ไม่โอ้อวดอีกต่อไป
โดย ม่อเหวิน ประเทศสเปน ผมจำได้ย้อนไปในปี 2018 ผมทำหน้าที่ด้านข่าวประเสริฐในคริสตจักร แล้วต่อมาก็ได้เป็นผู้ดูแลงานนั้น...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
เดือนสิงหาคม ปี 2020 ผมสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายทางออนไลน์ พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมถึงความจริงกับผมมากมาย เช่น การเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า การฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า การแยกแยะพระคริสต์แท้จริงออกจากพวกพระคริสต์เทียมเท็จ ความล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า และแง่มุมอื่นๆ ของความจริงเกี่ยวกับนิมิต ผมยังได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกมากมายด้วย หลังพิจารณาอยู่สองเดือน ผมก็เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริง ว่าพระวจนะเหล่านี้ไขความล้ำลึกในพระคัมภีร์ และผมเริ่มมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา ผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเป็นสุข แทบจะรอไม่ไหวที่จะบอกข่าวดีเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่ครอบครัวของผม เพื่อพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่ก่อนที่ผมจะทันได้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับพวกเขา ผมก็ได้รับแจ้งว่าผมต้องกลับเข้ากองทัพ
ในเวลาต่อมา ผมแบ่งปันข่าวประเสริฐกับภรรยาและมารดาของผมทางโทรศัพท์ วันหนึ่งผมกำลังคุยกับภรรยาถึงการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า และเธอก็ถามผมว่า “ที่คุณเชื่อนี่ใช่ ‘ฟ้าแลบจากทิศตะวันออก’ หรือเปล่า? ศิษยาภิบาลบอกว่าผู้คนเหล่านั้นทิ้งครอบครัวของตน คุณควรจะทิ้งความเชื่อนี้เสีย” การได้ฟังเธอพูดเช่นนั้นทำให้ผมรู้สึกเสียใจและโกรธ ผมบอกเธอว่า “อย่าโง่ไปหน่อยเลย คุณหลับหูหลับตาเชื่อทุกอย่างที่ศิษยาภิบาลพูดได้อย่างไร? การที่เขาพูดแบบนั้นมีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงบ้างไหม? ผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาสี่เดือนแล้ว ผมทอดทิ้งคุณบ้างไหม? ผมไม่ใส่ใจครอบครัวหรือ? ผมรู้แต่เพียงว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหงผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่ง ทำให้พี่น้องชายหญิงหลายคนลำบากที่จะกลับบ้าน และถึงขั้นทำให้ครอบครัวอีกมากมายของผู้เชื่อต้องแยกจากกัน ศิษยาภิบาลบิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยการบอกว่าพี่น้องชายหญิงไม่ต้องการครอบครัวของตนได้อย่างไร? ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ คุณต้องไม่ฟังข่าวลือและคำพูดเยี่ยงมารของพวกเขาโดยไม่ตั้งคำถาม” ผมพูดต่อไปอีกว่า “คนที่มีเหตุผลควรแสวงหาเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าดูบ้าง และดูว่าพระวจนะที่กล่าวประกาศโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ด้วยว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา’ (ยอห์น 10:27) แกะของพระเจ้าย่อมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ พวกเราจึงควรตรวจสอบสิ่งที่เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระองค์เพื่อที่พวกเราจะได้รับเสด็จพระองค์ พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง—เปี่ยมฤทธานุภาพและมีสิทธิอำนาจ พระวจนะไม่อาจมาจากมนุษย์ได้ ผมตรวจสอบมาแล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา เพราะผมได้เห็นแล้วว่าพระวจนะทั้งหมดของพระองค์คือความจริง ว่าทั้งหมดนั้นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า” แต่เธอไม่ยอมฟังเลย ผมจึงทำได้แต่เพียงวางสายไป สองสัปดาห์ต่อมาผมโทรหาเธออีกครั้ง แต่เธอกลับกดปิดเครื่องและไม่ยอมรับสายของผม จากนั้นทันทีที่ถึงเวลาชุมนุมตอนค่ำ เธอก็เริ่มโทรหาผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไม่มีสมาธิในการชุมนุมหรือได้รับความรู้แจ้งอะไรจากพระวจนะของพระเจ้าเพราะผมถูกรบกวน ผมไม่รู้จะทำอย่างไร เลยอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอทรงนำให้ผมผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ พออธิษฐานจบ ผมก็คิดว่าถึงแม้ผมจะยังไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่องเหล่านี้ แต่ผมต้องมีความเชื่อ ผมจะยอมให้สิ่งเหล่านี้จำกัดควบคุมตัวผมไว้ไม่ได้ และต้องตั้งใจชุมนุม เมื่อคิดได้ดังนี้ผมก็รู้สึกสงบลงนิดหน่อย วันหนึ่งจู่ๆ ภรรยาก็โทรมาหาโดยที่ผมไม่ได้คาดคิด แล้วพูดว่า “คุณซื้อโทรศัพท์มือถือมาฟังการประกาศของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก แต่ลูกชายของพวกเราป่วย และพวกเราก็ไม่มีเงินเหลือมารักษาลูก คุณควรคิดถึงลูก” ผมเข้าใจชัดแจ้งว่าเธอพูดเช่นนี้เพียงเพราะไม่อยากให้ผมเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ในความเป็นจริง พวกเราสามารถหยิบยืมเงินได้ถ้าจำเป็นต้องใช้ และการที่เด็กๆ จะเจ็บป่วยก็เป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าผมจะเป็นผู้เชื่อหรือไม่ ลูกก็คงจะเจ็บป่วยอยู่ดี ผมเองก็อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเช่นกัน ภรรยาของผมเข้าใจผมผิดๆ เช่นนั้นได้อย่างไร? การได้เห็นเธอใช้ความเจ็บไข้ของลูกมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันผมจากความเชื่อ ทำให้ผมรู้สึกเสียใจมาก ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร เธอก็พูดต่อไปอีกว่า “ถ้าคุณยังเชื่อในสิ่งนี้ต่อไป ในอนาคตพวกเราอาจไม่ได้เป็นครอบครัวกันอีกด้วยซ้ำ” การได้ฟังภรรยาพูดเช่นนี้บีบหัวใจของผมอย่างมาก เธออยากจะหย่าในขณะที่ลูกของเราสองคนยังเล็กขนาดนี้จริงหรือ? ผมรู้สึกแย่และได้แต่วางสายโดยไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่สิ่งที่เธอพูดก็ยังคงรบกวนจิตใจของผมอยู่ และผมก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มพร่ำบ่นว่าทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงคุ้มครองดูแลสุขภาพของลูกชายและความปรองดองในครอบครัวของพวกเรา
ผมไม่อาจสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการชุมนุมได้อยู่ระยะหนึ่ง และไม่มีความรู้แจ้งที่จะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะน้อย ตั้งแต่ภรรยาพูดแบบนั้น ข้าพระองค์ก็รู้สึกเป็นลบและอ่อนแอ ได้โปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์และทรงนำให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด” ค่ำวันนั้นผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ขณะก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือไม่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำทุกสิ่งนั้นไปอีกด้วย ไม่ว่าเขาจะก้าวผ่านบททดสอบอะไรมา เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้ ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและหัวใจที่รักพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้ เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องทำคือการมีความเชื่อและจุดยืนที่หนักแน่น และยืนหยัดเข้มแข็งในคำพยานของเจ้า เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเห็นว่าเส้นทางแห่งความเชื่อและแห่งการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ได้ราบรื่นตลอดเวลา มีความยากลำบากและบททดสอบทุกชนิด และจะมีหลายสิ่งที่พวกเราไม่ชอบเกิดขึ้น แต่พวกเราจำต้องก้าวผ่านทั้งหมดนี้เพื่อเผยให้เห็นว่าพวกเรามีความเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ และพวกเราเป็นพยานอันกึกก้องให้พระองค์ได้หรือไม่ เมื่อคิดย้อนไปถึงตอนที่ภรรยาของผมต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นครั้งแรกนั้น ผมมีความเชื่อที่จะคอยเป็นพยานให้เธอ แต่พอเธอเริ่มขู่ว่าจะหย่าและลูกก็ป่วย ผมก็เริ่มอดไม่ได้ที่จะพร่ำบ่น ผมรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงปกป้องคุ้มครองความกลมเกลียวในครอบครัวหรือคุ้มครองลูกของผมไม่ให้เจ็บป่วย ผมมองเห็นว่าตัวเองไม่ได้มีความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า พอมีเรื่องที่ไม่เป็นไปตามที่ผมต้องการสองเรื่อง ผมก็เริ่มตำหนิพระเจ้าแล้ว—นั่นจะเป็นคำพยานได้อย่างไร? จากนั้นผมเริ่มสงสัยว่าพอมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับครอบครัว ทำไมผมถึงสูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไป? ทำไมผมถึงอดตำหนิพระองค์ไม่ได้?
ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ที่ทำให้ผมเข้าใจมุมมองของตัวเองเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาในความเชื่อของผม พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “วันนี้ เจ้าไม่เชื่อวจนะที่เรากล่าว และเจ้าไม่ใส่ใจกับมันเลย เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ? วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ? เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ? ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก!… สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ? พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่? อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ? หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) จากพระวจนะของพระเจ้า ผมได้เห็นว่าเป้าหมายและมุมมองที่ผมมีต่อความเชื่อนั้นผิดและไม่ได้เป็นไปเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เพื่อให้ครอบครัวของผมสุขสบายดีและปลอดภัย ให้ชีวิตของพวกเราราบรื่น ผมแค่อยากมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า และเพลิดเพลินกับพระคุณของพระองค์ เวลาที่ผมได้รับพระคุณของพระองค์ ผมก็มีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ แต่พอที่บ้านเกิดปัญหา ตอนที่ลูกของผมป่วย ผมกลับตำหนิพระเจ้าว่าไม่ปกป้องคุ้มครอง ผมสูญเสียความเชื่อและถึงกับรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้นไม่เป็นธรรม รู้สึกเหมือนว่าเมื่อผมมีความเชื่อ พระเจ้าก็ควรประทานพรแก่ผมและปกป้องผมจากการเผชิญสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้ และแล้วผมก็ตระหนักว่าความเชื่อของผมล้วนตั้งอยู่บนการได้รับพรทั้งสิ้นและไม่ยืนหยัดสู้ทนการทดสอบเลย การมีความเชื่อและนมัสการพระเจ้านั้นถูกต้องและเป็นธรรมชาติ เหมือนลูกที่อุทิศตนดูแลพ่อแม่—พวกเราไม่ควรทำธุรกรรมซื้อขายกับพระเจ้า แต่ผมกลับพยายามที่จะเอาสิ่งต่างๆ จากพระเจ้าอยู่เสมอ พยายามให้ได้พระคุณจากพระองค์ ผมไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลอะไรเลย ผมคือคนจำพวกที่พระเจ้าตรัสถึง—ว่าไม่มีหัวใจหรือวิญญาณ—โดยแท้ไม่ใช่หรือ? ความเชื่อเช่นนั้นจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ได้อย่างไร? ถึงตอนนั้นผมจึงมองเห็นว่าพระเจ้าทรงอนุญาตให้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเหล่านี้เกิดขึ้นนั่นเอง การก้าวผ่านทั้งหมดนี้ได้เปิดโปงมุมมองผิดๆ ที่ผมมีต่อความเชื่อ เปิดโอกาสให้ผมได้ทบทวนและรู้จักตัวเองผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ได้แก้ไขแนวคิดผิดๆ ของตน และมีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง นั่นคือการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดที่พระเจ้าทรงมีให้ผม ผมได้รับความเชื่อทันทีที่ผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมไม่อยากเฝ้าไล่ตามไขว่คว้าความสงบสุข พระคุณ และพรในครอบครัวอีกต่อไป ผมจำเป็นต้องเข้าร่วมการชุมนุมต่อไป ผมตั้งปณิธานว่าไม่ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะไล่ตามเสาะหาความจริงตลอดไป
หลังจากนั้นผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งในบันทึกการเฝ้าเดี่ยวของตนที่ว่า “คำว่า ‘ความเชื่อ’ นี้อ้างอิงถึงอะไรเล่า? ความเชื่อคือการเชื่อที่จริงแท้และหัวใจที่จริงใจซึ่งมนุษย์ควรครองเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสบางสิ่งได้ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เมื่อมันอยู่ไกลเกินเอื้อมของมนุษย์ นี่คือความเชื่อที่เราพูดถึง ผู้คนมีความจำเป็นต้องมีความเชื่อในระหว่างช่วงเวลาแห่งความยากลำบากและการถลุง และความเชื่อคือบางสิ่งที่ตามมาด้วยการถลุง การถลุงและความเชื่อไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร และไม่สำคัญว่าสภาพแวดล้อมของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้ามีความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตและแสวงหาความจริง และแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าได้ และมีความเข้าใจในการกระทำของพระองค์ และเจ้ามีความสามารถที่จะกระทำตัวสอดคล้องกับความจริงได้ การทำเช่นนั้นคือการมีความเชื่อที่แท้จริง และการทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว เจ้าจะมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถยืนหยัดไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยการก้าวผ่านการถลุง ต่อเมื่อเจ้าสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและไม่เกิดคลางแคลงใจเกี่ยวกับพระองค์ขึ้นมา ต่อเมื่อเจ้ายังคงปฏิบัติความจริงเพื่อทำให้พระองค์พึงพอพระทัยไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดก็ตาม และต่อเมื่อเจ้าสามารถแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ในส่วนลึกของเจ้าและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) ผมได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าไม่ว่าสถานการณ์จะให้คุณหรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม พวกเราก็ไม่อาจสงสัยหรือตำหนิพระเจ้า พวกเราต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า ยืนหยัดเคียงข้างพระองค์ และฝึกฝนปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ พวกเราต้องสามารถติดตามพระเจ้าและปฏิบัติความจริงเพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยไม่ว่าพวกเราจะทุกข์ทนมากเพียงใด นี่เท่านั้นคือความเชื่อที่แท้จริง ความเข้าใจนี้มอบเส้นทางปฏิบัติและความเชื่อที่จะติดตามพระเจ้าให้แก่ผม
วันหนึ่งผมโทรศัพท์หาแม่และถามว่าภรรยาผมสบายดีไหม แม่บอกว่า “เธออยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเธอและไม่ได้ดูแลบ้านเลย เธอดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน” แม่ของผมยังบอกด้วยว่า “ศิษยาภิบาลบอกว่าลูกกำลังเดินบนทางที่ผิด ว่าความเชื่อที่ลูกมีในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นคือการทรยศองค์พระเยซูเจ้า เขาบอกให้แม่พาลูกกลับไปคริสตจักรและให้ลูกละทิ้งฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเสีย” ตอนที่ได้ฟังเช่นนั้น ผมโกรธจัดและคิดว่า “ทำไมนักบวชถึงพูดแบบนั้น? เป็นเพราะข่าวลืออันหลอกลวงของพวกเขา ภรรยาถึงต่อต้านความเชื่อที่ฉันมีในพระเจ้า ฉันจะปล่อยให้พวกเขาตีกรอบฉันไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ฉันก็จะไม่ฟัง” หลังจากคิดดีแล้ว ผมก็รบเร้าแม่ว่า “อย่าไปฟังเรื่องเหล่านั้นที่พวกนักบวชพูดเลย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสความจริงเอาไว้มากมายเหลือเกิน และพระสุรเสียงของพระองค์คือพระสุรเสียงของพระเจ้าพระองค์เอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา พระองค์และองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียวกัน ดังนั้นความเชื่อที่ผมมีในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงไม่ใช่การทรยศองค์พระเยซูเจ้า นี่คือการติดตามก้าวพระบาทของพระเมษโปดก และรับเสด็จการมาถึงขององค์พระผู้เป็นเจ้า” พอผมพูดเช่นนี้ แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรตอบ
และแล้วค่ำวันหนึ่ง ผมก็โทรศัพท์ไปหาภรรยา เธอพูดอย่างโกรธๆ ว่า “คุณจะโทรมาหาฉันทำไม? ฉันนึกว่าคุณไม่อยากมีครอบครัวอีกต่อไปแล้วเสียอีก เลือกมาเลย ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหรือครอบครัวของพวกเรา? ถ้าคุณไม่นึกถึงฉันก็ไม่เป็นไร แต่คุณต้องนึกถึงลูกบ้าง ลูกอายุแค่แปดเดือนเองนะ” การได้ฟังภรรยาตัวเองพูดอย่างนี้ช่างน่าเสียใจจริงๆ ผมคิดในใจว่า “ฉันแค่เข้าร่วมชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ฉันอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันไม่เคยพูดว่าไม่ต้องการครอบครัว หรือไม่สนใจเธอกับลูกชายเลย ทำไมเธอถึงบีบบังคับให้ฉันต้องเลือกอะไรแบบนี้?” แล้วผมก็ฉุกคิดได้ว่า “เธอไม่รู้ว่าความเชื่อในพระเจ้าคืออะไร และจะไม่ฟังไม่ว่าฉันจะพูดอะไร แต่การจะให้ฉันล้มเลิกความเชื่อของตัวเองนั้นเป็นไปไม่ได้แน่ ฉันมั่นใจแล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา ฉันจึงรู้ว่าตัวเองจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไปไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร” เมื่อเธอเห็นผมไม่ตอบคำ เธอก็วางสายไปเลย แม้ว่าในตอนนั้นสิ่งที่ภรรยาพูดจะก่อกวนจิตใจของผม แต่ผมรู้ว่าผมไม่อาจพร่ำบ่นและตำหนิพระเจ้าอย่างเดิมได้ ผมต้องมีความเชื่อ ต้องพึ่งพาพระเจ้าในการที่จะผ่านเรื่องนี้ไป และแล้วผมก็ได้ฟังบทเพลงสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อ “เจ้าควรละทิ้งทั้งหมดเพื่อความจริง” ความว่า
1 เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม
2 เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา
พระวจนะของพระเจ้าหนุนนำความเชื่อของผม ผมรู้ว่าในฐานะผู้เชื่อ การไล่ตามเสาะหาความจริงคือหนทางดำเนินชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่มีความหมาย และผมจะเลิกเชื่อเพราะปัญหาบางอย่างทางบ้านหรือความไม่สบายของเนื้อหนังไม่ได้ การขาดความเชื่อและการไม่นมัสการพระเจ้าย่อมจะเป็นชีวิตที่ไร้ความหมายหรือไร้คุณค่า ผมไม่ควรปล่อยให้ครอบครัวตีกรอบผม ครอบครัวและสุขภาพของลูกล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ผมจึงควรวางใจมอบสิ่งเหล่านี้ให้อยู่ในความดูแลของพระเจ้า และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ผมควรไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเท่าที่จะสามารถ
ฝ่านไประยะหนึ่ง ผมต้องกลับบ้านไปต่ออายุบัตรประชาชนเพราะบัตรใกล้จะหมดอายุแล้ว ผมตื่นเต้นมากเพราะรู้สึกเหมือนว่านี่คือโอกาสอันดีที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับครอบครัวของตน แต่ผมก็กังวลด้วย เพราะทั้งภรรยาและแม่ของผมต่างก็ต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และทุกคนในเมืองเกิดของผมก็รู้ว่าผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถ้านักบวชในท้องถิ่นรู้ว่าผมกลับไป พวกเขาก็จะพยายามขัดขวางผมแน่นอน ผมไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผมกลับไป ดังนั้นผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าดังๆ บอกว่า “โอ พระเจ้า! กลับบ้านคราวนี้ ข้าพระองค์อยากแบ่งปันข่าวประเสริฐกับครอบครัว แต่พวกนักบวชคอยแทรกแซงตลอดมาและครอบครัวก็ต่อต้านข้าพระองค์ ข้าพระองค์กลัวว่าพวกเขาจะไม่ฟังการสามัคคีธรรมของข้าพระองค์ พระเจ้า ได้โปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์ และเปิดทางให้ด้วยเถิด” จากนั้นผมได้ฟังเพลงสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าเพลงหนึ่งที่ชื่อว่า “ติดตามพระวจนะของพระเจ้าแล้วเจ้าจะไม่สามารถหลงทางได้” ความว่า
…………
2 กับทุกบุคคล ทุกเหตุการณ์ และทุกสิ่งที่เจ้าเผชิญ พระวจนะของพระเจ้าจะปรากฏต่อเจ้าเมื่อใดก็ได้ นำเจ้าให้กระทำตามเจตนารมณ์ของพระองค์ และทำทุกสิ่งตามพระวจนะของพระองค์ พระวจนะของพระเจ้าจะนำทางเจ้าไปข้างหน้าในทุกการกระทำ เจ้าจะไม่มีวันหลงเจิ่น แล้วเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตในความสว่างใหม่ กับความรู้แจ้งที่มากกว่าและใหม่กว่าเสียด้วยซ้ำ เจ้าไม่อาจใช้มโนคติอันหลงผิดแบบมนุษย์เพื่อครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะทำ เจ้าควรนบนอบต่อการทรงนำของพระวจนะ มีหัวใจที่ชัดเจน สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และทำการใคร่ครวญมากขึ้น จงอย่ากลัดกลุ้มเพื่อหาทางออกในสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ นำเรื่องเช่นนั้นมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยขึ้น ถวายหัวใจที่จริงใจแด่พระองค์
3 จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานอย่างยิ่งต่อพระเจ้า แสวงหาสุดชีวิตในขณะที่ปฏิเสธข้อแก้ตัว เจตนา และเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน จงอย่าสิ้นหวัง จงอย่าอ่อนแอ จงแสวงหาด้วยทั้งหัวใจ รอคอยด้วยทั้งหัวใจของเจ้า จงร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน และกำจัดสิ่งกีดขวางภายในไปจากตัวเจ้าเอง
—การสามัคคีธรรมของพระเจ้า
พอได้ฟังเพลงนี้ ผมจึงเข้าใจว่ามีน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ในการกลับบ้านครั้งนี้ เพียงแต่ว่าผมมีความเชื่อในพระเจ้าอยู่น้อยและไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ผมต้องพึ่งพาพระองค์เพื่อที่จะผ่านตรงนี้ไป ผมจำพระวจนะของพระเจ้าท่อนที่ว่า “จงเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของเจ้า” ได้ขึ้นใจมาก พระวจนะของพระเจ้าหนุนนำความเชื่อของผมให้แข็งแกร่ง ไม่ว่าสิ่งที่ผมพบเจอทุกวันจะเป็นอะไร นั่นก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ตราบใดที่ผมพึ่งพาและมองไปที่พระเจ้าอย่างแท้จริง ผมก็เชื่อว่าพระองค์จะทรงนำผมให้เผชิญหน้าทุกสิ่งนั้นด้วยพระวจนะของพระองค์
ตอนแรกที่กลับถึงบ้าน ภรรยาก็เมินผม ผมรู้ว่านั่นเป็นเพียงเพราะอิทธิพลของศิษยาภิบาลที่ชักนำเธอไปในทางที่ผิด ผมต้องหาโอกาสเป็นพยานแก่เธอถึงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เธอจะได้รู้ความจริงและไม่เข้าใจผิดเพราะศิษยาภิบาลอีกต่อไป ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอการทรงนำของพระองค์ จากนั้นผมก็อดทนพูดกับเธอด้วยความจริงใจ ผมบอกว่า “คุณกับแม่ควรศึกษาพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และฟังพระวจนะของพระองค์จริงๆ แล้วคุณจะมั่นใจว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า ว่าเป็นพระวจนะที่พระเจ้ามีต่อมวลมนุษย์ ถ้าคุณไม่สืบค้นและไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่กลับฟังข่าวลือและคำพูดเยี่ยงมารของพวกนักบวช คุณจะรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? ครั้งหนึ่งองค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน’ (มัทธิว 7:7) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นที่เชื่อถือได้ ตราบใดที่พวกเราแสวงหาอย่างแท้จริง พวกเราก็จะสามารถได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับเสด็จการกลับมาของพระองค์” ภรรยาของผมไม่ตอบคำว่ากระไร ผมเห็นเธอฟังอย่างสงบเท่านั้น และดูเหมือนจะไม่ต้านทานและโต้แย้งเหมือนเมื่อก่อน ผมนึกขอบคุณพระเจ้าจากหัวใจ นี่คือการทรงนำของพระองค์ และการนี้มอบความมั่นใจให้ผมเล่าเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าให้ทั้งสองฟังต่อไป
วันถัดมาผมได้ให้คำพยานถึงการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าแก่ทั้งภรรยาและแม่ของผม ผมบอกว่า “รู้ไหมว่าทำไมผมถึงยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? เพราะผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และเห็นว่าทั้งหมดคือความจริง ทั้งหมดคือพระสุรเสียงของพระเจ้า และผมถึงได้แน่ใจว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมา ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสพระวจนะเอาไว้หลายล้านคำ เปิดเผยความล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์และความล้ำลึกของพระคัมภีร์แก่พวกเรา รวมทั้งเผยให้เห็นว่ามนุษย์พัฒนามาถึงปัจจุบันอย่างไร ซาตานทำให้พวกเราเสื่อมทรามอย่างไร พระเจ้าทรงงานทีละขั้นตอนเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไร พระองค์ทรงกำหนดจุดจบและบั้นปลายสุดท้ายของพวกเราอย่างไร คนแบบไหนที่จะสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ และใครที่จะถูกลงโทษ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสบอกพวกเราถึงความล้ำลึกทั้งหมดนี้ และความจริง และอื่นๆ อีกมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงบอกความจริงแก่พวกเราว่ามนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างไร รวมทั้งรากเหง้าของการที่พวกเราต้านทานพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังทรงแสดงให้พวกเราเห็นถึงเส้นทางที่จะชำระบาปของพวกเราให้สะอาดหมดจด พระวจนะทุกคำคือความจริง และล้วนเปี่ยมไปด้วยฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสประกาศทั้งหมดนี้เพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงพวกเรา เพื่อช่วยพวกเราให้รอดจากอิทธิพลของซาตานโดยสมบูรณ์ คุณกับแม่คิดว่าใครจะสามารถแสดงความจริงและความล้ำลึกเหล่านี้ได้? ใครจะสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดได้? มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถ! ผู้คนไม่ได้ครอบครองความจริง มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่เป็นหนทาง ความจริง และชีวิต คุณกับแม่ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างถี่ถ้วน แล้วจะเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสความจริง เห็นว่านั่นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า และว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา! ถ้าได้ยินใครบางคนบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว และพวกเราไม่ตรวจสอบ เอาแต่ตัดสินและกล่าวโทษตามสิ่งที่ศิษยาภิบาลบอก พวกเราย่อมจะทำลายโอกาสรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าของตนและจะไม่ได้รับความรอดนิรันดร์จากพระเจ้า นั่นจะเป็นเรื่องน่าละอายใจมาก!” ได้ฟังแบบนี้ แม่ของผมก็พูดว่า “ใช่แล้ว ลูกพูดถูก พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ พวกเราจึงควรฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส ไม่ใช่ฟังผู้คนอื่นๆ” เมื่อได้ยินแม่พูดแบบนั้น ผมขอบคุณพระเจ้า จากนั้นท่านก็พูดต่อเพื่อที่จะเล่าให้ผมฟังว่า “ครั้งหนึ่งแม่ขอให้ศิษยาภิบาลอธิษฐานให้ครอบครัวของพวกเรา แต่เขากลับบอกว่า ‘ลูกชายคุณไม่ฟังพวกเรา พวกเราไม่อนุญาตให้เขาติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกคุณไม่ใส่ใจพวกเราเลย ดังนั้น อย่าเอาเรื่องครอบครัวของคุณมาขอความช่วยเหลือจากพวกเราอีก จัดการเรื่องเหล่านี้กันเองเถอะ’” ได้ฟังเช่นนี้ ผมก็พูดอย่างมีโมโหว่า “ในฐานะนักบวช พวกเขาควรนำพี่น้องชายหญิงสืบค้นข่าวเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่นอกจากจะไม่ยอมทำเช่นนั้นแล้ว พวกเขายังข่มขู่พวกเราและกีดกันไม่ให้พวกเราได้ฟังพระสุรเสียของพระเจ้าและไม่ให้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุจูงใจที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร? พวกเขาพยายามที่จะกุมทุกคนเอาไว้ในเงื้อมมือของพวกเขาอย่างแน่นหนาไม่ใช่หรือ? องค์พระเยซูเจ้าทรงสาปแช่งพวกฟาริสีว่า ‘วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม’ (มัทธิว 23:13) ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกฟาริสีก็สร้างข่าวลือ ต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างบ้าคลั่ง เพื่อให้พวกเขาสามารถรักษาสถานะและหนทางในการดำรงชีพของตนเอาไว้ พวกเขาชักนำผู้เชื่อให้เข้าใจผิดและขัดขวางไม่ให้ผู้เชื่อติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วในท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการจับองค์พระเยซูเจ้าตรึงกางเขน หลังจากนั้นพวกเขาจึงถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ นักบวชในปัจจุบันก็เหมือนพวกฟาริสี พวกเขากลัวว่าผู้เชื่อจะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และกลัวว่าพวกตนจะสูญเสียสถานะและหนทางยังชีพ ดังนั้นพวกเขาจึงทำทุกวิถีทางที่จะกีดกันผู้เชื่อไม่ให้ได้ฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและรับเสด็จพระองค์ พวกเขากำลังทำตัวเป็นศัตรูของพระเจ้า! สุดท้ายพวกเขาย่อมจะถูกสาปแช่งและลงโทษเช่นกัน”
จากนั้นผมก็สามัคคีธรรมว่าพวกเราต้องคอยฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อที่จะรับเสด็จพระองค์ และบอกว่านั่นเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาและได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วผมก็รบเร้าทั้งสองว่า “ผมหวังจริงๆ ว่าแม่กับเธอจะสืบค้นและรับฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อดูว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าจริงหรือไม่ ผมไม่อยากเห็นแม่กับเธอถูกนักบวชควบคุมและทำให้เข้าใจผิด ทั้งสองคนจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะให้ออกนะครับ” แม่ของผมพูดขึ้นในตอนนั้นว่า “ลูกพูดถูก ก่อนหน้านี้แม่เอาแต่ฟังนักบวชอยู่เสมอ กลัวว่าลูกกำลังเดินบนเส้นทางที่ผิด เพราะอย่างนั้นแม่ถึงพยายามกีดกันไม่ให้ลูกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่แม่เห็นแล้วว่าการสามัคคีธรรมของลูกนั้นถูกต้องตามพระคัมภีร์ และสิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่นักบวชพรรณนาเอาไว้จริงๆ แม่จะลองสืบค้นดู” ภรรยาของผมรับฟังอย่างตั้งใจตลอดการสนทนาครั้งนี้ หลังจากนั้นผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ทั้งสองฟังอย่างมากมาย แล้วสามัคคีธรรมถึงสิ่งทั้งหลาย เช่น ความแตกต่างระหว่างการติดตามพระเจ้ากับการติดตามมนุษย์ ทำไมขณะนี้พระเจ้าถึงทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้ายในรูปมนุษย์ รวมถึงนัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า หลังจากสามัคคีธรรมไปได้สองสามครั้ง ทั้งคู่ก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมขอบคุณพระเจ้าเมื่อได้เห็นทั้งสองมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์
มีอยู่ครั้งหนึ่งภรรยาของผมมาพูดแบบเปิดใจกับผม เธอบอกว่า “ก่อนหน้านี้ฉันเคยทำให้คุณหนักใจ และถึงกับกดดันให้หย่ากัน ทั้งหมดเป็นเพราะฉันฟังศิษยาภิบาล ทุกครั้งที่ฉันไปที่คริสตจักร เขาจะบอกฉันว่าคุณอยู่บนเส้นทางที่ผิด และบอกให้ฉันรบเร้าให้คุณกลับใจ ฉันนึกว่าสิ่งที่เขาพูดอยู่นั้นจริง ก็เลยโต้เถียงคุณมาตลอด และไม่ยอมฟังคุณเลย แต่เท่าที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และฟังคุณสามัคคีธรรมตลอดเวลามานี้ ฉันก็เห็นว่าแตกต่างจากที่ศิษยาภิบาลเคยบอกไว้โดยสิ้นเชิง การนึกย้อนไปถึงท่าทีที่ฉันเคยมีต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าทำให้ฉันกลัวจริงๆ ฉันต่อสู้กับพระเจ้า และเกือบจะเสียโอกาสต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปเสียแล้ว ฉันไม่ควรเชื่อสิ่งที่ศิษยาภิบาลบอกเลยและฉันก็ไม่ควรทำให้คุณลำบากใจ ฉันขอโทษจริงๆ” ตอนที่ได้ฟังภรรยาพูดเช่นนั้น ผมตื้นตันใจเหลือเกิน ผมเกือบจะร้องไห้ออกมาและขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จากก้นบึ้งหัวใจของผม!
ด้วยการก้าวผ่านทั้งหมดนี้ ผมจึงได้มีประสบการณ์กับความพยายามอย่างจริงใจของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้เกิดเรื่องยากลำบากขึ้นกับผมเพื่อเปิดโปงความเสื่อมทรามและข้อเสียของผม และเพื่อทำให้ความเชื่อที่ผมมีในพระองค์นั้นเพียบพร้อม แม้ว่าบางครั้งผมจะทุกข์ทนและรู้สึกอ่อนแอ รู้สึกทรมาน แต่พระเจ้าก็ไม่เคยทรงผละจากผมไป และนำผมด้วยพระวจนะของพระองค์เสมอ นี่ช่วยให้ผมเข้าใจมุมมองผิดๆ ที่ผมมีเกี่ยวกับความเชื่อ มองทะลุกลอุบายและการทำให้หยุดชะงักของซาตาน และเรียนรู้ความจริงบางอย่าง การนี้ทำให้ความเชื่อที่ผมมีในพระเจ้าแข็งแกร่งขึ้น ทั้งหมดคือการทรงนำของพระเจ้า! ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ม่อเหวิน ประเทศสเปน ผมจำได้ย้อนไปในปี 2018 ผมทำหน้าที่ด้านข่าวประเสริฐในคริสตจักร แล้วต่อมาก็ได้เป็นผู้ดูแลงานนั้น...
โดย หยางอี ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เพื่อประโยชน์ของชะตากรรมของตัวพวกเจ้าเอง พวกเจ้าควรแสวงหาความเห็นชอบจากพระเจ้า...
โดย หลี่ หยาง, ประเทศจีน ผมถูกจับทันทีหลังตรุษจีนปี 2020 เพราะความเชื่อของผม ตอนที่ผมตรวจร่างกายตามระบบหลังถูกจับ พวกเขาเจอจุดดำบนปอดของผม...
โดย เฉิน หมิน, ประเทศจีน ตอนนั้นเป็นเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 และผู้นำคริสตจักรของเราทั้งสองคนถูกจับกุม หลังรู้ข่าว...