ฉันก้าวผ่านการแทรงแซงของพ่อมาอย่างไร

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

18 พฤศจิกายนปี 2021 ฉันได้รู้จักพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บนอินเทอร์เน็ต ด้วยการอ่านพระวจนะ และฟังสามัคคีธรรมของพวกเขา ฉันก็เชื่อแน่ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ฉันตื่นเต้นมาก และยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างสุขใจ ฉันอยากบอกข่าวดีนี้ให้ครอบครัวรู้โดยเร็ว โดยเฉพาะพ่อของฉัน พ่อเป็นคริสเตียนมาตั้งแต่อายุสามสิบ ตอนนั้นพ่อหกสิบแล้ว เฝ้ารอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาตลอด ถ้าพ่อรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฉันแน่ใจว่าพ่อจะยอมรับอย่างสุขใจพอๆ กับฉัน แต่กลับผิดคาด พอฉันบอกพ่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว พ่อถึงกับห้ามไม่ให้ฉันเชื่อ พ่อว่า “พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะทรงกลับมาปรากฏในรูปมนุษย์” “พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆเพื่อยกผู้เชื่อขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์” ฉันบอกพ่อว่า “พ่อคะ ที่จริง องค์พระเยซูเจ้าตรัสหลายครั้งว่าในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงกลับมาในฐานะบุตรมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ‘เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27)เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:37)เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(มัทธิว 24:44) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ล้วนเอ่ยถึงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในฐานะบุตรมนุษย์ ซึ่งแปลว่าพระเจ้าเสด็จมาปรากฏในรูปบุตรมนุษย์” ก่อนฉันจะทันพูดจบ พ่อก็ขัดจังหวะแล้วพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าคือบุตรมนุษย์ เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงกลับมาในฐานะบุตรมนุษย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนเมฆเพื่อรับเราเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์เท่านั้น” ฉันพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงกลับมาด้วยการเสด็จมาบนเมฆเท่านั้นนะคะ มีเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์ว่าจะทรงกลับมาในสองทาง เสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์อย่างลับๆ จากนั้นก็เสด็จมาอย่างเปิดเผยบนเมฆ วิวรณ์เผยพระวจนะว่า ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15)เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 3:3) และมัทธิว 25:6 กล่าวว่า ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”’ คำเผยพระวจนะเหล่านี้ล้วนกล่าวว่าองค์พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาอย่างขโมย แปลว่าพระองค์เสด็จมาเงียบๆ โดยไม่มีใครล่วงรู้ ถ้าองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาอย่างเปิดเผย ขี่บนเมฆขาวในท้องฟ้า ทุกคนจะเห็นพระองค์ แล้วคำเผยพระวจนะเหล่านี้จะลุล่วงยังไง? ในยุคสุดท้าย พระเจ้าเสด็จมาอย่างลับๆ ในฐานะผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก่อน เพื่อแสดงความจริงและทรงงานแห่งการพิพากษา หญิงพรหมจารีมีปัญญาได้ยินเสียงของพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาถูกพระวจนะพิพากษาและชำระให้บริสุทธิ์ และทำให้เป็นผู้ชนะโดยพระเจ้า จากนั้น มหาวิบัติเริ่มเคลื่อนลงมา และระยะของงานลับๆ ของพระเจ้าในเนื้อหนังก็สรุปจบ หลังจากมหาวิบัติ พระเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆและทรงปรากฏอย่างเปิดเผยแก่ทุกคน เป็นการทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วง ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7)” ฉันพูดกับพ่อว่า “พ่อคะ ลองคิดดูสิ เหตุผลชัดเจน ว่าเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาบนเมฆ ทุกคนจะสุขใจในการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด แล้วทำไมจึงกล่าวว่า ‘และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’? เพราะเมื่อพระเจ้าทรงงานในฐานะผู้ทรงปรากฏในรูปบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงเสร็จสิ้นงานแห่งการพิพากษาและชำระให้บริสุทธิ์ พวกคนที่เพียงแค่รอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆ อีกทั้งคนที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะพลาดโอกาสยอมรับการพิพากษาและชำระให้บริสุทธิ์ในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆเพื่อปูนบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว พวกนั้นจะร่วงสู่ความวิบัติและร่ำไห้อย่างขมขื่น” พอพูดจบ ฉันก็ให้พ่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และวิดีโอคำพยานข่าวประเสริฐ แต่พ่อก็ยังยึดมั่นในมุมมองของตัวเอง พ่อมีท่าทีที่โอหังและโกรธขึ้งต่อฉันมาก และบอกฉันไม่ให้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ต่อมา พ่อเห็นว่าฉันไปร่วมชุมนุมของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บ่อยๆ พ่อจึงใช้อ้างเพื่อห้ามฉันว่า “ลูกเสียเวลาเกือบทั้งวันเข้าร่วมชุมนุมทางโทรศัพท์ ฉันอยากให้แกทำงานหาเงินมาจ่ายค่าใช้จ่ายในบ้าน ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้เงินแกอีกแม้แต่แดงเดียว! ถ้าแกไม่ทำงาน ก็ออกจากบ้านไปได้เลย!” สิ่งที่พ่อพูดทำให้ฉันกังวลมาก ถ้าฉันต้องทำงาน ก็จะไม่มีเวลาเข้าร่วมชุมนุมและอ่านพระวจนะ แต่ถ้าฉันไม่หางาน พ่อจะไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันก็จะไม่มีที่ให้อยู่ ฉันกลัวมากค่ะ ฉันจึงไปทำงานและทำงานตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงบ่ายสี่โมง ผ่านไปสักพัก ฉันก็เริ่มละทิ้งหน้าที่ เพราะฉันใช้โทรศัพท์ตอนทำงานไม่ได้ จึงให้น้ำผู้มาใหม่ไม่ได้ ทุกวันหลังเลิกงานกลับบ้าน ฉันหมดแรง จึงรู้สึกเหนื่อยมากที่การชุมนุม ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเปิดทางให้ฉันทำหน้าที่ ไม่นาน ฉันก็ลาออกจากงานนั้น แล้วมาได้งานเป็นคนทำความสะอาดบ้าน ที่ฉันต้องทำงานแค่สี่ชั่วโมงต่อวัน ถึงจะไม่ได้เงินมาก แต่ก็มีเวลาเข้าร่วมชุมนุมและทำหน้าที่ เมื่อเห็นฉันเข้าร่วมชุมนุมเป็นประจำอีก พ่อก็เข้ามาแทรกแซงต่อ พ่อชอบขอให้ฉันทำอะไรให้ก่อนฉันจะเข้าชุมนุม และบางครั้ง เวลาพ่อเห็นฉันร่วมชุมนุมออนไลน์ ก็จะให้ฉันออกไปข้างนอกด้วย ตอนแรกฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ฉันแค่คิดว่าในเมื่อพ่อเป็นพ่อ ฉันก็ต้องเชื่อฟัง แต่มันยากสำหรับฉัน เพราะฉันไม่อยากพลาดการชุมนุม มีครั้งหนึ่ง พ่อให้ฉันออกไปข้างนอกด้วยอีก ฉันบอกพ่อว่าฉันต้องเข้าชุมนุม ซึ่งทำให้พ่อไม่พอใจมาก ตอนแรกฉันก็ไม่รู้จะรับมือเรื่องนี้ยังไงหรอกค่ะ

ต่อมา ในการชุมนุม พี่น้องชายหญิงอ่านพรวะจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางส่วน ที่ช่วยให้ฉันเห็นสิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้า คือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ ดูแลบุคคลผู้หนึ่ง และทรงเฝ้ามองบุคคลผู้นี้ และเมื่อพระองค์ทรงโปรดปรานและให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลผู้นี้ ซาตานย่อมตามไปอย่างใกล้ชิด พยายามจะหลอกและทำร้ายบุคคลดังกล่าว หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้บุคคลผู้นี้เอาไว้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นชั่วร้ายต่างๆ นานาเพื่อทดลองพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พระราชกิจหยุดชะงักและลดทอนพระราชกิจ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน วัตถุประสงค์นี้คืออะไร? มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน มันต้องการช่วงชิงผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้มาครอบครองเสียเอง มันต้องการที่จะควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจเล่ห์กลของซาตานขึ้นเล็กน้อย เวลาพระเจ้าทรงต้องการช่วยผู้คนให้รอด ซาตานพยายามทุกทางและใช้ทุกคนและทุกสิ่งเพื่อกันไม่ให้พระเจ้าได้รับพวกเขา ซึ่งเกิดขึ้นกับฉัน หลังจากพ่อรู้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็พยายามเต็มที่เพื่อหยุดและก่อกวนฉัน พ่อยกข้ออ้างว่าฉันต้องทำงาน ให้ฉันทำโน่นนี่ทุกครั้งก่อนฉันเข้าชุมนุม และจงใจขัดจังหวะการชุมนุมของฉันโดยให้ฉันไปทำธุระด้วย ทั้งหมดนี้คือการที่ซาตานใช้พ่อมาก่อกวนฉัน เพื่อให้เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะเข้าร่วมชุมนุมหรืออ่านพระวจนะตามปกติ ฉันแยกแยะกลอุบายของซาตานไม่ออก ดังนั้นพอพ่อขู่เข็ญฉัน ฉันก็ฟังเพราะกลัวจะถูกไล่ออกจากบ้าน ฉันตกหลุมการทดลองของซาตาน จึงร่วมชุมนุมเป็นประจำไม่ได้ และทำหน้าที่ได้ไม่ดี ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว ซาตานใช้การรวบกวนของพ่อมาทำให้ฉันห่างเหินจากพระเจ้า และเสียความรอดของพระองค์ ซาตานชั่วร้ายเหลือเกิน แต่พระปัญญาของพระเจ้าดำเนินไปบนพื้นฐานของกลอุบายซาตาน ด้วยการประสบสภาพแวดล้อมนี้ ฉันสามารถแสวงหาความจริง เรียนรู้บทเรียน รู้วิธีแยกแยกกลอุบายของซาตาน ตั้งมั่นในการเป็นพยานและหลู่เกียรติซาตาน ด้วยการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้น ฉันจึงเกิดวิจารณญาณถึงสภาวะตามจริงของสิ่งต่างๆ ฉันต้องตั้งมั่นในการเป็นพยานของตัวเอง และไม่ร่วงสู่กับดักของซาตานอีก

จากนั้น ฉันยืนกรานจะเข้าร่วมชุมนุมและทำหน้าที่ พ่อยังคงขัดขวางและรบกวนฉัน และถึงกับอยากไล่ฉันออกจากบ้านสองสามครั้ง เขาโกรธฉันมากจนไม่อยากคุยกับฉันเลย ไม่คำนึงว่าพ่อทำอะไรกับฉัน ฉันก็รู้ว่าฉันต้องพูดกับพ่อ วันหนึ่งฉันถามพ่อว่า “พ่อคะ ทำไมพ่อไม่คุยกับหนู? ทำไมพ่อถึงอยากไล่หนูออกจากบ้าน?” พ่อพูดว่า “แกห่วงแต่เรื่องชุมนุม และไม่เชื่อฟังพ่อเลย” ฉันพูดว่า “พระเจ้าทรงบอกให้เราเคารพพ่อแม่ ดังนั้นหนูจะไม่เลิกคุยกับพ่อ แต่หนูก็จะไม่เลิกเข้าร่วมชุมนุมเหมือนกัน” พ่อเงียบไม่ปริปาก และไม่พูดอะไรกับฉันหลังจากนั้น ต่อมา ฉันประกาศข่าวประเสริฐกับแม่เลี้ยง เธอคิดว่าเป็นเรื่องดี และเข้าร่วมชุมนุมอยู่หนึ่งเดือน แต่พอพ่อของฉันรู้เข้า พ่อก็สั่งห้ามเธอร่วมชุมนุม และอยากไล่ฉันออกจากบ้าน ฉันเสียใจค่ะ ฉันไม่อยากให้ความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อพังลง เช้าวันหนึ่ง ฉันกำลังอ่านพระวจนะบนมือถือ พอพ่อเห็นเข้าก็ดุด่าฉัน “ถ้าแกยังเข้าร่วมชุมนุมทางมือถือ ฉันจะริบมือถือแกซะ!” แล้วพ่อก็พยายามคว้าโทรศัพท์จากมือฉัน ฉันไม่ให้ พ่อก็เลยพูดอย่างโกรธขึ้งว่า “ถ้าแกไม่เชื่อฟังฉัน ก็เก็บข้าวของออกจากบ้านไปซะ!” ใจฉันสลายเลยค่ะ ฉันกับพ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอด ฉันไม่เคยอยากไปจากพ่อหรือบ้านของพ่อเลย แต่ท่าทีที่พ่อมีต่อฉันและคำพูดเชือดเฉือนพวกนี้ มันเจ็บปวดในแบบที่ฉันบรรยายไม่ได้เลย ถ้าฉันถูกไล่ออกจากบ้าน ฉันก็จะไม่มีที่ไป ฉันไม่มีเงินด้วย ไม่รู้จะทำยังไง ฉันเริ่มร้องไห้ และรู้สึกเจ็บหน้าอก เนื่องจากการขัดขวางและก่อกวนของพ่อ ฉันต้องสู้ทนความกังวลมากมาย และฉันรู้สึกอ่อนแอและทรมานมาก ฉันไม่อยากเผชิญความยากลำบากและทางเลือกพวกนี้ต่อไป ฉันจึงคิดฆ่าตัวตาย

ฉันรู้ว่าฉันคิดผิด ก็เลยอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อแสวงหา และบอกพี่น้องชายหญิงถึงสภาวะของฉัน พวกเขาแบ่งปันพระวจนะกับฉันค่ะ “หากหลายสิ่งเกิดขึ้นแก่เจ้าโดยไม่คาดฝันซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า แต่ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังมีความสามารถที่จะวางพวกมันลงและได้รับความรู้เกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าจากสิ่งเหล่านี้ และหากเจ้าเปิดเผยหัวใจแห่งความรักสำหรับพระเจ้าของเจ้าท่ามกลางกระบวนการถลุง เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการยืนหยัดเป็นพยาน หากบ้านของเจ้าเปี่ยมสันติสุข เจ้าชื่นชมสิ่งชูใจทั้งหลายของเนื้อหนัง ไม่มีผู้ใดกำลังข่มเหงเจ้า และพี่น้องชายหญิงของเจ้าในคริสตจักรเชื่อฟังเจ้า เจ้าจะสามารถแสดงหัวใจแห่งความรักพระเจ้าของเจ้าได้หรือไม่? สถานการณ์นี้สามารถถลุงเจ้าได้ไหม? โดยผ่านทางกระบวนการถลุงเท่านั้นนั่นเองความรักพระเจ้าของเจ้าจึงสามารถถูกแสดงให้เห็นได้ และโดยผ่านทางสิ่งทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้นนั่นเอง เจ้าจึงสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ ด้วยการปรนนิบัติในสิ่งที่ตรงกันข้ามและเป็นลบมากมาย และโดยการนำการสำแดงทุกจำพวกของซาตานมาใช้—การกระทำของมัน การกล่าวหาของมัน การรบกวนและการหลอกลวงของมัน—พระเจ้าทรงแสดงให้เจ้าเห็นใบหน้าอันน่าขยะแขยงของซาตานอย่างชัดเจน และด้วยประการนั้น ทำให้ความสามารถของเจ้าในการแยกแยะซาตานนั้นมีความเพียบพร้อม เพื่อที่เจ้าอาจเกลียดชังซาตานและละทิ้งมัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้นั้น พวกเขาเชื่อว่าความทุกข์นั้นปราศจากคุณค่า พวกเขาถูกโลกประกาศตัดขาด ชีวิตในบ้านของพวกเขามีปัญหา พวกเขาไม่เป็นที่รักของพระเจ้า และความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเขามืดมัว ความทุกข์ของผู้คนบางคนไปถึงจุดขีดสุด และความคิดของพวกเขาหันเข้าหาความตาย นี่มิใช่ความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเป็นคนขลาด พวกเขาไม่มีความเพียรพยายาม พวกเขาอ่อนแอและไร้กำลัง!…ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจ ถนนสู่ราชอาณาจักรนั้นไม่ง่าย เราต้องยอมลำบากและยืนต้านบททดสอบของสภาพแวดล้อมลำบากยากเย็นทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้รับการเห็นชอบและพระพรของพระเจ้า บนเส้นทางของการเชื่อในพระเจ้า หากไม่มีความทุกข์และกระบวนการถลุง เราก็ไม่อาจเกิดความรักแท้จริงให้แก่พระเจ้าได้ พ่อต่อต้านฉันเพราะฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ท่านพยายามขัดขวางฉันและรบกวนการชุมนุมและหน้าที่ของฉัน และถึงกับอยากไล่ฉันออกจากบ้านอยู่หลายครั้ง เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเจ็บปวดมากค่ะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ฉันทนทุกข์ความยากเข็ญแบบนี้ แต่ฉันไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือจะรับประสบการณ์สภาพแวดล้อมนี้ยังไง กลับแค่รู้สึกแย่ โศกเศร้าและกังวล และฉันกลัวความทุกข์ยากที่ต้องเผชิญถ้าถูกไล่ออกมา ฉันอ่อนแอเหลือเกิน จนถึงจุดที่ฉันคิดว่าตายเสียคงเป็นทางที่ดีที่สุด ความคิดลบควบคุมฉันโดยสมบูรณ์ แต่จากพระวจนะ ฉันรู้ว่า แนวคิดของฉันมันผิดขนาดไหน ฉันเป็นคนขี้ขลาด ฉันควรมีความกล้าและเข้มแข็งพอจะเผชิญความลำบากยากเย็นใดๆ เพราะพระเจ้าทรงต้องการจะทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อมผ่านสภาวะแวดล้อมเหล่านี้ ทำให้ฉันสามารถเชื่อฟังและยอมรับไม่ว่าฉันจะเผชิญความยากลำบากอะไร และทำให้ฉันอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอายได้ พอใคร่ครวญพระวจนะ ใจฉันก็สว่างขึ้น ฉันจะขี้ขลาดไม่ได้ ฉันต้องก้าวต่อไป เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับฉัน และพระเจ้าจะทรงช่วยฉัน ฉันจึงไม่หยุดเข้าร่วมชุมนุมและทำหน้าที่

ต่อมา พี่ชายของฉันก็กลับมา ฉันเป็นพยานยืนยันงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพี่และชวนพี่เข้าร่วมชุมนุม และพี่ก็ตอบรับคำชวนมาเข้าร่วมชุมนุมค่ะ แต่ผ่านไปสักพัก พ่อก็รู้เข้าและเริ่มขัดขวาดและรบกวนพี่ พี่ของฉันก็เลยเลิกเข้าร่วมชุมนุม พ่อยังเตือนฉันด้วยว่าไม่ให้ประกาศข่าวประเสริฐกับครอบครัวฉันอีก ฉันเสียใจอยู่บ้าง แต่ฉันรู้ว่าในเรื่องนี้ ภายนอกคือการขัดขวางของพ่อ แต่ที่จริงคือการก่อกวนของซาตาน ฉันจึงพยายามสงบใจลง ต่อมา ฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะ “เจ้าต้องมีความกล้าหาญของเราภายในตัวเจ้า และเจ้าต้องมีหลักการยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับบรรดาญาติที่ไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่เรา เจ้าต้องไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจมืดใดๆ เช่นกัน จงวางใจในสติปัญญาของเราที่จะเดินไปตามหนทางที่เพียบพร้อม จงอย่ายอมให้แผนประทุษกรรมใดๆ ของซาตานเริ่มมีผล จงใช้ความพยายามทั้งหมดของเจ้าไปในการวางหัวใจของเจ้าต่อหน้าเรา และเราจะปลอบประโลมเจ้า และนำสันติสุขและความสุขมาให้เจ้า จงอย่ากระเสือกกระสนเพื่อจะเป็นหนทางใดหนทางหนึ่งเบื้องหน้าคนอื่น การทำให้เราพึงพอใจไม่มีคุณค่าและน้ำหนักมากกว่าหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ? จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังพระเจ้า และกบฏต่อพระเจ้า—ผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่น และพวกเราควรดูหมิ่นพวกเขาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์ หากบิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถนำไปสู่ความรอด แต่ทว่ายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้คนที่เบื่อหน่ายความจริง เกลียดชังความจริง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้ที่ต้านทานพระเจ้าและเกลียดชังพระเจ้า—และโดยธรรมชาติแล้วพระเจ้าทรงชิงชังและดูหมิ่นพวกเขา เจ้าจะสามารถดูหมิ่นบิดามารดาเยี่ยงนี้ได้หรือไม่? พวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะต่อต้านพระเจ้า และด่าว่าพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้น แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นปีศาจและเป็นซาตาน เจ้าจะสามารถชิงชังและสาปแช่งพวกเขาด้วยหรือไม่? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่แท้จริง หากบิดามารดาของเจ้ากีดกันเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? ตามที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ เจ้าควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?’ ‘เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’ (มัทธิว 12:48, 50) คำกล่าวนี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ ‘จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง’ พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะซึ้งคุณค่าในความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันนึกถึงการกระทำหลายอย่างของพ่อตั้งแต่ฉันยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันอ่านพระวจนะของพระองค์ให้พ่อฟังหลายครั้ง และเป็นพยานยืนยันงานในยุคสุดท้ายของพระองค์ ต่อให้พ่อโต้แย้งฉันไม่ได้ พ่อก็ยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและไม่แสวงหาเลย พ่อปฏิเสธและกล่าวโทษงานของพระเจ้า และพยายามทุกทางเพื่อกันฉันกับคนอื่นไม่ให้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตอนนี้ฉันเห็นชัดเจน ว่าพ่อต่อต้านและข่มเหงเราเพราะพ่อไม่รักความจริง เขาเกลียดความจริง พ่อก็เหมือนพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า พอพวกนั้นได้ยินว่าพระองค์เสด็จมาทรงงานใหม่ แทนที่จะแสวงหาและสืบค้น กลับต่อต้านและกล่าวโทษ ซึ่งเปิดเผยธรรมชาติของพวกเขาที่เกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง พ่อของฉันเชื่อในพระเจ้มามากกว่า 30 ปี แต่เมื่อเผชิญการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า พ่อกลับยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาอย่างดื้อรั้น ไม่มีความต้องการแสวงหา ไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และพยายามขัดขวางเรา พ่อไม่ได้ต่อต้านพวกเรา พ่อกำลังต่อต้านความจริงและพระเจ้า พ่อไม่ใช่แกะดี และพระเจ้าไม่ยอมรับท่าน พระเจ้าไม่ทรงสนใจว่าคุณเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานแค่ไหน คุณมีสถานะหรือไม่ หรือรู้พระคัมภีร์ดีแค่ไหน พระเจ้าทอดพระเนตรว่าคุณถ่อมใจแสวงหาความจริงได้หรือไม่ คุณเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับการทรงปรากฏและงานของพระเจ้าหรือไม่ พ่อของฉันไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าและแสวงหาความจริงอย่างแท้จริง ไม่ว่าท่านเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานกี่ปี ถ้าท่านไม่ยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และต่อต้านและกล่าวโทษแบบนี้ ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดของพระเจ้า และท่าจะถูกพระเจ้ากล่าวโทษและสาปแช่ง พระวจนะให้ความรู้แจ้งและนำฉัน ให้ฉันเข้าใจความจริงขึ้นบ้าง และให้วิจารณญาณแก่ฉันเรื่องธรรมชาติและแก่นแท้ของพ่อ ฉันไม่อาจทำไปตามอารมณ์อีกต่อไป ฉันต้องทำไปตามหลักธรรมของความจริงและพระวจนะ ค้ำจุนความเชื่อของฉัน และตั้งมั่นในการเป็นพยานให้พระเจ้า

หลังจากประสบสภาพแวดล้อมนี้ ฉันได้รับวิจารณญาณเรื่องพ่อมากขึ้น และเมื่อไรก็ตามที่ท่านขัดขวางฉัน ฉันจะอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า พี่น้องชายหญิงยังแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับฉันเพื่อช่วยฉัน ซึ่งทำให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และให้ความเชื่อฉันติดตามพระเจ้า ฉันรู้สึกถึงความรักของพระเจ้า ฉันจึงสุขใจมาก และรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามาก เมื่อพ่อขัดขวางและก่อกวนฉันหลังจากนั้น ฉันก็ไม่อึดอัดใจอีก ฉันยืนหยัดบอกกับท่านได้ว่า ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และเข้าร่วมชุมนุมต่อไป ว่าฉันรู้ว่าความรับผิดชอบของฉันคืออะไร ว่าฉันต้องให้หน้าที่ของตัวเองมาก่อน และว่าฉันต้องเผยแผ่ข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ให้ดี

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะเพิ่มเติม “ในวันนี้เรารักผู้ใดก็ตามที่สามารถทำตามเจตจำนงของเรา ผู้ใดก็ตามที่สามารถคำนึงถึงภาระของเรา และผู้ใดก็ตามที่สามารถมอบทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อเราด้วยหัวใจที่แท้จริงและด้วยความจริงใจ เราจะให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขาอยู่เสมอ และจะไม่ปล่อยให้พวกเขาจากเราไป เรากล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า ‘สำหรับบรรดาผู้ที่สละเพื่อเราอย่างจริงใจ เราจะอวยพรเจ้าอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน’ คำว่า ‘อวยพร’ อ้างอิงถึงสิ่งใด? เจ้ารู้หรือไม่? ในบริบทแห่งพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คำนี้อ้างอิงถึงภาระที่เรามอบให้เจ้า สำหรับทุกคนที่สามารถแบกรับภาระให้คริสตจักรได้และทุกคนที่มอบตัวพวกเขาเองให้แก่เราอย่างจริงใจ ทั้งภาระของพวกเขาและความจริงจังตั้งใจของพวกเขาคือพรที่มาจากเรา นอกจากนี้วิวรณ์ที่เราเผยแก่พวกเขาก็เป็นพรประการหนึ่งจากเราด้วย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 82)จงลุกขึ้นและร่วมมือกับเรา! แน่นอนว่าเราจะไม่ปฏิบัติอย่างกระจอกงอกง่อยต่อใครก็ตามที่สละตนเองเพื่อเราอย่างจริงใจ สำหรับพวกที่อุทิศตนเพื่อเราด้วยความจริงจังตั้งใจ เราจะมอบพรทั้งปวงของเราแก่เจ้า จงถวายตัวเจ้าแก่เราอย่างหมดสิ้น! สิ่งที่เจ้ากิน สิ่งที่เจ้าสวมใส่ และอนาคตของเจ้า ล้วนอยู่ในมือของเราทั้งหมด เราจะจัดการเตรียมการทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเหมาะสม เพื่อที่เจ้าจะสามารถมีความชื่นชมยินดีอันไม่รู้จบ ซึ่งเจ้าจะไม่มีวันใช้หมด นี่เป็นเพราะเราได้พูดไว้ว่า ‘สำหรับบรรดาผู้ที่สละเพื่อเราอย่างจริงใจ เราจะอวยพรเจ้าอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน’ พรทั้งปวงจะมาสู่ทุกผู้คนที่สละตัวเขาเพื่อเราอย่างจริงใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 70) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันเข้าใจว่า การแบกภาระในหน้าที่และจริงใจเป็นเรื่องสำคัญมาก ฉันถามตัวเองว่า “ฉันอุทิศตนเพื่อประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรอย่างแท้จริงหรือไม่? ฉันทำหน้าที่ให้ลุล่วงตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าหรือยัง?” ฉันรู้ว่าพ่อคงไม่ยอมให้ฉันใช้เวลามากขึ้นกับการชุมนุมและหน้าที่ที่บ้าน เพราะท่านพยายามขัดขวางและรบกวนฉันเสมอ ถ้าฉันต้องการอุทิศตนเต็มที่ให้งานข่าวประเสริฐ ฉันต้องออกจากบ้านไปที่อื่นเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าทรงต้องการให้ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรเผยแผ่ออกไปโดยเร็วที่สุด เพื่อที่คนมากขึ้นเรื่อยจะสามารถได้รับความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อที่คนมากขึ้นจะสามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันจึงเก็บกระเป๋าออกจากบ้านและไปยังเมืองใหม่ ที่ฉันประกาศข่าวประเสริฐได้อย่างอิสระในที่สุด ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

แขวนอยู่บนเส้นด้าย

โดย Zhang Hui, ประเทศจีน ในปี 2005 ไม่นานหลังจากผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์...

ใครมอบอิสรภาพให้ฉัน

โดย รุ่ย จื้อ, ประเทศจีน ตอนแรกที่ตัดสินใจมาเชื่อ สามีฉันบอกว่า การมีความเชื่อนั้นยอดเยี่ยม บางครั้งเขาก็ไปร่วมชุมนุมกับฉันด้วย แล้ววันที่...

ถูกกดขี่โดยครอบครัวของฉัน: ประสบการณ์การเรียนรู้

โดย อู๋ เหวิน, แคนาดา ตอนที่ฉันเริ่มเชื่อใหม่ๆ สามีก็ไม่ได้กีดกัน และฉัน แบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขาด้วย แต่เขามุ่งเน้นที่การหาเงิน...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger