พระเจ้าได้แสดงพระดำรัส นอกเหนือไปจากพระคัมภีร์หรือไม่?

วันที่ 30 เดือน 10 ปี 2024

วันหนึ่งในเดือนมกราคมปี 2018 ฉันพบพี่น้องหญิงเซี่ยและพี่น้องหญิงเฉินออนไลน์ ซึ่งมีความเข้าใจลึกซึ่งในพระคัมภีร์เป็นพิเศษ สามัคคีธรรมของพวกเธอ เต็มไปด้วยความสว่าง พวกเธอบอกต้นเหตุความอ้างว้างของคริสตจักร และจะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร ทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า งานที่พระเจ้าจะทรงทำในยุคสุดท้ายดังที่เผยพระวจนะไว้ในวิวรณ์ เป็นต้น เราสามัคคีธรรมกันหลายวัน และฉันเข้าใจมากกว่าที่เคยฟังศิษยาภิบาลของฉันมากกว่า 10 ปีเสียอีก ทั้งหมดรู้สึกสดใหม่มาก และฉันพิศวงด้วยความสนเท่ห์ ว่าพวกเขาได้รับความสว่างมากขนาดนั้นจากพระคัมภีร์ได้ยังไง ฉันเริ่มมีส่วนร่วมในการชุมนุมของพวกเขา เพื่อเรียนรู้ความจริงและความล้ำลึกเพิ่มเติม และรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มากขึ้น

ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่เซี่ยบอกฉันอย่างมีความสุขว่า “ฉันมีข่าวดีมากๆ เลยค่ะ! องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังแสดงความจริงและทรงงานแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย” ผมตื่นเต้นมากที่ได้ยินเรื่องนี้ แต่ฉันก็พบว่ามันเชื่อยากสักหน่อย ฉันจึงถามไปว่า “จริงเหรอคะ?” พี่เฉินพูดว่า “ค่ะ เป็นความจริง ทรงกลับมาในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ กำลังดำรัสและทรงงานแห่งการพิพากษา” ฉันนึกถึงโพสต์ที่เห็นในเฟซบุ๊กที่ว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เป็นพยานยืนยันว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาเพื่อตรัสและทรงงานพิพากษา และสิ่งที่พวกเขาประกาศอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ ฉันตั้งแง่ขึ้นมาทันที และรีบถามพี่เฉินว่า “คุณเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเหรอคะ?” เธอพูดตรงๆ ว่า “ใช่ค่ะ” ฉันยุ่งยากใจนิดหน่อย นึกถึงที่ศิษยาภิบาลพูดว่าพระวจนะล้วนอยู่ในพระคัมภีร์ ความเชื่อต้องอยู่ในพระคัมภีร์ นอกเหนือจากนั้นคือนอกรีต สิ่งที่พวกเธอประกาศอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ นี่ไม่หลงไปจากทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหรอ? ฉันจึงพูดว่า “ที่พวกคุณประกาศต่างจากที่ศิษยาภิบาลของเราประกาศ เกรงว่าฉันคงเจอพวกคุณอีกไม่ได้แล้วค่ะ” จากนั้นฉันก็ตัดการติดต่อทันที ทว่า ข่าวการทรงกลับมาทำให้ฉันปั่นป่วนใจอยู่นานหลังจากนั้น ฉันนึกถึงว่าที่ผ่านมาสามัคคีธรรมของพี่น้องทั้งสองให้ความรู้แจ้งและสัมพันธ์กับชีวิตจริงแค่ไหน ฉันได้เข้าใจเยอะมากเกี่ยวกับความล้ำลึกในพระคัมภีร์และเกี่ยวน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันนึกสงสัยว่า “หรือฟ้าแลบจากทิศตะวันออกจะมาจากพระเจ้า? ถ้าฉันไม่ฟังและพลาดโอกาสต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จะเสียดายก็สายเกินไปแล้ว” แต่พอฉันคิดถึงสิ่งที่ผู้รับใช้พูด ฉันก็กังวลว่าอาจจะถูกนำให้หลงทาง ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจถูกดึงออกเป็นสองทิศทาง ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าสุดจิตสุดใจ ขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันตัดสินใจอย่างถูกต้อง

ฉันควรจะมีอีกการเสวนากับพี่น้องหญิงสองคนนั้นออนไลน์ในเช้าวันรุ่งขึ้น พอคิดว่าพวกเธอแสดงความรักและใจเย็นเสมอ ฉันก็คิดว่าจะเป็นการหยาบคายถ้าไม่โผล่หน้าเข้าไปโดยไม่บอกกล่าว ฉันจึงออนไลน์ตามปกติ พอเจอกัน ฉันพูดว่า “สามัคคีธรรมของพวกคุณให้ความรู้แจ้งมาก และสัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่พวกคุณพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงงานใหม่ และะแสดงพระวจนะใหม่ นี่เกินกว่าพระคัมภีร์และหลงไปจากทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า ศิษยาภิบาลพูดว่าพระวจนะล้วนอยู่ในพระคัมภีร์ แล้วจะมีพระวจนะใหม่จากพระเจ้านอกพระคัมภีร์ได้ยังไง?” จากนั้นพี่เซี่ยก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ศิษยาภิบาลพูดเสมอว่าพระวจนะล้วนอยู่ภายในพระคัมภีร์ และไม่อาจหาพบในที่อื่นใดได้ แต่ทรรศนะนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและพระวจนะของพระเจ้าไหม? องค์พระเยซูเจ้าเคยตรัสไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์ล่ะ? ถ้าไม่ได้อิงจากพระวจนะ หรือความจริง เช่นนั้นมันก็แค่มโนคติอันหลงผิด และไม่สมเหตุสมผล คนที่รู้พระคัมภีร์ดีรู้ว่า เพราะบรรดาผู้ที่รวบรวมพันธะสัญญาเดิมเว้นบางเรื่อง พระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าบางส่วนที่ถ่ายทอดไว้ จึงไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพันธะสัญญาเดิม ตัวอย่างเช่น คำเผยพระวจนะของเอสราไม่ได้ถูกรวมไว้ในพระคัมภีร์ เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันดี ระหว่างองค์พระเยซูเจ้าทรงงาน พระองค์ไม่เพียงตรัสพระวจนะซึ่งมีบันทึกเพียงจำกัดอยู่ในพระกิตติคุณสี่เล่ม ดังที่พระกิตติคุณยอห์นกล่าวว่า ‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ (ยอห์น 21:25)  ถ้าเราถือตามมุมมองของศิษยาภิบาล จะไม่เป็นการปฏิเสธและกล่าวโทษพระวจนะของพระเจ้าเหล่านั้น ที่ไม่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์เหรอ? อีกอย่าง องค์พระเยซูเจ้าทรงทำนายไว้ชัดเจนว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)  ในวิวรณ์ มีเผยพระวจนะว่า ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ บทที่ 2, 3)  มีม้วนหนังสือให้พระเมษโปดกเปิด และเสียงกึกก้องของฟ้าร้องทั้งเจ็ด เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะตรัสเพิ่มเติม และพระดำรัสเหล่านั้นไม่อาจถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ล่วงหน้าได้ ถ้าพบพระวจนะของพระเจ้าได้ในพระคัมภีร์เท่านั้น คำเผยพระวจนะเหล่านี้จะลุล่วงได้ยังไง? พระเจ้าคือพระผู้สร้าง น้ำพุที่ไหลรินตลอดเวลา พระองค์จะตรัสเพียงพระวจนะที่บันทึกไว้จำกัดในพระคัมภีร์ได้ยังไง? ผู้รับใช้พูดว่า ‘พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ล้วนอยู่ในพระคัมภีร์และไม่อาจพบในที่ใดได้อีก’ แต่นี่ไม่ได้ปฏิเสธและกล่าวโทษงานและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาเหรอ?”

หลังจากฟังสามัคคีธรรมของเธอ ฉันคิดว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาตรัสพระวจนะเพิ่มเติม และพรวจนะเหล่านั้นก็จะต้องอยู่นอกเหนือสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์” แต่ความคิดที่จะแยกจากพระคัมภีร์กวนใจฉัน และฉันคิดว่า “ศิษยาภิบาลพูดเสมอว่าการแยกห่างจากพระคัมภีร์คือการนอกรีต ถ้าหากฉันหลงทางในความเชื่อของฉันล่ะ? ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานมาก และอ่านพระคัมภีร์มาตลอด คริสเตียนทั่วทั้งโลกมีความเชื่อบนพื้นฐานของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์คือเสาหลักของความเชื่อของเรา ถ้าแยกจากมันแล้วจะยังมีความเชื่อได้เหรอ?” ผมคิดแบบนี้ฉันก็ตกอยู่ในความเงียบ

พอเห็นว่าฉันไม่พูดอะไร พี่เฉินก็ไม่ดำเนินการสามัคคีธรรมต่อ หลังคุยจบ เธอส่งคลิปให้ฉันชื่อ พระราชกิจของพระเจ้าสอดคล้องกับพระคัมภีร์หรือไม่? จากภาพยนตร์ข่าวประเสริฐชื่อ ออกมาจากพระคัมภีร์ และขอให้ฉันเปิดดู ฉันเปิดลิงค์นั้นเข้าไป และดูตัวละครหลัก หวังเยว่สามัคคีธรรมกับศิษยาภิบาล ฉันสนอกสนใจทันทีค่ะ เธอพูดว่า “คุณเพิ่งพูดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทำงานแห่งความรอดภายนอกพระคัมภีร์ และอะไรก็ตามนอกเหนือพระคัมภีร์คือนอกรีต ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามคุณหน่อยนะ อะไรมาก่อนกัน พระคัมภีร์หรือพระราชกิจของพระเจ้า? พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งในตอนเริ่มต้น พระองค์บันดาลน้ำท่วมโลก และเผาโสโดมกับโกโมราห์ ตอนที่พระเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านั้น มีพันธะสัญญาเดิมหรือยังคะ? มีพันธะสัญญาใหม่หรือยังตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงงานในยุคพระคุณ? ทั้งพันธะสัญญาเดิมและใหม่ ถูกรวบรวมตามที่ผู้คนบันทึกพระราชกิจที่เสร็จสิ้นแล้วของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงงานตามพระคัมภีร์ และไม่ได้ถูกพระคัมภีร์จำกัด เพราะพระองค์ทรงงานตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์เองและความจำเป็นของมวลมนุษย์ ดังนั้น เราไม่อาจจำกัดพระราชกิจไว้ในพระคัมภีร์ หรือใช้พระคัมภีร์เพื่อจำกัดงานของพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้ามีฤทธานุภาพเพื่อทรงงานของพระองค์เอง” พี่ฟังสามัคคีธรรมของพี่หวัง หัวใจฉันก็สว่างไสวขึ้น ฉันคิดว่า “ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน ยังไม่มีพันธะสัญญาใหม่ และไม่มีพันธะสัญญาเดิมตอนที่พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและประกาศธรรมบัญญัติ เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้เลย! ทำไมฉันถึงไม่เคยฉุกคิดเรื่องนี้มาก่อนนะ?”

การสามัคคีธรรมในวิดีโอดำเนินต่อไปว่า “ถ้าเราพูดอะไรที่นอกเหนือจากพระคัมภีร์คือความนอกรีต เราไม่ได้กำลังกล่าวโทษพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดตลอดประวัติศาสตร์เหรอ? เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงงาน พระองค์ไม่ทรงทำตามพันธะสัญญาเดิม พระองค์ทรงประกาศหนทางกลับใจ รักษาคนป่วย ขับผีออก ไม่รักษาวันสะบาโต ยกโทษให้ผู้คนเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง เป็นต้น—สิ่งเหล่านี้ไม่มีในพันธะสัญญาเดิม พวกฟาริสี มหาปุโรหิต และธรรมาจารย์ ใช่สิ่งเหล่านี้ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า และกล่าวโทษงานของพระองค์ว่านอกรีต พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่ท้าทายพระองค์” จากนั้น พี่สาวคนนั้นก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอน “ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์  ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า  ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ  พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4))  “ในระหว่างกาลสมัยของพระเยซู พระเยซูทรงนำคนยิวและบรรดาผู้คนที่ติดตามพระองค์โดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระองค์ในเวลานั้น  พระองค์ไม่ได้ทรงนำพระคัมภีร์มาเป็นพื้นฐานของสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พระองค์ตรัสไปตามพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงสำรวจค้นเส้นทางที่จะนำผู้ติดตามของพระองค์ในพระคัมภีร์  นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจ พระองค์ทรงเผยแพร่หนทางแห่งการกลับใจ—ซึ่งเป็นคำที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงไว้ในคำเผยพระวจนะทั้งหลายของพันธสัญญาเดิมโดยสิ้นเชิง  พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่ทรงปฏิบัติตามพระคัมภีร์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงนำเส้นทางใหม่และทรงพระราชกิจใหม่ด้วย  พระองค์ไม่เคยทรงอ้างอิงถึงพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ทรงเทศนาเลย  ในระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้น ไม่เคยมีผู้ใดมีความสามารถที่จะกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ในการรักษาคนป่วยและขับไล่พวกปีศาจได้  ดังนั้น พระราชกิจของพระองค์ คำสอนของพระองค์ และสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระองค์จึงเกินกว่ามนุษย์คนใดในยุคธรรมบัญญัติเช่นเดียวกัน  พระเยซูเพียงทรงพระราชกิจของพระองค์ที่ใหม่กว่า และถึงแม้ว่าผู้คนมากมายกล่าวโทษพระองค์โดยใช้พระคัมภีร์—และแม้กระทั่งใช้พันธสัญญาเดิมเพื่อตรึงกางเขนพระองค์—พระราชกิจของพระองค์ก็เหนือกว่าพันธสัญญาเดิม  หากนี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดผู้คนจึงตอกตรึงพระองค์กับกางเขน?  นั่นไม่ได้เป็นเพราะในพันธสัญญาเดิมไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดที่เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์และความสามารถในการรักษาผู้ป่วยและขับไล่ปีศาจของพระองค์หรอกหรือ?  พระราชกิจของพระองค์ได้รับการปฏิบัติเพื่อนำเส้นทางใหม่ ไม่ใช่เพื่อจงใจมีเรื่องกับพระคัมภีร์ หรือเพื่อจงใจไม่ใช้พันธสัญญาเดิมอีกต่อไป  พระองค์เพียงเสด็จมาเพื่อดำเนินพันธกิจของพระองค์ เพื่อนำพระราชกิจใหม่มายังผู้ที่โหยหาและแสวงหาพระองค์… สำหรับผู้คนแล้ว ดูเสมือนว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีพื้นฐานและมีหลายส่วนขัดแย้งกับบันทึกของพันธสัญญาเดิม  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของมนุษย์หรอกหรือ?  จำเป็นต้องนำหลักคำสอนมาใช้กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือ?  และพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามการพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะหรือ?  ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์?  เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์?  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์?  พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ?  เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป?  หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน?  ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ?  หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับข้อบังคับเหล่านี้?  เจ้าควรรู้ว่าใครมาก่อน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))

จากนั้น พี่หวังก็พูดต่อไปว่า “พระคัมภีร์เป็นแค่บันทึกงานของพระเจ้าสองระยะในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ มันคือคำพยานยืนยันงานสองระยะที่พระเจ้าทรงนำ และไถ่มวลมนุษย์หลังจากทรงสร้างสรรพสิ่งและสร้างมวลมนุษย์ ไม่อาจเป็นตัวแทนงานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าได้ พระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปข้างหน้าเสมอ พระเจ้าทรงเริ่มยุคใหม่และทรงงานใหม่ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงมอบความจริงเพิ่มเติมแก่มนุษย์ ที่เปิดโอกาสให้เราเป็นอิสระจากบาปอย่างหมดจด รอดอย่างสมบูรณ์ และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าไม่ทรงนำมนุษย์ ตามงานเก่าของพระองค์ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และจะไม่ทรงงานที่เสร็จสิ้นไปแล้วซ้ำอีก พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของทั้งการสร้างและพระคัมภีร์ พระองค์มีฤทธานุภาพจะไปเกินกว่าพระคัมภีร์ และทรงงานใหม่ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ เหตุนี้ ‘พระวจะและงานของพระเจ้าล้วนอยู่ในพระคัมภีร์และการแยกจากพระคัมภีร์คือความนอกรีต’ เป็นคำอ้างที่ฟังไม่ขึ้นซึ่งแค่จำกัดและหมิ่นประมาทพระเจ้า ใครก็ตามที่พูดแบบนี้ไม่รู้จักงานของพระเจ้าและต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าทรงงานตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่พระคัมภีร์ องค์พระเยซูเจ้าประกาศหนทางกลับใจ ขับผีออก และรักษาคนป่วย พระองค์ไม่รักษาวันสะบาโตและสอนผู้คนให้ให้อภัยเสมอ—ทั้งหมดนี้ไม่ไปเกินกว่าพันธะสัญญาเดิมเหรอ? พระองค์ละเมิดธรรมบัญญัติของพันธะสัญญาเดิมด้วยซ้ำ แต่นี่ก็ยังเป็นงานของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?” ฉันมีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานานมาก อีกทั้งเชื่อและยึดมั่นสิ่งที่ผู้รับใช้พูดเสมอ ว่า “พระวจะและงานของพระเจ้าล้วนอยู่ในพระคัมภีร์และการแยกจากพระคัมภีร์คือความนอกรีต” ฉันไม่ได้กำลังกล่าวโทษงานของพระเจ้าหรอกเหรอ? ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า ตอนนั้นฉันโง่เขลาและสับสนแค่ไหน!

จากนั้น พอฉันมีเวลา ฉันจะดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐและวิดีโอที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผลิตบนยูทูป วันหนึ่ง ฉันคลิกคลิปภาพยนตร์ชื่อ อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและพระคัมภีร์? พระวจะในคลิปนั้นทำให้ชั้นตื้นตันใจมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “นับตั้งแต่เวลาที่มีพระคัมภีร์เป็นต้นมา การเชื่อของผู้คนในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการเชื่อในพระคัมภีร์  แทนที่จะพูดว่าผู้คนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นเชื่อในพระคัมภีร์ และแทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คงเป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่ต่อหน้าพระคัมภีร์  ด้วยวิธีนี้ ผู้คนนมัสการพระคัมภีร์เสมือนว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า เสมือนว่าพระคัมภีร์คือโลหิตแห่งชีวิตของพวกเขา และการสูญเสียพระคัมภีร์ก็คงจะเหมือนกับการสูญเสียชีวิตของพวกเขา  ผู้คนมองว่าพระคัมภีร์สูงส่งเท่ากับพระเจ้า และมีแม้กระทั่งผู้ที่มองว่าพระคัมภีร์สูงส่งกว่าพระเจ้า  หากผู้คนปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้—แต่ทันทีที่พวกเขาสูญเสียพระคัมภีร์ หรือสูญเสียบทและคำคมที่ขึ้นชื่อจากในพระคัมภีร์ ก็เสมือนกับว่าพวกเขาได้สูญเสียชีวิตของพวกเขาไปแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))  “พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของเราภายในขอบเขตของพระคัมภีร์เท่านั้นและพวกเขาถือว่าเราเทียบเท่าพระคัมภีร์ กล่าวคือไม่มีพระคัมภีร์ไม่มีเราและไม่มีเราไม่มีพระคัมภีร์  พวกเขาไม่ใส่ใจต่อการดำรงอยู่หรือการกระทำของเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับอุทิศการให้ความสนใจอย่างที่สุดและเป็นพิเศษให้กับทุกๆ คำในพระคัมภีร์  ผู้คนอีกมากมายกว่านั้นถึงกับเชื่อว่าเราไม่ควรทำสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาจะทำเว้นแต่จะถูกบอกไว้ล่วงหน้าโดยพระคัมภีร์  พวกเขาให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์มากเกินไป  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของคำพูดที่เป็นตัวอักษรมากเกินไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเขาจะใช้ข้อพระคัมภีร์จากพระคัมภีร์มาวัดทุกคำที่เราพูดและเพื่อกล่าวโทษเรา  สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่หนทางแห่งการเข้ากันได้กับเราหรือหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง แต่เป็นหนทางแห่งการเข้ากันได้กับวจนะของพระคัมภีร์และพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไม่ใช่งานของเราโดยไม่มีข้อยกเว้น  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พงศ์พันธุ์ผู้เคร่งครัดต่อหน้าที่ของพวกฟาริสีหรอกหรือ?  พวกฟาริสีชาวยิวใช้ธรรมบัญญัติของโมเสสกล่าวโทษพระเยซู  พวกเขาไม่ได้แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเยซูในเวลานั้น แต่ทำตามธรรมบัญญัติอย่างขยันขันแข็งตามตัวอักษร จนถึงขอบข่ายที่—หลังจากที่ได้ตั้งข้อหาแก่พระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและไม่ใช่พระเมสสิยาห์แล้ว—พวกเขาได้ตอกตรึงพระเยซูผู้ไร้ความผิดเข้ากับกางเขนในท้ายที่สุด  อะไรคือธาตุแท้ของพวกเขา?  มิใช่การที่พวกเขาไม่ได้แสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาหมกมุ่นกับทุกๆ คำในพระคัมภีร์ในขณะที่ไม่ใส่ใจทั้งต่อเจตจำนงของเราและต่อขั้นตอนและวิธีการทำงานของเรา  พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริง แต่เป็นผู้คนที่เกาะติดอย่างตายตัวอยู่กับวจนะ พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้คนที่เชื่อในพระคัมภีร์  โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือสุนัขเฝ้าพระคัมภีร์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์)  หลังจากดูคลิปนี้ ฉันตระหนักว่า การรู้พระคัมภีร์ดีไม่เหมือนกับการรู้จักหรือเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกฟาริสีในศาสนายิว อธิบายพระคัมภีร์ได้ดีเยี่ยม แต่พวกเขากับตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า นี่แสดงว่าการเข้าใจพระคัมภีร์ไม่ได้หมายถึงการเข้าใจพระเจ้า และการยึดมั่นพระคัมภีร์ไม่ใช่การเดินตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันตระหนักว่าแม้ว่าฉันอ่านพระคัมภีร์มาหลายปีและรู้พระคัมภีร์เล็กน้อย ฉันก็ไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ เลย ฉันเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพระคัมภีร์เป็นตัวแทนองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ และการเชื่อพระคัมภีร์คือการเชื่อพระองค์ เชื่อว่าการยืดมั่นในพระคัมภีร์คือการยึดมั่นในหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพี่เซี่ยเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าได้ทรงปรากฏและทรงงานในยุดสุดท้ายอยู่ ฉันไม่กล้าตรวจสอบดู และต่อมา หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันยังพบว่าเป็นการยากที่จะยอมรับ แม้จะรู้อยู่ในหัวใจ ว่าพระวจนะคือความจริงและคือเสียงของพระเจ้า เพียงเพราะพระวจนะเหล่านั้นไม่มีบันทึกในพระคัมภีร์ ฉันนมัสการและยึดติดกับพระคัมภีร์ และไม่ยอมรับพระดำรัสและงานใหม่ของพระเจ้า ฉันแตกต่างจากพวกฟาริสีซึ่งต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าตรงไหน? ความคิดนี้ ทำให้ฉันกลัวมาก ฉันคิดว่า “ฉันต้องปล่อยวางมโนคติอันหลงผิด” “ฉันต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่ม”

ในการชุมนุมครั้งต่อมา ฉันบอกพี่น้องทั้งสองว่าฉันได้รับและเข้าใจอะไรจากการดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐเหล่านั้น พวกเธอดีใจมาก และอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ถาวรและเป็นนิรันดร์  ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า  หากเจ้าไม่แสวงหาทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์  พวกที่ถูกควบคุมโดยข้อบังคับทั้งหลาย โดยคำพูด และถูกประวัติศาสตร์ล่ามโซ่ไว้จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์  นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)

จากนั้น พี่เซี่ยสามัคคีธรรมว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เริ่มยุคราชอาณาจักรและสิ้นสุดยุคพระคุณ พระองค์แสดงความจริงและทรงงานพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ เพื่อชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ตรัสพระวจนะนับล้าน ส่วนใหญ่พบได้ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์—พระคัมภีร์แห่งยุคราชอาณาจักร พระองค์ได้เปิดเผยความล้ำลึกสำคัญในพระคัมภีร์ เช่นหญิงพรหมจารีมีปัญญาต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า การถูกรับขึ้นไปคืออะไร การที่ผู้ชนะถูกสร้างขึ้นก่อนความวิบัติ ความล้ำลึกของงานบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้า เบื้องหลังงานสามระยะของพระองค์ ความสัมพันธ์ระหว่างงานสามระยะ และจุดจบของงานเหล่านั้น ความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์และการพิพากษาในยุคสุดท้าย ความจริงเกี่ยวกับพระคัมภีร์ เป็นต้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เปี่ยมบารมีที่ไม่ทนการล่วงเกินใดๆ ของพระองค์ พระองค์เปิดโปงและพิพากษาความจริงของความเสื่อมทรามของมนุษย์โดยซาตาน ชำแหละรากเหง้าว่าทำไมผู้คนไม่เชื่อฟังและต่อต้านพระเจ้า และบอกเราว่าน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ที่พระองค์มีต่อมนุษย์คืออะไร นี่รวมถึงความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าคืออะไร การเชื่อฟังพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า และเป็นพยานคืออะไร จะปฏิบัติความจริงและซื่อสัตย์ยังไง จะใช้ชีวิตตามชีวิตที่มีความหมายยังไง เป็นต้น พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีมากมาย และมีทุกอย่างที่เราต้องการ ความจริงเหล่านี้คือหนทางของชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ในยุคสุดท้าย สามารถชำระเราให้สะอาด เปลี่ยนแปลงเรา ปลดปล่อยเราจากบาป ช่วยเราให้รอดโดยสมบูรณ์และนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักร”

สามัคคีธรรมของพี่สาวคนนั้นทำให้ทุกอย่างชัดแจ้ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย พระองค์คือน้ำพุที่ไหลพลุ่งอย่างแท้จริง! ฉันรู้ในหัวใจว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือเสียงของพระเจ้า และพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแต่ไม่เคยรู้จักพระองค์จริงๆ แต่กลับเชื่อสิ่งที่ศิษยาภิบาลบอกแทน ฉันจำกัดพระดำรัสและงานของพระเจ้าไว้ในพระคัมภีร์และไม่ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า พระเจ้ายังไม่ทรงทอดทิ้งฉัน แต่ทรงใช้พี่สาวทั้งสองมาประกาศข่าวประเสริฐแก่ฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันโชคดีเหลือเกินที่ได้ยินเสียงของพระเจ้าและต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และรื่นรมย์กับเสบียงของน้ำที่ไหลรินมาจากพระบัลลังก์ นี่คือพระคุณที่พระเจ้าทรงมีให้ฉัน ฉันขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากค่ะ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าทรงมีเพศซึ่งเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ข้าพเจ้าค้นพบการตีความใหม่ประการหนึ่ง (ภาคที่ 1)

โดย เป่าเอิน บราซิล บันทึกของบรรณาธิการ: เมื่อมาถึงคำถามที่ว่า “พระเจ้าทรงมีเพศที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่?” ข้าพเจ้าเชื่อว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger