ทางเลือกที่เปี่ยมความหมายที่สุด

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตามพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นผมก็ทำงานก่อสร้าง และเปิดโรงเรียนสอนคาราเต้ ถึงจะวุ่นกับงานมาตลอดหลายปี ผมก็หมั่นแสวงหาให้เข้าใจเรื่องพระเจ้ามากขึ้นเสมอ ผมจึงดูศิษยาภิบาลหลายคนประกาศทางโทรทัศน์​ บางครั้ง ผมก็ศึกษาพระคัมภีร์กับศิษยาภิบาลและเพื่อนๆ แถมยังเปิดดูเพจคริสเตียนบนเฟซบุ๊กอยู่เป็นประจำ ปี 2020 เนื่องจากโรคระบาด โรงเรียนสอนคาราเต้ของผมเลยต้องปิดชั่วคราว ทำให้ผมมีเวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับพระเจ้าในโลกออนไลน์มากขึ้น

วันหนึ่งในเดือนธันวาคมปีนั้น ผมกำลังเปิดดูเฟซบุ๊กตามปกติ จู่ๆ ผมก็ได้รับข้อความหนึ่ง พี่น้องหญิงจากไต้หวัน ถามผมว่าอยากเข้าชุมนุม และฟังพระวจนะไหม ผมตอบรับเธอไปด้วยความยินดี หลังชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้สักพัก ผมก็เห็นว่าพระวจนะเหล่านี้ เผยความล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า เผยรากเหง้าแห่งการร่วงหล่น เสื่อมทราม และบาปของมนุษย์ รวมถึงชี้หนทางที่มวลมนุษย์จะกำจัดบาปจากตัว และถูกชำระให้สะอาด ผมไม่เคยเห็นหรือได้ยินความล้ำลึกเหล่านี้ของความจริงมาก่อน ในใจผมมั่นใจว่า พระวจนะเหล่านี้คือเสียงของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา! ผมตื่นเต้นมากเลยครับ ไม่เคยคิดเลยว่า ชีวิตนี้จะได้อยู่เพื่อฟังพระสุรเสียงและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมรู้สึกเป็นเกียรติมาก หลังยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมรู้สึกได้รับอะไรมากมายจากการชุมนุม ถ้าครั้งไหนผมเข้าชุมนุมไม่ได้ เพราะติดธุระหรือเรื่องอื่นๆ วันรุ่งขึ้นผมก็จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ส่งมาในกลุ่มชุมนุม และเหล่าพี่น้องก็ช่วยทำให้ผมเข้าใจเนื้อหาของการชุมนุม เหตุการณ์เป็นแบบนี้อยู่ราวสองสามเดือน แล้วพี่น้องชายที่ทำหน้าที่ให้น้ำก็พูดกับผมว่า “พี่วิคเตอร์ครับ เราเห็นคุณไล่ตามอย่างแข็งขันมาก และอยากเข้าใจความจริง เราอยากเชิญคุณมารับหน้าที่ในกลุ่มชุมนุม สนใจไหมครับ?” แต่ตอนนั้นมันยากที่จะตอบตกลง เพราะผมคิดว่า อีกไม่นานผมจะต้องกลับไปเปิดโรงเรียนแล้ว ถ้าผมรับหน้าที่ในกลุ่มชุมนุม มันก็คงจะขัดกับเวลาสอนของผม ถ้าเกิดชื่อเสียงของโรงเรียนได้รับผลกระทบล่ะ? ผมเลย พูดกับเขาไปว่า “เกรงว่าผมคงรับหน้าที่นี้ไม่ได้หรอกครับ เพราะอีกไม่นานผมจะไปสอนคาราเต้แล้ว สำหรับผมการสอนสำคัญที่สุด ผมปล่อยให้อะไรมาขวางไม่ได้ ผมเปิดโรงเรียนนี้มาสิบเอ็ดปีแล้ว มันคือผลของการที่ผมทำงานหนักมาตลอดหลายปี และพ่อแม่ทุกคน ก็วางใจให้ผมฝึกฝนลูกๆ ของพวกเขา ทุกคนต้องการผมมาก ผมเลยรับหน้าที่ในกลุ่มชุมนุมไม่ได้”

ต่อมา ที่การชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่น้องชายคนหนึ่ง แบ่งปันพระวจนะให้ผมอ่าน “หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ตระหนักรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะพัฒนาภาระอันแท้จริงให้เกิดขึ้นแก่คริสตจักร อันที่จริง แทนที่จะเรียกการนี้ว่าภาระที่เจ้ารับมาทำเพื่อคริสตจักร คงจะดีกว่าหากจะเรียกว่าภาระที่เจ้ารับมาทำเพื่อชีวิตของเจ้าเอง เพราะจุดประสงค์ของภาระที่เจ้าพัฒนาให้เกิดขึ้นแก่คริสตจักรนี้ คือการให้เจ้าใช้ประสบการณ์ดังกล่าวมารับการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า ดังนั้น ใครก็ตามที่แบกภาระยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อคริสตจักร ใครก็ตามที่แบกภาระเพื่อการเข้าสู่ชีวิต—พวกเขาจะเป็นผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม) จากพระวจนะเราเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงหวังให้ผู้คนลุกขึ้น ร่วมมือกับพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนได้ ยิ่งทำหน้าที่มากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเข้าใจความจริงและถูกทำให้เพียบพร้อมได้มากขึ้นเท่านั้น นี่คือช่วงเวลาสำคัญของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ในฐานะคนกลุ่มแรกในอุรุกวัยที่ยอมรับงานยุคสุดท้าย เราควรลุกขึ้นเพื่อช่วยให้น้ำคนที่เพิ่งยอมรับงานนี้ และทำหน้าที่ของเรา การสามัคคีธรรมพระวจนะกับทุกคน ทำให้ผมเข้าใจน้ำพระทัย พอคิดว่าตัวเองปฏิเสธหน้าที่ ผมก็ละอายใจเล็กน้อย เลยพูดกับหัวหน้างานว่า “ผมเต็มใจที่จะทำหน้าที่ครับ” แต่พอหัวหน้างานถามว่าผมมีเวลาตอนไหน ผมก็ขัดแย้งขึ้นมาอีก คิดว่าถ้าผมเอาเวลาสักสองสามวันต่อสัปดาห์ไปจัดชุมนุม พอโรงเรียนเปิด มันก็จะขวางการเรียนการสอน แถมตอนนั้นผมกำลังปรับปรุงโรงเรียนใหม่ด้วย ผมอยากมั่นใจว่ามันจะออกมาดี จะดึงดูดให้คนมาเรียนและฝึกฝนที่โรงเรียนมากขึ้น ซึ่งก็จะยิ่งดีต่อธุรกิจของผม ผมบอกหัวหน้างานไปว่า “ผมยุ่งมาก มีเวลาจัดการชุมนุมแค่วันอังคาร” และผมก็ ได้เริ่มทำหน้าที่ จากนั้น เหล่าพี่น้องก็มักจะช่วยเหลือ และหนุนใจผม ผมก็เริ่มอ่านพระวจนะอย่างจริงใจ ฟังบทเพลงสรรเสริญ และดูภาพยนตร์ในแอปของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บ่อยๆ ระหว่างช่วงนี้ ก็มีคนมายอมรับงานในยุคสุดท้ายมากขึ้นเรื่อยๆ หัวหน้างานจึงถามผมว่า ผมช่วยจัดการชุมนุมเพิ่มเติม และให้น้ำพี่น้องชายหญิงที่มาใหม่ได้ไหม ผมกังวลใจนิดหน่อย แต่ในเมื่อการสอนที่โรงเรียนยังไม่เริ่ม ผมก็คิดว่าคงจัดเพิ่มได้ชั่วคราว ก็เลยรับปากไป แต่ผมบอกหัวหน้างานด้วยว่า ถ้ากลับมาสอนต่อเหมือนเดิม ผมคงไม่มีเวลาทำหน้าที่ ตอนนั้นผมคิดว่า มันเป็นเรื่องถูกต้องที่ควรทำ เพราะผมไม่ได้คิดว่ามีอะไรสำคัญกว่าโรงเรียนสอนคาราเต้ของผม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง ที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดไป

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สำคัญว่าอุดมคติของมนุษย์จะสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะสอดคล้องกับความเป็นจริงเพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นจะถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการจะสัมฤทธิ์ผล ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก คำสองคำนี้สำคัญยิ่งชีพต่อชีวิตของทุกคน และคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์ คำสองคำนี้คืออะไรนะหรือ? คำสองคำนี้ก็คือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’ ซาตานใช้วิธีการชนิดที่แยบยลมาก วิธีการซึ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยวิธีการนี้ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกตัวยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ของมันที่ใช้ในการดำรงชีวิต และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และในการทำเช่นนั้นพวกเขายังมามีความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน ไม่สำคัญว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตเหล่านี้อาจดูโอ่อ่าผ่าเผยเพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’ อย่างแยกกันไม่ออก ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—ในข้อเท็จจริงนั้นก็คือผู้คนทั้งหมด—ดำเนินรอยตามในชีวิต มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสองคำนี้เท่านั้นคือ ‘ชื่อเสียง’ และ ‘ผลตอบแทน’ ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมชีวิต พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีแบบมัวเมาของเนื้อหนัง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนซึ่งมวลมนุษย์ละโมบยิ่งนัก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ แม้ไม่รู้ตัวก็ตาม พวกเขาทำเช่นนั้นโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่อึดใจ ไม่รู้เท่าทันอยู่ร่ำไปถึงความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมา ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่ในเมื่อพวกเขาได้หลบภัยอยู่ในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว? แน่นอนว่าไม่ พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งลงในปลักตมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ เมื่อใครสักคนจมปลักอยู่ในชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สดใส สิ่งที่ชอบธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป นี่เป็นเพราะพลังยั่วยวนที่ชื่อเสียงและผลตอบแทนมีอยู่เหนือผู้คนนั้นมากเกินไป พวกมันกลายเป็นสิ่งสำหรับให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์โดยไม่มีที่สิ้นสุด นี่ไม่จริงหรือไร?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) พระเจ้าทรงชำแหละวิธีที่ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์ควบคุมผู้คนอย่างหมดเปลือก พระวจนะทั้งหมดยิ่งกว่าจริงเสียอีก ผมใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่จริงๆ ผมไล่ตามที่จะโดดเด่น และประสบความสำเร็จในงานเสมอ คิดว่าถ้ามีสิ่งเหล่านี้ ผมจะเพลิดเพลินกับชีวิตได้มากขึ้น และจะได้เป็นที่เคารพนับถือจากคนอื่น ถึงผมจะมีงานก่อสร้าง และมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงชีพ แต่เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรวยขึ้น เป็นที่เคารพจากคนอื่นมากขึ้น และเพลิดเพลินกับความพอใจจากชื่อเสียงและโชคลาภ ผมเลยเปิดโรงเรียนสอนคาราเต้ และทุ่มแรงทั้งหมด เพื่อให้โรงเรียนดำเนินไปด้วยดี หลังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถึงผมจะยังเข้าร่วมการชุมนุม เรื่องสำคัญที่สุดของผม ก็ยังเป็นโรงเรียนสอนคาราเต้ พอมีหน้าที่มาให้ทำ ผมก็กลัวจะทำให้การเรียนการสอนล่าช้า และกระทบชื่อเสียงของโรงเรียน ผมเลยปฏิเสธหน้าที่ไป ถึงผมจะจัดการชุมนุมและทำหน้าที่ ผมก็คิดว่ามันเป็นแค่งานแค่ชั่วคราว และผมกำลังรอให้คลายล็อคดาวน์ จะได้กลับมาเปิดโรงเรียนสอนคาราเต้ต่อ พอตระหนักได้ ผมก็ละลายใจ ผมตระหนักได้ว่า ผมถือเอาชื่อเสียงและโชคลาภเป็นรากฐานของการอยู่รอด และคิดว่าการทำธุรกิจ สำคัญกว่าการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ จนถึงจุดที่ผมเกือบจะตัดสินใจพลาดในการไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ เกือบเสียโอกาสทำหน้าที่และได้รับความจริง ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า การทำความฝันให้ลุล่วงและทำธุรกิจ ดูเหมือนเป็นการไล่ตามที่ชอบธรรม แต่เบื้องหลังมันคืออุบายของซาตาน ซาตานใช้ชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และสถานะมาทดลองและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม มันทำให้ผมไล่ตามสิ่งเหล่านั้นสุดหัวใจ ถึงมีพอแล้ว ก็อยากได้มากขึ้น ตอนนี้ผมติดกับของมัน ถูกซาตานควบคุมและผูกมัดโดยไม่เต็มใจ ผมกลายเป็นทาสของมัน และผมจะห่างจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนถูกชื่อเสียงและโชคลาภทำลาย

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะอีกสองบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “คนเราอ่อนระโหยไปกับการใช้คุณค่าของพลังงานทั้งชีวิตเพื่อต่อสู้กับชะตากรรม ใช้เวลาทั้งหมดของคนเราไปกับการชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว ในความพยายามที่จะป้อนบำรุงครอบครัวของคนเรา และวิ่งรอกไปมาระหว่างความอุดมโภคทรัพย์กับสถานภาพ สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนหวงแหนราวสมบัติล้ำค่าก็คือครอบครัว เงินทอง และชื่อเสียง และพวกเขามองสิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ผู้คนทั้งหมดพร่ำบ่นเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเอง ทว่าพวกเขาก็ยังคงผลักประเด็นปัญหาต่างๆ ที่จำเป็นต้องตรวจสอบและทำความเข้าใจที่สุดไปไว้ที่เบื้องลึกข้างในจิตใจของพวกเขา กล่าวคือประเด็นปัญหาที่ว่า เหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร อะไรคือคุณค่าและความหมายของชีวิต ไม่ว่าพวกเขาอาจจะอยู่นานแค่ไหน พวกเขาก็แค่ใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาให้หมดไปกับการสาละวนแสวงหาชื่อเสียงและโชควาสนา จนกระทั่งวัยเยาว์ของพวกเขาได้หนีจากไป และพวกเขามีแต่ผมขาวและริ้วรอย พวกเขาใช้ชีวิตในหนทางนี้จนกระทั่งพวกเขามองเห็นว่าชื่อเสียงและโชควาสนาไม่อาจหยุดยั้งการเคลื่อนเข้าไปหาความชราภาพของพวกเขาได้ ว่าเงินทองไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจได้ ว่าไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้นจากกฎแห่งการเกิด การแก่ การเจ็บป่วย และการตาย ว่าไม่มีใครสามารถหลีกหนีสิ่งที่ชะตากรรมได้เตรียมไว้ให้แล้ว มีเพียงเมื่อพวกเขาถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตเท่านั้นที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่า ต่อให้คนเรามีโภคทรัพย์มหาศาลและสินทรัพย์มากล้น ต่อให้คนเรามีสิทธิพิเศษและอยู่ในฐานะสูงส่ง คนเราก็ยังคงไม่สามารถหลบหนีความตายและต้องคืนสู่สถานะดั้งเดิมของพวกเขาอยู่ดี นั่นคือ ดวงวิญญาณอันโดดเดี่ยวที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)ผู้คนใช้ชีวิตหมดไปกับการไล่ล่าเงินทองและชื่อเสียง พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก พลางคิดว่าพวกมันเป็นวิถีทางเดียวแห่งการค้ำจุนของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอขนาดไหนยามที่เผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาแตกสลายได้ง่ายขนาดไหน พวกเขาเปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียง ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ว่าชื่อเสียงไม่สามารถลบความตายได้ ว่าทั้งเงินทองและชื่อเสียงไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) หลังอ่านพระวจนะ ผมก็คิดว่า “ถึงเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ไม่มุ่งเน้นไล่ตามความจริง หรือทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง ผมยังไล่ตามชื่อเสียง โชคลาภ และความเพลิดเพลินทางวัตถุอย่างสุดหัวใจ ผมเสียเวลาและเรี่ยวแรงที่มีค่าไปกับเรื่องพวกนี้โดยเปล่าประโยชน์ ผมจะได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้าทางนี้? ตอนนี้ ระหว่างที่มีโรคระบาด ทั่วทั้งโลกกำลังมีคนตายมากมาย ผมไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้างในชีวิต และโอกาสในการไล่ตามความจริงและทำหน้าที่ ก็ดูน้อยลงเรื่อยๆ มันอาจจะยังไม่สายเกินไปที่จะไล่ตามความจริง แต่อาจจะสายเกินไปได้ ตอนที่เราอยู่บนปากเหวแห่งความตาย ผมโชคดีที่ได้ยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงมอบโอกาสให้ผมไล่ตามความจริง และถูกช่วยให้รอด แต่ผมกลับไม่ถนอมเอาไว้ และผมก็ไม่เต็มใจที่ใช้เวลาและเรี่ยวแรงมากขึ้นเพื่อไล่ตามความจริง ผมตาบอดสนิทเลย! เมื่อก่อน เพื่อไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภทางโลก ผมสละความพยายามมากมายเพื่อก่อตั้งโรงเรียนนี้ มันทั้งดูดี และน่าดึงดูดมาก และผมก็ได้รับชื่อเสียง โชคลาภ และความเพลิดเพลินทางโลกอยู่บ้าง แต่ใจผมก็ยังว่างเปล่า ผมรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ช่างเปล่าประโยชน์ ตอนนี้ ผมไม่อยากเสียทั้งชีวิตไปกับสิ่งเหล่านี้แล้วจริงๆ โลกนี้มีคนรวย มีคนที่มีชื่อเสียงและสถานะมากมาย แต่พวกเขาห่างไกล และปฏิเสธพระเจ้า พอความวิบัติซัดมา พวกเขาก็จะยังตาย เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ความมั่งคั่งไม่อาจซื้อชีวิต แถมชื่อเสียงและโชคลาภก็ไร้ประโยชน์ มีเพียงการไล่ตามและได้รับความจริง ที่จะทำให้เราได้รับการทรงคุ้มครองและถูกพระเจ้าช่วยให้รอด” เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?(มัทธิว 16:26). จริงด้วย ต่อให้คุณจะได้ชื่อเสียงและโชคลาภในโลกมา และเป็นที่เคารพนับถือของคนอื่น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจนำชีวิตมาให้เราได้ มันได้แต่ทำให้เราห่างจากพระเจ้า และเสียโอกาสถูกช่วยให้รอด ระหว่างช่วงนี้ ขณะที่ผมทำหน้าที่และแสวงหาความจริง ผมก็ได้ในรับสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ผมได้เข้าใจน้ำพระทัย และเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด ได้ทำความรับผิดชอบในคริสตจักรให้ลุล่วง ผมได้พบกับความหมายของชีวิต ผมอยากไล่ตามความจริง เชื่อฟังพระเจ้า ใช้ชีวิตที่ได้ทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่ใช้ชีวิตเพื่อซาตานอีก

พอผ่านไปสักพัก โรงเรียนของผมปรับปรุงเสร็จ การล็อคดาวน์จบลง และได้เวลาเปิดสอนอีกครั้ง แต่ผมกลับไม่ตั้งตารอมันมากเท่าที่เคย เพราะระหว่างนี้ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เยอะมาก และรู้ว่าพระเจ้าทรงต้องการให้เราไล่ตามความจริงและทำหน้าที่ เราจะได้ถูกช่วยให้รอด แทนที่จะไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภทางโลก และถูกซาตานหลอกลวง ผมเลยตัดสินใจ ปิดโรงเรียนสอนคาราเต้แบบถาวร ผมคิดว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดแล้ว พอผมประกาศการตัดสินใจนี้ให้กลุ่มผู้ปกครองและที่ปรึกษาทราบ บางคนที่สนิทกับผม ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลย เพราะพวกเขารู้ว่า โรงเรียนนี้สำคัญกับผมขนาดไหน นักเรียนและผู้ปกครองหลายคนส่งข้อความมาโน้มน้าวให้ผมเปิดโรงเรียนต่อ ผู้ปกครองบางคนพูดว่า “วิคเตอร์ ลูกๆ ของเราชอบการเรียนการสอนของคุณจริงๆ คุณจะไม่สอนคาราเต้แล้วจริงหรือ?” นักเรียนบางคนพูดว่า “อาจารย์ คุณบอกเองไม่ใช่หรือว่าอาชีพของคุณสำคัญที่สุด นี่คือชีวิตของคุณ?” พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ ผมก็รู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย ผมเพิ่งใช้ความพยายามมากมายปรับปรุงโรงเรียนใหม่ แต่ไม่เคยใช้มันเลยด้วยซ้ำ ผมจะปิดมันไปตลอดกาลจริงๆ หรือ? ธุรกิจที่ผมสร้างมาตั้งหลายปี จากไปแล้วหรือ? ตอนนั้น ผมไม่สบายใจจริงๆ แต่ต่อมาผมก็ได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์) พออ่านพระวจนะ ผมก็รู้สึกสงบขึ้นมาก ผมเข้าใจว่าการไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ ไม่มีคุณค่าหรือความหมาย อีกทั้งความเพลิดเพลินทางวัตถุ หรือชื่อเสียงและโชคลาภในชีวิต ก็ไม่อาจทำให้ผมหลุดพ้นจากความว่างเปล่าในใจ หรือทำให้ผมถูกพระเจ้าช่วยให้รอด มีเพียงการไล่ตามความจริง ไล่ตามการรักพระเจ้า และทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น ที่ทำให้ผมได้ใช้ชีวิตที่มีความหมาย และนี่คือชีวิตที่ผมต้องการจริงๆ ครับ ถึงผมจะยังเสียดายเรื่องโรงเรียนสอนคาราเต้อยู่มาก แต่คำพูดของเพื่อนและนักเรียน ก็ไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนใจ เพราะผมรู้ว่าพระวจนะนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด การไล่ตามความรอดของพระเจ้า สำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น ผมไม่อยากเปิดโรงเรียนนี้ต่อไปแล้ว ผมอยากใช้เวลาและเรี่ยวแรงมากขึ้น เพื่อทำหน้าที่ เพราะผมรู้ว่า มันเป็นสิ่งที่มีความหมายที่ควรทำ แม้กระทั่งตอนนี้ เพื่อนผมบางคนก็ยังพยายามโน้มน้าวให้ผมเปิดโรงเรียนอยู่ แต่ผมมุ่งมั่นในสิ่งที่เลือก ถึงผมจะทิ้งชีวิตธรรมดาที่แสวงหาความพอใจไว้เบื้องหลัง และเสียชื่อเสียงทางโลก กับการเป็นที่นับถือของคนอื่นไป จากการทำหน้าที่กับเหล่าพี่น้องชายหญิงทุกวัน ผมก็มีเวลาอ่านพระวจนะ และสามัคคีธรรมความจริงมากขึ้น และสิ่งนี้ก็ทำให้ผมเข้าใจความจริง และได้เห็นบางอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลของการไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ ผมเริ่มไล่ตามความจริง และเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต นี่คือประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดครับ สิ่งที่ผมได้รับมีค่ากว่าชื่อเสียงทางโลก และการเป็นที่นับถือจากคนอื่นมาก ตอนนี้ ผมก็มักจะประกาศข่าวประเสริฐ และเรียนรู้ที่จะใช้พระวจนะช่วยเหลือและดูแลคนที่เพิ่งยอมรับข่าวประเสริฐ ผมหวังว่าจะมีคนมาเฉพาะพระพักตร์ และมีโอกาสถูกพระเจ้าช่วยให้รอดมากขึ้น ผมคิดว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ ปลอดภัยและมีความหมายมาก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เราควรฟังใครในเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดย Hanmei, พม่า กุญแจสำคัญในการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไรคะ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา”...

ติดต่อเราผ่าน Messenger