ความพลิกผันในการเดินทางไปหาพระเจ้า
โดย ซุนยวี่ ประเทศจีน ปี 2000 ฉันได้มาเป็นคริสเตียน ศิษยาภิบาลชาวเกาหลีใต้ จะเทศน์ให้เราฟังค่อนข้างบ่อย ในการปรนนิบัติครั้งหนึ่ง...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ผมเกิดในครอบครัวคริสเตียน พ่อของผมพูดอยู่บ่อยๆ ว่า “การเชื่อในพระเจ้าจะทำให้บาปของเราได้รับการอภัย และเราก็ไม่เปี่ยมบาปอีกต่อไป พอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์ก็จะพาเราเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ เพราะในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด’ (โรม 10:10)” ดังนั้นตลอดหลายปี ผมเลยเชื่อว่าความเชื่อทำให้ผมชอบธรรมและได้รับการช่วยให้รอด และผมจะได้เข้าสู่สวรรค์ ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่กล่าวว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย” (มัทธิว 18:3) “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” (มัทธิว 7:21) สิ่งนี้ทำให้ผมสับสนมาก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่ามีเพียงผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาเท่านั้นที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ และทรงบอกเราไม่ให้เกลียดชังหรืออิจฉาคนอื่น แต่ให้รักกันไว้ ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้ใช้ชีวิตตามนี้ ผมโกหกและคดโกงอยู่ตลอดเวลาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และผมก็ไม่อดทนกับพี่น้องชายหญิงมากนัก ผมไม่สามารถรักคนอื่นเหมือนที่รักตัวเองได้ พออะไรๆ เกิดผิดพลาด ผมก็โทษพระเจ้า ผมไม่ได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ผมรักษาพระบัญญัติไม่ได้ และไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผมจะได้เข้าสู่สวรรค์ได้ยังไงกัน ต่อมา พระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในใจว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45) ผมมักจะทำบาปและสารภาพบาปอยู่เสมอ ยังคงเกี่ยวพันอยู่กับบาป เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงรับผมขึ้นสู่สวรรค์ไหม ผมเฝ้าศึกษาพระคัมภีร์ พยายามหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้ ผมอ่านพระคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังไม่เจอหนทางกำจัดบาป ผมนึกถึงสิ่งที่เปาโลได้กล่าวไว้ว่า “โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้” (โรม 7:24) ขนาดเปาโลยังหาไม่เจอเลย แล้วผมจะหาเจอได้ยังไง ผมเองก็ไม่ได้เด็กแล้ว แถมยังเป็นผู้ที่เชื่อมาทั้งชีวิต แต่ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะได้เข้าสู่สวรรค์ไหม ผมรู้สึกสมเพชและสิ้นหวังมาก ผมอยากหาหนทางเข้าสู่สวรรค์ให้เจอมากๆ และได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสงบสุขในที่สุด ผมเลยเริ่มไปเยี่ยมเยียนคริสเตียนอาวุโสที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าพวกเขาบังเอิญอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่พวกเขาก็ช่วยผมไม่ได้เช่นกัน ผมไปเข้าร่วมการชุมนุมของนิกายอื่นๆ แต่พวกเขาก็เอาแต่พูดเรื่องเดิมๆ เรื่องความเชื่อทำให้ได้รับความชอบธรรมและการช่วยให้รอด ผมรู้สึกผิดหวังมาก
ด้วยโอกาสที่ไม่คาดคิดทำให้ผมได้เริ่มเรียนที่โรงเรียนสอนศาสนาซึ่งดำเนินการโดยชาวต่างชาติ ผมคิดว่าการเทศนาธรรมของชาวต่างชาติคงจะดี และผมมั่นใจว่าจะได้คำตอบจากที่นั่นแน่ๆ ผมไปเรียนอยู่ที่นั่นสองเดือนด้วยความเชื่อเต็มเปี่ยม น่าเสียดายที่ศิษยาภิบาลเอาแต่สอนแบบอ่านจากหนังสือ เรื่องประวัติของคริสตจักร ชีวิตของพระเยซู ภาพรวมของพันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม และอื่นๆ เขาไม่เคยพูดเรื่องหนทางแห่งชีวิตเลย ค่ำวันหนึ่งหลังทานมื้อเย็นเสร็จ ผมก็ถามศิษยาภิบาลว่า “เล่าเรื่องหนทางแห่งชีวิตให้เราฟังหน่อยได้ไหมครับ” เขาบอกว่า “นั่นแหละสิ่งที่เราสอนกันที่นี่ เราเป็นองค์กรด้านศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้รับการยอมรับในระดับสากล พอผ่านไปสามปี คุณก็จะได้ใบประกาศศิษยาภิบาลสากล จากนั้นคุณก็สามารถประกาศข่าวประเสริฐและจัดตั้งคริสตจักรที่ไหนก็ได้บนโลก” ผมพบว่านี่มันน่าผิดหวังมากๆ ผมไม่ได้อยากเป็นศิษยาภิบาล ผมแค่อยากรู้วิธีที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ ผมเลยถามไปว่า “ถ้าใบประกาศนั่นดีนัก ผมใช้มันเพื่อเข้าสู่สวรรค์ได้ไหมครับ” ศิษยาภิบาลไม่ได้ตอบอะไร ผมเลยถามต่อว่า “ผมได้ยินมาว่าคุณเชื่อมาหลายสิบปีแล้ว คุณได้รับการช่วยให้รอดหรือยังครับ คุณได้เข้าสู่สวรรค์ไหม” เขาพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “แน่นอน! ผมมั่นใจว่าจะได้เข้าสู่สวรรค์แน่ๆ” ผมเลยถามไปว่า “คุณเอาอะไรมาอ้างแบบนั้นครับ คุณรักคนอื่นเหมือนที่รักตัวเองไหม คุณได้กำจัดบาปในตัวเองและตอนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วเหรอครับ คุณกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยแล้วเหรอ เราอดไม่ได้ที่จะทำบาปและต่อต้านคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ตลอด เราทำบาปในตอนกลางวันและสารภาพบาปในตอนกลางคืน พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ คุณกำลังบอกว่ามนุษย์ที่เปี่ยมบาปอย่างเราสามารถเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้เหรอครับ” หลังจากผมถามคำถามพวกนี้ไป เขาก็หน้าแดงก่ำและไม่พูดอะไรเลย ผมเสียใจมากๆ เลยลาออกจากโรงเรียนสอนศาสนาและกลับบ้าน
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมผิดหวังและรู้สึกเหมือนความหวังสุดท้ายถูกทำลายลงอย่างราบคาบ ผมไม่รู้เลยว่าจะไปหาหนทางสู่สวรรค์ได้จากไหน แล้วใบหน้าเปื้อนน้ำตาของชายชราผู้เป็นพ่อของผมก็ผุดขึ้นมาในความคิด ตลอดทั้งชีวิตพ่อประกาศเรื่องการได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ และเมื่อตายไปเราก็จะได้เข้าสู่สวรรค์ แต่พ่อกลับตายไปพร้อมความเสียใจ ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาทั้งชีวิต และพร่ำบอกผู้คนทุกวันว่าเมื่อตายไปพวกเขาจะได้เข้าสู่สวรรค์ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่แน่ใจว่าจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยังไง ผมจะตายไปพร้อมความเสียใจเหมือนพ่อไหม จู่ๆ ผมก็นึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ขึ้นมาว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” (มัทธิว 7:7) “องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงสัตย์ซื่อ” ผมคิด “ผมยอมแพ้ไม่ได้! ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่ ฉันจะค้นหาหนทางสู่สวรรค์ต่อไป” ผมไปเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่ออธิษฐานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าที่รัก ข้าพระองค์เฝ้าหาหนทางในการกำจัดบาปและได้เข้าสู่สวรรค์มาทุกหนแห่ง แต่ก็ไม่มีใครช่วยข้าพระองค์ได้เลย โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรทำยังไงดี ข้าพระองค์เป็นนักเทศน์ที่พร่ำบอกผู้คนทุกวี่วันให้เข้มแข็งในความเชื่อของพวกเขา และอดทนจนถึงท้ายที่สุดเพื่อจะได้เข้าสู่สวรรค์ แต่ตอนนี้ แม้แต่ตัวข้าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดบาปและเข้าสู่สวรรค์ได้ยังไง ข้าพระองค์ไม่ใช่คนตาบอดที่นำหมู่คนตาบอดทั้งปวงสู่บาดาลงั้นหรือ โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพระองค์จะหาหนทางสู่สวรรค์ได้จากที่ไหน ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ที”
พอผมกลับถึงบ้าน ผมก็ได้ยินว่าสมาชิกและผู้นำที่ดีของคริสตจักรหลายคนหันไปเข้าร่วมกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ผู้คนต่างพูดว่าการเทศนาธรรมของพวกเขานั้นดีแค่ไหน พูดว่าพวกเขามีความสว่างใหม่ ถึงขนาดจุดประกายความชื่นชมในตัวศิษยาภิบาลบางคนด้วย ผมคิดว่า “ฉันไม่เคยพบคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเลยได้ยังไง ถ้าวันหนึ่งได้พบกับพวกเขาก็คงเยี่ยมไปเลย! ฉันต้องไปแสวงหากับพวกเขา ดูว่าทำไมการเทศนาธรรมของพวกเขาถึงยอดเยี่ยมนัก และพวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาของฉันได้ไหม”
วันหนึ่ง พี่ชายหวังจากคริสตจักรของผมได้แวะมาหา บอกว่าญาติสองคนของเขาที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาเยี่ยม และเขาก็ขอให้ผมแวะไปบ้าง ผมดีใจมากตอนที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เราก็เลยรีบไปที่บ้านของเขา เราแนะนำตัวเอง และผมก็เล่าปัญหาของผมให้พวกเขาฟัง บอกว่า “ผมเชื่อมาเสมอว่าการได้รับบัพติศมาแปลว่าเราได้รับการช่วยให้รอด ว่าการเชื่อในหัวใจและสารภาพบาปด้วยปาก แปลว่าเราได้รับความชอบธรรมด้วยความเชื่อ และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงยกเราขึ้นสู่สวรรค์ แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ผมสับสนว่าตัวเองจะได้เข้าสู่สวรรค์หรือไม่ ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ (ฮีบรู 12:14) ตัวผมและพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรต่างทำบาปอยู่ตลอดเวลา และผมก็ไม่คิดว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาปอย่างเราจะสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ ผมอยากรู้ว่าทำยังไงเราถึงจะได้เข้าสู่สวรรค์กันแน่ คุณช่วยสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับผมหน่อยได้ไหมครับ”
พี่สาวโจวยิ้มและพูดว่า “การเข้าสู่สวรรค์เป็นความกังวลหลักของคริสตชนทุกคน ในเรื่องนี้ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงบอกเราไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้’ (มัทธิว 7:21) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชัดเจนมาก ว่ามีเพียงผู้ปฏิบัติพระวจนะของพระองค์และทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เคยตรัสว่าเมื่อเราได้รับการช่วยให้รอดครั้งหนึ่ง เราจะรอดตลอดไป หรือตรัสว่าเราได้รับความชอบธรรมด้วยความเชื่อแล้วจึงเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ การได้รับความชอบธรรมด้วยความเชื่อเป็นสิ่งที่เปาโลคิดขึ้นมาเอง เปาโลเป็นเพียงอัครสาวก เป็นคนเสื่อมทราม เขาไม่ใช่พระคริสต์ และคำพูดของเขาก็ไม่ใช่พระวจนะของพระคริสต์ เราพึ่งพาคำพูดของเขาเพื่อจะเข้าสู่สวรรค์ไม่ได้ มีเพียงพระเยซูเจ้าเท่านั้นคือองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นราชาแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ มีเพียงพระวจนะของพระองค์ที่มีสิทธิอำนาจและเป็นความจริง มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และไม่สามารถกำหนดมาตรฐานในการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ เราทำตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเรื่องนี้ได้เท่านั้น เราไม่สามารถทำตามคำพูดของเปาโล แค่นั้นเอง” จากนั้น พี่โจวได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เราฟังหลายบทตอน เรื่องการได้รับความชอบธรรมและการช่วยให้รอดด้วยความเชื่อหมายถึงอะไร รวมถึงเรื่องการได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่สวรรค์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ณ เวลานั้นพระราชกิจของพระเยซูคือพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง บาปต่างๆ ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการอภัย ตราบเท่าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ พระองค์จะทรงไถ่เจ้า หากเจ้าเชื่อในพระองค์ เจ้าก็ไม่มีบาปอีกต่อไป เจ้าได้รับการปลดเปลื้องจากบาปของเจ้า นี่คือความหมายของการได้รับการช่วยให้รอดและการมีความชอบธรรมจากความเชื่อ แต่ถึงกระนั้นในตัวผู้ที่เชื่อก็ยังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า และสิ่งที่ยังคงต้องค่อยๆ ขจัดออกไป ความรอดมิได้หมายความว่ามนุษย์ต้องได้รับการรับไว้โดยพระเยซูอย่างสมบูรณ์ แต่หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีบาปอีกต่อไป หมายความว่าเขาได้รับการอภัยบาปของเขาแล้ว หากว่าเจ้าเชื่อ เจ้าจะไม่มีวันมีบาปอีก” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2)) “เจ้ารู้เพียงว่าพระเยซูจะเสด็จลงมาในระหว่างยุคสุดท้าย แต่พระองค์จะเสด็จลงมาอย่างไรกันแน่เล่า? คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์ เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง? ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น! เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์) “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)
จากนั้นพี่สาวหวังได้สามัคคีธรรมว่า “ปลายยุคธรรมบัญญัติ ซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ และมนุษย์ก็ทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกประหารชีวิตตามธรรมบัญญัติ องค์พระเยซูเจ้าจึงทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ และด้วยการถูกตรึงกางเขน พระองค์ได้ทรงกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์และทรงอภัยแก่บาปของมนุษย์ ตอนนั้นเราแค่ต้องเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า สารภาพบาปและกลับใจต่อพระองค์ แล้วบาปของเราก็ได้รับการอภัย และเราก็สามารถเพลิดเพลินกับพระคุณที่พระองค์ประทานแก่เราได้ นี่คือความรอดสำหรับมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ ‘ความรอด’ นี้ หมายถึงการเป็นอิสระจากการถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษและสาปแช่ง และไม่กลับไปถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษอีก นี่คือ ‘การได้รับการช่วยให้รอดด้วยความเชื่อ’ การได้รับความชอบธรรมด้วยความเชื่อไม่ได้แปลว่าเรากลายเป็นคนชอบธรรม การได้รับความชอบธรรมและช่วยให้รอดด้วยความเชื่อ ไม่ได้แปลว่าเราไร้ซึ่งบาป ว่าเราบริสุทธิ์และได้รับความรอดโดยสมบูรณ์ หรือแปลว่าเราสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ แม้บาปของเราได้รับการอภัยไปแล้ว ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราก็ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ภายใน เรายังสามารถโกหก คดโกง อิจฉาและเกลียดชังคนอื่นได้ และเราก็ทำบาป รวมถึงต่อต้านพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง คนที่เปี่ยมด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน คนที่ไม่เชื่อฟังและต่อต้านพระเจ้าอย่างพวกเรา จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยังไง นั่นเป็นเหตุผลที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่าจะกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาแล้วในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงที่ชำระเราให้สะอาดและช่วยเราให้รอด อีกทั้งกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อแก้ไขธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา และเพื่อช่วยเราให้รอดจากบาปโดยสมบูรณ์ รวมถึงชำระเราให้บริสุทธิ์เพื่อให้เราเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) ‘เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:47-48) และใน 1 เปโตรก็กล่าวว่า: ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ (1 เปโตร 4:17) โดยการได้รับประสบการณ์พระราชกิจการไถ่แห่งยุคพระคุณ เราสามารถเพลิดเพลินกับพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับการอภัยบาปเท่านั้น เราไม่สามารถกำจัดบาปหรือได้รับการชำระให้สะอาดได้ นั่นคือเหตุผลที่เราต้องยอมรับและเชื่อฟังพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และกลับใจอย่างแท้จริง รวมถึงได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม เพื่อที่จะได้เป็นอิสระจากบาปและได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ เราถึงรอดจากความวิบัติได้ และพระเจ้าก็จะทรงนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”
การสามัคคีธรรมของพี่สาวทำให้ผมตาสว่างจริงๆ ครับ แนวคิดเรื่องการได้รับความรอดโดยความเชื่อและการเข้าสู่สวรรค์ เป็นเพียงการจินตนาการของเราและขัดกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ไม่ใช่พระราชกิจแห่งการล้างบาป ดังนั้น ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปจึงยังอยู่ในตัวเรา และเราก็อดไม่ได้ที่จะทำบาปและต่อต้านพระองค์ ไม่แปลกใจที่ตลอดหลายปีนั้นผมไม่สามารถเป็นอิสระจากบาปได้ ไม่ว่าผมจะละทิ้งเนื้อหนังหรือสงบตัวเองลงยังไง สรุปว่าเป็นเพราะธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของผม เพราะผมไม่ได้รับประสบการณ์ในพระราชกิจใหม่ของพระเจ้านี่เอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อถอนรากธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเรา และเพื่อชำระเราให้สะอาดรวมถึงช่วยเราให้รอดโดยสมบูรณ์ นี่คือสิ่งที่เราต้องการ และมันยอดเยี่ยมมากครับ! แต่ผมก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงพิพากษาและชำระเราให้สะอาดในยุคสุดท้ายยังไง ผมจึงถามพี่สาวในเรื่องนี้
พี่หวังก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ผมฟังอีกบทตอนหนึ่ง: “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)
จากนั้นเธอได้สามัคคีธรรมต่อว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระเราให้สะอาดในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงเผยให้เห็นถึงธรรมชาติและอุปนิสัยต่อต้านพระเจ้าเยี่ยงซาตานของมนุษย์ ผ่านการพิพากษาและการเผยพระวจนะของพระองค์รวมถึงข้อเท็จจริง ทำให้เราเห็นว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามแค่ไหน เราโอหัง หลอกลวง เกลียดชังความจริง ไร้เมตตา และชั่วร้ายโดยธรรมชาติ อุปนิสัยเยี่ยงซาตานเต็มเปี่ยมอยู่ในทั่วทุกอณูของเรา และเราดูแทบไม่เหมือนมนุษย์เลย การถูกควบคุมด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามพวกนี้ ทำให้เราอดไม่ได้ที่จะต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า ตัวอย่างเช่น เวลาทำงานและทำการประกาศ เราก็มักจะยกย่องและโอ้อวดตัวเอง เพื่อให้ได้รับการยกย่องจากคนอื่น เราจะยอมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เราแข่งกันเพื่อศักดิ์ศรีและวางอุบายใส่กัน เราอิจฉาและรังเกียจใครก็ตามที่ดีกว่าเรา เราทุ่มเทตัวเองแค่เพื่อพระพรและเพื่อได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ อีกทั้งเราตำหนิและเข้าใจพระเจ้าผิดในนาทีที่เกิดเรื่องผิดพลาดที่บ้าน การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าทำให้เราเห็นถึงความเสื่อมทรามของตัวเอง แล้วเราก็ได้เกลียดธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตัวเองอย่างแท้จริง เราเริ่มรู้สึกสำนึกผิดและเกลียดตัวเอง จากนั้นเราก็กลับใจต่อพระเจ้า เรายังได้รู้ถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าเล็กน้อยด้วย เราเริ่มกลัวและเริ่มนบนอบต่อพระเจ้า เราสามารถตั้งใจละทิ้งเนื้อหนังของตัวเองและปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าได้ และเราก็สามารถทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างที่เหมาะสม และเริ่มใช้ชีวิตที่คล้ายมนุษย์บ้าง ด้วยการได้รับประสบการณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้เราได้รู้สึกว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามแค่ไหน และเราต้องยอมรับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า ว่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราต้องได้รับการชำระให้สะอาด เราไม่สามารถต่อต้านพระเจ้าได้อีกต่อไป และนั่นคือทางเดียวที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า”
พอได้ยินการสามัคคีธรรมเหล่านี้หัวใจของผมก็สว่างขึ้น ถ้าเรายอมรับแค่พระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ แต่ไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อให้เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาทั้งชีวิต บาปก็จะผูกมัดเราไว้เสมอ และเราจะไม่มีวันทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ การที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ คือหนทางเดียวในการเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์! ผมตามหาหนทางสู่สวรรค์ไปทั่วทุกแห่งหนมาหลายปี และสุดท้ายตอนนี้ผมก็พบแล้วครับ ผมน้ำตานองด้วยความปีติ ความปรารถนาอันยาวนานของผมลุล่วงแล้วครับ นี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา! ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าประสูติ สิเมโอนนั้นแสนสุขเพียงแปดวันนับจากที่พระองค์ประสูติ การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าในช่วงชีวิตของผม ทำให้ผมมีความสุขและรู้สึกได้รับพระพรยิ่งกว่าสิเมโอนอีก! ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จริงๆ ครับ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ซุนยวี่ ประเทศจีน ปี 2000 ฉันได้มาเป็นคริสเตียน ศิษยาภิบาลชาวเกาหลีใต้ จะเทศน์ให้เราฟังค่อนข้างบ่อย ในการปรนนิบัติครั้งหนึ่ง...
โดย Sheila, เคนยา ฉันเกิดในครอบครัวคาทอลิกค่ะ บาทหลวงของเราพูดเสมอว่า เราควรติดตามพระบัญญัติของพระเจ้า มอบความรักให้แก่กัน เข้าพิธีมิสซา...
โดย Kemu, เกาหลีใต้ ตอนต้นปี 2017 ภรรยากับลูกสาวของผม ย้ายตามผมมาที่เกาหลีใต้ ถึงผมจะตื่นเต้นดีใจ...
โดย Zhao Xin, ไต้หวัน ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้เข้าร่วมการชุมนุมกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก...