ทำไมการยอมรับหนทางที่แท้จริงจึงมีอุปสรรคมากมายนัก
ในปี 2008 ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตามแม่ และหลังจากนั้น ฉันก็เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมที่คริสตจักรท้องถิ่น ต่อมา...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายในปี 2019 จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงเผยความจริงและความล้ำลึกมากมาย ที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน มันแปลกใหม่และสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก และดับความกระหายในหัวใจฉัน ฉันเริ่มมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา หลังจากนั้น ฉันมักจะเข้าร่วมการชุมนุมและประกาศข่าวประเสริฐ
สองเดือนต่อมา น้องชายกับน้องสะใภ้รู้เรื่องความเชื่อของฉัน น้องสะใภ้ของฉันเป็นคนจีนและทำงานให้รัฐบาล ส่วนน้องชายฉันก็ไปจีนกับเธอ ข่าวลือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนชักพาพวกเขาให้หลงผิดและต่อต้านความเชื่อในพระเจ้าของฉันอย่างรุนแรง พวกเขาพูดหลายอย่างที่ใส่ร้ายป้ายสีและหมิ่นประมาทพระเจ้า และยังข่มขู่ฉันว่า “ถ้าพี่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในจีน พี่จะถูกจับนะ รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะจับผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกคนที่เจอ ไม่ให้รอดแม้แต่คนเดียว” นั่นมีผลอะไรกับคุณไหมคะ? ไม่ค่ะ ยิ่งพวกเขาพูดแบบนี้ ฉันก็ยิ่งเห็นความจริงว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อต้านพระเจ้าและข่มเหงคริสตชนอย่างไร และฉันได้เข้าใจสถานการณ์ที่ลำบากยากเย็นของพี่น้องชายหญิงที่เชื่อในพระเจ้าในจีน ฉันจำได้ที่พี่น้องชายหญิงเคยสามัคคีธรรมว่า หนทางที่แท้จริงถูกข่มเหงมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเมื่อพระเจ้าทรงปรากฏเพื่อทรงพระราชกิจ ก็ย่อมถูกกองกำลังของซาตานข่มเหง ยิ่งพวกเขาข่มเหงฉัน ฉันก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พี่น้องชายหญิงได้แบ่งปันพระวจนะของพระเจ้ากับฉันด้วย “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์ แต่เบื้องหลังทุกขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่ก็ทำให้ผู้คนต้องตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังทำการเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) ฉันเข้าใจว่าเมื่อดูจากภายนอก เป็นน้องชายกับน้องสะใภ้ที่ขัดขวางการเชื่อในพระเจ้าของฉัน แต่ในความเป็นจริง เป็นซาตานที่ก่อกวน เมื่อพระเจ้าทรงช่วยคนให้รอด ซาตานจะทำทุกวิถีทางเพื่อก่อกวนและขัดขวางพวกเขา โดยพยายามลากเราลงนรกไปกับมัน ฉันจะหลงกลซาตานไม่ได้ ฉันต้องตั้งมั่นในคำพยานและติดตามพระเจ้า ฉันยังได้ดูวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงชาวจีน ที่ตั้งมั่นในคำพยานของตัวเองขณะถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหงด้วย ฉันเห็นว่าไม่ว่าเนื้อหนังของพวกเขาจะทนทุกข์เพียงใด พวกเขายังติดตามพระเจ้าอย่างแน่วแน่ ถึงขั้นสละชีวิตเพื่อตั้งมั่นในคำพยานของตัวเอง ฉันรู้สึกมีกำลังใจมาก พวกเขาไม่อ่อนข้อให้ซาตานแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เจ็บปวดเช่นนั้น การข่มเหงที่ฉันเผชิญอยู่จึงเทียบไม่ได้เลย ขอบคุณพระเจ้า! ได้ยินมาว่าต่อมาสามีคุณก็เริ่มข่มเหงคุณด้วยเหรอคะ? ใช่ค่ะ
พอเห็นว่าโน้มน้าวฉันไม่ได้ น้องชายกับน้องสะใภ้ก็ไปเกณฑ์คนทั้งครอบครัวมาช่วยเกลี้ยกล่อมให้ฉันละทิ้งความเชื่อ สามีของฉันหลงเชื่อข่าวลือที่ไม่มีมูล และเริ่มต่อต้านฉันด้วย พอเห็นฉันร่วมการชุมนุมออนไลน์และเข้าเว็บไซต์ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาก็มักจะปลดสายอินเทอร์เน็ตและล็อกประตูห้องไม่ให้ฉันเข้าไป เขายังพูดด้วยว่า “ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป เราจะหย่ากัน! ออกไปจากบ้านนี้ซะ!” ฉันพูดว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดที่เชื่อในพระเจ้า ทำไมคุณต้องขัดขวางฉันด้วย? ต่อให้ต้องออกจากบ้านนี้ ฉันก็จะยังเชื่อในพระเจ้า!” ฉันจึงไปอยู่ที่บ้านเพื่อน หลังจากนั้นไม่นาน สามีกับน้องสาวตามหาฉันจนเจอ แล้วผลัดกันต่อว่าฉัน พยายามขัดขวางฉันไม่ให้เชื่อในพระเจ้า ฉันพูดด้วยความโกรธว่า “ฉันไม่มีเสรีภาพในการเชื่อเลยหรือไง? พวกคุณมีสิทธิ์อะไรมาควบคุมชีวิตฉัน?” พ่อก็โทรมาโน้มน้าวฉันด้วย พอเห็นว่าฉันแน่วแน่มาก พ่อก็บอกให้สามีมัดฉันแล้วทุบตีฉัน บอกว่าจะรับผิดชอบผลที่ตามมาถ้าฉันถูกทุบตีจนตาย พ่อคุณพูดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ? แล้วสามีคุณมีท่าทียังไงคะ? สามียึดบัตรธนาคารของฉันไป ทุบโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ของฉัน แล้วก็ลากฉันกลับบ้าน พอเห็นสีหน้าโหดเหี้ยมของพวกเขา ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่เหมือนครอบครัวฉันเลย ตั้งแต่วินาทีที่พวกเขารู้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาก็รวมหัวกันข่มเหงฉันด้วยวิธีการสารพัด พวกเขาพร้อมที่จะทุบตีฉันจนตายเพื่อห้ามไม่ให้ฉันเชื่อ ฉันเห็นว่าพวกเขาเป็นมาร เป็นศัตรูของพระเจ้า
วันรุ่งขึ้น สามีพาฉันไปที่บ้านพ่อแม่ฉัน แม่กลัวว่าฉันจะหนี จึงคอยจับตาดูฉันและไม่เคยห่างฉันเลย เวลาฉันอาบน้ำหรือเข้าห้องน้ำ แม่จะยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก แม่ให้หลานสาวฉันนอนเฝ้าฉันด้วย ตอนกลางคืน ทันทีที่ฉันเปิดไฟ แม่ก็จะรีบมาเคาะประตูห้องเพื่อดูว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ งั้นคุณถูกกักบริเวณในบ้าน ค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนติดคุก คุณคงจะทุกข์ใจมากเลยนะคะ ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่ได้ชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงมาก ฉันดูออกว่าพระราชกิจของพระเจ้าใกล้จบแล้ว และถ้าฉันไม่สามารถร่วมการชุมนุม กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือทำหน้าที่ตัวเอง ฉันจะถูกกำจัดไม่ใช่เหรอ? ฉันร้อนใจมากและอยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุดเพื่อจะได้เชื่อพระเจ้าได้อย่างอิสระ ต่อมา พ่อแม่ให้ฉันไปทำงานในสวนส้มกับพี่ชายและพี่สะใภ้ พวกเขาจะได้เฝ้าดูฉัน พี่สะใภ้ไม่พยายามขัดขวางความเชื่อของฉันมากนัก ขณะที่เราทำงานตอนกลางวัน ฉันเลยใช้เน็ตโทรศัพท์เธอเพื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจที่ทรงเปิดทางออกให้ฉัน ขอบคุณพระเจ้า! ในตอนนั้น มีพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กินใจฉันมาก “หลังจากที่โยบก้าวผ่านบททดสอบสองครั้งนี้แล้ว ชีวิตของเขาก็มีประสบการณ์ที่เข้มข้นขึ้น และประสบการณ์นี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่และช่ำชองมากยิ่งขึ้น มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และมีความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และมันทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้นในความชอบธรรมและความมีคุณค่าของความซื่อสัตย์ที่เขาได้ยึดมั่น บททดสอบที่พระยาห์เวห์พระเจ้าประทานแก่โยบทำให้เขาสามารถมีประสบการณ์ได้อย่างลึกซึ้งและรู้สึกถึงความเอาใจใส่ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ทั้งยังเปิดโอกาสให้เขารู้สึกว่าความรักของพระเจ้านั้นล้ำค่า ซึ่งจุดนี้ทำให้ความยำเกรงที่เขามีต่อพระเจ้ามีทั้งการคิดคำนึงถึงพระเจ้าและความรักต่อพระองค์ บททดสอบของพระยาห์เวห์พระเจ้าไม่เพียงไม่ได้ขับโยบออกห่างจากพระองค์เท่านั้น แต่กลับพาหัวใจของโยบมาใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นอีกด้วย เมื่อความเจ็บปวดทางเนื้อหนังที่โยบทนฝ่าได้ไปถึงจุดสูงสุดของมัน ความห่วงใยที่เขาได้รู้สึกจากพระยาห์เวห์พระเจ้าก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งวันที่เขาเกิด การประพฤติเช่นนั้นไม่ได้เกิดจากการวางแผนระยะยาว แต่เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงการคิดคำนึงและความรักที่เฝ้าชื่นชูพระเจ้าจากภายในหัวใจของเขา เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติที่มาจากการคิดคำนึงและความรักของเขาที่เฝ้าชื่นชูพระเจ้า กล่าวคือ เนื่องจากเขาเกลียดชังตัวเขาเอง และเขาไม่เต็มใจและทนไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าเจ็บปวด ด้วยเหตุนี้การคิดคำนึงและความรักชื่นชูของเขาจึงมาถึงจุดที่เขาละทิ้งตนเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) เมื่อโยบเผชิญการทดลองและการโจมตีของซาตาน เขาสูญเสียลูกทุกคน และทรัพย์สินก็ถูกริบไป ร่างกายก็เต็มไปด้วยฝี และเขาเจ็บปวดแสนสาหัส เพราะเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เขาจึงไม่พูดจาล่วงเกินพระองค์ แต่กลับอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระองค์ เขารู้สึกว่าพระทัยของพระเจ้าอยู่กับเขายามทุกข์ และสัมผัสถึงความห่วงใยที่ทรงมีต่อมนุษย์ โยบไม่อาจทนทำให้พระเจ้าเจ็บปวดได้ ถึงขั้นยอมแช่งวันที่ตัวเองถือกำเนิดก่อนที่จะบ่นเรื่องพระเจ้า สุดท้ายเขาตั้งมั่นในคำพยานของตน โดยกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ไม่ว่าเพื่อนและภรรยาจะเยาะเย้ยเขาอย่างไร โยบยังยึดมั่นในความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า คำพยานของเขาทำให้ซาตานอับอายจนล่าถอย และมันกล่าวหาเขาไม่ได้อีก เมื่อนึกถึงตัวเอง เวลาเกิดเรื่องขึ้นกับฉัน ฉันไม่รู้วิธีพึ่งพาพระเจ้าเพื่อมองอุบายของซาตานให้ออก และฉันไม่ได้แสวงหาเจตนารมณ์อันอุตสาหะของพระเจ้า แต่ฉันกลับรู้สึกคัดค้านและบ่นว่า ฉันไม่ได้เป็นคำพยานเลย และถูกซาตานหัวเราะเยาะ ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าครอบครัวจะข่มเหงฉันยังไง ฉันก็มุ่งมั่นที่จะเรียนรู้จากโยบ ตั้งมั่นในคำพยาน และทำให้ซาตานอับอาย ประสบการณ์ถูกครอบครัวข่มเหงทำให้เนื้อหนังของเราต้องทนรับความยากลำบากอยู่บ้าง แต่พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ ถ้าพึ่งพาพระเจ้า เราจะมีความเชื่อที่จะเผชิญทุกสิ่ง
แต่นานเข้า ฉันก็มีช่วงเวลาที่อ่อนแอเหมือนกัน ทุกวันฉันไปทำงานในสวนส้มกับพี่ชายและพี่สะใภ้ เมื่อเห็นว่าพวกเขารักกันมาก และครอบครัวพวกเขามีความสุขและกลมเกลียวกัน ฉันก็อดอิจฉาพวกเขาไม่ได้ ฉันคิดในใจว่า ทำไมฉันถึงมีชีวิตครอบครัวปกติไม่ได้? พอคิดน้ำตาก็ไหลอาบแก้มอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันยืมโทรศัพท์ของพี่สะใภ้และเปิดเพลงนมัสการพระวจนะของพระเจ้าเบาๆ ฉันบังเอิญได้ยินเพลง “เจ้าควรละทิ้งทั้งหมดเพื่อความจริง”
1 ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และในฐานะบุคคลซึ่งเสาะหาพระเจ้า เจ้าต้องสามารถพิจารณาและจัดการชีวิตของเจ้าได้อย่างรอบคอบ—คำนึงว่าเจ้าควรถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรมีความเชื่อที่เปี่ยมความหมายยิ่งขึ้นในพระเจ้าอย่างไร และด้วยความที่เจ้ารักพระเจ้า เจ้าควรรักพระองค์ในหนทางที่บริสุทธิ์มากขึ้น งดงามมากขึ้น และดีงามมากขึ้นอย่างไร วันนี้ เจ้าไม่สามารถเพียงรู้สึกพอใจกับวิธีที่เจ้าถูกพิชิตเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาด้วยว่าเจ้าควรเดินไปบนเส้นทางที่ทอดอยู่หน้าตัวเจ้าอย่างไร เจ้าต้องมีปณิธานและความกล้าที่จะถูกทำให้มีความเพียบพร้อม เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องพลีอุทิศตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์อีกมากเพื่อให้ได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ
2 เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อที่จะสุขสำราญกับความกลมเกลียวในครอบครัว และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อตรงที่มีมาทั้งชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วคราว เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตเป็นโลกียวิสัยและเป็นทางโลกเช่นนั้น และไม่มีเป้าหมายใดให้ไล่ตามเสาะหา นี่ย่อมเป็นการใช้ชีวิตของเจ้าอย่างสูญเปล่าไม่ใช่หรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อตรงหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา
ในหัวใจฉันรู้สึกฮึกเหิมมาก ใช่แล้ว ฉันเลิกไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อความสุขทางเนื้อหนังนิดหน่อยไม่ได้ ถ้าฉันกลับไปหาสามีและลูก สามีจะข่มเหงฉันต่อไปอย่างแน่นอน และฉันก็จะไม่มีโอกาสได้เชื่อในพระเจ้า พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงเพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยผู้คนให้รอด และปิดฉากยุคนี้ ถ้าผู้คนไม่ได้รับความจริง พวกเขาจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอด และสุดท้ายจะตกอยู่ในความวิบัติและถูกทำลาย เหลือเวลาไม่มากแล้ว ฉันต้องรีบไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าครอบครัวจะมีความสุขแค่ไหน ก็ไม่จีรัง การไม่ได้รับความจริงคือความทุกข์และการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อีกอย่าง สามีข่มเหงฉันเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า เราพูดจากันคนละภาษา ไม่มีความสุขหรอกหากต้องฝืนอยู่ด้วยกัน เมื่อคิดอย่างนี้ ฉันก็รู้สึกโล่งใจมาก อาเมน นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน” ญาติที่ไม่มีความเชื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ทางโลก ขณะที่เราไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้าและเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง สองเส้นทางนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
บ่ายวันหนึ่ง พี่ชายคนโตกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งของฉัน เขาบอกว่าเขาไปหาหมอผีเพื่อไล่ผีให้ฉัน และบอกให้ฉันใส่เสื้อผ้าชิ้นนั้นทันทีเพื่อที่ฉันจะได้หายป่วย ฉันปฏิเสธ ครอบครัวฉันพูดว่า “ไม่ต้องใส่ก็ได้นะ ถ้าเธอพูดว่าจะเลิกเชื่อในพระเจ้า วันนี้เธอจะได้กลับบ้าน” พ่อคว้าท่อนไม้หนาเท่าแขนฉัน และพูดด้วยสีหน้าถมึงทึงว่า “พ่อไม่เคยตีแกมาก่อน แต่วันนี้พ่อจะตีแกให้ตาย จนกว่าแกจะเลิกเชื่อในพระเจ้า!” เกิดมาฉันไม่เคยเห็นพ่อโกรธขนาดนั้น ฉันกลัวมาก ไม้ท่อนนั้นหนามาก ถ้าพ่อใช้มันตีฉันจริงๆ กระดูกฉันอาจจะหักได้ ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า นึกถึงว่าซาตานได้ทดลองและโจมตีโยบหลายครั้ง แต่โยบก็ยังคงยึดมั่นในความเชื่อในพระเจ้าและตั้งมั่นในคำพยาน สุดท้ายทำให้ซาตานต้องอับอายและพ่ายแพ้ ตอนนี้ซาตานก็โจมตีฉันอย่างไม่ลดละ พยายามทำลายความเชื่อในพระเจ้าทีละน้อยและทำให้ฉันทรยศพระองค์ ฉันจะหลงกลของซาตานไม่ได้ ในตอนนั้น ท่อนหนึ่งจากเพลงนมัสการถูกสลักในใจฉันอย่างชัดเจนว่า “ฉันไม่อาจล้มเลิกความแน่วแน่ของตนที่จะติดตามพระเจ้าและได้รับความจริง หากฉันล้มเลิกความแน่วแน่นี้ นั่นก็จะเหมือนการยอมจำนนต่อซาตาน ทำลายตัวฉันเอง และทรยศพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงมีชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้บ่อยครั้งเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระองค์) พระวจนะของพระเจ้าท่อนนี้ทำให้ฉันมีความเชื่อและแข็งแกร่งมาก ฉันจะยอมอ่อนข้อให้ซาตานไม่ได้เด็ดขาด ทันใดนั้น พ่อฉันก็เดินถือท่อนไม้เข้ามา กำลังจะตีฉัน แม่ฉันที่เพิ่งกลับมาจากไร่ ก็กระโจนเข้ามาขวางหน้าฉัน กันพ่อไว้ แล้วพยายามโน้มน้าวให้ฉันเลิกเชื่อ หลานชายฉันพูดว่า “ถ้าป้าจะไม่เลิกเชื่อ ก็อย่าหาว่าพวกเราใจร้ายนะ เราจะจับป้าแขวนไว้สามวันสามคืน แล้วดูซิว่าป้าจะยังเชื่ออยู่ไหม!” ทั้งครอบครัวเห็นด้วยที่จะจับฉันแขวน ฉันโกรธมาก นี่เป็นครอบครัวฉันได้ยังไง? พวกเขาเป็นเหมือนมาร ฉันพูดอย่างหนักแน่นว่า “ฉันมุ่งมั่นที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” ไม่นึกเลยว่าหลังจากประกาศจุดยืนต่อหน้าครอบครัว พวกเขาจะหยุดพูดไปเลย ฉันรู้ว่าซาตานได้อับอายและพ่ายแพ้ไปแล้ว และฉันรู้สึกถึงความหอมหวานในหัวใจที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ขอบคุณพระเจ้า!
หลังจากนั้น ครอบครัวยังคงกักบริเวณฉันไว้ในบ้าน แต่ฉันเลิกบ่นในใจแล้ว ฉันเต็มใจที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เมื่อไหร่ก็ตามที่ครอบครัวฉันไม่ทันสังเกต ฉันจะใช้โทรศัพท์ของพี่สะใภ้เข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า แล้วคุณออกจากบ้านไปทำหน้าที่เมื่อไหร่? ครั้งหนึ่งครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านจัดงานเลี้ยงแต่งงาน ทั้งครอบครัวฉันไปร่วมงาน และฉันก็ฉวยโอกาสหนีออกมา ในที่สุดตอนนี้ฉันก็เชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
ในปี 2008 ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตามแม่ และหลังจากนั้น ฉันก็เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมที่คริสตจักรท้องถิ่น ต่อมา...
โดย Jingmo, มาเลเซีย ตลอด 22 ปีที่ฉันเป็นคริสเตียนมา หน้าที่รับผิดชอบหลักของฉันคือการเงินของคริสตจักรและโรงเรียนวันอาทิตย์ ในเดือนพฤษภาคม...
โดย เสี้ยว ฉือ, พม่า เดือนกันยา 2020 ผมได้พบพี่คนหนึ่งทางออนไลน์ เธอบอกผมว่าองค์พระเยซูเจ้าได้กลับมาเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์...
โดย เสียวเฉ่า, ประเทศจีน เดือนมกราคมปี 2012 เพื่อนบ้านแบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับฉัน...