฉันก็มองดูราวเหล็กเย็นๆ ของห้องขัง และรู้สึกหดหู่และทุกข์ระทมมาก ถ้าฉันถูกไล่ออกจากวิทยาลัยฐานเชื่อในพระเจ้า นั่นก็จะเป็นปัญหาทางการเมือง ตำหนินั้นจะคงอยู่ในระเบียนนักศึกษากับแฟ้มตำรวจ โรงพยาบาลที่ไหนก็จะไม่จ้างฉัน และความฝันของฉันที่จะได้เป็นหมอก็จะสูญเปล่า อายุแค่ 30 แต่การศึกษา การงานและอนาคตจะหมดไปแล้ว แล้วฉันจะอยู่ยังไงในอนาคต? ฉันจะเผชิญกับการเลือกปฏิบัติจากญาติๆ และการเยาะเย้ยจากคนรอบข้างได้ยังไง? ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่สองสามวัน ในช่วงนั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าถึงเรื่องนี้ทุกวัน เช้าวันหนึ่ง ฉันพบว่าตัวเองกำลังฮัมเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย เนื่องจากเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยินดีและแน่ใจยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้ และใช้ชีวิตที่มีความหมาย ดังเช่นโยบ และเปโตร พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาหนทางที่ถูกต้อง คือบรรดาผู้ที่แสวงหาการปรับปรุง พวกเจ้าคือผู้คนที่ลุกขึ้นในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกขานว่ามีความชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายมากที่สุดหรอกหรือ?(“ชีวิตอันเปี่ยมความหมายที่สุด” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ขณะที่ร้องเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก และกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และฉันควรเชื่อและนมัสการพระเจ้า เช่นนั้นจึงจะเป็นธรรมชาติและถูกต้อง พระเจ้าทรงลิขิตให้ฉันเกิดมาในครอบครัวที่เชื่อในพระเจ้า เพื่อให้ฉันได้รู้ถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าตั้งแต่อายุยังน้อย ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงเลือกฉันและอนุญาตให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับพระองค์ พระองค์ทรงอนุญาตให้ฉันได้รับการให้น้ำและการจัดหาของพระวจนะของพระเจ้า ยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ และให้ฉันได้รับความรอดของพระเจ้า นี่คือพรอันประเสริฐ! ฉันคิดถึงหลายๆ คนตลอดหลายรุ่นที่ได้ติดตามพระเจ้า เพื่อที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พวกเขาต้องทนทุกข์จากการข่มเหงและความยากลำบาก และหลายคนถึงกับสละชีวิต พวกเขาทุกคนได้สร้างคำพยานที่งดงามและดังกึกก้องแด่พระเจ้า นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันมากค่ะ ฉันคิดว่า ถ้าฉันล้มเลิกการเชื่อในพระเจ้าเพื่อรักษาประโยชน์และอนาคตของตัวเอง อย่างนั้นฉันจะยังมีมโนธรรมอยู่ไหม? ฉันมีค่าพอให้ใครเรียกว่ามนุษย์ไหม? ความคิดนั้นมอบพละกำลังให้ฉัน และฉันได้สาบานว่า ไม่ว่าฉันจะถูกไล่ออกหรือไม่ หรืออนาคตและชะตากรรมของฉันจะเป็นยังไง และไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะบอกปัดหรือให้ร้ายฉันยังไง ฉันก็จะไม่ทรยศพระเจ้า และจะยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า ในการซักถามครั้งสุดท้าย ฉันบอกกับตำรวจอย่างสงบนิ่งมากๆ ว่า “ถ้าวิทยาลัยไล่ฉันออก ฉันขอให้คุณบอกสามีฉันให้ไปที่วิทยาลัยเพื่อรวบรวมของใช้ของฉันก็พอ” เมื่อตำรวจเห็นว่าฉันเด็ดเดี่ยวแค่ไหน พวกเขาก็จากไปอย่างดูท้อถอยมาก ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก

หลังจากได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับบ้าน สามีของฉันพูดด้วยความโมโหว่า “ตำรวจบอกผมว่าถ้าคุณถูกจับฐานเชื่อในพระเจ้าอีก จะไม่ใช่แค่การกักขังหนึ่งเดือนเท่านั้น มันจะส่งผลกระทบต่อผมและลูกสาวเราด้วย ลูกเราจะไม่มีสิทธิ์ได้เข้ามหาวิทยาลัย ได้งานดีๆ หรือทำงานในส่วนราชการ คุณไม่เข้าใจเหรอ? การที่คุณถูกจับเพราะเชื่อในพระเจ้าทำให้ผมต้องทนทุกข์หนึ่งเดือนเหมือนกัน ผมบอกไม่ได้หรอกว่าร้องไห้ไปกี่ครั้ง และเกือบจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วย ผมไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือและทำให้ตัวเองต้องอับอายเสียถ้วนทั่วเพื่อที่จะพาคุณออกมาจากคุก ผมไม่มีความตั้งใจจะทนทุกข์แบบนั้นอีก!” แล้วเขาก็ขอให้ฉันหยุดเชื่อได้ไหม ขอให้ฉันคิดถึงครอบครัวมากกว่านี้ได้ไหม ยิ่งกว่านั้น เพื่อที่จะให้ฉันเลิกติดต่อกับพี่น้องชายหญิง เขาจับตาดูฉันเหมือนฉันเป็นอาชญากร เขาไม่ยอมให้ฉันออกจากบ้านและไม่ให้ความเป็นอิสระกับฉันเลย ตอนที่เขาไปทำงาน เขาให้แม่เขามาคอยดูฉัน เขาโทรมาถามเรื่อยๆ ว่าฉันอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ เขายังบอกฉันไม่หยุดหย่อนเรื่องขบวนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และวิธีการเยียวยาอันรุนแรงซึ่งถูกนำมาใช้ เพื่อให้ฉันรู้ผลสืบเนื่องของการไม่เชื่อฟังพรรคคอมมิวนิสต์ และเพื่อขจัดความคิดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของฉัน เขายังพูดอีกว่า “ผมรู้ว่าข่าวลือที่พรรคแต่งขึ้นเกี่ยวกับคริสตจักรของคุณเป็นเรื่องเท็จ คุณอยากเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่อนุญาต แต่ถ้าคุณไม่เชื่อฟัง พวกเขาจะทำลายชีวิตคุณ ดูผู้คนที่ตายอย่างน่าสลดใจในระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมและเหตุการณ์วันที่สี่มิถุนายนสิ ถ้าคุณล่วงเกินพรรค คุณหนีไปต่างประเทศไม่ได้ด้วยซ้ำ” แม่สามีฉันผสมโรงด้วยโดยพูดว่า “พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ดีหรอก แต่พวกเขามีอำนาจ เราเป็นแค่คนธรรมดา และเราก็ไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานพวกเขา” หลังจากนั้นฉันก็ถูกไล่ออกเพราะการเชื่อในพระเจ้า และสามีฉันก็ตำหนิว่าสิ่งร้ายๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเราเป็นเพราะการเชื่อในพระเจ้าของฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เขารู้สึกทุกข์ร้อน เขาจะดุด่าฉัน เยาะเย้ยฉัน และประชดประชันฉัน การเผชิญกับชีวิตแบบนั้นทำให้ฉันรู้สึกหดหู่มาก และยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือติดต่อพี่น้องชายหญิงได้เลย ฉันก็เลยยิ่งทุกข์ระทมมาก และไม่รู้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่

ในช่วงเวลานั้น ฉันมักจะอธิษฐานต่อพระเจ้าบ่อยๆ เพื่อขอให้พระองค์ประทานความรู้แจ้งแก่ฉัน นำทางฉัน และอนุญาตให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ วันหนึ่ง ฉันจำพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งได้ “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ กล่าวคือ ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’ พวกเจ้าทุกคนเคยฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในพวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกในนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายโดยพญานาคใหญ่สีแดงในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่ พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ในการเหยียดหยามและการกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้จักได้รับการทำให้ลุล่วงในพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวบนแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมดจึงต้องเผชิญกับอุปสรรคมหาศาล และการทำพระวจนะมากมายให้สำเร็จลุล่วงนั้นย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าประการหนึ่งก็คือผู้คนได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ เป็นความลำบากยากเย็นมหาศาลสำหรับพระเจ้าที่จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์โดยผ่านความลำบากยากเย็นนี้เอง อันเป็นการสำแดงพระปรีชาญาณของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) ใช่ค่ะ จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า เพราะพญานาคใหญ่สีแดงเกลียดพระเจ้าและต้านทานพระองค์อย่างดุร้าย ในฐานะผู้เชื่อในประเทศจีน เราจึงมีพันธะผูกพันให้ทนทุกข์มากมาย แต่ความทุกข์นี้มีความหมาย พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์และความทุกข์ลำบากเช่นนี้ทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม และให้การหยั่งรู้แก่เรา ฉันคิดว่า เพียงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้กักขังฉัน ให้วิทยาลัยไล่ฉันออก และใช้การงานและอนาคตของครอบครัวฉันมาข่มขู่ฉันและบังคับให้ฉันละทิ้งหนทางที่แท้จริง พรรคคอมมิวนิสต์จีนนี่ชั่วจริงๆ! สามีฉันพยายามห้ามฉันไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เพราะเขาเชื่อข่าวลือและคำโกหกของพรรค และกลัวมาตรการเยียวยาอันรุนแรงของพวกเขา การประสบกับการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยตัวเอง ทำให้ฉันได้เห็นแก่นแท้เยี่ยงปีศาจของพรรคที่ทำตัวชั่วร้ายอย่างป่าเถื่อนและเกลียดความจริง ฉันคิดว่ายิ่งพรรคข่มเหงฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งจะบอกปัดมัน ละทิ้งมัน และติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทาง แม้ว่าฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือติดต่อกับพี่น้องชายหญิงไม่ได้ ฉันก็เชื่อว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและพระองค์จะทรงเปิดทางให้ฉัน

หลังจากนั้นสิบเดือน ฉันก็หาโอกาสติดต่อกับคริสตจักรได้ในที่สุดค่ะ เมื่อฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้อีกครั้งในที่สุด ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก และรู้สึกถึงความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นไปอีก ยิ่งฉันอ่านมาก ก็ยิ่งรู้สึกเฉียบคมและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นไปอีก หลายเดือนผ่านไป มีวันหนึ่ง สามีฉันพบสมุดบันทึกการเฝ้าเดี่ยวในห้องฉัน พอเขารู้ว่าฉันยังคงเชื่อในพระเจ้าอยู่ เขาก็ฉุนขาดและชกฉันร่วงลงกับพื้นในหมัดเดียว แล้วก็ชกฉันเข้าที่หัวอีกอย่างน้อย 20 ครั้งได้ ฉันถูกแรงกระแทกจนหมดสติไปครึ่งหนึ่งและเวียนหัว และหัวก็ปูดโนขนาดเท่าไข่นกพิราบหลายจุด ฉันจำความโกรธเกรี้ยวแสนเย็นชาบนหน้าสามีฉันได้ จำได้ว่าลูกวัย 6 ขวบของฉันกลัวมากจนเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “อย่าตีแม่! อย่าตีแม่!…” สามีฉันคว้าคอเสื้อฉันแล้วเหวี่ยงฉันออกจากประตู พร้อมกับพูดด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “ถ้าเธอเชื่อในพระเจ้าต่อไปก็ออกไปจากบ้านฉัน!” เมื่อได้เห็นว่าสามีฉันเปลี่ยนไปยังไง ว่าเขาโหดร้ายและไร้ความปรานีแค่ไหน ว่าเขาไม่แยแสเวลาหลายปีที่เราใช้ด้วยกันมาเลยสักนิด ฉันรู้สึกใจสลาย สิ่งที่ฉันทนไม่ได้ที่สุดคือ การได้เห็นว่าลูกสาวฉันกลัวอารมณ์รุนแรงของเขาแค่ไหน ทันทีที่เขาเข้ามาหาฉัน แกคิดว่าเขาจะทุบตีฉัน แกก็เลยวิ่งมาอยู่ข้างหน้าฉันและยกแขนน้อยๆ ขึ้นปกป้องฉัน พูดว่า “อย่ามาเข้าใกล้แม่นะ!” บางครั้ง เวลาฉันอยู่บนบ้าน ทันทีที่สามีฉันเข้าใกล้บันได ลูกฉันก็จะกรีดร้องใส่เขาไม่ให้ขึ้นบันได ทุกครั้งที่ฉันเห็นหน้าลูกสาวเต็มไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล ความเสียหายทางจิตใจที่ต้องรับมือกับความรุนแรงในครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย มันเหมือนกับมีดบิดแทงใจฉัน และฉันก็เกลียดพญานาคใหญ่สีแดงมากขึ้นไปอีก ความวิบัติทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะการข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์

วันหนึ่งเมื่อสามีของฉันกลับบ้านหลังเลิกงาน เขาควักมือถือออกมาแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ดูนี่ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจับคนตั้งหลายคนอีกแล้ว คุณยังอยากเชื่ออยู่เหรอ? คุณอยากตายหรือไง? ได้ คุณเชื่อในพระเจ้าได้ แต่อย่าฉุดผมและลูกให้ลงต่ำไปกับคุณด้วย ถ้าคุณถูกจับอีก เราจะไม่มีทางดำเนินชีวิตได้เลย ถ้าผมรู้ว่าคุณจะเลือกเส้นทางการเชื่อในพระเจ้า ผมคงไม่มีวันแต่งงานกับคุณหรอก” สิ่งที่สามีฉันพูดทำให้ฉันเจ็บลึกมาก ฉันนึกย้อนไปในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ที่เขาให้อิสระกับฉันน้อยกว่าอาชญากรเพียงเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า ที่เขาทุบตีฉันบ่อยๆ และที่เรื่องนี้ทำให้ลูกสาวฉันเจ็บปวด และฉันก็รู้ตัวว่าฉันประนีประนอมต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันก็เลยตกลงตามคำขอหย่าของสามีค่ะ พอเขาเห็นว่าฉันยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าต่อไป เขาก็เลยโทรหาพี่ชายฉันและขอให้พี่เกลี้ยกล่อมฉัน พี่ชายฉันรักฉันเสมอมา และเขาก็ภูมิใจในตัวฉันอยู่เสมอ แต่เพราะฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับ ฉันโดนไล่ออกจากวิทยาลัยและถูกห้ามไม่ให้เรียนปริญญาโทต่อ ถ้าหลังจากนั้นฉันหย่าร้างอีก ฉันก็จะกลายเป็นตัวตลกของหมู่บ้านโดยสมบูรณ์ พี่ชายฉันจะต้องผิดหวังมากแน่! ฉันไม่รู้ว่าจะเข้าหน้ากับพี่ยังไง ในใจฉันร้องเรียกหาพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงพิทักษ์รักษาฉัน เพื่อให้ฉันได้ยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า และไม่ว่าจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมไหน ฉันก็จะไม่ล้มเลิกการเชื่อในพระเจ้าค่ะ แล้วฉันก็จำพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งได้ “เจ้าต้องมีความกล้าหาญของเราภายในตัวเจ้า และเจ้าต้องมีหลักการยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับบรรดาญาติที่ไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่เรา เจ้าต้องไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจมืดใดๆ เช่นกัน จงวางใจในสติปัญญาของเราที่จะเดินไปตามหนทางที่เพียบพร้อม จงอย่ายอมให้แผนประทุษกรรมใดๆ ของซาตานเริ่มมีผล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) ใช่แล้วค่ะ พระเจ้าทรงสร้างมนุษยชาติ และการเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้านั้นเป็นธรรมชาติและถูกต้อง เราต้องยืนหยัดในการเลือกเส้นทางของเรา และเราต้องไม่ถูกซาตานหลอก เราต้องไม่ยอมให้แม้คนที่สนิทที่สุดแทรกแซง หลังจากนั้นสามีฉันก็ตำหนิฉันต่อหน้าพี่ฉัน สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะการเชื่อในพระเจ้าของฉัน เมื่อสามีฉันเห็นว่าฉันสงบนิ่งแค่ไหน เขาก็ยกมือขึ้นจะตีฉัน แต่พี่ฉันหยุดเขาไว้ พี่ฉันพูดกับฉันอย่างใจเย็นว่า “น้องโตแล้ว และน้องตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของน้องเองได้ แต่น้องต้องคิดด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกของน้องถ้าน้องหย่าร้าง ถ้าน้องดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกสาวของพี่ น้องจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของน้อง…” คำพูดของพี่ฉันทำให้ฉันเศร้าอยู่พักหนึ่ง เพราะฉันคิดถึงเรื่องการหย่าของเขา และการที่ลูกสาวของเขามักถูกคนรอบข้างเยาะเย้ยและดูถูก น่าสงสารมากนะคะที่เด็กคนหนึ่งต้องอยู่โดยไม่มีแม่ ฉันคิดว่าถ้าฉันหย่า ลูกฉันก็จะเป็นเด็กไม่มีแม่ด้วยไหม? แกจะทนทุกข์จากการเลือกปฏิบัติและการเยาะเย้ยจากครูและเพื่อนร่วมห้องไหม? ถ้าไม่มีฉันอยู่ข้างๆ ถ้าแกอยู่กับพ่อและปู่ย่าผู้ไม่เชื่อ แกจะเดินบนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าได้ไหม? พอฉันคิดว่าแกยังเด็กแค่ไหน ฉันก็รู้สึกว่าฉันทนการแยกจากแกไม่ได้

ฉันทุกข์ระทมจริงๆ ในระหว่างช่วงเวลานั้น ฉันก็เลยอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจปล่อยลูกสาวไปได้ ข้าพระองค์รู้สึกโศกเศร้าเสมอเมื่อคิดถึงอนาคตของลูก ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ประทานความรู้แจ้งและทรงพิทักษ์รักษาหัวใจของข้าพระองค์ด้วย” หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน และฉันก็พบเส้นทางการปฏิบัติในนั้น “นอกเหนือจากการเกิดและการเลี้ยงดูเด็กแล้ว ความรับผิดชอบที่บิดามารดามีต่อชีวิตลูกๆ ของพวกเขา ก็มีแค่จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่เป็นทางการให้ลูกๆ ได้เจริญเติบโต เพราะไม่มีสิ่งใดนอกจากการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างที่มีอิทธิพลต่อชะตากรรมของบุคคล ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ว่าบุคคลหนึ่งจะพึงมีอนาคตชนิดใด มันได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว และแม้แต่บิดามารดาของคนเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนเราได้ ในเรื่องของชะตากรรมนั้น ทุกคนเป็นอิสระ และทุกคนมีชะตากรรมของตนเอง ดังนั้น จึงไม่มีบิดามารดาของใครที่สามารถหยุดยั้งชะตากรรมในชีวิตของคนเรา หรือแสดงอิทธิพลแม้เพียงน้อยนิด ต่อบทบาทที่คนเราแสดงในชีวิต…ไม่มีบิดามารดาของใครสามารถช่วยเหลือคนเราให้ทำภารกิจในชีวิตจนสำเร็จลุล่วงได้ และในทำนองเดียวกัน ไม่มีญาติพี่น้องของใครที่สามารถช่วยคนเรารับบทบาทในชีวิตของคนเราได้ วิธีที่คนเราทำภารกิจของตนจนสำเร็จลุล่วงและประเภทของสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่คนเราแสดงบทบาทของคนเราอยู่ภายในนั้น ล้วนถูกกำหนดโดยชะตากรรมในชีวิตของคนเราทั้งหมดทั้งสิ้น พูดอีกอย่างว่า ไม่มีสภาพเงื่อนไขบนพื้นฐานของความเป็นจริงอื่นใดสามารถแสดงอิทธิพลต่อภารกิจของบุคคล ซึ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้าง ผู้คนทั้งมวลกลายมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา จากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มออกเดินทางไปบนถนนแห่งชีวิตของพวกเขาเองทีละก้าวๆ และทำให้ชะตาลิขิตต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงวางแผนการไว้ให้พวกเขาลุล่วงได้ ตามธรรมชาติแล้วพวกเขาย่อมเข้าสู่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งมนุษยชาติอย่างไม่ตั้งใจ และรับตำแหน่งหน้าที่ในชีวิตของตัวเอง ที่ซึ่งพวกเขาเริ่มทำให้ความรับผิดชอบต่างๆ ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นลุล่วงเพื่อประโยชน์แห่งการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง เพื่อประโยชน์แห่งอธิปไตยของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) มีอีกหนึ่งบทตอนนะคะ “แผนการและความเพ้อฝันของผู้คนนั้นสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่รู้หรือว่าจำนวนบุตรที่พวกเขามี รูปลักษณ์ ความสามารถ และอื่นๆ ของลูกๆ ของพวกเขานั้นหาใช่สิ่งที่พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจไม่ พวกเขาไม่รู้หรือว่าไม่มีส่วนใดในชะตากรรมของลูกๆ ของพวกเขาอยู่ในมือพวกเขา? มนุษย์ไม่ได้เป็นนายแห่งชะตากรรมของตัวพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาก็ยังหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนรุ่นเยาว์ พวกเขาไร้พลังอำนาจที่จะหลีกหนีชะตากรรมของตัวเอง ทว่าพวกเขากลับพยายามที่จะควบคุมชะตากรรมของลูกชายและลูกสาว พวกเขาไม่ได้กำลังประเมินตัวเองสูงเกินไปหรอกหรือ? นี่มิใช่ความโง่เขลาเบาปัญญาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์หรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) ใช่ค่ะ พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งและมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และชะตากรรมของผู้คนก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พ่อแม่แค่เลี้ยงลูกๆ ให้เติบโตเท่านั้น แต่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมลูกๆ ไม่ได้ ฉันเคยคิดเสมอว่าสามารถมีอิทธิพลและควบคุมชีวิตของลูกได้ คิดว่าแกจะพบกับความสุขได้ตราบใดที่ฉันอยู่เคียงข้าง และคิดว่าฉันสามารถนำให้แกก้าวเดินไปบนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้าได้ แต่พอคิดอีกที ฉันควบคุมชะตากรรมของตัวเองยังไม่ได้เลย แล้วจะไปควบคุมชะตากรรมของลูกได้ยังไง ฉันเคยคิดถึงข้อเท็จจริงที่ลูกฉันล้มป่วยและหมดสติไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และฉันช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้แกไม่ได้เลย ฉันทำได้แค่อยู่ใกล้และเฝ้าดู ทำได้แค่อ้อนวอนพระเจ้าให้ทรงพิทักษ์รักษาลูกฉัน ลูกฉันสะดุดล้มในระหว่างปีนเขาและเกือบจะตกจากหน้าผา ฉันทำอะไรไม่ได้เลย มีต้นไม้ยืนต้นตายที่อยู่ตรงขอบหน้าผาช่วยแกเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาด ข้อเท็จจริงพวกนี้ทำให้ฉันเข้าใจ ถึงแม้ฉันจะดูแลลูกของฉันในทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าแกจะไม่ป่วยหรือทนทุกข์จากความวิบัติ พอฉันได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ฉันก็รู้สึกโล่งอกมาก ฉันได้รู้ตัวว่าฉันควรวางชีวิตของลูกไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเชื่อฟังอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง

ต่อมา เมื่อสามีฉันเห็นว่าฉันยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้า เขาก็ตัดสินใจหย่ากับฉันค่ะ เขาขอให้ฉันย้ายออกจากบ้านโดยไม่เอาอะไรไปด้วย และปฏิเสธไม่ให้สิทธิ์เลี้ยงดูลูกกับฉัน เขาถึงกับอยากเอาสิทธิ์เยี่ยมไปจากฉันด้วย พอฉันถามเขาเรื่องการแบ่งทรัพย์สิน เขาพยายามจะใช้ถ้วยสเตนเลสตีฉันที่หัว ฉันใช้มือปกป้องตัวเอง แบบนี้ แต่ข้อมือของฉันก็ฟกช้ำ ทำให้ยกของหนักๆ ไม่ได้ไปสองเดือนเลยค่ะ และเขายังตีฉันที่หลังด้วยหลายครั้ง ทำให้ฉันไอหนักมากนานกว่าหนึ่งเดือน หลังจากทั้งหมดนั้น เขาก็ยึดเงินเก็บจากการทำงานของฉันไปหลายแสน เขาพูดว่า “คุณเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ถ้างั้นก็ไปให้พระเจ้าของคุณหาข้าวให้กิน หาเสื้อผ้าให้ใส่สิ” พอฉันเห็นสามีทำตัวไม่มีเหตุผลมากๆ ฉันก็ระลึกได้ถึงพระวจนะของพระเจ้า “หากมนุษย์กลายเป็นโกรธเกรี้ยวและบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อมีการกล่าวเปรยถึงพระเจ้า เขาได้เห็นพระเจ้าแล้วหรือไร? เขารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด? เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด ไม่เชื่อในพระองค์ และพระเจ้าไม่ได้ตรัสกับเขา พระเจ้าไม่เคยสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงต้องโมโห? พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าบุคคลผู้นี้ชั่ว? กระแสนิยมทางโลก การกิน การดื่ม และการแสวงหาความหรรษายินดี การไล่ตามคนเด่นคนดัง—ไม่มีสิ่งใดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จะทำให้ผู้คนเช่นนั้นรู้สึกทุกข์ร้อน อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกล่าวเปรยถึงคำว่า ‘พระเจ้า’ หรือถึงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมา นี่ไม่ประกอบขึ้นเป็นการมีธรรมชาติชั่วหรอกหรือ? การนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า นี่คือธรรมชาติชั่วของมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5) สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผยทำให้ฉันเห็นธรรมชาติอันชั่วร้ายที่ต้านทานพระเจ้าของสามีชัดเจน ฉันคิดย้อนกลับไป ในตอนแรกที่สามีฉันได้รู้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาทำตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างมาก และถึงกับฉีกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉัน ต่อมาเขาก็พยายามห้ามไม่ให้ฉันเชื่อในพระเจ้าและขอหย่ากับฉัน หลังจากที่ฉันถูกจับและได้ปล่อยตัว เขาก็ปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นนักโทษ ไม่ให้อิสระกับฉันเลย และมักจะทุบตีฉันอย่างโหดร้าย บางครั้งก็ดูเหมือนเขาอยากจะฆ่าฉัน พอเราหย่ากันแล้ว เขาก็ยึดสินทรัพย์ฉันไปทั้งหมด เพื่อบีบบังคับให้ฉันตกอยู่ในความสิ้นหวังและใช้ชีวิตของตัวเองไม่ได้ เป้าหมายของเขาคือการทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ตอนนี้ฉันได้เห็นธรรมชาติและแก่นแท้ของสามีฉันชัดเจน เขาคือมารที่เกลียดและต้านทานพระเจ้า การอยู่กับคนแบบนั้น เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ฉันคงจะไม่มีอิสระ คงจะถูกทุบตี และอยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ฉันคิดว่า แล้วนี่จะเป็นบ้านได้ยังไง? ไม่มีอะไรเลยนอกจากโซ่ตรวน นี่คือนรก

หลังจากการหย่าฉันก็ไม่ถูกสามีขัดขวางและควบคุมอีก ฉันสามารถไปที่การประชุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ปกติ และฉันก็รับหน้าที่ในคริสตจักรอย่างรวดเร็ว ฉันรู้สึกโล่งอกและโล่งใจอย่างสุดซึ้ง และขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยฉันให้รอดค่ะ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การยอมรับการตรวจตราช่วยเหลือฉันอย่างไร

โดย ตันยี ญี่ปุ่น ฉันรับผิดชอบ งานข่าวประเสริฐของสองทีม ไม่นานมานี้ พี่น้องชายหญิงบางคน โดนปลดเพราะไม่ทำงานจริง และมักจะ ทำหน้าที่แบบส่งๆ...

ฉันหยุดพูดโกหกอย่างไร

โดย มารีเนศ, ฝรั่งเศส ก่อนฉันจะยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันจะโกหกและประจบผู้คนโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะกลัวว่าถ้าบอกความจริง...

เส้นทางสู่การถอดหน้ากากออก

โดย ถง ซิ่น, เกาหลีใต้ เมื่อช่วงต้นปี ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมให้น้ำ รับผิดชอบงานให้น้ำของหลายทีม ตอนนั้น ฉันคิดว่า...

เจ้าควรมองหน้าที่ตนเช่นไร

โดย จงเฉิง ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่สุดของความเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ก็คือว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger