หญิงพรหมจารีมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะไว้ว่าจะมีคนสองประเภทเมื่อพระองค์ทรงกลับมา หญิงพรหมจารีมีปัญญาและหญิงพรหมจารีโง่ คนทั้งหมดที่ได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วยอมรับและนบนอบ ก็คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ส่วนคนทั้งหมดที่ไม่ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ หรือผู้ที่ได้ยินแต่ไม่เชื่อ หรือแม้กระทั่งปฏิเสธและกล่าวโทษพระองค์ ก็คือหญิงพรหมจารีโง่ค่ะ การจดจำพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อผู้คนเต็มไปด้วยมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการ พวกเขาจะรีรอเมื่อได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า และจะเต็มไปด้วยความลังเลสงสัย หญิงพรหมจารีมีปัญญานั้นฉลาดเพราะ พวกเขาฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเห็นได้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน ว่านั่นคือพระวิญญาณพระเจ้ากำลังตรัส พวกเขาสามารถปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดของตนเองและยอมรับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงสามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ แต่หญิงพรหมจารีโง่ไม่ฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาแค่ฟังพวกหมอสอนศาสนา และเชื่อมโนคติที่หลงผิดของตนเอง พวกเขาอาจจะได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ก็ไม่ยอมรับมัน และดังนั้นพวกเขาจึงพลาดโอกาสที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ตรงนี้เองที่หญิงพรหมจารีโง่ทำผิดพลาดค่ะ ฉันเคยเป็นหญิงพรหมจารีโง่ค่ะ ฉันฟังหมอสอนศาสนาอย่างมืดบอด คิดไปว่าในเมื่อพระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้าย ฉันก็ไม่ควรพิจารณาคำพยาน ที่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วและกำลังทรงแสดงความจริง เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ฉันเกือบจะสูญเสียความรอดแห่งยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วค่ะ! ฉันอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ของฉันค่ะ

ฉันรับเชื่อตามครอบครัวตอนที่ฉันยังเล็ก และมักจะได้ยินบาทหลวงพูดในพิธีบูชาขอบพระคุณ “ใกล้ถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาแล้ว อย่าได้ฟังคำเทศนาของผู้อื่นผู้ใด พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เวลานั้น หากผู้ใดบอกท่านว่าพระคริสต์อยู่ที่นี่ หรือพระคริสต์อยู่ที่นั่น จงอย่าเชื่อเขา เพราะจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และประกาศกเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น และจะทำเครื่องหมายและปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ ถ้าเป็นไปได้ก็จะหลอกลวงแม้แต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้(มัทธิว 24:23-24)  พระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้าย วุฒิภาวะของพวกคุณยังน้อย และพวกคุณขาดปัญญาแยกแยะ จึงถูกทำให้หลงผิดได้ง่าย การเชื่อในเส้นทางที่ผิดจะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า! เราต้องอยู่บนหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าและรอให้พระองค์เสด็จมาและทรงนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ เราไม่สามารถฟัง อ่าน หรือพิจารณาคำสอนอื่นใดได้เลย โดยเฉพาะคำสอนใดๆ ก็ตามที่บอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว” ทั้งหมดนี้ฟังดูมีเหตุผลสำหรับฉันค่ะ ฉันอ่อนวุฒิภาวะและขาดปัญญาแยกแยะ ดังนั้นหากฉันถูกพระคริสต์เทียมเท็จนำไปผิดทาง ความเชื่อตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็จะสูญเปล่า ฉันสาบานกับตัวเองว่าฉันจะระมัดระวัง และฉันจะไม่ฟังใครก็ตามที่ประกาศเป็นอย่างอื่น

วันหนึ่งในเดือนเมษายนปี 2012 สัตบุรุษจางพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในเนื้อหนัง พระองค์กำลังทรงพระราชกิจใหม่ พระราชกิจแห่งการพิพากษาเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้าซึ่งทำนายไว้ในพระคัมภีร์” ฉันประหลาดใจระคนสงสัยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฉันถามเขาว่า “คุณรู้ได้ยังไงคะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจใหม่อยู่ คุณแน่ใจได้ยังไงคะ” คำตอบของเขาคือ “องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักพวกมัน และพวกมันก็ตามเรา(ยอห์น 10:27)  ‘ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืน ก็มีเสียงตะโกนบอกว่า เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปรับกันเถิด(มัทธิว 25:6)  ‘ดูเถิด เรากำลังยืนเคาะประตู หากผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา และเขาจะกินอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)  องค์พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่าพระองค์จะทรงกลับมา และเคาะประตูของเราด้วยพระวจนะของพระองค์ แกะของพระองค์จะจำพระสุรเสียงของพระองค์ได้จากสิ่งที่พระองค์ตรัส พวกเขาจะต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเข้าร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของลูกแกะ พวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ลองคิดถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจสิ คนอย่างเปโตร ยอห์น และฟิลิปฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และรู้ว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่พวกเขาเฝ้ารอ พวกเขาติดตามองค์พระเยซูเจ้าและได้รับความรอดของพระองค์ ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมาย และได้ยืนยันแล้วว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง พระวจนะเหล่านั้นมีสิทธิอำนาจและคือพระสุรเสียงของพระเจ้า เพราะอย่างนั้นผมจึงแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา หากเราไม่จดจ่ออยู่กับการฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับหลับหูหลับตาเฝ้าระวังตัวเองจากพระคริสต์เทียมเท็จ ปิดประตูของเราเพราะกลัวจะถูกนำไปในทางที่ผิด ก็เป็นไปได้มากที่เราจะปิดกั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไป และพลาดความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์!”

การสามัคคีธรรมนี้ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันค่ะ การเฝ้าฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อต้อนรับพระองค์นั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์และพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า หากฉันไม่พิจารณาเรื่องนี้หรือไม่พยายามฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อใครสักคนพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฉันจะต้อนรับพระองค์ได้ยังไงละคะ ฉันไม่เคยฟังการสามัคคีธรรมที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มาก่อน และฉันต้องการทราบเพิ่มขึ้น แต่แล้วฉันก็จำคำย้ำเตือนของบาทหลวง เกี่ยวกับการมาของพระคริสต์เทียมเท็จในยุคสุดท้ายเพื่อหลอกลวงเรา และที่ว่าเราไม่สามารถฟังคำเทศนาของคนอื่นคนใดได้ ฉันก็ตั้งแง่ขึ้นมาทันทีเลยค่ะ และตัดสินใจว่าฉันไม่สามารถปล่อยใจสบายๆ ฟังคำสอนอื่นๆ ได้ การเชื่ออะไรผิดๆ จะไม่ทำให้ความเชื่อตลอดหลายปีของฉันสูญเปล่าเหรอคะ ฉันปฏิเสธจางไปค่ะ เขาบอกฉันอีกสองสามครั้งว่าฉันควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อดูว่าพระวจนะนั้นใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าไหม แต่ฉันปิดใจเกินไป ก็เลยมีข้ออ้างเพื่อบอกปัดเขาเสมอ

วันหนึ่งในสองเดือนต่อมา สามีของฉันกลับมาบ้านพร้อมกับหนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ เขาบอกว่ามันคือ “สิ่งที่พระวิญญาณตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 3:6)  และว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา เขาแนะนำให้ฉันลองอ่านดู ฉันเกรงว่าเขาจะถูกนำให้หลงผิดเสียแล้ว ฉันก็เลยบอกเขาว่าเขาไม่ควรฟังใครก็ไม่รู้ แต่เขาก็แน่วแน่ที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ ฉันเกรงว่าเขาได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ฉันได้แต่ร้องไห้และรีบอธิษฐานให้เขา ไม่กี่วันต่อมา แม่สามีของฉันก็มาบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วเหมือนกัน เธอพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เราจะมาในทันที(วิวรณ์ 22:7)  หากเรากลัวว่าจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จนำให้หลงผิด และคิดว่าข่าวการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเท็จไปทั้งหมด ไม่ยอมรับข่าวทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จะไม่เป็นการปฏิเสธและกล่าวโทษการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกเหรอ จะไม่เป็นการอดอาหารเพราะกลัวสำลักหรอกเหรอ หากเราปิดตัวเองจากพระคริสต์แท้จริง จะเสียใจก็สายเกินไปแล้วนะ องค์พระผู้เป็นเจ้าให้เราระแวดระวังพระคริสต์เทียมเท็จให้ดี บอกเราว่าพระคริสต์แท้จริงจะเสด็จมาในยุคสุดท้าย และพระคริสต์เทียมเท็จจะแสร้งทำเป็นพระคริสต์แท้จริง ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จให้ออก หากเราทำไม่ได้ แต่กลับแค่บอกปัดและไม่ยอมรับฟังข่าวใดๆ เรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นไปได้มากที่เราจะพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและจะถูกพระองค์ทรงทอดทิ้ง” สิ่งที่เธอพูดสะดุดใจฉันค่ะ ฉันคิดว่า “ฉันเฝ้ารอมาวันแล้วคืนเล่าเพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า หากฉันเอาแต่ปิดหูปิดตา ฉันจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับพระองค์ได้ยังไงล่ะ” ดูเหมือนว่าแค่ระวังตัวแจไม่ใช่ทางออก คงเป็นการโง่งมหากฉันปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้า! หลังจากแม่สามีของฉันกลับไป ฉันเห็นสามีอ่าน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ อย่างตั้งอกตั้งใจ ฉันคิดถึงเรื่อง ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา คริสตจักรปราศจากดอกผล สัตบุรุษอ่อนแอและคิดลบมาตลอด และความเชื่อของพวกเขาก็ลดน้อยลง ความเชื่อของสามีฉันดูจะเข้มแข็งขึ้นกว่าที่ผ่านมา พระวจนะเหล่านั้นทรงฤทธานุภาพและมีสิทธิอำนาจอย่างที่พวกเขาพูดหรือเปล่านะ พระวจนะเหล่านั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือเปล่า ฉันคิดเรื่องที่ว่าสิ่งที่จางพูดนั้นให้ความรู้แจ้งแค่ไหนด้วย ถ้าหากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ ล่ะ ฉันคิดว่าฉันควรลองดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้พลาดโอกาสที่จะต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าให้ประทานปัญญาแยกแยะให้ฉันเพื่อให้ฉันสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์

ฉันกับสามีอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนนี้หลังจากมื้อค่ำค่ะ “‘การเชื่อในพระเจ้า’ หมายถึงการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง นี่เป็นมโนทัศน์ที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนกับการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันเป็นความเชื่อที่เรียบง่ายประเภทหนึ่งซึ่งมีนัยแฝงทางศาสนาที่รุนแรง  ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้คือ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนเรา ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าและได้มารู้จักพระเจ้า  มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’(คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระวจนะจากพระเจ้าเหล่านี้ยอดเยี่ยมมากค่ะ ฉันเห็นว่าความเชื่อ ไม่ใช่แค่การกล่าวคำอธิษฐานทุกวัน เข้าร่วมการชุมนุมและพิธีบูชาขอบพระคุณเหมือนลานนาฬิกา แต่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา และมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าด้วย ความเชื่อแบบนี้จึงสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าค่ะ ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ขนาดไหนมากขึ้นเท่านั้น รู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นคือความจริง และไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์คนใดพูดได้ ฉันคิดว่าพระวจนะเหล่านั้นต้องเป็นพระวจนะของพระเจ้าแน่ ฉันลดความระแวงสงสัยลง

สองสามวันต่อมา จางมาที่ร้านของเรา แล้วฉันก็บอกเรื่องที่ฉันไม่สบายใจให้เขาฟัง เขาบอกฉันว่าเขาก็เคยรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เขาเคยกลัวว่าจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จนำให้หลงผิด ก็เลยหลับหูหลับตาฟังบาทหลวง และไม่ยอมฟังข่าวประเสริฐใดๆ ที่อ้างว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว แต่เขาไม่เคยพิจารณาว่าสิ่งที่บาทหลวงพูดนั้นสอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกเราว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะนำผู้คนให้หลงผิดในยุคสุดท้าย เพื่อให้เราเรียนรู้วิธีแยกแยะคนพวกนั้น แต่บาทหลวงบิดเบือนสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ บอกเราไม่ให้ตรวจสอบหรือฟังข่าวใดๆ เรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไม่ได้กำลังพยายามหยุดเราไม่ให้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกเหรอ หากเขาเป็นห่วงว่าเราจะถูกหลอกจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่สอนวิธีแยกแยะพระคริสต์แท้จริงจากพระคริสต์เทียมเท็จให้เราล่ะ หากเราทำแบบนั้นได้ เราก็จะไม่ถูกนำให้หลงทางค่ะ คำอธิบายของเขาฟังดูเข้าท่าค่ะ การที่บาทหลวงบอกเราให้คอยระวังระไวแบบตั้งรับนั่นขัดแย้งกับสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้อย่างสิ้นเชิง และเป็นอุบายเพื่อกันไม่ให้เราต้อนรับการทรงกลับมาของพระองค์ ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถหลับหูหลับตาฟังเขาได้อีกต่อไป ฉันต้องเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา และแสวงหาพระสุรเสียงของพระเจ้าเพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าค่ะ ฉันขอให้จางอธิบายวิธีแยกแยะพระคริสต์แท้จริงจากพระคริสต์เทียมเท็จให้ฉันฟัง เขาพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงบอกเราเรื่องหลักปฏิบัติ เพื่อแยกแยะพระคริสต์เหล่านั้นในมัทธิว 24:24 พระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ นั่นคือสิ่งที่คนเหล่านั้นจะทำเป็นหลักในยุคสุดท้ายเพื่อนำผู้คนให้หลงผิด” แล้วเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งให้ฉันฟังค่ะ “หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู  จงจดจำการนี้ไว้!  พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ  ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง  พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น พันธสัญญาเดิมได้บอกล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ และผลลัพธ์ของคำพยากรณ์นี้คือการเสด็จมาของพระเยซู เมื่อการนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะผิดที่จะมีพระเมสสิยาห์อีกองค์เสด็จมาอีกครั้ง  พระเยซูได้เสด็จมาแล้วครั้งหนึ่ง และมันน่าจะผิดหากพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งในครานี้  มีชื่อเดียวสำหรับทุกยุค และแต่ละชื่อประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญของยุคนั้น  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ  กระนั้นในครานี้ พระเจ้าไม่ทรงเป็นเหมือนเช่นนั้นเลย  หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า  ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ  ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป  ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว  พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้(“การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  หลังจากอ่านบทตอนนี้ จางพูดว่า “พระเจ้าทรงใหม่เสมอ ไม่เคยเก่า พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ ทุกครั้งที่พระองค์เสด็จมาทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงเริ่มยุคใหม่และสิ้นสุดยุคเดิม นำพระราชกิจที่ใหม่กว่า สูงกว่าเดิมมา เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติซ้ำ พระองค์ทรงสานต่อจากรากฐานของพระราชกิจในยุคนั้นเพื่อไถ่ให้มวลมนุษย์ พระองค์ทรงเริ่มยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ หากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ซ้ำในยุคสุดท้าย รักษาคนป่วย ไล่ผี แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระราชกิจของพระเจ้าก็จะหยุดนิ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้าย เริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรและสิ้นสุดยุคพระคุณ พระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้าบนรากฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาด เพื่อที่พวกเราจะสามารถเป็นอิสระจากพันธนาการของธรรมชาติบาปหนาของเราอย่างสิ้นเชิง ได้รับการชำระให้สะอาด และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ แต่พระคริสต์เทียมเท็จเป็นวิญญาณชั่วและมารร้ายโดยแก่นแท้ ไม่ว่าหมายสำคัญและการอัศจรรย์อะไรที่พวกเขาแสดง หรือว่าพวกเขาเรียกตัวเองว่าพระเจ้ายังไง พวกเขาก็ไม่สามารถแสดงความจริงหรือแสดงพระวจนะของพระเจ้าได้ โดยเฉพาะพวกเขาไม่สามารถเริ่มยุคใหม่และสิ้นสุดยุคเดิมได้ พระคริสต์เทียมเท็จสามารถเลียนแบบพระวจนะและพระราชกิจเก่าขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เท่านั้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ง่ายๆ บางอย่าง หรือพูดเรื่องหลอกลวงที่ฟังดูเป็นความจริง เพื่อหลอกลวงผู้คนที่ขาดปัญญาแยกแยะ แต่การอัศจรรย์ขององค์พระเยซูเจ้าอย่างการเลี้ยงอาหารคน 5,000 คนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ทรงสั่งลมและทะเล และทรงนำลาซารัสกลับมาจากความตาย ไม่สามารถถูกเลียนแบบได้ พระคริสต์เทียมเท็จไม่มีทางสามารถทำอะไรแบบนั้นได้” นี่ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันมากค่ะ ฉันคิดว่า “ฉันไม่เคยได้ยินคำอธิบายถึงวิธีแยกแยะพระคริสต์แท้จริงจากพระคริสต์เทียมเท็จที่แจ่มแจ้งขนาดนี้มาก่อน พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงและพระวจนะเหล่านั้นเปิดเส้นทางให้ผู้คนได้เดินตาม ตอนนี้ฉันเห็นว่าพระคริสต์เทียมเท็จสามารถเลียนแบบพระราชกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยทรงกระทำในอดีตได้เท่านั้น และแสดงการอัศจรรย์เล็กน้อยบางอย่างเพื่อหลอกลวงผู้คน พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเริ่มต้นยุคใหม่และสิ้นสุดยุคเก่า และทรงแสดงความจริงเพื่อค้ำจุนพวกเรา”

แล้วจางก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกสองบทตอนค่ะ “พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า  ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์  บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล  พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง(“พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า  ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา  เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด  หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส  ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์  และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก  หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน(คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)

หลังจากที่เขาอ่านบทตอนนี้ให้ฉันฟัง เขาก็พูดว่า “พระคริสต์คือพระเจ้าซึ่งนุ่งห่มในเนื้อหนังในฐานะบุตรมนุษย์ซึ่งเสด็จมาปรากฏและทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ จากภายนอก พระองค์ทรงดูเหมือนคนทั่วไป แต่แก่นแท้ของพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือสาเหตุที่พระองค์สามารถทรงแสดงความจริงและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และทรงพระราชกิจแห่งการไถ่และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถบรรลุสิ่งนั้นได้ กุญแจเพื่อแยกแยะพระคริสต์แท้จริงให้ออก ก็คือการดูว่าพวกเขาสามารถแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ได้หรือไม่ นี่เป็นหลักปฏิบัติที่เป็นรากฐานที่สุด จำเป็นที่สุด เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงดูเหมือนคนทั่วไป แต่พระองค์ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ และทรงนำหนทางแห่งการกลับใจมา พระองค์ทรงสอนผู้คนให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดหัวใจ สุดจิตวิญญาณ และสุดจิตสุดใจ ให้รักผู้อื่นเหมือนตัวเอง ให้อภัยผู้คนเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง พระองค์ทรงแสดงพระอุปนิสัยที่รักใคร่ เปี่ยมเมตตาของพระเจ้า และท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อมวลมนุษย์ เป็นการทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์เสร็จสมบูรณ์ เราแน่ใจได้จากพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดง ว่าพระองค์คือพระคริสต์ พระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองในเนื้อหนัง ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาแล้วในยุคสุดท้าย และพระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งปวงซึ่งสามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและชำระพวกเขาให้สะอาดได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างไร พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดอย่างไรเป็นขั้นเป็นตอน ความล้ำลึกของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า นัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงกำหนดบั้นปลายและผลลัพธ์ของผู้คนอย่างไร ราชอาณาจักรของพระคริสต์เป็นจริงขึ้นบนแผ่นดินโลกอย่างไร และอื่นๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่เพียงเปิดเผยความลึกลับเหล่านี้ของพระคัมภีร์ แต่พระองค์ยังทรงตีแผ่และทรงตัดสินรากเหง้าของการที่ผู้คนทำบาปและต่อต้านพระเจ้า ซึ่งก็คือธรรมชาติเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา พระองค์ยังทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระองค์ที่จะไม่ทนการทำให้ขุ่นเคือง และทรงแสดงให้เราเห็นหนทางหนทางละทิ้งบาปและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงบอกเราถึงวิธีกลับใจและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า เราควรมีความเชื่ออย่างไร และเราควรนบนอบต่อพระเจ้าและรักพระเจ้าอย่างไร การทำตามน้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร และอื่นๆ พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายได้สร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นแล้ว และได้สร้างคำพยานของการเอาชนะซาตานขึ้นมากมาย ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เผยแผ่จากตะวันออกสู่ตะวันตก ให้ความลุล่วงอย่างสมบูรณ์แก่คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า ‘เพราะว่าฟ้าแลบออกมาจากทิศตะวันออก และส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย(มัทธิว 24:27)  ความจริงที่พระองค์ทรงแสดง พระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระองค์ทรงทำ และผลของพระราชกิจของพระองค์ทั้งหมดพิสูจน์ ว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระองค์คือการทรงปรากฏของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ดังเช่นที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘พระองค์ทรงปล่อยให้พระราชกิจของพระองค์ยืนยันพระอัตลักษณ์ของพระองค์ และทรงปล่อยให้สิ่งที่พระองค์ทรงเผยพิสูจน์เนื้อแท้ของพระองค์แทน  เนื้อแท้ของพระองค์มิได้ไร้มูลฐาน พระอัตลักษณ์ของพระองค์ไม่ได้ถูกเกาะกุมไว้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ถูกกำหนดพิจารณาโดยพระราชกิจของพระองค์และเนื้อแท้ของพระองค์(“แก่นแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์)  พระคริสต์เทียมเท็จไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้าและพวกเขาไม่สามารถแสดงความจริงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะยืนกรานแค่ไหนว่าพวกเขาคือพระเจ้า ว่าพวกเขาคือพระคริสต์ ทั้งหมดนั้นจอมปลอมและหลอกลวง การติดตามพวกเขาก็เหมือนขึ้นเรือโจรสลัดนั่นแหละ ไม่มีทางออกมาดีได้ ไม่ว่าพวกเขาจะแสร้งทำเป็นพระคริสต์อย่างไร พวกเขาก็หลอกลวงผู้คนได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น พวกเขาต้องถูกเปิดโปงด้วยข้อเท็จจริงและพ่ายแพ้เข้าสักวัน พระคริสต์เท่านั้นที่สามารถแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ นั่นคือสาเหตุที่ กุญแจสู่การแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงจากพระคริสต์เทียมเท็จก็คือการดูว่าพวกเขาสามารถแสดงความจริงและพระสุรเสียงของพระเจ้าได้หรือไม่ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”

นี่ให้ความรู้แจ้งแก่ฉันมากค่ะ กุญแจสู่การแยกแยะพระคริสต์แท้จริงให้ออกก็คือการดูว่าพวกเขาแสดงความจริงได้หรือไม่ และหากเป็นเช่นนั้น นั่นก็คือพระคริสต์ นั่นคือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา ใครก็ตามที่ไม่สามารถแสดงความจริงได้แต่พูดว่าพวกเขาคือพระคริสต์ ก็คือพระคริสต์เทียมเท็จ คนหลอกลวง ฉันรู้สึกว่าวิธีการแยกแยะแบบนี้ช่างเรียบง่ายและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากค่ะ เป็นแนวทางปฏิบัติที่วิเศษอะไรเช่นนี้! พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ชัดเจนมากว่าจะแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จออกจากพระคริสต์แท้จริงอย่างไร พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงจริงๆ ค่ะ! ฉันได้คิดว่าฉันเคยโง่เขลาและไม่รู้ความมากแค่ไหน แค่หลับหูหลับตาฟังบาทหลวงคนนั้น ฉันไม่แสวงหาหรือพิจารณาพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ด้วยกลัวว่าจะถูกพระคริสต์เทียมเท็จนำให้หลงผิด ฉันไม่พยายามฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ก็เลยเกือบจะพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ฉันเหยียบตาปลาตัวเองและเป็นหญิงพรหมจารีโง่จริงๆ! หากไม่ใช่เพราะพระเมตตาและความพระทัยกว้างของพระเจ้า และสำหรับการเคาะประตูผ่านจางและคนที่ฉันรักซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐนี้ ฉันก็คงยังอยู่ในศาสนาไปตลอดชีวิต โดยไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันขอบคุณสำหรับความรอดของพระเจ้าจริงๆ ค่ะ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความล้ำลึกแห่งการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดย หลี่ชุนเม่ย, เกาหลีใต้ ฉันได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อปี 2012 ค่ะ ฉันได้ยินศิษยาภิบาลพูดในการชุมนุมบ่อยๆ ว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า...

ไขปริศนาแห่งตรีเอกานุภาพ

โดย ฉิวจือ, สิงคโปร์ ผมถูกเปลี่ยนสู่ศาสนาคริสต์โดยผู้อาวุโสคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน เขาบอกผมว่าจากทุกอย่างในจักรวาล...

ติดต่อเราผ่าน Messenger