หญิงพรหมจารีมีปัญญาเท่านั้นที่ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย หมิงจื้อ ประเทศจีน

องค์พระเยซูเจ้าตรัสถึงคนสองประเภทเมื่อพระองค์ทรงเผยพระวจนะถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ นั่นคือหญิงพรหมจารีมีปัญญาและหญิงพรหมจารีโง่เขลา  ทุกคนที่ได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วยอมรับและนบนอบคือหญิงพรหมจารีมีปัญญา  ทุกคนที่ไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ หรือได้ยินแต่ไม่เชื่อ หรือแม้แต่ปฏิเสธและกล่าวโทษพระองค์ คือหญิงพรหมจารีโง่เขลา  หญิงพรหมจารีมีปัญญาฉลาดก็เพราะว่า พวกเขาแสวงหาพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อได้ยินคำพยานถึงการเสด็จกลับมาของพระองค์ และเมื่อได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ พวกเขาก็จำได้และต้อนรับพระองค์  แต่หญิงพรหมจารีโง่เขลาไม่ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขากลับเชื่อในสิ่งที่ศิษยาภิบาล ผู้อาวุโส และปุโรหิตบอก และเชื่อในมโนคติอันหลงผิดของตนเอง  พวกเขาอาจได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่กล้ายอมรับ จึงพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าไป  นี่คือจุดที่หญิงพรหมจารีโง่เขลาทำผิดพลาด  เมื่อก่อน ผมก็เป็นเหมือนหญิงพรหมจารีโง่เขลาคนหนึ่ง  ผมเชื่ออย่างสุ่มสี่สุ่มห้าในสิ่งที่บาทหลวงและสังฆราชพูด เกี่ยวกับพระคริสต์เทียมเท็จที่ปรากฏตัวและชักพาผู้คนให้หลงผิดในยุคสุดท้าย และคิดว่าผมไม่ควรไปตรวจสอบคำพยานที่อ้างว่า องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว และกำลังทรงแสดงความจริง เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย  ดังนั้น ผมจึงเกือบสูญเสียความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งยุคสุดท้ายไป

ผมเป็นคาทอลิกตามครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก และมักจะได้ยินบาทหลวงพูดในพิธีมิสซาเสมอว่า “เวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาใกล้เข้ามาแล้ว อย่าไปฟังคำเทศนาของคนอื่นนะครับ  พระคัมภีร์บอกว่า ‘เวลานั้น หากผู้ใดบอกท่านว่าพระคริสต์อยู่ที่นี่ หรือพระคริสต์อยู่ที่นั่น จงอย่าเชื่อเขา เพราะจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และประกาศกเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น และจะทำเครื่องหมายและปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ ถ้าเป็นไปได้ก็จะหลอกลวงแม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้(มัทธิว 24:23-24)  พระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏตัวในยุคสุดท้าย  พวกคุณมีวุฒิภาวะน้อยและขาดวิจารณญาณแยกแยะ จึงถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่าย  การเชื่อในหนทางที่ผิดจะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า!  เราต้องยึดมั่นในหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และรอให้พระองค์เสด็จมาและนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์  เราจะฟัง อ่าน หรือสอบถามเกี่ยวกับคำสอนอื่นไม่ได้ โดยไม่มีข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนที่อ้างว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว”  ผมคิดว่าบาทหลวงพูดมีเหตุผล  ผมยังด้อยประสบการณ์ในชีวิตและขาดวิจารณญาณแยกแยะ และถ้าผมถูกพระคริสต์เทียมเท็จชักนำให้หลงทางไป ที่ผมเชื่อมาหลายปีก็จะสูญเปล่า  ผมจึงปฏิญาณกับตัวเองว่าจะต้องระมัดระวัง และจะไม่ฟังใครก็ตามที่ประกาศคำสอนอื่น

วันหนึ่งในเดือนเมษายน ปี 2012 สัตบุรุษคนหนึ่งชื่อมู่เจิ้งพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนัง พระองค์กำลังทรงพระราชกิจใหม่ ซึ่งก็คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่เริ่มต้นในพระนิเวศของพระเจ้าตามคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์”  พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ทั้งประหลาดใจและสงสัย จึงถามไปว่า “คุณรู้ได้ยังไงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจใหม่?  คุณแน่ใจได้ยังไงครับ?”  มู่เจิ้งตอบว่า “องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักพวกมัน และพวกมันก็ตามเรา(ยอห์น 10:27)  ‘และ ณ เวลาเที่ยงคืน มีเสียงร้องบอกว่า ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว พวกท่านจงออกไปรับเขากันเถิด(มัทธิว 25:6)  และ ‘ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู หากผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา และเขาจะกินอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)  องค์พระเยซูเจ้าตรัสบอกเราว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา และจะทรงเคาะประตูของเราด้วยพระวจนะของพระองค์  แกะของพระองค์จะจำพระสุรเสียงของพระองค์ได้จากพระวจนะที่พระองค์ตรัส  พวกเขาจะต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเข้าร่วมงานเลี้ยงวิวาห์มงคลของพระเมษโปดก  พวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญาครับ  ลองคิดดูถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจสิครับ  คนอย่างเปโตร ยอห์น และฟีลิป ได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และรู้ว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่รอคอย  พวกเขาติดตามองค์พระเยซูเจ้าอย่างเต็มใจและได้รับความรอดของพระองค์ครับ  ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมาย และผมยืนยันแล้วว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง พระวจนะเหล่านั้นทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจและเป็นพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า  นั่นแหละครับที่ทำให้ผมแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมาครับ  ถ้าแทนที่จะคอยฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เรากลับมัวแต่ระแวดระวังพระคริสต์เทียมเท็จอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ปิดกั้นตัวเองเพราะกลัวจะถูกชักพาให้หลงผิด และถ้าเราไม่สอบถามเมื่อได้ยินคำพยานถึงการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็อาจจะปิดประตูใส่องค์พระผู้เป็นเจ้า และพลาดความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ไปครับ”

การสามัคคีธรรมของมู่เจิ้งให้ความรู้แจ้งแก่ผม  การฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อต้อนรับพระองค์นั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์และพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ถ้าผมไม่ตรวจสอบหรือใส่ใจฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อมีคนบอกว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว ผมจะต้อนรับพระองค์ได้อย่างไร?  ผมไม่เคยได้ยินใครสามัคคีธรรมพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแบบนั้นมาก่อน และผมก็พบว่านั่นให้ความรู้แจ้ง  ผมอยากจะเรียนรู้เพิ่มเติม แต่แล้วก็นึกถึงที่บาทหลวงเตือนเราซ้ำๆ เกี่ยวกับพระคริสต์เทียมเท็จที่ชักพาผู้คนให้หลงผิดในยุคสุดท้าย และบอกเราว่าไม่ว่าในสภาพการณ์ใดๆ ก็ตาม อย่าเชื่อคำสอนจากคริสตจักรอื่น  ผมก็ตื่นตัวระวังภัยขึ้นมาทันที เตือนตัวเองว่าอย่าฟังคำสอนอื่นอย่างไม่รอบคอบ และที่ผมเชื่อมาหลายปีจะสูญเปล่าถ้าผมเชื่อผิดทาง  ดังนั้น ผมจึงไม่สนใจสิ่งที่มู่เจิ้งพูด  หลังจากนั้น เขาบอกผมอีกสองสามครั้งว่าผมควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อดูว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ แต่ผมก็ระแวงและหาทางปฏิเสธอยู่เสมอ

สองสามเดือนต่อมา วันหนึ่งภรรยาของผมกลับมาจากบ้านเกิดพร้อมกับหนังสือ “พระวจนะทรงปรากฏในเนื้อหนัง” หนึ่งเล่ม  เธอบอกว่านี่คือ “สิ่งที่พระวิญญาณตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7)  และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา  เธอแนะนำให้ผมอ่าน  ผมกลัวว่าเธอจะถูกชักพาให้หลงผิดไป จึงบอกเธอว่าต้องระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับคำเทศนาที่เธอฟัง แต่เธอก็ยังยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ผมกลัวว่าเธอจะทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ทำได้เพียงอดอาหารและอธิษฐานเผื่อเธอทั้งน้ำตา  ไม่กี่วันต่อมา แม่ยายของผมก็มาประกาศเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ผมฟังเช่นกัน เธอบอกผมว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะมาในทันที(วิวรณ์ 22:7)  ถ้าเราตัดสินว่าข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเท็จ เพราะกลัวจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จชักพาให้หลงผิด และปฏิเสธท่าเดียวที่จะฟัง อ่าน หรือตรวจสอบ นั่นจะไม่ใช่การปฏิเสธและกล่าวโทษการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ?  นั่นจะไม่เหมือนกับการยอมอดอาหารเพราะกลัวสำลักหรอกหรือ?  ถ้าเราปิดประตูใส่พระคริสต์ที่แท้จริง ก็จะสายเกินไปที่จะเสียใจ  การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขอให้เราระวังพระคริสต์เทียมเท็จนั้น พระองค์กำลังบอกเราว่าพระคริสต์จะเสด็จมาในยุคสุดท้าย และพระคริสต์เทียมเท็จก็จะปรากฏตัวและแอบอ้างเป็นพระองค์เพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยเช่นกัน นี่หมายความว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงออกจากพระคริสต์เทียมเท็จ  ถ้าเราทำอย่างนั้นไม่ได้ และเพียงแค่ปฏิเสธและไม่ยอมฟังข่าวใดๆ เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็อาจจะพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะถูกพระองค์ทอดทิ้งไปนะ”  สิ่งที่แม่ยายพูดทำให้ผมสะเทือนใจมาก และผมก็คิดว่า “ใช่แล้ว ฉันตั้งตารอต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า  ฉันจะมีวันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง ถ้าปฏิเสธอยู่ท่าเดียวที่จะฟัง อ่าน หรือสืบค้นข่าวการเสด็จกลับมาของพระองค์?  ดูเหมือนว่าการระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่ทางแก้ปัญหานี้  ถ้าฉันปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าล่ะ? นั่นคงจะโง่เขลามาก!”  หลังจากแม่ยายของผมกลับไป ผมเห็นภรรยากำลังอ่าน “พระวจนะทรงปรากฏในเนื้อหนัง” อย่างตั้งใจ  ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ ถึงเรื่องที่คริสตจักรนั้นเงียบเหงามาตลอดหลายปีที่ผ่านมา และสัตบุรุษทุกคนก็กลายเป็นคนคิดลบ อ่อนแอ และหมดไฟในความเชื่อที่มีต่อพระเจ้า นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เห็นภรรยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อเช่นนี้  พระวจนะเหล่านั้นจะมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอย่างที่พวกเขาพูดจริงหรือ?  จะเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าได้หรือ?  ผมยังคิดถึงเรื่องที่ได้รับความรู้แจ้งจากการฟังมู่เจิ้งอีกด้วย  ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้วจริงๆ ล่ะ?  ผมตัดสินใจว่าควรจะสืบค้นเรื่องนี้เพิ่มเติม เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ดังนั้น ผมจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอให้พระองค์ประทานวิจารณญาณให้ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์

เย็นวันนั้นหลังอาหารค่ำ ผมกับภรรยาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนนี้ที่ว่า “‘การเชื่อในพระเจ้า’ หมายถึงการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง นี่เป็นมโนทัศน์ที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนกับการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันเป็นความเชื่อที่เรียบง่ายประเภทหนึ่งซึ่งมีนัยแฝงทางศาสนาที่รุนแรง  ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้คือ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนเรา สนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า และมารู้จักพระเจ้า  มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยอดเยี่ยมมาก  ผมเห็นว่า ความเชื่อไม่ใช่แค่เรื่องของการท่องพระคัมภีร์ทุกวัน และเข้าร่วมการชุมนุมและพิธีมิสซาอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น  เรายังต้องมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า กำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา และมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย  ความเชื่อแบบนั้นเท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นความจริง และไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์คนใดจะพูดออกมาได้  มีความเป็นไปได้สูงว่านี่เป็นพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ผมก็ระแวงน้อยลง

ไม่กี่วันต่อมา มู่เจิ้งแวะมาหาผมที่ร้าน และผมก็เล่าให้เขาฟังถึงสิ่งที่ผมคิดมาตลอดสองสามวันที่ผ่านมา  เขาพูดว่า “เมื่อก่อนผมก็รู้สึกแบบเดียวกันครับ  ผมกลัวจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จชักพาให้หลงผิด จึงเชื่อบาทหลวงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า และไม่ยอมฟังไม่ว่าใครจะมาประกาศเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดของบาทหลวงสอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่  องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสบอกเราว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะมาเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดในยุคสุดท้าย เพราะพระองค์ทรงต้องการให้เราเรียนรู้ที่จะแยกแยะพวกเขาครับ  แต่บาทหลวงกลับบิดเบือนพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และบอกเราว่าอย่าสืบค้น อ่าน หรือฟังข่าวใดๆ เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  นี่ไม่ใช่การขัดขวางเราไม่ให้ต้อนรับพระองค์เสด็จกลับมาหรอกหรือครับ?  ถ้าบาทหลวงเป็นห่วงจริงๆ ว่าเราจะถูกชักพาให้หลงผิด ทำไมเขาไม่สอนเราให้รู้วิธีแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงออกจากพระคริสต์เทียมเท็จล่ะครับ?  ถ้าเราทำได้ เราก็จะไม่ถูกชักพาให้หลงผิดไปครับ”  คำอธิบายของมู่เจิ้งฟังดูมีเหตุผลสำหรับผม  ถ้าเราเอาแต่ตั้งรับและระมัดระวังอย่างที่บาทหลวงต้องการ นั่นก็จะขัดกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยสิ้นเชิง  มันเป็นเพียงวิธีการแอบแฝงเพื่อขัดขวางไม่ให้เราต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ผมรู้ว่าผมไม่สามารถเชื่อฟังบาทหลวงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้อีกต่อไปแล้ว  ผมต้องเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาและแสวงหาพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและต้อนรับพระองค์  ผมจึงกระตือรือร้นขอให้มู่เจิ้งอธิบายให้ผมฟังถึงวิธีแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงออกจากพระคริสต์เทียมเท็จ  เขาพูดว่า “จริงๆ แล้ว องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสบอกหลักธรรมในการแยกแยะพวกเขาแก่เราแล้ว ในมัทธิว 24:24 ครับ  พระองค์ตรัสว่าพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ครับ  นั่นคือการแสดงออกที่สำคัญของพระคริสต์เทียมเท็จแห่งยุคสุดท้ายที่ชักพาผู้คนให้หลงผิดครับ”  จากนั้นมู่เจิ้งก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งให้ผมฟัง “หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู  จงจดจำการนี้ไว้!  พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ  ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง  พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น พันธสัญญาเดิมได้บอกล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ และผลลัพธ์ของคำพยากรณ์นี้คือการเสด็จมาของพระเยซู เมื่อการนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะผิดที่จะมีพระเมสสิยาห์อีกองค์เสด็จมาอีกครั้ง  พระเยซูได้เสด็จมาแล้วครั้งหนึ่ง และย่อมจะผิดหากพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งในครานี้  มีหนึ่งชื่อสำหรับแต่ละยุค และแต่ละชื่อประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญของยุคนั้น  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ  กระนั้นในครานี้ พระเจ้ามิได้ทรงเป็นเช่นนั้นแต่อย่างใด  หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า  ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ  ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป  ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว  พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้า)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว มู่เจิ้งก็พูดว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้ใหม่อยู่เสมอ พระองค์ไม่ทรงทำพระราชกิจซ้ำเดิมสองครั้ง  ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ พระองค์จะทรงเริ่มต้นยุคใหม่และยุติยุคเก่า นำมาซึ่งพระราชกิจระยะที่ใหม่กว่าและสูงส่งกว่าครับ  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจ พระองค์ไม่ได้ทรงทำซ้ำพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติครับ  พระองค์ทรงสร้างต่อยอดจากพระราชกิจนั้นด้วยพระราชกิจใหม่ของพระองค์ นั่นคือพระราชกิจแห่งการไถ่มนุษยชาติ  พระองค์ทรงเริ่มต้นยุคพระคุณและยุติยุคธรรมบัญญัติครับ  ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงทำซ้ำพระราชกิจแห่งการไถ่ รักษาคนป่วย ขับไล่ปีศาจ และแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระราชกิจของพระเจ้าก็จะไม่ก้าวหน้าไป  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้ายแล้ว พระองค์ได้ทรงเปิดยุคราชอาณาจักรและยุติยุคพระคุณครับ  พระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า โดยทรงทำบนรากฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ครับ  พระองค์กำลังทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการและการผูกมัดของบาป ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และได้รับความรอดครับ  แต่พระคริสต์เทียมเท็จนั้นโดยแก่นแท้แล้วเป็นวิญญาณชั่วและมาร  ไม่ว่าพวกเขาจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์อะไร หรือเรียกตัวเองว่าพระเจ้ามากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงความจริงหรือเอ่ยพระวจนะของพระเจ้าได้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถเริ่มต้นยุคใหม่และยุติยุคเก่าได้ครับ  พระคริสต์เทียมเท็จทำได้เพียงเลียนแบบพระวจนะและพระราชกิจเก่าๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ง่ายๆ สองสามอย่าง และพ่นเหตุผลวิบัติและคำสอนนอกรีตที่ดูเหมือนจะจริง เพื่อชักพาคนที่เลอะเลือนและขาดวิจารณญาณแยกแยะให้หลงผิดครับ  แต่พระคริสต์เทียมเท็จไม่สามารถเลียนแบบการอัศจรรย์ขององค์พระเยซูเจ้าได้เลย เช่น การเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว การห้ามลมและทะเล และการชุบชีวิตลาซารัสให้ฟื้นจากความตายครับ”  พอได้ฟังการสามัคคีธรรมของมู่เจิ้งแล้ว ในใจผมก็สว่างขึ้นมาเลย  ผมคิดว่า “ฉันไม่เคยได้ยินคำอธิบายเรื่องวิธีแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงออกจากพระคริสต์เทียมเท็จที่ชัดเจนขนาดนี้มาก่อนเลย  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริงและให้หนทางแก่ผู้คนได้เดินตาม  ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าพระคริสต์เทียมเท็จทำได้เพียงลอกเลียนแบบพระราชกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำในอดีต และแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์สองสามอย่างเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดเท่านั้น  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเริ่มต้นยุคใหม่และยุติยุคเก่า และแสดงความจริงเพื่อค้ำจุนเราได้”

จากนั้นมู่เจิ้งก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกสองสามบทตอน “พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์ ดังนั้น การเรียกพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงให้แก่ผู้คนว่าพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยแต่อย่างใด  นี่ก็เพราะพระองค์ทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ทรงครองอุปนิสัยของพระเจ้า รวมทั้งพระปัญญาในการทรงพระราชกิจของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ไม่อาจบรรลุถึงได้  บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ แต่กลับไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล  พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นเนื้อหนังเฉพาะที่พระเจ้าทรงสวมในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกและทรงทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์ท่ามกลางมนุษย์ เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์ผู้ใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างครบถ้วน สามารถแสดงอุปนิสัยของพระเจ้า สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์  ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่มีแก่นแท้ของพระคริสต์เลย  ดังนั้นแล้ว เราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถกำหนดโดยมนุษย์ได้ แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงมีการแสดงออกของพระเจ้า  ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้ทางให้เขา  เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ใช่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย  หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส  ซึ่งหมายความว่า การยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังที่พระเจ้าใช้ประสูติเป็นมนุษย์หรือไม่ และใช่หนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะโดยดูที่แก่นแท้ของพระองค์  และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) แทนที่จะอยู่ในรูปปรากฏภายนอก  หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่า มนุษย์มืดบอดและไม่รู้ความ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ผมฟังแล้ว มู่เจิ้งก็พูดว่า “พระคริสต์คือพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังในฐานะบุตรมนุษย์ ผู้เสด็จมาเพื่อทรงปรากฏและทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ครับ  จากภายนอก พระองค์ทรงดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่แก่นแท้ของพระองค์เป็นเทวภาพครับ  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์สามารถทรงแสดงความจริงและแสดงอุปนิสัยของพระเจ้า และทรงพระราชกิจแห่งการไถ่และช่วยมนุษยชาติให้รอดได้  ไม่มีมนุษย์คนใดจะทำเช่นนั้นได้ครับ  กุญแจสำคัญในการแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริง คือการดูว่าพระองค์สามารถทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งความรอดได้หรือไม่ครับ  นี่คือหลักธรรมพื้นฐานที่สุดและสำคัญที่สุดครับ  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไปครับ  แต่พระองค์ทรงเผยความล้ำลึกแห่งราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ และประทานหนทางแห่งการกลับใจแก่มวลมนุษย์  พระองค์ทรงสอนผู้คนให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต และสุดความคิดของพวกเขา  พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้รักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง และให้อภัยผู้คนเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้งครับ  พระองค์ทรงแสดงอุปนิสัยที่เปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณาของพระเจ้า และในที่สุดพระองค์ก็ทรงถูกตรึงกางเขนเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปชั่วนิรันดร์ เป็นการทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่เพื่อมนุษยชาติครบบริบูรณ์ครับ  เราสามารถแน่ใจได้จากพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกมาว่า พระองค์คือพระคริสต์ พระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ประสูติเป็นมนุษย์ครับ  บัดนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้ายแล้ว และพระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่เริ่มต้นในพระนิเวศของพระเจ้า  พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งมวลซึ่งสามารถชำระและช่วยมนุษยชาติให้รอดได้ครับ  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงเผยความล้ำลึกแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ว่าผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามได้อย่างไร พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดทีละขั้นตอนอย่างไร ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ความสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงกำหนดบั้นปลายและจุดจบสำหรับคนประเภทต่างๆ อย่างไร ราชอาณาจักรของพระคริสต์จะปรากฏเป็นจริงบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร และอื่นๆ อีกมากมายครับ  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่เพียงแต่ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังทรงเปิดโปงและพิพากษาที่มาของการทำบาปและไม่ยอมรับพระเจ้าของเรา กล่าวคือ ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์และอุปนิสัยเยี่ยงซาตานต่างๆ ครับ  พระองค์ทรงเผยให้เห็นอุปนิสัยอันชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่มิอาจล่วงเกินได้ และทรงแสดงให้เราเห็นหนทางที่จะทิ้งบาปและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ครับ  พระองค์ทรงบอกเราว่าเราควรมีความเชื่ออย่างไร ควรกลับใจเพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร เราควรนบนอบและรักพระเจ้าอย่างไร อะไรคือการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และอื่นๆ อีกมากมายครับ  พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายได้ทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นมาแล้ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำนวนก็ได้ให้คำพยานถึงการเอาชนะซาตานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ  ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แพร่กระจายไปหลายประเทศ จากตะวันออกสู่ตะวันตก เป็นการทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์ครับ ‘เพราะว่าฟ้าแลบออกมาจากทิศตะวันออกและส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย(มัทธิว 24:27)  ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง พระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระองค์ทรงทำ และผลแห่งพระราชกิจของพระองค์ ล้วนพิสูจน์ว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา พระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย  ไม่มีใครสามารถปฏิเสธสิ่งนี้ได้ครับ  เป็นดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสไว้ว่า ‘พระองค์ทรงปล่อยให้พระราชกิจของพระองค์ยืนยันพระอัตลักษณ์ของพระองค์ และทรงปล่อยให้สิ่งที่พระองค์ทรงเผยพิสูจน์แก่นแท้ของพระองค์แทน  แก่นแท้ของพระองค์มิได้ไร้มูลฐาน พระอัตลักษณ์ของพระองค์ไม่ได้ถูกยึดครองไว้โดยพระหัตถ์ แต่ถูกกำหนดพิจารณาโดยพระราชกิจของพระองค์และแก่นแท้ของพระองค์’ (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของพระคริสต์คือการนบนอบน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์)  พระคริสต์เทียมเท็จไม่มีแก่นแท้เทวภาพและไม่สามารถแสดงความจริงได้ครับ  ไม่ว่าพวกเขาจะยืนกรานว่าตนเป็นพระเจ้า เป็นพระคริสต์อย่างไร ทั้งหมดก็เป็นเท็จและถูกออกแบบมาเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด  การติดตามพวกเขาเปรียบเสมือนการหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพ และนำไปสู่ความพินาศเท่านั้นครับ  ไม่ว่าพวกเขาจะแอบอ้างเป็นพระคริสต์อย่างไร พวกเขาก็สามารถหลอกลวงผู้คนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น  พวกเขาจะต้องถูกข้อเท็จจริงเปิดโปงและในที่สุดก็จะพินาศไปในความพ่ายแพ้  มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ได้  นั่นคือเหตุผลที่ กุญแจสำคัญในการแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงคือการดูว่าพระองค์สามารถแสดงความจริงและพระสุรเสียงของพระเจ้าได้หรือไม่ และพระองค์สามารถทรงพระราชกิจแห่งการชำระและช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่  นั่นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ”

ผมได้รับความรู้แจ้งอย่างเต็มที่จากการสามัคคีธรรมของมู่เจิ้ง  กุญแจสำคัญในการแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงคือการดูว่าพระองค์สามารถแสดงความจริงได้หรือไม่  ถ้าได้ พระองค์ก็คือพระคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เสด็จกลับมา  สำหรับใครก็ตามที่ไม่สามารถแสดงความจริงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอ้างตนว่าเป็นพระคริสต์อย่างไร พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้หลอกลวง เป็นพระคริสต์เทียมเท็จ และเป็นผู้ชักพาให้หลงผิด  ผมพบว่าวิธีการแยกแยะนี้ทั้งเรียบง่ายและใช้ได้จริง  ยอดเยี่ยมจริงๆ!  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นชัดเจนแจ่มแจ้งเกี่ยวกับวิธีแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงออกจากพระคริสต์เทียมเท็จ  พระวจนะเหล่านั้นเป็นความจริงจริงๆ!  ผมคิดว่าตัวเองช่างโง่เขลาและไม่รู้ประสีประสา ที่เชื่อในสิ่งที่บาทหลวงพูดอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  เพราะกลัวจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จชักพาให้หลงผิด ผมจึงไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ผมไม่พยายามฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า และผลก็คือผมเกือบพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า  ถ้าไม่ใช่เพราะความกรุณาและความผ่อนปรนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และการที่พระองค์ทรงเคาะประตูของผมผ่านทางครอบครัวและพี่น้องชายที่แบ่งปันข่าวประเสริฐกับผมครั้งแล้วครั้งเล่า ผมคงจะติดอยู่กับศาสนาไปตลอดชีวิต โดยไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ผมขอบคุณสำหรับความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแท้จริง!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อเราผ่าน Messenger