ฉันรู้วิธีแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย รามเซส, เม็กซิโก

ผมเติบโตในครอบครัวคาทอลิก และเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าไปพร้อมกับครอบครัวของผมตั้งแต่ผมยังเล็ก  เมื่อโตขึ้น ผมก็ตระหนักว่าผู้เชื่อบางคนแค่ไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ แต่ยังคงสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และสังสรรค์กันเป็นประจำเหมือนผู้ไม่เชื่อ  ผมรู้สึกเหมือนพวกเขาไม่ได้ทำตามข้อพึงประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า รู้สึกว่าพวกเขากำลังทำบาป  ผมเองก็ใช้ชีวิตอยู่ในบาปเช่นกัน  ผมโกหก อารมณ์เสีย และอิจฉา  ต่อให้ผมสารภาพบาปของตนกับบาทหลวง ผมก็ไม่อาจหนีพ้นวัฏจักรของการทำบาป สารภาพบาป แล้วก็ทำบาปอีกได้  ผมรู้สึกหลงทาง  ดังนั้นผมจึงตัดสินใจออกจากโบสถ์ และไปแสวงหาเส้นทางพ้นจากบาปกับคริสตจักรอีกแห่ง

ต่อมาในระหว่างทำงาน ผมได้พบกับพี่น้องชายราอูลที่เป็นคริสเตียนมานาน  เขาบอกว่าเขาไปยังคริสตจักรต่างๆ มาหลายแห่ง แต่ก็เลิกเข้าร่วมเพราะคำเทศนาของศิษยาภิบาลไม่ได้ให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก แถมพวกเขายังขอของถวายอยู่เสมอ  พวกเขาสนใจแต่เงิน และเวลาที่พี่น้องชายหญิงมีปัญหาบางอย่างที่ต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือ พวกเขาก็จะบอกแต่เพียงว่า “ไปถามผู้ประกาศดูก่อน ถ้ายังหาทางแก้ไม่ได้ค่อยมาบอกทางนี้”  เรื่องนั้นทำให้ผมสับสนจริงๆ  ทำไมในคริสตจักรถึงมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นได้?  จากนั้นผมได้ไปที่คริสตจักรคริสเตียนสักห้าหรือหกแห่ง และเห็นว่าพวกเขาเป็นอย่างที่พี่น้องราอูลบอกไม่มีผิด  ผมจำได้ว่าในงานปรนนิบัติครั้งหนึ่ง ผู้เชื่อบางคนเล่นหมากรุกและกินเลี้ยงกัน  ผมเห็นว่าคริสตจักรหลายแห่งไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และดูเหมือนสถานบันเทิงของคนในศาสนามากกว่า  ผมไม่อยากไปที่คริสตจักรอีกแล้ว  แต่ผมก็นึกถึงที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว” (ฮีบรู 10:25)  ดังนั้นผมจึงรู้สึกหลงทางเอามากๆ  ผมควรไปร่วมชุมนุมที่ไหน?  คริสเตียนมีอยู่พันกว่านิกาย การจะหานิกายที่มีการทรงนำของพระเจ้าและมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริงย่อมจะยากลำบากเป็นที่สุด  พี่น้องราอูลก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหน  พวกเราจึงตัดสินใจออกจากชุมนุมชนของเรา และใช้เวลาว่างศึกษาพระคัมภีร์  พวกเราอ่านพระคัมภีร์ด้วยกันเยอะมาก แบ่งปันความเข้าใจ ช่วยเหลือและสนับสนุนกัน

หลายปีล่วงเลยไปในลักษณะนั้น และแม้ผมจะอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมท้อใจจริงๆ คือเวลามีอะไรบางอย่างที่ผมไม่ชอบเกิดขึ้น หรือทำให้ผมเสียผลประโยชน์ ผมยังคงควบคุมความโกรธของตัวเองไม่ได้  บางครั้งเวลาทำงานกับพี่น้องราอูล ถ้าเขาขอให้ผมทำอะไร แล้วผมไม่เข้าใจเขาอย่างถ่องแท้ เขาก็จะพูดกับผมค่อนข้างแรง และผมก็จะโมโหมาก  ผมคิดว่าเขาสื่อสารไม่ดีเองชัดๆ แต่กลับมาเอ็ดผม ทำอย่างกับผมไม่มีสมอง และผมก็ไม่จำเป็นต้องรับเอาไว้  ผมเลยเอ็ดเขากลับไปบ้าง  เราสองคนก็จะยิ่งโมโหมากขึ้นและไม่อาจควบคุมความโกรธเอาไว้ได้  สุดท้ายพวกเราก็ได้แต่เดินปึงปังออกไป  ผมไม่เต็มใจที่จะฟังเขาหรืออธิบายอะไรให้เขาฟัง  แต่หลังจากใจเย็นลงแล้ว พวกเราก็จะรับรู้ข้อผิดพลาดของตน และขอโทษกันและกัน  ผมรู้ว่าผมยังไม่เป็นอิสระจากบาป รู้ว่าตัวเองจะเอาแต่ทำบาปและเป็นกบฏต่อต้านพระเจ้าเรื่อยไป ผมจึงอธิษฐานและสารภาพบาปต่อพระเจ้า ผมอยากจะควบคุมตัวเองได้  แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักขนาดไหน ผมก็มีแต่พลั้งพลาด ทำบาปตอนกลางวัน สารภาพบาปตอนกลางคืน  ผมจมอยู่กับความทุกข์ใจและความรู้สึกผิดภายในวัฏจักรที่หมุนไปไม่หยุดนี้ และผมผิดหวังในตัวเองเหลือเกิน  ผมถามตัวเองว่าทำไมผมถึงเลิกทำบาปไม่ได้  พี่น้องราอูลกับผมคุยเรื่องนี้กันหลายครั้ง และรู้ว่าพวกเราอดไม่ได้ รู้ว่าความคิดว่าตัวเองชอบธรรม ความโอหัง และความคิดว่าตนสำคัญของเราสองคนนั้นจะแจ้งมาก และรู้ว่าพวกเรายังไม่พ้นจากพันธนาการแห่งบาป

ครั้งหนึ่งตอนที่พวกเรากำลังศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน เราได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ 11:45)  “ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย(ฮีบรู 12:14)  ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ทำให้พวกเราฉุกคิด  องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสบอกพวกเราว่าพวกเราต้องบริสุทธิ์ แต่พวกเรากลับใช้ชีวิตอยู่ในบาป  พวกเราจะบรรลุความบริสุทธิ์ได้อย่างไร?  พวกเราไม่มีเส้นทาง  ผมถามศิษยาภิบาลคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาตอบว่า “ตราบใดที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง พวกเราไม่มีวันสัมฤทธิ์ความบริสุทธิ์  แต่องค์พระเยซูเจ้า ทรงไถ่พวกเราจากบาปของตน  บาปของพวกเราได้รับการอภัยแล้ว และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ทรงมองพวกเราเป็นคนบาป  เมื่อพระองค์เสด็จลงมาทางก้อนเมฆ ก็จะทรงรับพวกเราขึ้นสู่ราชอาณาจักรสวรรค์”  พอได้ยินอย่างนี้ ผมก็ค่อนข้างสบายใจ แต่ก็ยังสับสนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้พวกเรากลับใช้ชีวิตอยู่ในบาปตลอดเวลา  แล้วพระองค์จะทรงพาพวกเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาจริงหรือ?

วันหนึ่งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2019 พี่น้องราอูลกับผมกำลังศึกษาพระคัมภีร์กันตามปกติ  เราค้นหาคำว่า “พระคัมภีร์” ตามเว็บไซต์ และเจอภาพยนตร์เรื่อง “ขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย” ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  เมื่อดูหนังจบ ผมรู้สึกประหลาดใจมาก  นี่เป็นหนังที่ยอดเยี่ยม และความจริงที่ได้รับการสามัคคีธรรมในหนังก็ให้ความรู้แจ้งจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่พี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่  พระองค์เพียงทรงอภัยให้แก่บาปของผู้คนเท่านั้น ไม่ได้ทรงแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของพวกเรา ดังนั้นพวกเราจึงยังทำบาปและต่อต้านพระเจ้า  เมื่อมองดูคนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่นักบวชลงมาจนถึงผู้เชื่อทั่วไป มีคนไหนบ้างที่กล่าวอ้างได้ว่าเป็นอิสระจากบาป?  ไม่มีสักคน  มนุษย์ทุกคนถูกบาปพันธนาการและจำกัดควบคุมอย่างไม่มีข้อยกเว้น  พวกเราเต็มไปด้วยความโอหัง ความฉลาดแกมโกง และความละโมบ  พวกเราอดไม่ได้ที่จะทำบาป แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้อยากทำก็ตาม  บางคนอาจดูถ่อมใจและสุภาพ แต่หัวใจของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความเสื่อมทราม  พวกเราไม่ใช่ผู้คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และพวกเราก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์  นั่นคือสาเหตุที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงพระราชกิจของพระองค์ต่อไปเพื่อช่วยมวลมนุษย์ในยุคสุดท้ายให้รอดตามแผนการของพระองค์ จำเป็นต้องทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาอยู่ช่วงระยะหนึ่งบนรากฐานแห่งการอภัยบาป เพื่อชำระพวกเราให้สะอาดและช่วยพวกเราให้รอดโดยบริบูรณ์ พวกเราจะได้รอดพ้นจากบาป และกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ จากนั้นก็เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า และได้รับชีวิตนิรันดร์”  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดในหนังนั้นจริง  ผมตื่นเต้นมากเพราะผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน  พวกเขาแบ่งปันความรู้แจ้งที่แปลกใหม่ได้มากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?  พวกเขาไปเอามาจากไหน?  ผมเห็นพวกเขาอ่านหนังสือที่ชื่อ “พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์”  เนื้อหาในหนังสือเต็มไปด้วยฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และสิ่งต่างๆ ที่ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน  ผมอยากอ่านหนังสือเล่มนั้นให้มากขึ้น  หลังจากดูหนัง พวกเราจึงติดต่อไปที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเริ่มเข้าร่วมการชุมนุม การอ่าน และการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางออนไลน์

วันหนึ่ง ผมได้อ่านข้อความนี้ในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ความว่า “ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาแก่นแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4))  “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสอนมนุษย์ เพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรนบนอบพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตตามสภาวะมนุษย์ปกติ ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่ธาตุแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งเปิดโปงว่ามนุษย์รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้าอย่างไร  ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็เห็นว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ซึ่งเป็นเพียงการไถ่พวกเรา เพื่อให้พวกเราไม่ตกเป็นของบาปอีกต่อไป แต่ธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของมวลมนุษย์ยังไม่ถูกขจัด พวกเราจึงยังคงโกหกและทำบาป และเปิดเผยความเสื่อมทรามให้เห็น  พอคิดเช่นนี้ ผมก็ตระหนักว่านี่เป็นเรื่องจริง  ทุกครั้งที่นอตหลุด ผมจะนึกเสียใจภายหลัง  แต่เมื่อไรที่มีสิ่งที่ผมไม่ชอบเกิดขึ้น ผมก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะหัวเสีย  ผมตระหนักว่าถ้าไม่แก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของตัวเอง ก็คงไม่มีวันเป็นอิสระจากบาป แล้วผมก็คงต่อต้านพระเจ้าทั้งในความคิด คำพูด และการกระทำ  จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมยังพบด้วยว่าในยุคสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงเพื่อเปิดโปงและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด  ต่อมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าเป็นอย่างมาก ผมจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกเยอะมาก และเห็นว่าพระองค์ทรงเปิดเผยทุกสิ่งเกี่ยวกับธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของมนุษย์  พระองค์ทรงแสดงให้พวกเราเห็นว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร พวกเราจะรอดพ้นจากบาปและได้รับการชำระให้สะอาดได้อย่างไร ใครที่เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ได้ ใครจะถูกลงโทษ และจุดจบของมนุษย์แต่ละจำพวกคืออะไร  การที่พระวจนะของพระเจ้าพิพากษาและเปิดโปงมวลมนุษย์นั้นมีความรักและความรอดของพระองค์อยู่ด้วย  ไม่ว่าพระองค์จะฟังดูเกรี้ยวกราดขนาดไหน ก็ล้วนเป็นไปเพื่อให้พวกเราเข้าใจความจริงได้ เพื่อให้พวกเรามองเห็นความจริงได้อย่างชัดเจนว่าซาตานทำให้พวกเราเสื่อมทรามอย่างไร เพื่อให้พวกเราดูหมิ่นตัวเองอย่างแท้จริง จากนั้นก็กลับใจและเปลี่ยนแปลง  พอตระหนักรู้ทั้งหมดนี้ ผมก็มีแต่ความชื่นบาน และถวิลหาพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้น  ผมยังเพลิดเพลินกับการเข้าชุมนุมและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าร่วมกับพี่น้องชายหญิงอย่างมากอีกด้วย และหวังว่าผมจะสามารถมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่ผมจะได้สามารถแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน

ภายหลัง ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร  มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งมาขอให้ผมช่วยแก้ปัญหาที่เธอพบเจอในขณะทำหน้าที่ และผมได้ให้คำแนะนำไปว่าเธอควรทำเช่นไรบ้าง  หลังจากที่เธอและพี่น้องหญิงอีกคนได้ฟังคำแนะนำของผมแล้ว ทั้งสองก็ตกลงที่จะทำตามนั้น  ตอนนั้นเองผู้นำคนหนึ่งได้โทรหาพวกเรา และพี่น้องหญิงทั้งสองก็ขอให้ผมแบ่งปันแนวคิดของผมให้เธอฟังด้วย  หลังจากที่ผมอธิบายจบ ผู้นำก็ไม่ได้ว่าอะไร และเอาเอกสารให้พวกเราตรวจดู จากนั้นก็บอกพวกเราว่าพวกเราควรทำอย่างไร  ผมรำคาญนิดหน่อย รู้สึกเหมือนเธอไม่ได้เข้าใจความหมายของสิ่งที่ผมสื่อจริงๆ  ผมหารือกับพี่น้องหญิงสองคนนั้นไปแล้วว่าต้องทำอะไร และใช้เวลาไปมากมายคิดใคร่ครวญว่าควรดำเนินการในหน้าที่อย่างไร  งานหนักทั้งหมดที่ผมทำมาจะสูญเปล่าละหรือ?  ผมพูดกับผู้นำด้วยความหงุดหงิดว่า “คุณเข้าใจสิ่งที่ผมพูดหรือเปล่า?  เรื่องนี้พวกเราตกลงกันไปแล้ว และมีความเข้าใจตรงกัน”  ผู้นำก็บอกผมว่า “ทางออกที่คุณเสนอมานั้นใช้ได้ แต่จะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก”  จากนั้นเธอก็บอกพวกเราถึงวิธีที่จะทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นได้รวดเร็วกว่าและง่ายกว่า  อันที่จริงผมคิดว่าวิธีของเธอนั้นดี แต่ผมก็ไม่ได้พอใจนัก  ผมนึกสงสัยว่าพี่น้องหญิงทั้งสองจะคิดอย่างไรกับผม ถ้าแนวทางที่ผมใช้เวลาคิดอยู่นมนานนั้นไม่ได้เอามาใช้  พวกเขาจะคิดว่าผมไร้ประโยชน์ และจัดการไม่ได้แม้แต่งานเล็กๆ หรือเปล่า?  แบบนั้นคงจะน่าอายมาก  ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงเรื่อยๆ  ต่อมาผู้นำขอให้ผมทำหน้าที่ร่วมกับพี่น้องหญิงสองคนนั้น  ผมต่อต้านเรื่องนี้มาก และพูดจาไม่ดีกับเธอ  ภายหลังผมทำหน้าที่จนเสร็จ แต่ผมกลับแสดงความเสื่อมทรามออกมาตลอดกระบวนการนั้น ซึ่งทำให้ผมรู้สึกผิดและไม่สบายใจ  หลังจากนั้นผมคิดในใจว่าผู้นำก็มีความรับผิดชอบและให้คำเสนอแนะดีๆ เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพงานของพวกเรา  การนี้ดีต่องานของคริสตจักร  แต่ผมกลับยอมรับไม่ได้ และถึงกับโกรธเคือง  ผมถามตัวเองว่าทำไมผมถึงยอมรับความคิดเห็นที่เหมาะสมไม่ได้ แล้วทำไมความคิดเห็นเหล่านั้นถึงทำให้ผมโมโห  ผมจำเป็นต้องหารากเหง้าของเรื่องนี้ให้พบ จะได้หลุดพ้นจากสภาวะนี้โดยเร็วที่สุด

ค่ำวันนั้น ผมค้นหาบทตอนเกี่ยวกับความโกรธในพระวจนะของพระเจ้าทางเว็บไซต์ของคริสตจักร และพบเจอบทตอนนี้ที่ว่า “ทันทีที่มนุษย์มีสถานะ เขามักจะพบว่าการควบคุมอารมณ์ของเขาเป็นเรื่องยาก และดังนั้นเขาจะสุขสำราญกับการฉวยโอกาสที่จะแสดงความไม่พอใจและระบายอารมณ์ของเขา เขามักจะเกิดความเดือดดาลโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อเผยความสามารถของเขา และให้คนอื่นรู้ว่าสถานะและอัตลักษณ์ของเขาแตกต่างจากสถานะและอัตลักษณ์ของผู้คนธรรมดา  แน่นอนว่าผู้คนที่เสื่อมทรามที่ปราศจากสถานะใดๆ ก็มักจะสูญเสียการควบคุมด้วยเช่นกัน  บ่อยครั้งที่ความโกรธของพวกเขาเกิดจากความเสียหายต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา  พวกเขาจะระบายอารมณ์ของตนและความโอหังของพวกเขาบ่อยครั้งเพื่อปกป้องสถานะและศักดิ์ศรีของพวกเขาเอง  มนุษย์จะบันดาลโทสะและระบายอารมณ์ของตนเพื่อปกป้องและสนับสนุนการมีอยู่ของบาป และการกระทำเหล่านี้คือวิธีที่มนุษย์ใช้แสดงความไม่พอใจของเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกลอุบายและเล่ห์กล เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและความเลวของมนุษย์ และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาเต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากที่บ้าคลั่งของมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2)  หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็มองเห็นว่าการที่มนุษย์บันดาลโทสะมีเหตุผลอยู่  ยามที่พวกเราเสียชื่อเสียงหรือผลประโยชน์ พวกเรามักจะระบายความไม่พอใจออกมา แสดงอารมณ์โกรธ และขาดเหตุผลของมนุษย์ที่ปกติอยู่บ่อยๆ  สิ่งที่พวกเราแสดงออกมาให้เห็นคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานและสิ่งที่เป็นลบ  พอทบทวนตัวเองในความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผมก็มองเห็นว่าเมื่อแนวคิดของผมถูกปฏิเสธ ผมก็ต้านทานอย่างมาก  ผมรู้อย่างชัดเจนว่าแนวทางของผู้นำนั้นดีกว่าของผม รู้ว่ามันทั้งง่ายและเร็ว แต่ผมก็ยังรู้สึกโกรธและกังวลว่าคนอื่นจะคิดว่าผมใช้ไม่ได้จริงๆ  ดังนั้นผมจึงพูดจาไม่ดีกับผู้นำ  ถึงจุดนั้นผมได้มองเห็นว่าผมโอหังจริงๆ และสนใจชื่อเสียงและสถานะของตัวเองมากเกินไป  ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเองมีทัศนะที่ยอดเยี่ยม และไม่อยากรับฟังคนอื่น  ผมไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรเลย  ผมได้เห็นว่าตัวเองโอหังจนขาดเหตุผล และถึงขนาดมีปัญหามากมายขนาดนั้นในการยอมรับคำแนะนำดีๆ  พอตระหนักเช่นนั้น ผมก็เต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อกลับใจ ขอพระองค์ทรงนำให้ผมรู้จักตัวเองดีขึ้น และขจัดความโอหังได้สำเร็จ

ในเวลาต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหลายประเภทที่รวมอยู่ในอุปนิสัยของซาตาน แต่ประเภทที่เห็นได้ชัดที่สุดและโดดเด่นที่สุดคืออุปนิสัยอันโอหัง  ความโอหังคือรากเหง้าของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  ยิ่งผู้คนโอหังมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งไม่มีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขาไม่มีเหตุผลมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ย่อมหมิ่นเหม่ที่จะขัดขืนพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  ปัญหานี้รุนแรงเพียงใด?  ผู้คนที่มีอุปนิสัยอันโอหังไม่เพียงเชื่อว่าคนอื่นๆ อยู่ต่ำกว่าพวกเขาเท่านั้น แต่ที่แย่ที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือ พวกเขาถึงขั้นวางท่ายโสต่อพระเจ้า และพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  แม้ผู้คนบางคนอาจจะดูเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์เฉกเช่นพระเจ้าแต่อย่างใด  พวกเขารู้สึกเสมอว่า พวกเขามีความจริงและหลงรักตัวเองเหลือเกิน  นี่คือแก่นแท้และรากเหง้าของอุปนิสัยโอหัง และนั่นมาจากซาตาน  เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องความโอหังจึงต้องได้รับการแก้ไข  ความรู้สึกว่าคนคนหนึ่งดีกว่าคนอื่น—นั่นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว  ประเด็นปัญหาที่วิกฤติก็คืออุปนิสัยโอหังของคนเรากีดกันคนเราจากการนบนอบพระเจ้า อธิปไตยของพระองค์ และการจัดการเตรียมการของพระองค์ บุคคลเช่นนี้รู้สึกเอนเอียงที่จะแข่งขันกับพระเจ้าเพื่ออำนาจและควบคุมผู้อื่นอยู่เสมอ  บุคคลประเภทนี้ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการรักพระเจ้าหรือการนบนอบพระองค์  ผู้คนซึ่งโอหังและทะนงตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่โอหังมากจนถึงขนาดสูญเสียเหตุผลของตนไป ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา และถึงขั้นยกย่องและเป็นคำพยานให้ตนเอง  ผู้คนประเภทนี้ขัดขืนพระเจ้ามากที่สุด และไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  หากผู้คนปรารถนาที่จะไปถึงจุดที่พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องแก้ไขอุปนิสัยอันโอหังของตนเสียก่อน  ยิ่งเจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันโอหังของเจ้าได้อย่างถ้วนทั่วมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และเมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนบนอบพระองค์ และได้มาซึ่งความจริงและรู้จักพระองค์  เฉพาะบรรดาผู้ที่ได้รับความจริงเท่านั้นที่เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ผมลองคิดตามบทตอนนี้ และตระหนักว่าสาเหตุที่ผมไม่อาจรับข้อเสนอแนะของคนอื่นได้อย่างเหมาะสม เป็นเพราะผมมีอุปนิสัยที่โอหัง  ผมอยากให้คนอื่นฟังผม แต่กลับไม่เต็มใจที่จะยอมรับหรือฟังคำแนะนำของคนอื่น  ตอนที่ผมทำงานอยู่กับพี่น้องราอูล ผมเป็นอย่างนั้นเลย  เนื่องจากผมโอหังมาก ผมจึงไม่เต็มใจที่จะทำตามที่เขาบอก และยิ่งทนไม่ได้ที่เขาพูดจากับผมด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างอย่างนั้น  แล้วในปฏิสัมพันธ์ที่ผมมีกับภรรยาของตัวเองหรือคนอื่นในชีวิตประจำวัน ผมก็คิดเสมอว่าตัวเองมีแนวคิดที่ดีที่สุด ผมเป็นฝ่ายถูก ดังนั้นพวกเขาควรฟังผมและทำตามที่ผมพูด  หลังจากที่รับเชื่อและทำหน้าที่กับพี่น้องชายหญิง ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในความโอหังต่อไป และไม่ต้องการยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น  ขนาดผมรู้ว่าวิธีการของตัวเองไม่ได้ดีเยี่ยม ผมก็ยังอยากทำอะไรตามวิธีของตน และให้คนอื่นฟังผม  ผมโอหังมากเสียจนไม่มีเหตุผลให้เอ่ยถึง  เนื่องจากธรรมชาติที่โอหังของตัวเอง ผมจึงไม่อาจมองดูสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผลได้  ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกต้องอยู่เสมอ แต่บ่อยครั้งคนอื่นก็มีแนวคิดที่ดีกว่าและมุมมองที่ครอบคลุมกว่าของผมจริงๆ  ตัวอย่างเช่น เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ผมก็มักจะให้ภรรยาทำสิ่งต่างๆ ตามที่ผมวางไว้อยู่บ่อยๆ แต่ผลกลับออกมาไม่ดี  คราวนี้ก็เหมือนกัน  วิธีการที่ผู้นำเสนอแนะนั้นง่าย ประหยัดเวลา และสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ส่วนแนวทางที่ผมสามัคคีธรรมไว้กับพี่น้องหญิงสองคนนั้นซับซ้อนและใช้เวลาด้วย  ข้อเท็จจริงแสดงให้ผมเห็นแล้วว่าผมไม่มีเหตุผลที่จะโอหังขนาดนั้นเลย  ผมควรจะติดดิน ทำตัวสบายๆ และรู้จักที่ทางของตัวเอง  ถ้ายังมีชีวิตในความโอหังแบบนั้นไปเรื่อยๆ ผมย่อมจะลงเอยเหมือนหัวหน้าทูตสวรรค์ ไม่สนใจพระเจ้า ต้านทานพระองค์ และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงลงโทษและสาปแช่งผม  พอตระหนักได้ดังนี้ ผมก็รีบกล่าวคำอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันโอหังของตนอีกแล้ว  ข้าพระองค์อยากใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ รับฟังข้อเสนอแนะของพี่น้องชายหญิงในการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ ทำงานกับพวกเขาได้ดี และทำหน้าที่ของข้าพระองค์เพื่อสนองน้ำพระทัยของพระองค์”

หลังจากนั้นผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอน ความว่า “ธรรมชาติที่โอหังทำให้เจ้าเอาแต่ใจ  หากเจ้ามีธรรมชาติที่โอหัง เจ้าจะประพฤติตนตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น ไม่ใส่ใจคำพูดของผู้ใดเลย  เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่นของเจ้าอย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้ามีแนวคิดและแผนการของเจ้าเอง  ก่อนที่จะกำหนดพิจารณาว่าจะทำสิ่งใด เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงและอย่างน้อยเจ้าควรสามัคคีธรรมกับทุกคนถึงสิ่งที่เจ้าคิดและเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนั้น โดยขอให้ทุกคนบอกเจ้าว่าความคิดทั้งหลายของเจ้าถูกต้องและเป็นไปในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่ และขอให้ดำเนินการตรวจสอบขั้นสุดท้ายให้กับเจ้า  นี่คือวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น  ประการแรก เจ้าสามารถฉายส่องความสว่างไปยังทรรศนะทั้งหลายของเจ้าและแสวงหาความจริง—นี่คือขั้นตอนแรกของการปฏิบัติเพื่อแก้ไขการทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่น  ขั้นตอนที่สองเกิดขึ้นเมื่อผู้คนอื่นออกเสียงแสดงข้อคิดเห็นที่เห็นต่าง—เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อกันไม่ให้เกิดการทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น?  ก่อนอื่นเจ้าต้องมีท่าทีของความถ่อมใจ พักวางสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องลงไว้ก่อน และปล่อยให้ทุกคนสามัคคีธรรมกัน  ต่อให้เจ้าเชื่อว่าหนทางของเจ้านั้นถูกต้อง เจ้าก็ไม่ควรเอาแต่ยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น  นั่นย่อมเป็นความก้าวหน้าอย่างหนึ่ง แสดงให้เห็นท่าทีของการแสวงหาความจริง ปฏิเสธตัวเจ้าเอง และสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ทันทีที่เจ้ามีท่าทีนี้ ในเวลาเดียวกันก็ไม่ยึดติดกับข้อคิดเห็นทั้งหลายของตนเอง เจ้าก็ควรอธิษฐาน  แสวงหาความจริงจากพระเจ้า แล้วจากนั้นจงมองหาหลักพื้นฐานในพระวจนะของพระเจ้า—กำหนดพิจารณาวิธีปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือการฝึกฝนปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุดและถูกต้องแม่นยำที่สุด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  “ปัญหาที่แก้ยากที่สุดของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคือการทำความผิดเดิมๆ  เพื่อป้องกันการนี้ ผู้คนต้องตระหนักรู้ก่อนว่าพวกเขายังไม่ได้รับความจริง ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแห่งการดำเนินชีวิตของพวกเขา และแม้พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน และยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะทรยศพระเจ้าและไถลห่างจากพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  หากพวกเขามีสำนึกแห่งวิกฤตนี้อยู่ในหัวใจของตน—หากเป็นไปตามที่ผู้คนมักจะพูดกันว่าในยามสงบ พวกเขาก็เตรียมพร้อมรับภัย—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะยับยั้งชั่งใจได้บ้าง และเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ และจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำความผิดซ้ำเดิม  เจ้าต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอุปนิสัยของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ว่าธรรมชาติแห่งการทรยศพระเจ้ายังคงหยั่งรากลึกอยู่ในตัวเจ้าและยังไม่ถูกขับออกไป ว่าเจ้ายังคงเสี่ยงต่อการทรยศพระเจ้า และว่าเจ้าต้องเผชิญหน้าความเป็นไปได้ที่จะทนทุกข์กับความพินาศและการถูกทำลายอยู่เป็นนิจ  นี่คือเรื่องจริง ดังนั้นพวกเจ้าต้องรอบคอบระมัดระวัง  มีประเด็นสำคัญที่สุดสามประเด็นที่ต้องระลึกไว้ กล่าวคือ ประการแรก เจ้ายังคงไม่รู้จักพระเจ้า ประการที่สอง ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในอุปนิสัยของเจ้า และประการที่สาม เจ้ายังไม่ได้ดำเนินชีวิตตามภาพลักษณ์ที่แท้จริงของมนุษย์  สามสิ่งนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง สามสิ่งนี้เป็นจริง และเจ้าต้องชัดเจนในเรื่องของสามสิ่งนี้  เจ้าต้องตระหนักรู้ตนเอง  หากเจ้ามีเจตจำนงที่จะแก้ไขปัญหานี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ควรเลือกคติเตือนใจตัวเจ้าเอง ตัวอย่างเช่น ‘ฉันคือมูลสัตว์บนเพื้นดิน’ หรือ ‘ฉันคือมาร’ หรือ ‘ฉันมักร่วงหล่นลงสู่ทางเดิมบ่อยๆ’ หรือ ‘ฉันอยู่ในอันตรายเสมอ’  ไม่ว่าจะเป็นข้อใดในตัวอย่างเหล่านี้ก็เหมาะที่จะใช้เป็นคติเตือนใจเจ้าทั้งสิ้น และย่อมจะช่วยได้หากเจ้าใช้เตือนตนเองตลอดเวลา  จงทวนซ้ำคติเตือนใจนั้น นำมาคิดทบทวน แล้วเจ้าก็อาจทำความผิดน้อยลงหรือเลิกทำความผิดได้  กระนั้นก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริงให้มากขึ้น รู้จักธรรมชาติของเจ้าเอง และทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะปลอดภัย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ผมเข้าใจว่าเพื่อที่จะแก้ไขความโอหังของตัวเอง ผมต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกับคนอื่น แสวงหา และสามัคคีธรรม  ในการหารือเรื่องงาน ผมควรแบ่งปันความคิดของตนกับพี่น้องชายหญิง และแสวงหาความคิดเห็นของคนอื่นอย่างถ่อมใจ  ไม่ว่าความคิดเห็นเหล่านั้นจะแตกต่างจากสิ่งที่ผมเสนอแนะหรือไม่ก็ตาม ผมก็ควรละวางสิ่งที่ผมคิดว่าถูก  ผมควรอธิษฐานและแสวงหาจากสิ่งที่คนอื่นพูด แล้วปล่อยให้พระเจ้าทรงนำและประทานความรู้แจ้งแก่ผม เพื่อทำให้ผมเห็นว่าอะไรถูก อะไรเหมาะสม และทำให้ผมเห็นข้อเสียและข้อบกพร่องของตัวเอง  แม้เมื่อผมคิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นถูก ผมก็จะยึดตามแนวคิดของตัวเองไม่ได้ ผมต้องแสวงหาความจริง และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า  เวลาเห็นคนอื่นมีแนวคิดที่ดีกว่า ถูกต้องกว่า ผมก็ควรเรียนรู้ที่จะละวางตัวเอง และยอมรับสิ่งที่พวกเขาพูด  เช่นนั้นถึงจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และทำให้ผมไม่ทำอะไรที่ผิดพลาด  ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังเขียนคติสอนใจตัวเองเรื่องธรรมชาติที่โอหังของผมไว้ว่า “ฉันเป็นเพียงมูล และฉันต้องไม่โอหัง  ฉันทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายด้วยการไม่ควบคุมตนเอง”  การทำเช่นนี้ช่วยให้ผมจดจำความเสื่อมเสียที่เกิดจากสภาวะอันโอหังของตัวเองได้ และย้ำเตือนผมถึงอันตรายและผลสืบเนื่องของการมีชีวิตอยู่ในความโอหัง  หลังจากนั้นผมก็เริ่มมุ่งความสนใจไปที่การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และรับฟังแนวคิดของคนอื่น  เวลามีใครเสนอแนะหรือให้ความเห็นที่ต่างไปจากผม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือในการทำหน้าที่ร่วมกับพี่น้องชายหญิงที่คริสตจักร ผมก็เริ่มละวางตัวเอง  ผมได้มองเห็นว่าคนอื่นมีแนวคิดที่ครอบคลุมกว่าผมจริงๆ และผมได้เรียนรู้ที่จะยอมรับแนวคิดของพวกเขาจากหัวใจ และนำข้อเสนอแนะที่เหมาะสมมาใช้  พอปฏิบัติแบบนั้น ผมก็ค้นพบว่าผมอารมณ์เสียกับพี่น้องชายหญิงน้อยลง และสามารถรับฟังและยอมรับสิ่งที่คนอื่นพูดได้  ผมยังรู้สึกผ่อนคลายกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมากอีกด้วย  ผมสำนึกขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจของผม!

ต่อมาผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน ความทุกข์ และกระบวนการถลุงจากพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกบ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การนบนอบและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์  ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง  โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน  ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว)  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้ผมเห็นว่า พวกเราไม่อาจพึ่งพาพละกำลังหรือความพากเพียรของตนเองในการควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนได้  ความพยายามทั้งหมดในการควบคุมตัวเองเปลี่ยนได้แค่บางพฤติกรรมเท่านั้น และความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นย่อมจะคงอยู่ไม่นานนัก  ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้อย่างแท้จริง พวกเราก็ต้องยอมรับการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง การสั่งสอน การบ่มวินัย บททดสอบและกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า  นั่นเป็นทางเดียวที่จะรู้จักธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตัวเองได้อย่างแท้จริง และมองเห็นผลสืบเนื่องของการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนอย่างชัดเจน  เมื่อนั้นพวกเราถึงจะเกลียดและละทิ้งตัวเองได้อย่างแท้จริง กลับใจและเปลี่ยนแปลงได้โดยแท้

ผมขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ประทานโอกาสให้ผมมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ในยุคสุดท้าย ผมถึงสามารถเรียนรู้ความจริงได้ มารู้จักตัวเอง และแก้ไขความเสื่อมทรามของตัวเองได้  ผมรู้สึกโชคดีอย่างเหลือเชื่อ  ผมไม่รู้สึกสับสนและหลงทางขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยรากเหง้าแห่งบาปของพวกเรา และการสำแดงของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของพวกเรา  พระองค์ยังประทานเส้นทางให้พวกเราได้ละทิ้งบาปและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำรงชีวิตอีกด้วย  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ช่างอุดมและสมบูรณ์ และให้ทุกอย่างที่พวกเราต้องการ  พระวจนะให้คำตอบแก่ทุกคำถามและทุกความยากลำบากของพวกเรา  ตราบใดที่พวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับจากหัวใจ พวกเราก็จะสามารถเข้าใจความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของตนได้ และค้นพบเส้นทางที่จะแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา  ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การทำงานหนักทำให้เราได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์หรือไม่

โดย Sheila, เคนยา ฉันเกิดในครอบครัวคาทอลิกค่ะ บาทหลวงของเราพูดเสมอว่า เราควรติดตามพระบัญญัติของพระเจ้า มอบความรักให้แก่กัน เข้าพิธีมิสซา...

กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ผมมาเป็นคริสเตียนในปี 1990 มีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่พูดเสมอว่า พระคัมภีร์คือรากฐานของความเชื่อ และเราต้องทำตามพระคัมภีร์ คำพูดเหล่านั้น...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger