ฉันได้พบเส้นทางแห่งการสะอาดจากบาปแล้ว

วันที่ 13 เดือน 10 ปี 2020

โดย Weixiao, เกาหลีใต้

การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(“พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ไขคำตอบให้สิ่งที่ฉันสับสนมานาน ในการเชื่อ ฉันเคยอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและสารภาพบาปอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะโกหกและทำบาปอีก ถ้ามีอะไรไม่เป็นไปตามทางของฉัน ฉันก็จะอารมณ์เสีย และฉันก็ไม่สามารถรักษาคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือเป็นอิสระจากบาปได้ มันทำให้ฉันเจ็บปวดมากค่ะ ฉันถามศิษยาภิบาลหลายคนเรื่องนี้ แต่ก็ไม่เคยพบทางออกเลย ฉันจะคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์ แล้วคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาปอย่างฉันจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง” แต่พอฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในที่สุดฉันก็ได้พบเส้นทางที่จะเป็นอิสระจากบาปและสะอาดจากความเสื่อมทรามค่ะ

ฉันได้ไปที่คริสตจักรของนิกายเพรสไบทีเรียนในเกาหลีใต้ในฐานะผู้เชื่อใหม่ ศิษยาภิบาลของเรามักจะพูดว่า “พวกเราเป็นคนบาป เราเต็มไปด้วยบาปแต่อย่ากลัวเลย—องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแก่เรา ตราบเท่าที่เราอธิษฐานและสารภาพบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงอภัยให้เรา และเมื่อพระองค์ทรงกลับมา พระองค์จะทรงพาเราขึ้นสู่สวรรค์” ฉันรู้สึกขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า และรู้สึกว่าความรักที่พระองค์มีต่อเรานั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทุกครั้งที่ฉันพูดโกหกหรือทำบาป ฉันก็จะอธิษฐาน สารภาพบาป และกลับใจ แล้วก็จะรู้สึกสงบสุขและปีติ ฉันรอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาและทรงพาฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์แทบไม่ไหว แต่พอเวลาผ่านไป ฉันก็พบว่าตัวเองทำบาปและสารภาพบาปจนเป็นกิจวัตร ฉันดื้อรั้นและอารมณ์เสียง่ายเป็นพิเศษ ถ้าสามีพูดหรือทำอะไรที่ฉันไม่ชอบ ฉันก็จะตำหนิและทะเลาะกับเขา แต่หลังจากนั้นฉันก็จะเสียใจที่ไม่มีความอดทนเลย โดยเฉพาะตอนที่ได้อ่านพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง(มัทธิว 22:39) ฉันรู้สึกแย่สุดๆ เลยค่ะ ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถอดทนกับครอบครัว ยิ่งรักคนอื่นเหมือนรักตนเองยิ่งไม่เลย ฉันหอบความผิดหวังไปหาศิษยาภิบาลและที่ปรึกษาหลายครั้งเพื่อแสวงหาเส้นทางรอดพ้นจากบาป แต่พวกเขาก็แค่บอกให้ฉันอธิษฐานและสารภาพบาปมากขึ้น ความสับสนของฉันยังอยู่ และฉันนึกสงสัยว่าฉันจะเป็นไปตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้เข้าสู่สวรรค์ไหม ถ้าหลังจากอธิษฐานและสารภาพบาปไปแล้วฉันยังทำบาปแบบเดิมๆ อยู่ ไม่มีทางค่ะ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย(ฮีบรู 10:26) สิ่งนั้นทำให้ฉันหวาดกลัวและอยู่ไม่สุข แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ฉันได้แต่อธิษฐานให้มากขึ้นและวอนขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบความเข็มแข็งให้ฉันไม่ทำบาป ฉันพยายามควบคุมตัวเองในจังหวะนั้น แต่ฉันก็ยังอยู่ในเงื้อมมือของบาปอยู่ดี เวลาผ่านไป สิ่งนี้ก็ทำให้ฉันเหนื่อยและหดหู่มาก ฉันจะลุกออกจากเตียงทุกชั่วโมงและอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งน้ำตา วอนขอให้พระองค์ทรงช่วยให้ฉันได้พบกับเส้นทางที่จะรอดพ้นจากบาป

ต่อมา มีเพื่อนคนหนึ่งชวนให้ฉันไปเข้าร่วมคริสตจักรของเธอ หลังจากไปได้สักระยะ ฉันก็ตระหนักได้ว่าการเทศนาธรรมของศิษยาภิบาลส่วนใหญ่ก็เหมือนๆ กันและไม่ได้มีความสว่างอะไร แถมเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องการรอดพ้นจากบาปเลย ฉันรู้สึกผิดหวังมากค่ะ โดยเฉพาะเวลาฉันเห็นผู้อาวุโสที่ทำงานให้คริสตจักรมากว่าสี่สิบปี คนที่ดูเหมือนมีศรัทธาและเป็นที่เคารพนับถือ จะไปยังสถานที่หรูหราเพื่อประกาศ กระหายความสุขทางเนื้อหนัง จุดแตกหักจริงๆ ของฉันคือตอนที่เห็นว่าตลอดชีวิตเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45) คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาปและไม่คู่ควรกับการมองดูพระเจ้า พวกเขาจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้เหรอ ผู้อาวุโสคนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยตลอดสี่สิบปีแห่งการเชื่อ การเปลี่ยนแปลงสำหรับฉันเลยดูยากขึ้นไปอีก ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสจะปลอบใจเราด้วยการบอกว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนและไถ่พวกเราจากบาป เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรกังวลเรื่องการทำบาปนะ” แต่ความเป็นจริงคือ หลังจากเชื่อมาหลายปีเราก็ยังทำบาปต่อเนื่องและเต็มไปด้วยความโสโครก พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ แล้วคนบาปอย่างเราจะมองพระพักตร์ของพระองค์ได้ยังไง ความคิดเหล่านี้เจ็บปวดมาก และทำให้ฉันรู้สึกสิ้นหวัง ฉันสงสัยว่า ฉันจะเป็นอิสระจากบาปได้ยังไง ฉันนึกถึงพี่สาวจื่อซิ่วซึ่งเป็นเพื่อนที่แสนดีคนหนึ่งขึ้นมา เธอเป็นผู้เชื่อที่มีศรัทธาและรอบคอบมาก ฉันคิดว่าฉันจะคุยกับเธอ แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาหลายปีแล้ว และศิษยาภิบาลของเราก็ยืนยันว่าเราควรอยู่ห่างจากผู้ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไว้ ตอนนั้นฉันก็ลังเลนะคะ แต่แล้วฉันก็คิดถึงการที่ฉันติดอยู่ในบาป แถมศิษยาภิบาลก็ไม่มีคำตอบใดๆ ขึ้นมา เธอเป็นเพื่อนที่ดีของฉันมาหลายปี และเป็นคนมีความสามารถด้วย ฉันจึงคิดว่าเธอน่าจะมีข้อเสนอแนะบ้าง ฉันเลยตัดสินใจนัดวันเพื่อไปหาเธอ

ตอนที่เราเจอกัน ฉันเห็นคนที่หน้าไม่คุ้นอยู่สองสามคน ทุกคนดูภูมิฐานและซื่อตรง แถมพวกเขายังเป็นมิตรมากๆ ฉันคิดว่าพวกเขามาจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเลยเริ่มระวังตัวไว้ ตอนที่พวกเขาเริ่มพูดคุยกันเรื่องความเชื่อ ฉันก็ไม่รับฟังสิ่งที่พวกเขาพูดเลย และฉันก็ไม่อยากพูดอะไรมากด้วย จากนั้น พี่สาวคนหนึ่งได้พูดในการสามัคคีธรรมว่า “มีผู้ที่เชื่อหลายคนคิด ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงรับเอาบาปของเราไปโดยการถูกตรึงกางเขน คิดว่าพระเจ้าไม่เห็นบาปของเราแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงรับเราขึ้นสู่ราชอาณาจักรของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา แต่นั่นถูกต้องเหรอคะ ถึงแม้บาปของเราจะได้รับการอภัยผ่านการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า เราไม่ทำบาปอย่างโจ่งแจ้ง และดูเหมือนว่าเราจะทำตัวดีแล้ว แต่นั่นแปลว่าเราได้รับการชำระให้สะอาดจากบาปอย่างหมดจดหรือเปล่า เราโกหกและทำบาปอย่างต่อเนื่อง เราขี้อิจฉาและน่ารังเกียจ เราเต็มไปด้วยความโอหังและหลอกลวง แถมเรายังพูดจาข่มคนอื่นอยู่เสมอ เราทำตามกระแสในทางโลก เราโลภและทะนงตัว เราตัดสินและกล่าวโทษองค์พระผู้เป็นเจ้าเวลามีเรื่องที่เราไม่ชอบเกิดขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้หนีมาไกลจากพันธนาการและโซ่ตรวนแห่งบาปเลย และนี่คือสภาวะที่ผู้เชื่อทุกคนเป็นอยู่ อย่างที่เปาโลกล่าวไว้ในโรมบทที่ 7 ว่า ‘เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ก็ไม่ได้ทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำ ก็ยังทำอยู่’ (โรม 7:18-19) บาปของอัครสาวกเปาโลได้รับการอภัยโดยองค์พระเยซูเจ้า แต่ความผิดหวังอันยิ่งใหญ่ของเขา คือการที่เขายังพันธนาการอยู่กับบาปและไม่สามารถหนีรอดจากมันได้ เขาอดไม่ได้ที่จะทำบาปอยู่ตลอดเวลา นั่นคือเหตุผลที่เขาร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ‘โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้’ (โรม 7:24) เราไม่ได้มีความผิดหวังแบบเปาโลเหรอคะ” คำพูดของเธอทำให้หัวใจของฉันปั่นป่วน นั่นคือความผิดหวังใหญ่หลวงที่สุดของฉัน ฉันไม่สามารถเก็บคำถามนี้เอาไว้ได้ “สิ่งที่คุณเพิ่งพูดมานั้นจริงอยู่ ฉันยังคงทำบาปและสารภาพบาป ใช้ชีวิตอยู่ในบาป และนั่นทำให้ฉันเจ็บปวด แต่สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจคือ องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่เราและทรงอภัยแก่บาปของเราแล้ว ทำไมเราถึงยังทำบาปอยู่คะ ทำไมเราถึงยังหนีจากความเปี่ยมบาปไม่ได้สักที แล้วในระดับนี้ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเราจะถูกพาขึ้นสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ไหมคะ”

เธอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เราฟังสองบทตอนเป็นคำตอบ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

หลังจากนั้นพี่สาวก็ได้สามัคคีธรรมว่า “ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายอมรับพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด รวมถึงสารภาพและกลับใจ บาปของเราก็ได้รับการอภัย และเราจะไม่ถูกกล่าวโทษหรือถูกประหารชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ เราสามารถอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยตรงและเพลิดเพลินกับพระคุณของพระองค์ นี่คือความหมายที่แท้จริงของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม พระองค์แค่ทรงอภัยแก่บาปของมนุษย์ผ่านพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์เท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องเราจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานหรือธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเรา ถึงแม้บาปของเราได้รับการอภัยผ่านการเชื่อ แต่ธรรมชาติที่เปี่ยมบาปและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานก็ยังอยู่ในตัวเรา สิ่งนี้รวมไปถึงความโอหัง ความเห็นแก่ตัว ความเลวทราม ความแข็งกระด้าง และการดูหมิ่นความจริง สิ่งเหล่านี้ดื้อด้านยิ่งกว่าบาปเสียอีก และพวกมันคือรากเหง้าแห่งการทำบาปและต่อต้านพระเจ้าของเรา ถ้าเราไม่แก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของตัวเอง เราก็จะทำบาป สารภาพบาป และทำบาปอีกครั้ง ไม่มีวันอิสระจากโซ่ตรวนแห่งบาป และไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45) องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป(ยอห์น 8:34-35) องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นทรงบริสุทธิ์ ฉะนั้นคนที่ไม่บริสุทธิ์จึงไม่สามารถมองขึ้นไปยังพระองค์ได้ คนที่ทำบาปและต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยๆ อย่างเรา จะคู่ควรกับการมองพระพักตร์ของพระองค์ หรือเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง แล้วปัญหาเรื่องธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของเราจะได้รับการแก้ไขได้ยังไง องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงเผยพระวจนะไว้ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13) และใน 1 เปโตร 4:17 กล่าวว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง และทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า นี่คือหลักในการแก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของมนุษยชาติ และปลดปล่อยเราจากบาปอย่างสมบูรณ์ รวมถึงชำระเราให้สะอาดจากความเสื่อมทราม เราถึงจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าและสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ พระราชกิจของพระเจ้าในยุคพระคุณทำให้บาปของเราได้รับการอภัย แต่มันไม่ได้กำจัดบาปหรือชำระเราให้สะอาดโดยสมบูรณ์ พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเป็นหัวใจสำคัญและเป็นจุดหลักของพระราชกิจแห่งการชำระให้สะอาดและความรอดของพระองค์ มันเป็นระยะสำคัญที่สุดในพระราชกิจช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระองค์ พระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถนำความจริงที่จำเป็นทั้งปวงมาสู่เรา เราถึงจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง รวมถึงเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในชีวิต และกลายเป็นคนที่เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า เป็นคนที่ตรงกับน้ำพระทัยของพระองค์ได้ สิ่งนี้จะทำให้แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าในการข่วยมนุษยชาติให้รอดเสร็จสิ้น”

การสามัคคีธรรมของเธอทำให้ฉันตาสว่างจริงๆ ค่ะ ฉันตระหนักได้ว่า ฉันอดไม่ได้ที่จะทำบาปและสารภาพบาป เพราะธรรมชาติที่เปี่ยมบาปของฉันยังไม่ได้รับการแก้ไข ในการเชื่อนี้ ฉันยังไม่ได้รับประสบการณ์ในระยะสำคัญที่สุดแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ฉันอยากรู้แทบแย่ ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดในยุคสุดท้ายยังไงกันแน่ ศิษยาภิบาลมักจะกล่าวโทษคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่เสมอ ฉันเลยไม่ค่อยไว้ใจ พอลองคิดดูอีกที ตลอดหลายปีมานั้นเขาอ้างว่าพวกเราไร้ซึ่งบาปแล้ว แต่ฉันก็ยังติดอยู่กับความเจ็บปวดของการเปี่ยมบาป ประสบการณ์ของฉันเรื่องนี้มันจริงเกินไป! ฉันรู้ว่าตัวเองหลับหูหลับตาฟังศิษยาภิบาลต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ฉันต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างถ้วนทั่ว และดูว่าพระดำรัสของพระองค์คือพระสุรเสียงของพระเจ้าจริงไหม น่าเศร้าที่มันเริ่มดึกแล้ว เราเลยไม่ได้สามัคคีธรรมกันต่อ

ต่อมา เวลาที่พี่สาวคนนี้ชวนฉันให้ไปเยี่ยมที่คริสตจักรฉันก็ไม่ปฏิเสธเธอ และฉันยังรับหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่เธอให้มาด้วยค่ะ ฉันเลยเริ่มต้นแสวงหาและสอบสวนทางนี้ และฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เยอะมาก ฉันได้เห็นว่าพระองค์ทรงเปิดเผยถึงความลึกลับมากมาย อย่างเช่น ความลึกลับแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า พระนามของพระองค์ เบื้องหน้าเบื้องหลังของพระคัมภีร์ และอีกมากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องใหม่ และเป็นความจริง รวมถึงเป็นความลึกลับที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉันคิดว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยความลึกลับของสวรรค์พวกนี้ และพระองค์ก็สามารถแสดงให้เห็นถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าในการช่วยมนุษยชาติให้รอด ไม่มีมนุษย์คนไหนทำแบบนั้นได้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ น่าจะเป็นพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์สู่คริสตจักร เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ฉันต้องสอบสวนเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”

ฉันยังได้เล่าปัญหาเรื่องการโกหกและทำบาปของตัวเองให้พี่น้องชายหญิงเหล่านี้ฟัง การอารมณ์เสียใส่คนอื่น การขาดความอดทน รวมถึงการไม่รักษาคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันบอกพวกเขาว่าชีวิตในบาปทำให้ฉันเจ็บปวด ฉันถามพี่สาวคนหนึ่งว่า “พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดยังไงคะ ตลอดหลายปีที่เชื่อมาฉันมักจะคิดว่า ถ้าได้ใช้ชีวิตที่เป็นอิสระจากบาปได้ก็คงดี ชีวิตคงจะไม่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน”

เธอเลยให้ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางบทตอน “พระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการตีสอนและการพิพากษาเป็นหลัก โดยการก่อร่างขึ้นบนรากฐานนี้ พระองค์ทรงนำความจริงมาสู่มนุษย์มากขึ้นและชี้ให้เขาเห็นหนทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติที่มากขึ้น ส่งผลให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของพระองค์ในการพิชิตมนุษย์และช่วยเขาให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง นี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

หลังอ่านพระวจนะ พี่สาวก็ได้สามัคคีธรรมต่อว่า “ในพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงที่ชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษยชาติให้รอด พระองค์ทรงเปิดเผยความลึกลับแห่งแผนการบริหารจัดการกว่าหกพันปีของพระเจ้า พระองค์ทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าในทั้งสามระยะ ของพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด เรื่องราวภายในของพระราชกิจแต่ละระยะ และความสำเร็จในแต่ละระยะ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงเส้นทางในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและการชำระให้บริสุทธิ์ในความเชื่อของเรา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงเปิดเผยถึงธรรมชาติและเนื้อแท้ของความเสื่อมทรามของมนุษย์โดยซาตาน และรากเหง้าแห่งความเปี่ยมบาปของเราด้วย สิ่งนี้ทำให้เราได้ไตร่ตรองตัวเอง อีกทั้งได้รู้ถึงธรรมชาติและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่กบฎและต่อต้านพระเจ้าของตัวเอง ได้เห็นว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามมากและไร้ซึ่งความคล้ายมนุษย์โดยสิ้นเชิงแค่ไหน จากนั้นเราจึงได้เริ่มเกลียดตัวเองและไม่อยากมีชีวิตอยู่ในความเสื่อมทรามนี้อีกต่อไป เรายังได้เห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม ศักดิ์สิทธิ์ และมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองแค่ไหน จนเราก็อดไม่ได้ที่จะยำเกรงต่อพระองค์ขึ้นมา เราไม่ทำอะไรตามอำเภอใจ รวมถึงไม่พูดและทำตามที่ตัวเองพอใจอีกต่อไป กลับกัน เราก็เริ่มละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริง เราค่อยๆ ละทิ้งพันธนาการแห่งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง และสิ่งนี้เองที่แก้ไขปัญหาความเปี่ยมบาปและการต่อต้านพระเจ้าของเราอย่างถึงรากเหง้า นี่คือสิ่งที่ไม่มีทางทำสำเร็จได้โดย คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ยอมรับการทรงพิพากษาและชำระให้สะอาดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย”

พี่น้องชายหญิงยังได้แบ่งปันคำพยานของพวกเขาในการก้าวผ่านการพิพากษาผ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยค่ะ พี่สาวคนหนึ่งบอกเรา ว่าตอนที่เธอเริ่มเป็นผู้นำคริสตจักร เธอเอาแต่ใส่ใจเรื่องชื่อและสถานะ เธอรักที่จะมีอำนาจเหนือคนอื่นและทำให้คนอื่นฟังเธอ และถ้าใครมีความเห็นที่ต่างออกไป เธอก็มักจะทำให้พวกเขายอมรับมุมมองของเธอให้ได้ เธอมักจะโอ้อวด ประกาศเรื่องหลักคำสอนอยู่เสมอ แต่ด้วยการพิพากษาและตีแผ่โดยพระวจนะของพระเจ้า เธอก็ตระหนักได้ว่า เธอเอาแต่โอ้อวดในการทำหน้าที่และทำให้ผู้คนยกเธอเป็นแบบอย่าง มันคือการหลอกลวงและการติดกับ ที่จริงแล้วเธอกำลังแข่งกับพระเจ้าเพื่อสถานะ เช่นเดียวกับพวกอัครฑูตสวรรค์ เธอกำลังต่อต้านพระเจ้า เมื่อตระหนักเรื่องนั้นได้เธอก็เต็มไปด้วยความเสียใจ และเกลียดว่าตัวเองโอหังและไร้ยางอายแค่ไหน เธอทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง ถ้าเธอไม่กลับใจ เธอรู้ตัวว่าคงจะถูกพระเจ้ากำจัดและลงโทษแน่ เธอยังได้เห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม บริสุทธิ์ และมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองมากแค่ไหน เธอเลยได้มาเกรงกลัวพระเจ้าค่ะ การถูกพิพากษาและตีสอนในทางนี้หลายๆ ครั้ง ทำให้เธอได้เข้าใจธรรมชาติที่โอหังของตัวเองอย่างแท้จริง จากนั้นจึงได้มาเกลียดตัวเอง เธอไม่โอหังหรือขี้อวดในหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป อีกทั้งสามารถเปิดใจเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของตัวเองได้ เธอยังได้เรียนรู้ที่จะรับฟังความเห็นของคนอื่น เรียนรู้จากพวกเขา และทำงานร่วมกับคนอื่นอีกด้วย เธอสามารถใช้ชีวิตตามลักษณะของมนุษย์ได้แล้วค่ะ

การได้ฟังการสามัคคีธรรมของเธอสอนใจฉันมากๆ ค่ะ ฉันได้เรียนรู้ว่าทางเดียวที่จะเป็นอิสระจากบาปและชำระความเสื่อมทรามของตัวเองให้สะอาดได้ ก็คือการยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย รวมถึงได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการชำระให้สะอาดจากพระวจนะของพระเจ้า จากที่เชื่อมาหลายปี ฉันไม่เคยมีคำพยานจากประสบการณ์แบบนั้นเลย ฉันได้คุยกับนักบวชมากมายและไปคริสตจักรมาหลายที่ แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินคำพยานแบบนั้นเลย ประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ ทำให้ฉันเห็นถึงเส้นทางแห่งการชำระให้สะอาด ได้รับการช่วยโดยสมบูรณ์ และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ฉันตื่นเต้นมาก และฉันรู้จากหัวใจเลยว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาค่ะ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงห่วงเรา พระเจ้าทรงรู้ถึงความเจ็บปวดของเราในการใช้ชีวิตอยู่ในบาป พระองค์จึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ความรักที่พระองค์มีต่อเรานั้นจริงมากๆ ค่ะ

หลังจากนั้น ฉันก็กระตือรือร้นเข้าร่วมการชุมนุม อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไตร่ตรองความเสื่อมทรามของตัวเองในความสว่างของพระวจนะของพระองค์ หลังจากสามีเห็นว่าฉันยอมรับในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ฉันไม่ได้จองหองเหมือนแต่ก่อน และฉันเปลี่ยนไป เขาก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และยอมรับในพระราชกิจของพระองค์เหมือนกันค่ะ เยี่ยมเลย! ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้วิธีที่จะแยกแยะหนทางเทียมเท็จจากหนทางที่แท้จริง การกลับมาอยู่ร่วมกันกับพระเจ้าของฉัน (ส่วนที่ 2)

ใน Xinkao, สหรัฐอเมริกา วิธีที่จะกำหนดพิจารณาหนทางที่แท้จริง (2) พี่น้องชายหลิวยังทำการสามัคคีธรรมของเขาต่อไป โดยพูดว่า...

พระเจ้าทรงมีเพศซึ่งเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ข้าพเจ้าค้นพบการตีความใหม่ประการหนึ่ง (ภาคที่ 2)

โดย เป่าเอิน บราซิล ความล้ำลึกของ “พระบิดา และพระบุตร” ได้รับการเปิดเผยแล้วในที่สุด แม้ว่า ข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความจริงนี้แล้ว...

กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ผมมาเป็นคริสเตียนในปี 1990 มีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่พูดเสมอว่า พระคัมภีร์คือรากฐานของความเชื่อ และเราต้องทำตามพระคัมภีร์ คำพูดเหล่านั้น...

ติดต่อเราผ่าน Messenger