ใครเป็นคนทำลายครอบครัวของเรา?
โดย ไฉ่น่า ประเทศจีน ฉันกับสามีโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน เราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าตามครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก พอแต่งงาน ฉันก็เปิดคลินิก...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
เดือนสิงหาคมปี 2018 เพื่อนคนหนึ่งบอกฉันว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และทรงกำลังแสดงความจริง เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา โดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเห็นว่า พระวจนะเป็นความจริง และเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ฉันรู้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ฉันจึงยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ และเริ่มเข้าร่วมการชุมนุมทางออนไลน์ ฉันอิ่มเต็มไปด้วยความเบิกบานในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อมีการต่อสู้ทางจิตวิญญาณอันไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่บ้าน
วันหนึ่งในเดือนตุลาคมปี 2018 สามีส่งข้อความมาหาฉันว่า “ช่วงนี้คุณไม่ไปที่คริสตจักรเลย แล้วที่คุณอ่านอยู่ตลอดมันหนังสืออะไร พวกคุณคุยเรื่องอะไรกัน ในการชุมนุมออนไลน์พวกนั้น” ฉันเพิ่งยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เลยไม่คิดว่าตัวเองจะอธิบายได้ชัดเจนนัก แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่า สามีของฉันเป็นผู้เชื่อมาตั้งแต่ยังเด็ก และเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่คริสตจักร ดังนั้นฉันควรแบ่งปันข่าวการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ากับเขา ฉันเลยบอกเขาว่า “เราอยู่ในยุคสุดท้าย และคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ลุล่วงแล้ว พระองค์ทรงกลับมาในร่างมนุษย์ พระนามของพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์กำลังทรงพระราชกิจการพิพากษาผ่านพระวจนะ เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด หนังสือเล่มนั้น คือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระวจนะนั้น เผยถึงความล้ำลึกมากมายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ฉันตามพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าได้ทัน และฉันกำลังพบปะกับสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ดังนั้น แน่นอนว่าฉันจะไม่กลับไปเข้านมัสการที่คริสตจักรเดิมแล้ว คุณควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และดูด้วยตัวเองนะ” ฉันส่งลิงก์เว็บไซต์ของคริสตจักรไปให้เขาด้วย ฉันต้องประหลาดใจที่ไม่นาน เขาก็ส่งคำโกหกและข่าวลือมากมาย ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเผยแพร่บนโลกออนไลน์มาให้ฉัน เพื่อใส่ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ รวมถึงคดีเท็จเรื่องจ้าวหยวน ที่พรรคคอมมิวนิสต์โบ้ยใส่คริสตจักร ฉันคิดว่า ด้วยความที่สามีของฉันเป็นคนฟิลิปปินส์ เขาไม่รู้ว่าที่จีนมีข่าวปลอมมากแค่ไหน เขาจึงหลงเชื่อมันง่ายๆ ฉันจึงตอบกลับไปว่า “คดีจ้าวหยวนถูกตัดสินที่ศาลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และทุกศาลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็เป็นแค่เครื่องมือของรัฐบาลในการรักษาอำนาจเผด็จการเอาไว้ การสอบสวนและพิพากษาของพวกเขาไม่น่าเชื่อถือเลย พรรคคอมมิวนิสต์จีนกุเรื่องที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงคดีเท็จมากมายตลอดหลายปี เช่น เรื่องการประท้วงของนักศึกษาที่จตุรัสเทียนอันเหมินที่เขย่าขวัญคนทั้งโลก และการปราบปรามการประท้วงของชาวทิเบต อย่างแรก พวกเขาจะกุเรื่องโกหก บิดเบือนความจริง และตั้งข้อหาเท็จ แล้วพวกเขาก็จะทำการปราบปรามอย่างรุนแรง นั่นคือกลยุทธ์ที่พวกเขาใช้เพื่อกำจัดผู้เห็นต่างเสมอ อีกอย่าง มันเป็นพรรคที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ที่ข่มเหงความเชื่อทางศาสนาอย่างโหดเหี้ยมตั้งแต่ขึ้นมามีอำนาจ เราจะให้ค่ากับการกล่าวโทษคริสตจักรของพวกมันได้ยังไง ที่จริง นักวิชาการชาวตะวันตกได้ทำการสอบสวนอิสระที่เปิดโปงคำโกหกของพวกเขา” หลังจากนั้น ฉันได้ส่งวิดีโอของศาสตราจารย์แมสสิโม อินโทรวีเน่ นักวิชาการด้านศาสนาชาวอิตาลี ที่กำลังกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมไปให้เขา ฉันบอกเขาว่า “หลังดูวิดีโอนี้คุณจะเข้าใจความจริง จำเลยในคดีจ้าวหยวนให้การกับศาลว่า ‘ผมไม่เคยติดต่อกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เลย’ พวกเขาพูดเองว่าไม่ได้อยู่คริสตจักรนี้ ทางคริสตจักรก็ไม่รู้จักพวกเขาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่า พวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ศาลกลับยืนกรานว่าพวกเขาเกี่ยวข้อง พวกเขาจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง และสร้างคดีมาใส่ร้ายเพื่อทำให้คริสตจักรเสียชื่อเสียง! สิ่งนี้แสดงให้เห็น ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นคนกุคดีจ้าวหยวนขึ้นมาเป็นข้ออ้างเพื่อข่มเหงชาวคริสเตียน มันคือกลยุทธ์ปกติที่พวกเขาใช้ปราบปรามความเชื่อทางศาสนา” แต่สามีของฉันเชื่อคำโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปเต็มๆ และไม่ฟังฉันเลย
หลังจากนั้น เขาเริ่มพยายามขัดขวางการเชื่อของฉัน ติดกล้องวงจรปิดในบ้านของเราหกตัว เพื่อจับตาดูฉันทุกฝีก้าว เย็นวันหนึ่ง เขาเห็นว่าฉันเข้าชุมนุมผ่านกล้องตัวหนึ่ง และตะโกนเสียงดังลั่นเข้ามาในห้อง ถามว่าทำไมฉันยังเข้าร่วมการชุมนุมพวกนี้อีก ฉันบอกไปว่า “ที่นี่คือสหรัฐ ประเทศที่มีเสรีภาพทางความเชื่อ มันได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย การปฏิบัติความเชื่อของฉันเป็นสิ่งที่เหมาะสม ทำไมคุณถึงมาขัดขวางฉันล่ะคะ ข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้รับการเผยแผ่ยังหลายประเทศทางฝั่งตะวันตก ผู้คนอย่างคุณและคุณนายชมิดท์จากรัฐแอริโซนา ทีน่ากับชาร์ลี คนที่เคยให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับประสบการณ์การยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายของพวกเขา มีคำพยานมากมายจากแคนาดา คิวบา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส รัสเซีย ไทย และอีกหลายประเทศ คนจากทั่วโลกที่ปรารถนาการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่างมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และยอมรับพระราชกิจของพระองค์ ทำไมคุณไม่ดูว่าพระราชกิจของพระองค์บรรลุสิ่งใด มันใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าไหม แต่กลับหลับหูหลับตาหลงเชื่อคำโกหกของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าล่ะคะ” เขาไม่ฟังฉันเลย แต่กลับเดินเข้ามาคว้าโทรศัพท์ของฉันไป ฉันพยายามขวางเขาไว้ เลยตีแขนเขาไป ฉันตกใจมากที่เขาใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างแจ้งตำรวจจับฉัน จากนั้น เขาก็ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “คุณไม่มีพระเจ้าเหรอ เรียกพระองค์มาช่วยสิ อีกเดี๋ยวตำรวจก็มาถึงแล้ว คอยดูแล้วกันว่าคืนนี้ใครจะช่วยคุณได้” ฉันโกรธมาก และกลัวนิดหน่อยด้วย ฉันกลัวว่าจะถูกตำรวจจับไปเหมือนพี่น้องชายหญิงหลายคนในประเทศจีน แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าขึ้นมาได้ “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระองค์ทรงมีสิทธิ์ขาดเหนือทุกสิ่ง ไม่ว่าวันนั้นตำรวจจะพาตัวฉันไปหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าทั้งสิ้น หากพระเจ้าทรงอนุญาตเช่นนั้น สิ่งนั้นก็คงมีน้ำพระทัยของพระองค์และฉันจะนบนอบค่ะ หลังกล่าวคำอธิษฐาน ฉันก็ไม่รู้สึกตระหนกมากแล้วค่ะ ห้านาทีต่อมา ตำรวจก็มาถึง แล้วพอพวกเขาเข้าใจสถานการณ์ พวกเขาก็เข้าใจฉัน เจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่เป็นฝรั่ง บอกว่าเขาเคยไปอยู่ที่จีน และรู้เรื่องการข่มเหงความเชื่อทางศาสนาของรัฐบาลจีน พอเราคุยกันเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็เตือนสามีของฉันว่า “ที่สหรัฐเรามีเสรีภาพทางศาสนา คุณไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งกับความเชื่อของภรรยา” พอตำรวจพูดแบบนี้ เขาก็ตอบว่า “เธอมีความเชื่อได้ แต่เธอห้ามเข้าร่วมการชุมนุมที่บ้าน” เจ้าหน้าที่เลยเตือนเขาอีกว่า “เธอเป็นภรรยาของคุณ และเป็นสมาชิกในครอบครัวนี้ เธอมีสิทธิ์จะเข้าร่วมการชุมนุมที่บ้าน—สิ่งนี้ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย คุณห้ามเธอเข้าร่วมการชุมนุมที่บ้านไม่ได้ และการทำแบบนั้นถือเป็นการละเมิดกฎหมายสหรัฐ” หลังจากที่ตำรวจกลับไป ฉันก็นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และแทบไม่อยากเชื่อเลย เราผ่านอะไรด้วยกันมามากมายหลายปี แต่เขากลับใช้ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของฉันเป็นข้ออ้างโทรเรียกตำรวจมาจับฉัน สามีคนที่ฉันเคยรู้จักหายไปไหน เขาไม่มีความเป็นมนุษย์เลย ฉันยังรู้ด้วยว่า แม้ว่าฉันจะก้าวผ่านเรื่องใด พระเจ้าก็ทรงอยู่เคียงข้างและปกป้องฉันอยู่เงียบๆ ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้า และความตั้งใจแน่วแน่ที่จะติดตามพระองค์ก็โตขึ้น
ด้วยความที่ฉันตัดสินใจจะเชื่อต่อไป สามีจึงยึดบัตรธนาคารที่เราใช้ร่วมกัน ยึดกุญแจรถ กุญแจร้าน และเงินสดที่ฉันมีไปจนหมด ตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา ฉันเป็นฝ่ายที่บริหารการเงินและธุรกิจของเรา แต่ตอนนี้ เขากลับยึดทุกอย่างไปจากฉัน เขายังยกเลิกอินเตอร์เน็ตเพื่อให้ฉันเข้าชุมนุมออนไลน์ไม่ได้ด้วย แถมยังล็อคประตูเข้าห้องนอนใหญ่เพื่อให้ฉันเข้าไปไม่ได้ เขายังเย็นชากับฉันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย บางครั้งฉันถามเขาว่าจะไปไหน เขาก็จะตอบแค่ห้วนๆ ว่า “อย่ามาวุ่นวายเรื่องของผม คุณไม่มีสิทธิ์ถาม ถ้าคุณอยากเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คุณก็ออกจากบ้านนี้ไปได้เลย ไปหาทางเอาเอง คุณทำงานที่ร้านไม่ได้อีกต่อไป ถ้าผมรู้ว่าคุณไปแถวๆ นั้น ผมจะโทรเรียกตำรวจ” เขากระหน่ำใส่เพื่อนๆ ของเราด้วยเรื่องโกหกทั้งหมดทางออนไลน์ด้วย บางคนก็คอยแวะมาที่บ้าน ขอให้ฉันเลิกเชื่อซะ ชีวิตที่เคยสงบสุขของเราแหลกสลาย ในตอนนั้น ฉันคิดถึง ชีวิตที่เราใช้ร่วมกันมา ฉันยอมทิ้งหน้าที่การงานมาทำธุรกิจกับสามี จนทำให้เรามีร้านของตัวเองในเมืองนี้ แต่พอเจอกับทางเลือกระหว่างความเชื่อกับครอบครัว ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง ฉันรู้สึกอ่อนแอจริงๆ ค่ะ ฉันก็แค่ไม่เข้าใจ ผู้เชื่อทุกคนต่างก็ปรารถนาการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่เหรอ ฉันต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และเริ่มต้นเส้นทางที่ถูกต้องในการเชื่อ ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจเลย พอคิดถึงทุกอย่างที่ผ่านมา ฉันก็หยุดร้องไห้ไม่ได้ จากนั้น ฉันก็คิดถึงพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าขึ้นมา “สิ่งที่พวกเจ้าได้รับเป็นมรดกตกทอดในวันนี้เหนือกว่าที่อัครทูตและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายตลอดหลายยุคหลายสมัยเคยได้รับ และยิ่งใหญ่กว่าของโมเสสหรือเปโตรด้วยซ้ำ พรจากพระเจ้าไม่สามารถได้มาภายในวันเดียวหรือสองวัน แต่ต้องได้มาด้วยการพลีอุทิศอย่างใหญ่หลวง กล่าวคือ พวกเจ้าต้องครองความรักที่ก้าวผ่านกระบวนการถลุงมาแล้ว พวกเจ้าต้องครองความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และพวกเจ้าต้องมีความจริงมากมายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเจ้ามี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าต้องหันเข้าหาความยุติธรรมโดยไม่ขลาดกลัวหรือคอยแต่เลี่ยงหนี และต้องมีความรักพระเจ้าที่เสมอต้นเสมอปลายไปจนตาย พวกเจ้าต้องมีความตั้งใจแน่วแน่” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) พระวจนะของพระเจ้ามอบความเข้มแข็งให้ฉัน และฉันก็ได้เห็นว่า สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ คือความเชื่อและความรักแท้จริงของมนุษย์ และทรงต้องการไม่ให้เราหลงไปจากพระองค์ ไม่ว่าเผชิญกับความยากลำบากใด การที่เราโชคดีพอที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้าย เป็นความรักของพระเจ้าค่ะ การทุกข์ทรมานเพื่อติดตามพระคริสต์นั้นมีค่าและมีความหมาย และเป็นไปเพื่อมูลเหตุที่ชอบธรรม ฉันคิดถึงเหล่าสาวกที่ติดตามองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาถูกข่มเหงอย่างโหดเหี้ยมจากพวกโรมัน และถูกกล่าวโทษจากผู้นำศาสนา บางคนถึงกับยอมพลีชีพเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงระลึกถึงพวกเขา ฉันตระหนักได้ว่า ฉันไม่ควรหัวเสียที่ถูกขัดขวางและข่มเหงเพราะติดตามพระเจ้าแท้จริง แต่ฉันควรเรียนรู้จากนักบุญในทุกยุคสมัย และติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุดเบื้องหน้าความยากลำบากใดๆ
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ…เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร? เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) หลังจากยอมรับหนทางที่แท้จริง และติดตามพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า ถึงจะดูเหมือนสามีเข้ามาขวางทางและกดขี่ฉัน แต่เบื้องหลังนั้น การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นในโลกแห่งจิตวิญญาณ ซาตานใช้สามีของฉันมาแทรกแซงฉัน ใช้ประโยชน์จากความรู้สึกที่ฉันมีต่อสามี และผลประโยชน์ส่วนตัวมาข่มขู่ฉัน เพื่อให้ฉันยอมแพ้ในหนทางที่แท้จริง และยอมจำนนต่อซาตาน เพื่อที่สุดท้ายฉันจะทรยศพระเจ้า มันคือหนึ่งในเล่ห์กลของซาตาน ในขณะเดียวกัน พระเจ้าก็ทรงใช้สถานการณ์นี้ แสดงให้ฉันเห็นถึงด้านชั่วร้ายของสามีในการต่อต้านพระเจ้า ตอนที่เขาเทศนาธรรมในคริสตจักร เขาเทศน์เรื่องความอดทน และบอกให้เราเฝ้าดูการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กับพระราชกิจแห่งการทรงกลับมาของพระเจ้า เขากลับไม่ตรวจสอบอะไรเลย หนำซ้ำยังปฏิบัติราวกับฉันเป็นศัตรู เขาไม่ได้เกลียดฉัน—เขาเกลียดและต่อต้านพระเจ้าต่างหาก เขาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อโดยแท้จริง พอคิดถึงการกระทำของเขา ฉันก็ไม่เจ็บปวดอีกต่อไป ฉันแค่รู้สึกโกรธมากจริงๆ เราเป็นสามีภรรยากัน แต่อยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน ฉันรู้ว่า ฉันจะยอมให้เขาควบคุมฉันไม่ได้อีกต่อไป ยิ่งเขากดขี่มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากติดตามพระเจ้า เพื่อยืนหยัดเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอาย ไม่เพียงแค่อยากติดตามพระเจ้า แต่ฉันยังอยากแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับผู้เชื่อแท้จริงที่รักความจริงให้มากขึ้นด้วยค่ะ ความคิดนี้มอบความเข้มแข็งที่จำเป็นเพื่อให้ฉันผ่านเรื่องนี้ไปได้ค่ะ ฉันได้งานใหม่ที่ตลาดซึ่งอยู่ใกล้บ้านในเวลาอันรวดเร็ว ฉันก็เลยทำงานและแบ่งปันข่าวประเสริฐที่นั่นค่ะ มันเป็นงานที่หนัก แต่ด้วยพระวจนะของพระเจ้าที่นำทางฉัน ฉันก็รู้สึกสบายใจสุดๆ เลยค่ะ
แต่สามีของฉันก็ยังไม่ยอมหยุด เพื่อหยุดฉันจากการเชื่อ เขาขโมยจักรยานที่ฉันใช้ขี่ไปทำงาน และห้ามไม่ให้ฉันไปทำงานที่นั่น เขายังส่งลูกค้าบางคนมาที่ทำงานของฉัน เพื่อเซ้าซี้ให้ฉันล้มเลิกการเชื่อด้วย ไม่ใช่แค่นั้น เขายังเผยแพร่คำโกหกเกี่ยวกับฉันในคริสตจักร บอกว่าฉันทอดทิ้งครอบครัวเพื่อความเชื่อ พอหัวหน้าของฉันรู้เรื่องนี้ เธอก็เริ่มปฏิบัติกับฉันแปลกไปแล้วก็ไล่ฉันออก ตอนนั้นเอง แม่สามีที่ฟิลิปปินส์เกิดเสียชีวิตกระทันหัน สามีของฉันเลยต้องกลับไป เขาต้องทิ้งโทรศัพท์ของฉันกับกุญแจร้านไว้ที่ฉันแบบไม่มีทางเลือก พอเขากลับมายังสหรัฐ ท่าทีที่เขามีต่อฉันอ่อนลงมาก เขาไม่ค่อยต่อต้านที่ฉันเข้าร่วมการชุมนุมทางออนไลน์อีกต่อไป ฉันคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วก็ได้
แต่แล้ววันหนึ่ง เขาพบว่าฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้า กับพี่สาวที่คริสตจักรของเขา และเขาก็แอบไปติดต่อกับเธอลับหลังผ่านทางศิษยาภิบาล เขาเล่าเรื่องโกหกทุกรูปแบบให้เธอฟัง และเธอก็เชื่อเขา เธอเลยไม่ยุ่งเกี่ยวกับฉันอีก เขาเตือนฉันว่า “ไม่มีใครห้ามคุณจากการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ แต่ผมไม่อนุญาตให้คุณดึงคนจากคริสตจักรของผมไป ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณอีกต่อไป และคุณก็เอาโทรศัพท์ของคุณมาที่ร้านของเราไม่ได้ ถ้าคุณอ่านข้อความหรือรับสายพวกเขาอีก ผมไล่คุณออกแน่” การกระทำของเขามันน่าตกใจและน่าโมโหมาก ตลอดสองสามเดือนนั้น ฉันอดทนกับเขามาก และพยายามกระตุ้นเขาด้วยหนทางใช้ชีวิตของฉัน มันควรส่งผลกระทบกับเขา ในการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เขามีต่อฉันและต่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าสามีจะดื้อด้านและมุ่งร้ายขนาดนี้ เขาแสดงใบหน้าจอมปลอมอย่างสิ้นเชิงให้ชาวโลกเห็น เขาไม่ได้แบ่งปันความเชื่อกับฉัน แถมยังกีดกันไม่ให้ฉันแบ่งปันกับคนอื่น แสดงความเป็นเจ้าของในตัวพี่น้องชายหญิงแบบหน้าไม่อาย นั่นไม่ใช่การพยายามแย่งชิงแกะของพระเจ้าไปแบบหน้าด้านๆ เหรอ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและกลับสู่พระนิเวศของพระองค์ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ และความเชื่อนั้นก็ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เขากลับร่วมมือกับศิษยาภิบาล เพื่อแบ่งแยกพี่น้องชายหญิงในทุกทาง เขาเผยแพร่คำโกหกเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจผิด พวกเขาจึงไม่กล้าฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย เขาสร้างความอึดอัดและหิวโหยให้แก่คริสตจักร แถมยังทำลายโอกาสในความรอดของผู้คนอีก! มันทำให้ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงต่อว่าพวกฟาริสี “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) ถ้าฉันไม่ได้เป็นประจักษ์คำพูดและการกระทำของเขาด้วยตัวเอง ฉันก็คงไม่เคยคิด ว่าคนที่จัดการงานการกุศลต่างๆ คนที่ดูเคร่งศาสนาและเป็นที่เคารพนับถือ จะไม่เพียงแค่ปฏิเสธ การสอบสวนหรือยอมรับพระราชกิจแห่งการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ยังเผยแพร่คำโกหกไปทั่วคริสตจักร หลอกลวงผู้อื่นและกีดกันพวกเขาจากการหันเข้าสู่พระเจ้า เขาจะต่างอะไรกับพวกฟาริสีที่จับองค์พระเยซูเจ้า ตรึงกางเขนเมื่อสองพันปีก่อนล่ะคะ พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ที่แท้จริง เป็นปีศาจที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ ฉันเห็นความจริงแห่งแก่นแท้ของสามีอย่างหมดเปลือก ว่าเขาเป็นปีศาจที่เกินแก้ ผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อก็แค่เข้ากันไม่ได้ ฉันจะให้เขารั้งต่อไปไม่ได้แล้ว พอคิดให้ถี่ถ้วน ฉันก็ตัดสินใจทุ่มเวลาให้การเชื่อมากขึ้น และไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันก็ตัดสินใจติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่ว่าสามีจะปฏิบัติกับฉันยังไงก็ตาม
วันหนึ่ง เขาได้ทนายด้านการหย่ามาเพื่อเริ่มขั้นตอนการหย่า และเขาก็ต้องการให้ฉันย้ายออกภายในหนึ่งเดือน ฉันรู้สึกหมดแรงเลยจริงๆ ค่ะ ฉันจะไปอยู่ตรงไหน ฉันจะกลายเป็นคนเร่ร่อนงั้นเหรอ เขายังยกเลิกอินเตอร์เน็ตในบ้านเราอีกครั้ง เพื่อพยายาม ตัดขาดการติดต่อระหว่างฉันกับพี่น้องชายหญิง ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากออกไปข้างนอกตลอดเพื่อใช้สัญญาณสาธารณะเข้าร่วมการชุมนุม ชีวิตของฉันตกอยู่ในวิกฤติ พอไม่มีรายได้ สิ่งจำเป็นพื้นฐานอย่างอาหารและที่อยู่ก็จะกลายเป็นปัญหา ฉันไม่เคยเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนั้นเลย และฉันไม่รู้ด้วยว่าจะผ่านมันไปยังไง ฉันรู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวดจริงๆ ค่ะ พอพี่สาวคนหนึ่งรู้เข้า เธอก็ส่งพระวจนะมาให้ฉันบทตอนหนึ่ง “ในขณะกำลังก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือขาดพร่องความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ…ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านกระบวนการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและความรักของพวกเขาต่อพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) หลังจากอ่านพระวจนะนี้ ฉันก็ตระหนักได้ ว่าการที่สามีขู่ฉันด้วยการหย่า เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ตอนที่โยบก้าวผ่านการทดสอบของเขา โจรได้เอาทุกอย่างของเขาไป และลูกๆ ของเขาก็สิ้นชีวิต ตัวของเขาเต็มไปด้วยตุ่มฝี และนั่งอยู่ในกองขี้เถ้า ภรรยาของเขาก็ปฏิเสธ บอกให้เขาเลิกเชื่อและตายไปซะ เพื่อนของเขาก็ตัดสินและล้อเลียนเขา ในการเผชิญหน้ากับการทดสอบและความทุกข์ทรมานทั้งหมดนี้ โยบก็ยังคงสรรเสริญพระเจ้า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) นี่คือความเชื่อแท้จริง ครั้งหนึ่ง ฉันปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าไม่ว่ายังไง ฉันก็จะติดตามพระเจ้าต่อไป แต่พอเจอการปฏิบัติจากสามีที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของฉันเอง ฉันก็ติดอยู่ในความคิดลบและความเจ็บปวด ฉันเห็นว่า ตัวเองไม่ได้มีความเชื่อแท้จริงในพระเจ้า สามีข่มขู่ฉันด้วยการหย่าร้าง เพื่อทำให้ฉันทรยศและละทิ้งพระเจ้า ฉันตกเป็นเหยื่อในแผนการของซาตานไม่ได้ค่ะ ไม่ว่าฉันจะเผชิญกับการทดสอบรูปแบบไหน ฉันก็รู้ว่า ฉันต้องติดตามพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยาน และนำความอัปยศมาสู่ซาตานให้ได้
สองสามวันต่อมาฉันก็ได้งาน ฉันเลยซื้อบัตรอินเตอร์เน็ตเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ของตัวเองได้ค่ะ ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก ต่อมา ฉันเซ็นเอกสารการหย่าด้วยใจสงบ และได้รับอิสรภาพเต็มที่จากการจำกัดของสามี ฉันปฏิบัติความเชื่อของตัวเองได้อย่างอิสระ ฉันทำหน้าที่และเผยแผ่ข่าวประเสริฐต่อไป และถึงแม้การเงินของฉันจะฝืดเคืองกว่าแต่ก่อน ฉันก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างไร้กังวลค่ะ ฉันมีความเพลิดเพลินและสันติสุข และฉันก็รู้สึกว่าการติดตามพระเจ้าและเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นหนทางการใช้ชีวิตที่มีความหมายที่สุด! ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอนุญาตให้ฉันได้ยืนหยัดเป็นพยานที่แนวหลัง ในการต่อสู้ทางจิตวิญญาณ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ไฉ่น่า ประเทศจีน ฉันกับสามีโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน เราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าตามครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก พอแต่งงาน ฉันก็เปิดคลินิก...
โดย หาน เฉิน, ประเทศจีน สองสามปีก่อน ฉันถูกจับฐานประกาศข่าวประเสริฐ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ให้ฉันจำคุกสามปีข้อหา...
โดย Yangmu, มาเลเซีย ฉันเคยเคารพศิษยาภิบาลลี่ ที่คริสตจักรเก่ามากๆ ค่ะ เขายอมทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงาน และเดินทางไปทั่ว...
โดย รุ่ย จื้อ, ประเทศจีน ตอนแรกที่ตัดสินใจมาเชื่อ สามีฉันบอกว่า การมีความเชื่อนั้นยอดเยี่ยม บางครั้งเขาก็ไปร่วมชุมนุมกับฉันด้วย แล้ววันที่...