พระเจ้าทรงมีเพศซึ่งเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ข้าพเจ้าค้นพบการตีความใหม่ประการหนึ่ง (ภาคที่ 2)

วันที่ 27 เดือน 08 ปี 2020

โดย เป่าเอิน บราซิล

ความล้ำลึกของ “พระบิดา และพระบุตร” ได้รับการเปิดเผยแล้วในที่สุด

แม้ว่า ข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความจริงนี้แล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงไม่ชัดเจนนักว่าทำไมพระเจ้าจึงได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งในยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าจึงถามไปว่า “พี่ชายครับ ในมัทธิวบทที่ 3 ข้อพระคัมภีร์ที่ 17 ได้บันทึกไว้ว่า ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าได้รับบัพติสมา พระสุรเสียงหนึ่งจากสวรรค์ได้ตรัสว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก’ เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอธิษฐาน พระองค์ได้ทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ว่าพระบิดาของพระองค์ เพศของ ‘พระบิดา’ และ ‘พระบุตร’ คือเพศชาย และดังนั้น นี่จึงพิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงเป็นเพศชาย ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าสามารถทรงกลับมาในฐานะเพศหญิงคนหนึ่งได้อย่างไรกัน? ผมไม่เข้าใจประเด็นปัญหานี้ ดังนั้น ผมจึงข้องใจว่า พี่จะสามารถสามัคคีธรรมกับผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหมครับ?”

หลังจากได้ฟังข้าพเจ้ากล่าว พี่ชายผู้นั้นก็พูดอย่างอดทนว่า “พวกเรากำหนดพิจารณาว่า พระเจ้าทรงเป็นเพศชายโดยมีพื้นฐานอยู่บนข้อพระคัมภีร์ไม่กี่ข้อเหล่านี้จากพระคัมภีร์ ว่าแต่ นี่ไม่ใช่เป็นการยืนยันไปโดยพลการหรอกหรือ? นี่เป็นการลงความเห็นที่ถูกต้องหรือ? พระเจ้าเคยตรัสสิ่งแบบนั้นในพระคัมภีร์หรือ? พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคยหรือ? ในข้อเท็จจริงแล้ว นี่เป็นประเด็นปัญหาที่ผู้คนมากมายไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วน แต่พวกเราจะเข้าใจในทันทีที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าตรัสว่า ‘เมื่อพระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาในขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน การนี้กระทำจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสวมใส่เนื้อหนังที่ปกติและธรรมดาและทรงมีเครื่องห่อหุ้มภายนอกเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ว่าภายในพระองค์จะทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า แต่การปรากฏภายนอกของพระองค์ยังคงเป็นการปรากฏของมนุษย์ปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็น “บุตรมนุษย์” ที่มนุษย์ทั้งหมดได้กล่าวถึง รวมถึงพระเยซูพระองค์เองได้ทรงตรัสถึง เมื่อคำนึงถึงว่าพระองค์ได้รับการเรียกขานว่าบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลหนึ่ง (ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง คนเราจะมีเปลือกภายนอกเป็นมนุษย์ในทุกกรณี) ที่ถือกำเนิดมาในครอบครัวปกติครอบครัวหนึ่งของผู้คนธรรมดา เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาก็เป็นแบบเดียวกับวิธีที่พวกเจ้าเรียกพระองค์ว่าพระบิดาในตอนแรก พระองค์ทรงทำเช่นนั้นจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?)ยังคงมีบรรดาผู้ที่กล่าวว่า “พระเจ้ามิได้ทรงระบุไว้อย่างเปิดเผยว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์หรอกหรือ?” พระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานยิ่ง—การนี้ได้ถูกตรัสไว้โดยพระเจ้าพระองค์เองอย่างแน่นอน นั่นคือการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง แต่เพียงจากมุมมองที่แตกต่างกัน ที่เป็นมุมมองของพระวิญญาณในฟ้าสวรรค์ที่ทรงเป็นพยานต่อการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์เอง พระเยซูทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ มิใช่พระบุตรของพระองค์ในสวรรค์ เจ้าเข้าใจหรือไม่? พระวจนะของพระเยซูที่ว่า “เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา” บ่งบอกว่าพวกพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวมิใช่หรือ? และนั่นมิใช่เป็นเพราะการจุติเป็นมนุษย์หรอกหรือที่พวกพระองค์ได้ถูกแยกออกระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก? ในความเป็นจริงแล้ว พวกพระองค์ยังคงทรงเป็นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?)

“จากพระวจนะของพระเจ้า พวกเราสามารถเห็นได้ว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงเรียกพระเจ้าบนสวรรค์ว่าพระบิดาของพระองค์ เพราะองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และเพราะพระองค์ได้ทรงปรากฏจากภายนอกเหมือนเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และเพราะฉะนั้น พระองค์จึงได้ทรงเรียกพระเจ้าจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้าง นี่เป็นการจำแลงร่างของความนบนอบและความเชื่อฟังของพระเจ้าในเนื้อหนังเช่นกัน พระเจ้าในสวรรค์ทรงเรียกองค์พระเยซูเจ้าว่า ‘บุตรที่รัก’ ของพระองค์ อันเป็นการที่พระเจ้าทรงให้คำพยานจากมุมมองของพระวิญญาณต่อองค์พระเยซูเจ้าว่า เป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เพราะนี่เป็นครั้งแรกของการทรงปรากฏและการทรงพระราชกิจในโลกในเนื้อหนัง ไม่มีใครรู้จักพระคริสต์ และพวกเขาทั้งหมดได้ปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พระเจ้าได้ทรงยกโทษให้มนุษย์สำหรับวุฒิภาวะที่เล็กด้อยของพวกเขา เพื่อที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูเจ้าได้มาจากพระเจ้า และเพื่อที่จะทำให้พวกเขามีความสามารถมากขึ้นที่จะยอมรับการทรงนำขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์จึงได้ทรงให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าเป็นบุตรที่รักของพระองค์ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่า องค์พระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า และไม่ได้อ้างอิงถึงเพศของพระเจ้า เพราะฉะนั้น พวกเราไม่สามารถจำกัดเขตพระเจ้าให้เป็นเพศชายโดยอาศัยพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ว่าพระบิดาของพระองค์ในคำอธิษฐานของพระองค์ หรือที่ว่า พระเจ้าในสวรรค์ได้ทรงเรียกองค์พระเยซูเจ้าว่าบุตรที่รักของพระองค์ ในพระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่า ‘พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง’ (ปฐมกาล 1:27) พระเจ้าได้ทรงสร้างทั้งพวกผู้ชายและพวกผู้หญิงในพระฉายาของพระองค์ ดังนั้นหากพวกเราจำกัดเขตพระเจ้าเป็นเพศชาย เช่นนั้นแล้ว พวกเราอธิบายวิธีที่พระเจ้าได้ทรงสร้างพวกผู้หญิงว่าอย่างไรหรือ? ในข้อเท็จจริงนั้น พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และกับพระองค์แล้ว ไม่เคยมีความแตกต่างอันใดในเรื่องของเพศ การทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือการที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงนุ่งห่มพระองค์เองในเนื้อหนัง และการกลายมาเป็นบุคคลปกติธรรมดาคนหนึ่ง องค์พระเยซูเจ้าเป็นเพศชาย และครั้งนี้ พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์เป็นเพศหญิง คำว่า ‘เพศหญิง’ และ ‘เพศชาย’ ได้ถูกกล่าวเป็นการอ้างอิงถึงเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงนุ่งห่มพระองค์เองไว้ภายใน และไม่ได้ถูกกล่าวเป็นการอ้างอิงถึงพระวิญญาณของพระเจ้า และกระนั้น พวกเราก็ไม่เข้าใจความล้ำลึกนี้ แต่พวกเรากลับให้นิยามพระเจ้าว่าเป็นเพศชายโดยพึ่งพาการจินตนาการของพวกเราเอง—ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังหมิ่นประมาทพระเจ้าอยู่โดยการทำเช่นนี้หรอกหรือ? ข้าพเจ้าผงกศีรษะอย่างเงียบๆ และคิดกับตัวเองว่า “ดังนั้นจึงกลายเป็นว่า คำว่า ‘พระบิดา’ และ ‘พระบุตร’ ไม่ใช่อ้างอิงถึงเพศของพระเจ้า แต่แค่เป็นหนทางที่พระเจ้าทรงเรียกขานเนื้อหนังของพระองค์และพระวิญญาณของพระองค์จากมุมมองที่ต่างกัน ดูราวกับว่า หากพวกเราได้แต่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าไปโดยไม่ศึกษา เช่นนั้นแล้วพวกเราก็จะไม่สามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้เลยจริงๆ และเราย่อมต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในความจริงจังตั้งใจทั้งมวล

ทันทีที่เข้าใจนัยสำคัญแห่งการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าในรูปสัณฐานที่เป็นเพศหญิง ข้าพเจ้ารู้สึกผิดยิ่งนัก

จากนั้นพี่เซียวก็ไปต่อด้วยการพูดว่า “พระเจ้าทรงสูงสุด พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงน่าอัศจรรย์ และมิอาจหยั่งถึงได้ เมื่อพวกเราพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกเราเองในการจำกัดเขตพระเจ้า พวกเราเยาะเย้ยท้าทายและเป็นกบฏต่อพระเจ้า! พระเจ้าทรงเปิดตัวการตีโต้อันมโหฬารต่อมโนคติทั้งหลายของพวกเราโดยการใช้รูปสัณฐานของผู้หญิงในการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในยุคสุดท้าย อันเป็นการเยียวยาความเข้าใจแบบเหตุผลวิบัติของพวกเราเกี่ยวกับเพศของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ด้วยการนี้เอง พวกเราจะเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นหลังจากที่พวกเราได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกหนึ่งบทตอนแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ทรงเป็นชาย และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาครั้งนี้ พระองค์ทรงเป็นหญิง จากสิ่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทั้งชายและหญิงเพื่อพระราชกิจของพระองค์ และกับพระองค์แล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ เมื่อพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมา พระองค์ทรงสามารถใช้มนุษย์ใดๆ ก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย และมนุษย์ผู้นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถแสดงถึงพระเจ้าได้ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา หากพระเยซูทรงปรากฏเป็นผู้หญิงเมื่อพระองค์เสด็จมา กล่าวคือ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิสนธิในครรภ์เป็นทารกหญิง และไม่ใช่เด็กชาย พระราชกิจในช่วงระยะนั้นจะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม หากเป็นกรณีนั้น พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันก็จะต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยชายแทน แต่พระราชกิจก็จะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม พระราชกิจที่ทรงกระทำในทั้งสองช่วงระยะมีนัยสำคัญเท่าๆ กัน ทั้งสองระยะจะไม่มีการกระทำซ้ำ และทั้งสองระยะไม่มีความขัดแย้งกัน…กับพระเจ้าแล้ว เพศไม่มีความแตกต่าง พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ตามที่ทรงปรารถนา และในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ทรงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใด แต่ทรงเป็นอิสระอย่างยิ่ง แต่พระราชกิจทุกช่วงระยะมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้ง และเป็นที่ชัดแจ้งอยู่ในตัวว่า การจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายนั้นคือครั้งสุดท้าย พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อประกาศกิจการของพระองค์ทั้งหมด หากในช่วงระยะนี้พระองค์ไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจด้วยพระองค์เองเพื่อให้มนุษย์ได้เป็นพยาน มนุษย์ก็คงจะยึดติดกับมโนคติที่หลงผิดที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์)

“พระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจนมาก กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และกับพระองค์แล้ว ไม่มีความแตกต่างในเรื่องเพศ เหตุผลที่ทำไมพระเจ้าจึงใช้เพศที่ต่างกันในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการจำเป็นของพระราชกิจของพระองค์ และที่ถูกทำไปเช่นนั้นก็เพื่อที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็คือการทำให้พระวิญญาณของพระเจ้าเป็นจริงขึ้นมาทางกายภาพเสมอ มันคือพระคริสต์ และพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นคือพระราชกิจของพระเจ้าเสมอ ตัวอย่างเช่น ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาและได้ทรงปรากฏและได้ทรงพระราชกิจในโลกในรูปสัณฐานเพศชาย พระองค์ได้ทรงนำพายุคธรรมบัญญัติไปสู่การปิดฉาก และได้เริ่มต้นยุคพระคุณ พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงแห่งการไถ่มวลมนุษย์ และได้ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยแห่งความปรานีและความเมตตาของพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้ายังได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์มากมาย อาทิ การให้อาหารผู้คนทั้งห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว การทำให้กระแสลมและท้องทะเลสงบลงด้วยพระวจนะคำเดียว และการนำพาคนตายให้กลับมามีชีวิต จนกระทั่งในท้ายที่สุด องค์พระเยซูเจ้าได้ถูกตอกตรึงไปบนกางเขน ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการไถ่มวลมนุษย์จากการบดขยี้ของซาตาน พวกเราสามารถเห็นได้ว่า ทุกสรรพสิ่งที่องค์พระเยซูได้ทรงทำนั้นเป็นพระราชกิจในเชิงเทวสภาพอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และเห็นได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง ในทำนองคล้ายคลึงกัน พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย—พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—ได้ทรงปรากฏเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในรูปสัณฐานที่เป็นเพศหญิง จากภายนอกนั้น การจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าทรงปรากฏแบบปกติและธรรมดา และกระนั้นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ได้ทรงนำพายุคพระคุณไปสู่บทอวสาน และได้ทรงเริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักร และพระองค์ทรงแสดงพระวจนะของพระองค์และได้ทรงเลิกปิดบังความจริงและความล้ำลึกทั้งหลาย อาทิ ความล้ำลึกของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ซึ่งกำลังทรงปรากฏเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ ความล้ำลึกของสามช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ความล้ำลึกแห่งพระนามของพระเจ้า เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังและความจริงที่แท้จริงเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และบทอวสานกับบั้นปลายสำหรับมวลมนุษย์ เป็นต้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและพระบารมีของพระองค์ และพระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะพิพากษาบาปของพวกเรา เพื่อที่จะเปิดโปงความเสื่อมทรามและความอยุติธรรมของพวกเรา เพื่อที่จะแสดงให้พวกเราเห็นเส้นทางที่จะบรรลุความรอดและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และเพื่อนำทางพวกเราไปสู่บั้นปลายอันสวยงามในที่สุด มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจนี้ได้—ไม่ใช่คนเราท่ามกลางมวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามที่สามารถทำได้—และจากพระราชกิจซึ่งปฏิบัติโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราย่อมสามารถแน่ใจได้อย่างเด็ดขาดว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นก็คือพระเจ้าพระองค์เองโดยแท้จริง

“ที่มากกว่านั้นคือ พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งในยุคสุดท้ายเพื่อที่จะปัดเป่าความเข้าใจที่เป็นอคติต่อเพศของพระเจ้า และเพื่อที่จะให้พวกเรามาระลึกรู้ว่า การจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านั้นสามารถเป็นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง พระเจ้าไม่ใช่ทรงเป็นแค่พระเจ้าของพวกผู้ชาย แต่เป็นพระเจ้าของพวกผู้หญิงเช่นกัน พระเจ้าไม่ใช่แค่ทรงช่วยพวกผู้ชายให้รอดเท่านั้น แต่ก็ช่วยพวกผู้หญิงให้รอดเช่นกัน โดยความเข้าใจในเรื่องนี้ พวกเราจะไม่จำกัดเขตพระเจ้าด้วยการพึ่งพามโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของตัวเองอีกต่อไป พวกเราสามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริงจากการนี้ว่า พระเจ้าผู้ทรงกำลังจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งในยุคสุดท้ายนั้นทรงเปี่ยมความหมายยิ่งจริงๆ!”

โดยการฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และสามัคคีธรรมทั้งหลายที่พี่เซียวได้ให้มา ข้าพเจ้าจึงได้มาเข้าใจว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และเข้าใจว่า กับพระองค์แล้ว ไม่มีความแตกต่างในเรื่องเพศ เพียงเพราะความต้องการที่จำเป็นของพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น พระองค์จึงทรงนุ่งห่มพระองค์เองในเนื้อหนังเพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้ชายหรือผู้หญิง ในแก่นแท้นั้นก็คือพระวิญญาณของพระเจ้านั่นเองที่กำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ข้าพเจ้าได้คิดคำนึงเกี่ยวกับการที่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้จักพระคริสต์ และการที่ข้าพเจ้าได้จำกัดเขตพระเจ้าโดยพึ่งพาการจินตนาการของตัวข้าพเจ้าเอง ตอนที่ข้าพเจ้าได้ยินว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและได้ทรงปรากฏเพื่อที่จะทรงพระราชกิจของพระองค์ในรูปสัณฐานแบบเพศหญิง มโนคติทั้งหลายผุดพล่านในหัวใจของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ปฏิเสธที่จะแสวงหาหรือเจาะลึกพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า—ข้าพเจ้าได้มืดบอดไปอย่างมากจริงๆ และดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ได้จำกัดเขตพระองค์และต้านทานพระองค์โดยการพึ่งพามโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการทั้งหลายของข้าพระองค์ แต่แล้วโดยผ่านทางการที่เหล่าพี่น้องชายหญิงได้อ่านพระวจนะของพระองค์ให้ข้าพระองค์ฟังและได้ให้สามัคคีธรรมแก่ข้าพระองค์อย่างอดทน พระองค์จึงได้ทรงทำให้ข้าพระองค์สามารถเข้าใจความจริงและปล่อยวางมโนคติของข้าพระองค์ได้ และพระองค์ได้ทรงนำทางข้าพระองค์กลับเข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์!”

มโนคติของข้าพเจ้าถูกปัดเป่าไปและข้าพเจ้าตามทันย่างพระบาทของพระเมษโปดก

ต่อมา พี่เซียวได้ให้สามัคคีธรรมกับข้าพเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลาย อาทิ เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังและจุดมุ่งหมายของสามช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ความล้ำลึกแห่งพระนามของพระเจ้า ความล้ำลึกแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าที่กำลังทรงปรากฏเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ เป็นต้น หลังจากที่ได้ฟังสามัคคีธรรมของพวกเขา ข้าพเจ้าได้กลายมาเป็นมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเป็นความจริง เป็นหนทางและเป็นชีวิต และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ที่ได้ทรงกลับมาจริงๆ ! ในเวลาเดียวกัน โดยการคิดทบทวนท่าทีของข้าพเจ้าที่มีต่อพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าจึงได้มามองเห็นอย่างแท้จริงว่า ข้าพเจ้าไม่ต่างอะไรกับพวกฟาริสีเลยตลอดมา ข้าพเจ้าได้เกาะติดอย่างมืดบอดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทั้งไม่ได้ยอมรับและไม่ได้แสวงหาความจริงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงแสดงออกมา และข้าพเจ้าจึงได้เยาะเย้ยท้าทายและเป็นกบฏต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าได้รู้สึกผิดและสำนึกผิดมากเหลือเกิน

หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว ข้าพเจ้าได้เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมอย่างขันแข็ง และโดยผ่านทางการมีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องชายหญิงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นว่า พวกเขานั้นอบอุ่นและเปี่ยมรักเหลือเกินในการปฏิบัติของพวกเขาที่มีต่อผู้อื่น และเห็นว่าพวกเขาได้สามัคคีธรรมความจริงกันในหนทางที่ช่างให้ความกระจ่าง—คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นเสมือนครอบครัวใหญ่อันอบอุ่น ข้าพเจ้าได้มาซาบซึ้งอย่างลุ่มลึกว่า การที่ข้าพเจ้าสามารถต้อนรับความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้นั้น ล้วนเป็นเพราะความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีต่อข้าพเจ้าทั้งสิ้น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน(มัทธิว 7:7) และข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความหมายที่เป็นจริงของพระวจนะเหล่านี้ว่า ในเวลาวิกฤติของการรับเสด็จการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า สำคัญยิ่งนักที่จะต้องมีหัวใจซึ่งทั้งกระหายและแสวงหาความจริง

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้ต้อนรับความรอดของพระองค์ในยุคสุดท้ายในต่างประเทศนี้—นี่คือพระพรของข้าพเจ้า นับแต่นี้ไป ข้าพเจ้าจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น สามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้องชายหญิงให้มากขึ้น นำความจริงมาประดับเป็นอาวุธให้กับตัวข้าพเจ้าเอง และปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าให้ดีเพื่อที่จะชดใช้คืนให้แก่ความรักของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ฉันพบเส้นทางสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว

โดย Mengai, ไต้หวัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger