แขวนอยู่บนเส้นด้าย

วันที่ 10 เดือน 01 ปี 2021

โดย Zhang Hui, ประเทศจีน

ในปี 2005 ไม่นานหลังจากผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายคนหนึ่งจากคริสตจักรเดิมของผม แล้วบ่ายวันหนึ่ง ศิษยาภิบาลหลี่กับเพื่อนร่วมงานหวังก็โผล่มาที่บ้านผม หัวใจผมเต้นแรง นึกสงสัยว่า “พวกเขามาทำไมนะ พวกเขารู้ไหมว่าผมยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว เมื่อคนของคริสตจักรคนอื่นๆ ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกนั้นก็เริ่มต้นข่าวลือ คุกคามพวกเขา และทำให้ครอบครัวคัดค้านความเชื่อของพวกเขา พวกนั้นจะใช้กลยุทธ์แบบไหนกับผมนะ” แป๊บเดียวลูกชายกับลูกสาวผมก็โผล่มา ผมงงเลยละครับ ลูกๆ เคยบอกผมว่าพวกเขายุ่งมาก แล้วทำไมวันนี้ถึงมากันทั้งคู่เลยล่ะ ศิษยาภิบาลหลี่จัดการเตรียมการเรื่องนั้นหรือเปล่า ผมตระหนักได้ว่าพวกเขาเตรียมตัวเรื่องนี้มาล่วงหน้า ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าทันที “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับข้าพระองค์บ้าง วุฒิภาวะของข้าพระองค์ยังอ่อนด้อยเกินไปที่จะรู้ว่าจะเผชิญเรื่องนี้ยังไง โปรดทรงนำข้าพระองค์และทรงช่วยข้าพระองค์ให้คงความเข้มแข็งบนหนทางที่แท้จริงด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานผมก็รู้สึกสงบลง

ตอนนั้นเอง ศิษยาภิบาลหลี่ยิ้มและพูดว่า “พี่น้องจาง ผมได้ยินมาว่าคุณยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้ว จริงหรือเปล่า ไม่ว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกจะมีความจริงมากแค่ไหน เราก็ไม่สามารถยอมรับมันได้ เราทั้งหมดเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานหลายปี และได้ประกาศเพื่อพระองค์ เราทั้งหมดรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนและกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ซึ่งได้ไถ่เราจากบาปของเรา เราต้องค้ำจุนพระนามและหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอ เราไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าอื่นใดได้ การไปจากองค์พระเยซูเจ้าและเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือคุณกำลังทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่เหรอ”

ผมไม่สะทกสะท้าน และพูดอย่างเยือกเย็น “อาจารย์หลี่ครับ เราต้องมองแบบไม่มีอคติและสัมพันธ์กับชีวิตจริง เราต้องดูตามหลักฐาน และไม่ไปกล่าวโทษโดยพลการนะครับ คุณยังไม่ได้สอบสวนหนทางของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เลย แล้วคุณสรุปได้ยังไงว่าผมกำลังทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกล่ะครับ คุณรู้ไหมว่าความจริงนั้นมาจากไหน คุณรู้ไหมว่าใครแสดงให้เห็นถึงความจริง องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต(ยอห์น 14:6) พระเจ้าทรงเป็นที่มาของความจริง คุณพูดได้ยังไงครับว่าไม่ว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกจะมีความจริงมากแค่ไหน เราก็ไม่สามารถยอมรับมันได้ นั่นเป็นการจงใจต่อต้านความจริง และต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่เหรอครับ เราจะนับเป็นผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เหรอครับ ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมายในช่วงหลังมานี้ และผมได้เห็นว่าพระวจนะเหล่านี้ทั้งหมดเป็นความจริง เห็นว่าพระวจนะเหล่านี้เปิดเผยความจริงและความลึกลับมากมาย การต่อสู้ดิ้นรนทั้งหมดของผมในความเชื่อตลอดหลายปี ได้รับการขจัดข้อสงสัยผ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ครับ ผมเชื่ออย่างหนักแน่นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า การติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าครับ! คุณพูดว่าความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นการทรยศองค์พระเยซูเจ้า นั่นสอดคล้องกับความจริงไหมครับ ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ คนมากมายก็ออกจากวิหารเพื่อติดตามพระองค์ นั่นแปลว่าพวกเขาทรยศพระยาห์เวห์พระเจ้าไหมครับ แม้ว่าพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า จะต่างจากพระราชกิจแห่งการประกาศธรรมบัญญัติที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำไว้ และพระนามของพระเจ้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แต่องค์พระเยซูเจ้ากับพระยาห์เวห์ก็ทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งองค์เดียวกัน ด้วยการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาไม่ได้ทรยศพระยาห์เวห์พระเจ้า แต่พวกเขากำลังติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกและได้รับความรอดของพระเจ้าครับ ที่จริงแล้ว บรรดาผู้ที่เชื่อในพระยาห์เวห์พระเจ้าแต่ไม่ได้ยอมรับองค์พระเยซูเจ้า ก็คือคนที่ละทิ้งพระเจ้าและทรยศพระองค์ครับ พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นแตกต่างจากขององค์พระเยซูเจ้าและพระนามของพระเจ้าก็ได้เปลี่ยนไป แต่ทุกพระองค์ก็เป็นพระเจ้าองค์หนึ่งเดียวกัน พระเจ้าแค่ทรงพระราชกิจที่ต่างกันในแต่ละยุคสมัย องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ ซึ่งแค่อภัยบาปของเราเท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงแก้ไขธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของมวลมนุษย์ นั่นเป็นเหตุผลที่พระองค์ทรงสัญญาว่าจะเสด็จมาอีกครั้งเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาเราบนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อแก้ไขอุปนิสัยแบบซาตานและธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของเรา และช่วยเราให้รอดจากบาปอย่างสมบูรณ์เพื่อให้พระเจ้าทรงรับเราได้ พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงอย่างสมบูรณ์ ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของผมไม่ใช่การทรยศองค์พระเยซูเจ้า มันเป็นการติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกครับ การเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าโดยไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะไม่ทำให้เราเป็นเหมือนพวกฟาริสี ที่เพียงเชื่อในพระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้นและไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้าหรอกเหรอครับ คนแบบนั้นแหละที่ต่อต้านและทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า! พวกคุณควรตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้แน่ชัด และมองให้เห็นด้วยตัวเองว่าพระวจนะของพระองค์เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ อย่าตัดสินและกล่าวโทษโดยพลการ ไม่อย่างนั้นคุณอาจถูกประณามเพราะต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้านะครับ!”

ศิษยาภิบาลหลี่ดูอึดอัดมาก ดังนั้นเพื่อนร่วมงานหวังจึงรีบไกล่เกลี่ยว่า “เราไม่ยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกและไม่ต้องการให้คนของเราเข้าไปมีส่วนร่วม เพื่อปกป้องคริสตจักร เพื่อคอยดูแลฝูงแกะ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประณามเราเรื่องนั้นได้ยังไง ศิษยาภิบาลหลี่รู้สึกถึงภาระรับผิดชอบในชีวิตของคุณ เขาไม่อยากให้คุณเลือกเส้นทางที่ผิดนะครับ! คุณเป็นเพื่อนร่วมงาน และคุณได้ทำเพื่อคริสตจักรมาเยอะมาก ทุกคนเคารพและเชื่อใจคุณ พวกเขาจะผิดหวังมาก ถ้าคุณออกไปเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” ศิษยาภิบาลหลี่รีบพูดเสริม “เพื่อนร่วมงานหวังพูดถูก คุณทำงานหนักมากมาตลอดหลายปี ถ้ายอมทิ้งชื่อที่คุณสร้างไว้ให้ตัวเอง มันก็คงจะ น่าเสียดายนะ! กลับมาเถอะครับ ทุกคนกำลังรอคุณอยู่ คริสตจักรของเราจัดตั้งบ้านพักคนชราไว้แล้ว เราสร้างเครือข่ายกับกลุ่มศาสนาในต่างประเทศ และพวกเขาก็ให้การสนับสนุนทางการเงินกับเรา ถ้าคุณกลับมา เราจะจัดรถยนต์ให้คุณคันหนึ่งทันที ถ้าคุณอยากบริหารบ้านพักคนชรา หรือบริหารคริสตจักร หรือคอยดูแลการเงินของคริสตจักรต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับคุณทั้งหมดเลย”

ยิ่งผมฟังพวกเขามากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ผู้เชื่อพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน แล้วการทดลองของมารต่อองค์พระเยซูเจ้าในพระคัมภีร์ก็ผุดขึ้นในใจ: “อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า ‘ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน’” (มัทธิว 4:8-9) สิ่งทั้งหมดนั่นที่พวกเขาพูดออกมาให้ความรู้สึกเดียวกัน ลักษณะเดียวกันกับสิ่งที่ซาตานพูดไว้เลยไม่ใช่เหรอครับ “นี่เป็นอุบายของซาตาน!” ผมคิด “พวกเขากำลังล่อลวงฉันให้ออกห่างจากหนทางที่แท้จริงด้วยสถานะและเงินทอง ให้ทรยศพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขากำลังพยายามวางกับดักฉัน ให้ฉันติดกับ!” ผมเป็นผู้เชื่อมามากกว่า 10 ปี และโชคดีมากที่ได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมรู้ว่าผมไม่สามารถเข้าพวกกับซาตานและทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ดังนั้นผมจึงพูดว่า “ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและพบหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แล้ว ผมเลือกติดตามพระเจ้า พวกคุณอย่าเปลืองแรงพูดเลย ผมจะไม่แยกจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ครับ”

แล้วลูกสาวของผมก็เริ่มร้องไห้และพูดว่า “พ่อคะ ฟังหนูสักนิดนะคะ! แม่เพิ่งจะจากไป เราเป็นทุกข์มาพอแล้ว หากพ่อเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกและถูกขับไล่จากคริสตจักร พี่น้องชายหญิงจะรังเกียจเราไปด้วย!” ผมไม่ชอบเห็นลูกสาวร้องไห้แบบนั้น ความขัดแย้งภายในที่รุนแรงพลุ่งขึ้นในตัวผม “ถ้าพ่อยอมกลับเข้าคริสตจักรอีกครั้ง พ่อจะไม่ถูกรังเกียจและรักษาตำแหน่งของพ่อไว้ได้ แต่นั่นจะเป็นการปิดประตูใส่องค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นจะเป็นการทรยศที่ร้ายแรง!” ไม่มีทางเลือกที่ง่ายเลย ท่ามกลางความเจ็บปวดนี้ ผมร้องหาพระเจ้าอย่างเงียบๆ ว่า “โอ้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขอพระองค์ประทานความเชื่อและพละกำลังให้ข้าพระองค์หลีกเลี่ยงการถูกรบกวน เพื่อให้ข้าพระองค์ยืนหยัดและติดตามพระองค์อย่างเด็ดเดี่ยวได้” ตอนนั้นเองที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ผมอ่านเมื่อสองสามวันก่อนผุดขึ้นในใจ “พวกเจ้าต้องตื่นและรอคอยอยู่เสมอ และเจ้าต้องอธิษฐานต่อหน้าเราให้มากขึ้น เจ้าต้องระลึกรู้ถึงแผนร้ายสารพัด และกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน ระลึกรู้ถึงจิตวิญญาณทั้งหลาย รู้จักผู้คน และมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 17) พระวจนะของพระเจ้าให้พละกำลังแก่ผม และเตือนผมว่าผมจำเป็นต้องฉลาดตัดสินใจ กลอุบายของซาตานอยู่เบื้องหลังสิ่งที่ผมเผชิญในวันนั้น ซาตานใช้สถานะและสายใยครอบครัวเพื่อพยายามล่อใจและโจมตีผม รบกวนจิตใจผม โดยมีเป้าหมายให้ผมทรยศพระเจ้า ผมจะตกหลุมพรางของซาตานไม่ได้! ผมพูดกับลูกๆ “พ่อตรวจสอบดูแล้วและทุกอย่างก็ชัดเจน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าที่แท้จริง และพระวจนะกับพระราชกิจของพระองค์เป็นหนทางที่แท้จริง เราโหยหาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมากตลอดหลายปีมานี้ ตอนนี้เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาและกำลังทรงแสดงความจริงเพื่อพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ เราต้องตามพระราชกิจของพระองค์ให้ทัน และยอมรับการพิพากษาและการชำระให้สะอาดของพระเจ้า เพื่อให้เราหนีความวิบัติและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เราไม่ควรกลัวการถูกคนอื่นไม่ยอมรับ แต่ควรกลัวการถูกองค์พระผู้เป็นเจ้ากำจัดทิ้ง และพลาดโอกาสถูกรับขึ้นไป ตอนนั้นเราจะร้องไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในความวิบัติครั้งใหญ่หลวง! พวกคุณควรลองอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นะ พวกคุณจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะเหล่านั้น แล้วคุณจะสามารถยืนยันได้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย!” ลูกๆ ของผมเลิกดึงดันต่อ และผมขอบคุณสำหรับการทรงนำของพระเจ้าอย่างเงียบๆ

พวกเขาไม่เปลี่ยนความคิด แต่กลับไปอย่างขุ่นเคือง สองสามวันหลังจากนั้นพวกเขาก็กลับมาเพื่อชักชวนให้ผมแต่งงาน ศิษยาภิบาลหลี่พูดว่า “คุณเพิ่งเสียภรรยาไป ลูกสาวของคุณก็แต่งงานแล้ว และลูกชายของคุณก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน คุณคงจะลำบากมากที่ต้องอยู่ตามลำพัง คุณควรจะมีใครสักคนอยู่ด้วยเพื่อทำอาหารให้คุณนะ พี่น้องหวังที่คริสตจักรก็โสดเหมือนกัน เธอร่ำรวย เป็นที่ชื่นชอบ และกระตือรือร้นในความเชื่อของเธอ จะยอดเยี่ยมแค่ไหนถ้าคุณสองคนได้มาอยู่ด้วยกัน คอยดูแลกันและกัน และรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกัน” คืนนั้นพี่น้องหวังโทรหาผม และเธอเฝ้ารบเร้าให้ผมเลิกเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เธอยังพูดด้วยว่าถ้าผมขาดเงินสำหรับงานแต่งงานของลูกชาย ก็บอกเธอได้เลย การได้ยินแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกร้าวรานมาก ตอนที่ภรรยาของผมป่วยและนอนติดเตียง ลูกสาวของเราก็ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ในขณะที่ไปรับยาให้เธอ จนถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล พี่น้องหวังมาดูแลทั้งภรรยาและลูกสาวของผม ผมรู้สึกขอบคุณเธอมาตลอด หากผมไม่ฟังคำแนะนำของพี่น้องหวัง จะเป็นการทำร้ายความรู้สึกเธอไหม แต่ด้วยการคล้อยตามเธอเพื่อปกป้องความสัมพันธ์ของเรา ผมก็จะทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมว้าวุ่นใจมาก และอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ปฏิเสธเธอไปอย่างนิ่มนวล

วันหนึ่ง ศิษยาภิบาลหลี่มาพบผม ในขณะที่ผมกำลังทำงานในทุ่งนา เขาพูดว่า “พี่น้องจาง ถ้าไม่คิดถึงตัวเอง ก็คิดถึงลูกๆ สิครับ ลูกชายของคุณเพิ่งหมั้นหมาย และทั้งครอบครัวของคู่หมั้นของเขาก็เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า หากพวกเขาพบว่าคุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจะยังให้เธอแต่งงานเข้าบ้านคุณอีกเหรอ แบบนั้นจะไม่เป็นหายนะสำหรับการแต่งงานของลูกชายคุณเหรอครับ คุณควรคิดให้ดีๆ นะ” พอได้ฟังผมก็คิดว่า “นี่คุณเอาการแต่งงานของลูกชายมาข่มขู่ผม เพื่อกันผมจากหนทางที่แท้จริง ช่างน่ารังเกียจนัก!” ผมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของผมเป็นเรื่องของผม มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแต่งงานของลูกชายผมเลย อีกอย่าง ชีวิตแต่งงานของเขาจะเป็นไปด้วยดีหรือไม่ก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ผมตัดสินใจเชื่อแล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และผมจะติดตามพระองค์จนถึงบทอวสาน ลูกๆ ของผมไม่เข้าใจ แต่วันหนึ่งพวกเขาจะเข้าใจ” ตอนแรกผมคิดว่าศิษยาภิบาลหลี่ก็แค่พูดไปอย่างนั้น แต่ที่น่าตกใจก็คือ ที่จริงแล้วเขากำลังเอาเรื่องสำคัญขนาดนั้นมาทำให้ผมทรยศพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ผมไปที่ร้านเชื่อมของลูกชายสองสามวันต่อมา เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “พ่อครับ คู่หมั้นของผมบอกว่า ศิษยาภิบาลหลี่ไปหาครอบครัวของเธอและบอกพวกเขาว่าพ่อเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เธอพูดว่าถ้าคุณไม่ล้มเลิก ก็จะไม่มีการแต่งงาน” ผมตกตะลึงและโกรธมาก ศิษยาภิบาลหลี่กำลังใช้การแต่งงานของลูกชายผมมาขู่เข็ญผมจริงๆ ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าทำสิ่งที่น่ารังเกียจแบบนี้ได้ยังไง เมื่อเห็นลูกชายของผมเศร้าซึม ผมก็รู้สึกแย่มาก อีกแค่ 18 วันก็ถึงวันแต่งงานของพวกเขาแล้ว งานจะล่มแบบนั้นจริงๆ เหรอ ผมน้ำตาคลอ เขาพูดต่อว่า “พ่อครับ เธอยังพูดด้วย ว่าเธอมีเงื่อนไขสามข้อสำหรับการแต่งงาน ข้อแรกคือเราต้องตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ข้อสองคือไม่ต้องดูแลพ่อเมื่อพ่อแก่ชรา ข้อสามคือให้ตัดสายสัมพันธ์ครอบครัวทั้งหมด แม่ไม่อยู่กับเราแล้ว พ่อเลิกเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเพื่อครอบครัวของเราเถอะครับ” การได้ยินคำพูดของลูกชายและเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขาเป็นดั่งมีดทิ่มแทงหัวใจของผม เพียงเพราะผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คนในศาสนาเหล่านี้กลับปฏิบัติต่อผมอย่างศัตรู บังคับให้ลูกชายตัดสายสัมพันธ์กับผม น่าขยะแขยงจริงๆ! ผมพูดกับลูกชาย “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องให้พ่อคอยดูแลแล้ว พ่อแก่แล้ว พ่อแค่อยากปฏิบัติความเชื่อของพ่อ และติดตามพระเจ้าในบั้นปลายของพ่อ พ่อหวังว่าลูกจะสามารถเข้าใจได้นะ” พอพูดจบ ผมก็หันหลังกลับออกมาจากร้าน เมื่อกลับถึงบ้าน ผมมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ศิษยาภิบาลนั่นกำลังใช้กลอุบายทุกอย่างในตำราเพื่อก่อกวนและบีบบังคับข้าพระองค์ ลูกชายของข้าพระองค์จะตัดสายสัมพันธ์กับข้าพระองค์ ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกอ่อนแอมาก ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์และให้ความเชื่อแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”

วันรุ่งขึ้นพี่น้องหลินจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แวะมาที่บ้านของผม และผมเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เขาอ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ผมฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ…ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนทำพึงกำหนดให้พวกเขาต้องจ่ายราคาหนึ่งในความพยายามทั้งหลายของพวกเขา หากปราศจากความยากลำบากจริง พวกเขาจะไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ พวกเขาไม่แม้กระทั่งมาใกล้เคียงกับการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเลย และพวกเขาก็แค่พ่นคำขวัญที่ว่างเปล่าทั้งหลายเท่านั้น!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) เมื่อเขาพูดถึงการสู้รบฝ่ายจิตวิญญาณในบริบทของพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า ผมก็เข้าใจ ว่าเมื่อเราถูกกีดกัน ถูกก่อกวน และถูกบีบบังคับโดยผู้ที่เกี่ยวกับศาสนา มันอาจดูเหมือนว่ากระทำโดยผู้คน แต่ที่จริงแล้วเป็นซาตานพยายามขัดขวางเรา เมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ ซาตานก็อยู่ที่นั่นเพื่อแทรกแซง ซาตานเกลียดพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด มันจึงใช้กลอุบายและกลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อกันผู้คนจากการติดตามพระเจ้า เพื่อนำผู้คนลงนรกไปกับมัน ศิษยาภิบาลหลี่และคนอื่นพยายามกันผมจากหนทางที่แท้จริง รบเร้าผมครั้งแล้วครั้งเล่า โดยพูดว่าพวกเขาจะให้รถยนต์ผม ให้ผมจัดการการเงินของคริสตจักร หรือบ้านพักคนชรา พวกเขาเสนอจะหาภรรยาให้ผมด้วย พอทั้งหมดนั้นไม่ได้ผล พวกเขาก็ใช้การแต่งงานของลูกชายผมมาขู่เข็ญผม พวกเขาใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง มันช่างร้ายกาจและมุ่งร้ายมาก

พี่น้องหลินแบ่งปันการสามัคคีธรรมเพิ่มเติมว่า “เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกผู้นำในความเชื่อศาสนายิวเกลียดความจริงและเกลียดพระเจ้า พวกเขาตระหนักดีว่าหนทางขององค์พระเยซูเจ้านั้นมีสิทธิอำนาจ พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมตรวจสอบเท่านั้น แต่พวกเขาต่อต้าน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทพระองค์อย่างบ้าคลั่ง พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อหยุดผู้คนไม่ให้ติดตามพระองค์และมีส่วนร่วมในการตรึงกางเขนของพระองค์ พวกเขาทำแบบนี้เพราะพวกเขากลัวว่าจะสูญเสียสถานะและการใช้ชีวิตของพวกเขา หากผู้คนติดตามองค์พระเยซูเจ้า ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ‘ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า “เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา”…นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์’ (ยอห์น 11:47, 48, 53) พระเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงงานแห่งการพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้พวกเขารอด พวกหมอสอนศาสนารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริง แต่พวกเขาไม่แสวงหาหรือสอบสวนพระวจนะเหล่านั้น พวกเขาถึงกับลนลานต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์ และหยุดคนอื่นไม่ให้ติดตามพระองค์ แก่นแท้ของพวกเขาจะแตกต่างจากของพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้ายังไง องค์พระเยซูเจ้าทรงกล่าวโทษและสาปแช่งพวกหน้าซื่อใจคดนั่นเมื่อนานมาแล้ว องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23:13)วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า(มัทธิว 23:15) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังตีแผ่แก่นแท้และรากเหง้าของการต่อต้านของพวกผู้นำทางศาสนาต่อพระเจ้าอีกด้วย” พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เข้าใจธรรมชาติแบบปีศาจของพวกผู้นำศาสนาที่เกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้าได้ดีขึ้น พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างดุเดือด และข่มเหงพี่น้องชายหญิงที่เป็นพยานต่อพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เพราะพวกเขาต้องการรักษาอำนาจเหนือแกะของพระเจ้าไปตลอดกาล พวกเขาต้องการแกะของพระเจ้าเป็นของตัวเอง เพื่อรักษาพวกเขาไว้ภายใต้การควบคุมอย่างเหนียวแน่น พวกเขาหยุดผู้เชื่อไม่ให้ทำสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้—เข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาจะตกนรกและลากคนอื่นลงไปด้วย พวกเขาเป็นฝูงปีศาจอย่างแท้จริง! ถ้าผมไม่ได้รับประสบการณ์ความพยายามขัดขวางของหมอสอนศาสนาพวกนั้นด้วยตัวเอง หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในยุคสุดท้าย ทรงเปิดโปงผู้รับใช้ชั่วและศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ที่ซ่อนอยู่ในคริสตจักรทั้งหลาย ผมก็คงไม่มีวันได้เห็นแก่นแท้แบบปีศาจของพวกเขาในการต่อต้านพระเจ้า ผมคงถูกพวกเขาทำให้หลงผิดและล่มจมโดยไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้นเลย ผมได้เห็นความหน้าซื่อใจคดและโฉมหน้าที่น่ากลัวของพวกเขา และความเชื่อของผมที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็เข้มแข็งขึ้น

ผมยังคงแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรเดิมของผม เช้าวันหนึ่งตอนที่เรากำลังชุมนุมกัน ศิษยาภิบาลหลี่กับเพื่อนร่วมงานของเขามาที่บ้านผมอีกครั้ง และเขาพูดว่า “เราบอกคุณหลายครั้งหลายหนแล้วให้เลิกเชื่อฟ้าแลบจากทิศตะวันออก คุณไม่เพียงไม่ยอมรับฟังเท่านั้น แต่คุณกำลังขโมยแกะของผมและประกาศฟ้าแลบจากทิศตะวันออกกับพวกเขา คุณต้องการจะต่อสู้กับผมจริงๆ เหรอ” ผมพูดว่า “ศิษยาภิบาลหลี่ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ คริสตจักรเป็นของพระเจ้า และฝูงแกะก็เป็นของพระองค์เหมือนกัน คุณเป็นแค่ศิษยาภิบาล คุณพูดได้ยังไงว่าแกะเป็นของคุณ ผมกำลังแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายหญิง เพื่อที่พวกเขาจะสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและกลับมาเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ สิ่งนี้ถูกต้องและเหมาะสม ทำไมคุณถึงขัดขวางเรื่องนี้ล่ะครับ ทุกคนกำลังรู้สึกอ่อนแอและรู้สึกเชิงลบ พวกเขาแห้งแล้งทางด้านจิตวิญญาณและอยู่ในความมืด พวกเขาไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงชีวิตเลย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ดำรัสพระวจนะ ประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่เรา ทำไมคุณไม่อยากให้ผู้คนอ่านพระวจนะเหล่านั้นล่ะครับ ทำไมคุณถึงลิดรอนสิทธิ์และเสรีภาพของผู้คนที่จะตรวจสอบหนทางที่แท้จริงล่ะครับ ด้วยการกีดกันไม่ให้พวกเขาทำแบบนั้น คุณกำลังปล่อยให้พวกเขากระหายน้ำจนตายและติดอยู่ในศาสนาไม่ใช่เหรอครับ นั่นคือการเป็นผู้รับใช้ดีหรือผู้รับใช้ชั่วกันแน่” สีหน้าของศิษยาภิบาลหลี่เปลี่ยนไปทันที และเขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ผมเห็นแล้วว่าคุณมันเกินเยียวยา ถ้าคุณไม่ติดตามเราในความเชื่อของคุณ รอก่อนเถอะ คุณจะถูกลงโทษในนรก!” ผมพูดว่า “คุณไม่มีสิทธิ์พูดหรอกว่าผมจะตกนรกหรือไม่ คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจำพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือต้อนรับพระองค์ได้ยังไง คุณจะนำคนอื่นสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นทรงเป็นประตูเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ของเรา ผมได้พบหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ผ่านพระองค์ ความรับผิดชอบต่อชีวิตของผมอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่คุณ” หลังจากผมพูดแบบนั้น พวกเขาก็กลับไปด้วยความผิดหวัง ไม่มีใครมารบกวนผมอีกเลย

ผมได้รับปัญญาแยกแยะบางประการเหนือกลอุบายของซาตานหลังจากผ่านการต่อสู้ทางจิตวิญญาณนี้ ผมยังเห็นด้วยว่าพวกศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสในโลกศาสนาเป็นแค่พวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด ว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ปฏิเสธและต่อต้านพระคริสต์ ผมเป็นอิสระจากการจำกัดของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นำผมทุกขั้นตอนเพื่อมีชัยเหนือซาตาน และยืนหยัดบนหนทางที่ถูกต้อง ผมขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริง! เมื่อคิดย้อนไปถึงทุกสิ่งที่ผมผ่านมา ทั้งหมดเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ ผมหมิ่นเหม่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย หากไม่มีการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ผมก็คงไม่มีวันมองแผนการของซาตานออก หากผมติดตามเนื้อหนังและก้มหัวให้ซาตาน ก้าวออกจากเส้นทางที่ถูกต้อง นั่นคงเป็นการทรยศพระเจ้าอย่างร้ายแรง ผมคงจะทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง และเสียโอกาสได้ความรอดของผมอย่างสิ้นเชิง ผมแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ! ผมรู้สึกขอบคุณการคุ้มครองและความรอดของพระเจ้าอย่างมาก!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ใครคือพวกฟาริสีของยุคปัจจุบัน

โดย Jingmo, มาเลเซีย ตลอด 22 ปีที่ฉันเป็นคริสเตียนมา หน้าที่รับผิดชอบหลักของฉันคือการเงินของคริสตจักรและโรงเรียนวันอาทิตย์ ในเดือนพฤษภาคม...

เราควรฟังใครในเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดย Hanmei, พม่า กุญแจสำคัญในการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไรคะ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา”...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger