ผมได้ถูกรับขึ้นไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
โดย Zhang Yue, อินโดนีเซีย ตอนอายุ 20 ปี ผมได้รับบัพติศมาและได้หันเข้าหาองค์พระเยซูเจ้า...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันเป็นคริสตชนคนหนึ่ง ในฐานะผู้หญิงวัยเยาว์ ก่อนที่ฉันเริ่มเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันมีแรงขับเคลื่อนแรงกล้ามากที่จะเหนือกว่าคนอื่นๆ ฉันรู้สึกเสมอว่า ฉันได้รับการศึกษามากกว่าแม่ของฉัน และฉันไม่คำนึงถึงคำแนะนำของแม่ของฉันเสมอ แม่ของฉันยังเอาความเห็นตนเป็นใหญ่เป็นอย่างมากอีกด้วย โดยลองพยายามที่จะให้ฉันทำสิ่งที่เธอพูดอยู่เสมอ และดังนั้น พวกเราสองคนจึงผิดใจกันบ่อยครั้งเพราะความคิดเห็นที่ต่างกันของพวกเรา ฉันรู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมากเกี่ยวกับสัมพันธภาพอันอึดอัดใจนี้กับแม่ของฉัน แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนว่า ไม่มีสิ่งใดเลยที่ฉันจะสามารถทำได้เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงการนั้น หลังจากที่ฉันเริ่มเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาพี่น้องชายหญิงของฉันก็ให้การสามัคคีธรรมกับฉัน โดยพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อที่จะไถ่พวกเรา และพระองค์ทรงยกโทษบาปของพวกเราให้พวกเรา เพื่อที่พวกเราจะสามารถชื่นชมพระคุณอันอุดมของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักพวกเรา และทรงสอนพวกเราให้รักเพื่อนบ้านของเราดั่งตัวพวกเราเอง ดังนั้น พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะรักผู้คนอื่นๆ…” ความรักขององค์พระเยซูเจ้าขับเคลื่อนฉันเป็นอย่างมาก และฉันปรารถนาจะปฏิบัติไปตามคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และรักครอบครัวของฉันและผู้ที่อยู่รอบๆ ตัวฉัน หลังจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่ฉันไม่เห็นด้วยกับแม่ของฉันเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตาม ฉันจะปล่อยให้แม่ของฉันพูดก่อน แล้วลองพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่โต้เถียงกับเธอ หากฉันไม่สามารถยืนหยัดระงับปากคำของฉันได้ในเวลานั้น และพวกเราลงเอยด้วยการโต้เถียงเกี่ยวกับบางสิ่ง ฉันจะไปหาเธอและยอมรับความผิดภายหลัง หลังจากผ่านไปสักพัก ฉันรู้สึกราวกับว่าอารมณ์โกรธของฉันได้ดีขึ้นมากแล้ว และสัมพันธภาพของฉันกับแม่ของฉันก็กลายเป็นค่อนข้างเรียบง่ายขึ้น
ตอนนั้นฉันได้คิดว่า สัมพันธภาพของฉันกับแม่ของฉันคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งทั้งหลายก็ไม่ได้กลับกลายเป็นหนทางนั้นทีเดียวนัก เมื่อเวลาผ่านไป ฉันยังคงไร้ความสามารถที่จะควบคุมความใจร้อนของฉัน และฉันก็เริ่มโต้เถียงกับแม่ของฉันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าบางครั้งฉันจะไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย ฉันก็จะยังคงรู้สึกไม่พอใจอยู่ภายใน แม่ของฉันยังต่อว่าฉันอีกด้วย โดยพูดว่า “ตอนนี้ลูกเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่ลูกยังคงมีอารมณ์โกรธแย่ขนาดนั้นอยู่อีก?” การได้ยินเธอพูดเช่นนี้ทำให้ฉันรู้สึกแย่ และฉันก็รู้สึกเหมือนว่า งานหนักที่ฉันทำทั้งหมดและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ฉันได้ก้าวผ่านมาแล้วนั้น สลายไปเปล่าๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดเกี่ยวกับการนั้น แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น แม้ว่าฉันจะต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ฉันก็แค่ไม่อาจสามารถยับยั้งชั่งใจตัวฉันเองไม่ให้อารมณ์เสียตลอดเวลา ในเวลานั้น ฉันมามีคำถามบางคำถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า “เหตุใดฉันจึงยังคงมีข้อโต้แย้งกับแม่ของฉันบ่อยๆ? เหตุใดฉันจึงไม่สามารถยึดตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า? ฉันจะสามารถปลดทิ้งข้อผูกมัดแห่งบาปได้อย่างไร?”
ต่อมา ฉันพูดกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของฉันในคริสตจักรเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพวกเขาบางคนพูดกับฉันว่า “คุณจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การยับยั้งชั่งใจตนเอง ขณะที่สัมพันธภาพของพวกเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้ากลายเป็นใกล้ชิดกันขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็กลายเป็นยอมผ่อนปรนต่อสมาชิกในครอบครัวของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ” และบางคนพูดกับฉันว่า “ช่วงระยะนี้ของชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ เป็นปกติอย่างครบถ้วน แต่การเปลี่ยนแปลงของพวกเราหมุนเป็นเกลียวขึ้นด้านบนเสมอ และสิ่งที่แน่นอนก็คือ ยิ่งพวกเราเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่าใด พวกเราก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จงอย่ามีความกังขาอันใดเลย ความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าครบบริบูรณ์อย่างพร้อมสรรพ และพระองค์จะทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของพวกเรา เพื่อที่พวกเราจะกลายเป็นผู้คนที่ทรงสร้างใหม่” ฉันยังชูใจตัวฉันเองด้วยเช่นกันโดยการคิดว่า “บางทีฉันก็แค่ทำงานไม่หนักเพียงพอกับการนั้น ที่มากไปกว่านั้นคือ ฉันยังไม่ได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลานาน และวุฒิภาวะของฉันก็น้อย และนั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของฉันได้ เมื่อฉันได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลานานแล้ว เช่นนั้นแล้ว ฉันก็ควรมีความสามารถที่จะนำพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปปฏิบัติ” หลังจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่ฉันโต้เถียงกับแม่ของฉันในเรื่องความคิดเห็นที่ต่างกัน ฉันทำเท่าที่ฉันจะสามารถทำได้เพื่อยับยั้งชั่งใจตัวฉันเองไม่ให้โกรธ การปฏิบัติในหนทางนี้บางครั้งบางคราวก็มีผลบางอย่าง แต่ฉันก็ไม่เคยมีความสามารถที่จะยับยั้งชั่งใจตัวฉันเองได้นานเลย ก่อนที่ฉันจะอารมณ์เสียอีกครั้ง ในความเจ็บปวดของฉัน ทั้งหมดที่ฉันจะสามารถทำได้ก็คือ มาอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่ออธิษฐานว่า “โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพระองค์ไม่มีวันสามารถหยุดยั้งตัวข้าพระองค์เองไม่ให้โกรธ และข้าพระองค์ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวข้าพระองค์เอง ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใด ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด?…”
โอกาสโดยบังเอิญได้นำฉันให้ได้ทำความคุ้นเคยกับบรรดาพี่น้องชายหญิงหลายคนทางอินเทอร์เน็ต พวกเราได้ศึกษาพระคัมภีร์และเข้าร่วมในการชุมนุมซึ่งกันและกันบ่อยครั้ง และจะเสวนาซึ่งกันและกันเรื่องความเข้าใจและความรู้ของพวกเราเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหลินนั้นเป็นการให้ความกระจ่างและให้ความรู้แจ้งเป็นพิเศษ ฉันได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากมายจากการสามัคคีธรรมเหล่านั้น และเข้าใจความจริงมากมายซึ่งฉันไม่เคยได้เข้าใจมาก่อน ฉันชื่นชมการเข้าร่วมในการชุมนุมกับบรรดาพี่น้องชายหญิงเหล่านี้จริงๆ
ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พวกเราเสวนาหัวข้อการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า พี่น้องชายหลินส่งข้อพระคัมภีร์สองข้อจากพระคัมภีร์ให้พวกเรา ความว่า “พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้ แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ” (ฮีบรู 9:28) “ผู้ได้รับการคุ้มครองโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าทางความเชื่อให้เข้าในความรอด ซึ่งพร้อมจะปรากฏในวาระสุดท้าย” (1 เปโตร 1:5) จากนั้นเขาได้ให้การสามัคคีธรรมแก่พวกเรา โดยพูดว่า “พวกเราสามารถเห็นได้จากข้อพระคัมภีร์สองข้อนี้ว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจใหม่ เพื่อช่วยพวกเราให้รอดจากข้อผูกมัดแห่งบาปอย่างที่สุด เพื่อที่พวกเราอาจได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และบรรลุความรอดที่แท้จริงของพระเจ้า”
เมื่อได้ฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหลิน ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เขากำลังพูดได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ฉันจึงบอกความคิดเห็นของฉันแก่เขาว่า “ถึงแม้ว่าพวกเรายังคงสามารถทำบาปได้ แต่การตรึงกางเขนขององค์พระเยซูเจ้าได้ไถ่บาปพวกเราแล้ว และพระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงพวกเราว่าเป็นคนบาปอีกต่อไป ที่มากไปกว่านั้นคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ เมื่อพระองค์ทรงอยู่บนกางเขน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความรอดของพระเจ้าครบบริบูรณ์แล้ว และพระราชกิจของพระองค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้วเสร็จแล้ว ดังนั้นแล้ว คุณจะสามารถพูดได้อย่างไรว่า พระเจ้ายังคงทรงมีพระราชกิจใหม่ที่ต้องทำในยุคสุดท้าย?”
พี่น้องชายหลินพูดว่า “พี่น้องหญิง องค์พระเยซูเจ้าทรงหมายความว่าอะไรกันแน่เมื่อพระองค์ตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ บนกางเขน? หากพวกเราทำไปตามความเข้าใจของพวกเราเองและพูดว่า โดยการพูดว่า ‘สำเร็จแล้ว’ องค์พระเยซูเจ้าทรงหมายความว่า พระราชกิจของพระเจ้าแล้วเสร็จแล้วอย่างครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับการทำให้ลุล่วงอย่างไร เมื่อพระองค์ทรงเผยวจนะว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น’ (ยอห์น 16:12-13)? องค์พระผู้เป็นเจ้ายังได้ทรงเผยวจนะไว้อีกด้วยว่า เมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการแยกข้าวสาลีจากฟาง แกะจากแพะ และหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาจากหญิงพรหมจารีที่โง่เขลา ในวิวรณ์ 14:6 กล่าวไว้ว่า ‘แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ’ หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจใหม่ในยุคสุดท้าย คำเผยวจนะเช่นนั้นจะไม่สูญไปเปล่าๆ หรอกหรือ? ดังนั้น การเชื่อของพวกเราว่า โดยการตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ องค์พระเยซูเจ้าทรงหมายความว่า พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้วเสร็จแล้วอย่างครบบริบูรณ์ แน่นอนว่าเป็นความเข้าใจซึ่งเกิดขึ้นจากมโนคติและการจินตนาการของพวกเราเอง และในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทั้งหลายของพระราชกิจของพระเจ้า”
ขณะที่ฉันฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหลิน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า “นั่นถูกต้องแล้ว หากพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดสิ้นสุดไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว คำเผยวจนะซึ่งองค์พระเยซูเจ้าตรัสเหล่านี้ จะบังเกิดขึ้นหรือไม่? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และคำเผยวจนะของพระองค์ไม่อาจสามารถสูญไปเปล่าๆ ได้…”
พี่น้องชายหลินดำเนินการสามัคคีธรรมของเขาต่อไป โดยพูดว่า “ในข้อเท็จจริงตามจริงแล้ว เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ บนกางเขน พระองค์ทรงหมายความว่า พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์ได้รับการทำให้เสร็จสิ้นแล้ว และไม่ได้ทรงหมายความว่า พระราชกิจของพระองค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้วเสร็จแล้วอย่างครบบริบูรณ์ นี่เป็นเพราะ พระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าคือพระราชกิจแห่งการไถ่ และการนั้นทำไปเพื่ออภัยบาปพวกเราจากบาปของพวกเรา อย่างไรก็ตาม การนั้นไม่ได้ขจัดธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเรา ดังนั้น พวกเราจึงจำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะเพิ่มเติม ซึ่งเปลี่ยนแปลงพวกเราและชำระพวกเราให้สะอาดอย่างถ้วนทั่ว ตอนนี้พวกเราลองมาอ่านบางบทตอนซึ่งเป็นการขบประเด็นปัญหานี้กันเถิด” จากนั้นพี่น้องชายหลินจึงอ่านว่า “ดังที่มนุษย์มองเห็นนั้น การตรึงกางเขนของพระเจ้าได้สรุปปิดตัวพระราชกิจแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไปแล้ว ได้ไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงไปแล้ว และได้ทำให้พระองค์ได้ยึดกุญแจสู่แดนคนตายไว้แล้ว ทุกคนคิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบถ้วนแล้ว ในความเป็นจริง จากมุมมองของพระเจ้าแล้วนั้น มีเพียงส่วนเล็กน้อยในพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่ได้สำเร็จลุล่วงไป ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำไปคือการไถ่มวลมนุษย์ พระองค์ยังไม่ได้ทรงพิชิตมวลมนุษย์ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะได้เปลี่ยนโฉมหน้าเยี่ยงซาตานของมนุษย์ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ถึงแม้เนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของเราจะได้ก้าวผ่านความเจ็บปวดของความตาย นั่นไม่ใช่เป้าหมายทั้งหมดของการจุติเป็นมนุษย์ของเรา พระเยซูคือบุตรผู้เป็นที่รักของเราและได้ถูกตรึงที่กางเขนเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ได้สรุปปิดตัวงานของเราอย่างละเอียดถี่ถ้วน พระองค์เพียงแต่ได้ทำส่วนหนึ่งของงานนั้นเท่านั้น’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (6)) “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการล่วงละเมิดของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการล่วงละเมิดของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปส่วนใหญ่ของมวลมนุษย์ตอนกลางวันก็เพื่อที่จะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))
หลังจากที่เขาอ่านจบแล้ว พี่น้องชายหลินก็ดำเนินการสามัคคีธรรมของเขาต่อไป “สองบทตอนนี้พูดอย่างชัดเจนมาก ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์และทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงหนทางแห่ง ‘จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’ (มัทธิว 4:17) และพระองค์ทรงสอนผู้คนให้เข้าใจความจริงมากมาย หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงถูกตรึงกางเขน ด้วยการนั้นจึงเป็นการทำให้พระราชกิจเพื่อไถ่มวลมนุษย์ของพระองค์เสร็จสิ้น เมื่อพวกเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ตราบเท่าที่พวกเรามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกลับใจและสารภาพบาปของพวกเรา เช่นนั้นแล้ว บาปของพวกเราย่อมได้รับการยกโทษ อย่างไรก็ตาม พวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึกมากจนกระทั่งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานเช่นนั้น อาทิ การโอหังและการทะนงตน การเห็นแก่ตัวและน่าเหยียดหยาม การคดโกงและการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง การเป็นคนเลวและการละโมบ ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเราไปแล้ว พวกเราทั้งหมดกระหายความมั่งคั่ง สถานะ ชื่อเสียง และโชคลาภ และก็อย่างที่ผู้คนทางโลกนั้นทำ พวกเราไล่ตามเสาะหาชีวิตแห่งความหรูหราและความชั่วช้า และพวกเราชื่นชมความยินดีแห่งบาป เมื่อพวกเราสมาคมกับผู้อื่น พวกเราคิดเสมอว่า ทรรศนะของพวกเราเองนั้นหลักแหลมเป็นพิเศษ และพวกเราลองพยายามที่จะเหนือกว่าผู้อื่นเสมอ ที่จะทำให้ผู้อื่นฟังพวกเรา และพวกเราไม่มีความยอมผ่อนปรนหรือความอดทนสำหรับผู้คนอื่นๆ พวกเราพบว่าเป็นการยากที่จะเข้ากันได้กับบรรดาเพื่อนๆ และครอบครัวของพวกเราเสียด้วยซ้ำ ดังที่อัครทูตเปาโลพูดว่า ‘ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ก็ไม่ได้ทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำ ก็ยังทำอยู่’ (โรม 7:18-19) พวกเราตกอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดและโซ่ตรวนแห่งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเรา และพวกเราไร้ความสามารถที่จะหยุดยั้งตัวพวกเราเองจากการทำบาปและต้านทานพระเจ้าเป็นนิจศีล แม้ว่าบาปของพวกเราจะได้รับการยกโทษหนึ่งพันครั้งก็ตาม พวกเราก็จะยังคงเป็นผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก เช่นนั้นแล้ว พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่า พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด แล้วเสร็จแล้วอย่างครบบริบูรณ์? หากพระเจ้าไม่ได้เสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงงานและช่วยพวกเราให้รอด พวกเรา—ที่โสโครกและโสมมอย่างครบบริบูรณ์—จะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะพิจารณาตัดสินพระพักตร์ของพระเจ้า และได้รับการอุ้มชูในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้อย่างไร? พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า ‘เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’ (เลวีนิติ 11:45) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และพระอุปนิสัยของพระองค์ชอบธรรมและมิอาจล่วงละเมิดได้ ผลสืบเนื่องที่ตามมาคือ พระเจ้าจะไม่ทรงนำพาผู้คนที่เสื่อมทรามและโสโครกเข้าไปในราชอาณาจักรของพระองค์ มีเพียงโดยการยอมรับการทรงปรากฏและพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเท่านั้น โดยการปลดทิ้งข้อผูกมัดและโซ่ตรวนแห่งบาปและการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเราอย่างถ้วนทั่ว พวกเราจึงจะมีความสามารถที่จะบรรลุความรอดอันครบบริบูรณ์ของพระเจ้า และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะพิจารณาตัดสินพระพักตร์ของพระเจ้า และเข้าสู่สวรรค์”
หลังจากที่ฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหลินแล้ว ฉันคิดกับตัวเองว่า “ตอนนี้พวกเราดำรงชีวิตอยู่ในบาปจริงๆ และไร้ความสามารถที่จะสลัดตัวพวกเราเองให้หลุดพ้น และนี่คือบางสิ่งซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้ แต่พวกเราได้เปลี่ยนแปลงแล้วเล็กน้อย…” และดังนั้น ฉันจึงพูดกับพี่น้องชายหลินว่า “พี่น้องชาย สิ่งที่คุณเพิ่งจะสามัคคีธรรมไปนั้นคือความจริง แน่นอนว่าพวกเรานั้นทำบาปอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ และพวกเรายังไม่ได้ปลดทิ้งข้อผูกมัดแห่งบาป แต่พวกเราได้เปลี่ยนแปลงแล้วเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มที่จะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ตัวอย่างเช่น บรรดาพี่น้องชายหญิงของฉันบางคนในคริสตจักร ดำรงชีวิตอย่างถ่อมใจและไม่เคยโต้เถียงกับใครเลย ผู้เชื่อบางคนมีสัมพันธภาพที่แย่กับคู่สมรสของพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่หลังจากนั้น สัมพันธภาพของพวกเขาก็ดีขึ้น ยังมีบางคนอีกเช่นกันที่เคยทะเลาะวิวาทหรือลบหลู่ผู้คนอื่นๆ เสมอ แต่ตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มที่จะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาก็ได้กลายเป็นยอมผ่อนปรนและอดทน—การนี้ไม่ประกอบขึ้นเป็นการเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ? ฉันคิดว่า ตราบเท่าที่พวกเราไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง และปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นพวกเราย่อมสามารถปลดทิ้งข้อผูกมัดแห่งบาปได้ทีละน้อยๆ และได้รับการชำให้บริสุทธิ์ และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา เมื่อนั้นพวกเราย่อมสามารถได้รับการอุ้มชูขึ้นสู่สวรรค์” พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ เห็นด้วยกับทรรศนะของฉันคนแล้วคนเล่า
พี่น้องชายหลินดำเนินต่อไปอย่างอดทน โดยพูดว่า “ผู้คนมากมายได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม หลังจากที่พวกเขาเริ่มที่จะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่ทะเลาะวิวาทหรือลบหลู่ผู้คนอื่นๆ พวกเขาสามารถเปี่ยมรักต่อผู้อื่น พวกเขาสามารถยอมผ่อนปรนและอดทน และสามารถทั้งให้แก่พวกที่จำเป็นต้องการและอุทิศตัวพวกเขาเองแด่พระเจ้า และอื่นๆ แต่การมีพฤติกรรมอันดีงามประจักษ์แจ้งเหล่านี้ที่ภายนอกนั้น ไม่เป็นการสาธิตแสดงว่า พวกเรากำลังปลดทิ้งข้อผูกมัดแห่งบาป หรือว่าอุปนิสัยของพวกเรากำลังเปลี่ยนแปลง เพราะธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของพวกเรายังคงไม่ได้รับการแก้ไข พวกเราจึงยังคงอยู่ในอันตรายสม่ำเสมอจากการต้านทานพระเจ้าและการทรยศพระเจ้า” เมื่อได้พูดเช่นนี้ไปแล้ว หลังจากนั้นพี่น้องชายหลินจึงอ่านพระวจนะเหล่านี้ให้พวกเราฟัง ความว่า “การเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในพฤติกรรมนั้นไม่มีความยั่งยืน หากไม่มีการปรับเปลี่ยนในอุปนิสัยชีวิตของผู้คนแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ว ด้านเลวทราม ของพวกเขาก็จะแสดงตนออกมา เพราะแหล่งที่มาของการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของพวกเขานั้นคือความเร่าร้อน เมื่อควบคู่ไปกับพระราชกิจบางอย่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ณ เวลานั้นแล้ว มันง่ายที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะกลายเป็นเร่าร้อน หรือไม่ก็แสดงความใจดีมีเมตตาออกมาชั่วเวลาหนึ่ง ในขณะที่พวกผู้ไม่เชื่อพูดกันว่า ‘การทำความประพฤติที่ดีงามหนึ่งอย่างนั้นง่าย สิ่งที่ยากก็คือ การทำความประพฤติที่ดีงามไปตลอดชีวิต’ ผู้คนไร้ความสามารถในการทำความประพฤติที่ดีงามไปทั้งชีวิตของพวกเขา พฤติกรรมของคนเราถูกชี้นำโดยชีวิต ไม่ว่าชีวิตของคนเราคืออะไร พฤติกรรมของคนเราก็คือสิ่งนั้น และเฉพาะพฤติกรรมที่ถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้นที่เป็นตัวแทนชีวิตตลอดจนธรรมชาติของคนเรา สิ่งทั้งหลายซึ่งจอมปลอมไม่สามารถอยู่ได้ยืนยาว…การมีพฤติกรรมดีมิได้มีความหมายเดียวกับการนบนอบต่อพระเจ้า นับประสาอะไรที่นั่นจะมีความหมายเท่ากับการเข้ากันได้กับพระคริสต์ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในพฤติกรรมนั้นมีพื้นฐานอยู่บนคำสอน และเกิดมาจากความรู้สึกเร่าร้อน การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรืออยู่บนความจริง นับประสาอะไรที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นขึ้นอยู่กับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้ว่ามีหลายคราที่บางสิ่งที่ผู้คนทำนั้นได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่นี่ก็มิใช่การแสดงออกของชีวิต นับประสาอะไรที่จะเป็นเรื่องเดียวกับการรู้จักพระเจ้า ไม่สำคัญว่า พฤติกรรมของบุคคลหนึ่งจะดีงามอย่างไร นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่า พวกเขาได้นบนอบต่อพระเจ้า หรือพิสูจน์ว่า พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ” (“ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์)
พี่น้องชายหลินดำเนินการสามัคคีธรรมของเขาต่อไป โดยพูดว่า “บทตอนนี้แสดงให้พวกเราเห็นว่า พฤติอันดีงามมาจากความศรัทธาแรงกล้าและความใจดีของผู้คน ตลอดจนพระราชกิจบางอย่างโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยการละทิ้งเนื้อหนังของพวกเราชั่วเวลาหนึ่ง เช่นนั้นแล้วพวกเราย่อมมีความสามารถที่จะปฏิบัติพฤติกรรมอันดีงามได้ แต่การนี้ไม่เป็นการสาธิตแสดงว่า พวกเราได้รับเอาความจริงเป็นชีวิตของพวกเราแล้ว อีกทั้งการนั้นไม่เป็นการสาธิตแสดงว่า อุปนิสัยของพวกเราได้เปลี่ยนแปลงแล้ว หากธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของพวกเรายังคงไม่ได้รับการแก้ไข โดยผ่านทางพฤติกรรมอันดีงาม พวกเรามีความสามารถที่จะยับยั้งชั่งใจตัวพวกเราเองชั่วเวลาหนึ่ง จากนั้น เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราย่อมลงเอยด้วยการทำการฝ่าฝืนเดียวกันซ้ำอีกอย่างที่พวกเราได้ทำในอดีตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มากจนกระทั่งพวกเราถึงขั้นกลายเป็นสามารถทำสิ่งทั้งหลายซึ่งต่อต้านพระเจ้าได้ทุกเวลา เป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า และแล้วพวกเราย่อมสูญเสียโอกาสของพวกเราที่จะบรรลุความรอดที่แท้จริง ในชีวิตของพวกเรา พวกเราทั้งหมดสามารถซึ้งคุณค่าว่า โดยธรรมดาสามัญทั่วไป พวกเราสามารถปฏิบัติความยอมผ่อนปรนและความอดทนในการสมาคมของพวกเรากับผู้คนอื่นๆ และพวกเราสามารถเลิกโต้เถียงกับพวกเขา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนอื่นๆ เริ่มที่จะละเมิดผลประโยชน์ของพวกเราเอง พวกเราสามารถทำเรื่องเล็กให้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่และโต้เถียงกับพวกเขา และพวกเราสามารถถึงขั้นกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจได้เสียด้วยซ้ำ พี่น้องชายหญิงจำนวนมากสามารถปรากฏเหมือนว่ามีพฤติกรรมอันดีงามอยู่บ้างที่ภายนอก แต่ชั่วขณะที่ความวิบัติจากธรรมชาติหรือที่มนุษย์ทำขึ้นบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขาโดยบังเอิญ หรือบางสิ่งที่แย่เกิดขึ้นกับครอบครัวของพวกเขา เมื่อนั้นพวกเขาก็ติเตียนพระเจ้าและเข้าใจพระเจ้าผิด มากจนกระทั่งพวกเขาสามารถถึงขั้นปฏิเสธและทรยศพระเจ้า จากภายนอกนั้น ผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรบางคน อาจปรากฏเหมือนว่าถ่อมใจและอดทน แต่ธรรมชาติของพวกเขานั้นโอหัง และเมื่อพวกเขาทำงานและให้คำเทศนา พวกเขาไม่ยกย่องพระเจ้า พวกเขาไม่นำทางผู้คนให้ปฏิบัติหรือได้รับประสบการณ์กับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับโอ้อวดในทุกโอกาสเหมาะ โดยพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องประสบการณ์ของพวกเขาเกี่ยวกับการทนทุกข์เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ผู้คนอื่นๆ จะนับถือพวกเขาว่าสูงส่งและนิยมบูชาพวกเขา บางคนถึงขั้นแก่งแย่งอำนาจและตำแหน่งภายในคริสตจักร และพวกเขายักยอกเงินทุนของคริสตจักร พวกฟาริสีในเวลาของพระเยซูปรากฏเหมือนว่าดำรงชีวิตอย่างมีศรัทธาแก่กล้า พวกเขาเปี่ยมรักต่อผู้อื่น และพวกเขาทั้งให้แก่พวกที่จำเป็นต้องการและอุทิศตัวพวกเขาเองแด่พระเจ้า—แม้แต่ พู่บนเสื้อผ้าของพวกเขาก็ยังปกคลุมไปด้วยองค์พระคัมภีร์เป็นลายลักษณ์อักษร อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พวกเขาต้านทานและกล่าวโทษพระองค์อย่างบ้าคลั่ง จนถึงจุดที่ว่า พวกเขากระทั่งสมรู้ร่วมคิดกับทางการโรมัน เพื่อตรึงพระองค์บนกางเขนเสียด้วยซ้ำ การนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่สำคัญว่าพฤติกรรมของพวกเราอาจปรากฏเหมือนว่าดีงามเพียงใดที่ภายนอก การนั้นย่อมไม่สามารถสาธิตแสดงว่า พวกเรารู้จักพระเจ้าหรือเชื่อฟังพระเจ้า หรือว่าพวกเราเข้ากันได้กับพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเราจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมภายนอกจึงไม่เท่ากันกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และความสามารถของพวกเราที่จะปฏิบัติคำสอนบางอย่างขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยภายนอกนั้น จึงไม่สาธิตแสดงว่าพวกเราได้ปลดทิ้งข้อผูกมัดแห่งบาปแล้ว”
หลังจากที่ฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหลินแล้ว ฉันก็พบว่าฉันเห็นด้วยกับการนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจของฉัน และฉันก็พูดว่า “พี่น้องชายหลิน การสามัคคีธรรมของคุณเข้ากันได้กับสิ่งที่พวกเราเป็นอยู่จริงๆ! ถึงแม้ว่าพฤติกรรมภายนอกของพวกเราอาจได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วบ้าง แต่ธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของพวกเรายังคงครอบงำพวกเราจากภายใน และดังนั้น พฤติกรรมอันดีงามของพวกเราจึงไม่มีวันสามารถอยู่ได้เป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น ฉันลองพยายามที่จะยับยั้งชั่งใจตัวฉันเองเสมอจากการโต้เถียงกับแม่ของฉัน และถึงแม้ว่าจากภายนอกแล้ว ฉันปรากฏเหมือนว่าค่อนข้างอดทน แต่ฉันก็ยังคงไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ในหัวใจของฉัน และฉันลงเอยด้วยการโต้เถียงกับเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การนี้แสดงให้เห็นว่า ฉันยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของฉัน และว่าฉันยังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อพวกเรามองไปที่ผู้คนอื่นๆ พวกเราก็แค่เห็นสิ่งที่อยู่ที่ภายนอก อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงแค่พึงประสงค์ให้พวกเราเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ที่ภายนอก ที่สำคัญที่สุดคือ พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ชีวิตส่วนที่อยู่ภายในของพวกเราก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลง”
พอดีกับตอนนั้นที่หนึ่งในพี่น้องหญิงคนอื่นๆ พูดว่า “ใช่แล้ว เป็นจริงที่ว่า พวกเราแค่เพิ่งจะได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายนอกของพวกเรา และว่าชีวิตของพวกเรายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย เมื่อใดก็ตามที่ฉันมีความไม่เห็นด้วยกับเพื่อนร่วมงานของฉัน ฉันเกลียดชังเธอจากก้นบึ้งของหัวใจของฉัน และฉันไม่ต้องการเกี่ยวข้องอะไรกับเธออีก ถึงแม้ว่าฉันรู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนพวกเราให้ยอมผ่อนปรนและอดทน และฉันสามารถยับยั้งชั่งใจตัวฉันเองได้อาจจะหนึ่งครั้งหรือสองครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็แค่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวฉันเองได้อีกแล้ว ดูเหมือนราวกับว่า หากพวกเราแค่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายนอกของพวกเราเท่านั้น และอุปนิสัยชีวิตของพวกเราไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมไร้ความสามารถที่จะพิทักษ์รักษาพระวจนะของพระเจ้าได้เป็นเวลานานมาก และพวกเรายังคงสามารถทำบาปได้เป็นนิจศีล” จากนั้นพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ก็ผลัดกันพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความเจ็บปวดของพวกเขาจากการที่ตกอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดแห่งบาป โดยผ่านทางหลายปีแห่งการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา
หลังจากการเสวนาจบลงแล้ว พี่น้องชายหลินก็ดำเนินต่อไปว่า “พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย พระราชกิจแห่งการไถ่ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติ ได้อภัยบาปพวกเราจากบาปของพวกเรา แต่ธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของพวกเรา ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขภายในตัวพวกเรา ผลสืบเนื่องที่ตามมาคือ ไม่สำคัญว่าพวกเราอ่านพระคัมภีร์มากเพียงใด พวกเราสารภาพและกลับใจมากเพียงใด หรือว่าพวกเราลองพยายามที่จะควบคุมตัวพวกเราเองมากเพียงใด พวกเรายังคงไม่สามารถปลดทิ้งข้อผูกมัดแห่งบาปได้ พระเจ้าทรงรู้จักความต้องการที่จำเป็นของพวกเรา และในยุคสุดท้าย พระองค์ได้ทรงกลับมาในเนื้อหนังด้วยพระนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า เพื่อทำให้พวกเราสามารถปลดทิ้งบาปและได้รับการชำระบริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว การนี้เป็นการทำให้คำเผยวจนะในพระคัมภีร์เหล่านี้ลุล่วง ความว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น’ (ยอห์น 16:12-13) ‘เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:47-48) ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ (1 เปโตร 4:17) มีเพียงโดยการยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า โดยการได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า และโดยการให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราเปลี่ยนแปลงเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถบรรลุความรอดที่แท้จริงและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์”
ณ จุดนี้ พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ และฉันต้องประหลาดใจ และฉันได้ถามอย่างกระตือรือร้นว่า “องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วหรือยัง? การนั้นสามารถเป็นจริงได้หรือ? มันเหลือเชื่อ!” ฉันพูดว่า “ฉันรู้สึกราวกับว่า พระวจนะที่พวกเราได้อ่านในระหว่างการชุมนุมครั้งนี้ไม่ใช่พระวจนะธรรมดา แต่ว่าพระวจนะเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้ ฉันไม่เคยจินตนาการ แม้แต่ในความฝันอันลึกล้ำที่สุดของฉัน ว่าฉันจะมีความสามารถที่จะต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป—ฉันได้รับพรมากเหลือเกิน! พี่น้องชายหลิน หลังจากที่ฟังพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมของคุณ ตอนนี้ฉันเข้าใจว่า พระราชกิจแห่งการไถ่ซึ่งองค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติ อภัยบาปพวกเราจากบาปของพวกเรา แต่ธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของพวกเรายังคงไม่ได้รับการแก้ไขภายในตัวพวกเรา ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเราจะปรากฏเหมือนว่าทำความประพฤติดี แต่พวกเรายังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้อยู่เนืองนิตย์ หากพระเจ้าไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์เพื่อช่วยพวกเราให้รอด พวกเราคงจะเพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะปลดทิ้งข้อผูกมัดและโซ่ตรวนแห่งบาป โดยผ่านทางอำนาจของพวกเราเอง ฉันเคยคิดว่า ตราบเท่าที่ฉันยึดถือทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว ฉันคงจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ฉันเห็นว่า การนั้นไม่แท้จริงเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่นี้คุณพูดว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วในยุคสุดท้าย และกำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์อย่างที่สุด เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้อย่างไรเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงมนุษย์? คุณมีความสามารถที่จะสามัคคีธรรมกับพวกเราเกี่ยวกับการนี้เพิ่มอีกสักหน่อยหรือไม่?”
พี่น้องชายหลินหัวเราะและพูดว่า “พี่น้องหญิง คุณได้หยิบยกประเด็นปัญหาวิกฤติขึ้นมาแล้ว! สำหรับเรื่องที่ว่า พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์อย่างไรเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ พวกเราลองมาอ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยกันเถิด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘ในยุคสุดท้ายนั้น พระคริสต์ทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาอย่างไร รวมไปถึงพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอื่นๆ พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่แก่นแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระวจนะซึ่งตีแผ่ให้เห็นว่ามนุษย์เหยียดหยันพระเจ้าอย่างไรนั้น ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นร่างทรงของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ได้สูญเสียไปจนหมดสิ้น เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจให้ยอมหมอบราบต่อพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ’ (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)”
หลังจากที่เขาอ่านจบแล้ว พี่น้องชายหลินได้ให้การสามัคคีธรรม โดยพูดว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์เป็นหลัก ความจริงเหล่านี้ไม่ได้มุ่งไปที่พฤติกรรมของพวกเราแต่เพียงอย่างเดียว อาทิ พวกเราปรากฏเหมือนว่าถ่อมใจอย่างไร ยอมผ่อนปรนและอดทนอย่างไร พวกเราไม่ทะเลาะวิวาทกับผู้คนอื่นๆ อย่างไร และพวกเราเข้ากันได้กับผู้อื่นอย่างไร และอื่นๆ อีกมากมาย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงนั้นเปิดเผยรากแห่งบาปของพวกเราโดยตรง ซึ่งก็คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานและแก่นแท้ของธรรมชาติของพวกเรา ที่ซ่อนไว้ภายในตัวพวกเรา อาทิ ความโอหังและความทะนงตน ความเห็นแก่ตัวและการที่น่าเหยียดหยาม ความคดโกงและเล่ห์ลวง ความโลภและความชั่ว และอื่นๆ พวกเราเคยเชื่อว่า หากพฤติกรรมภายนอกของพวกเราเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และพวกเรามีความสามารถที่จะนำคำสอนบางส่วนขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมหมายความว่าพวกเราคือผู้คนที่ดี แต่โดยผ่านทางการพิพากษาและวิวรณ์ของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในที่สุดแล้วพวกเราก็ได้เห็นว่า พวกเรานั้นถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึกเพียงใด และว่าพวกเราแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเราในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราทำและพูด ตัวอย่างเช่น ภายใต้การครอบงำของธรรมชาติอันโอหังของพวกเรา ถึงแม้ว่าพวกเราจะรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเราถ่อมใจและอดทน แต่พวกเราก็ยังคงต้องการยืนหยัดอย่างสูงส่งและวางตัวว่าสูงส่งในสัมพันธภาพของพวกเรากับผู้คนอื่นๆ และพวกเราต้องการมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในทุกสิ่งทุกอย่าง ภายใต้การครอบงำของธรรมชาติอันเห็นแก่ตัวของพวกเรา พวกเราพูดและปฏิบัติตนด้วยสิ่งจูงใจและจุดมุ่งหมายส่วนบุคคลเสมอในการจัดการกับผู้คนอื่นๆ เพื่อที่จะทำกำไรให้ตัวพวกเราเอง และเมื่อพวกเราทำงานและสละตัวพวกเราเองเพื่อพระเจ้า นั่นไม่ใช่เพราะพวกเรารักพระเจ้าหรือเพราะพวกเราต้องการทำให้พระองค์พึงพอพระทัย แต่การนั้นทำไปเพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า และเพื่อได้รับพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นการตอบแทน ธรรมชาติของพวกเรานั้นชั่วและพวกเราละโมบความยินดีทางกายภาพ ถึงแม้ว่าพวกเรารู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเรากำหนดตัวพวกเราเองให้อยู่ห่างจากผู้คนทางโลก แต่พวกเราก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะทานทนการทดลอง พวกเราติดตามกระแสนิยมชั่วของโลก พวกเราผลุนผลันออกไปไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง โชคลาภ และสถานะ และพวกเราละโมบความยินดีแห่งบาป เหล่านี้เป็นแค่ตัวอย่างสองสามตัวอย่าง โดยผ่านทางการพิพากษาและวิวรณ์ของพระวจนะของพระเจ้า ในที่สุดแล้วพวกเราก็ได้เห็นว่า พวกเราแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเราในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราพูดและทำ ว่าพวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมาก จนกระทั่งพวกเราแทบจะไม่ใช่มนุษย์ และว่าพวกเราไม่สงวนไว้ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกที่แท้จริงของมนุษย์เลย ในเวลาเดียวกัน พวกเรายังเข้าใจจากพระวจนะแห่งการพิพากษาและวิวรณ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกันว่า พระเจ้าทรงรักผู้คนที่ซื่อสัตย์และทรงอวยพรบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และผู้ที่เชื่อฟังและรักพระเจ้า และพระองค์ทรงเกลียดชังพวกที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง หากใครคนหนึ่งไม่ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับดำรงชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา โดยต้านทานพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว บุคคลนั้นย่อมจะจำเป็นต้องถูกพระเจ้าทรงรังเกียจ บอกปัด และลงโทษ การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า ทำให้พวกเราสามารถเห็นความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเราในมือของซาตาน และการพิพากษาและการตีสอนเหล่านี้ก็ทำให้พวกเราสามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว หัวใจของความเคารพที่มีต่อพระเจ้าก็ค่อยๆ เกิดขึ้นภายในตัวพวกเรา และพวกเราสร้างความเกลียดชังจริงสำหรับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา และพวกเรากลายเป็นปลงใจที่จะไม่ดำรงชีวิตไปโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานอีกเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังตั้งใจ ที่จะปฏิบัติตนและประพฤติตัวพวกเราเองโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และพวกเราปรารถนาที่จะดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่จริงแท้ โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พวกเรามามีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนังของพวกเราและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าทีละน้อยๆ พวกเรามาเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และทรรศนะที่มีต่อชีวิตของพวกเราและคุณค่าของพวกเราก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง เมื่อพวกเราเผชิญประเด็นปัญหา เมื่อนั้นพวกเราก็มีความสามารถที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า ดำรงชีวิตไปโดยพระวจนะของพระองค์ทีละน้อยๆ พวกเราสร้างความเคารพและความเชื่อฟังที่แท้จริงที่มีต่อพระเจ้า นี่คือผลลัพธ์ของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย โดยการได้รับประสบการณ์กับการนั้น พวกเรามาซึ้งคุณค่าว่า อันที่จริงแล้ว การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าในยุคสุดท้าย สามารถให้การปกป้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่พวกเราได้ และการพิพากษาและการตีสอนเหล่านี้เต็มไปด้วยความรักอันลึกซึ้งของพระเจ้าที่มีให้พวกเรา”
ฉันรู้สึกว่าพระวจนะซึ่งพี่น้องชายหลินได้อ่านออกเสียงให้พวกเราฟังนั้นยิ่งใหญ่—พระวจนะเหล่านั้นเป็นที่เชื่อถือได้และเปี่ยมไปด้วยอำนาจ และฉันไม่เคยได้ยินอะไรที่ค่อนข้างเหมือนพระวจนะเหล่านั้นมาก่อนเลย พี่น้องชายหลินยังได้สามัคคีธรรมอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน ฉันพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ขอบคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า! ดังนั้นแล้ว กลับกลายเป็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา และทรงอนุญาตให้พวกเรารู้จักอุปนิสัยของพวกเราเอง เช่นนั้นแล้ว โดยผ่านทางการไล่ตามเสาะหาความจริง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราถูกทำให้เปลี่ยนแปลง จนกระทั่งในที่สุดแล้ว พวกเราจึงมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตไปโดยพระวจนะของพระเจ้า และพวกเรากลายเป็นผู้คนที่ทั้งเคารพและเชื่อฟังพระเจ้า นี่คือพระราชกิจที่มีความหมายอะไรเช่นนี้!”
พี่น้องชายหลินพูดอย่างร่าเริงว่า “คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้าสำหรับการทรงนำทางพวกเราให้เข้าใจสิ่งเหล่านี้!” หลังจากนั้น เนื่องจากเวลานั้นค่อนข้างสายแล้ว พวกเราจึงสิ้นสุดการชุมนุมของพวกเราและตกลงกันเรื่องเวลาของการชุมนุมครั้งถัดไป ฉันตั้งตาคอยการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหลินเป็นอย่างมาก และฉันก็ต้องการได้ยินเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้พวกเราฟังมากขึ้นจริงๆ
เมื่อวันที่พวกเราชุมนุมกันครั้งถัดไปมาถึง พี่น้องชายหลินได้ให้การสามัคคีธรรมกับพวกเราเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย อาทิ นัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงใช้พระนามที่ต่างกันในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ความล้ำลึกของการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า พระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษยให้รอดสามช่วงระยะของพระเจ้า และบั้นปลายสุดท้ายและบทอวสานสำหรับมวลมนุษย์ หลังจากที่ฉันได้ฟังทั้งหมดนี้แล้ว ฉันก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และฉันพูดอย่างมีความสุขว่า “ถึงแม้ว่าฉันจะได้ฟังคำเทศนามากมายก่อนหน้านี้ในคริสตจักร แต่ฉันก็ไม่เคยเข้าใจความจริงมากมาย บัดนี้ที่ฉันกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ความงุนงงสับสนที่ฉันมีในหัวใจของฉันได้ถูกขจัดไป ตอนนี้ฉันเข้าใจความจริงมากมายในพระคัมภีร์ และจิตวิญญาณของฉันก็ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ พระวจนะเหล่านี้คือพระสุรเสียงของพระเจ้าอย่างแท้จริง!”
พี่น้องชายหลินพูดอย่างมีความสุขว่า “คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า ด้วยเหตุที่แกะของพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์แล้ว โดยพระคุณของพระเจ้านั่นเอง พวกเราจึงมีความสามารถที่จะระลึกรู้ถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ตอนนี้ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงภายในนิกายทั้งหมด กำลังมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คนแล้วคนเล่า และกำลังเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของพระเมษโปดก โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงกำลังเป็นประจักษ์พยานการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของพวกเขาในระดับที่แตกต่างกัน และมีคำพยานมากมายจากบรรดาพี่น้องชายหญิงบนเว็บไซต์ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ซึ่งพรรณนาถึงวิธีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้เปลี่ยนไป โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” จากนั้นพี่น้องชายหลินจึงได้แสดงให้ฉันเห็นเว็บไซต์ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตลอดจนแอปพลิเคชันโทรศัพท์มือถือของพวกเขา มีความอุดมอันมั่งคั่งของเนื้อหาเช่นนั้น กล่าวคือ มีพระวจนะของพระเจ้าได้ทรงแสดงในยุคสุดท้าย วิดีโอการอ่านออกเสียงพระวจนะของพระเจ้า เพลงสรรเสริญเพื่อการสรรเสริญพระเจ้า ภาพยนตร์ข่าวประเสริฐ ตลอดจนประสบการณ์และคำพยานของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร รายการวาไรตี้อันหลากหลาย ละครสั้น วิดีโอการขับร้องและการเต้นรำ และอื่นๆ อีกมากมาย มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คนเราอาจต้องการ และได้เท่าไหร่ฉันก็ยังไม่พอ! ฉันรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ นานมาแล้วพระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์และได้ทรงมายังแผ่นดินโลก และพระองค์ได้ทรงแสดงพระวจนะมากมายเหลือเกิน—การนั้นล้ำค่าเกินไปจริงๆ! ในชั่วขณะนั้น ฉันรู้สึกเต็มไปด้วยความรู้สึกของคุณที่มีแด่พระเจ้า และฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ฉันโดยผ่านทางบรรดาพี่น้องชายหญิง สำหรับการทรงอนุญาตให้ฉันมีโชคลาภที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ สำหรับการทรงทำให้ฉันสามารถเข้าใจเหตุที่ฉันดำรงชีวิตอยู่ในบาป และสำหรับการทรงอนุญาตให้ฉันพบเจอเส้นทางสู่การได้รับการชำระให้สะอาด
หลังจากนั้น ในช่วงระยะเวลาของการชุมนุมและการเจาะลึก ฉันได้กลายเป็นแน่ใจอย่างครบบริบูรณ์ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาโดยแท้ และฉันได้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างชื่นชมยินดี คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย Zhang Yue, อินโดนีเซีย ตอนอายุ 20 ปี ผมได้รับบัพติศมาและได้หันเข้าหาองค์พระเยซูเจ้า...
โดย Danchun, สหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว วิถีทางดั้งเดิมของผู้คนเกี่ยวกับการเชื่อ...
โดย Sheila, เคนยา ฉันเกิดในครอบครัวคาทอลิกค่ะ บาทหลวงของเราพูดเสมอว่า เราควรติดตามพระบัญญัติของพระเจ้า มอบความรักให้แก่กัน เข้าพิธีมิสซา...
โดย จีนน์ เคลาดิโอ ฟิลิปปินส์ ฉันเกิดมาในครอบครัวคาทอลิก ฉันทำตามวิถีแบบคาทอลิก และโหยหาการทรงกลับมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้น...