ตัวเลือกท่ามกลางวิกฤต
ช่วงก่อนหน้านี้ คือผมได้รับจดหมายจากพี่จ้าว ผู้นำคริสตจักรของพวกเขา รวมถึงพี่น้องชายและพี่น้องหญิง ถูกตำรวจจับตัวขณะแบ่งปันข่าวประเสริฐ สถานที่ที่ซ่อนหนังสือนั้นอยู่ในความเสี่ยง ตำรวจสามารถตรวจค้นและยึดไปได้ทุกเมื่อ เขากับมัคนายกอีกหลายคน มักจะติดต่อกับคนที่ถูกจับ ทำให้ถูกเฝ้าจับตาดู พวกเขาจึงไม่อาจช่วยย้ายหนังสือออกไปได้ เขาถึงได้ติดต่อผม ให้ช่วยย้ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าไปไว้ที่อื่น หลังอ่านจดหมาย ผมรู้สึกขัดแย้งในใจ พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้ระบบความรับผิดชอบห้าครัวเรือน เพื่อจะจับคริสเตียนในทุกหมู่บ้าน และเฝ้าจับตาดูว่าบ้านไหนมีคนแปลกหน้าแวะมาหาบ้าง เมื่อค้นพบว่ามีผู้เชื่อในพระเจ้า ก็จะถูกรายงานทันที พี่น้องชายหญิงของคริสตจักรนั้นเพิ่งถูกจับ พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีหูตาอยู่ทั่วทุกที่ การย้ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าในเวลาแบบนี้ มันอันตรายเกินไป ถ้าเกิดมีคนชั่วรายงาน หรือเราถูกตำรวจพบเข้า รถก็จะโดนยึด คนก็จะโดนจับ ถ้าพวกเขาเห็นหนังสือพระวจนะของพระเจ้าเยอะแบบนั้น ตอนสอบสวนผมคงโดนทรมานแน่ ถ้าไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส ถ้าผมทนการทรมานไม่ได้และกลายเป็นยูดาส ผมคงจะถูกสาปและลงโทษ นั่นคงเป็นจุดจบของผมใช่ไหม? แต่ทว่า ถ้าเราย้ายหนังสือไม่ทันเวลา แล้วตำรวจพบหนังสือและยึดไป พี่น้องชายหญิงก็จะอ่านพระวจนะไม่ได้ ผมไม่อาจยืนเฉยดูตำรวจยึดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าได้ ผมดิ้นรนว่าจะทำอย่างไร จึงไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกขลาดกลัว กังวลว่าจะถูกจับ จึงไม่กล้าร่วมมือด้วย โปรดประทานความเชื่อและกำลังแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
หลังจากอธิษฐาน ผมก็เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าต่างก็รู้กันอย่างชัดเจนว่า มีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง และเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงเหล่านั้นเพื่อที่จะจัดการกับผลพวงที่ตามมาและรักษาความสูญเสียที่มีต่อพระนิเวศของพระเจ้าไว้ให้อยู่ในระดับน้อยที่สุดก่อนที่ตัวพวกเขาเองจะถอนตัวไป พวกเขาไม่ให้ลำดับความสำคัญต่อความปลอดภัยของตัวเองเลย พวกเจ้าว่าอย่างไรหรือกับการนี้ที่ว่า ผู้คนไม่อาจใส่ใจแม้สักเล็กน้อยเลยหรือเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวพวกเขาเอง? ใครเล่าที่ไม่ตระหนักรู้ถึงภัยอันตรายทั้งหลายจากสภาพแวดล้อมของพวกเขา? อย่างไรก็ตามที เจ้าต้องรับความเสี่ยงเพื่อที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้า นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าไม่ควรให้ลำดับความสำคัญต่อความปลอดภัยส่วนบุคคลของตัวเอง งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมายต่อเจ้านั้นสำคัญที่สุด และสิ่งเหล่านี้มีลำดับความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด” (“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็รู้สึกอับอาย เมื่อเห็นว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ได้รับความเสียหาย ผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าก็จะลุกขึ้นทำหน้าที่ของตน ทั้งที่รู้ว่ามันอันตราย แต่ผมล่ะ? ผมเข้าใจวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี ผมรู้ว่าถ้าไม่ย้ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าอย่างรวดเร็ว ตำรวจก็จะพบและยึดไปได้ทุกเมื่อ ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ผมยังกังวลว่าจะถูกจับ ไม่ได้สนใจผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลยสักนิด ผมไม่ได้คิดเลยว่าจะใช้กำลังเพื่อลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ได้อย่างไร นี่คือความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ความจงรักภักดี! พอได้ตระหนัก ผมก็รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างยิ่ง ผมคิดว่า ไม่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงบ้าคลั่งแค่ไหน มันก็ยังอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า มันขัดขวางและก่อความไม่สงบ แก่พระราชกิจของพระเจ้ามาหลายปี แต่พระราชกิจของพระเจ้า ก็ยังขยายไปหลายประเทศโพ้นทะเลไม่ใช่หรือ? ผมกลัวและขี้ขลาด เพราะขาดความรู้เรื่องอธิปไตยและมหิทธานุภาพของพระเจ้า ความเชื่อในพระเจ้าของผมน้อยนิดเหลือเกิน พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมนี้ เพื่อช่วยให้ผมได้รับบทเรียนและความจริง ให้รู้ถึงมหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า และผมต้องพึ่งพาพระเจ้าในประสบการณ์นี้ เมื่อผมตระหนักดังนี้แล้ว จึงเลิกขี้ขลาด และพร้อมย้ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าให้เร็วที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมขับรถไปที่คริสตจักรของพี่จ้าว ผมไปตามหาพี่น้องหญิงเป็นอย่างแรก ขอให้เธอพาผมไปบ้านที่เก็บหนังสือเอาไว้ แต่เธอก็บอกผมเบาๆ ตรงทางเข้าว่า สามีเธอคอยตามดูอยู่ที่บ้าน ไม่ยอมให้ออกไปไหนเพราะกลัวว่าเธอจะถูกจับกุม ได้ยินแบบนั้น ทำให้ผมกังวลเป็นอย่างยิ่ง เธอพาผมไปไม่ได้ ผมไม่รู้จักใครที่นั่นเลย และสถานการณ์ก็วิกฤต ถ้าเกิดตำรวจยึดหนังสือไปล่ะ? ผมคิดหาทางอื่นไม่ออก ก็เลยทำได้แค่ขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางกลับ ผมก็หยุดคิดไม่ได้ว่า จะขอให้ใครพาไปที่นั่นได้ และต่อให้ผมเจอใครคนนั้น ถ้าผมกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้ง ก็จะเป็นตัวดึงดูดความสนใจ ผมจะถูกรายงานหรือเปล่า? ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกกลัว เหมือนมีอันตรายอยู่รอบตัวผม พอกลับถึงบ้าน ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อหาคำตอบ ได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น นี่คือหน้าที่ของเจ้า…เจ้าต้องทนฝ่าสิ่งทั้งสิ้นเพื่อเรา เจ้าต้องพร้อมที่จะละทิ้งทุกสิ่งที่เจ้าครอบครอง และทำทุกอย่างที่เจ้าทำได้เพื่อติดตามเรา และพร้อมที่จะสละให้ทั้งหมด บัดนี้เป็นเวลาที่เราจะทดสอบเจ้า เจ้าจะมอบความรักภักดีแก่เราหรือไม่? เจ้าสามารถติดตามเราอย่างรักภักดีไปจนสุดทางได้หรือไม่? จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้? จงจำการนี้ไว้! จงอย่าลืม! ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเจตนารมณ์ที่ดีของเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ภายในการเฝ้าสังเกตของเราทั้งสิ้น เจ้าสามารถทำตามคำพูดของเราในทุกๆ สิ่งที่เจ้าพูดและทำได้หรือไม่? เมื่อการทดสอบด้วยไฟมาถึงเจ้า เจ้าจะคุกเข่าลงและร้องเรียกให้ช่วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าจะขลาดกลัว ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) “เมื่อเราเริ่มงานของเราอย่างเป็นทางการ ผู้คนทั้งหมดก็ขยับเช่นที่เราขยับ จนกระทั่งผู้คนทั่วทั้งจักรวาลยึดครองตัวพวกเขาเองในจังหวะร่วมกับเรา โดยมี ‘ความยินดีปรีดา’ ทั่วจักรวาล และมนุษย์ถูกกระตุ้นไปข้างหน้าโดยเรา ด้วยเหตุนี้ พญานาคใหญ่สีแดงเองถูกเราหวดเข้าสู่สภาวะแห่งความบ้าคลั่งและความงุนงงที่สุด และมันรับใช้งานของเรา และแม้จะไม่เต็มใจ มันก็ไร้ความสามารถที่จะทำตามความอยากมีอยากได้ของมันเองได้ แต่ถูกทิ้งให้ไม่มีทางเลือกนอกจากนบนอบต่อการควบคุมของเรา ในแผนการของเราทั้งหมด พญานาคใหญ่สีแดงคือตัวประกอบเสริมความเด่นของเรา ศัตรูของเราและผู้ปรนนิบัติของเราอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงไม่เคยได้ผ่อนคลาย ‘ข้อพึงประสงค์’ ของเราต่อมัน เพราะฉะนั้น ช่วงระยะสุดท้ายของงานแห่งการมาเกิดเป็นมนุษย์ของเราจึงเสร็จสิ้นลงในบ้านของมัน ในหนทางนี้ พญานาคใหญ่สีแดงจะสามารถทำการปรนนิบัติเราได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งเราจะพิชิตมันและทำให้แผนการของเราครบบริบูรณ์โดยผ่านทางนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 29) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมมีความเชื่อ พระเจ้าทรงมหิทธานุภาพ ทรงควบคุมทุกสิ่งและขับเคลื่อนทุกการกระทำ พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เกิดขึ้นที่เมืองของพญานาคใหญ่สีแดง ใช้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง เพื่อทำให้ผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกนั้นเพียบพร้อม ถึงพญานาคใหญ่สีแดงจะชั่วร้ายบ้าคลั่งแค่ไหน มันก็ยังอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงอธิปไตยของพระเจ้า หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต มันก็ไม่อาจทำร้ายเราได้แม้แต่เส้นผม ผมคิดว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตั้งแต่เข้ามามีอำนาจ ก็คอยปราบปรามและข่มเหงคริสเตียน และใช้วิธีที่น่ารังเกียจและชั่วร้ายต่างๆ พยายามที่จะเนรเทศคริสตจักรของพระเจ้า แต่การสมคบคิดก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จ กลับกัน พฤติกรรมของมันได้ให้การปรนนิบัติพระเจ้า ทำให้ผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกหยั่งรู้ถึงแก่นแท้อันชั่วร้าย ของความเกลียดชัง ความจริง และการต้านทานพระเจ้า ได้รู้เรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า ขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงใช้พญานาคใหญ่สีแดง เพื่อคัดแยกผู้คนตามประเภทของพวกเขา ผู้ที่สามารถดื่มกินพระวจนะของพระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างภักดีท่ามกลางการข่มเหงและความวิบัติ ผู้ที่ไม่ยอมจำนนต่อซาตาน แม้จะถูกจับกุมและทรมานนั้น มีคำพยานแห่งผู้ชนะ แต่ผู้ที่กลัวและขี้ขลาดจนไม่กล้าลุล่วงหน้าที่ของพวกเขา พระราชกิจของพระเจ้าเปิดเผยว่านี่คือ คนไร้ค่า ด่างพร้อย และผู้ไม่เชื่อ ในท้ายที่สุด พวกเขาทั้งหมดจะถูกกำจัดทิ้ง ในตอนนั้นผมก็เข้าใจว่า พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมนี้ทดสอบผม ถ้าผมกลัวและขี้ขลาดเกินกว่าจะลุล่วงหน้าที่ ก็ย่อมถูกเปิดเผยโดยพระเจ้าไม่ใช่หรือ เมื่อตระหนักดังนี้แล้ว ผมก็รู้ว่าไม่อาจถอยหนีจากหน้าที่ได้อีกต่อไป ผมต้องย้ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าให้เร็วที่สุด
ดังนั้น ผมจึงรีบคุยกับพี่น้องชายหญิง ว่าจะย้ายหนังสืออย่างไร และได้รู้ว่ามีพี่น้องหญิงอีกสองคน ที่รู้จักบ้านที่เก็บหนังสือเอาไว้ ผมจึงรีบขับไปรับพวกเขาให้พาไปยังบ้านที่เก็บหนังสือ ระหว่างทาง ผมรู้สึกตึงเครียดไปหมด ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุด เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้าน ผมเห็นการจัดพิธีเปิดอะไรสักอย่าง มีผู้คนมากมายมารวมตัวร่วมสนุกกัน ผมตระหนักว่าพระเจ้าทรงเปิดทางให้แก่เรา ผมขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจ เมื่อพวกชาวบ้านไม่ทันมอง เราก็เข้าหมู่บ้านจากถนนด้านข้างอย่างเงียบๆ แล้วก็ย้ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าออกได้สำเร็จ หลังจากเราเก็บหนังสือในสถานที่เก็บรักษาแล้ว เราก็ได้รับข้อความว่า หลังจากออกมาเราก็ถูกรายงาน ตำรวจได้ออกตามล่าทันที แต่ ณ จุดนั้นเราก็ไปไกลแล้ว ผมขอบคุณพระเจ้า เพราะเห็นแล้วว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไปจนถึงทุกนาที กระทั่งทุกวินาที พระเจ้าทรงระดมผู้คน เหตุการณ์ สิ่งต่างๆ เพื่อเปิดทางให้แก่เรา หากไม่เช่นนั้นแล้ว เราคงย้ายหนังสือไม่ได้
จากนั้นไม่นาน พี่น้องชายหญิงห้าคนจากคริสตจักร ถูกจับกุมระหว่างการชุมนุม การจับกุมมันเกิดขึ้นเร็วมาก เราเลยไม่รู้ว่ามีพี่น้องชายหญิงกี่คนในพื้นที่ที่ถูกเฝ้าติดตาม เราต้องแจ้งบรรดาพี่น้องที่เคยติดต่อกับผู้ถูกจับกุมทันที เพื่อให้ซ่อนตัว และหนังสือพระวจนะของพระเจ้า ก็ต้องถูกย้ายไปโดยเร็วที่สุดด้วย ผมคุ้นเคยกับคริสตจักรในพื้นที่นั้น ผมจึงเป็นผู้ที่เหมาะในการช่วยเหลือผู้นำคริสตจักร จัดการเรื่องต่างๆ แต่ผมก็ขี้ขลาดเพราะกลัวจะถูกจับ ถูกทรมาน ผมจึงบอกเรื่องที่ผมกังวลกับภรรยา แล้วเธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “ในบรรดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย มีสิ่งใดหรือที่ไม่ได้อยู่ในมือของเรา? สิ่งใดก็ตามที่เรากล่าวย่อมได้รับการทำให้เสร็จสิ้น และมีผู้ใดท่ามกลางมนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนใจของเราได้? เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งนี้ก็คือพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้บนแผ่นดินโลก? ไม่มีสิ่งใดสามารถขัดขวางแผนการของเราจากการก้าวไปข้างหน้า เราปรากฏอยู่ในงานของเราเสมอเช่นเดียวกับในแผนการบริหารจัดการของเรา ผู้ใดท่ามกลางมนุษย์สามารถสอดมือของเขาเข้ามาก้าวก่ายได้? ไม่ใช่เราหรอกหรือที่ลงมือจัดการเตรียมการเหล่านี้ด้วยตัวเราเอง?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมมีความเชื่อ ผมเห็นว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า สิ่งที่ผมประสบในทุกๆ วัน ผมจะถูกจับหรือไม่ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน ไม่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างบ้าคลั่งแค่ไหน หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ผมไม่มีทางถูกจับกุม ต่อให้ผมถูกจับ ก็เป็นเวลาที่ผมจะให้คำพยานแก่พระเจ้า เมื่อตระหนักดังนี้ ผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า ยินดีที่จะร่วมมือและพึ่งพาพระเจ้า
วันต่อมา ผมปลอมตัวเป็นพ่อค้าธัญพืช ไปหาข่าวคราวถึงสถานการณ์ที่หมู่บ้าน หลังจากผมไปถึง ผมต้องหลบเลี่ยงกล้องและที่ที่คนพลุกพล่าน ผมจึงใช้ทางอ้อม กว่าผมจะดั้นด้นไปถึงบ้านผู้นำคริสตจักร แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน ผมรู้สึกกังวลแล้วก็ผิดหวัง ผมรอจนค่ำแต่ก็ไม่เห็นพวกเขา ผมจึงจำต้องค้างคืนที่บ้านญาติข้างเคียง ซึ่งเป็นผู้เชื่อเช่นกัน คืนนั้น ผมคิดว่าผมเสี่ยงเดินทางไกลมาทั้งวัน แต่ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ผมรู้สึกทุกข์ระทมมาก วันรุ่งขึ้นผมต้องไปอีกครั้ง ถ้าผมถูกรายงานและถูกจับกุม ผมจะทำอย่างไร? ผมรู้ว่าผมจะถอยหนีจากหน้าที่เหมือนในอดีตไม่ได้ ผมต้องคิดหาหนทางย้ายหนังสือออกไป แต่ผมก็รู้สึกกลัวและขี้ขลาด ผมรู้สึกว่าหน้าที่นี้อันตรายเกินไป ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ขลาดกลัว โปรดประทานความเชื่อด้วยเถิด จะอันตรายเพียงใด ข้าพระองค์ก็อยากพึ่งพาพระองค์ และแก้ไขสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องเสียหาย” หลังจากอธิษฐาน ผมก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ในการเหยียดหยามและการกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้จักได้รับการทำให้ลุล่วงในพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวบนแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมดจึงต้องเผชิญกับอุปสรรคมหาศาล และการทำพระวจนะมากมายให้สำเร็จลุล่วงนั้นย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าประการหนึ่งก็คือผู้คนได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ เป็นความลำบากยากเย็นมหาศาลสำหรับพระเจ้าที่จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์โดยผ่านความลำบากยากเย็นนี้เอง อันเป็นการสำแดงพระปรีชาญาณของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) ในอดีต ผมไม่เข้าใจถึงความสำคัญของพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ แต่เมื่อนำไปใช้กับสภาพแวดล้อมนั้น พระวจนะของพระเจ้าช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง พญานาคใหญ่สีแดงเกลียดชังความจริง และต้านทานพระเจ้าอย่างที่สุด ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าคนหนึ่ง ในเมืองของพญานาคใหญ่สีแดง เราจะต้องถูกจับกุมและข่มเหงแน่นอน แต่พระเจ้าทรงใช้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง เพื่อทำให้กลุ่มของผู้ชนะเพียบพร้อม นี่คือพระปัญญาแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ในอดีต ผมรู้สึกว่ามีความเชื่อในพระเจ้า แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์อันตราย ที่ผมต้องเสี่ยงจะถูกจับกุม ความขี้ขลาด ขาดความเชื่อ และความเห็นแก่ตัวของผมก็ถูกเปิดเผย ผมกลัวว่าถ้าถูกจับจะทนทรมานไม่ได้ จนกลายเป็นยูดาส แล้วก็มีจุดจบที่แย่ ผมนึกถึงพฤติกรรมทั้งหมดของตัวเอง ที่คำนึงแต่ผลประโยชน์และความปลอดภัยของตนเอง แต่ไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักรเลย ไม่มีคำพยานหรือความจงรักภักดีต่อพระเจ้าเลย ผมอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้เพราะพระเจ้าทรงอนุญาต พระเจ้าทรงใช้มันเพื่อทำให้ความเชื่อของผมเพียบพร้อม ให้มีความกล้าและปัญญา เพื่อให้มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และเห็นกิจการอันดีงามจากพระราชกิจของพระเจ้า การที่ผมเกิดในจีน และโชคดีที่ได้ประสบงานของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เป็นความรักและการทรงยกชูจากพระเจ้า ถ้าผมไม่ทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อได้มาซึ่งความจริง ถ้าลุล่วงหน้าที่นี้ไม่ได้ ชีวิตผมคงจะไม่มีความหมายหรือไร้คุณค่า เมื่อตระหนักดังนั้นแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะทบทวนว่า ในสภาพแวดล้อมที่อันตราย ทำไมผมคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองก่อนเสมอ? สาเหตุของสิ่งนี้คืออะไร?
ต่อมา ผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาทอดทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตัวเองเพื่อพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง โดยสรุป ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพระพรให้ตัวเอง ในสังคมนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การเชื่อในพระเจ้าก็ทำไปเพื่อที่จะได้รับพระพรแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ทั้งหมดนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ผู้คนที่มีอุปนิสัยซึ่งเปลี่ยนแปลงแล้วนั้นแตกต่างออกไป พวกเขารู้สึกว่า ความหมายมาจากการดำรงชีวิตอยู่โดยความจริง ว่ามีเพียงผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเท่านั้นที่เหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่ามนุษย์ ว่าพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ก็คือ การนบนอบต่อพระเจ้าโดยการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ว่าการยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งซึ่งถูกมอบหมายสั่งการโดยฟ้าและแผ่นดินโลก—และหากพวกเขาไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าและชดใช้คืนความรักของพระองค์ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่ามนุษย์ ทั้งนี้เป็นเพราะว่า การดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองของคนเรานั้นว่างเปล่าและไร้สิ้นซึ่งความหมาย พวกเขารู้สึกว่าผู้คนควรดำรงชีวิตอยู่เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี และเพื่อดำรงชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่มีความหมาย เพื่อที่แม้แต่ยามที่เป็นเวลาตายของพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกพอใจและไม่มีความเสียดายเลยแม้แต่น้อยนิด และรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า” (“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจ ว่าผมคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง ปกป้องตัวเองในทุกๆ เรื่อง อยากจะหลีกหนีซ่อนตัวจากหน้าที่ในสภาพแวดล้อมที่อันตราย เพราะใช้ชีวิตตามหลักการของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” ปรัชญาพวกนี้กลายมาเป็นธรรมชาติของผม ควบคุมความคิดและพฤติกรรมของผม ทำให้ผมเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ไม่ได้คำนึงถึงงานแห่งพระนิเวศเลย ผมรู้ดีถึงความสำคัญของหนังสือพระวจนะของพระเจ้า ผมควรเสี่ยงทุกอย่างเพื่อปกป้องมัน แต่ผมก็ยังคงคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเอง ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ผมกลับลุล่วงหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีไม่ได้ ผมคิดว่าการที่พระเจ้า เพื่อทรงช่วยมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างที่สุดให้รอด ทรงเสี่ยงอย่างมากในการมาปฏิบัติพระราชกิจที่ประเทศจีน ที่ซึ่งทรงถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนตามล่า ทนทุกข์จากการถูกประณามและปฏิเสธจากโลกศาสนา พระเจ้าไม่เคยคำนึงถึงความปลอดภัยของพระองค์เอง ทรงแสดงความจริงแก่เราเสมอ แม้เราจะเป็นกบฏและเสื่อมทราม พระเจ้าก็ไม่เคยทอดทิ้งเรา ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อให้ความรู้แจ้งและทรงนำเรา เมื่อรู้เช่นนี้ ผมก็ตระหนักว่าผมติดค้างพระเจ้ามากแค่ไหน ผมเกลียดที่ตัวเองเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ผมได้รับพระคุณและพระวจนะจากพระเจ้ามากมายเหลือเกิน แต่ผมยังพยายามปกป้องตัวเองทุกทาง ไม่เคยคิดถึงการปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ผมไม่มีความเป็นมนุษย์เลย ผมไม่คู่ควรมีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจริงๆ! ผมคุกเข่าลงและอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ไม่มีความเป็นมนุษย์ เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจยิ่งนัก ข้าพระองค์ไม่อยากมีชีวิตแบบนี้อีกต่อไป ข้าพระองค์อยากละทิ้งเนื้อหนัง ลุล่วงหน้าที่ด้วยความสามารถที่มี และค้ำจุนพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า”
ต่อมา ผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้า ตัดตอนมาจาก “‘บทที่ 11’ ของ พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” “จากมวลมนุษย์ทั้งหมด ผู้ใดไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ผู้ใดไม่ได้ใช้ชีวิตท่ามกลางการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ชีวิตและความตายของมนุษย์เกิดขึ้นด้วยการเลือกของเขาเองกระนั้นหรือ? มนุษย์ควบคุมชะตากรรมของเขาเองหรือ? ผู้คนมากมายร้องหาความตาย กระนั้นความตายก็อยู่ไกลจากพวกเขา ผู้คนมากมายเกรงกลัวความตายและต้องการที่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในชีวิต กระนั้นวันที่พวกเขาจะสิ้นชีพกลับใกล้เข้ามา และผลักพวกเขาลงสู่หุบเหวแห่งความตายโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าในคำนิยามของ ‘เนื้อหนัง’ มีการกล่าวว่าเนื้อหนังถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากผู้คนยอมมอบตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง และไม่ถูกซาตานขับดัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36) เมื่อผมใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจ ว่าความเป็นความตายของผู้คนนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เช่นเดียวกับตอนที่ความโหดร้ายของซาตานมาเยือนโยบ หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ซาตานก็ไม่กล้าเอาชีวิตโยบ ในการรับมือกับปัญหาครั้งนี้ ผมจะถูกจับหรือไม่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า หากพระเจ้าทรงอนุญาตให้ตำรวจจับกุมผม ไม่ว่าต้องทนทรมานสักแค่ไหน ต่อให้ถูกซ้อมจนตาย ผมก็ต้องตั้งมั่นคำพยานให้แก่พระเจ้า การที่ได้ทุกข์ทรมานเพื่อพระองค์ มันมีความหมายและมีคุณค่า ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (ลูกา 9:24) ผมยังนึกถึงนักบุญในอดีต เมื่อพวกเขาถูกข่มขู่ด้วยความตาย พวกเขาไม่นึกถึงผลประโยชน์หรือชีวิตของตัวเองเลย แต่กลับเปล่งคำพยานให้แก่พระเจ้า เหมือนกับดาเนียล ที่ถูกโยนเข้าสู่กรงสิงโต หรือยาโคบที่ถูกตัดศีรษะ เปโตรที่ถูกตรึงกางเขนกลับหัว ผมควรเอาอย่างความเชื่อ ความจงรักภักดี และการเชื่อฟังพระเจ้าของพวกเขา ผมไม่อาจกลัวอิทธิพลมืดของซาตาน ใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ ไม่สง่าผ่าเผยอีกต่อไป ผมต้องเสี่ยงทุกอย่าง เพื่อลุล่วงหน้าที่
เช้าวันต่อมา อยู่ๆ ผมก็นึกได้ว่าพี่หวังที่อยู่ใกล้ๆ นี้ อาจรู้จักบ้านที่เก็บหนังสือเอาไว้ ผมจึงไปบ้านเธอ เธอตกใจแล้วพูดว่า “เมื่อวานมีตำรวจกับแกนนำหมู่บ้าน เข้ามาสืบสวนผู้เชื่อในพระเจ้า ถ้าเมื่อวานคุณได้เจอผู้นำคริสตจักรและย้ายหนังสือออกไป คุณจะถูกจับทันที” พอได้ยินพี่หวังพูดเช่นนั้น ผมก็ไม่อาจหยุดขอบคุณพระเจ้าในใจได้ พอได้รู้ข่าวคราวสถานการณ์ในท้องถิ่น ผมก็ย้ายหนังสือไปยังที่ที่ปลอดภัย จนผมเลิกกังวลได้สักที ถึงผมจะทนทุกข์บ้าง จากสภาวะความวิตกกังวลสูงตลอดกระบวนการนี้ ผมก็เห็นผลในทางสัมพันธ์กับชีวิตจริง จากมหิทธานุภาพและอธิปไตยของพระเจ้า พญานาคใหญ่สีแดงจะบ้าคลั่งแค่ไหน มันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่ที่มันปรนนิบัติพระเจ้า เป็นเครื่องมือเพื่อให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพียบพร้อม และเติบโตในชีวิต หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต มันก็ทำอะไรเราไม่ได้
หลังจากประสบการณ์นี้ ความเชื่อในพระเจ้าของผมก็เพิ่มขึ้น ฉันยังได้เข้าใจถึงความเสื่อมทรามของตัวเองด้วย หากต้องเผชิญกับอิทธิพลมืดของซาตาน ผมก็จะไม่หลีกหนีอีกต่อไป ผมสามารถลุล่วงหน้าที่ และปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ ผมเติบโตและได้ประโยชน์ ด้วยการทรงนำของพระเจ้า หากเป็นสภาพแวดล้อมที่สุขสบาย ผมคงไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ