ใครเป็นคนทำลายครอบครัวของเรา?
ฉันกับสามีโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน เราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าตามครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก พอแต่งงาน ฉันก็เปิดคลินิก ส่วนเขาเป็นนักข่าวโทรทัศน์ เรามีลูกๆ ที่น่ารักสองคน และมีชีวิตครอบครัวที่สงบสุข ปลายปี 2008 ฉันกับแม่สามียอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามีไม่ยอมรับเพราะยุ่งอยู่กับงาน แต่ก็ สนับสนุนความเชื่อของฉัน การชุมนุมและอ่านพระวจนะ ทำให้ฉันรู้ว่า พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาเกือบยี่สิบปีแล้ว ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด งานของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุด นี่เป็นโอกาสเดียว ที่เราจะถูกช่วยให้รอด นี่เป็นโอกาสล้ำค่า ที่มีเพียงชั่วครู่ ถ้าพลาดฉันคงเสียใจไปตลอดกาล ดังนั้น เพื่อเชื่อ และทำหน้าที่ ฉันเลยปิดคลินิกและเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับเหล่าพี่น้องชายหญิง
ปี 2010 พรรคคอมมิวนิสต์จีน ปราบปรามและกำจัดความเชื่อทางศาสนา ใช้โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่ออื่นๆ ให้ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจับกุมและข่มเหงชาวคริสเตียน สามีเริ่มขัดขวางความเชื่อฉัน กลัวตัวเขาจะติดร่างแห วันหนึ่ง เขาบอกฉันว่า “พรรคไม่อนุญาตให้เชื่อ แถมบอกว่าพวกผู้เชื่อทิ้งครอบครัว ล้มเลิกความเชื่อเสียเถอะ ถ้าคุณโดนจับเรื่องนี้ ครอบครัวเราก็จะแตกแยก แค่ไปคริสตจักรเหมือนเดิม ก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” ฉันบอกเขาว่า “หลายปีที่เชื่อมา คุณเคยเห็นฉันทิ้งครอบครัวไหม? ทั้งหมดนี้คือคำโกหกที่พรรคกุขึ้น เพื่อกดขี่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คุณเชื่อคำโกหกของพวกเขาได้ยังไง? พระเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงงานใหม่ คนที่เอาแต่ไปคริสตจักรเดิมๆ พวกนั้น ต่อให้ติดตามไปถึงปลายทาง ก็จะไม่ได้รับความจริงหรือชีวิต ฉันมั่นใจว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา และฉันกำลังติดตามย่างพระบาท ฉันจะไม่ล้มเลิกหนทางที่แท้จริง” พอเห็นว่าฉันแน่วแน่แค่ไหน เขาก็เตือนว่า “ยังไงก็เถอะ คุณเชื่อต่อไปไม่ได้ คุณจะไปชุมนุมไม่ได้!” หลังจากนั้น ฉันก็ทำได้แค่ตื่นให้เช้า แอบไปอ่านพระวจนะในครัว และแบ่งปันข่าวประเสริฐให้ญาติมิตรลับหลังเขา
ค่ำวันหนึ่งในปี 2012 หลังจากชุมนุม ฉันเห็นสามีนั่งอยู่หน้าประตูห้องเก็บของชั้นล่าง พอเห็นฉันเดินเข้าไป เขาก็เตะและต่อยจนฉันกองอยู่กับพื้น ฉันใช้แรงทั้งหมดดิ้นจนหลุด แล้วหนีขึ้นข้างบน แต่เขาตามทัน เขาตบฉันหน้าหัน และพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “แกห้ามไปเข้าชุมนุมอีก!” ฉันมึนจนเห็นดาว และมีเลือดไหลจากมุมปาก แต่งงานกันมาสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตีฉัน ฉันไม่เคยคิดว่า เขาจะทุบตีฉันโหดร้ายแบบนั้น แค่เพราะฉันเชื่อ ตอนนั้น ฉันรู้สึกค่อนข้างกลัว และอ่อนแอ คิดว่า ถ้าเกิด เขาทุบตีฉัน แบบวันนี้อีก ฉันควร หยุดชุมนุมหยุดทำหน้าที่สักพักไหม? ฉันรู้ว่า ฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง เลยรีบอธิษฐาน ขอความเชื่อและความเข้มแข็งจากพระเจ้า แล้วฉันก็ นึกถึงพระวจนะเหล่านี้ “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น นี่คือหน้าที่ของเจ้า…จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้? จงจำการนี้ไว้! จงอย่าลืม! ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเจตนารมณ์ที่ดีของเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ภายในการเฝ้าสังเกตของเราทั้งสิ้น เจ้าสามารถทำตามคำพูดของเราในทุกๆ สิ่งที่เจ้าพูดและทำได้หรือไม่? เมื่อการทดสอบด้วยไฟมาถึงเจ้า เจ้าจะคุกเข่าลงและร้องเรียกให้ช่วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าจะขลาดกลัว ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) ใช่แล้ว ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ถ้าไม่ทรงอนุญาต สามีก็ทำอะไรฉันไม่ได้ วันนั้นพระเจ้าทรงอนุญาต ให้เกิดเรื่องนั้นกับฉัน ถ้าฉันไม่กล้าทำหน้าที่เพราะกลัวถูกตีหรือถูกตะคอก ฉันจะไม่เสียคำพยานเหรอ? ไม่ว่าสามีจะกดขี่ยังไง ฉันก็ต้องตั้งมั่นในคำพยาน ฉันเลย ไปชุมนุมและทำหน้าที่ตามเดิม
ปลายปี 2012 พรรคยิ่งกดขี่คริสตจักรอย่างบ้าคลั่งมากขึ้น พวกเขาปราบปรามและจับกุมคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรครั้งใหญ่ วันหนึ่ง ฉันถูกจับไปพร้อมกับอีกสองสามคนขณะชุมนุม พวกเขาขังฉันไว้สิบวัน ข้อหาก่อกวนระเบียบสังคม พอถูกปล่อยตัวกลับบ้าน สามีฉันโกรธมากบอกว่า “คุณรู้บ้างไหม? ว่าหัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานผม ถามถึงเรื่องที่คุณโดนจับเพราะการเชื่อกันหมด ผมสู้หน้าคนที่นั่นไม่ได้เลย มันน่าอายมาก!” ฉันบอกเขาว่า “การเชื่อเป็นเรื่องที่ถูกต้อง การชุมนุม และแบ่งปันข่าวประเสริฐ เป็นสิ่งที่มีเกียรติ พรรคต่างหากที่ชั่ว ที่ยืนกรานจับกุมและข่มเหงชาวคริสเตียน หนทางที่แท้จริง ถูกข่มเหงมาช้านาน คนที่อยู่บนเส้นทางนี้ ถูกข่มเหงจากกำลังบังคับของซาตาน ธรรมิกชนหลายสมัย ก็โดนจับเพราะแบ่งปันข่าวประเสริฐ และเป็นพยานแก่พระเจ้าไม่ใช่เหรอ?” เขาตอบอย่างโกรธจัดว่า “มาคุยให้ชัดดีกว่า ถ้าคุณสัญญาว่าจะเลิกเชื่อ เราจะมีชีวิตที่ดี ถ้าคุณยังเชื่อต่อ เราจะหย่ากัน! ผมจะไม่ขวางอิสระในการเลือกของคุณ!” การขู่ว่าจะหย่าเพื่อให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ น่าโมโหน่าผิดหวัง ฉันไม่เคยคิดว่า เขาจะทิ้งชีวิตแต่งงานสิบกว่าปี เพราะการกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ถ้าเราหย่ากันจริง ลูกๆ ของเราคงจะเจ็บปวดแน่นอน ฉันไม่อยากหย่า แต่ฉันก็ไม่อยากทรยศและเสียโอกาสในการติดตามพระเจ้า และถูกช่วยให้รอด ฉันไม่รู้จะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปยังไง ฉันอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำ แล้วบทตอนนี้ ก็ผุดขึ้นมาในความคิด “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) พอมาคิดดู ฉันก็เห็นว่า ถึงเรื่องนี้จะดูเหมือนว่า เป็นการกดขี่จากสามีของฉัน แต่เบื้องหลังคือ ซาตานใช้เขาเพื่อรั้งฉันไว้ เพื่อบีบให้ฉันทรยศพระเจ้า และเสียโอกาสของความรอด ฉันปล่อยให้อุบายของซาตานสำเร็จไม่ได้ สามีขัดขวางฉัน แค่เพราะเขาเชื่อข่าวลือของพรรค ถ้าฉันเปิดโปงคำโกหกของพวกนั้นให้เขาเห็น และเกิดมีวิจารณญาณ เขาอาจเลิกกดขี่ฉัน ฉันเลยบอกเขาว่า “การหมิ่นประมาทและใส่ร้ายคริสตจักรของพรรค เป็นแค่ข่าวลือที่พวกเขากุขึ้นมา คุณเป็นนักข่าวมาหลายปี ต้องรู้ความจริงเรื่องข่าวปลอมของพรรคดีที่สุดไม่ใช่เหรอ? คุณพูดเสมอไม่ใช่เหรอ ว่าพรรคเชื่อไม่ได้? คนรู้จักเราคนไหนบ้าง ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วทิ้งครอบครัว? ฉันเชื่อมาหลายปีแล้ว แต่ฉันก็ดูแลพ่อแม่และลูกๆ ของเราดีไม่ใช่เหรอ?” เขาหักล้างคำพูดฉันไม่ได้ เลยพูดด้วยความโกรธว่า “ผมเห็นแล้วว่าคุณไม่เปลี่ยนใจ ได้ เชิญเชื่อพระเจ้าของคุณไปเลย!” แล้วเขาก็ปึงปังจากไป
ต่อมา ฉันก็ต้องแปลกใจที่เขาไปศาลเพื่อฟ้องหย่า ผู้พิพากษาให้เราไปไกล่เกลี่ยกัน เขายึดบัตรเงินเดือน และบัตรธนาคารของฉันไป และมักจะทำงานที่บ้าน เพื่อจับตาดูฉัน ฉันเลยไม่มีทางได้ออกไปชุมนุม หรือทำหน้าที่ วันหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านโทรมาบอกเราว่า ตำรวจแจ้งมาที่กรรมการหมู่บ้าน เพื่อตรวจให้แน่ใจ ว่าฉันไม่ได้เขื่อ หรือเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และให้สามีจับตาดูฉันอย่างใกล้ชิด ไม่งั้น ถ้าฉันโดนจับ พวกเขาจะติดร่างแหไปด้วย ได้ยินแบบนี้ สามีก็ยิ่งลงมือกับฉันหนักขึ้น ครั้งหนึ่ง ฉันกับแม่สามีกำลังสามัคคีธรรมพระวจนะกันเงียบๆ ในห้องนอน แต่สามีบังเอิญได้ยิน เลยเปิดพรวดเข้ามาตะคอกว่า “ยังเชื่ออยู่อีก! คุณคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่คิดถึงผมหรือลูกๆ เลย ถ้าคุณโดนจับ เราจะติดร่างแหไปด้วย!” พูดแล้วเขาก็ตีฉัน ลูกๆ กลัวมาก เลยแอบอยู่ในห้องนอน ไม่กล้าออกมา ส่วนแม่สามีก็ร้องไห้เสียใจ ในตอนนั้น ฉันไม่พอใจมาก แค่เพราะฉันเชื่อ พรรคเลยขู่ครอบครัว ให้มาขัดขวางฉัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับแม่สามีอายุแปดสิบ และลูกๆ ของฉัน ครอบครัวแสนสุข ถูกทำให้เป็นแบบนี้ ฉันรู้สึกเสียใจ และอ้างว้างมาก สามีฉัน เอาแต่ใช้เรื่องความเชื่อ มาชวนทะเลาะตลอดเวลา ฉันชุมนุมหรือทำหน้าที่ไม่ได้เลย ทำได้แค่อ่านพระวจนะ เวลาเขาไม่อยู่บ้าน ฉันคิดถึงวันที่ชุมนุมกับเหล่าพี่น้อง และทำหน้าที่ได้จริงๆ แต่ตอนนี้ บ้านฉันกลายเป็นกรงขัง ฉันต้องทนความเย็นชาและการต่อว่าจากสามีทุกวันอยู่สองเดือน เป็นความรู้สึกที่ทุกข์ใจ และหดหู่มาก ฉันไม่รู้ว่า เรื่องนี้จะจบลงเมื่อไหร่ พอทุกข์ใจถึงจุดหนึ่ง ฉันก็อธิษฐานว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ลูกเจ็บปวดและทุกข์ใจเหลือเกิน ลูกไม่รู้จะก้าวผ่านสถานการณ์นี้ยังไง โปรดให้ความรู้แจ้ง ให้ลูกเข้าใจน้ำพระทัยด้วยเถิด” หลังจากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ที่นี่เป็นแผ่นดินแห่งความโสมมมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้? มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันคลุมดวงตาสองข้างของเขา และปิดผนึกริมฝีปากของเขาไว้แน่น ราชาแห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้เมื่อมันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ในขณะเดียวกัน สุนัขยามฝูงนี้ก็ถลึงตาจ้องเขม็ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวและกวาดล้างพวกมันไปทั้งหมด ทิ้งให้พวกมันไม่มีสถานที่แห่งสันติสุขและความสุข ผู้คนแห่งเมืองผีเช่นเมืองนี้จะเคยมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาเคยชื่นชมความน่ารักและความดีงามของพระเจ้าหรือ? พวกเขาซึ้งคุณค่าอันใดในเรื่องราวของโลกมนุษย์? พวกเขาคนใดสามารถเข้าใจน้ำพระทัยที่กระตือรือร้นของพระเจ้าได้? เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ข้ารับใช้พวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันเริ่มปฏิบัติต่อพระเจ้าประหนึ่งศัตรูมานานแล้ว พวกมันหยามเหยียดพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) พระวจนะทำให้ฉันเห็นว่า พรรคคอมมิวนิสต์เป็นร่างจำแลงของซาตาน เป็นปีศาจที่มาสู่โลก มันบอกโลกภายนอกว่าเปิดเสรีทางศาสนา แต่เบื้องหลังกลับต่อต้านพระเจ้า และทำร้ายคนของพระองค์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พรรคกลัวว่า ถ้าคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจะเข้าใจความจริง และเห็นโฉมหน้าอันชั่วร้าย แล้วปฏิเสธ และละทิ้งมัน ความทะเยอทะยานที่จะควบคุมคนไปตลอดกาล ก็จะพังทลาย พวกมันถึงได้โมโหมาก จนไล่ล่าพระคริสต์อย่างบ้าคลั่ง กวาดจับและข่มเหงคนของพระเจ้า มันกุคำโกหกทุกประเภท เพื่อใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้คนมากมายที่ไม่รู้ความจริงหลงผิด จนไม่กล้ายอมรับหนทางที่แท้จริง ครอบครัวชาวคริสเตียนมากมายเชื่อคำโกหก แล้วร่วมข่มเหงคนของพระเจ้าไปกับมันด้วย สุดท้าย พวกเขาก็จะตกนรกเพราะต่อต้านพระเจ้าเช่นกัน ยิ่งคิดฉันยิ่งเห็นว่า พรรคคอมมิวนิสต์เป็นปีศาจที่เกลียดพระเจ้า และทำลายล้างผู้คนจริงๆ เป็นศัตรูคู่อริของพระเจ้า ฉันเลยเกลียดมันสุดหัวใจ สาบานว่าจะละทิ้ง และปฏิเสธมัน และติดตามพระเจ้าไปถึงปลายทาง
ฉันได้อ่านบางอย่างในพระวจนะ “พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่…เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญกับอุปสรรคมหาศาล และการทำพระวจนะมากมายของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าประการหนึ่งก็คือผู้คนได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) ฉันได้รู้จากพระวจนะ ว่าในเมื่อพรรคต่อต้าน และเป็นศัตรูของพระเจ้า เราผู้เชื่อในจีน ก็ต้องถูกกดขี่,ทนทุกข์กับความยากลำบากใหญ่หลวง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้ พระองค์ใช้สภาพแวดล้อมอันยากลำบาก ทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม ให้เรามีวิจารณญาณเรื่องพญานาคใหญ่สีแดง เราเลยเกลียดและเดียดฉันท์มันได้ และไม่ถูกทำร้ายหรือหลงผิดอีก แต่ฉันไม่รู้ถึงน้ำพระทัย ฉันคิดลบ พร่ำบ่นถึงความทุกข์ทางเนื้อหนัง ไม่แสวงหาความจริงหรือเรียนรู้บทเรียน ฉันมีความกบฏมาก พระเจ้าเป็นองค์สูงสุด แต่ทรงสู้ทนความเจ็บปวดและการเหยียดหยามเช่นนั้น เพียงเพื่อช่วยมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอด พระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์ในหมู่เรา เพื่อตรัสและทรงงาน ทรงสู้ทนการไล่ตามและข่มเหงของพรรคชั่ว รวมถึงการกล่าวโทษของโลกศาสนามาตลอด แต่ก็ไม่เคยทรงล้มเลิกการช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์ยังแสดงความจริง ให้น้ำ และเลี้ยงดูเรา พระเจ้าทนถูกเหยียดหยามและเจ็บปวด เพื่อความรอดของเรา ส่วนฉันที่ทนทุกข์เล็กน้อยในตอนนี้ เพื่อติดตามพระเจ้าและไล่ตามความรอด กลับในใจกลับขาดความเชื่อที่แท้จริง ขาดการเชื่อฟังพระเจ้า ฉันมีวุฒิภาวะน้อยมาก พอคิดได้ ฉันเสียใจ และรู้สึกผิด เลยตั่งมั่นว่า ไม่ว่าสามีจะทำกับฉันยังไง ฉันก็จะไม่ยอมจำนนต่อความอ่อนแอทางเนื้อหนัง แต่จะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่น และไม่มีวันหลีกทางให้ซาตาน จากนั้น ถึงสามีจะยังกดขี่และขัดขวางฉัน ฉันก็อธิษฐาน และพึ่งพิงพระเจ้า เพราะการนำของพระวจนะ ฉันเลบไม่เจ็บปวดมากนัก
ครั้งหนึ่ง ตอนสามีรู้ว่าฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐกับเพื่อนเก่า เขากลับบ้านมาเอ็ดฉันว่า “พรรคบอกว่า การประกาศของคุณทำลายครอบครัวคนอื่น ผมขอเตือนว่า คุณเลิกประกาศข่าวประเสริฐกับเพื่อนๆ ดีกว่า ไม่งั้นผมคงสู้หน้าใครไม่ได้” แถมเขายังพูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้าด้วย พอเห็นสีหน้าดุร้ายที่เกลียดพระเจ้าของเขา ฉันก็ไม่พอใจ เราแบ่งปันข่าวประเสริฐเพื่อให้คนเชื่อ และยอมรับความรอด แต่พรรคกลับทำให้เป็นหนังคนละม้วน พวกเขากุคำโกหกสารพัด บอกว่าเราทำครอบครัวคนอื่นแตกแยก ชั่วและหน้าไม่อายจริงๆ! หลายปีที่พรรค ต่อต้านพระเจ้า จับกุมผู้เชื่อ จนชาวคริสเตียนมากมายโดนจับติดคุก หลายคนต้องหนีเพื่อเลี่ยงการถูกจับ และกลับบ้านไม่ได้ หลายครอบครัวแตกแยก พ่อแม่ลูกแยกจากกัน ทุกครอบครัวชาวคริสเตียนที่พังทลาย พรรคเป็นฝ่ายผิด! พอเห็นสามีเชื่อคำโกหกของพรรค แยกแยะถูกผิดไม่ได้ แถมเกลียดพระเจ้า และผู้เชื่อมาก ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือผู้เป็นเยี่ยงปีศาจ และมิหนำซ้ำ ยังจะถูกทำลาย…ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) “ทำไมสามีจึงรักภรรยาของเขา? ทำไมภรรยาจึงรักสามีของเธอ? ทำไมลูกๆ จึงกตัญญูต่อบิดามารดาของพวกเขา? ทำไมบิดามารดาจึงหลงใหลลูกๆ ของพวกเขา? อันที่จริงแล้วผู้คนเก็บงำเจตนาชนิดใดเอาไว้? เจตนาของพวกเขาไม่ใช่เพื่อตอบสนองแผนการและความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาเองหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) ฉันได้เห็นถึง ธรรมชาติและแก่นแท้ที่ท้าทายพระเจ้าของสามี ฉันเชื่อและแบ่งปันข่าวประเสริฐ เขาเลยทำทุกทางเพื่อกดขี่ฉัน ห้ามฉัน และพูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้า ดูผิวเผินเหมือนฉันเป็นเป้าหมาย แต่ความจริง เขาเกลียดความจริง และพระเจ้า ฉันไม่เคย เห็นแก่นแท้ของสามีมาก่อน เท่าที่แต่งงานกันมา เขาห่วงใยและใส่ใจฉัน เห็นด้วยกับฉันทุกเรื่อง ฉันเลยคิดว่าเขาดีกับฉัน ฉันไม่เคยคิดว่า พอเขาเห็นความเชื่อของฉันถูกกดขี่จากพรรค และจะกระทบชื่อเสียงและอนาคตของเขา เขาก็กลายเป็นคนละคน เขาเริ่มทุบตีฉัน กีดกันทุกทางไม่ให้ฉันเชื่อ แถมยังหมิ่นประมาทพระเจ้า นี่คือการสำแดงของปีศาจ ในตอนแรก ฉันหลงอยู่กับภาพมายา ว่าเขาแค่หลงผิด เพราะคำโกหกของพรรค และถ้ามีวิจารณญาณ เขาอาจจะไม่กดขี่ฉันนัก ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าเข้าใจผิด สามีฉันเป็นนักข่าว เขารู้เรื่องภายในที่พรรคกุข่าวปลอมขึ้นมาอย่างดี แต่เขายังเชื่อคำโกหก และข่มเหงความเชื่อของฉัน เขาคือปีศาจที่เกลียดพระเจ้าโดยแก่นแท้ ฉันยังเห็นชัดว่า เขาเคยดีกับฉันมาก่อน ก็แค่เพื่อให้ฉันคลอดลูกๆให้เขา ดูแลเด็กและคนแก่ในบ้าน นี่ไม่ใช่ความรักแท้จริงเลย ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่เชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) ฉันเป็นผู้เชื่อ ฉันติดตามพระเจ้า ไล่ตามความจริง และอยู่บนทางที่ถูก ส่วนสามีฉันติดตามพรรค และอยู่บนทางที่ต่อต้านพระเจ้า เราไม่ได้อยู่บนทางเดียวกัน เราอยู่กันโดยไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่เจ็บปวดจริงๆ พอเข้าใจแล้ว ฉันปล่อยวางทุกภาพลวงตาเกี่ยวกับเขา ตอนนั้น ความสามารถในการอ่านพระวจนะของฉันยังจำกัด ฉันเข้าชุมนุมไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำหน้าที่ ฉันทุกข์ใจอย่างถึงที่สุด สองสามวันนั้น ฉันรีบอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงมอบทางออกให้
แล้วค่ำวันหนึ่ง สามีก็พูดว่า “วันนี้ผมไปดูดวงมา ถามเรื่องงาน และถามว่าเมื่อไหร่อะไรๆ จะเป็นดั่งใจสักที” ฉันพูดไปโดยไม่คิดว่า “คุณก็เชื่อเหมือนกันนี่ คุณเชื่อสิ่งเลวทรามแบบนั้นเหรอ?” ฉันตกใจมากที่อยู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนจะชกฉันที่ท้อง แล้วตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “ถ้ายังยืนกรานจะเชื่อ ก็ออกไปจากบ้านนี้ซะ!” ตอนนั้น ฉันเจ็บเหมือนอวัยวะถูกชกจนเคลื่อนที่ ฉันนอนกุมท้องอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บ ฉันคิดว่าในบ้านนั้น สามีกดขี่ฉันทุกวัน จนฉันอ่านพระวจนะ เข้าชุมนุม หรือทำหน้าที่ไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นต่อไป ฉันคงไม่มีทางไล่ตามความจริงได้ และสุดท้ายคงถูกทำลาย ตอนนี้ เขาทำรุนแรงกับฉัน และขู่จะเตะฉันออกจากบ้าน ฉันทนความเจ็บปวดทรมานนั้นต่อไปไม่ไหว ฉันเลยตัดสินใจจากเขามา เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากคุกที่บ้าน เพื่อหนีจากชีวิตที่เหมือนนรก คืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียใจอยู่บนเตียง พอมองบ้านที่เราพยายามสร้างกันมา พอนึกถึงชีวิตแต่งงานสิบกว่าปีที่กำลังจะพัง ครอบครัวที่ยอดเยี่ยม กำลังจะถูกพรรคทำลาย ฉันก็รู้สึกอ่อนแอมาก ยิ่งพอคิดว่าลูกๆ จะอยู่กันยังไง ลูกสาวคนโต ดูแลตัวเองได้แล้ว แต่คนเล็กสุดเพิ่งสี่ขวบ แถมยังมีปัญหาสุขภาพ ฉันทุ่มเทดูแลลูกมาหลายปี ลูกไม่เคยอยู่ห่างฉันเลย แถมแม่สามีก็แก่ลงเรื่อยๆ ถ้าเราหย่ากัน ใครจะดูแลเด็กๆ? ความคิดนี้ บีบหัวใจฉันมาก ฉันอธิษฐาน ขอพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้ง และช่วยให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัย หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้และทรงนำพามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ประทานชีวิตให้เข้ามาในโลก ต่อมา มนุษย์ก็มามีพ่อแม่และญาติพี่น้อง และไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์เปิดตามองโลกแห่งวัตถุ เขาก็ได้ถูกลิขิตชะตาไว้แล้วให้ดำรงอยู่ภายในการทรงลิขิตของพระเจ้า ลมปราณจากพระเจ้าสนับสนุนสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตลอดช่วงวัยเจริญเติบโตไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ไม่มีใครรู้สึกว่ามนุษย์กำลังเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของพระเจ้า พวกเขากลับเชื่อว่ามนุษย์กำลังเติบโตภายใต้การดูแลอันเปี่ยมรักของบิดามารดาของเขา และสัญชาตญาณชีวิตของเขานั่นเองที่กำกับการเติบโตของเขา นี่เป็นเพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าผู้ใดประทานชีวิตให้เขา หรือรู้ว่าตัวเขามาจากไหน นับประสาอะไรที่จะรู้หนทางที่สัญชาตญาณชีวิตสร้างปาฏิหาริย์ เขารู้เพียงว่าอาหารคือพื้นฐานที่ช่วยให้ชีวิตดำเนินต่อไป ความพากเพียรบากบั่นคือแหล่งกำเนิดแห่งการดำรงอยู่ของเขา และความเชื่อต่างๆ ในจิตใจของเขาคือทุนที่เขาต้องอาศัยพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด เกี่ยวกับพระคุณและการจัดเตรียมของพระเจ้านั้น มนุษย์คือไม่รับรู้อันใดเลยอย่างถึงที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงใช้ชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ไปอย่างสูญเปล่า…ไม่มีแม้แต่คนเดียวในมนุษยชาตินี้ที่พระเจ้าทรงดูแลทั้งวันคืน จะคิดขึ้นมาได้เองว่าจะนมัสการพระองค์ พระเจ้ายังทรงพระราชกิจต่อไปกับมนุษย์ผู้ซึ่งพระองค์ไม่เคยตั้งความคาดหวัง ก็เพียงเท่าที่พระองค์ทรงวางแผนการไว้เท่านั้น พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง มนุษย์จะตื่นขึ้นจากฝันของเขาและพลันตระหนักถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต รวมถึงราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายเพื่อทั้งสิ้นทั้งมวลที่พระองค์ได้ประทานให้เขา และความกังวลร้อนใจขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยให้มนุษย์หันกลับมาหาพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) “เหตุใดเจ้าจึงไม่วางใจฝากพวกเขาไว้ในมือของเราเล่า? เจ้าไม่มีความเชื่อในเราเพียงพอหรอกหรือ? หรือเป็นเพราะเจ้ารู้สึกกลัวว่าเราจะลงมือจัดการเตรียมการที่ไม่เหมาะสมกับเจ้า? เหตุใดเจ้าจึงกังวลเกี่ยวกับครอบครัวแห่งเนื้อหนังของเจ้าอยู่เสมอ? เจ้าคะนึงหาผู้เป็นที่รักทั้งหลายของเจ้าอยู่เสมอ! เรามีที่สักแห่งอยู่ในหัวใจของเจ้าบ้างไหม?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 59) ฉันเห็นได้จากพระวจนะ ว่าพระเจ้าเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์ เป็นผู้เดียวที่คุมชะตาเรา ไม่ว่าลูกๆ ของฉันจะเติบโตอย่างปลอดภัยหรือไม่ ก็ไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของพ่อแม่ แต่ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด สุขภาพของลูกสาวคนเล็ก สิ่งที่แกเจอในชีวิต และชะตากรรมที่แกมี พระเจ้าทรงลิขิตไว้หมดแล้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม ย่อมดีและเหมาะสมที่สุด แต่ฉันขาดความเชื่อในพระเจ้า ฉันคิดเสมอว่า ลูกๆจำเป็นต้องมีฉันอยู่ ดูแลให้เติบโตแข็งแรง ฉันไม่ได้วางลูกไว้ในพระหัตถ์ ฉันโอหัง และไม่รู้ความ ในฐานะแม่ สิ่งเดียวที่ทำได้เคียงข้างลูก คือให้ทำให้ลูกอยู่ดีกินดี แต่ฉันควบคุมชะตากรรมลูกไม่ได้ ฉันต้องนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการทรงจัดเตรียม และมอบลูกให้พระเจ้า ปล่อยวางทุกความกังวล ติดตามพระเจ้า แบ่งปันข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ การเข้าใจน้ำพระทัย ทำให้ฉันเป็นอิสระมาก
วันรุ่งขึ้น ฉันกับสามีไปดำเนินการหย่า พอเจ้าหน้าที่รู้ว่า สาเหตุคือฉันเป็นผู้เชื่อ เขาก็แนะนำว่า “พอเกี่ยวกับศาสนา เมื่อลงชื่อแล้ว สามี ลูกๆ และบ้านของคุณก็จะหายไป คิดให้แน่ใจก่อนดีกว่า” ตอนที่ฟังเขา ฉันก็ลังเลอยู่บ้าง ถึงจะเห็นแก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้าของสามี และพร้อมจะวางลูกๆ ไว้ในพระหัตถ์ แต่พอคิดว่าลายเซ็นนี้จะทำให้บ้าน ลูกๆ และทุกอย่างหายไป ฉันก็เกิดลังเล พอรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ถูกต้อง ฉันก็อธิษฐานเงียบๆ แล้วนึกถึงพระวจนะที่ว่า “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นเพียงสัตว์ป่าในคราบมนุษย์หรอกหรือ? ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร…พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)) พระวจนะทำให้ฉันรู้แจ้งทันที จริงด้วย ฉันคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการนมัสการพระเจ้าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ การล้มเลิกทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเจ้า ไล่ตามความจริงและชีวิต คือเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต นั่นเป็นชีวิตที่มีค่า และมีความหมายที่สุด พระเจ้าทรงปรากฏและทรงงานในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นี่คือโอกาสอันล้ำค่า การโชคดีได้ยอมรับความรอดของพระเจ้า และได้รับเสบียงอาหารจากพระวจนะ คือพระคุณ และความกรุณาของพระเจ้า งานของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุดแล้ว ฉันควรละวางทุกสิ่ง สละตนเพื่อพระเจ้า และทำหน้าที่ ไม่งั้น ฉันก็จะพลาดโอกาสในความรอด และคงเสียใจไปทั้งชีวิต แต่สามีกลับเห็นด้วยกับพรรค ทำทุกทางเพื่อขัดขวางและกดขี่ฉัน ทำอย่างกับฉันเป็นศัตรู เขาทุบตีฉันทุกครั้งที่พูดถึงคำว่า “พระเจ้า” ขณะที่อยู่ในบ้าน ฉันอ่านพระวจนะไม่ได้ ออกไปชุมนุมและทำหน้าที่ก็ไม่ไ้ด้ การหย่าเป็นทางเดียว ที่ฉันจะได้เชื่อและติดตามพระเจ้า ถ้าใช้ชีวิตแบบนั้น ฉันจะเป็นแค่เปลือกกลวงๆ ไม่ใช่เหรอ? ฉันจะลงเอยอยู่ในนรก ถูกลงโทษไปพร้อมซาตาน พอเจอข้อเท็จจริง ฉันก็เห็นชัดแจ้ง ว่าสามีและบ้าน ไม่ใช่เสาหลักของฉัน แต่เป็นเครื่องมือ โซ่ตรวน ที่ซาตานใช้เพื่อทำร้ายและทำลายฉัน มีเพียงพระเจ้าที่เป็นเสาหลัก เป็นเสบียงอาหารให้ชีวิตฉัน การติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นทางเดียวที่จะถูกพระเจ้าช่วยให้รอด และมีชะตากรรมและบั้นปลายที่ดี ฉันนึกถึงเปโตร ที่เป็นอิสระจากการบีบคั้นของพ่อแม่เพื่อมีความเชื่อ แล้วได้รับความจริงและชีวิต เขาล้มเลิกทุกอย่างเพื่อติดตามองค์พระเยซูเจ้า ฉันต้องเอาอย่างเปโตร เป็นอิสระจากพันธนาการของสามีที่เหมือนปีศาจ และติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างสุดใจ แล้วฉัน ก็ลงชื่อในใบหย่าโดยไม่ลังเล
พอกลับถึงบ้าน ลูกสาวคนโตก็บอกว่า “แม่ การเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่ควรทำ แต่การเห็นพ่อทำกับแม่แบบนั้น หนูก็ไม่อยากให้แม่ทุกแบบนั้น หนูสนับสนุนการหย่านะ” พอได้ยินที่ลูกพูด ฉันก็มีกำลังใจมาก พอเพื่อนๆ รู้เรื่องการหย่าของฉัน เกือบยี่สิบคนก็มารวมตัวกัน ยืนกรานให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ ฉันพูดกับพวกเขาอย่างหนักแน่นและเชื่อมั่นว่า “การเชื่อในพระเจ้าเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันดูแลพ่อแม่และลูกๆ อย่างดี แต่เขาเชื่อในคำโกหกของพรรค และขัดขวางความเชื่อของฉัน เขาทุบตี ตะคอกฉัน บังคับให้หย่า ฉันใช้ชีวิตอย่างไร้เกียรติ หรือศักดิ์ศรี ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ต่างหาก ที่ทำครอบครัวเราพัง!” พวกเขาหมดคำพูดจะตอบโต้
จากนั้น ฉันก็ออกจากบ้านมาเข้าร่วมกับคนที่ทำหน้าที่ ฉันเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับเหล่าพี่น้อง อ่านพระวจนะทุกวัน สามัคคีธรรมความจริง และเพลิดเพลินกับเสบียงอาหารจากพระวจนะ ฉันรู้สึก สงบสุข หลังจากถูกพรรคข่มเหง และถูกสามีกดขี่ ฉันก็เห็นโฉมหน้าชั่วร้ายที่เกลียดพระเจ้า และทำลายผู้คนของพรรคอย่างหมดเปลือก มันคือร่างจำแลงของซาตาน คือศัตรูคู่อริของพระเจ้าจริงๆ ฉันดูหมิ่นและปฏิเสธมันสุดหัวใจ ฉันยัง เกิดวิจารณญาณเรื่องแก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้าของสามี และได้หลุดพ้นจากกรงขังในบ้านนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะความรอดของพระเจ้าค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ