การรายงานผู้นำเทียมเท็จ: การดิ้นรนส่วนบุคคล

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย กาน เสี่ยว, ประเทศจีน

เดือนสิงหาคมปีก่อน ฉันถูกย้ายไปที่คริสตจักรอื่น หลังจากที่ถูกปลดจากตำแหน่ง ในการชุมนุมครั้งแรกของฉัน ฉันสังเกตว่าพี่เหลียงมาชุมนุมสายไปหนึ่งชั่วโมง พี่ถาน ผู้นำคริสตจักรก็อยู่ที่นั่นด้วย ฉันคิดว่า “ฉันเคยได้ยินเหล่าพี่น้องชายหญิงพูดกันว่า พี่เหลียงนั้นสะเพร่าและทำตามอำเภอใจในหน้าที่ แล้วก็มาชุมนุมสายตลอดทุกครั้ง การชุมนุมวันนี้เขามาสายมากๆ ดังนั้นพี่ถานจึงควรสามัคคีธรรมกับเขาถึงปัญหานี้” แต่เธอก็ดูไม่สนใจ และไม่พูดอะไรเลย ในระหว่างการชุมนุม พี่ชายอีกคนหนึ่งพูดว่าเขาถูกเรื่องเงินบีบบังคับ และเขาก็ดูเศร้ามาก พวกเราบางคนพบพระวจนะของพระเจ้าบางส่วน แล้วก็นำมาเชื่อมโยงกับความเข้าใจและประสบการณ์ของเรา แต่พี่ถาน ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักร กลับไม่แบ่งปันสามัคคีธรรมใดๆ เลย เธอไม่มีความรับผิดชอบ แต่กลับแสร้งทำไปแกนๆ โดยไม่ช่วยเหลือปัญหาของใครเลย ฉันอยากจะพูดเรื่องนี้กับเธอ แต่แล้วพอคิดว่านี่เป็นการชุมนุมครั้งแรกของฉัน ฉันอาจจะยังมองไม่เห็นภาพรวม ฉันเลยคิดว่าควรจะรอดูไปก่อน ฉันรู้สึกตกตะลึงที่ได้เห็นว่าในการชุมนุมครั้งต่อไปก็เป็นเหมือนเดิมไม่มีผิด บางครั้งเธอก็จบการชุมนุมอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าไปบางส่วน และไม่ได้ตั้งใจในการสามัคคีธรรมเลย ฉันมาคิดดูว่า ส่วนหลักในหน้าที่ของผู้นำคือ นำทางเหล่าพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงและเข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า แต่พี่ถานก็ไม่ยอมทำหน้าที่นำสามัคคีธรรม และไม่จัดการปัญหาของคนอื่น นั่นคือการละเลยต่อหน้าที่มิใช่หรือ? ฉันอยากจะพูดอะไรออกไปบ้าง แต่ฉันก็กลัวว่าเธอจะไม่ยอมรับ กลัวเธอจะพูดว่าฉันเป็นคนโอหัง ว่าฉันควรทบทวนตัวเองหลังจากที่สูญเสียหน้าที่มา แทนที่จะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น พอคิดเช่นนี้ ฉันก็ตัดสินใจ ว่าจะลืมเรื่องนี้ไป และตั้งใจกับเรื่องของตัวเอง

จากนั้นหนึ่งเดือน ฉันก็ได้ทำงานในทีมบรรณาธิการ และได้รับมอบหมายให้เข้าการชุมนุมอีกสองกลุ่ม ฉันแปลกใจมากที่ได้รู้ว่าสมาชิกในการชุมนุมเหล่านั้น ไม่ได้ตั้งใจสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้า หรือเรื่องประสบการณ์ของตัวเองด้วย บางครั้งพวกเขากลับแค่คุยกันธรรมดา ฉันรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของคริสตจักรนั้น ขึ้นตรงกับผู้ที่เป็นผู้นำคริสตจักร ซึ่งหากยังเป็นอยู่ต่อไป มันจะทำให้การเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงต้องเสียหาย ฉันจึงยกเรื่องนี้ไปคุยกับพี่ถาน เธอต่อต้านโดยสิ้นเชิง ถึงกับยืนกรานว่าคุณภาพชีวิตของคริสตจักรนั้น เป็นปัญหาของเหล่าพี่น้องชายหญิง ฉันคิดว่าเธอไม่ทบทวนตัวเองเลย แต่กลับยกความรับผิดชอบไปให้กับเหล่าสมาชิกของคริสตจักร ถึงตัวเองจะเป็นผู้นำคริสตจักร แต่กลับไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมฟังข้อเสนอแนะของเหล่าพี่น้องชายหญิง และไม่ยอมนำชีวิตคริสตจักรมาเป็นภาระของตัวเอง เธอจะนำคนอื่นให้เข้าใจความจริง หรือเข้าไปสู่ความจริง ความเป็นจริงได้อย่างไร? มันมีแต่จะทำร้ายเหล่าพี่น้องชายหญิงค่ะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองควรจะคุยเรื่องนี้กับเธออีกครั้ง แต่ขณะที่ฉันกำลังจะพูด ฉันก็เริ่มกังวล ครั้งก่อน เธอไม่เพียงแค่ไม่ยอมรับ แต่ถึงกับออกอาการด้วย ฉันพูดซ้ำไปมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? เธอเป็นผู้นำคริสตจักร ดังนั้นถ้าฉันคุยกับเธออีกครั้ง เธออาจจะพูดว่าฉันล้ำเส้น และอาจจะเกิดไม่พอใจฉันได้ ฉันคิดว่าตัวเองควรจะเก็บเงียบเอาไว้ ตอนนั้นฉันรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เลย แต่ท้ายที่สุด ฉันก็ตัดสินใจไม่พูดอะไร หลังจากนั้นไม่กี่วัน พี่ถานบอกฉันว่า เธอจะจัดการกับเหล่าพี่น้องชายหญิงในการชุมนุม แล้วก็อธิบายอย่างชัดเจนว่าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร พอได้ยินฉันก็ประหลาดใจ ทำไมเธอถึงขาดความตระหนักในตัวเองขนาดนี้? ชีวิตคริสตจักรไม่ถูกบ่มวินัย เพราะว่าเธอไม่รับผิดชอบและสะเพร่าในฐานะผู้นำคริสตจักร ทำไมเธอถึงเอาเรื่องนี้ไปโทษคนอื่น? แค่การตัดแต่งและการจัดการกับคนอื่นโดยไม่มีสามัคคีธรรมในความจริง มันไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไรเลย ฉันอยากพูดถึงปัญหาของเธออีกครั้ง แต่พอได้เห็นความโกรธเคืองของเธอ ฉันคิดว่าเธอคงรับเรื่องนี้ไม่ได้ ฉันคงจะถูกปลดจากหน้าที่ แล้วฉันจะพูดถึงปัญหานี้ให้มันได้อะไรขึ้นมาล่ะ? อีกอย่างคือเราก็ต้องเจอกันประจำอยู่แล้ว ถ้าเธอรู้สึกขุ่นเคือง มันมีแต่จะทำให้ฉันลำบากเวลาอยู่ในคริสตจักร จากนั้น ถ้าเธอไม่ให้ฉันทำหน้าที่ ฉันเกรงว่าฉันอาจสูญเสียโอกาสในความรอด ฉันจึงตัดสินใจไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ก้มหน้าก้มตาต่อไป ใช้ชีวิตของคริสตจักร และทำหน้าที่ของตัวเอง

ต่อมาฉันก็ไปชุมนุมกับกลุ่มข่าวประเสริฐ พวกเขาพูดกันว่า ตอนที่พี่ถานดูแลงานข่าวประเสริฐ เธอกลับไม่ได้มาชุมนุมกับพวกเขาถึงพักใหญ่ พวกเขายังบอกด้วยว่าไม่สามารถจัดการปัญหาของผู้ที่มาใหม่ได้ ส่งผลให้ผู้ที่มาใหม่บางส่วนเลิกมาเข้าร่วมชุมนุม ฉันคิดว่า “งานข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่พี่ถานไม่ติดตามปัญหาของพวกเขา ไม่ยอมทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้นเลย แบบนั้นมันไม่มีความรับผิดชอบจริงๆ! พี่ถานมีส่วนสำคัญกับการที่ผู้มาใหม่ถอดใจ เพราะพวกเขาไม่ได้ถูกให้น้ำหรือบำรุงเลี้ยงเลย!” ฉันรู้สึกว่านี่เป็นปัญหาที่จริงจัง และฉันต้องคุยกับเธอต่อหน้าจริงๆ แล้ว ไม่กี่วันหลังจากนั้น ฉันได้เจอถาน แล้วก็ยกเรื่องปัญหาของทีมข่าวประเสริฐขึ้นมา แต่เธอกลับโทษว่าเป็นความผิดของพี่น้องชายหญิงทั้งหมด เธอดูเหมือนจะไม่รับความรับผิดชอบอะไรเลย ฉันยังบอกว่า การไม่ทำอะไรเพื่อจัดการปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในฐานะผู้นำคริสตจักร แปลว่าเธอไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง และมันจะทำร้ายพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และจะเป็นการเสียประโยชน์แก่เหล่าพี่น้องชายหญิง แต่เธอกลับทำหน้าบอกบุญไม่รับ และไม่ยอมพูดอะไรเลย เธอไม่ยอมทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ยอมรับเอาหน้าที่ของตัวเองมาเป็นภาระ และไม่เคยยอมรับความจริงเลย ฉันรู้เลยว่ามันหมายความว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันควรจะรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำที่สูงขึ้นไป เพื่อถอดเธอออกจากตำแหน่งนั้นให้เร็วที่สุด แต่ตอนนั้นฉันลังเล ถ้าฉันบอกเรื่องนี้ออกไป และเธอรู้เรื่องเข้า เธอจะพูดว่าฉันจับผิด และจงใจที่จะผิดใจกับเธอไหม? หากเธอถูกปลดจากตำแหน่งมันก็คงไม่แย่อะไรนัก แต่หากไม่แล้ว ไม่ใช่ว่าฉันล่วงเกินเธอหรือ? มันจะยิ่งทำให้ฉันอยู่ในคริสตจักรนั้นได้ยากขึ้น ถ้าเธอส่งฉันกลับบ้าน และฉันไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ มันก็อาจแปลว่าฉันจะเสียโอกาสในความรอด แบบนั้นศรัทธาที่ฉันมีมาตลอดหลายปี จะไม่สูญเปล่าหรือคะ? ฉันจึงตัดสินใจ ลืมเรื่องการรายงานปัญหาของเธอไป แล้วก็ตั้งใจทำหน้าที่ของฉันในตอนนั้น แต่เมื่อฉันตัดสินใจทำไปแบบนั้น ฉันก็รู้สึกแย่มาก ฉันรู้ว่าพี่ถานเป็นผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันก็เก็บไว้กับตัว มันไม่เป็นการค้ำจุนพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าค่ะ ฉันรู้สึกขัดแย้งกับเรื่องนี้มาก ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน “พระเจ้า ข้าพระองค์ได้เห็นปัญหาเรื่องพี่ถาน และอยากจะรายงานเรื่องของเธอ เพื่อปกป้องพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่ข้าพระองค์มีบางเรื่องที่ยังกังวล ข้าพระองค์กลัวว่าเธอจะขุ่นเคืองและมาลงที่ฉัน ได้โปรดนำทาง ให้ข้าพระองค์เอาชนะพลังมืดเหล่านี้ และปฏิบัติความจริงได้ด้วยเถิด” จากนั้น ฉันก็ได้เห็นวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ท่าทีอย่างไรที่ผู้คนควรจะมีในแง่ของวิธีปฏิบัติต่อผู้นำหรือคนงาน? หากสิ่งที่ผู้นำหรือคนทำงานทำนั้นถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถเชื่อฟังพวกเขาได้ หากสิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเปิดโปงพวกเขาได้ และแม้กระทั่งต่อต้านพวกเขาและยกความคิดเห็นที่แตกต่าง หากพวกเขาไร้ความสามารถที่จะทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และถูกเผยให้เห็นว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ เป็นคนงานเทียมเท็จ หรือเป็นศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับสภาวะผู้นำของพวกเขาได้ และเจ้ายังสามารถรายงานและเปิดโปงพวกเขาได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนไม่เข้าใจความจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนขี้ขลาด และดังนั้น พวกเขาจึงไม่กล้าทำสิ่งใด พวกเขากล่าวว่า ‘หากผู้นำขับไล่ฉันออกมา ฉันก็พอแล้ว หากเขาทำให้ทุกคนเปิดโปงหรือละทิ้งฉัน เช่นนั้นแล้ว ฉันก็จะไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าได้อีกต่อไป หากฉันออกจากคริสตจักร เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงต้องประสงค์ฉันและจะไม่ช่วยฉันให้รอด คริสตจักรเป็นตัวแทนของพระเจ้า!’ วิธีการคิดเหล่านี้มิได้ส่งผลกระทบต่อท่าทีของผู้คนเช่นนั้นที่มีต่อสิ่งเหล่านั้นหรอกหรือ? จริงอย่างแท้จริงหรือว่า หากผู้นำขับไล่เจ้า เจ้าจะไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไป? คำถามเกี่ยวกับความรอดของเจ้าขึ้นอยู่กับท่าทีของผู้นำของเจ้าที่มีต่อเจ้ากระนั้นหรือ? เหตุใดผู้คนมากมายเหลือเกินที่มีความกลัวระดับนั้น? หากทันทีที่คนผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือเป็นศัตรูของพระคริสต์ข่มขู่เจ้า เจ้าก็ไม่กล้าที่จะรายงานเรื่องนั้นต่อผู้มีตำแหน่งสูงกว่า และถึงขั้นรับประกันการนั้นนับตั้งแต่นั้นไป เจ้าจะเป็นผู้มีใจเดียวกันกับผู้นำ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่เสร็จไปแล้วหรอกหรือ? นี่คือบุคคลชนิดที่ไล่ตามเสาะหาความจริงกระนั้นหรือ? เจ้าไม่เพียงไม่กล้าที่จะเปิดโปงพฤติกรรมชั่วเช่นนั้นที่อาจจะกระทำโดยเหล่าศัตรูของพระคริสต์เยี่ยงซาตานเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน เจ้าเชื่อฟังพวกเขาและถึงขั้นถือคำพูดของพวกเขาว่าเป็นความจริง ที่เจ้านบนอบต่อสิ่งนั้น นี่ไม่ใช่ตัวอย่างชั้นดีของความโง่เง่าหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าได้รับอันตราย นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสมควรได้รับหรอกหรือ? พระเจ้าได้ทรงเป็นเหตุให้เจ้าได้รับอันตรายกระนั้นหรือ? เจ้าได้ปรารถนาการนั้นให้เกิดกับตัวเจ้าเอง เจ้าใช้ศัตรูของพระคริสต์มาเป็นผู้นำของเจ้า และปฏิบัติกับพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนหนึ่ง—และนั่นเป็นความผิดของเจ้า คนเราควรปฏิบัติกับศัตรูของพระคริสต์ด้วยท่าทีใด? คนเราควรเปิดโปงพวกเขาและต่อสู้กับพวกเขา หากเจ้าไม่สามารถทำการนี้ตามลำพังได้ เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเป็นทวีคูณต้องมาด้วยกันและรายงานพวกเขา เมื่อค้นพบว่าผู้นำคนใดคนหนึ่งและคนทำงานในตำแหน่งสูงกว่ากำลังเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ กำลังทำให้บรรดาพี่น้องชายหญิงทนทุกข์ มิได้กำลังทำงานจริง และละโมบผลประโยชน์แห่งสถานะ ผู้คนบางคนลงชื่อในคำร้องเพื่อปลดศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้น ผู้คนเหล่านี้ได้ทำการงานที่น่าทึ่งอะไรเช่นนี้! นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้คนบางคนเข้าใจความจริง ว่าพวกเขามีวุฒิภาวะระดับใดระดับหนึ่ง และว่าพวกเขาไม่ได้ถูกซาตานควบคุมหรือหลอกลวง นี่ยังพิสูจน์ให้เห็นอีกด้วยว่าเหล่าศัตรูของพระคริสต์และพวกผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ถือตำแหน่งที่โดดเด่นในคริสตจักร และพวกเขาไม่กล้าที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาอย่างชัดแจ้งเกินไปในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขากล่าวและทำ หากพวกเขาเปิดเผยตัวพวกเขาเอง ก็มีผู้คนที่จะเฝ้าระวังพวกเขา ระบุตัวพวกเขา และเดียดฉันท์พวกเขา(“พวกเขาพยายามที่จะเอาชนะใจผู้คน” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พอได้อ่านแล้ว ฉันรู้สึกว่าจิตใจสดใสขึ้นจริงๆ ค่ะ ตอนที่เราเจอผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักร เราไม่สามารถคุกเข่าและถูกพวกเขาขัดขวางเรื่อยไปได้ แต่เราต้องยืนขึ้นและเปิดโปงพวกเขา รายงานพวกเขากับผู้นำที่สูงขึ้นไป นั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันรู้ว่าพี่ถานไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ แต่ฉันไม่กล้าที่จะพูดถึงปัญหาเรื่องเธอ เพราะฉันมัวแต่มองเรื่องนี้จากมุมมองที่ผิด ฉันมัวแต่คิดว่าผู้นำมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าฉันจะได้ทำหน้าที่หรือไม่ และถ้าฉันล่วงเกินเธอ ฉันอาจจะเสียหน้าที่แล้วก็อาจไม่ถูกช่วยให้รอด แต่ที่จริงแล้ว ในพระนิเวศแห่งพระเจ้า ความจริงและพระเจ้าพระองค์เองย่อมมีอำนาจ ฉันจะได้มีหน้าที่หรือจะถูกช่วยให้รอดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้นำคนใด ต่อให้ผู้นำเทียมเท็จเข้าควบคุมคริสตจักรได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และฉันก็ถูกบีบ มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราว พระเจ้าทรงเห็นทุกอย่างและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเปิดเผยทุกอย่าง ดังนั้นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์จะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดทิ้งในไม่ช้าก็เร็ว ฉันได้รู้ว่าตอนนั้นฉันไม่ได้เข้าใจอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า ฉันกลัวว่าจะล่วงเกินคนอื่น แต่ไม่ได้กลัวว่าจะล่วงเกินพระเจ้าเลย หัวใจฉันในตอนนั้นไม่ได้มีที่ว่างไว้ให้พระเจ้า ฉันนี่เป็นผู้มีความเชื่อแบบไหนกัน? ฉันเห็นแล้วว่าฉันเป็นคนโง่แค่ไหน ฉันคิดมาตลอดว่า ในเมื่อฉันไม่ใช่ผู้นำ ฉันจึงไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะวิจารณ์เธอได้ และคนอื่นก็จะพูดว่า ฉันควรจะทำหน้าที่ของตัวเองไป ซึ่งมันไม่ใช่ทางที่ถูกต้องในการมองเรื่องนี้ ในฐานะสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า มันไม่สำคัญว่าฉันจะถูกปลดให้ไปทำการเฝ้าเดี่ยวและทบทวนตัวเอง หรือจะได้ทำหน้าที่หรือไม่ ถ้าฉันเจอผู้นำเทียมเท็จในพระนิเวศของพระเจ้า ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของฉัน เป็นข้อผูกพันของฉันที่ต้องรายงานพวกเขา นั่นก็คือการค้ำจุนพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ มันถือเป็นการรับผิดชอบในชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่การล้ำเส้นหรือการก้าวก่าย และยิ่งไม่ใช่ความโอหังหรือการยกย่องตัวเองใดๆ ฉันเห็นว่าก่อนหน้านั้นทัศนคติของฉันในเรื่องนี้มันไร้สาระแค่ไหน

พอได้รู้เช่นนี้ก็ทำให้ฉันทบทวน ว่าทำไมฉันถึงกลัวการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จมากนัก รากเหง้าที่แท้จริงของปัญหานี้คืออะไร? ในการแสวงหา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “องค์ประกอบที่เป็นรากฐานและสำคัญมากที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ของคนเราก็คือมโนธรรมและเหตุผล บุคคลประเภทใดคือผู้ที่ขาดพร่องมโนธรรมและไม่มีเหตุผลของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ? พูดโดยทั่วไปแล้ว เขาคือบุคคลที่ขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ด้อยอย่างสุดขีด พวกเรามาวิเคราะห์การนี้กันอย่างใกล้ชิดเถิด บุคคลผู้นี้แสดงออกมาให้เห็นถึงการสำแดงใดของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่สูญหายไปจนถึงขนาดที่ผู้คนพูดว่าเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์? ผู้คนเช่นนี้ครองคุณลักษณะเฉพาะใด? พวกเขานำเสนอการสำแดงเฉพาะอันใด? ผู้คนเช่นนั้นทำอย่างพอเป็นพิธีในการกระทำของพวกเขาและปลีกห่างจากสิ่งใดก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังไม่แสดงความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้รับภาระอันใดเกี่ยวกับการให้คำพยานสำหรับพระเจ้าหรือการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาไม่มีสำนึกรับรู้แห่งความรับผิดชอบเลย…มีแม้กระทั่งผู้คนที่เมื่อได้เห็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็กลับยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาเห็นว่าผู้อื่นกำลังเป็นเหตุให้เกิดการขัดจังหวะและการรบกวน กระนั้นก็ไม่ทำสิ่งใดเลยเพื่อหยุดสิ่งเหล่านั้น พวกเขาไม่ได้พิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องหน้าที่หรือความรับผิดชอบของพวกเขาเองเลย พวกเขาพูด ปฏิบัติตัว โดดเด่น ทุ่มความพยายามออกไป และสละพลังงานเพียงเพื่อสิ่งไร้ค่า ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง ผลประโยชน์ และเกียรติของพวกเขาเองเท่านั้น(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง แต่โดยมากแล้วพวกเขาแค่มีปณิธานและความพึงปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา ผลก็คือ เมื่อพวกเขามาเจอกับกำลังบังคับชั่วหรือเผชิญกับคนเลวและไม่ดีที่ประกอบความประพฤติชั่ว หรือเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ล่วงละเมิดหลักธรรม—อันเป็นการทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าทนทุกข์กับการสูญเสีย และเป็นการทำอันตรายบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วยเหตุนี้—พวกเขาสูญเสียความกล้าที่จะยืนขึ้นและพูดออกมา นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อเจ้าไม่มีความกล้า? นั่นหมายความว่าเจ้าใจเสาะหรือพูดไม่ออกใช่หรือไม่? หรือเป็นที่เจ้าไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และจึงไม่มีความมั่นใจที่จะพูดขึ้นมา? นั่นไม่ใช่อันใดจากการเหล่านี้เลย ทั้งนี้ นั่นเป็นที่เจ้ากำลังถูกควบคุมโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามสารพัดประเภท หนึ่งในอุปนิสัยเหล่านี้ก็คือการฉลาดแกมโกง เจ้าคิดถึงตัวเจ้าเองเป็นอันดับแรก โดยคิดว่า ‘หากฉันพูดขึ้นมา นั่นจะมีประโยชน์ต่อฉันอย่างไร? หากฉันพูดขึ้นมาและทำให้ใครบางคนไม่พอใจ พวกเราจะเข้ากันได้อย่างไรในอนาคต?’ นี่คือความรู้สึกนึกคิดที่ฉลาดแกมโกง ถูกต้องหรือไม่? นี่ไม่ใช่ผลของอุปนิสัยที่ฉลาดแกมโกงหรอกหรือ? อีกหนึ่งนั้นคือ อุปนิสัยใจร้ายและเห็นแก่ตัว เจ้าคิดว่า ‘ความสูญเสียต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ? ทำไมฉันถึงควรใส่ใจ? ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันสักนิด ต่อให้ฉันมองเห็นการนั้นและได้ยินว่าการนั้นเกิดขึ้น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน—ฉันไม่ใช่ผู้นำนี่นา’ สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นอยู่ข้างในตัวเจ้า ราวกับสิ่งเหล่านั้นผลิออกมาจากจิตไร้สำนึกของเจ้า และราวกับว่า สิ่งเหล่านั้นเข้ายึดครองตำแหน่งอันถาวรทั้งหลายในหัวใจของเจ้า—สิ่งเหล่านั้นคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของมนุษย์…เจ้าไม่เคยพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ เลย ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องถูกสมองของเจ้าเรียบเรียงไว้ก่อนในจิตใจของเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดคือการโกหก ไม่ลงรอยกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย ทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ในคำแก้ตัวอันเป็นเท็จของเจ้าเอง เพื่อข้อได้เปรียบของเจ้าเอง ผู้คนบางคนหลงเชื่อและนั่นก็ดีมากพอแล้วสำหรับเจ้า กล่าวคือ คำพูดและการกระทำของเจ้าได้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของเจ้าแล้ว นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า เหล่านี้คืออุปนิสัยของเจ้า เจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าเองควบคุมอย่างสิ้นเชิง เจ้าไม่มีพลังอำนาจเหนือสิ่งที่เจ้าพูดและทำ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจบอกความจริงหรือพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ ได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจปฏิบัติตามความจริงได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูด ทำ และปฏิบัติคือการโกหก และเจ้าก็ฉาบฉวยและขอไปทีไม่มีผิดเลย เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าล่ามโซ่ตรวนและควบคุมอย่างสิ้นเชิง เจ้าอาจต้องการที่จะยอมรับและเพียรพยายามเพื่อให้ได้ความจริง แต่นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า กล่าวคือ เจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากหุ่นเชิดของเนื้อหนังอันเสื่อมทราม เจ้าได้กลายเป็นเครื่องมือของซาตานไปแล้ว เจ้าพูดและทำสิ่งใดก็ตามที่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าบอกให้เจ้าพูดและทำ(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)เจ้าไม่เคยแสวงหาความจริงเลย นับประสาอะไรที่เจ้าจะปฏิบัติความจริง เจ้าก็แค่อธิษฐานต่อไป โดยสร้างความมุ่งมั่นของเจ้าขึ้น ทำการตัดสินใจแน่วแน่ และสาบานคำปฏิญาณทั้งหลาย และสิ่งใดเล่าที่ได้เกิดขึ้นมาจากทั้งหมดนี้? เจ้าก็ยังคงเป็นคนที่ชอบตามใจผู้อื่นอยู่ โดยที่เจ้าไม่ยั่วยุผู้ใด อีกทั้งเจ้าก็ไม่ล่วงเกินผู้ใด หากเรื่องใดไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะอยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้นและคิดว่า ‘ฉันจะไม่พูดสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน และการนี้เป็นไปโดยไม่มีข้อยกเว้น หากสิ่งใดเป็นที่สามารถทำอันตรายต่อผลประโยชน์ของฉันเอง ต่อความภาคภูมิของฉัน หรือต่อการนับถือตัวเองของฉัน ฉันก็จะไม่ให้ความใส่ใจอันใดกับสิ่งนั้น และจะเข้าหาทั้งหมดนั้นอย่างระมัดระวัง โดยที่ฉันต้องไม่กระทำการอย่างผลีผลาม ตะปูที่โผล่หัวขึ้นมาจะถูกตีก่อน และฉันไม่โง่เง่าขนาดนั้น!’ เจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าซึ่งมีความเลว ฉลาดแกมโกง แข็งกระด้าง และรังเกียจความจริงโดยสิ้นเชิง อุปนิสัยเหล่านั้นกำลังทำให้เจ้าอิดโรยและยากลำบากเกินกว่าที่เจ้าจะแบกรับได้มากขึ้นทุกทียิ่งกว่ามงคลทองคำที่พญาวานรสวมเสียด้วยซ้ำ การดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้นเหน็ดเหนื่อยและทุกข์ระทมยิ่งนัก!(“มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่ยำเกรงพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันได้เข้าใจ ว่าการกลัวการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จนั้น มาจากการใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานอย่าง “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” “อยู่เงียบๆ เพื่อการปกป้องตัวเอง และแสวงหาการหนีจากการกล่าวโทษเท่านั้น” และ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” พิษซาตานเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของฉัน ฉันมัวแต่พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอยู่ตลอด โดยไม่ได้นึกถึงพระนิเวศของพระเจ้าเลย ฉันกลายเป็นคนที่เลวทราม เห็นแก่ตัว และฉลาดแกมโกงมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันได้เห็นอย่างชัดเจนว่าพี่ถานไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่ยอมรับความจริง ว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ พฤติกรรมของเธอ ได้ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่องานของคริสตจักร และการเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิง ดังนั้น ฉันต้องนำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผย แต่ตอนนั้น ฉันกลัวว่าถ้าเธอขุ่นเคือง เธอจะกลับมาลงที่ฉัน และฉันก็กลัวว่าจะเสียโอกาสในการทำหน้าที่ไป ฉันจึงไม่กล้ารายงานเรื่องของเธอ ฉันอยากปกป้องชื่อเสียงและบั้นปลายในอนาคตของฉัน ฉันจึงแค่มองดูงานของคริสตจักร และการเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงเสียหาย ด้วยท่าทีที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ทำหูหนวกตาบอดต่อผู้นำเทียมเท็จ ฉันกำลังยืนอยู่ข้างซาตาน คอยเอาอกเอาใจและซ่อนเร้นผู้นำเทียมเท็จที่คอยทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ฉันใช้ชีวิตตามพิษของซาตาน เพียงเพื่อจะคอยระวังให้ตัวเอง ไร้การอุทิศตัวให้แก่พระเจ้า ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล ฉันกลายเป็นผู้ติดตามของซาตาน และไม่มีการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์เลย ฉันได้เห็นความเห็นแก่ตัว ฉลาดแกมโกง และธรรมชาติของความชั่วที่ฉันมี พอฉันมองเรื่องทั้งหมดอย่างกระจ่างชัด ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองติดค้างพระเจ้าจริงๆ ฉันเกลียดตัวฉันเองที่เห็นแก่ตัวและไร้มโนธรรม ฉันอยากจะรายงานเรื่องพี่ถานทันที และหยุดการทำร้ายพระทัยของพระเจ้า ฉันจึงบอกปัญหาเรื่องพี่ถานทั้งหมดกับผู้นำที่สูงขึ้นไป แต่ไม่กี่วันผ่านไป ฉันก็ไม่ได้ยินอะไรเลยว่าเธอจัดการเรื่องนี้อย่างไร ฉันเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าผู้นำเทียมเท็จคนนี้ไม่ถูกปลดในเร็ววัน มันอาจเป็นการถ่วงพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันเลยคิดว่าจะเขียนไปอีกครั้ง เพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วฉันก็คิดว่า ถ้าฉันยกเรื่องนี้มาอีกครั้ง ผู้นำคนนั้นอาจจะคิดว่าฉันเข้าไปยุ่งกับหลายๆ เรื่องมากเกินไป ในเมื่อฉันพูดในส่วนของฉันไปแล้ว ฉันก็ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของฉันแล้ว และไม่ต้องเป็นห่วงสิ่งที่เหลือ แต่ความคิดนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ จนทำให้ฉันนอนไม่หลับในคืนนั้น

เช้าวันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้านี้ “หากคริสตจักรหนึ่งไม่มีผู้ใดสักคนที่เต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่มีผู้ใดสักคนที่สามารถยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรนั้นจะต้องถูกแยกไปอย่างบริบูรณ์ และการติดต่อกับคริสตจักรอื่นๆ ต้องถูกตัดขาด ‘สิ่งนี้เรียกว่าการฝังความตาย’ นี่คือสิ่งที่หมายถึงการขับไล่ซาตาน หากคริสตจักรหนึ่งมีอันธพาลประจำถิ่นหลายคน และพวกเขาถูกติดตามโดย ‘แมลงวันเล็กๆ’ ที่ขาดพร่องการหยั่งรู้โดยสิ้นเชิง และหากสมาชิกของคริสตจักรนั้น แม้ว่าหลังจากได้เห็นความจริงแล้ว ก็ยังคงไม่สามารถปฏิเสธการผูกมัดและการบงการของอันธพาลเหล่านี้ได้—เช่นนั้นแล้ว คนโง่เหล่านั้นทั้งหมดจะถูกกำจัดไปในที่สุด แมลงวันเล็กๆ เหล่านี้อาจไม่ได้ทำสิ่งใดที่น่ากลัว แต่พวกเขาตลบตะแลงเสียยิ่งกว่า ลื่นไหลและหลบเลี่ยงเก่งเสียยิ่งกว่า และทุกคนเช่นนี้จะถูกกำจัดออกไป จะต้องไม่หลงเหลือสักคนเดียว! พวกที่เป็นของซาตานก็จะถูกส่งกลับไปหาซาตาน ขณะที่บรรดาผู้ที่เป็นของพระเจ้าก็จะไปค้นหาความจริงอย่างแน่นอน การนี้ถูกตัดสินโดยธรรมชาติของพวกเขา พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามซาตานจงพินาศไปให้สิ้น! จะไม่มีการแสดงความสงสารต่อผู้คนเช่นนั้นเลย บรรดาผู้ที่ค้นหาความจริงจงได้รับการจัดเตรียมให้ และขอให้พวกเขาได้รับความพึงพอใจในพระวจนะของพระเจ้าจนสมใจของพวกเขา พระเจ้าทรงชอบธรรม พระองค์จะไม่ทรงแสดงความลำเอียงต่อผู้ใด หากเจ้าคือมาร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ หากเจ้าคือใครบางคนที่ค้นหาความจริง เช่นนั้นแล้ว ก็แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานจับเป็นเชลย การนี้อยู่นอกเหนือความสงสัยทั้งปวง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่า อุปนิสัยของพระองค์นั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม และจะไม่ทนต่อการล่วงเกินใดๆ พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ เข้ามาทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก และเข้ามาขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงเช่นกัน พระเจ้าทรงเกลียดผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง หรือไม่ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร เมื่อมีผู้นำเทียมเท็จ และศัตรูของพระคริสต์ปรากฏขึ้น พวกเขาเข้าใจความจริง แต่ก็ยังไม่ปฏิบัติ แต่กลับคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาช่างเป็นคนที่เจ้าเล่ห์จริงๆ พวกเขาจะถูกกำจัดทิ้งถ้าหากไม่ยอมกลับใจ ฉันเห็นว่าพี่ถานเป็นผู้นำเทียมเท็จ และตอนนี้ผู้นำที่อยู่เหนือเธอขึ้นไปก็ไม่ตอบสนองได้เร็วพอ ฉันจำเป็นต้องคอยพูดต่อไปและตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด แต่ตอนนั้นฉันกลับอยากปกป้องตัวเอง และไม่สนใจสิ่งใดที่ไม่มีผลกระทบกับฉัน แทนที่จะรายงานเรื่องผู้นำเทียมเท็จ ฉันกลับยอมให้เธอทำวุ่นวายในคริสตจักร และทำให้งานต้องหยุดชะงัก นั่นคือการยืนอยู่ข้างซาตาน และการเข้าข้างความเลวทรามของผู้นำเทียมเท็จ มันดูเหมือนฉันไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลวร้าย แต่ถ้าฉันไม่ปฏิบัติความจริง หรือปกป้องพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าต่อหน้าปัญหาทั้งหลาย ท้ายที่สุดฉันก็คงต้องถูกกำจัดทิ้ง เมื่อฉันได้รู้เช่นนี้ ฉันก็เสียใจอย่างมากที่ไม่รายงานเรื่องพี่ถานให้เร็วกว่านี้ และฉันก็รู้ว่าฉันต้องหยุดเอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง และต้องไม่ยอมให้ผู้นำเทียมเท็จทำให้งานของคริสตจักรต้องเสียหาย ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ว่า “ในทุกสิ่งที่เจ้ากระทำนั้น เจ้าต้องตรวจดูว่าเจตนาต่างๆ ของเจ้าถูกต้องหรือไม่ หากเจ้ามีความสามารถที่จะกระทำการได้ตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็ปกติ นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุด จงมองดูเข้าไปในเจตนาต่างๆ ของเจ้า และหากเจ้าพบว่าเจตนาต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องได้ปรากฏขึ้น จงมีความสามารถที่จะหันหลังของเจ้าให้แก่เจตนาเหล่านั้น และกระทำการให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เจ้าก็จะกลายเป็นใครบางคนที่ถูกต้องเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งในทางกลับกันก็แสดงให้เห็นว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นปกติ และว่าทุกสิ่งที่เจ้ากระทำเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระเจ้า ไม่ใช่ของตัวเจ้าเอง ในทุกสิ่งที่เจ้ากระทำและทุกสิ่งที่เจ้าพูด จงมีความสามารถที่จะกำหนดหัวใจของเจ้าให้ถูกต้องและจงเป็นคนชอบธรรมในการกระทำต่างๆ ของเจ้า และอย่าให้อารมณ์ของเจ้ามานำหน้า และอย่ากระทำการตามความประสงค์ของเจ้าเอง สิ่งเหล่านี้เป็นหลักธรรมต่างๆ ที่บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าต้องประพฤติตน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?) พระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันเห็นหนทางข้างหน้า ในฐานะผู้เชื่อ เราต้องพูดและกระทำตามสิ่งที่พระเจ้าพึงพระสงค์ และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ เมื่อเราพบว่าเหตุจูงใจส่วนตัวของเรานั้นไม่ถูกต้อง เราต้องละทิ้งตัวเราและปฏิบัติความจริง นั่นคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้นำที่อยู่สูงขึ้นไปจัดการกับปัญหาเรื่องพี่ถานได้ช้า ดังนั้นถึงแม้ฉันจะไม่รู้เหตุผลเบื้องหลังเรื่องนั้น มันก็ถือเป็นการทดสอบสำหรับฉัน เพื่อดูว่าฉันจะวางผลประโยชน์ส่วนตัวเอาไว้ และค้ำจุนความจริงหลักธรรมได้หรือไม่ ฉันต้องนำเรื่องนี้ออกมาและรายงานเรื่องพี่ถานต่อไป เพื่อปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้น ฉันจึงกล่าวถึงสถานการณ์นี้กับผู้นำที่สูงขึ้นไปอีกครั้ง และเน้นถึงผลสืบเนื่องที่อันตราย หากไม่อาจปลดผู้นำเทียมเท็จออกไป เธอตอบกลับมาและบอกว่า ในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันนั้น เธอมีเรื่องด่วนที่ต้องไปดูแล แต่เธอจะปลดพี่ถานออกตามหลักธรรมโดยทันที พอได้เห็นการตอบสนองเช่นนั้นฉันก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ฉันได้เรียนรู้ว่าทางเดียวที่จะได้รู้จักความสงบก็คือการนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ

ในเวลาไม่นาน พี่ถานก็ถูกปลดออกจากหน้าที่ และก็มีการเลือกผู้นำอีกคนหนึ่ง เข้ามาปฏิบัติงานของคริสตจักร จากนั้นไม่นานชีวิตคริสตจักรก็กลับสู่ปกติ และงานของพวกเราทุกคนก็เริ่มดีขึ้น ฉันดีใจมากที่ได้เห็นเรื่องเป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิดและเสียใจ หลังจากที่รู้ว่ามีผู้นำเทียมเท็จ ฉันไม่ได้นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ และไม่ได้รายงานเรื่องเธอเร็วพอ แต่ฉันกลับคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว ฉันแสดงออกถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เห็นแก่ตัวและฉลาดแกมโกง และมันส่งผลกระทบถึงพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าการใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และไม่ปฏิบัติความจริง มันคือการทำความชั่ว และทั้งหมดถูกกล่าวโทษและดูหมิ่นโดยพระเจ้า ฉันยังได้เห็นว่า พระราชกิจแห่งพระเจ้านั้นชาญฉลาดแค่ไหน และการได้เห็นผู้นำเทียมเท็จคนนี้ในคริสตจักร ได้ช่วยให้ฉันพัฒนาการหยั่งรู้ขึ้นมา ฉันยังได้รู้ว่าการมีผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักร สามารถทำอันตรายกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้มากแค่ไหน และการปลดพวกเขาออก ก็คือการแสดงถึงพระอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นการปกป้องและความรอดสำหรับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ฉันเห็นว่าในพระนิเวศของพระเจ้านั้น พระคริสต์และความจริงมีอำนาจเหนือ และไม่มีบุคคลใดที่จะเข้ามาชี้ขาดได้ ไม่ว่าใครจะมีตำแหน่งสูงแค่ไหน หากพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริง ไม่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะถูกกำจัดทิ้งในท้ายที่สุด มีเพียงการนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติและการลงมือตามหลักธรรมเท่านั้น จึงจะตรงกับน้ำพระทัยของพระองค์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger