หลังแผ่นดินไหว
โดย เจน, ฟิลิปปินส์ ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระองค์เยอะมาก...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ใน ค.ศ. 2017 ฉันถูกเลือกให้รับตำแหน่งผู้นำ และต้องคอยดูแลงานของหลายคริสตจักร ฉันสังเกตว่าผู้นำคริสตจักรเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้เชื่อมานานกว่าฉัน น้องเกาและน้องซุนได้รับใช้ในฐานะผู้นำมาหลายปี และเราก็เคยร่วมงานกันที่งานชุมนุมในอดีต พวกเขาเลยพอรู้ว่าจะคาดหวังอะไรจากฉันได้ น้องหยวน ผู้นำจากอีกคริสตจักรหนึ่ง ได้ให้น้ำฉันหลังจากที่ฉันได้ยอมรับพระราชกิจแห่งพระเจ้า ในตอนนั้นฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหา เธอก็ช่วยฉันด้วยการสามัคคีธรรมในเรื่องความจริงเสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์การทำงานหรือระยะเวลาของความเชื่อ พวกเขาก็เหนือกว่าฉันทุกด้าน ดูเหมือนว่าถ้าฉันพยายามจะเข้าไปดูแลงานและช่วยพวกเขาแก้ปัญหา ฉันก็จะทำให้ตัวเองขายหน้าเปล่าๆ แต่ฉันก็รู้ด้วยว่าพระบัญชานี้เป็นการทรงยกชูของพระเจ้า ฉันไม่อาจปฏิเสธไม่รับหน้าที่นี้เพียงเพื่อจะรักษาหน้าหรือปกป้องสถานะฉันได้ ฉันต้องยอมรับและนบนอบ
ดังนั้นฉันจึงเขียนไปหาเหล่าผู้นำคริสตจักรเพื่อให้จัดการชุมนุม ให้ฉันได้ทำความคุ้นเคยกับคริสตจักรโดยเร็วที่สุด ปกติแล้วฉันเขียนจดหมายได้รวดเร็วมาก แต่ตอนที่เขียนถึงน้องเกานั้นกลับไม่ใช่เลย ฉันเอาแต่เขียนแล้วก็เขียนซ้ำใหม่ตรงบรรทัดเหล่านั้น แก้ไขมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันเอาแต่กังวลว่าจะไม่อาจสื่อสารได้ชัดเจน และเธออาจจะดูแคลนฉัน เมื่อถึงเวลาสำหรับการชุมนุม ฉันก็ยิ่งวิตกมากขึ้นไปอีก จิตใจฉันเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานา เราเคยจัดการชุมนุมด้วยกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน และถ้าฉันสามัคคีธรรมได้ไม่ดี หรือแก้ปัญหาให้พวกเขาไม่ได้ พวกเขาจะคิดกับฉันอย่างไร? พวกเขาจะพูดว่า “คุณเป็นใครถึงจะมาจัดการประชุมและพยายามช่วยแก้ปัญหาของเราด้วยวุฒิภาวะแบบนั้น?” ไม่ได้ ฉันต้องให้สามัคคีธรรมที่ดี เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า ฉันสามารถทำงานนี้ได้ ฉันพยายามทำตัวให้ดูสงบ และเริ่มเข้าไปคลุกคลีกับงานของพวกเขา ฉันได้จดบันทึกทุกปัญหาที่เกิดขึ้น และไปค้นหาพระวจนะของพระเจ้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านั้น แต่ด้วยการที่ฉันประหม่า เมื่อสามัคคีธรรมไปสักพักฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ในตอนนั้น ฉันสังเกตเห็นน้องเกาเริ่มมีใบหน้าเคร่งเครียด ฉันคิดกับตัวเองว่า “เพราะฉันไม่ได้แก้ปัญหาของพวกเขาด้วยสามัคคีธรรมของฉันหรือเปล่า?” เพื่อพยายามจะกู้หน้ากลับมา ฉันจึงบังคับให้ตัวเองสามัคคีธรรมต่อไป ในขณะที่ฉันพูดอยู่ ฉันก็คอยจับตาดูการแสดงออกของพวกเขา เพื่อดูว่าพวกเขาเริ่มหงุดหงิดหรือไม่ แค่พวกเขาเปลี่ยนท่าทางเล็กน้อย หัวใจฉันก็เต้นรัว เมื่อใกล้จะจบการชุมนุม ทุกคนก็เงียบ ฉันเป็นเพียงคนเดียวที่กำลังพูด มันรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่ง เหมือนการชุมนุมดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุด การชุมนุมก็จบลง ฉันมุ่งหน้ากลับบ้าน รู้สึกหมดแรงอย่างที่สุด ฉันรู้สึกเหมือนไปทำงานใช้แรงงานหนักมาทั้งวัน สิ่งเดียวที่อยากทำก็คือพักผ่อน แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่า วันรุ่งขึ้นฉันมีกำหนดการการชุมนุมกับน้องหยวนและพี่น้องหญิงคนอื่นๆ ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเขามีปัญหาที่ฉันแก้ไม่ได้ล่ะ พวกเขาจะคิดกับฉันอย่างไร? ไม่ได้ ฉันต้องเตรียมการล่วงหน้า ฉันหยิบรายงานเรื่องงานของคริสตจักรพวกเขาแล้วก็เริ่มอ่าน แต่ไม่ทันรู้ตัว ฉันก็ผล็อยหลับไป พอถึงสามทุ่ม ฉันก็ตื่นขึ้นมาทันที ฉันคิดในใจว่า “แปลกจัง ปกติฉันไม่หลับเร็วขนาดนี้” ฉันจึงไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอธิษฐานกับพระองค์ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์กดดันกับการทำหน้าที่นี้ให้ลุล่วงเหลือเกิน ข้าพระองค์กังวลเหลือเกินว่าจะถูกเหล่าผู้นำคริสตจักรดูแคลน หากข้าพระองค์ไม่ให้สามัคคีธรรมที่ดี ข้าพระองค์รู้สึกว่าถูกบีบคั้นเหลือเกิน และข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร ข้าพระองค์จึงอธิษฐาน ขอพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำทางให้ข้าพระองค์ได้รู้จักตัวเองด้วยเถิด”
จากนั้นฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “พวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนทุกข์ทนจากปัญหาหนึ่งซึ่งพบอยู่ทั่วไป กล่าวคือ เมื่อพวกเขาไม่มีสถานะ เมื่อพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิงธรรมดา พวกเขาไม่ทำท่าวางก้ามเมื่อมีปฏิสัมพันธ์หรือพูดกับผู้ใด อีกทั้งพวกเขาจะไม่รับเอาลีลาหรือน้ำเสียงเฉพาะบางอย่างมาใช้ในวาทะของพวกเขา พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาสามัญและปกติ และไม่จำเป็นต้องสร้างบรรจุภัณฑ์ให้ตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่รู้สึกถึงความกดดันอันใดทางจิตใจ และสามารถสามัคคีธรรมได้อย่างเปิดเผยและจากหัวใจ พวกเขาสามารถเข้าหาได้และง่ายที่จะปฏิสัมพันธ์ด้วย ผู้อื่นรู้สึกว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีมาก อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาบรรลุสถานะ พวกเขาก็กลายเป็นสูงส่งและมีฤทธิ์ ราวกับไม่มีผู้ใดสามารถเอื้อมถึงพวกเขาได้ พวกเขารู้สึกว่าพวกเขานั้นสมควรที่จะได้รับความนับถือ และว่าพวกเขาและผู้คนธรรมดานั้นมาจากต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน พวกเขาดูแคลนผู้คนธรรมดาและหยุดสามัคคีธรรมกับผู้อื่นอย่างเปิดเผย เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยอีกต่อไป? พวกเขารู้สึกว่าตอนนี้พวกเขามีสถานะ และเป็นผู้นำ พวกเขาคิดว่าผู้นำต้องมีภาพลักษณ์เฉพาะอย่างหนึ่ง ต้องสูงส่งกว่าผู้คนธรรมดาเล็กน้อย และมีวุฒิภาวะมากกว่าและมีความสามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้น พวกเขาเชื่อว่าเทียบกับผู้คนธรรมดาแล้ว ผู้นำต้องมีความอดทนมากกว่า มีความสามารถที่จะทนทุกข์และสละมากกว่า และมีความสามารถที่จะทานทนการทดลองใดๆ พวกเขาถึงกับคิดว่าผู้นำไม่สามารถร้องไห้ได้ ไม่สำคัญว่าสมาชิกครอบครัวของพวกเขาอาจตายไปกี่คน และคิดว่าหากพวกเขาต้องร้องไห้ พวกเขาก็ต้องทำเช่นนั้นอย่างลับๆ เพื่อไม่ให้ผู้ใดสามารถมองเห็นข้อบกพร่อง ตำหนิหรือความอ่อนแอใดๆ ในตัวพวกเขา พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าผู้นำไม่สามารถปล่อยให้ผู้ใดรู้ว่าพวกเขาได้กลายเป็นลบไปแล้วหรือไม่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องซ่อนเร้นสิ่งต่างๆ เช่นนี้ทั้งหมด พวกเขาเชื่อว่านี่คือวิธีที่ผู้ที่มีสถานะควรกระทำตัว เมื่อพวกเขาบังคับตนเองถึงขอบข่ายนี้ สถานะไม่ได้กลายเป็นพระเจ้าของพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาไปแล้วกระนั้นหรือ? และเมื่อเป็นดังนี้ พวกเขายังคงครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติหรือไม่? เมื่อพวกเขามีแนวคิดเหล่านี้—เมื่อพวกเขาวางตัวเองไว้ในกรอบนี้ และแสดงละครประเภทนี้—พวกเขาไม่ได้กลายเป็นลุ่มหลงในสถานะไปแล้วหรอกหรือ?” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดเผยสภาวะของฉันในตอนนั้นได้อย่างหลักแหลม ฉันพบว่าการจัดการชุมนุมเหล่านี้มันช่างเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ทรมาน เพราะฉันห่วงเรื่องเกียรติและสถานะมากเกินไป นึกย้อนกลับไปตอนก่อนที่ฉันจะถูกเลือกเป็นผู้นำ ฉันเคยเข้าร่วมการชุมนุมกับน้องเกาและพี่น้องหญิงคนอื่นได้อย่างเต็มกำลัง ฉันสามัคคีธรรมมากเท่ากับที่ฉันเข้าใจเท่านั้น แล้วก็เชื่อมั่นว่าจะไม่มีใครดูแคลนว่าสามัคคีธรรมฉันตื้นเขิน แค่เพราะฉันเป็นผู้เชื่อมาเพียงไม่นาน แต่หลังจากการทำหน้าที่ในฐานะผู้นำให้ลุล่วง ฉันรู้สึกว่าในเมื่อฉันมีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขา พวกเขาจะไม่เคารพฉัน ถ้าหากฉันไม่สามัคคีธรรมให้ดี และแก้ปัญหาให้พวกเขาไม่ได้ ฉันขวนขวายเพื่ออวดตัวและอ้างสิทธิ์ตัวเองในการชุมนุม เพื่อให้คนอื่นยกย่อง และพูดว่าฉันคู่ควรกับตำแหน่ง ฉันไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขนาดนั้น แต่ฉันกลับไม่เต็มใจเปิดเผยข้อบกพร่องของตัวเอง ฉันเอาแต่ดึงดันเดินหน้าต่อไป ฉันวางตัวเองอยู่เหนือผู้อื่น โดยคิดว่าเหล่าผู้นำควรจะมีวุฒิภาวะเฉพาะลักษณะหนึ่งและดีกว่าคนอื่นๆ ในทุกๆ ด้าน ฉันซ่อนข้อด้อยและความบกพร่องทั้งหมดของฉันไว้ ไม่ยอมเปิดใจแสวงหาสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ และแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ ทั้งหมดเป็นเพราะความกลัวที่จะถูกดูแคลน ฉันนำเอาความทุกข์เหล่านี้มาสู่ตัวเอง เพราะฉันลุ่มหลงในสถานะมากเกินไป พระเจ้าทรงให้โอกาสฉันในการฝึกฝนตัวเอง ด้วยการยกชูฉันด้วยตำแหน่งผู้นำนี้ ทำให้ฉันได้เรียนรู้วิธีสามัคคีธรรมความจริงและแก้ปัญหา แต่ฉันไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่าจะทำหน้าที่ให้ลุล่วงอย่างดีได้อย่างไร และจะช่วยคนอื่นแก้ประเด็นปัญหาของพวกเขาได้อย่างไร ฉันกลับมองหน้าที่ของฉันเป็นโอกาสในการส่งเสริมตัวเอง เป็นโอกาสทำให้คนอื่นยกย่องฉัน ฉันถึงกับปั้นหน้าเท็จขึ้นเพื่อหลอกลวงเหล่าพี่น้องชายหญิง ฉันไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย ช่างไม่ละอายใจเสียบ้างเลย ฉันจึงไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอธิษฐานต่อพระองค์ด้วยความสำนึกผิด โดยขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ละทิ้งโซ่ล่ามของความมีหน้ามีตาและสถานะ
หลังจากอธิษฐาน ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ผู้คนบางคนคิดอยู่เสมอว่าเมื่อผู้คนมีสถานะ พวกเขาควรปฏิบัติตนเสมือนเป็นข้าราชการให้มากขึ้น ว่าผู้อื่นจะคำนึงถึงพวกเขาว่าสำคัญมากและนับถือพวกเขาก็ต่อเมื่อพวกเขาพูดในหนทางเฉพาะหนึ่ง หากเจ้ามีความสามารถที่จะตระหนักได้ว่าหนทางนี้ของการคิดนั้นผิด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้าและหันหลังให้กับสิ่งทั้งหลายฝ่ายเนื้อหนัง จงอย่าเดินบนเส้นทางนั้น เมื่อเจ้ามีความคิดต่างๆ เช่นนี้ เจ้าก็ต้องออกจากสภาวะนั้น และต้องไม่เปิดโอกาสให้ตัวเจ้าเองติดหนึบอยู่กับมัน ทันทีที่เจ้าติดหนึบอยู่กับมัน และความคิดและทรรศนะเหล่านั้นก่อตัวขึ้นภายในตัวเจ้า เจ้าก็จะปลอมแปลงตัวเจ้าเอง เจ้าจะสร้างบรรจุภัณฑ์ให้ตัวเจ้า โดยแน่นหนาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพื่อที่จะไม่มีใครมีความสามารถที่จะมองเข้ามาเห็นเจ้าหรือได้รับสำนึกถึงหัวใจและจิตใจของเจ้า เจ้าก็จะพูดกับผู้อื่นราวกับว่าพูดมาจากข้างหลังหน้ากาก พวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็นหัวใจของเจ้า เจ้าควรเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ผู้คนอื่นๆ เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า ปรับทุกข์กับผู้คน และใกล้ชิดพวกเขาให้มากขึ้น เจ้าควรหันไปจากความชื่นชอบทางกายภาพ—และแน่นอนที่สุดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติกับการนี้ ทั้งนี้ นี่ก็เป็นเส้นทางที่ใช้การได้เช่นกัน ไม่สำคัญว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับ เจ้าต้องทบทวนปัญหาทั้งหลายในการคิดของตัวเจ้าเองก่อนเป็นอันดับแรก หากความเอนเอียงของเจ้ายังคงเป็นการแสร้งสวมบทบาทหรือการเสแสร้งแกล้งทำบางชนิด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้าเร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะสามารถทำได้ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ต้องการปลอมแปลงตัวข้าพระองค์เองอีกแล้ว และกำลังจะเข้าร่วมในอุบายและการหลอกลวงอีกครั้ง ข้าพระองค์ช่างเป็นมารยิ่งนัก! ข้าพระองค์ทำให้พระองค์ทรงรังเกียจข้าพระองค์เหลือเกิน! ขณะนี้ข้าพระองค์ขยะแขยงตัวข้าพระองค์เองเหลือเกิน โปรดทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ ตำหนิข้าพระองค์ และลงโทษข้าพระองค์ด้วยเถิด’ เจ้าต้องอธิษฐาน และนำท่าทีของเจ้าออกไปสู่ความสว่าง การนี้เกี่ยวพันกับวิธีที่เจ้าปฏิบัติ การปฏิบัตินี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ด้านใดของผู้คนทั่วไป? การปฏิบัตินี้มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความคิดและแนวคิด และความตั้งใจทั้งหลายที่ผู้คนได้เปิดเผยเกี่ยวกับประเด็นปัญหาหนึ่ง รวมทั้งเส้นทางที่พวกเขาเดินและทิศทางที่พวกเขาไป กล่าวก็คือ เมื่อเจ้ามีความคิดที่จะเสแสร้งแกล้งทำ จงพึ่งพาพระเจ้าในการเปิดโปงความคิดเหล่านั้น และในการชำแหละความคิดเหล่านั้น และในการดูแลควบคุมความคิดเหล่านั้น เมื่อเจ้าชำแหละความคิดเหล่านั้นและดูแลควบคุมความคิดเหล่านั้นในหนทางนี้ ก็ย่อมจะไม่มีประเด็นปัญหาอันใดอยู่ในสิ่งที่เจ้าทำอีก เพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าย่อมจะมีอันขุ่นข้องหมองมัวไปแล้ว และจะไม่ปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐานอีกต่อไป” (“เพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา คนเราต้องมีเส้นทางการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การอ่านพระวจนะจากพระเจ้ายังทำให้ฉันได้เส้นทางแห่งการปฏิบัติด้วย ฉันอาจจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำ แต่วุฒิภาวะของฉันไม่ได้เปลี่ยนไป มันไม่ใช่ว่าการทำหน้าที่นี้ให้ลุล่วงจะหมายความว่า อยู่ๆ ฉันจะเข้าใจความจริงทุกอย่าง และสามารถหยั่งถึงทุกสิ่ง และแก้ปัญหาทั้งหมดได้ ฉันต้องเผชิญหน้ากับความบกพร่องของฉัน ถ้าฉันแก้ปัญหาไหนไม่ได้ ฉันก็ควรจะยอมรับอย่างซื่อสัตย์ว่าฉันไม่เข้าใจ จากนั้นฉันก็จะสามารถแสวงหาความจริงร่วมกับคนอื่นเพื่อแก้ปัญหาได้ ในการชุมนุมครั้งต่อมา เหล่าผู้นำคริสตจักรได้ยกเอาปัญหาที่พวกเขาติดอยู่ขึ้นมาเพื่อสามัคคีธรรม ตอนนั้นฉันเป็นกังวลนิดหน่อย ถ้าฉันไม่สามารถแก้ปัญหาของพวกเขาได้ พวกเขาจะไม่เคารพฉันหรือเปล่า? ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงแก้ไขทัศคติของฉัน และอนุญาตให้ฉันเผชิญหน้ากับความบกพร่องของฉันอย่างสงบ ต่อให้พวกเขาเห็นความสามารถที่แท้จริงของฉัน แล้วก็ไม่เคารพฉันจริงๆ ฉันก็ยังต้องปฏิบัติความจริง เรื่องนั้นไม่เป็นไร ขอเพียงแค่เราแก้ปัญหาทั้งหมดของเราได้ และงานของเราผ่านไปได้อย่างราบรื่นก็พอ หลังจากนั้น ฉันก็จะสามัคคีธรรมเท่าที่ฉันเข้าใจเท่านั้น และถ้าฉันเกิดปัญหาในการแก้ไขพวกมัน ฉันก็จะพูดอย่างตรงไปตรงมากับเหล่าพี่น้องชายหญิง และเราก็จะแสวงหาทางแก้ไขด้วยกัน ฉันรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากจากการปฏิบัติเช่นนี้ ฉันค่อยๆ เลิกยึดติดกับหน้าตาและสถานะ และฉันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างมากในการชุมนุม ฉันสามารถรู้สึกได้อยู่บ่อยครั้งว่าพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและนำทางฉัน และฉันสามารถระบุปัญหาบางส่วนในงาน และหาหนทางแก้ปัญหาเหล่านั้นผ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ ฉันรู้สึกมั่นคงและสงบโดยการทำหน้าที่ของฉันด้วยหนทางนี้
ต่อมา ก็เกิดเรื่องอื่นๆ ขึ้นตามมา ซึ่งทำให้ฉันได้ทบทวนเรื่องของตัวเองในหนทางที่ลึกยิ่งขึ้น ใน ค.ศ. 2019 ฉันได้รับหน้าที่บรรณาธิการในคริสตจักร เราจำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มศึกษาเรื่องหลักธรรมที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วยเหล่าพี่น้องชายหญิงจากหลายคริสตจักร ฉันไม่เคยจัดตั้งกลุ่มศึกษาที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน และฉันรู้สึกกดดันอย่างมาก มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีก่อนหินมาทับอยู่บนอกฉัน ฉันกังวลว่าฉันจะเสียหน้าถ้าฉันไม่สามารถให้สามัคคีธรรมที่ชัดเจนได้ มีครั้งหนึ่ง ผู้นำกลุ่มขอให้ฉันไปเข้าร่วมสามัคคีธรรมในกลุ่มศึกษาที่กำลังจะมีขึ้น มันเหมือนหัวใจขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ นี่ไม่ใช่การชุมนุมเล็กที่มีคนแค่ไม่กี่คน ถ้าหากฉันไม่สามารถให้สามัคคีธรรมที่ชัดเจนต่อหน้าเหล่าพี่น้องชายหญิงมากขนาดนี้ล่ะ? พวกเขาจะคิดกับฉันอย่างไร? พวกเขาจะสงสัยหรือเปล่าว่าคนที่มีความสามารถระดับฉันได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำหน้าที่บรรณาธิการให้ลุล่วงได้อย่างไร? ยิ่งฉันคิดมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งวิตกมากขึ้น ก่อนจะถึงการชุมนุม ฉันอ่านหลักธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันบีบเค้นสมองทุกส่วน พยายามคิดหาหนทางที่ชัดเจนและเป็นระเบียบที่สุดที่จะสามัคคีธรรมหลักธรรมเหล่านั้น ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจฉันไม่หยุดหย่อน ขอให้พระองค์ทรงนำสันติภาพและความสงบมาสู่หัวใจของฉัน แต่เมื่อถึงเวลาของการชุมนุม ฉันก็ยังคงรู้สึกประหม่าอย่างมาก ฉันคอยแต่นับเวลาถอยหลัง จนกระทั่งถึงคราวที่ฉันจะต้องสามัคคีธรรม ฉันไม่อยู่ในสภาพที่จะทบทวนเรื่องหลักธรรมใดๆ ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันผ่านการชุมนุมนั้นมาได้อย่างไร ฉันรู้สึกถึงแรงกดดันปริมาณมหาศาล ฉันแค่ไม่อยากจะจัดตั้งกลุ่มศึกษาแบบนั้น ฉันคิดกับตัวเองว่า “หรือฉันควรจะยกเลิกกลุ่มศึกษาไปทั้งหมด และให้ทุกคนไปศึกษากันเอง แบบนั้นฉันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการให้สามัคคีธรรมที่ไม่ดีและทำให้ตัวเองต้องอับอายต่อหน้าทุกคนด้วย” ฉันไปหาผู้นำและบอกเขาว่ากลุ่มศึกษาในรูปแบบนี้มันไม่มีประสิทธิภาพ สุดท้ายมันก็ถูกยกเลิกไป ไม่มีใครสงสัยเรื่องเจตนาอันน่ารังเกียจของฉัน แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรอยู่ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงคิดค้นสถานการณ์มาให้ฉัน พี่น้องหญิงคนหนึ่งถามฉันหลายครั้งว่า “ทำไมคุณถึงไม่จัดตั้งกลุ่มศึกษาให้เหล่าพี่น้องชายหญิงเพื่อศึกษาหลักธรรมล่ะคะ?” เธอยังบอกด้วยว่าอยากเข้าร่วมกลุ่มศึกษาแบบนั้นมากๆ พอได้ยินเธอพูดแบบนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย ฉันเป็นคนดูแลงานบรรณาธิการของคริสตจักร มันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องนำเหล่าพี่น้องชายหญิงในการศึกษาหลักธรรม แต่ฉันยกเลิกกลุ่มศึกษาเพื่อรักษาหน้าและปกป้องสถานะของตัวเอง โดยไม่มีแม้แต่น้อยที่จะนึกถึงความต้องการของคนอื่น หรือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร นี่คือการที่ฉันทำร้ายเหล่าพี่น้องชายหญิงมิใช่หรือ? ฉันช่างเห็นแก่ตัวและต่ำช้ายิ่งนัก!
ต่อมาฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าที่ช่างดลใจ ซึ่งพระองค์เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ ด้วยการให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสถานะและความมีหน้ามีตา ที่จริงแล้วฉันกำลังเปิดเผยถึงอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของฉันเอง พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “ความทะนุถนอมที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีต่อสถานะและเกียรติยศนั้นไปไกลเกินกว่าความทะนุถนอมอย่างเดียวกันของผู้คนปกติ และเป็นบางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา นั่นไม่ใช่ความสนใจชั่วคราวหรือผลกระทบชั่วครู่ชั่วยามจากสิ่งรอบตัวของพวกเขา—นั่นเป็นบางสิ่งภายในชีวิตของพวกเขา กระดูกของพวกเขา และดังนั้นนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของพวกเขา นี่กล่าวได้ว่าในทุกสิ่งทุกอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาก็คือสถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง ไม่ใช่อะไรอื่น สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน? แล้วกับเกียรติยศของฉันล่ะ? การทำเช่นนี้จะให้เกียรติยศแก่ฉันหรือไม่? นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?’ นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจะไม่เพียรพยายามเป็นอย่างอื่น” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) เมื่อฉันเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าความหมกมุ่นในช่วงหลังของฉันเรื่องความมีหน้ามีตาและสถานะ เป็นการสำแดงอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ของฉัน ในขณะที่กำลังจัดตั้งกลุ่มศึกษา ฉันกังวลว่าฉันไม่เข้าใจหลักธรรมมาดี และคนอื่นจะดูแคลนฉันถ้าฉันสามัคคีธรรมไม่ดี ก่อนการประชุม ฉันอ่านหลักธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นทุกข์ทรมานกับการหาทางที่ดีที่สุดในการแสดงตัวเองออกไป แต่ความพยายามขนาดนั้น ไม่ได้ทำเพื่อให้เข้าใจความจริงและหลักธรรมหรือเพื่อช่วยเหล่าพี่น้องชายหญิงให้เรียนรู้สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีประโยชน์ แต่เป็นการสร้างภาพตัวฉันเองว่าเป็น “มืออาชีพที่มีความสามารถ” และเพื่อให้ได้ความเลื่อมใสจากคนอื่น ฉันให้ความสำคัญกับความมีหน้ามีตาและสถานะมากจนเกินไป และคิดแค่เพียงว่าการชุมนุมนั้นเป็นโอกาสในการสร้างความมีหน้ามีตาของฉัน ฉันรู้อยู่เต็มอกว่ามันเป็นวิธีการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ แต่ฉันกลัวจะเสียหน้าด้วยการสามัคคีธรรมที่ไม่ดี ฉันเลยบ่ายเบี่ยงหน้าที่ของฉัน และถึงขั้นใช้ข้ออ้างในการยกเลิกกลุ่มศึกษา ฉันใช้เวลาทั้งวันและทุกๆ วัน คิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เสียหน้า และจะทำอย่างไรให้คนอื่นเลื่อมใส ฉันให้ความสำคัญแก่ประโยชน์ส่วนตัวของฉันเหนือสิ่งอื่นใด พระบัญชาของพระเจ้าไม่ได้อยู่ในหัวใจฉันเลย และฉันไม่ได้พิจารณาว่าการกระทำแบบใดจะส่งผลดีที่สุดต่อเหล่าพี่น้องชายหญิงของฉัน ซึ่งจะส่งผลดีที่สุดสำหรับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันช่างเห็นแก่ตัวและต่ำช้าเสียจริง! ภายนอกฉันอาจจะไม่ได้ทำความชั่วที่ชัดเจนใดๆ เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ แต่ในแก่นแท้นั้น อุปนิสัยของฉันไม่ได้ต่างกันเลย ฉันกำลังเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ถ้าฉันมีสถานะจริง ฉันก็คงทำตัวเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์แน่นอน ขัดขวางและขัดจังหวะงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อสนองผลประโยชน์ของตัวเอง ฉันคงจะจบลงด้วยการทำความชั่วทุกๆ อย่าง และถูกพระเจ้ากำจัดทิ้งไปแล้ว เมื่อฉันได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกกลัวและเสียใจเหลือเกิน ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ซาตานทำให้ข้าพระองค์เสื่อมทรามไปมากนัก ข้าพระองค์พยายามปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะมาตลอด และไม่ได้อุทิศหรือรับผิดชอบในหน้าที่ของข้าพระองค์เลย ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากกบฏต่อพระองค์มากไปกว่านี้แล้ว ข้าพระองค์อยากจะกลับใจ ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด!”
ในการแสวงหาของฉัน ฉันเจอวิดีโออ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จเป็นผู้อื่นในวิถีทางใดเลย ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน การเรียนรู้วิธีเปิดกว้างตัวเองคือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ความจริง และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย การที่จะเดินก้าวแรกนี้มีนัยสำคัญว่า เจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังสิ่งใด ทำการดัดแปลงแก้ไขใดๆ หรือนำเล่ห์เหลี่ยมใดมาใช้ เพื่อประโยชน์ของความมีหน้ามีตา ความนับถือตนเอง และสถานะของเจ้าเอง และนี่ยังประยุกต์ใช้กับความผิดพลาดอันใดที่เจ้าได้ทำอีกด้วย ทั้งนี้ งานที่ไร้จุดหมายเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นเลย หากเจ้าไม่ทำสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะดำรงชีวิตอย่างง่ายดายและไม่เหน็ดเหนื่อย และอยู่ในความสว่างอย่างครบบริบูรณ์ มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเอาชนะพระทัยจนได้รับการสรรเสริญของพระเจ้า” (“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าทรงหวังให้เราทุกคนปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อน ข้อบกพร่อง หรือการแสดงออกถึงความเสื่อมทรามของเรา เราควรจะเปิดเผยเรื่องพวกนี้ทั้งหมด เราไม่ควรเก็บสิ่งต่างๆ ไว้ข้างในหรืออำพรางตัวเองเพื่อคนอื่นหรือเพื่อพระเจ้า เราต้องยินดีที่จะนบนอบคำพูดและการกระทำของเราทั้งหมดต่อการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า เมื่อนั้นเราจึงจะได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้า ในความจริงแล้ว ไม่ว่าฉันจะอำพรางตัวเองอย่างไร ฉันก็ไม่สามารถเปลี่ยนวุฒิภาวะของตัวเองได้ ต่อให้ฉันสามารถหลอกเหล่าพี่น้องชายหญิงให้ยกย่องฉันได้ ฉันก็หลอกพระเจ้าไม่ได้ ฉันควรจะนบนอบอย่างเปิดเผยและเต็มที่ต่อการพิจารณาของพระเจ้า และเป็นคนที่ซื่อสัตย์
ต่อมา เราก็จัดการชุมนุมเพื่อศึกษากับเหล่าพี่น้องชายหญิงจากหลายๆ คริสตจักรเพิ่มขึ้น ฉันอยากให้การชุมนุมเหล่านี้มีประสิทธิภาพและเป็นสิ่งที่แท้จริง ช่วยเหลือเหล่าพี่น้องชายหญิงในแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ดังนั้นทุกครั้งที่ฉันเริ่มเตรียมตัวศึกษาข้อเท็จจริง ฉันก็จะอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างตั้งใจ และขอการนำทางจากพระองค์ ฉันจะยกคำถามใดๆ ก็ตามที่ฉันไม่แน่ใจ มาคุยที่กลุ่มเพื่อสนทนาร่วมกัน ในการชุมนุมก่อนหน้านี้ ฉันจะบีบเค้นสมองเพื่อคิดหาทางที่จะทำให้คนอื่นมายกย่องฉัน เพียงเพื่อจะจบลงด้วยความรู้สึกประหม่าและหมดแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ฉันไม่ได้แสวงหาสถานะ หรือพยายามจะรักษาหน้าอีกแล้ว และฉันรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระมากขึ้นเยอะค่ะ ฉันยังได้รู้อีกว่า เพื่อจะให้การชุมนุมนั้นมีประสิทธิภาพ เราต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วม และสิ่งที่เป็นกุญแจจริงๆ ก็คือความกระจ่างและการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อฉันเข้าหาการชุมนุมแต่ละครั้งด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง ฉันรู้สึกถึงการนำทางและการให้ความรู้แจ้งของพระเจ้า บางครั้ง ตอนที่ทุกคนคอยเสริมความคิดของแต่ละคนในช่วงสามัคคีธรรม ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองได้รับมาจากการชุมนุมเยอะมาก ด้วยประสบการณ์นี้ ฉันรู้สึกอย่างแท้จริงว่าการไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรตินั้นช่างโง่เง่าเหลือเกิน ฉันมีแต่จะทรมานตัวเอง และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าก็ทรงรังเกียจที่ฉันไม่ทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงด้วย มีเพียงการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การแสวงหาเพื่อเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง การเป็นผู้ซื่อสัตย์ และเป็นผู้ที่ทำหน้าที่อย่างตั้งใจให้ลุล่วงเท่านั้น ฉันจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและไม่ต้องห่วงสิ่งใดได้
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย เจน, ฟิลิปปินส์ ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระองค์เยอะมาก...
โดย Melinda, USA ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2017 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ตอนที่ฉันเริ่มชุมนุมหรือหารือกับพี่น้องครั้งแรก...
โดย เฉินหย่วน ประเทศจีน เดือนกันยายน ปี 2018 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ฉันมีความสุขมากเลยตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ที่เป็นอย่างนี้...
โดย หยางฟาน, ประเทศจีน ปี 2019 ฉันเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ ฉันรู้ว่านี่คือการทรงยกชูของพระเจ้า ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดี จากนั้น...