พระนามของพระเจ้าคือความลึกลับแท้จริง
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในแต่ละยุค พระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่และมีพระนามใหม่ พระองค์จะทำพระราชกิจเดียวกันในยุคที่แตกต่างกันได้อย่างไร? พระองค์จะทรงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมได้อย่างไร? พระนามของพระเยซูนั้นใช้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่ ดังนั้นพระองค์จะยังคงใช้พระนามเดียวกันเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายหรือ? พระองค์จะยังทรงพระราชกิจแห่งการไถ่อยู่อีกหรือ? เหตุใดจึงเป็นว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูคือหนึ่งเดียวกัน ทว่าทั้งสององค์กลับมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน? มิใช่เพราะว่ายุคแห่งพระราชกิจของทั้งสององค์นั้นแตกต่างกันหรอกหรือ? ชื่อเพียงชื่อเดียวสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าจึงต้องมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างออกไป และพระองค์ต้องใช้พระนามนั้นๆ มาเปลี่ยนแปลงยุคและเป็นตัวแทนยุคนั้น เพราะชื่อเพียงชื่อเดียวไม่สามารถแทนพระเจ้าพระองค์เองได้อย่างเต็มเปี่ยม และแต่ละชื่อสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคหนึ่งๆ ได้เฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวกับยุคเท่านั้น ทั้งหมดที่ชื่อหนึ่งต้องทำก็คือเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าจึงสามารถเลือกพระนามใดก็ได้ที่เหมาะสมกับพระอุปนิสัยของพระองค์เพื่อเป็นตัวแทนยุคนั้นทั้งยุค” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่าชื่อที่พระองค์ทรงใช้ในแต่ละยุคนั้นมีความหมาย แต่ละพระนามเป็นตัวแทนของหนึ่งยุค หนึ่งช่วงระยะของพระราชกิจ พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปตามที่พระราชกิจพึงประสงค์ แต่ไม่ว่าพระนามของพระองค์อาจเปลี่ยนไปยังไง พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าก็คือพระเจ้าเสมอครับ ผมเคยยึดติดอยู่กับความหมายตามตัวอักษรของข้อพระคัมภีร์ ติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง เลยคิดว่าพระนามขององค์พระเยซูเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ต่อมาผมได้ดูหนังและเรียนรู้ข้อล้ำลึกแห่งพระนามของพระเจ้า และปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของตัวเองเพื่อติดตามย่างพระบาทแห่งพระเมษโปดก
ผมเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน และที่บ้านก็บอกผมมาตั้งแต่เด็กๆ ว่า องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และผมจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ด้วยการอธิษฐานในพระนามของพระองค์เท่านั้น พอโตขึ้น ผมได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยสอนศาสนา และศิษยาภิบาลก็บอกเราอยู่บ่อยๆ ว่า “พระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระนามของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นเพราะในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์’ (ฮีบรู 13:8) ดังนั้น เราต้องค้ำจุนพระนามขององค์พระเยซูเจ้าไว้ตลอดเวลา และเมื่อพระองค์เสด็จมาเราก็จะถูกรับขึ้นไปแน่นอน” คำพูดพวกนี้ทำให้ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของผมยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และผมก็สละตัวเองด้วยใจกระตือรือร้น เพื่อที่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา ผมจะได้ถูกรับขึ้นสู่ราชอาณาจักร
หลังจบจากวิทยาลัยสอนศาสนาในเดือนเมษายนปี 2015 ผมก็เริ่มเป็นผู้เลี้ยงให้กับผู้เชื่อในท้องถิ่น แต่ผู้เข้าร่วมนมัสการก็น้อยจนน่าสังเวช ผู้จัดการคริสตจักรเห็นว่าของถวายลดน้อยลงจนไม่พอค่าใช้จ่ายด้วยซ้ำ เขาเลยเริ่มปล่อยเงินกู้ให้เหล่าผู้เชื่อ พอพวกเขาไม่สามารถใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ยได้ เจ้าหน้าที่การเงินก็จะหาเรื่องพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่อยากเข้าร่วมการนมัสการจริงๆ
ผมเลยเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้คนท้องถิ่นเพื่อพยายามทำให้คริสตจักรกลับมามีชีวิตชีวา ผมไปเยี่ยมผู้เชื่อตามบ้านและจัดการชุมนุมกับพวกเขา ผมยังทำการอดอาหารอธิษฐานสัปดาห์ละสองถึงสามครั้ง ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำให้งานของผมคืบหน้าบ้าง แต่ไม่ว่าผมจะทำงานหนักแค่ไหน คนก็ยังมาเข้าร่วมกับคริสตจักรน้อยอยู่ดี พอเห็นคริสตจักรอยู่ในสภาพทิ้งร้างแบบนั้น หัวใจของผมก็รู้สึกอ่อนแอ และความเชื่อของผมก็ลดลงเรื่อยๆ ผมเลยพยายามอธิษฐาน อ่านองค์พระคัมภีร์ และอดอาหารมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว บวกกับดาวน์โหลดหนังเกี่ยวกับศาสนามาดู แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมยังรู้สึกว่าจิตวิญญาณช่างว่างเปล่าและมืดมิด ในความเจ็บปวด ผมได้ร้องเรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าไปว่า “โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า! พระคัมภีร์กล่าวว่าตราบใดที่เราเอ่ยขอในพระนามของพระองค์ พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่เรา คริสตจักรนี้ร้างขึ้นทุกที ข้าพระองค์อธิษฐานในพระนามพระองค์ตลอด ทำไมไม่รู้สึกถึงการทรงสถิตของพระองค์เลย? องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์อยู่ที่ไหนหรือ?” โชคดีที่พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของผมครับ
วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ผมเจอหนังบนยูทูบเรื่องหนึ่งชื่อว่า เผยความล้ำลึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์ หนังเรื่องนี้อธิบายความล้ำลึกเบื้องหลังพระคัมภีร์ไว้ชัดเจนมากเลยครับ ดูหนังเรื่องนี้แล้วผมถึงได้ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ แถมหัวใจของผมก็สว่างขึ้นมาก แต่สิ่งที่ผมสงสัยคือ คำพูดเหล่านั้นมาจากไหน ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์เลยครับ! ผมเลยดาวน์โหลดวิดีโอนั้นมาดูซ้ำอีกหลายรอบ ยิ่งดูผมก็ยิ่งชอบ การสามัคคีธรรมมันสอดคล้องกับในพระคัมภีร์หมดเลยครับ ผมพบว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นผู้สร้างหนังเรื่องนี้ ผมเลยค้นหาหนังของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกต่อไป และบังเอิญเจอกับเรื่อง พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปแล้วงั้นหรือ?! ชื่อเรื่องดึงดูดผมมาก ผมเลยดาวน์โหลดมาดูทันที พอผ่านไปได้สักครึ่งเรื่อง หนังก็บอกว่าเมื่อพระเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะไม่ถูกเรียกว่าพระเยซู แต่จะมีชื่อใหม่ ผมค่อนข้างตกใจครับ ผมคิดว่า “ไม่จริงหรอก! พระคัมภีร์ระบุไว้ชัดเจนว่า ‘พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์’ (ฮีบรู 13:8) พระนามของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงได้ยังไง? ตลอดสองพันปีที่ผ่านมาผู้เชื่อทุกคนต่างอธิษฐานและทำงานในพระนามขององค์พระเยซูเจ้าสิ่งนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงแล้วฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมาบอกว่าพระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปแล้วได้ยังไง?”
จากนั้น ผมก็ได้ยินการสามัคคีธรรมนี้จากพี่หยางในภาพยนตร์ “พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์’ นี่แปลว่าพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้านั้นเป็นนิรันดร์และไม่เปลี่ยนแปลง มันไม่ได้แปลว่าพระนามของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยน” เธอยังได้อ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้ามิอาจทรงเปลี่ยนแปลงไปอีกได้ นั่นก็ถูกต้อง แต่นั่นหมายถึงพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปอีก การเปลี่ยนแปลงพระนามและพระราชกิจของพระองค์มิได้พิสูจน์ว่าแก่นแท้ของพระองค์ได้ปรับเปลี่ยนไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าย่อมจะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากเจ้ากล่าวว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการที่ยาวนานหกพันปีของพระองค์ได้หรือ? เจ้าเพียงรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงตลอดกาล แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า? หากพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถนำทางมวลมนุษย์มาตลอดทางจนถึงยุคปัจจุบันได้หรือ? หากพระเจ้ามิสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วไซร้ เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงพระราชกิจมาสองยุคแล้ว?…และดังนั้นคำว่า ‘พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า’ จึงอ้างอิงถึงพระราชกิจของพระองค์ และคำว่า ‘พระเจ้าย่อมไม่เปลี่ยนแปลง’ ก็อ้างอิงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นโดยธรรมชาติ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่อาจแขวนพระราชกิจหกพันปีไว้กับจุดจุดหนึ่ง หรือล้อมกรอบเอาไว้ด้วยคำที่ตายแล้ว เช่นนั้นคือความโฉดเขลาของมนุษย์ พระเจ้ามิได้ทรงเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการ และพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่ในยุคใดยุคหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาห์เวห์ไม่สามารถเป็นพระนามของพระเจ้าเสมอไปได้ พระเจ้าจึงสามารถทรงพระราชกิจของพระองค์ภายใต้พระนามว่าเยซูด้วย นี่คือหมายสำคัญอย่างหนึ่งว่าพระราชกิจของพระเจ้าก้าวไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) แล้วพี่หยางก็พูดว่า “ในครรลองแห่งพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์นั้น พระองค์ทรงพระราชกิจที่ต่างกันและใช้ชื่อที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน แต่เนื้อแท้ของพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยน พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าเสมอ นั่นคือไม่ว่าพระนามของพระเจ้าจะเป็นพระยาห์เวห์หรือพระเยซู เนื้อแท้ของพระองค์ก็เหมือนเดิม เป็นการทรงพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดิมเสมอ พวกฟาริสีชาวยิวไม่รู้ ว่าพระนามของพระเจ้าจะเปลี่ยนไปตามพระราชกิจที่เปลี่ยนจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุค พวกเขาคิดว่ามีเพียงพระยาห์เวห์ที่เป็นพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของตน เป็นเวลาหลายรุ่นที่พวกเขายึดติดอยู่กับกับการเชื่อ ที่ว่า ‘มีเพียงพระยาห์เวห์ที่เป็นพระเจ้า ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดอื่นใดนอกจากพระยาห์เวห์’ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในนามพระเยซู พวกเขาก็กล่าวโทษและต่อต้านพระองค์อย่างบ้าคลั่ง และตรึงกางเขนพระองค์ในที่สุด พวกเขาก่ออาชญากรรมที่ชั่วร้ายเลวทรามและถูกพระเจ้าทรงลงโทษ ไม่มีใครหยั่งถึงพระปรีชาญาณของพระเจ้าได้ และไม่มีใครจำกัดขอบเขตของพระเจ้าได้ ในยุคสุดท้าย ถ้าเราปฏิเสธเนื้อแท้ของพระเจ้า หรือปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้าองค์หนึ่ง เพราะพระองค์เปลี่ยนพระราชกิจหรือพระนาม มันช่างไร้สาระและรู้เท่าไม่ถึงการณ์! ชื่อที่พระเจ้าทรงใช้ในแต่ละยุคนั้นมีความหมาย และเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์”
พอหนังมาถึงตรงนี้ ผมก็ตระหนักได้ว่าพระนามของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงได้ และคำว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” ที่อยู่ในพระคัมภีร์นั้นอ้างอิงถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่มีวันเปลี่ยน แต่ไม่ได้แปลว่าพระนามและพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยน พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปตามที่พระราชกิจพึงประสงค์ ที่ผ่านมาผมเข้าใจสิ่งต่างๆ จากความหมายตามตัวอักษรในพระคัมภีร์ คิดว่าพระนามของพระเจ้าคงไม่มีวันเปลี่ยน—ผมเห็นแล้วว่านั่นเป็นแค่จินตนาการของผมเอง! พวกฟาริสียืนยันว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้าของพวกเขา และพระนามพระยาห์เวห์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาถึงได้เชื่อว่าผู้ใดก็ตาม ที่ไม่ถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์ย่อมไม่ใช่พระเจ้าในตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ พวกเขายังต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างหยาบคาย จนท้ายที่สุดก็เสียความรอดของพระองค์ไป ผมตระหนักได้ว่าผมต้องวางทรรศนะของตัวเองลง และฟังการสามัคคีธรรมในหนังอย่างจริงจัง เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะการจินตนาการของตัวเองอย่างพวกฟาริสี
จากนั้นตัวละครหลักตัวหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่า “แล้วความสำคัญของพระนามของพระเจ้าในแต่ละยุคคืออะไรล่ะ?” ผมคิดกับตัวเองว่า “เป็นคำถามที่ดีเลย ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเขาได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า พระนามใหม่ของพระเจ้าในแต่ละยุคนั้นมีความหมาย และทุกชื่อล้วนเป็นความรอดสำหรับมวลมนุษย์ แล้วอะไรคือนัยสำคัญจริงๆ ของพระนามพระเจ้ากันแน่?” พี่เฟิง หนึ่งในผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางส่วน “‘พระยาห์เวห์’ คือชื่อที่เราใช้ในช่วงระหว่างงานของเราในอิสราเอล และหมายถึงพระเจ้าของคนอิสราเอล (ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร) ที่สามารถเวทนามนุษย์ สาปแช่งมนุษย์ และนำทางชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงครองมหาฤทธานุภาพและเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาญาณ ‘พระเยซู’ คือ อิมมานูเอล ซึ่งหมายถึงเครื่องบูชาลบล้างบาปอันเปี่ยมไปด้วยความรัก เปี่ยมไปด้วยความสงสาร และไถ่บาปให้มนุษย์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งส่วนของพระราชกิจของแผนการบริหารจัดการเท่านั้น…พระนามของพระเยซูได้มาดำรงอยู่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนของยุคพระคุณได้เกิดใหม่และได้รับการช่วยให้รอด และเป็นพระนามเฉพาะสำหรับการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ พระนามของพระเยซูจึงเป็นตัวแทนพระราชกิจแห่งการไถ่ และบ่งบอกถึงยุคพระคุณ พระนามพระยาห์เวห์เป็นชื่อเฉพาะสำหรับประชาชนอิสราเอลที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ ในแต่ละยุคและแต่ละช่วงระยะในงานของเรา ชื่อของเรานั้นใช่ว่าไม่มีพื้นฐานที่มา แต่ถือครองนัยสำคัญเชิงตัวแทน กล่าวคือ แต่ละชื่อเป็นตัวแทนหนึ่งยุค ‘พระยาห์เวห์’ ทรงเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ และเป็นพระนามซึ่งแสดงการถวายพระเกียรติซึ่งประชาชนอิสราเอลใช้เรียกพระเจ้าผู้ที่พวกเขานมัสการ ‘พระเยซู’ ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และเป็นพระนามของพระเจ้าของทุกคนที่ได้รับการไถ่ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ หากมนุษย์ยังคงถวิลหาการเสด็จมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และยังคงคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงในพระฉายาที่พระองค์ทรงใช้ในแคว้นยูเดีย เช่นนั้นแล้วแผนการบริหารจัดการสำหรับหกพันปีทั้งหมดทั้งสิ้นก็คงจะหยุดลงไปแล้วในยุคแห่งการไถ่ และคงไม่อาจคืบหน้าไปได้มากกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยุคสุดท้ายจะไม่มีวันมาถึง และยุคนั้นจะไม่มีวันถูกนำพาไปถึงบทอวสาน นี่เป็นเพราะพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำรงอยู่เพื่อการไถ่และความรอดของมวลมนุษย์เท่านั้น เราได้ใช้ชื่อพระเยซูเพียงเพื่อประโยชน์ของคนบาปทั้งหมดในยุคพระคุณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ชื่อที่เราจะใช้เพื่อนำพามวลมนุษย์ทั้งปวงไปสู่บทอวสาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว)
จากนั้นพี่เฟิงได้สามัคคีธรรมว่า “ในยุคธรรมบัญญัติ พระนามของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ ซึ่งนั่นเป็นตัวแทน ของพระอุปนิสัยอันเปี่ยมด้วยพระบารมี ความพิโรธ การสาปแช่ง และพระกรุณาที่พระองค์ได้ทรงแสดงต่อผู้คนของยุคนั้น พระเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติด้วยพระนามพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงออกธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ รวมถึงนำทางมวลมนุษย์ในชีวิตพวกเขาบนแผ่นดินโลก พระองค์ประสงค์ให้พวกเขาเชื่อฟังกฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงเรียนรู้ที่จะนมัสการและยกย่องพระองค์ พระพรและพระคุณของพระเจ้าจะติดตามทุกคนที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ส่วนคนที่ทำผิดธรรมบัญญัติก็จะถูกปาหินใส่จนตาย หรือถูกเผาด้วยไฟสวรรค์ ดังนั้นพวกคนอิสราเอลจึงรักษากฎหมายอย่างสัตย์ซื่อ และถวายเกียรติพระนามของพระยาห์เวห์ว่าศักดิ์สิทธิ์ และได้ใช้ชีวิตภายใต้การทรงนำของพระยาห์เวห์เป็นเวลาหลายพันปี ช่วงปลายยุคธรรมบัญญัตินั้น มนุษย์เสื่อมทรามและบาปหนาขึ้น รวมถึงไม่สามารถเชื่อฟังธรรมบัญญัติได้ ทุกคนเสี่ยงอันตรายต่อการลงโทษเพราะผิดต่อธรรมบัญญัติ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจช่วงระยะของการไถ่ภายใต้พระนามพระเยซู พระองค์ทรงสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติและเริ่มต้นยุคพระคุณ ในยุคพระคุณ พระเยซูทรงแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยอันเปี่ยมด้วยความรักและพระกรุณา พระองค์ได้ประทานพระคุณอันไร้ขอบเขตแก่มนุษย์ และในท้ายที่สุดก็ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มนุษย์จากซาตาน หลังจากนั้นมนุษย์ก็เริ่มอธิษฐานในนามของพระเยซู เพื่อนมัสการว่าพระนามของพระเยซูนั้นศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อเพลิดเพลิดกับการทรงอภัยและพระคุณอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า เราสามารถเห็นได้จากพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสองระยะก่อนหน้านี้ว่า ชื่อที่พระเจ้าทรงใช้ในแต่ละยุคนั้นมีความสำคัญเฉพาะ ชื่อเหล่านั้นคือตัวแทนพระราชกิจและพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคนั้น ในยุคพระคุณ ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาและถูกเรียกว่าพระยาห์เวห์แทนที่จะเป็นพระเยซู พระราชกิจของพระเจ้าก็คงหยุดอยู่ในยุคธรรมบัญญัติ มวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามก็คงจะไม่มีวันได้รับการไถ่ของพระเจ้า แต่คงลงเอยด้วยการกล่าวโทษ และถูกลงโทษเพราะละเมิดธรรมบัญญัติ คล้ายกับที่หากองค์พระผู้เป็นเจ้ายังคงใช้ชื่อพระเยซูในยุคสุดท้าย เช่นนั้นแล้วมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามคงได้รับการอภัยในบาปของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาคงไม่มีวันได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นี่เป็นเพราะบาปของมวลมนุษย์ได้รับการอภัยผ่านการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า แต่ธรรมชาติซึ่งบาปหนาของพวกเขายังคงอยู่ พวกเขายังทำบาปและต่อต้านพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ อีกทั้งพระเจ้าก็ยังไม่ได้รับเขาไว้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือสาเหตุที่พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย และทรงพระราชกิจขั้นตอนใหม่ เพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด บนรากฐานแห่งพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า—เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปโดยสมบูรณ์ พระองค์ทรงเริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรและสิ้นสุดยุคพระคุณ พระราชกิจของพระเจ้าเคลื่อนไปข้างหน้าและยุคก็เปลี่ยนไปแล้ว พระราชกิจของพระองค์ต่างออกไป พระนามของพระองค์ก็ได้เปลี่ยนไปตามนั้นด้วย”
ถึงจุดนี้ผมก็คิดว่า “ถ้าอย่างนั้น เมื่อพระเจ้าทรงใช้ชื่อใหม่ในแต่ละยุคก็ย่อมมีความหมายเบื้องหลังชื่อนั้น แต่ละชื่อเป็นตัวแทนของแต่ละยุค พระยาห์เวห์ ชื่อที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ในยุคธรรมบัญญัติ เป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยอันเปี่ยมด้วยพระบารมี ความพิโรธ การสาปแช่ง และพระกรุณาของพระเจ้า พระเยซู ชื่อที่พระองค์ทรงใช้ในยุคพระคุณ เป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความรักและพระกรุณาของพระองค์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดที่สมบูรณ์ของมวลมนุษย์ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเปลี่ยน พระนามของพระองค์ก็เปลี่ยนไปด้วย ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีข้อล้ำลึกในพระนามของพระเจ้ามากขนาดนี้” ผมเริ่มสนใจมากยิ่งขึ้น เลยดูวิดีโอต่อไปอีก
หลังจากนั้น พี่เฟิงก็ได้สามัคคีธรรมว่าพระนามของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และอ้างอิงจากในวิวรณ์บทที่ 1 ข้อ 8 ที่ว่า: “พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’” แถมในวิวรณ์บทที่ 11 ข้อที่ 16-17 ก็กล่าวว่า: “และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ก็ทรุดตัวซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า และทูลว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และผู้ที่ทรงเคยเป็นอยู่ พวกข้าพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงถือครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว และทรงเริ่มครอบครอง’” มีคำเผยพระวจนะอื่นๆ อีกมายมายในวิวรณ์ เช่น บทที่ 4 ข้อ 8 บทที่ 16 ข้อ 7 และบทที่ 19 ข้อ 6 ที่กล่าวว่าพระนามใหม่ของพระเจ้าในยุคสุดท้ายจะเป็น “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ซึ่งก็คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เช่นกัน
ระหว่างฟังผมก็เปิดพระคัมภีร์เพื่อหาคำยืนยันไปด้วย และผลที่ออกมาคือ ชื่อ “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” มีอยู่ในทั้งหมดเลย ผมตกใจมากและคิดว่า “อย่างนั้นก็ชัดเจนว่าพระนามของพระเจ้าในยุคสุดท้ายถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์มานาน อีกทั้งในวิวรณ์ สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ก็เอาแต่สรรเสริญพระเจ้าทั้งเช้าค่ำว่า ‘บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ทรงเป็นอยู่ และผู้ที่จะเสด็จมา’ (วิวรณ์ 4:8) พวกเขาสรรเสริญพระนามแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ชื่อ ‘องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์’ ถูกกล่าวถึงอยู่หลายที่ ชื่อ ‘พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์’ ในยุคสุดท้ายสอดคล้องกับคำเผยพระวจนะในวิวรณ์อย่างครบถ้วนเลย! ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตลอดหลายปีและอ่านองค์พระคัมภีร์เยอะมาก—แล้วผมพลาดข้อล้ำลึกเหล่านี้ไปได้ยังไง?”
ผมดูต่อไปและเห็นตัวละครที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐพูดว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าผู้มีปรีชาญาณ อีกทั้งทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง พระนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นตัวแทนของพระราชกิจ รวมถึงพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นในยุคสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์ หากพระเจ้าไม่ทรงเผยโฉมข้อล้ำลึกเหล่านี้แก่พวกเราด้วยพระองค์เอง เราก็คงไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะอ่านพระคัมภีร์มากี่ปีก็ตาม” จากนั้น เขาได้อ่านบทตอนหนึ่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว)
จากนั้นเขาก็สามัคคีธรรมว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคแห่งราชอาณาจักรภายใต้พระนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อตีแผ่ธรรมชาติที่ทำบาปและต่อต้านพระเจ้าเยี่ยงซาตานของมนุษย์ รวมถึงเพื่อพิพากษาความไม่เชื่อฟังและความไม่ชอบธรรมของเรา เพื่อที่เราอาจจะได้รู้จักธรรมชาติและเนื้อแท้ของตัวเองผ่านพระวจนะเหล่านี้ ได้เห็นความจริงว่าเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากแค่ไหน ได้เข้าใจรากเหง้าแห่งความเสื่อมทรามของตัวเอง และได้รู้ถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองของพระเจ้า พระองค์ยังทรงชี้หนทางในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยให้เรา เพื่อให้เราสามารถละทิ้งความชั่วร้าย ไล่ตามความจริง เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พระเจ้าเสด็จมาเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ เพื่อจำแนกเราตามประเภท รวมถึงประทานรางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว เพื่อช่วยมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามให้รอดจากบาปโดยสมบูรณ์ และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า พระเจ้าทรงปรากฏในยุคสุดท้าย ด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เปี่ยมบารมี เปี่ยมพระพิโรธ ซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง พระองค์ทรงแสดงพระอุปนิสัยประจำพระองค์ รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นต่อทุกคนอย่างเปิดเผย พระองค์เสด็จมาเพื่อพิพากษาและตีสอนความเสื่อมทรามและความไม่ชอบธรรมทั้งปวงของมวลมนุษย์ เพื่อช่วยพวกเราให้รอดจากบาปโดยสมบูรณ์และฟื้นฟูความคล้ายมนุษย์แต่เดิมของพวกเรา พระองค์ทรงต้องการให้ทุกคนเห็นว่า พระองค์ไม่เพียงสร้างทุกสรรพสิ่ง แต่ทรงปกครองทุกสรรพสิ่งด้วย พระองค์มิได้เป็นเพียงเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ แต่ยังทรงทำให้เราเพียบพร้อม แปลงสภาพ และชำระเราให้บริสุทธิ์ได้ พระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งถึงความอัศจรรย์หรือกิจการของพระองค์ได้ นั่นคือเหตุผลที่ชื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เหมาะสมที่สุดในยุคสุดท้าย ใครก็ตามที่อธิษฐานต่อชื่อนี้และอ่านพระวจนะของพระองค์ ก็จะได้รับการทรงนำและพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งได้เพลิดเพลินกับการค้ำจุนและการรดน้ำอันอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าไปชั่วชีวิต ตอนนี้โลกศาสนากำลังเผชิญกับการทิ้งร้าง ความเชื่อของผู้คนเย็นเยือก พวกเขาอ่อนแอและโหยหาสรรพสิ่งในทางโลก นักเทศน์เหือดหาย และผู้คนก็ไม่ได้รับการดลใจในยามอธิษฐาน ยิ่งไปกว่านั้น มีผู้คนจำนนต่อสิ่งยั่วยุในทางโลกมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่ติดตามพระเมษโปดกและไม่สามารถได้รับการค้ำจุนแห่งน้ำดำรงชีวิต พวกเขาร่วงหล่นสู่ความมืดมิดและสูญเสียหนทางของตนไป”
การเห็นสิ่งนี้เลยเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากสำหรับผม—พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเปี่ยมสิทธิอำนาจมาก โดยเฉพาะวรรคนี้ “ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน” พระวจนะเหล่านี้เปี่ยมด้วยพระบารมีและความชอบธรรมของพระเจ้า นอกจากพระเจ้าแล้วก็ไม่มีใครเอ่ยสิ่งที่เปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจและบารมีได้แน่ ผมรู้ว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ ครับ! ผมเคยทุ่มเทอย่างหนักในการนมัสการและไปเยี่ยมตามบ้าน ผู้ที่เชื่อจะได้รับฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าและมาเข้าร่วมนมัสการ ผมถึงกับอดอาหารอธิษฐานสัปดาห์ละสองหรือสามครั้ง แต่คริสตจักรก็ไม่ได้รื้อฟื้นขึ้นมาเลย แม้แต่ความเชื่อของผมเองก็จางลง และตัวผมไม่รู้สึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง ตอนนี้ผมรู้แล้ว ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจช่วงระยะใหม่เพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ภายใต้พระนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กำลังก้าวทันพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า เราไม่ได้รับการค้ำจุนแห่งพระวจนะในปัจจุบันของพระเจ้า หรือการทรงนำของพระวิญญาณ เราร่วงหล่นสู่ความมืดมิด มีเพียงการยอมรับในความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย และอธิษฐานในพระนาม อ่านพระวจนะของพระองค์เท่านั้น ที่จะทำให้เราได้รับการทรงนำและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้
พวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนหนึ่งในตอนจบของหนัง “จากพระราชกิจของพระยาห์เวห์จนถึงพระราชกิจของพระเยซู และจากพระราชกิจของพระเยซูมาจนถึงพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน สามช่วงระยะนี้ครอบคลุมแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าให้เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกัน และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว นับตั้งแต่การสร้างโลก พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์อยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์ทรงเป็นปฐมและอวสาน และพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเริ่มต้นยุคหนึ่งและองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสิ้นสุดยุคนั้น พระราชกิจสามช่วงระยะในยุคที่แตกต่างกันและในสถานที่ที่แตกต่างกันนั้น คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวอย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ พวกที่แยกช่วงระยะทั้งสามนี้ออกจากกันล้วนยืนต่อต้านพระเจ้า บัดนี้จำเป็นที่เจ้าจะต้องเข้าใจว่าพระราชกิจทั้งหมดจากช่วงระยะแรกจนถึงทุกวันนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว พระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว ไม่อาจมีข้อสงสัยในการนี้ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) ผมเลยยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่า พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ล้วนเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงมีพระนามที่ต่างกันและทรงพระราชกิจที่ต่างกันในแต่ละยุค แต่พระองค์ทรงพระราชกิจตามความจำเป็นของมนุษย์เสมอ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปิดข้อล้ำลึกเหล่านี้ได้ และผมก็รู้ในหัวใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา การยอมรับในพระนามแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ใช่การทรยศต่อองค์พระเยซูเจ้า แต่มันคือการก้าวทันย่างพระบาทแห่งพระเมษโปดก อย่างที่วิวรณ์กล่าวไว้ว่า “เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” (วิวรณ์ 14:4)
ผมติดต่อกับพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางโทรศัพท์ ผ่านการชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพวกเขา ผมได้เข้าใจความจริงบางอย่าง และข้อพิศวงมากมายที่ผมมีในความเชื่อก็ได้รับการแก้ไข ผมได้รับการค้ำจุนทางจิตวิญญาณมากมายเลยครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกพาขึ้นไปเบื้องหน้าพระบัลลังก์และได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของพระเมษโปดกแล้วจริงๆ ครับ ผมขอขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแท้จริง
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ