ประสบการณ์แห่งการแบ่งปันข่าวประเสริฐ
ฉันเริ่มแบ่งปันข่าวประเสริฐหลังจากยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ ฉันตกลงใจอย่างเงียบๆ ว่าฉันจะทำหน้าที่ให้ดีไม่ว่าจะเผชิญความยากลำบากอะไร เพื่อให้แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงและมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 ฉันพบบราเดอร์เมลจากฟิลิปปินส์ออนไลน์ เขาอยู่ในโรงเรียนสอนศาสนา และตอนแรกเราคุยกันเยอะมาก เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ อย่างเรื่องของหญิงพรหมจารีมีปัญญาและโง่ การรับขึ้นไปคืออะไร และอื่นๆ พอถึงเรื่องใครที่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ ฉันก็ถามบราเดอร์เมลว่า “คุณคิดว่าเราทุกคนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ในบทอวสานไหมคะ” เขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “แน่นอนครับ ในเอเฟซัสบทที่ 2 ข้อ 8-9 เปาโลกล่าวไว้ว่า ‘เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้’ เราได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ และเราจะได้รับการช่วยให้รอดหากเราอดทนถึงบทอวสาน เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์จะทรงนำเราตรงเข้าสู่ราชอาณาจักร หากเรามีความลังเลสงสัยในเรื่องนั้น ก็เป็นการปฏิเสธความรอดขององค์พระเยซูเจ้าและเป็นการขาดความเชื่อ” หลังจากเขาพูดแบบนั้น ฉันก็ถามเขาว่า “คุณพูดว่าเราได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระคุณ เพื่อให้เราเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ คำกล่าวนี้มีรากฐานจากพระคัมภีร์ไหมคะ องค์พระเยซูเจ้าทรงตรัสแบบนั้นหรือเปล่าคะ พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสแบบนั้นหรือเปล่าคะ พระคัมภีร์กล่าวถึงการได้รับความชอบธรรมและช่วยให้รอดโดยความเชื่อ แต่ไม่ได้กล่าวว่าสิ่งเหล่านั้นจะพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักร คำกล่าวนี้ไม่มีรากฐาน มันไม่ใช่แค่มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เหรอคะ”
เมลอึ้งไปพลางบ่นพึมพำเงียบๆ ว่า “การได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อไม่ได้หมายถึงการได้เข้าสู่ราชอาณาจักรเหรอ” แล้วฉันก็ส่งข้อพระคัมภีร์ให้เขาสองสามข้อที่ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” (มัทธิว 7:21) “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย” (มัทธิว 18:3) “ในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ” (วิวรณ์ 14:5) “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45) แล้วฉันก็พูดว่า “พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าชัดเจนมากเรื่องเงื่อนไขในการเข้าสู่ราชอาณาจักร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์ และพระองค์มีพระประสงค์ให้เราบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ และไร้เล่ห์เหลี่ยมเยี่ยงเด็กเล็ก เพื่อละทิ้งความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาด เพื่อกลายเป็นคนที่เชื่อฟังพระเจ้าและทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ มีเพียงสิ่งนั้นที่ทำให้ใครสักคนเหมาะสมกับราชอาณาจักรค่ะ แล้วเราทำตามพระประสงค์เหล่านั้นได้หรือยังคะ คุณกล้าพูดไหมคะว่าไม่เคยโกหกเลย คุณกล้าพูดไหมคะว่าคุณเป็นอิสระจากบาปและได้รับการชำระให้สะอาดอย่างสมบูรณ์แล้ว” เมลเงียบไปเลยค่ะ ฉันสามัคคีธรรมต่อไปว่า “หากเราสารภาพและกลับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะได้รับความเป็นธรรมโดยความเชื่อและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระคุณ เรื่องนั้นจริงค่ะ แต่การได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระคุณ จริงๆ แล้วหมายความว่าอย่างไรกันแน่คะ เราทุกคนรู้ดี ว่าในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงประทานการทรงนำสำหรับชีวิตของผู้คนโดยทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติผ่านโมเสส แต่ช่วงท้ายของยุค กลับไม่มีใครรักษาธรรมบัญญัตินั้นได้ ทุกคนทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนอยู่ในอันตรายของการถูกกล่าวโทษหรือประหารชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ นี่คือบริบทที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ และปลดปล่อยมนุษย์จากธรรมบัญญัติค่ะ หลังจากนั้น ตราบใดที่ผู้คนยอมรับองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด อีกทั้งสารภาพและกลับใจ บาปของพวกเขาก็ได้รับการอภัย และพวกเขาก็ไม่ถูกกล่าวโทษจากการไม่รักษาธรรมบัญญัติ นั่นแปลว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นว่าเราเต็มไปด้วยบาปอีกต่อไป เราถูกเรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้เพราะการไถ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเราก็เหมาะสมที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐาน และชื่นชมพระคุณ สันติสุข และความปีติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ นั่นคือสาเหตุที่การได้รับความเป็นธรรมโดยความเชื่อและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระคุณ แปลว่าบาปของเราได้รับการอภัยผ่านความเชื่อ และเราไม่ถูกกล่าวโทษภายใต้ธรรมบัญญัติ แต่ไม่ได้แปลว่าเราเป็นอิสระจากบาปหรือได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราชอบธรรมอย่างแท้จริงหรือคู่ควรกับราชอาณาจักร”
เมลตอบด้วยความประหลาดใจว่า “งั้นการได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ ก็แค่แปลว่าบาปของเราได้รับการอภัยและองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ทรงเห็นว่าเราเปี่ยมบาป แต่ไม่ใช่ว่าเราชอบธรรมและสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ ศิษยาภิบาลของเราไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย” แล้วฉันก็อ่านบทตอนเหล่านี้ของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เขาฟังค่ะ “ณ เวลานั้นพระราชกิจของพระเยซูคือพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง บาปต่างๆ ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการอภัย ตราบเท่าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ พระองค์จะทรงไถ่เจ้า หากเจ้าเชื่อในพระองค์ เจ้าก็ไม่มีบาปอีกต่อไป เจ้าได้รับการปลดเปลื้องจากบาปของเจ้า นี่คือความหมายของการได้รับการช่วยให้รอดและการมีความชอบธรรมจากความเชื่อ แต่ถึงกระนั้นในตัวผู้ที่เชื่อก็ยังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า และสิ่งที่ยังคงต้องค่อยๆ ขจัดออกไป ความรอดมิได้หมายความว่ามนุษย์ต้องได้รับการรับไว้โดยพระเยซูอย่างสมบูรณ์ แต่หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีบาปอีกต่อไป หมายความว่าเขาได้รับการอภัยบาปของเขาแล้ว หากว่าเจ้าเชื่อ เจ้าจะไม่มีวันมีบาปอีก” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2)) “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่…ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “เจ้ารู้เพียงว่าพระเยซูจะเสด็จลงมาในระหว่างยุคสุดท้าย แต่พระองค์จะเสด็จลงมาอย่างไรกันแน่เล่า? คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์ เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง? ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น! เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์)
หลังจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็พูดในการสามัคคีธรรมว่า “ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจในระยะขั้นของการไถ่ตามความจำเป็นของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงแสดงหนทางแห่งการกลับใจ เพื่อให้ผู้คนสามารถสารภาพและกลับใจตามความรู้ในเรื่องบาปของพวกเขา แสวงหาการรักองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเกลือและความสว่าง รักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง และอื่นๆ ผู้คนเรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่ดี เป็นผลจากพระราชกิจแห่งการไถ่ เมื่อเราได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูเจ้า บาปของเราก็ได้รับการอภัย และพระองค์ไม่ทรงเห็นเราว่าเต็มไปด้วยบาป แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราเป็นอิสระจากบาปหรือได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว เพราะธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของเรายังคงฝังลึก และเราก็เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่เสมอ อย่างความโอหัง ความคดโกง ความหลอกลวง ความชั่ว และความร้ายกาจเลวทราม ตัวอย่างเช่น หากเรามีพรสวรรค์หรือจุดแข็งสักข้อหนึ่ง หรือมีความสามารถบางอย่าง เราก็คิดว่าเรานั้นยอดเยี่ยม เราทะนงตนและดูถูกคนอื่น เมื่อเสียสละหรือเป็นทุกข์เล็กน้อยในงาน เราก็อดไม่ได้ที่จะคุยโวโอ้อวดเพื่อให้คนอื่นชื่นชมเรา เมื่อเห็นว่ามีใครดีกว่า เราก็สามารถอิจฉาและเกลียดชังพวกเขาได้ เมื่อมีอะไรมาแตะผลประโยชน์ของเราเอง เราก็อาจจะโกหกและคดโกง เมื่อเผชิญความทุกข์ลำบาก การทดสอบ ความวิบัติ ความป่วยไข้ หรือเกิดเรื่องไม่ดีกับครอบครัว บางครั้งเราก็เข้าใจผิดและโทษพระเจ้า หรือถึงขั้นปฏิเสธและทรยศพระองค์ค่ะ ทั้งหมดนี้แสดงว่าเรายังถูกบาปล่ามเอาไว้ และเรายังสามารถทำบาปและต่อต้านพระเจ้าได้ กว่าสองพันปีที่ทุกคนใช้ชีวิตอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการทำบาปและสารภาพนี้ และไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เป็นอิสระจากมัน นี่เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนค่ะ หากเราเปรียบเทียบตัวเองกับสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ ไม่โกหก ปราศจากตำหนิ และมีความบริสุทธิ์ เราก็ไม่ใกล้เคียงเลยค่ะ เราไม่มีทางเทิดพระเกียรติหรือเป็นพยานต่อพระเจ้าได้เลย คนแบบเราจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้อย่างไร องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป’ (ยอห์น 8:34-35) ดังนั้นหากเราต้องการถูกชำระให้สะอาดและเข้าสู่ราชอาณาจักร เราจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้ายและทรงพระราชกิจเพื่อขจัดบาปของเรา เพื่อแก้ไขอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา และถอนรากถอนโคนบาป รวมถึงความเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้าของเราอย่างสิ้นเชิง”
หลังจากการสามัคคีธรรมนี้ เมลพูดว่าเขาเข้าใจแล้ว ว่าองค์พระเยซูเจ้าแค่ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ และแม้ว่าเราได้รับความเป็นธรรมโดยความเชื่อ เราก็ยังทำบาปและยังถูกความบาปล่ามไว้ เราจึงไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เขาก็ถามว่า “แต่คุณพูดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำอีกขั้นตอนของพระราชกิจแห่งความรอดในยุคสุดท้าย นั่นดูเหมือนเป็นการปฏิเสธความรอดขององค์พระเยซูเจ้านะครับ บาปของเราได้รับการอภัยผ่านความเชื่อของเราแล้ว ดังนั้นถึงเราไม่ชอบธรรม ความรอดของพระเจ้าก็เพียบพร้อม ความสำเร็จเสร็จสิ้นของพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าจัดการเรื่องนั้นแล้ว จึงไม่มีความรอดอีก เมื่อได้รับการช่วยให้รอดแล้วเราก็ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดอีกได้ นั่นไม่ได้แปลว่าความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปล่าประโยชน์เหรอ พี่สาว ดูเหมือนว่าคุณแค่มีข้อสงสัยนี้เพราะคุณไม่มีความเชื่อในความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้านะครับ”
พอเขาพูดแบบนั้น ฉันก็คิดว่า “บราเดอร์เมลค่อนข้างอ่อนวัย แต่กลับมีมโนคติที่หลงผิดรุนแรงพอสมควร เขาเห็นด้วยว่าความชอบธรรมโดยความเชื่อไม่ได้ทำให้ใครเข้าสู่ราชอาณาจักร แต่เขาไม่สามารถยอมรับพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้” ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงนำ หลังจากอธิษฐาน ฉันพูดกับเมลว่า “มีเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์ว่าพระเจ้าจะทรงกระทำอีกขั้นตอนของพระราชกิจในยุคสุดท้ายนะคะ ใน 2 โครินธ์ บทที่ 1 ข้อ 10 กล่าวว่า ‘พระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมรณภัยมาแล้ว และพระองค์จะทรงช่วยเราอีก เราหวังในพระองค์ว่าพระองค์จะทรงช่วยเราต่อไปอีก’ ยังมีฮีบรูบทที่ 9 ข้อ 28 ด้วยว่า ‘พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้ แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ’ ใน 1 เปโตรบทที่ 1 ข้อ 5 กล่าวว่า ‘ผู้ได้รับการคุ้มครองโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าทางความเชื่อ ให้เข้าในความรอด ซึ่งพร้อมจะปรากฏในวาระสุดท้าย’ และยอห์นบทที่ 12 ข้อ 47-48 กล่าวว่า ‘เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ 1 เปโตรบทที่ 4 ข้อ 17 กล่าวว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษา จะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เอ่ยถึง ‘พระองค์จะทรงช่วยเราต่อไปอีก’ ‘แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง…ให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ’ ‘ให้เข้าในความรอด ซึ่งพร้อมจะปรากฏในวาระสุดท้าย’ และ ‘ถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ ทั้งหมดนี้หมายความว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจอีกขั้นตอนหนึ่งในยุคสุดท้าย ไม่ใช่เพื่อทรงไถ่มวลมนุษย์จากบาปของเรา แต่เพื่อทรงพิพากษา ทรงชำระให้สะอาด และทรงช่วยเราให้รอดอย่างสมบูรณ์ พระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า ปลดเปลื้องบาปแก่เรา และในยุคสุดท้าย พระเจ้าจะทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเราให้สิ้นซาก เพื่อปลดปล่อยเราจากบาปและชำระเราให้สะอาดอย่างบริบูรณ์”
แล้วเมลก็พูดอย่างประหลาดใจว่า “งั้นปรากฏว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระให้สะอาดในยุคสุดท้าย และมีความรอดอีกช่วงระยะ บอกผมทีครับ พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษานี้อย่างไร”
ฉันจึงแบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ค่ะ “ฮีบรูบทที่ 4 ข้อ 12 กล่าวว่า ‘เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย’” แล้วฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เขาฟังค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) “พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในระหว่างยุคนี้โดยหลักแล้วเป็นการจัดเตรียมพระวจนะสำหรับชีวิตของมนุษย์ การเปิดโปงธรรมชาติของมนุษย์ แก่นแท้ และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขา และการกำจัดสิ้นมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา ความนึกคิดเชิงศักดินา การคิดที่ล้าสมัย ความรู้และวัฒนธรรมของมนุษย์ต้องได้รับการชำระให้สะอาดโดยผ่านทางการถูกเปิดโปงด้วยพระวจนะของพระเจ้า ในยุคสุดท้ายพระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ไม่ทรงใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อเปิดโปงมนุษย์ พิพากษามนุษย์ ตีสอนมนุษย์ และทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม เพื่อว่าในพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์จะได้มาเห็นพระปรีชาญาณและความดีงามของพระเจ้า และมาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเพื่อว่ามนุษย์จะมองเห็นกิจการของพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้) หลังจากอ่านบทตอนนี้ฉันก็สามัคคีธรรมต่อไปว่า “ในยุคสุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมายังแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงกำลังใช้ความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งปวงซึ่งชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์ ทรงตีแผ่และชำแหละอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผู้คน ทรงตีแผ่มโนคติที่หลงผิดและความเข้าใจอันโง่เขลาในพระเจ้าของเรา รวมถึงหลักปรัชญา ยาพิษ และมุมมองเยี่ยงซาตานที่เรายึดถืออยู่ภายใน แบบนี้เราก็สามารถเข้าใจความจริงทุกรูปแบบ รู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า แก่นแท้อันบริสุทธิ์และงดงามของพระองค์ รวมถึงพระมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระองค์ได้ พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยความเสื่อมทรามที่เราไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน และเราก็ได้รับความรู้ทั้งเรื่องพระเจ้าและตัวเราเองได้ ผ่านสิ่งที่เปิดเผยในพระวจนะของพระองค์ แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราก็ค่อยๆ ได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงค่ะ เมื่อเราได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้มาก ได้เข้าใจความจริงบางประการ และได้รับปัญญาแยกแยะเหนือมโนคติที่หลงผิดของเราบ้างเรื่องการได้รับความชอบธรรมผ่านความเชื่อ และได้รับความรอดผ่านพระคุณ เราเห็นว่าการต้องการเข้าสู่ราชอาณาจักรทั้งๆ ที่เราโสมมและเสื่อมทรามนั้นช่างโอหังและไร้เหตุผล แล้วเราก็เริ่มกลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และนี่แปลว่าเราเริ่มยอมรับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า”
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เมลก็ยิ้มและพูดว่า “ผมได้รับความรู้สึกของการถูกพระเจ้าพิพากษาจริงๆ ครับ คิดย้อนไปตลอดหลายปีที่ผมเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ผมคิดว่าการได้รับการความชอบธรรมโดยความเชื่อและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระคุณ แปลว่าผมเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ และผมไม่สงสัยว่านี่เป็นความจริง ตอนนี้ผมเห็นว่า ความเชื่อของผมตั้งอยู่บนมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการ และมันก็ไม่ได้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าสักนิดเลยครับ”
ฉันพูดว่า “ใช่แล้วค่ะ หากไม่ใช่เพราะพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เปิดเผยทั้งหมดนี้ เราก็คงไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้” หลังจากนั้น ฉันก็อ่านอีกบทตอนของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เขาฟังค่ะ “เหตุใดพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจึงเป็นพระราชกิจช่วงระยะสุดท้าย? พระราชกิจนี้ไม่ใช่เพื่อสำแดงว่ามนุษย์แต่ละประเภทจะพบกับบทอวสานรูปแบบใดหรอกหรือ? พระราชกิจนี้ไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนได้รับการตีสอนและการพิพากษาในระหว่างช่วงเวลาที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยดำเนินไป เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา แล้วจากนั้นก็ได้รับการจำแนกตามประเภทของพวกเขาหรือ? แทนที่จะกล่าวว่านี่เป็นการพิชิตมวลมนุษย์ อาจจะเป็นการดีกว่าที่จะกล่าวว่านี่กำลังแสดงให้เห็นว่าบุคคลแต่ละประเภทจะมีบทอวสานแบบใด นี่เป็นเรื่องของการพิพากษาบาปของผู้คน และจากนั้นจึงเปิดเผยประเภทต่างๆ ของผู้คน ดังนั้นจึงเป็นการตัดสินว่าพวกเขาชั่วร้ายหรือชอบธรรม หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย พระราชกิจแห่งการประทานรางวัลสำหรับความดีและการลงโทษสำหรับความชั่วก็จะมาถึง ผู้คนที่เชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์—ซึ่งหมายถึงผู้ที่ถูกพิชิตอย่างถ้วนทั่ว—จะได้รับการจัดให้อยู่ในขั้นตอนถัดไปในการเผยแพร่พระราชกิจของพระเจ้าไปยังทั่วทั้งจักรวาล ผู้ที่ไม่ถูกพิชิตจะถูกจัดให้อยู่ในความมืดและจะพบกับหายนะ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงจะได้รับการจำแนกตามประเภท พวกคนทำชั่วจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มความชั่วร้าย จะอยู่โดยไม่มีแสงอาทิตย์อีกเลย และผู้ชอบธรรมจะได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มความดี ได้รับความสว่างและใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างตลอดกาล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)) ฉันบอกเขาว่า “โดยการได้รับการพิพากษาและตีแผ่ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนก็ได้รับการชำระให้สะอาด และพวกเขาก็กลายเป็นชอบธรรมอย่างแท้จริง พวกเขาสามารถได้รับการคุ้มครองและรอดพ้นความวิบัติครั้งใหญ่ และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า แต่พวกที่คิดถึงแต่พระคุณและการถูกช่วยให้รอด ในขณะที่ปฏิเสธพระราชกิจแห่งการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า จะถูกเปิดโปงและกำจัดทิ้งโดยพระเจ้า พวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญเมื่อความวิบัติมาถึง นี่ทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์บทที่ 22 ข้อ 1 ลุล่วง ที่บอกว่า ‘จงให้คนอธรรมประพฤติการอธรรมต่อไป จงให้คนโสมมประพฤติการโสมมต่อไป จงให้คนชอบธรรมทำการชอบธรรมต่อไป และจงให้คนบริสุทธิ์เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป’ คนชอบธรรมจะถูกแยกออกจากคนไม่ชอบธรรมโดยวิธีนั้น แล้วพระเจ้าจะทรงเริ่มให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว จัดการผู้คนตามสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ”
เมลตอบอย่างมีความสุขว่า “งั้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายก็ไม่ใช่แค่ชำระผู้คนให้สะอาด แต่ยังตีแผ่ผู้คนประเภทต่างๆ ด้วยสิครับ พระราชกิจของพระเจ้าช่างปราดเปรื่องจริงๆ! สิ่งที่ศิษยาภิบาลของเราเทศนาเสมอ เรื่องการได้รับความชอบธรรมผ่านความเชื่อและความรอดผ่านทางพระคุณก็ไม่ถูกต้อง ผมไม่เคยมีปัญญาแยกแยะเลย ผมเพียงแต่ยึดมั่นอยู่กับมโนคติที่หลงผิดพวกนั้น คิดไปว่าความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเสร็จสิ้นแล้วและไม่มีความรอดอีก และคิดว่าเราสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ด้วยการได้รับความเป็นธรรมและความรอด พอมาคิดดูก็น่าอายนะครับ ผมขอบคุณพระเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงอนุญาตให้ผมได้ฟังเรื่องนี้ ผมเต็มใจยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย”
ฉันตื่นเต้นมากที่เห็นว่าเขาต้องการยอมรับ การพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า แต่ฉันก็ประหลาดใจเมื่อเราพบกันในไม่กี่วันต่อมา และเมลพูดว่าเขาไปบ้านของศิษยาภิบาลเมื่อสุดสัปดาห์ และแบ่งปันสามัคคีธรรมของฉันกับเขา ศิษยาภิบาลของเขาบอกว่าฉันพูดผิด บอกว่าการได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อและความรอดโดยพระคุณนั้นถูกต้อง และไม่จำเป็นต้องได้รับการพิพากษาโดยพระเจ้าในยุคสุดท้าย เขายังบอกเมลให้ตัดการติดต่อกับฉันด้วยค่ะ ฉันบอกได้เลยว่าเขารู้สึกหดหู่ทีเดียวตอนที่พูดแบบนั้น และฉันเห็นว่าตอนนั้นเขาไม่แน่ใจเรื่องการยอมรับการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าค่ะ ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันในคำพยานของฉัน แล้วพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจค่ะ “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน บททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น” (“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จริงค่ะ การเป็นพยานไม่ใช่แค่บอกผู้คนเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า กุญแจสำคัญคือการใช้ประสบการณ์ของเราเอง เพื่อเป็นพยานว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าสามารถชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดได้จริงๆ ฉันรู้ว่าฉันก้าวผ่านการพิพากษาของพระเจ้ามาแล้ว แล้วทำไมฉันไม่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวของฉันเองให้เขาฟังล่ะ ความคิดนี้ทำให้ใจฉันสงบลงและให้หนทางไปข้างหน้าแก่ฉัน
ฉันพูดกับเมลว่า “พระเจ้าทรงทำอีกหนึ่งขั้นตอนของความรอดในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา และเรื่องนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ หลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เราก็ไม่ได้รักความจริงโดยธรรมชาติ และเราไม่สามารถนำมันมาปฏิบัติจริงๆ ได้ บางคนก็ควบคุมตัวเองได้ หรืออดอาหารอธิษฐาน แต่ไม่มีใครสามารถหนีความบาปอย่างสิ้นเชิงได้ อย่างที่ว่า ‘เป็นการง่ายกว่าที่จะเคลื่อนภูเขาและแม่น้ำ แทนที่จะเปลี่ยนธรรมชาติของใครคนหนึ่ง’ หากไม่ยอมรับการทรงพิพากษาและการทรงชำระให้สะอาดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ธรรมชาติเยี่ยงซาตานจะยังคงฝังแน่นอยู่ในตัวเรา และสามารถทำให้เราเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราเมื่อไรก็ได้ หรือแม้แต่ทำให้เราต่อต้านและเป็นกบฏต่อพระเจ้าค่ะ ดูอย่างฉันเป็นตัวอย่างสิคะ ฉันเคยเป็นคนที่โอหังทีเดียว ฉันมีความสามารถอยู่บ้างและเคยทำอะไรมากมาย อีกทั้งยอมเสียสละเพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนฉันเป็นคนที่นำความชื่นชมยินดีมาสู่พระเจ้าเสมอ แต่พอฉันได้ฟังคำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย ฉันก็ไม่ยอมรับค่ะ ฉันคิดว่าเราได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระคุณ ในตอนนั้นฉันจึงพูดอย่างไม่ได้คิดไตร่ตรองด้วยซ้ำว่า ‘ไม่มีทาง พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจเพิ่มแล้ว เราไม่จำเป็นต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์’ พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นเพียรแบ่งปันการสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หลังจากนั้น แล้วในที่สุดมโนคติที่หลงผิดของฉันก็ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง หลังจากยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในการเฝ้าเดี่ยววันหนึ่ง ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางบทตอน ที่ทำให้ฉันรู้สึกละอายใจจริงๆ ค่ะ” พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยบุคคลที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิด ซึ่งต่ำกว่าฟ้าสวรรค์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไม่สิ้นสุด เจ้าห่างไกลจากการเป็นคนฉลาดกว่าผู้ใดอื่น—และอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำว่าการที่เจ้าโง่กว่าผู้คนใดๆ ที่มีเหตุผลบนแผ่นดินโลกอย่างมากก็ดูน่ารักดี เพราะเจ้าคิดถึงตัวเองอย่างอวดดีเกินไปและไม่เคยได้มีสำนึกรับรู้ของความด้อยกว่าเลย ราวกับว่าเจ้าสามารถมองทะลุการกระทำของเราลงไปถึงรายละเอียดที่เล็กกระจิริดที่สุด ในประเด็นที่เป็นข้อเท็จจริงนั้น เจ้าคือใครสักคนที่โดยพื้นฐานแล้วขาดพร่องเหตุผล เพราะเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าเราตั้งใจที่จะทำอะไร และเจ้ายิ่งตระหนักรู้น้อยลงไปใหญ่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้ และดังนั้นเราจึงพูดว่าเจ้าไม่แม้แต่จะทัดเทียมกับชาวนาเฒ่าที่กำลังตรากตรำทำงานบนผืนดิน ชาวนาที่ไม่ได้มีการล่วงรู้ถึงชีวิตมนุษย์แม้แต่น้อย แต่ก็ยังมอบความไว้วางใจทั้งหมดของเขาไว้กับพรแห่งฟ้าสวรรค์เมื่อเขาทำการเพาะปลูกบนแผ่นดิน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน: พวกเขาไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานหรอกหรือ?) “จงปลดปล่อยความเห็นของพวกเจ้าเกี่ยวกับ ‘เป็นไปไม่ได้’! ยิ่งผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น เพราะพระปรีชาญาณของพระเจ้าทะยานสูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระราชดำริของพระเจ้าอยู่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตของความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ยิ่งบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความจริงที่สามารถค้นหาได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งบางสิ่งอยู่เลยมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์มากเท่าใด มันก็ยิ่งบรรจุน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่) “หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า ตามก้าวพระบาทของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเดินออกห่างจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเสียก่อน เจ้าต้องไม่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรวางพระองค์ไว้ในขอบเขตของเจ้าเองและจำกัดพระองค์ไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับควรเรียกร้องตัวพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าควรที่จะแสวงหารอยพระบาทของพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรที่จะยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรที่จะยอมจำนนต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างไร กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และไม่ได้ครอบครองความจริง เขาจึงควรแสวงหา ยอมรับ และเชื่อฟัง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่)
แล้วฉันก็บอกเขาว่า “การอ่านพระวจนะของพระเจ้ากระทุ้งใจของฉันมาก ฉันเห็นว่าฉันโอหังแค่ไหน เมื่อพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ามาถึงฉัน ฉันไม่ได้แสวงหาหรือพิจารณาพระราชกิจนั้น และไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังเพื่อดูว่าใช่พระสุรเสียงของพระองค์หรือไม่ ฉันเพียงแค่พูดอย่างโอหังว่าพระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจเพิ่มอีก ราวกับฉันมีหน้าต่างเพื่อส่องดูพระราชกิจของพระเจ้า ฉันเป็นเพียงอีกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ฉันจะหยั่งถึงพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และพระราชกิจใดๆ ที่พระองค์ทรงทำนั้นสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ราวกับพระเจ้าจะต้อง ทรงแสวงหาความเห็นชอบในพระราชกิจของพระองค์จากฉัน ให้พระราชกิจนั้นสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของฉัน! การที่ฉันยืนยันว่า ‘ไม่มีทาง’ เป็นการที่ฉันจำกัดพระเจ้า รวมถึงเป็นการแสดงว่าฉันกำลังต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าด้วย นั่นเป็นเหมือนพวกฟาริสี ที่เฝ้ารอให้พระเมสสิยาห์เสด็จมาอยู่เสมอ แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจจริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้จักพระองค์ พวกเขาตัดสินและกล่าวโทษพระองค์ตามมโนคติที่หลงผิดของตน และถึงกับตรึงพระองค์บนกางเขน พวกเขาลงเอยด้วยการทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองและถูกพระองค์ลงโทษ พฤติกรรมของฉันไม่ต่างจากพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าเลยค่ะ! เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็เข้าใจด้วย ว่าการเพลิดเพลินกับพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าและกระทำความดีบ้าง ไม่สามารถแทนที่การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยได้ หากไม่ถูกพระเจ้าพิพากษาและชำระให้สะอาด ความโอหังของฉันก็จะแสดงออกมาทันทีที่มีสิ่งที่ฉันไม่ชอบเกิดขึ้น จนถึงขั้นไม่เหลือเหตุผลเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าตัวเองกำลังปกป้องหนทางที่แท้จริงและอุทิศตัวต่อพระเจ้า ขณะที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าตลอดเวลา ฉันไร้ซึ่งความเข้าใจโดยสิ้นเชิง มันน่ากลัวมากค่ะ ฉันมาเข้าใจอุปนิสัยที่โอหังของตัวเองขึ้นมาบ้างผ่านทางการพิพากษาจากพระวจนะของพระเจ้า แล้วจากนั้นเมื่อฉันกำลังจะแสดงความโอหังของตัวเอง ฉันก็จะอ่านพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าและทบทวนตัวเองค่ะ โดยไม่ทันรู้ตัว ฉันก็กลายเป็นคนถ่อมตนมากขึ้น อีกทั้งได้จิตสำนึกและเหตุผลแต่เดิมของฉันกลับคืนมาบ้าง ฉันสามารถแสวงหาความจริงได้เมื่อมีสิ่งที่ไม่ชอบเกิดขึ้น แทนที่จะตัดสินและจำกัดอะไรไปมั่วๆ หรือยึดมั่นในมุมมองของตัวเองอย่างดื้อรั้น ฉันเคารพนับถือพระเจ้ามากขึ้น และค่อยๆ ได้รับความคล้ายมนุษย์ด้วยค่ะ ฉันได้มาซาบซึ้งว่าการพิพากษาและการตีสอน หมายถึงการเปลี่ยนแปลงและการชำระให้สะอาดทีละน้อย และนี่คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราผ่านพระวจนะของพระเจ้าค่ะ พระวจนะของพระเจ้านั้นแข็งกร้าวและแหลมคม แต่นี่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้น ที่พระองค์มีแก่มวลมนุษย์ อย่างที่กล่าวกันว่า ‘ยาขมรักษาสิ่งที่ทำให้คุณเจ็บป่วย’ พระเจ้าทรงพิพากษาและตีแผ่เราโดยทางนี้ ก็เพื่อเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราให้ดีขึ้น พระเจ้าทรงทำแบบนี้เพราะพระองค์ทรงรักเรามากค่ะ เมื่อฉันเข้าใจทั้งหมดนี้ ฉันก็เต็มใจยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น และละทิ้งความโอหังของตัวเองโดยเร็วที่สุด เพื่อใช้ชีวิตที่คล้ายมนุษย์ค่ะ ฉันได้มาซาบซึ้งด้วยว่า พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือสิ่งที่เราต้องการในชีวิต และมีเพียงการพิพากษาในทางนี้ที่ช่วยเราให้รอดจากบาปได้ การพิพากษาและการตีสอนเป็นความรอดของพระเจ้าสำหรับพวกเราจริงๆ และความรักนั้นยิ่งใหญ่กว่าพระคุณหรือเครื่องบูชาไถ่บาปค่ะ”
หลังฟังการสามัคคีธรรมของฉัน เมลก็พูดอย่างมีความสุขว่า “ตลอดหลายปีที่ผมเชื่อในองค์พระเยซูเจ้ามา ผมไม่เคยได้ยินสมาชิกคริสตจักรคนอื่นพูดถึงความเสื่อมทรามของพวกเขาเองเลยครับ พวกเขาแค่โอ้อวดว่าตัวเองดีแค่ไหน ภายนอกทุกคนปฏิบัติต่อกันด้วยความอดทนอดกลั้น แต่พอเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพวกเขา ความรักทั้งหมดก็อันตรธานหายไป ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่ามันเป็นเพราะอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา และเมื่อไม่ได้รับประสบการณ์ การพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระวจนะของพระเจ้า เราจะไม่มีทางรู้จักตัวเองเลย หรือฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบต่อพระองค์ เราจะไม่สามารถรักคนอื่นเหมือนรักตัวเองด้วยเช่นกัน การพิพากษาและการตีสอนเป็นความรอดของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์จริงๆ และนี่คือสิ่งที่เราต้องการ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงจริงๆ ผมจะไม่ฟังคนอื่นอีกต่อไปแล้ว ผมจะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และยอมรับพระวจนะของพระองค์เท่านั้น!” ตอนที่เขาพูดเรื่องนี้ เขาก็เปลี่ยนชื่อกลุ่มแชทของเราเป็น “นี่คือครอบครัวที่แท้จริงของผม” ผู้ชายอกสามศอกคนนี้ร้องไห้ออกมาและพูดว่า “ผมพบพระเจ้าแล้ว ผมพบครอบครัวของผมแล้ว ที่ไหนที่ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ ที่นั่นคือครอบครัวของผมครับ!” พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ฉันก็ตื้นตันใจจริงๆ ค่ะ
ประสบการณ์การแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเมลทำให้ฉันซาบซึ้งใจมาก ว่าหากไม่เข้าใจความจริง ผู้คนสามารถูกมโนคติที่หลงผิดและความเชื่อผิดๆ ทางศาสนาทุกรูปแบบหลอกลวงและจำกัดเอาได้ เราจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้าจริงๆ ต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง และสามัคคีธรรมตามความจริง ใช้ความเข้าใจแท้จริงจากการได้รับประสบการณ์พระราชกิจของพระเจ้าของเราเป็นพยานให้ความรอดของพระองค์ ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจความจริง และเริ่มมีปัญญาแยกแยะเหนือมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา เพื่อมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันได้รับประสบการณ์ด้วยว่า พระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้านั้นยากลำบากแค่ไหน ฉันอยากทำงานเคียงข้างพระเจ้า และนำผู้คนที่มีความเชื่อแท้จริงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อทำให้พระองค์สบายพระทัย
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ