เรื่องราวของแองเจิล

วันที่ 06 เดือน 10 ปี 2024

โดย แองเจิล, พม่า

ฉันเจอพี่น้องหญิงทีน่าทางเฟซบุ๊กเมื่อเดือนสิงหาคมปีค.ศ. 2020 เธอบอกฉันว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์กำลังทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายอยู่ เธอยังบอกฉันด้วยถึงคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาเพื่อทรงพระราชกิจพิพากษานี้ “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17)  “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด หากใครปฏิเสธเราและไม่ยอมรับวจนะของเรา จะมีสิ่งหนึ่งที่พิพากษาเขา นั่นคือ คำที่เรากล่าวไว้แล้วย่อมจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)  “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)  พอได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ และได้ฟังสามัคคีธรรมของทีน่า ฉันก็เข้าใจว่าที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำล้วนคือพระราชกิจแห่งการไถ่ แม้ว่าบาปของผู้ซื่อสัตย์จะได้รับการอภัยแล้ว แต่ธรรมชาติบาปของเราก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข แม้เราจะไปคริสตจักร อธิษฐาน และสารภาพ เราก็ยังโกหกและทำบาปต่อไป ไม่อาจหนีจากโซ่ตรวนของบาปได้ เราต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้สะอาด เพื่อที่เราจะเป็นอิสระจากโซ่ตรวนเหล่านี้และควรค่าแก่การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างแท้จริง สามัคคีธรรมของทีน่าให้ความรู้แจ้งมาก เธอบอกสิ่งที่ฉันไม่เคยได้ยินในคริสตจักร จนฉันตั้งใจจะแสวงหาและสืบค้น

พี่น้องชายสองคนมาเผยแผ่ข่าวประเสริฐที่หมู่บ้านเรา และฉันให้พวกเขาพักด้วย มีครั้งหนึ่ง ชาวบ้านกว่ายี่สิบคนมาฟังพวกเขาประกาศที่บ้านของฉัน พวกเขาคิดว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยอดเยี่ยมและได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างยิ่ง และอยากสืบค้นต่อไป วันต่อมา พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสได้ยินเรื่องพี่น้องชายทั้งสองและการประกาศข่าวประเสริฐของพวกเขา และมาเพื่อหยุดฉัน ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูมา ศิษยาภิบาลเทย์เลอร์ก็ถามฉันว่า “ใครมาประกาศที่บ้านของคุณ?” สีหน้าบูดบึ้งของพวกเขาทำให้ฉันตึงเครียด ฉันกังวลว่าถ้าพวกศิษยาภิบาลรู้ว่าพี่น้องชายทั้งสองมาประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็จะตกที่นั่งลำบาก ฉันจึงพูดว่า “พวกเขาเป็นเพื่อนที่ฉันเจอออนไลน์น่ะค่ะ” ศิษยาภิบาลโคลินจึงพูดว่า “เราได้ยินว่าพวกเขามาประกาศข่าวประเสริฐ คุณต้องไม่เปิดบ้านต้อนรับเขาอีก! ถ้าผมเจอว่าคุณทำ ผมจะบอกสามีคุณว่าคุณให้ผู้ชายมาค้างคืนที่นี่!”  พอได้ยินฉันก็โกรธมาก ฉันต้อนรับพวกเขาระหว่างที่พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้คนในหมู่บ้านเท่านั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลย แต่ศิษยาภิบาลกลับตั้งใจจะโกหกและข่มขู่ฉัน ศิษยาภิบาลเทย์เลอร์พูดว่า “อย่าเชื่อข่าวประเสริฐของพวกเขา องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ‘ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า “นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “อยู่ที่โน่น” อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อชักพาแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกให้หลงผิด ถ้าเป็นได้(มัทธิว 24:23-24)  พระคริสต์เทียมเท็จมากมายจะปรากฏในยุคสุดท้าย การประกาศใดๆ ที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้วนั้นเป็นเท็จ อย่าให้พวกเขามาหลอกลวงได้! ผมพูดสิ่งนี้เพื่อปกป้องคุณ ผมกลัวว่าคุณจะถูกหลอกนะ” ตอนนั้น ฉันแยกแยะคำพูดของพวกศิษยาภิบาลไม่ออก ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อมานานมากและเข้าใจอะไรมากมาย และสิ่งที่พวกเขาพูดก็สอดคล้องกับพระคัมภีร์ ถ้าพวกเขาพูดถูก และฉันถูกนำให้หลงทางไป ฉันจะทำอย่างไร? ดังนั้น ฉันจึงเชื่อพวกเขา คนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาหาฉันเพื่อชุมนุมกัน แต่ฉันก็หาข้ออ้างปฏิเสธ ถึงกับเปลี่ยนบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเอง และตัดหนทางติดต่อกันทั้งหมด

ฉันไม่ชุมนุมอยู่ประมาณสองสัปดาห์ ฉันฆ่าเวลาไปวันๆ ด้วยการคุยกับเพื่อนๆ ออนไลน์และดูพวกวิดีโออยู่ที่บ้าน ตอนนั้นฉันเบื่อมากค่ะ ฉันมักจะนึกย้อนไปถึงช่วงที่ชุมนุมกับบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตอนที่หัวใจฉันอิ่มเต็มและมีความสุข แต่ตอนนี้ฉันกระสับกระสายมากกว่าครั้งไหนๆ ฉันคิดว่า “ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ ถ้าฉันไม่ยอมรับพระองค์ ฉันจะพลาดความรอดของพระองค์ไหม? แต่พวกศิษยาภิบาลพูดว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้ายเพื่อหลอกลวงผู้คน และการประกาศใดๆ ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้วก็เป็นเท็จ ถ้าฉันถูกหลอกจะเป็นอย่างไร?” ฉันรู้สึกขัดแย้งและสับสนมาก จึงอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแสวงหาว่า “โอ้องค์พระเยซูเจ้า ข้าพระองค์ไม่มีวิจารณญาณและไม่รู้ว่าจะฟังใคร โปรดทรงให้ความรู้แจ้งให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยและไม่สูญเสียความรอดของพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันตระหนักว่าฉันไม่อาจแค่วิ่งหนีและไม่แสวงหาได้ ฉันต้องหาพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อหาคำตอบของปัญหาเหล่านี้  แต่ฉันต้องประหลาดใจ เมื่อพวกศิษยาภิบาลรู้เข้าหลังจากการชุมนุมแค่สองครั้ง พวกเขาเรียกเราพี่น้องชายหญิงสองสามคนที่ได้ชุมนุมร่วมกันไปประชุมที่บ้านของศิษยาภิบาลเทย์เลอร์ในค่ำวันนั้น ฉันร้อนรนทีเดียว ไม่รู้ว่าพวกศิษยาภิบาลจะทำอะไร ค่ำวันนั้น เราไปที่บ้านของศิษยาภิบาลเทย์เลอร์ มีศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสคนอื่นๆ อยู่ด้วย ศิษยาภิบาลเทย์เลอร์พูดว่า “ฉันได้ยินว่าช่วงนี้คุณเข้าร่วมการเทศนาออนไลน์ ทำไมคุณถึงเข้าร่วมการเทศนาจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แทนของพวกเราล่ะ? ตราบใดที่คุณมาคริสตจักร ฟังคำเทศนาของเรา อีกทั้งอธิษฐานและสารภาพกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เช่นนั้นแล้วเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา เจ้าจะได้รับการพาขึ้นสู่สวรรค์อย่างแน่นอน” ฉันคิดว่า “คนที่เชื่อในพระเจ้าควรฟังพระวจนะของพระองค์ พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสบังคับให้เราฟังคำของพวกเขาเสมอ พวกเขากำลังนำผู้คนมาเบื้องหน้าตนเองแทนที่จะเป็นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ใช่หรือ?” ฉันไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ศิษยาภิบาลพูด แต่ฉันก็ไม่กล้าโต้แย้งเขา จากนั้นศิษยาภิบาลเทย์เลอร์ก็ยืนสมุดจดให้เราและตะโกนว่า “พวกคุณจะเชื่อในพระเจ้าองค์อื่นๆ ต่อไปอีกไหม? ตัดสินใจเสียเดี๋ยวนี้! นี่เป็นชื่อของพวกคุณ รีบๆ เซ็นซะ! ถ้าเลือกจะเลิกเชื่อ ก็กาถูก ถ้าไม่ก็กากบาท ถ้าเชื่อในพระเจ้าองค์อื่นๆ ต่อไป พวกคุณจะตกที่นั่งลำบากอย่างแรงเลยล่ะ! เราจะไม่ช่วยอะไรครอบครัวพวกคุณอีกอย่างงานแต่งงาน งานศพ การคลอดลูก หรือสร้างบ้านของพวกคุณ” ที่ที่ฉันอยู่เราให้คุณค่ากับประเพณีเหล่านั้นจริงๆ ค่ะ และหากศิษยาภิบาลไม่สนับสนุน คนในหมู่บ้านก็จะไม่ช่วยเราเช่นกัน ตอนนั้น ฉันค่อนข้างอ่อนแอ ฉันคิดว่า “ครอบครัวของฉันกำลังวางแผนจะสร้างบ้าน ตามประเพณีของหมู่บ้าน ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเป็นผู้ควบคุมสิ่งนี้ ถ้าพวกเขาไม่เข้ามากำกับดูแล ก็ไม่มีใครมาช่วย ถ้าฉันเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์ต่อไป เวลามีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านก็คงจะลำบากแน่ แต่ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และดูเหมือนจะเป็นพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อาจจะเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ถ้าฉันฟังพวกศิษยาภิบาลและละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะไม่เป็นการต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?” พอคิดแบบนี้ ฉันก็กากบาทในสมุดจด คนอื่นๆ ก็กากบาทลงไปทีละคน มีคนเดียวที่กาถูก ศิษยาภิบาลโกรธจัดและพูดว่า “เวลามีปัญหาในอนาคต คนในหมู่บ้านจะไม่มาช่วยคุณนะ หลังเสร็จเรื่องนี้แล้ว เราจะไม่อธิษฐานให้คุณอีกด้วย!”

ฉันโกรธค่ะ แต่ขณะเดียวกันก็สับสนด้วย แล้วพระคริสต์เทียมเท็จที่พวกศิษยาภิบาลพูดถึงล่ะ? ฉันถามจากพี่น้องหญิงสองคนที่ฉันชุมนุมด้วย คนนึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันฟัง ความว่า “พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า  ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า รวมทั้งครองพระปัญญาในพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งมนุษย์ไม่อาจบรรลุได้  บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล  พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นเนื้อหนังเฉพาะที่พระเจ้าทรงเข้าสวมในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจและทำพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์ให้ครบบริบูรณ์ เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้ดีพอ สามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองแก่นแท้ของพระคริสต์เลย  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  หลังจากอ่านเสร็จ เธอก็สามัคคีธรรมว่า “เราจะแยกแยะพระคริสต์แท้จริงออกจากเทียมเท็จได้อย่างไร? พระคริสต์คือพระวิญญาณของพระเจ้าในเนื้อหนัง เสด็จมาแผ่นดินโลกในฐานะมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นการปรากฏของความจริง การมาถึงของพระผู้ช่วยให้รอด พระคริสต์สามารถแสดงความจริงและเปิดเผยความล้ำลึกได้ พระองค์สามารถชำระให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอด และทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง แต่โดยแก่นแท้แล้วพระคริสต์เทียมเท็จคือพวกปีศาจ ไม่ว่าพวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระเจ้าอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจแสดงความจริงและไม่อาจทำงานแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าได้ พวกเขาได้แค่ประกาศพระวจนะในพระคัมภีร์หรือเลียนแบบพระเจ้า ด้วยการแสดงปาฏิหาริย์เพื่อล่อลวงผู้คน” จากนั้นเธอก็เปรียบเปรยให้ฉันฟังว่า ถ้ามีคนสวมเสื้อคลุมสีขาวพร้อมหูฟังของหมอสิบคนมาอ้างว่าตนเองเป็นหมอ แต่มีคนเดียวที่เป็นหมอตัวจริง เราจะแยกแยะตัวจริงออกจากตัวปลอมได้อย่างไร? เราดูแค่ที่ชุดหรือการวางตัวของพวกเขาไม่ได้ กุญแจสำคัญคือดูว่าพวกเขารักษาโรคได้ไหม ถ้าพวกเขาทำได้ ก็เป็นหมอ เวลาเราแยกแยะพระคริสต์จะดูแค่เพียงภายนอกไม่ได้ เราต้องตัดสินจากพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ และพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงเปิดเผย ถ้าพระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ พระองค์ก็คือพระคริสต์ เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราล้วนเห็นได้ว่าพระวจนะเป็นความจริง และมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ พระองค์ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า พระราชกิจสามระยะของพระองค์ การประสูติเป็นมนุษย์ และพระนามของพระองค์ และเรื่องราวเบื้องลึกของพระคัมภีร์ พระองค์ยังทรงเปิดเผยความจริงและแก่นแท้ของความเสื่อมทรามที่ซาตานทำต่อมนุษย์ และแหล่งที่มาของการกบฏและต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์ ซึ่งช่วยให้ผู้คนรู้จักอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง พระองค์ทรงบอกสิ่งต่างๆ อย่างพระองค์ทรงชอบคนประเภทไหน แบบไหนที่ทรงเกลียดชัง แบบไหนเข้าสุ่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ และแบบไหนที่จะถูกลงโทษ พระองค์ยังทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและไม่อาจล่วงเกินได้ของพระองค์แก่เราด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่จำเป็นต่อการช่วยมวลมนุษย์อันเสื่อมทรามให้รอด และกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้าย จากเรื่องนี้ เราสามารถแน่ใจได้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระคริสต์เทียมเท็จไม่อาจแสดงความจริงหรือทำงานแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าได้ ยิ่งการแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ยิ่งไม่ได้เลย ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกตัวเองว่าพระเจ้ามากขนาดไหน พวกเขาก็เทียมเท็จและเป็นวิญญาณชั่ว และจะร่วงหล่น หลังจากฟังสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิง หัวใจฉันก็รู้สึกสว่างขึ้นมาก ฉันเข้าใจว่าฉันไม่สามารถฟังคำของพวกศิษยาภิบาลหรือผู้อาวุโสเพื่อแยกแยะพระคริสแท้จริงได้ เข้าใจว่ากุญแจสำคัญคือการดูว่าพระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย เปิดเผยความล้ำลึกของพระคัมภีร์อย่างเหลือล้น และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้ ฉันเกิดความแน่ใจเต็มเปี่ยมว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา จากนั้น ฉันก็ชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงในหมู่บ้านบ่อยๆ

ในเดือนเมษายนปี 2021 อาการป่วยของสามีฉันกำเริบ และเขาก็ตายจากไป ญาติๆ ของฉันอยากให้พวกศิษยาภิบาลมาช่วยอธิษฐานและจัดพิธีต่างๆ ให้ แต่พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสก็เย้ยหยันฉัน และใช้โอกาสนั้นบังคับให้ฉันละทิ้งความเชื่อ ผู้นำหมู่บ้านก็เออออไปกับพวกเขา ตำหนิฉันที่ไม่ยอมฟังพวกเขา และห้ามคนในหมู่บ้านมาช่วยฉัน แล้วเขาก็พูดว่า “ถ้าคุณสารภาพกับทุกคน สัญญาว่าจะละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเข้าร่วมการชุมนุมของคริสตจักร เราก็จะช่วยคุณฝังศพสามี”  ฉันไม่เคยนึกว่าพวกเขาจะใช้การฝังศพสามีฉันมาบีบบังคับให้ฉันเลิกเชื่อ ช่างน่ารังเกียจและน่าชังมาก ฉันไม่มีเหตุผลให้สารภาพบาปกับพวกเขา ฉันทำได้แต่อุ้มลูกชายวัยห้าเดือนพลางร้องไห้ พอฉันไม่ตอบ พวกเขาก็ให้ครอบครัวของฉันมาข่มขู่ฉันให้ยอมรับว่าตัวเองผิด ตรงนั้นไม่มีใครพูดปกป้องฉันสักคน ฉันตัวสันเทา รู้สึกสิ้นหวังเดียวดาย ฉันคิดว่า “ถ้าฉันไม่พูดว่าฉันผิด จะไม่มีใครช่วยฉันฝังศพสามี แต่ถ้าฉันพูดไป ฉันก็จะปฏิเสธและทรยศพระเจ้า ฉันควรทำอย่างไรดี?” ในความเจ็บปวด ฉันร้องหาพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง พระผู้สร้างสรรพสิ่งเพียงองค์เดียว ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของผู้คนจำนวนมาก และทั้งหมดล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์พร้อมจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่เคยอ่าน ความว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์  แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์  เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ… เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร?  เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  ฉันเข้าใจว่า แม้จะดูเหมือนว่าเป็นพวกศิษยาภิบาลและผู้นำหมู่บ้านที่กำลังข่มเหงและขังขวางฉัน แต่ที่จริง ทั้งหมดล้วนเป็นการหลอกลวงและการทำให้หยุดชะงักของซาตาน แม้พวกเขาจะพูดว่านี่เพื่อประโยชน์ของฉันเอง แต่จริงๆ พวกเขากำลังใช้ประเพณีของหมู่บ้านต่อสิ่งต่างๆ อย่างงานศพ งานแต่งงาน การคลอดลูก และการสร้างบ้านเพื่อทำให้คนในหมู่บ้านทอดทิ้งฉัน และบังคับให้ฉันปฏิเสธและทรยศพระเจ้า พวกเขายังต้องการดึงฉันกลับเข้าศาสนา เพื่อให้ฉันทำตามและเชื่อฟังพวกเขาต่อไป พระเจ้าได้ทรงไปจากคริสตจักรแห่งยุคพระคุณนานแล้วเพื่อทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย ถ้าฉันฟังพวกศิษยาภิบาลและผู้นำหมู่บ้าน และกลับเข้าคริสตจักรกับพวกเขา ฉันก็จะสูญเสียโอกาสได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า และฉันจะถูกส่งลงนรกไปรับการลงโทษกับพวกเขา นั่นเป็นเจตนาอันชั่วช้าของซาตาน ไม่ว่าพวกเขาจะขวางทางฉันอย่างไร ฉันก็ฟังพวกเขาไม่ได้ ฉันต้องอธิษฐาน พึ่งพาพระเจ้า ตั้งมั่นในคำพยาน และหยามซาตาน  แต่ฉันก็ยังต้องการคนช่วยเรื่องงานศพของสามี นั่นเป็นปัญหาในเชิงปฏิบัติค่ะ พวกชาวบ้าน ญาติมิตรของฉันต่างก็ฟังผู้นำหมู่บ้านและพวกศิษยาภิบาลและไม่ยอมช่วยฉัน แล้วฉันควรจะทำอย่างไร? ฉันเฝ้าร้องหาพระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่ว่าใครจะมาช่วยฉันฝังศพสามีหรือไม่ ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ฝากเรื่องเหล่านี้ไว้กับพระองค์ ไม่ว่าอย่างไร ข้าพระองค์ก็จะนบนอบต่อพระองค์และไม่มีวันทรยศพระองค์” หลังจากอธิษฐาน ฉันรู้สึกสงบลงเล็กน้อยและเจ็บปวดน้อยลง ตอนนั้นเอง ฉันก็ได้ยินอาของฉันพูดมาจากข้างนอกว่า “ขอร้องล่ะ ช่วยกันหน่อย ผมขอโทษแทนเธอก็แล้วกัน” ผู้นำหมู่บ้านพูดว่า “เธอต้องมาขอโทษเอง”  ฉันคิดว่า “ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพวกนี้ช่างไร้ความเป็นมนุษย์  พวกเขาแย่กว่าผู้ไม่เชื่อที่เป็นคนดีเสียอีก!  พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า แต่ยิ่งพวกเขาพยายาม ฉันก็ยิ่งต้องตั่งมั่นในคำพยานเพื่อหยามซาตาน” แม่ของฉันโทรมาโดยไม่คาดคิดในสิบนาทีต่อมา แม่พูดว่า “อย่าเศร้าไปเลย เพื่อนทหารของสามีลูกจะช่วยฟังศพเขาให้ พวกเขากำลังมากันแล้ว”  ตอนนั้นฉันรู้สึกตื้นตันใจ พระเจ้าทรงส่งคนมาช่วยฉันให้ผ่านวิกฤตินั้นตอนที่ฉันไร้สิ้นหนทางที่สุด ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้ารู้ว่าทุกอย่างในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเจ้าล้วนมีอยู่เพราะการยอมอนุญาตของเรา ทุกอย่างเราเป็นคนวางแผนไว้ทั้งหมด  จงมองให้ชัดเจนและทำให้เราพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่เรามอบให้เจ้า จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)  ฉันเห็นว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ตราบเท่าที่เราพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเจ้าจะทรงเปิดทางให้แก่พวกเรา แม้ว่าฉันจะยังถูกข่มเหงอยู่ ฉันก็เห็นการทรงนำของพระเจ้า หัวใจของฉันเกิดความเด็ดเดี่ยว และไม่คิดลบหรืออ่อนแออีกต่อไป

หลังจากตระเตรียมงานศพของสามีฉันแล้ว แม่สามีก็จะดุด่าฉันบ่อยๆ ว่าชาวบ้านไม่ยอมสุงสิงกับเรา เพราะฉันทรยศองค์พระเยซูเจ้าและเชื่อในพระเจ้าผิดพระองค์ ญาติๆ ของฉันก็โจมตีฉันในเรื่องนั้น แม้แต่ญาติฝั่งแม่ของฉันก็ไม่กล้าสุงสิงกับฉัน มีแต่แม่ของฉันที่มาเจอหน้าฉัน แต่แม่ก็ค่อยกระตุ้นฉันว่า “ทำไมไม่ฟังพวกศิษยาภิบาล ผู้นำหมู่บ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้านล่ะ? ดูลูกสิ สามีก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่พึ่งพาคนพวกนี้หรือญาติๆ ของสามีลูก แล้วจะไปครึ่งใครได้? ลูกของลูกก็ยังเล็กมาก ลูกควรสารภาพบาปและเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นะ!” ไม่ว่าฉันไปไหน ชาวบ้านก็จะซุบซิบนินทาลับหลังฉัน และเรื่องของฉันก็เป็นหัวข้อในการซุบซิบนินทา ฉันเคยมีสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านคนอื่นๆ และเพื่อนบ้านของฉันมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขากำลังข่มเหงและคว่ำบาตรฉันเพียงเพราะความเชื่อของฉัน นี่ทำให้ฉันเจ็บปวดและหดหู่จริงๆ  ตอนนั้น อินเตอร์เน็ตในพม่าถูกตัด ฉันจึงชุมนุมหรือฟังเทศนาออนไลน์ไม่ได้ และสมาชิกคนอื่นก็ไม่กล้ามาบ้านของฉันเพื่อสามัคคีธรรมพระวจนะและช่วยฉัน ฉันรู้สึกเหมือนได้ร่วงหล่นสู่ความมืดและไม่อาจเห็นแสงสว่างได้เลย ฉันทำได้แค่อธิษฐานถึงพระเจ้าทุกวัน ขอให้พระองค์ทรงนำฉันออกจากวันคืนอันมืดมิดเหล่านั้น วันหนึ่ง ฉันได้รับข้อความจากพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า  ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก!  เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ?  ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับบททดสอบอันขมขื่น  หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา  แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของบททดสอบย่อมจะผิดแผกกัน  การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา?  เจ้าพวกเด็กโง่เอย!  เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรจากเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  พออ่านข้อความนั้น ฉันก็ตื้นตันใจมาก เหมือนฉันพลันได้ยาแรงตอนกำลังป่วยหนัก จนฉันเต็มไปด้วยความเชื่อและพละกำลัง เมื่อไตร่ตรองพระวจนะ ฉันก็เข้าใจ ว่าการติดตามพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดและความทุกข์ลำบาก แม้ว่าร่างกายของฉันจะทนทุกข์ นี่ก็กระตุ้นให้ฉันอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้าบ่อยๆ ได้ และยิ่งฉันทนทุกข์ ฉันก็ยิ่งมีแรงจูงใจจะแสวงหาความจริง โดยไม่ทันตระหนัก ฉันก็ได้รับความรู้เรื่องพระอธิปไตยของพระเจ้า ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าแนบแน่นขึ้น และฉันยิ่งแน่วแน่ที่จะติดตามพระองค์ ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก แต่ฉันรู้เพียงการชื่นชมพระคุณ พระพร สันติสุข และความสุขที่พระองค์ทรงมอบให้ ฉันไม่เคยก้าวผ่านความเจ็บปวดหรือบททดสอบใดๆ เลย ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ต้องพูดถึงการแยกแยะผู้คน แต่ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การข่มเหงและความทุกข์ยากเหล่านี้ ฉันทนทุกข์เล็กน้อย แต่ได้เรียนรู้การแยกแยะผู้คน ฉันเห็นชัดเจนถึงโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ที่หลอกลวงและต่อต้านพระเจ้าของพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ก่อนหน้านั้น เพราะฉันเห็นว่าพวกศิษยาภิบาลอธิบายพระคัมภีร์และอธิษฐานให้พวกเราได้ ฉันจึงคิดว่าพวกเขาห่วงใยพวกเรา เข้าใจพระคัมภีร์และรู้จักพระเจ้า แต่พอพวกเขาได้ยินว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พวกเขาก็ไม่ยินยอมแสวงหาหรือสืบค้น พวกเขายังขัดขวางบรรดาผู้เชื่อไม่ให้สืบค้นพระราชกิจของพระเจ้โดยใช้ประเพณีของหมู่บ้านเพื่อคุกคามฉันและปลุกปั่นให้ชาวบ้านมาโจมตีฉัน และบีบบังคับให้ฉันละทั้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเห็นว่าพวกเขาคือพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด และฉันปฏิเสธพวกเขาอย่างสิ้นเชิง  พอคิดย้อนไปถึงวันคืนที่เจ็บปวดและหดหู่เหล่านั้น หากไม่มีการทรงนำของพระวจนะ ฉันก็อาจจะถูกปีศาจพวกนั้นไล่ต้อนจนเป็นบ้าไปแล้ว แต่พระวจะนของพระเจ้าทำให้ฉันผ่านความยากลำบากเหล่านั้นมาได้ ฉันสำนึกบุญคุณของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จริงๆ ค่ะ! ผ่านไปสักพัก อินเตอร์เน็ตในพม่าก็กลับมาใช้ได้ ฉันติดต่อสมาชิกบางคนและชุมนุมกับพวกเขา แต่การข่มเหงของพวกศิษยาภิบาลและผู้นำหมู่บ้านก็มีแต่แย่ลง

วันหนึ่งในเดือนมกราคมปี 2022 พวกเขาเรียกประชุมหมู่บ้าน มีคนมาร่วมประมาณสามร้อยคน พวกเขาให้พวกเราผู้ซื่อสัตย์สิบสี่คนนั่งยองๆ กลางแจ้งภายใต้ดวงอาทิตย์อันร้อนระอุ ผู้นำหมู่บ้านพูดว่า “หมู่บ้านี้จะมีสองความเชื่อไม่ได้ ผมเรียกประชุมครั้งนี้ เพื่อให้พวกคุณที่ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ตัดสินใจเลือก ผมขอถามแทนคนทั้งหมู่บ้าน ว่าพวกคุณจะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป หรือจะกลับเข้าคริสตจักร?”  พวกเขาเรียกญาติๆ ของพวกเรามา เพื่อพยายามโน้มน้าวพวกเราทีละคน พ่อของพี่น้องชายโรเบิร์ตเป็นหัวหน้าหมู่บ้านและกดดันให้เขาคุกเข่าลงสารภาพบาป โรเบิร์ตพูดว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่มีอะไรผิดและไม่ยอมคุกเข่าลง พ่อของเขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “แกควรเชื่อตามพ่อแม่สิ ไม่ฟังพวกเราไปเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แบบนี้ไม่ใช่การทอดทิ้งพวกเราหรือ?” โรเบิร์ตตอบว่า “ผมเชื่อในพระเจ้า ผมพูดตอนไหนว่าผมกำลังทอดทิ้งพ่อ? ผมรักพ่อแม่ แต่ผมก็รักพระเจ้าพระผู้สร้างของเรามากกว่า” โกรธยิ่งกว่าครั้งไหนๆ พ่อของเขาแผดเสียงว่า “แกเป็นลูกฉันนะ! แกน่ะอยู่ในกำมือของฉัน! แกจะมาพูดกับฉันแบบนี้ไม่ได้!”  มองเหตุการณ์นี้ ฉันยิ่งเห็นความโอหังของคนเหล่านี้ชัดเจนขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระองค์ อีกทั้งไม่สรรเสริญพระองค์ จากนั้นเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่งก็พูดว่า “ประเทศจีนไม่อนุญาตให้คนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และจับกุมคนที่เชื่อ เราวางแผนจะทำการสืบสวนของเราเองที่นี่ ใครเป็นคนชักชวนคุณให้เชื่อ? ผู้นำของคุณเป็นใคร?” เราทุกคนพูดว่าเราไม่มีผู้นำ จากนั้นเจ้าหน้าที่อีกคนก็บีบให้เราตอบคำถามแต่เราก็บอกแค่ว่าเราไม่มีผู้นำ จากนั้นเจ้าหน้าที่รัฐประจำเขตก็ถามเราว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพวกคุณคืออะไร?” ฉันตอบไปว่า “ไม่รู้หรือ? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้าง องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์ที่สร้างคุณอย่างไรละ” พอได้ยินเขาก็เดือดดาลและบอกให้เราเลือกเป็นครั้งสุดท้าย คนที่เลือกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไปให้พูดว่า “เชื่อต่อ” ส่วนคนที่จะเลิกเชื่อให้พูดว่า “เลิกเชื่อ” ถ้าเราเลือก “เชื่อต่อ” เราจะถูกรายงานให้พวกระดับสูงจัดการ ผู้นำหมู่บ้านยังพูดด้วยว่าคนที่เลือก “เชื่อต่อ” ต้องออกจากหมู่บ้านไป แต่คนที่เลือก “เลิกเชื่อ” สามารถอยู่ต่อและกลับเข้าคริสตจักรได้ จากนั้นพวกเขาก็ให้เราพูดสิ่งที่เราเลือกทีละคน พี่น้องหญิงสามคนที่ยืนอยู่หน้าฉันเลือก “เลิกเชื่อ” เนื่องจากกลัวถูกข่มเหง พอถึงตาฉัน แม่ของฉันซึ่งให้ลูกของฉันขี่หลังอยู่ก็ร้องบอกฉันให้ “เลิกเชื่อ” และหยุดเชื่อซะ  ฉันเจ็บปวดมากที่จะมองแม่กับลูกของฉันในตอนนั้น ถ้าฉันถูกจับแล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไร? แม่คงจะเลี้ยงดูลูกของฉันด้วยความยากลำบากมาก ฉันจึงอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงมอบความเชื่อให้ฉัน ฉันนึกถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า “ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา(มัทธิว 10:37-38)  “คนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย(มัทธิว 5:10)  และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระเจ้าตรัสว่า ‘พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์’ พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร?  นี่เป็นการทำให้ทุกคนตระหนักในเรื่องนี้ว่า ชีวิตและดวงจิตของพวกเราล้วนมาจากพระเจ้าและถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์—ไม่ได้มาจากบิดามารดาของพวกเรา และไม่ได้มาจากธรรมชาติอย่างแน่นอน แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่พวกเรา  มีเพียงเนื้อหนังของพวกเราที่กำเนิดมาจากบิดามารดา เหมือนกับลูกๆ ของพวกเราที่กำเนิดมาจากพวกเรา แต่ชะตากรรมของพวกเขาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  การที่พวกเราสามารถเชื่อในพระเจ้าคือโอกาสที่พระองค์ประทานให้ นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้แล้ว และเป็นพระคุณของพระองค์  ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่จำเป็นจะต้องลุล่วงภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบต่อใครอื่น เจ้าควรลุล่วงหน้าที่ต่อพระเจ้าของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น  นี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องทำเหนือสิ่งอื่นใด เป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำเป็นงานหลักในชีวิตของคนเรา(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  ฉันเข้าใจว่าชะตากรรมของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เราเกิดที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร เผชิญความยากลำบากอะไร สิ่งเหล่านี้พระเจ้าล้วนทรงกำหนดไว้นานแล้ว แม้ว่าฉันจะเป็นคนคลอดลูกออกมา ฉันก็ทำได้แค่ทำหน้าที่ในฐานะแม่ให้เขา ซึ่งก็คือการดูแลเขา แต่ฉันเปลี่ยนชะตากรรมของเขาหรือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาไม่ได้ เด็กบางคนกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก แต่พวกเขาก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนๆ กัน เหมือนที่พ่อแม่ของฉันหย่ากันตอนฉันยังเล็ก ฉันไม่มีพ่อคอยดูแลเหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่ฉันก็ยังเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ พระเจ้าทรงกำหนดอนาคตของลูกของฉัน ตอนนั้นแม่ของฉันยังสาว ต่อให้ฉันไม่อยู่ แม่ก็ดูแลลูกของฉันได้ ฉันฝากพวกเขาไว้กับพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ ฉันรู้สึกมากขึ้นเรื่อยว่าฉันควรเลือกเชื่อและติดตามพระเจ้า เพื่อตั้งมั่นในคำพยานต่อพระเจ้าและหยามเกียรติซาตาน ฉันจึงยืนขึ้นและพูดว่า “ฉันจะเชื่อต่อ!” ผู้นำหมู่บ้านพูดว่า “คนที่เลือกเชื่อต่อน่ะเลือกผิดแล้ว” ฉันตอบว่า “ฉันเชื่อและติดตามพระเจ้า ฉันฟังแต่พระวจนะของพระองค์ นี่ไม่ใช่ความผิดพลาด!” เจ้าหน้าที่ด่าทอฉันอย่างเกรี้ยวกราด หาว่าฉันละทิ้งศาสนาและทรยศพระเจ้า แต่ในหัวใจฉันรู้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมายและทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย และพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันกำลังก้าวตามพระเมษโปดก จะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? ฉันอยากโต้แย้งพวกเขามาก แต่พวกเขาเอ็ดตะโรจนฉันไม่มีโอกาสเถียง ผู้อาวุโสเลสเตอร์สาปส่งฉันว่าเป็นคนไร้ค่าอกตัญญูและหยิบไม้กระดานขึ้นมาตีฉัน  ฉันกลัวมากและอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ น่าแปลกใจ จู่ๆ แม่สามีก็ก้าวออกมาขวางเขา ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับการคุ้มครองของพระองค์ จากนั้นสมาชิกอีกห้าคนก็เลือก “เชื่อต่อ” เมื่อเห็นว่าเราไม่ยอมประนีประนอม พวกเขาก็ถามย้ำซ้ำๆ ว่าผู้นำของพวกเราคือใคร ไม่มีใครตอบ เรานั่งยองๆ กลางแดด จากเก้าโมงครึ่งในตอนเช้าจนถึงห้าโมงเย็น นานกว่าเจ็ดชั่วโมงติดต่อกัน ในเมื่อนั่นเป็นเวลานานและเราไม่มีอาหารหรือน้ำตกถึงท้อง พี่น้องชายที่ความดันเลือดต่ำจนตัวซีดเซียวจึงเป็นลม ครอบครัวของเขาเข้ามาช่วย แต่ผู้นำหมู่บ้านห้ามเอาไว้ เขาพูดว่า “ถ้าพระเจ้าของพวกคุณเป็นพระเจ้าแท้จริง ทำไมเขาถึงเป็นลมเป็นแล้งไปล่ะ?” หลังจากนั้น เมื่อเห็นว่าพวกเรายังคงไม่ยอมแพ้ ผู้นำหมู่บ้านก็บอกพวกเราให้เก็บข้าวของทั้งหมดและพาครอบครัวกับปศุสัตว์ของเรา และบอกพวกเราว่าพวกเราต้องออกไปจากหมู่บ้านในคืนเดียวกันนั้น เขายังพูดด้วยว่าพวกเขาจะเผาบ้านของพวกเราหลังจากพวกเราออกไป  เจ้าหน้าที่รัฐประจำเขตพูดว่า “อย่ามัวเสียเวลาเลย พวกเขายอมตายมากกว่าจะบอกว่าผู้นำคือใคร ส่งพวกเขากลับบ้านก่อน ผมจะส่งรายงานของพวกเขาให้รัฐพรุ่งนี้เพื่อให้ระดับสูงตัดสินใจ กลัวหัวหดแน่” แต่ฉันไม่ได้กลัวนัก ฉันรู้ว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ว่าเจ้าหน้าที่เบื้องบนจะมาหรือจับกุมเราหรือไม่ ก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงจัดการเตรียมการไว้แล้ว

ในเช้าวันที่สาม ทางการเรียกประชุมคนในหมู่บ้าน มีคนไปมากกว่า 400 คน ฉันกังวลว่าเราจะถูกบังคับให้หมิ่นพระเจ้าและเซ็นคำมั่นที่หมิ่นพระองค์ ฉันจึงอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าปกป้องเราให้เราตั้งมั่นในคำพยานได้ ที่การชุมนุม นายอำเภอพูดกับพวกเราว่า “พวกคุณยังเด็กกันทั้งนั้น ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว วันนี้ผมไม่ได้มาให้พวกคุณรับผิด แต่พวกคุณต้องเชื่อฟังพ่อแม่ ทำงานหนัก นับแต่นี้ไป และเลิกฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเผยแพ่ข่าวประเสริฐของพระองค์ ไม่อย่างนั้นกำนันจะจับพวกคุณส่งให้กับทางการ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากสภาบริหารแห่งรัฐพูดกับทุกคนว่า “เราจะปฏิบัติต่อผู้ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตามอย่างพรรคคอมมิวนิสต์จีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนไล่ล่าและจับกุมผู้เชื่อเหล่านี้ และสามารถซ้อมพวกเขาจนตายโดยไม่ถูกลงโทษ เราจะทำแบบเดียวกันในรัฐหว้านี้ ผู้เชื่อพวกนี้ทั้งหมดจะถูกจับกุม ไม่ว่าพวกเขาจะได้กระทำผิดอะไรหรือไม่ แล้วจะถูกซ้อมจนตาย โดยไม่ถูกลงโทษ ห้ามใครพูดอะไรอย่าง ‘ผู้เชื่อพวกนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด’ นี่คือคำสั่งของทางการ อย่าได้คิดต่อต้าน และถ้าเห็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ให้แจ้งตำรวจ” จากนั้น เขาก็ชี้พวกเราผู้สัตย์ซื่อและพูดกับทุกคนว่า “ดูหน้าพวกนี้เอาไว้ให้ดีๆ พอเห็นแล้วต้องจำได้ คนพวกนี้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถ้าเห็นพวกนี้ชุมนุมหรือประกาศข่าวประเสริฐ ให้แจ้งตำรวจ!” จากนั้น เขาให้เสมียนตราอำเภออ่านเนื้อหาหมิ่นประมาทพระเจ้าให้ทุกคนฟัง ผู้คนถูกหลอกลวงโดยคำพูดของทางการ และบางคนคนก็มองพวกเราอย่างเกลียดชัง  สิ่งที่พวกเขาพูดทำให้ฉันโกรธมาก ฉันรู้ว่าทางการกำลังข่มเหงพวกเราผู้เชื่อ เพื่อบีบให้พวกเราละทิ้งความเชื่อของตัวเอง และเพื่อทำให้ผู้คนขี้ขลาดตาขาว และกลัวที่จะตรวจสอบงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะได้สูญเสียความรอดของพระเจ้า นี่ทำให้ฉันเกลียดมารพวกนั้นยิ่งขึ้นอีก จากนั้น ทางการก็ปล่อยพวกเรากลับบ้าน

พอฉันกลับบ้าน ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่ง ความว่า “ไม่ว่าซาตานจะ ‘ทรงพลัง’ เพียงใด ไม่ว่ามันจะฮึกเหิมหรือทะเยอทะยานเพียงใด ไม่ว่าความสามารถของมันในการก่อความเสียหายจะมีมากเพียงใด ไม่ว่ากลเม็ดที่มันใช้ยั่วยวนและทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจะมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายที่มันใช้ข่มขวัญมนุษย์จะฉลาดแยบยลเพียงใด ไม่ว่ารูปสัณฐานที่มันใช้ในการดำรงอยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้สักสิ่งเดียว ไม่เคยสามารถกำหนดธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง และไม่เคยสามารถปกครองและควบคุมวัตถุใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  ทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้านั้นไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่กำเนิดจากมัน หรือดำรงอยู่เพราะมัน ไม่มีบุคคลใดหรือวัตถุใดที่อยู่ใต้ปกครองของมัน หรือในการควบคุมของมัน  ในทางตรงกันข้าม มันไม่เพียงต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องนบนอบคำสั่งและพระบัญชาทั้งหมดของพระเจ้าอีกด้วย  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ซาตานด้อยค่ากว่าดอกลิลลี่บนภูเขา นกที่บินอยู่ในอากาศ ปลาในทะเล และหนอนแมลงบนแผ่นดินโลก  บทบาทของมันท่ามกลางสรรพสิ่งก็คือการรับใช้ทุกสิ่ง รับใช้มวลมนุษย์ และรับใช้พระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์  ไม่ว่าธรรมชาติของมันจะมุ่งร้ายเพียงใด และไม่ว่าแก่นแท้ของมันจะชั่วเพียงใด สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้คือทำงานของมันไปตามหน้าที่ นั่นคือ การปรนนิบัติพระเจ้า และการเป็นความต่างขั้วให้พระเจ้า  เช่นนั้นเองที่เป็นธาตุแท้และตำแหน่งของซาตาน  แก่นแท้ของมันไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิต ไม่ได้เชื่อมโยงกับฤทธานุภาพ ไม่ได้เชื่อมโยงกับสิทธิอำนาจ มันเป็นเพียงของเล่นในพระหัตถ์ของพระเจ้า แค่เครื่องจักรที่รับใช้พระเจ้าเท่านั้น!(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1)  การอ่านพระวจนะให้ความเชื่อแก่ฉัน พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสสามารถกดดันเรา รัฐสามารถจับกุมและข่มเหงเรา และพวกเขาสามารถใช้ครอบครัวของเรามาพยายามบีบบังคับให้เราละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพูดหรือทำอะไร พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้หากพระเจ้าไม่ทรงเปิดโอกาสให้ เหมือนตอนที่ผู้อาวุโสเลสเตอร์พยายามตีฉันด้วยไม้กระดาน แม่สามีของฉัน ซึ่งเกลียดฉัน จู่ๆ ก็ยืนหยัดเพื่อฉันและหยุดเขา ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันรู้สึกถึงฤทธานุภาพและพระอธิปไตยของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่ง และรู้สึกว่าพระองค์ทรงกำลังดูแลฉัน ฉันรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสถานการณ์ตามวุฒิภาวะของฉัน และพระองค์ไม่ได้ทรงให้ภาระที่หนักหนากับฉันมากเกินไป ผ่านประสบการณ์เหล่านี้ ความเชื่อในพระเจ้าของฉันเติบโตขึ้น และฉันรู้สึกว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนดีทั้งสิ้น ฉันซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้ามากค่ะ!  ประสบการณ์นี้ยังเปิดโอกาสให้ฉัน เห็นธรรมชาติที่เกลียดชังและต่อต้านพระเจ้าของพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสอย่างชัดเจน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นคนต่ำทรามที่ไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวอบรมพระเจ้า  พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ในขณะที่พวกเขาถือธงของพระองค์  พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าหัวหน้าปีศาจที่จงใจก่อกวนผู้ที่พยายามก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นเครื่องสะดุดที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นเป็นเพียงศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า)  พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสไม่เข้าใจพระคัมภีร์สักนิด พวกเขาสอนแต่คำพูดและคำสอนในพระคัมภีร์ และไม่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย และไม่แสวงหาความจริงด้วย ทั้งๆ ที่เจอกับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่แสวงหาหรือสืบค้น พวกเขาตีความพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าผิด และกระจายมโนคติอันหลงผิดเพื่อนำผู้ซื่อสัตย์ให้หลงทาง ด้วยการพูดว่าการประกาศใดๆ ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วนั้นเป็นเท็จ พวกเขากันไม่ให้ผู้ซื่อสัตย์ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาถึงกับพูดว่านี่ก็เพื่อปกป้องผู้ซื่อสัตย์ แต่จริงๆ พวกเขากลัวว่าจะไม่มีใครฟังตัวเองถ้าทุกคนติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และนั่นจะคุกคามสถานะกับความเป็นอยู่ของพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาพยายามบังคับให้พวกเราละทิ้งพระองค์ พวกเขาไปไกลถึงขั้นใช้ประเพณีงานศพ งานแต่งงาน การคลอดลูก และการสร้างบ้านเพื่อข่มขู่ฉัน และบังคับให้ฉันเซ็นคำปฏิญาณที่หมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาถึงกับใช้การฝังศพสามีของฉันมาบังคับให้ฉันละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พอฉันไม่ฟัง พวกเขาก็ร่วมมือกับรัฐมาจัดประชุมหมู่บ้านเพื่อข่มเหงฉัน และใช้ครอบครัวของฉันมาล่อหลอกให้ฉันทรยศพระเจ้า พวกเขาถึงกับต้องการขับเราออกจากหมู่บ้าน เผาทำลายบ้านของเรา และส่งตัวเราให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อข่มเหงเรา ให้เราทรยศพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และเสียโอกาสที่จะถูกช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ศิษยาภิบาลพวกนั้นชั่วช้าและเลวทรามจริงๆ! ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้ากล่าวโทษพวกฟาริสี องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม… วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า(มัทธิว 23:13, 15)  พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสทำทีเป็นปกป้องฝูงแกะเพื่อกันไม่ให้คนยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า พวกเขานำผู้คนให้หลงต่อต้านพระเจ้าตามพวกตัวเอง และจะนำพวกลงสู่นรกในที่สุด พวกเขาคือมารตัวเป็นๆ ที่กันไม่ให้ผู้คนเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาเป็นปีศาจและศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าและทำร้ายผู้คน ฉันเห็นแก่นแท้ที่เกลียดความจริงและพระเจ้าของพวกเขาชัดเจน และฉันเชื่ออย่างแน่วแน่มากขึ้นที่จะติดตามพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามนำฉันให้หลงผิดหรือขัดขวางฉันอย่างไร ฉันก็จะไม่ละทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าฉันจะทำหน้าที่ให้ดี และนำคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์เพื่อรับความรอดของพระองค์มากขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป การชุมนุมและงานข่าวประเสริฐของพวกเรายังคงถูกจำกัด  เพื่อไม่ให้เราเชื่อ ในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และชุมนุมออนไลน์ กำนันของหมู่บ้าน ให้พวกเจ้าหน้าที่ตรวจโทรศัพท์มือถือของพวกเราทุกสามวัน และลบเฟซบุ๊กออกจากโทรศัพท์ของพวกเราทันทีที่เห็น เพื่อเลี่ยงการถูกจับตามองโดยพวกเขาและรัฐ เรานำเครื่องมือการเกษตรขึ้นไปบนภูเขา และแสร้งทำงานเพื่อจะชุมนุมอย่างลับๆ ได้ เราไม่กล้าพูดถึงความเชื่อของเราอย่างอิสระในหมู่บ้านตามปกติ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะข่มเหงพวกเราอย่างไร เราก็ยังพึ่งพาพระเจ้าและคอยเผยแผ่ข่าวประเสริฐไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ต่อไป ต่อมา ก็มีคนมายอมรับข่าวประเสริฐมากขึ้น แต่ผู้ใหญ่บ้านพบเข้าว่าฉันกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเขาบีบให้ฉันขายคนอื่นๆ และสารภาพว่าฉันประกาศกับใครไปบ้าง พอฉันไม่พูดอะไรเลย เขาก็ขู่ฉัน พยายามให้ฉันละทิ้งความเชื่อ และกลับเข้าร่วมกลุ่ม ไม่อย่างนั้นเขาจะให้ตำรวจจับฉัน เพื่อที่จะชุมนุมและประกาศข่าวประเสริฐเป็นปกติ และรอดการข่มเหงและจับกุม ฉันหนีจากพม่า ไปอีกประเทศหนึ่ง ตอนนี้ ฉันอยู่กับพี่น้องชายหญิงอีกจำนวนหนึ่ง เราสามัคคีธรรม เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเป็นพยานยืนยันงานของพระเจ้า ฉันมีเวลาที่ดีมากค่ะ ถึงฉันจะทนทุกข์ความเจ็บปวดและการข่มเหงผ่านทั้งหมดนี้ แต่ฉันก็ได้รับวิจารณญาณในพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส และฉันสามารถเห็นความชั่วของทางการได้ชัดเจนขึ้น และผู้อาวุโส และฉันไม่ถูกพวกเขาบีบบังคับอีกต่อไป ฉันยังได้รับความรู้เรื่องพระอธิปไตยของพระเจ้าขึ้นบ้าง และความเชื่อของฉันในพระองค์ก็เติบโตขึ้น ฉันคงไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความหยิ่งยโสมาก่อนความล้มเหลว

โดย ซินเจี๋ย ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด...

การตื่นจากความโอหังของผม

โดย จอห์นนี, อิตาลีผมเริ่มทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐในปี 2015 และประสบความสำเร็จอยู่บ้างภายใต้การทรงนำของพระเจ้า  บางครั้ง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger