สิ่งที่ประสบขณะสืบค้นหนทางที่แท้จริง

วันที่ 06 เดือน 12 ปี 2022

ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตามพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้น ฉันได้เป็นครู สอนหลักสูตรด้านคริสเตียนและจริยศึกษา ปัจจุบันฉันสอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมของรัฐ ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา คืนหนึ่งในเดือนมีนาคมปี 2020 ฉันเปิดยูทูบ เพื่อหาการเทศนาไว้ยกตัวอย่างในการสอนนักเรียน ฉันดูคลิปการเทศนานับสิบคลิปจนดึกดื่น แต่ทั้งหมดนั้นก็เก่า จำเจ และไม่ให้ความสว่าง พอดูแล้วฉันก็รู้สึกเบื่อ จากนั้น ฉันก็เจอหนังที่เกี่ยวกับคริสเตียน ชื่อว่า “เสียงนั้นช่างไพเราะ” หนังเรื่องนี้ดึงความสนใจของฉันในทันที ในหนัง ฉันได้เห็นพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้ฟังสามัคคีธรรมเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ฉันเคยดูหนังคริสเตียนมาบ้าง แต่ไม่เคยดูเรื่องที่ทำให้อึ้งได้อย่างนี้ หลังจากนั้น ฉันก็ดูอีกเรื่องที่ชื่อ “พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปแล้วงั้นหรือ?!” และสิ่งนี้ทำให้ฉันอยากรู้ เลยดูต่อไปจนจบเรื่อง คืนนั้นพอนึกถึงสิ่งที่ได้ดูในหนัง ฉันก็นอนไม่หลับเลย พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปแล้วจริงหรือ? ฉันยังอยากรู้เป็นพิเศษ ว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่า หรือสิ่งที่หนังอ้างว่าพระเจ้าทรงกลับมาแล้วเป็นเรื่องจริง? สิ่งที่พวกเขาอ่านคือพระวจนะของพระเจ้าจริงหรือ? หากพระเจ้าทรงกลับมา และพระนามเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าฉันพลาดไป มันจะไม่เป็นเรื่องแย่หรือ? ฉันร้อนใจมาก ที่จะหาคำตอบให้ได้

ต่อมา เนื่องจากมีโรคระบาด ฉันเลยต้องทำงานที่บ้าน ทำให้ มีเวลาเหลือเฟือที่จะดูหนังพวกนี้ทางออนไลน์ ฉันมีความสุขมาก เพราะไม่เคยดูหนังเกี่ยวกับคริสเตียนที่ดีแบบนี้มาก่อน ฉันแบ่งปันบรรดาหนังที่ได้ดูลงในเฟซบุ๊ก คนอื่นจะได้ดูด้วย หลายคนมาแสดงความเห็นว่าชอบ แต่ฉันก็เห็นบางความคิดเห็น ที่โจมตีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และศิษยาภิบาล ก็แนะนำไม่ให้ฉันโพสต์เรื่องคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เมื่อก่อน ฉันไม่รู้ว่าหนังพวกนี้ล้วนมาจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเพิ่งมาสังเกต ตอนที่ศิษยาภิบาลมาบอก ด้วยความอยากรู้ ฉันเลยค้นหาคำว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บนเว็บ และเจอเว็บที่ชื่อ “ข่าวประเสริฐแห่งการเคลื่อนลงสถิตของราชอาณาจักร” ฉันเริ่มอ่านบทความในเว็บนั้น และได้เห็นพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “ในราชอาณาจักรนั้น สิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนของการสร้างโลกเริ่มฟื้นคืนชีวิตและได้รับพลังชีวิตคืนมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในสภาวะของแผ่นดินโลก อาณาเขตระหว่างแผ่นดินหนึ่งกับอีกแผ่นดินก็เริ่มขยับเขยื้อนเช่นกัน เราได้เผยวจนะไปแล้วว่า เมื่อแผ่นดินถูกแบ่งจากแผ่นดิน และแผ่นดินรวมกันเป็นหนึ่งกับอีกแผ่นดิน นี่จะเป็นเวลาที่เราจะกระหน่ำชนชาติต่างๆ ทั้งหมดให้แหลกเป็นชิ้นๆ ณ เวลานี้ เราจะเริ่มต้นใหม่ในทุกการสร้างและการแบ่งกั้นสัดส่วนทั้งจักรวาล ด้วยการนั้นจึงจะเป็นการทำให้จักรวาลเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และแปลงรูปสิ่งเก่าๆ ให้เป็นสิ่งใหม่—นี่คือแผนการของเรา และเหล่านี้คืองานของเรา เมื่อประชาชาติและผู้คนทั้งหมดของโลกกลับคืนมายังหน้าบัลลังก์ของเรา ถึงตอนนั้นเราจึงจะนำเอาความเอื้ออารีแห่งสวรรค์มาทั้งหมดและมอบให้กับโลกมนุษย์ เพื่อที่พิภพนั้นจะได้ปริ่มล้นไปด้วยความเอื้ออารีอันหาใดเทียบเคียงเพราะเรา แต่ตราบที่พิภพเก่ายังคงมีอยู่ต่อไป เราจะทุ่มความเดือดดาลของเราไปที่ชนชาติต่างๆ ของมัน แถลงการณ์ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราอย่างเปิดเผยให้ทั่วทั้งจักรวาล และนำการตีสอนมาให้ทุกข์แก่ผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนมัน

เมื่อเราหันหน้าพูดกับจักรวาล มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ยินเสียงเรา และในทันใดนั้นเอง ก็มองเห็นงานทั้งหมดที่เราได้ทำลงไปทั่วทั้งจักรวาล พวกที่ตั้งตนต่อต้านเจตจำนงแห่งเรา กล่าวคือ ผู้ที่ต่อต้านเราด้วยความประพฤติของมนุษย์ จะต้องตกอยู่ภายใต้การตีสอนของเรา เราจะนำเอามวลหมู่ดารามหาศาลในสวรรค์ชั้นฟ้ามาและทำให้พวกมันใหม่ และดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็จะถูกทำให้ใหม่เพราะเรา—ผืนฟ้าทั้งหลายจะไม่เป็นเหมือนดังที่พวกมันเคยเป็นอีกต่อไป และสิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนบนแผ่นดินโลกจะถูกทำใหม่ ทั้งหมดจะกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยผ่านทางวจนะของเรา ประชาชาติทั้งหลายภายในจักรวาลจะถูกแบ่งกั้นสัดส่วนใหม่และแทนที่ด้วยราชอาณาจักรของเรา เพื่อที่ประชาชาติบนแผ่นดินโลกจะหายลับไปตลอดกาล และทั้งหมดจะกลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งนมัสการเรา ประชาชาติทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกจะถูกทำลายและยุติการดำรงอยู่ ในบรรดามนุษย์ภายในจักรวาล ทุกคนที่เป็นของมารจะถูกทำลายจนสิ้นซาก และพวกที่บูชาซาตานทั้งหมดจะคว่ำคะมำลงโดยไฟของเราที่กำลังเผาผลาญ—นั่นก็คือ ยกเว้นบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว ผู้คนทั้งหมดจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา และจะได้รับการตีสอนที่สมน้ำสมเนื้อกับการกระทำของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยืนต้านเราจะมีอันพินาศ นั่นคือ สำหรับบรรดาผู้ที่ความประพฤติของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเขาจะดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไปภายใต้การปกครองของบุตรทั้งหลายของเราและประชากรของเรา ทั้งนี้ก็เพราะวิธีการที่พวกเขาได้พ้นผิดด้วยตัวพวกเขาเอง เราจะเปิดเผยตัวเราต่อกลุ่มชนนับหมื่นแสนและชนชาตินับหมื่นแสน และด้วยเสียงของเราเอง เราจะส่งเสียงก้องไปบนแผ่นดินโลก ป่าวประกาศถึงการเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26) พระวจนะเหล่านี้ทำให้ฉันใจสั่น ฉันรู้สึกได้เลยว่าหัวใจมันเต้นตึกตัก สิทธิอำนาจในพระวจนะเหล่านี้ ทำเอาฉันชะงักไป เป็นถ้อยคำที่มีพระบารมี และไม่ทนต่อการล่วงเกิน ฉันรู้สึกว่า พระวจนะเหล่านี้มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และไม่มีมนุษย์คนไหนพูดคำเหล่านี้ได้ จึงดูเหมือนมาจากพระเจ้า มันเป็นความรู้สึกที่ อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลย แต่ฉัน ก็รู้สึกสับสนอยู่เล็กน้อย คิดว่า “นักแสดงทุกคนในหนังล้วนเป็นชาวจีน แปลว่าหนังพวกนี้ผลิตโดยคนจีนงั้นหรือ? จีนเป็นประเทศที่ปกครองโดยพรรคที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และปกติพวกเขาจะเผาเครื่องหอม บูชาพระพุทธเจ้าและพระพุทธรูป องค์พระเยซูเจ้าจะกลับมาในประเทศจีนได้หรือ? คำเหล่านี้มาจากพระเจ้าจริงหรือ?” ฉันสับสนมากๆ แต่ยิ่งสับสนเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากเข้าใจให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ฉันจึงติดต่อพี่สาวคนหนึ่งไป โดยใช้ข้อมูลการติดต่อ ที่แสดงอยู่บนเว็บไซต์ เธอถามฉันว่า อยากไปงานนัดพบดูไหม ฉันตอบไปว่า ฉันอยากรู้เรื่องพระวจนะและความจริงของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้มากขึ้น เธอจึงช่วยให้ฉันได้เข้าร่วมการนัดพบกลุ่มทางออนไลน์ รวมถึงอ่านพระวจนะของพระองค์ให้ฉันฟัง สามัคคีธรรมเรื่องความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และงานทั้งสามระยะของพระเจ้า ฉันตั้งใจฟังการสามัคคีธรรมของเธอ และเจอคำตอบในเรื่องที่สับสน และยังได้รับข่าวดีที่น่าทึ่งบางอย่าง ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ และทรงมาปรากฏในรูปมนุษย์ ฉันต้องตื่นเต้นแน่ แต่ผ่านไปไม่นาน ฉันก็ถูกศิษยาภิบาลมาก่อกวนและขัดขวางอีก

ศิษยาภิบาลส่งคำพูดโจมตีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาให้ฉันทางเฟซบุ๊ก ว่า “คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นสิ่งนอกรีต พวกเขาบอกว่าพระวจนะของพระองค์คือพระวจนะของพระเจ้า แต่ถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ ในฐานะคริสเตียน คุณต้องรู้ว่าไม่มีพระวจนะใดของพระเจ้าที่อยู่นอกพระคัมภีร์ ออกห่างจากพวกเขาเดี๋ยวนี้!” พี่น้องชายหญิงคนอื่นในกลุ่ม ต่างก็ได้รับข้อความจากศิษยาภิบาลเช่นกัน บางคนที่เมื่อก่อนมีความสัมพันธ์อันดีกับฉัน หลังฟังที่ศิษยาภิบาลพูด ก็ออกจากกลุ่มนัดพบ และแนะนำให้ฉันออกด้วย ที่จริงแล้ว ตอนแรกฉันก็สับสน คิดว่า “เขาเป็นศิษยาภิบาล และรู้เรื่องพระคัมภีร์มากกว่าฉัน เขาอาจจะพูดเรื่องจริงก็ได้” ฉันเลยอยากหาคำตอบ ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นสิ่งนอกรีตหรือไม่ ฉันไม่หูเบาเชื่อในสิ่งที่ศิษยาภิบาลพูด เพราะฉันได้อ่านพระวจนะของพระองค์มาบ้าง และรู้สึกว่า คำพูดเหล่านี้เป็นความจริงโดยแท้ มันมีสิทธิอำนาจ และฟังดูเหมือนเสียงของพระเจ้า แต่คำพูดเหล่านี้ก็อยู่นอกพระคัมภีร์จริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ฉันไปหาพี่เอลซ่าจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เธอส่งพระคัมภีร์ข้อหนึ่งมาให้ฉัน นั่นคือข้อที่ 25 จากบทที่ 21 จากข่าวประเสริฐของยอห์น “พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น” พี่เอลซ่าสามัคคีธรรมกับฉันว่า “จากข้อนี้ เราจะเห็นได้ว่า พระวจนะและกิจการขององค์พระเยซูเจ้า ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งหมด ตอนนั้น อัครทูตยอห์นอยู่กับองค์พระเยซูเจ้า และเขาได้ฟังพระวจนะมากกว่าที่ถูกเขียนในพระคัมภีร์ เรามาคิดเรื่องนี้กัน เมื่อครั้งทรงงาน องค์พระเยซูเจ้าทรงประกาศเทศนาธรรมอยู่อย่างต่ำสามปี หากพระองค์ตรัสวันละหนึ่งชั่วโมงทุกวัน ตลอดสามปี พระองค์จะตรัสมากมายแค่ไหน? เกินจะนับไหวเชียวค่ะ แล้วพระวจนะ จะใช่แค่ที่บันทึกในพระคัมภีร์ได้ยังไง? ที่จริงแล้ว พระวจนะในพระคัมภีร์มีจำกัดมาก ย่อมไม่ใช่ทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสในข่วงนั้นแน่ นี่คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ศิษยาภิบาลบอกว่า ‘ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าอยู่นอกพระคัมภีร์’ แล้วรากฐานในสิ่งที่เขาพูดคืออะไร?” ฉันฟังและคิดว่า “นั่นสิ สิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เป็นเรื่องผิดพลาด” ฉันอ่านพระคัมภีร์ แต่ไม่เคยสนใจข่าวประเสริฐของยอห์นข้อนี้เลย ตอนนั้น ฉันถึงรู้ว่า พระวจนะข้อนี้ บอกเราแล้วว่า พระวจนะทั้งหมด ไม่ได้อยู่แค่ในพระคัมภีร์ หลังจากนั้น พี่เอลซ่าก็ส่งข้อพระคัมภีร์มาให้ฉันสองสามข้อ เธอส่งยอห์น บทที่ 16 ข้อที่ 12-13 มา “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” และเธอก็ส่งอีกหลายข้อจากวิวรณ์มาให้ “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7)และในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่งซึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก และมีตราผนึกอยู่เจ็ดดวง และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง ประกาศด้วยเสียงดังว่า ‘ใครเป็นผู้ที่สมควรเปิดหนังสือม้วนและแกะตราของมันออก?’ และไม่มีใครในสวรรค์ หรือบนแผ่นดินโลก หรือใต้แผ่นดินโลกที่สามารถเปิดหนังสือม้วนหรือดูหนังสือนั้น แล้วข้าพเจ้าก็ร้องไห้อย่างมาก เพราะไม่พบใครที่สมควรจะเปิดหนังสือม้วนหรือดูหนังสือนั้น แล้วมีคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสบอกกับข้าพเจ้าว่า ‘อย่าร้องไห้เลย นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิดทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้’(วิวรณ์ 5:1-5) หลังจากอ่านข้อต่างๆ ในพระคัมภีร์ พี่เอลซ่าก็สามัคคีธรรมว่า “พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้านั้นชัดเจนมาก พระองค์ยังมีอีกหลายเรื่องจะบอกเรา แต่วุฒิภาวะของผู้คนตอนนั้น ยังน้อยเกินไปที่จะยอมรับ พระวิญญาณแห่งความจริง จึงจะเสด็จมาในยุคสุดท้าย เพื่อนำเราเข้าสู่ความจริงทั้งปวง ซึ่งแปลว่าเมื่อทรงกลับมา องค์พระเยซูเจ้าจะทรงแสดงความจริงเพิ่มเติม และจะทรงบอกเราถึงที่จะมาถึง สิ่งนี้พิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงมีพระราชกิจและพระวจนะใหม่อยู่นอกพระคัมภีร์ แล้วผู้คนจะพูดว่า ‘พระวจนะมีแค่ในพระคัมภีร์ ไม่มีพระวจนะและพระราชกิจที่อยู่นอกพระคัมภีร์’ ได้ยังไง? ไม่เป็นการปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าหรือ?” หลังฟังเธอสามัคคีธรรม ฉันก็เข้าใจ ว่าศิษยาภิบาลผิดที่จำกัดว่าพระวจนะและพระราชกิจอยู่ในพระคัมภีร์ และพระเจ้าจะตรัสเพิ่มเติมในยุคสุดท้าย มากกว่าที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ในวิวรณ์กล่าวว่า ไม่มีใครเปิดหรืออ่านม้วนหนังสือที่ปิดอยู่ได้ จึงชัดเจนว่าม้วนหนังสือนั้นไม่ใช่พระคัมภีร์ เพราะเราอ่านพระคัมภีร์ได้ทุกวัน เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา พระองค์จะเปิดม้วนหนังสือ และบอกเราถึงเนื้อหาที่อยู่ด้านใน สิ่งนี้ทำให้ฉันเข้าใจชัดเจน ว่าพระเจ้าจะตรัสพระวจนะใหม่นอกจากในพระคัมภีร์

แล้วจากนั้น เราก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยกัน “สิ่งทั้งหลายที่ถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีขีดจำกัด สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันได้ รวมพระกิตติคุณทั้งสี่เข้าด้วยกันแล้วก็มีน้อยกว่าหนึ่งร้อยบท ซึ่งในนั้นเขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจำนวนที่จำกัด อาทิเช่น พระเยซูทรงสาปแช่งต้นมะเดื่อ คำปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งของเปโตร พระเยซูทรงปรากฏแก่บรรดาสาวกภายหลังการตรึงกางเขนและการคืนพระชนม์ของพระองค์ การสอนเรื่องการอดอาหาร การสอนเรื่องการอธิษฐาน การสอนเรื่องการหย่า การประสูติและลำดับพงศ์ของพระเยซู การแต่งตั้งบรรดาสาวกของพระเยซู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มนุษย์ให้คุณค่าสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ประหนึ่งสมบัติล้ำค่า ถึงขั้นเปรียบเทียบพระราชกิจของวันนี้กับสิ่งเหล่านั้น พวกเขาถึงขั้นเชื่อว่าพระราชกิจทั้งหมดที่พระเยซูได้ทรงทำไว้ในช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์รวมกันได้มากแค่นั้นเท่านั้นเอง ราวกับว่าพระเจ้าทรงสามารถทำได้มากแค่นี้เท่านั้นและไม่มีสิ่งใดเกินไปจากนี้ นี่ไม่ไร้สาระสิ้นดีหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (1))ในเวลานั้น พระเยซูเพียงแค่ทรงให้คำเทศนาชุดหนึ่งในยุคพระคุณแก่บรรดาสาวกของพระองค์ในหัวข้อทั้งหลาย อาทิ จะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร จะชุมนุมกันอย่างไร จะวิงวอนในการอธิษฐานอย่างไร จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร เป็นต้น พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการเป็นพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงชี้แจงไว้เพียงแค่ว่า บรรดาสาวกและบรรดาผู้ที่ได้ติดตามพระองค์ควรจะฝึกฝนปฏิบัติอย่างไร พระองค์เพียงแค่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณเท่านั้น และไม่ใช่พระราชกิจใดของยุคสุดท้ายเลย เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงกำหนดธรรมบัญญัติของภาคพันธสัญญาเดิมในยุคธรรมบัญญัติ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณเล่า? เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ทรงทำให้พระราชกิจของยุคพระคุณเป็นที่เข้าใจชัดเจนล่วงหน้าเล่า? นี่จะไม่ได้ช่วยมนุษย์ให้ยอมรับมันแล้วหรอกหรือ? พระองค์เพียงแค่ได้ตรัสคำเผยพระวจนะว่าทารกเพศชายคนหนึ่งจะถือกำเนิดและมามีฤทธานุภาพ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงดำเนินพระราชกิจของยุคพระคุณล่วงหน้า พระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละยุคมีเขตคั่นที่ชัดเจน พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคปัจจุบันเท่านั้น และไม่เคยทรงดำเนินช่วงระยะถัดไปของพระราชกิจล่วงหน้า ด้วยเหตุนี้เท่านั้นพระราชกิจซึ่งเป็นตัวแทนของพระองค์ในแต่ละยุคจึงจะสามารถถูกเน้นให้เห็นชัดได้ พระเยซูได้ตรัสถึงเพียงหมายสำคัญทั้งหลายของยุคสุดท้าย ถึงวิธีที่จะอดทนและวิธีที่จะได้รับการช่วยให้รอด ถึงวิธีที่จะกลับใจและสารภาพ และถึงวิธีที่จะแบกรับกางเขนและสู้ทนความทุกข์เท่านั้น พระองค์ไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่มนุษย์ในยุคสุดท้ายควรสัมฤทธิ์การเข้าสู่ อีกทั้งไม่เคยได้ตรัสถึงวิธีที่เขาควรพยายามทำเพื่อให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น มันไม่ไร้สาระน่าขันหรอกหรือที่จะค้นคว้าพระคัมภีร์เพื่อหาพระราชกิจของพระเจ้าของยุคสุดท้าย? อะไรหรือที่เจ้าสามารถมองเห็นได้โดยแค่เพียงยึดกุมพระคัมภีร์เอาไว้? ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้อรรถาธิบายพระคัมภีร์หรือนักบวช ใครเล่าที่จะสามารถได้เห็นพระราชกิจของวันนี้ได้ล่วงหน้า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?) พระวจนะทำให้ฉันเข้าใจว่า พระคัมภีร์เป็นเพียงหนังสือประวัติศาสตร์ ในนั้นบันทึกงานสองระยะที่พระเจ้าทรงทำในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ และพันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่ ต่างก็รวบรวมขึ้นจากผู้คน หลายปีให้หลังจากที่พระเจ้าทรงงาน สิ่งที่ปรากฏในพระคัมภีร์ ถูกบันทึกหลังจากพระเจ้าทรงงานแล้ว ดังนั้น พระวจนะและพระราชกิจในยุคสุดท้าย จึงไม่อาจถูกบันทึกไว้ล่วงหน้าในพระคัมภีร์ หากเราจำกัดพระเจ้าไว้กับพระคัมภีร์ และคิดว่าไม่มีพระวจนะที่อยู่นอกเหนือจากนั้น นี่ย่อมเป็นมุมมองที่ไร้สาระสิ้นดี ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายสิบปี แต่เพิ่งเข้าใจว่าพระคัมภีร์คืออะไร! แล้วจากนั้น พี่เอลซ่าก็สามัคคีธรรมต่อ บอกว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต และพระวจนะก็ไร้ที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ จากครั้งเริ่มสร้างจนถึงวันนี้ พระเจ้าตรัส ทรงงาน นำไปสู่การจัดหาและช่วยผู้คนให้รอดเสมอ ไม่เคยมีใครหรือสิ่งใดมาจำกัดพระราชกิจ นับประสาอะไรกับพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสพระวจนะและทรงงานใหม่ๆ ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์และความต้องการของมนุษย์ และไม่เคยทรงทำซ้ำ ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์พระเจ้าประกาศธรรมบัญญัติเพื่อนำผู้คนในการใช้ชีวิตบนโลก และได้ตรัสพระวจนะมากมาย แต่ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าประกาศหนทางกลับใจ ทรงงานไถ่มวลมนุษย์ และตรัสไว้หลายสิ่ง พระวจนะเหล่านี้อยู่ข้างนอก ไม่ได้ถูกบันทึกในพันธสัญญาเก่าโดยสิ้นเชิง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาในยุคสุดท้าย เพื่อแสดงความจริงตามรากฐานแห่งงานขององค์พระเยซูเจ้า เพื่อทรงงานพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ ซึ่งชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ และช่วยให้รอดจากพันธนาการบาปได้โดยครบถ้วน และนำผู้คนเข้าสู่ราชอาณาจักร นี่คืองานในระยะที่ใหม่กว่า และสูงส่งกว่า เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่จะบันทึกไว้ล่วงหน้าในพระคัมภีร์ หากเราหลับหูหลับตาใช้พระคัมภีร์ เพื่อประเมินและจำกัดงานของพระเจ้า เราก็จะกลายเป็นคนต่อต้านพระเจ้า เหมือนพวกฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า พวกเขายึดถือพระคัมภีร์แบบหัวชนฝา กล่าวโทษและต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง เพราะพระวจนะและงานของพระองค์อยู่นอกเหนือพันธสัญญาเดิม และในที่สุด ก็ตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า เป็นเรื่องที่เศร้าเหลือเกิน!” แล้วจากนั้น เราก็อ่านพระวจนะกันอีกสองบทตอน “พวกฟาริสีชาวยิวใช้ธรรมบัญญัติของโมเสสกล่าวโทษพระเยซู พวกเขาไม่ได้แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเยซูในเวลานั้น แต่ทำตามธรรมบัญญัติอย่างขยันขันแข็งตามตัวอักษร จนถึงขอบข่ายที่—หลังจากที่ได้ตั้งข้อหาแก่พระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและไม่ใช่พระเมสสิยาห์แล้ว—พวกเขาได้ตอกตรึงพระเยซูผู้ไร้ความผิดเข้ากับกางเขนในท้ายที่สุด อะไรคือแก่นแท้ของพวกเขา? มิใช่การที่พวกเขาไม่ได้แสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริงหรอกหรือ? พวกเขาหมกมุ่นกับทุกๆ คำในพระคัมภีร์ในขณะที่ไม่ใส่ใจทั้งต่อเจตจำนงของเราและต่อขั้นตอนและวิธีการทำงานของเรา พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริง แต่เป็นผู้คนที่เกาะติดอย่างตายตัวอยู่กับวจนะ พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้คนที่เชื่อในพระคัมภีร์ โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือสุนัขเฝ้าพระคัมภีร์ เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์นานาของพระคัมภีร์ เพื่อค้ำจุนความทรงเกียรติของพระคัมภีร์และเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของพระคัมภีร์ พวกเขาถึงกับตอกตรึงพระเยซูผู้ทรงเปี่ยมปรานีไว้กับกางเขน พวกเขาทำสิ่งนี้ก็แค่เพื่อประโยชน์แห่งการปกป้องพระคัมภีร์เท่านั้นและเพื่อประโยชน์แห่งการธำรงสถานะของทุกๆ คำในพระคัมภีร์ไว้ในหัวใจของผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงพอใจที่จะเลือกละทิ้งอนาคตของพวกเขาและเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อกล่าวโทษพระเยซูผู้ไม่ทรงปฏิบัติตามคำสอนของพระคัมภีร์จนถึงแก่ความตาย พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เป็นข้ารับใช้ของทุกๆ คำในพระคัมภีร์หรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์)ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์? เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์? พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ? เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป? หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน? ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับหลักคำสอนเหล่านี้? เจ้าควรรู้ว่าอย่างใดสำคัญกว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์! ในเมื่อทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต แล้วพระองค์จะไม่สามารถเป็นเจ้าเป็นนายเหนือพระคัมภีร์ด้วยหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)) เธอสามัคคีธรรมต่อว่า “ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ก็เหมือนฟาริสีที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า พวกเขา หลับหูหลับตาบูชา และทำเหมือนพระคัมภีร์คือพระเจ้า พวกเขามักปกป้องหนังสือ แต่ไม่เคยแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้า และไม่เคยฟังว่าใช่เสียงของพระเจ้าไหม พวกเขาเห็นว่า พระวจนะและงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ จึงกล่าวโทษ ต่อต้าน และพยายามขัดขวางผู้คนอย่างบ้าคลั่งจากการสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขาไม่ใช่แค่ฟาริสีสมัยใหม่หรือ? พวกเขาไม่เห็นว่า พระคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกของงานในอดีตของพระเจ้า เป็นหนังสือที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องอ่าน แต่พระคัมภีร์ไม่ใช่ตัวแทนพระเจ้า และช่วยผู้คนให้รอดแทนพระเจ้าไม่ได้ หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ยังติดตามแค่พระคัมภีร์ พระวจนะและพระราชกิจในอดีต พวกเขาย่อมไม่ได้รับความจริง และชีวิต สิ่งสำคัญที่สุด คือการก้าวตามย่างพระบาทให้ทัน และยอมรับงานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ให้เราเป็นอิสระจากบาป ความจริงทุกอย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดง คือพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสแก่คริสตจักร มีเพียงพระวจนะเหล่านี้ ที่ชำระผู้คนให้สะอาด และช่วยให้รอดได้โดยสมบูรณ์ และมีเพียงทางนี้ที่เป็นทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนในยุคสุดท้าย หากเราตามงานในระยะนี้ไม่ทัน พระเจ้าก็ย่อมทอดทิ้งและขับเราออก และเราจะตกลงสู่ความวิบัติและถูกลงโทษ” ฉันรู้สึกว่าได้อะไรมากมาย จากการฟังเธอสามัคคีธรรม พอได้เข้าใจเรื่องพระคัมภีร์จริงๆ แล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกว่าโดนก่อกวนอีก ฉันได้เห็นว่า ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงปรากฏและทรงงาน ผู้นำทางศาสนามักต่อต้าน และกลายเป็นปริปักษ์ต่อพระเจ้า เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาจึงสร้างความเข้าใจผิดทุกรูปแบบขึ้นมา เพื่อกล่าวโทษงานของพระเจ้า และห้ามผู้คนจากการยอมรับหนทางที่แท้จริง ถ้าคุณไม่เข้าใจความจริงและแยกแยะไม่ได้ การให้ร้ายของพวกเขาก็จะหลอกคุณ คุณจะต่อต้านและปฏิเสธพระเจ้าตามเขา และจะเสียความรอดของพระเจ้าไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก ฉันบอกกับตัวเองว่า “ฉันต้องมีความจริงประดับตัว และเรียนรู้ที่จะแยกแยะ ฉันไม่อยากปฏิเสธพระเจ้า”

ประมาณหนึ่งเดือนให้หลัง ศิษยาภิบาลอีกคนส่งข้อความมากวนฉันทางเมสเซนเจอร์และว้อทส์แอพ บอกว่า “องค์พระเยซูเจ้าประสูติเมื่อสองพันปีก่อน ทำให้คำเผยพระวจนะลุล่วง ตอนนี้คุณกลับมาบอกว่า พระองค์ทรงกลับมาแล้วในร่างหญิง เรื่องนี้มีบอกไว้ในพระคัมภีร์บ้างไหม? องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีทางเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ และยิ่งกว่านั้นคือในร่างเพศหญิง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่คุณเชื่อคือมนุษย์” ตอนนั้น อีกสองคนก็มาโจมตีฉันพร้อมกัน พวกเขาตัดสิน และกล่าวโทษ ว่าฉันมีความเชื่อผิดๆ ฉันบอกไปว่าพวกเขาจะจำกัดพระเจ้าไม่ได้ แก่นแท้ของพระเจ้าคือพระวิญญาณ เพียงแต่งานของพระองค์จำเป็นต้องบังเกิดเป็นมนุษย์เพศชาย เราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพราะแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ และพระองค์ทรงแสดงความจริงได้ ไม่ใช่เพราะรูปลักษณ์ทางเนื้อหนัง

ฉัยยังไปหาพี่เอลซ่า และเธอก็สามัคคีธรรมกับฉันว่า “ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะมากมายพูดถึงการทรงปรากฏในรูปบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้ายของพระเจ้า อย่างเช่น ‘การเสด็จมาของบุตรมนุษย์’ ‘บุตรมนุษย์ได้รับการเปิดเผยแล้ว’ และ ‘บุตรมนุษย์เสด็จมา’ ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาแสดงความจริง และทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย ซึ่งทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านี้ลุล่วงโดยสมบูรณ์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าเสด็จมาเป็นหญิง ซึ่งที่จริงไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ แต่ยิ่งงานของพระเจ้าสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเราน้อยเท่าไหร่ มันยิ่งมีความล้ำลึกและมีนัยสำคัญมากเท่านั้น อะไรคือความจริงและความล้ำลึกแห่งการที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ผู้หญิง? เรามาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อหาคำตอบกันค่ะ” พอพูดจบ เธอก็ส่งพระวจนะมาให้ฉัน “พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในรูปแบบของชาย และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาครั้งนี้ รูปแบบของพระองค์ทรงเป็นหญิง จากสิ่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งที่เป็นชายและหญิงสามารถเป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ได้ และกับพระองค์แล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ เมื่อพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมา พระองค์สามารถใช้มนุษย์ใดๆ ก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย และมนุษย์ผู้นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถแสดงถึงพระเจ้าได้ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา…กับพระเจ้าแล้ว เพศไม่มีความแตกต่าง พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ตามที่ทรงปรารถนา และในการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ทรงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใด แต่ทรงเป็นอิสระอย่างยิ่ง แต่พระราชกิจทุกช่วงระยะมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองครั้ง และเป็นที่ชัดแจ้งอยู่ในตัวว่า การจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายนั้นคือครั้งสุดท้าย พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อประกาศกิจการของพระองค์ทั้งหมด หากในช่วงระยะนี้พระองค์ไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจด้วยพระองค์เองเพื่อให้มนุษย์ได้เป็นพยาน มนุษย์ก็คงจะยึดติดกับมโนคติที่หลงผิดที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิง ก่อนนี้ มนุษย์ทั้งหมดเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นได้เพียงผู้ชายเท่านั้น และผู้หญิงไม่สามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้าได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์)หากพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เป็นชายเท่านั้น ผู้คนก็คงจะนิยามพระองค์ว่าทรงเป็นชาย ทรงเป็นพระเจ้าของผู้ชาย และคงจะไม่มีวันเชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าของผู้หญิง เช่นนั้นแล้ว ผู้ชายก็ย่อมจะยึดถือว่าพระเจ้าทรงมีเพศสภาพเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ว่าพระเจ้าทรงเป็นประมุขของผู้ชาย—แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้หญิงจะเป็นเช่นไร? นี่ไม่เป็นธรรม นี่มิใช่การเลือกปฏิบัติหรอกหรือ? หากเป็นดังนี้แล้วไซร้ ทุกคนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดย่อมจะเป็นชายเหมือนพระองค์ และจะไม่มีผู้หญิงได้รับการช่วยให้รอดสักคนเดียว เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างอาดัมและพระองค์ทรงสร้างเอวา พระองค์มิได้ทรงสร้างเพียงอาดัมเท่านั้น แต่ทรงสร้างทั้งชายและหญิงในพระฉายาของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าของผู้ชายเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้หญิงเช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) พี่เอลซ่าสามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระเจ้าคือพระวิญญาณ ทรงไร้รูปร่างและไร้เพศ ครั้งแรกพระเจ้าเสด็จมาทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศชาย และในยุคสุดท้ายทรงกลายเป็นเพศหญิง พระองค์ทรงทำเช่นนี้ เพื่อให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าดีขึ้น และรู้ว่าไม่ควรจำกัดพระองค์ แต่เดิม พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระองค์ ที่ไม่ใช่แค่เพศชาย แต่รวมถึงเพศหญิง พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์จึงเป็นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง หากพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศชายเสมอ ผู้คนก็จะหมายมั่นว่าพระเจ้าจะเป็นเพศชายเสมอ และคิดไปผิดๆ ว่าทรงเป็นพระเจ้าของเพศชาย และจะทรงช่วยแต่ผู้ชาย ไม่ช่วยเพศหญิงให้รอด นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิดไม่ใช่หรือ? ในสายพระเนตร มนุษย์ชายหญิงต่างเท่าเทียม พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ทั้งชายและหญิงให้รอด เพราะต่างก็ถูกสร้างมาโดยพระเจ้า ไม่ว่าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศชายหรือหญิง พระองค์ก็ยังคงเป็นพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระองค์จะยังแสดงความจริง และเสร็จสิ้นงานแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ เราไม่อาจปฏิเสธการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ การทรงปรากฏ และงานของพระเจ้า แค่เพราะพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศหญิงได้”

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบางบทตอนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่ทำให้หัวใจของฉันสว่าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “จงปลดปล่อยความเห็นของพวกเจ้าเกี่ยวกับ ‘เป็นไปไม่ได้’! ยิ่งผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น เพราะพระปรีชาญาณของพระเจ้าทะยานสูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระราชดำริของพระเจ้าอยู่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตของความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ยิ่งบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความจริงที่สามารถค้นหาได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งบางสิ่งอยู่เลยมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์มากเท่าใด มันก็ยิ่งบรรจุน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่)การทรงปรากฏของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ และพระเจ้ายิ่งไม่สามารถจะปรากฏโดยคำขอของมนุษย์ พระเจ้าทรงทำการเลือกและทรงทำแผนการของพระองค์เองเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ของพระองค์เองและวิธีการของพระองค์เอง ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใด พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องหารือกับมนุษย์หรือหาคำแนะนำของเขา นับประสาอะไรที่จะต้องทรงแจ้งให้ทุกๆ คนรู้ถึงพระราชกิจของพระองค์ นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า ซึ่งยิ่งไปกว่านั้นควรได้รับการยอมรับจากทุกคน หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า ตามก้าวพระบาทของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเดินออกห่างจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเสียก่อน เจ้าต้องไม่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรวางพระองค์ไว้ในขอบเขตของเจ้าเองและจำกัดพระองค์ไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับควรเรียกร้องตัวพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าควรที่จะแสวงหารอยพระบาทของพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรที่จะยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรที่จะยอมจำนนต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างไร กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และไม่ได้ครอบครองความจริง เขาจึงควรแสวงหา ยอมรับ และเชื่อฟัง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่) พี่เอลซ่าได้ย้ำเตือนฉันว่า “หากมองย้อนไป งานของพระเจ้าก็มักจะไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ หากผู้คนไม่แสวงหาความจริง ก็ย่อมจะต่อต้านพระเจ้าได้ง่ายเหลือเกิน อย่างเช่น องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาประสูติในรางหญ้า เรื่องนี้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ไหม? องค์พระเยซูเจ้ามาจากเมืองนาซาเร็ธและไม่ถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์ เรื่องนี้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ไหม? องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า แต่ไม่ทรงเข้าวิหารหรือรักษาวันสะบาโต ทั้งยังทรงถูกไล่ล่าและถูกตรึงกางเขน สิ่งนี้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ไหม? หลายเรื่องเกี่ยวกับการทรงปรากฏและงานขององค์พระเยซูเจ้า ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน ดังนั้นเราจะบอกว่า องค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่พระเจ้าได้ไหม? ไม่ได้ องค์พระเยซูเจ้าคือการทรงปรากฏของพระเจ้า และเป็นการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ทำไมหลายคนถึงไม่รู้จักพระองค์ แถมยังกล่าวโทษ และต่อต้านพระองค์ด้วย นี่เพราะผู้คนใช้มโนคติอันหลงผิดและจินตนาการประเมินพระเจ้าไม่ใช่หรือ? พวกฟาริสีต่างพูดว่า องค์พระเยซูเจ้าคือชาวนาซาเร็ธ เป็นบุตรของช่างไม้ ไม่ใช่พระเจ้า สุดท้ายพวกเขาก็ตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า และถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ วันนี้ ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสจำกัดพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของพวกเขา บอกปัดและต่อต้านงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่คือการทำซ้ำความผิดพลาดของพวกฟาริสี และตรึงกางเขนพระเจ้าซ้ำใหม่ทั้งหมด พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และทรงงานตามแผนโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ สิ่งใดที่พระเจ้าทำ พระองค์ก็ย่อมมีพระปัญญา เราไม่อาจใช้มโนคติอันหลงผิดและจินตนาการ เพื่อจำกัด ว่าพระเจ้าควรทรงงานที่ไหน หรือทรงปรากฏด้วยรูปลักษณ์ใด เราควรมีท่าทีที่เชื่อฟังต่อพระเจ้า การเชื่อฟัง หมายถึงการยอมรับพระวจนะและงานของพระเจ้า และเข้าใจพระเจ้าผ่านพระวจนะและงานของพระองค์ แทนที่จะใช้มโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของเรา เพื่อนิยามและจำกัดพระเจ้า และบอกว่าพระเจ้าทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้ ซึ่งไร้เหตุผลเกินไป”

แล้วจากนั้น พี่เอลซ่าก็อ่านพระวจนะให้ฉันฟังอีกสองบทตอน “หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เพียงเสด็จลงจากสวรรค์มาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นพระวิญญาณของพระองค์นั่นเองที่เสด็จลงมาเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์ก็ทรงพระราชกิจของพระวิญญาณผ่านทางเนื้อหนังมนุษย์นี้ เนื้อหนังมนุษย์จึงแสดงออกถึงพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ทรงพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง พระราชกิจที่ทรงทำในเนื้อหนังเป็นตัวแทนของพระวิญญาณอย่างครบถ้วน และเนื้อหนังนั้นก็อยู่เพื่อพระราชกิจ แต่นั่นมิได้หมายความว่ารูปลักษณ์ของเนื้อหนังเป็นสิ่งแทนพระฉายาที่แท้จริงของพระเจ้าพระองค์เอง นี่มิใช่จุดประสงค์หรือความสำคัญของการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพียงเพื่อให้พระวิญญาณมีที่สถิตที่เหมาะกับการทรงพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น เพื่อที่จะสัมฤทธิ์พระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังได้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นกิจการทั้งหลายของพระองค์ เข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์ ได้ฟังพระวจนะของพระองค์ และรู้จักความอัศจรรย์แห่งพระราชกิจของพระองค์ พระนามของพระองค์เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์เป็นตัวแทนพระอัตลักษณ์ของพระองค์ แต่พระองค์ไม่เคยตรัสว่าการทรงปรากฏเป็นมนุษย์ของพระองค์คือตัวแทนพระฉายาของพระองค์ นั่นเป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) เธอสามัคคีธรรมต่อว่า “ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศชายหรือหญิง และไม่สำคัญว่าพระองค์จะดูเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือ สิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นความจริงหรือไม่ พระองค์ทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และทรงงานแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดหรือไม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราป่วยและไปหาหมอ สิ่งที่เรามุ่งเน้นคือ หมอจะรักษาโรคให้เราได้หรือไม่ ไม่ใช่มุ่งเน้นว่าหมอเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หากเราพูดว่ามีแค่แพทย์ชายที่รักษาโรคได้ แต่แพทย์หญิงรักษาไม่ได้ มันจะไม่น่าขันหรือคะ? ดังนั้น ตราบใดที่พระองค์ทรงแสดงความจริง และทรงงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ พระองค์ก็คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์” แต่ศิษยาภิบาลในศาสนาไม่ฟังเสียงของพระเจ้า หรือสืบค้นหนทางที่แท้จริง พอได้ยินว่าพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ผู้หญิง พวกเขาก็ปฏิเสธและกล่าวโทษ แถมยังเผยแพร่มโนคติอันหลงผิด เพื่อขัดขวางผู้คนจากการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งนี้คือความผิดที่เลวร้ายมาก เพื่อหยุดพวกเขาไม่ให้มาก่อกวนฉัน ฉันจึงบล็อกทุกคนที่พยายามจะขัดขวางฉัน รวมถึงศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสที่คริสตจักรเดิมของฉันด้วย ฉันเชื่ออย่างหนักแน่นว่ากำลังต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่ว่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสรบกวนฉันยังไง ฉันก็จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2020 ฉันและลูกสาวก็เลิกไปคริสตจักร สองเดือนต่อมา ศิษยาภิบาลของคริสตจักรก็เริ่มโจมตีฉัน ทีแรก เขามาที่บ้านเพื่อโน้มน้าวฉันไม่ให้ไปงานนัดพบของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บอกว่าการนัดพบในคริสตจักรของเขาก็เพียงพอแล้ว เขายังบอกสามีฉันว่า ฉันเลือกทางผิดและฉันควรกลับไป ถึงกับพยายามยุให้ลูกชาย ห้ามไม่ให้ฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สามีกับลูกๆ ของฉันต่อต้านวิธีการของศิษยาภิบาล ลูกๆ พูดว่า ฉันประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขา และมักจะพูดเรื่องการเชื่อในพระเจ้าให้พวกเขาฟัง พวกเขาทุกคนจึงคิดว่าด้วยการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ฉันจึงตัดสินใจเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อมา ผู้อาวุโสก็ขู่ฉันว่า ถ้าฉันไม่ไปคริสตจักร ฉันจะถูกขับไล่และถูกพี่น้องชายหญิงปฏิเสธ ฉันพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ต่อให้จะถูกขับไล่ ฉันก็จะยังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ต่อมา พวกเขาบอกเรื่องการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิแก่หัวหน้าที่โรงเรียนของฉัน หวังว่าทางโรงเรียนจะจัดการฉัน แต่ผู้อำนวยการก็ไม่สนใจพวกเขา ฉันนึกถึงสิ่งที่พี่เอลซ่าเคยพูดกับฉันว่า โลกศาสนานั้นปฏิเสธและกล่าวโทษความจริงเสมอ สองพันปีก่อน องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงความจริงเพื่อไถ่มวลมนุษย์ และทรงถูกศาสนายิวกล่าวโทษและปฏิเสธ โดยเฉพาะผู้นำทางศาสนา หัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี พวกเขาโจมตีและหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้าเพื่อรักษาตำแหน่งและรายได้ รวมถึงหลอกลวง และห้ามผู้คนไม่ให้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ ต่อต้านพระเจ้าและทำลายผู้คน วันนี้ ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในโลกศาสนา ก็เป็นเช่นเดียวกับพวกฟาริสีในศาสนายิว เพื่อปกป้องตำแหน่งและรายได้ของตนไว้ พวกเขาจึงกล่าวโทษและต่อต้านการทรงปรากฏและงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง รวมถึงพยายามกันไม่ให้ผู้เชื่อสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขายังเป็นศัตรูของพระคริสต์ ที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยด้วย แล้วฉัน ก็นึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าสาปแช่งพวกฟาริสีว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23:13)วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า(มัทธิว 23:15) ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในศาสนา รู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริง แต่กลับไม่ยอมรับ พวกเขาอยากเพลิดเพลินกับการบูชาและของถวายจากผู้คน ดังนั้นเพื่อรักษาตำแหน่งเอาไว้ พวกเขาจึงยับยั้งไม่ให้เราต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักร นี่คือสิ่งที่เหล่าศัตรูของพระคริสต์ทำ พวกเขาล้วนเป็นปีศาจที่กลืนกินดวงจิตของผู้คน และย่อมจะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่ง คนที่ติดตามพวกเขา ก็จะตกนรกและถูกลงโทษด้วยเช่นกัน

ถึงฉันจะยังถูกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสโจมตีและก่อกวนอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเผยแพร่ความเข้าใจผิดอะไร ฉันก็ไม่ได้รับผลกระทบอีกต่อไป เพราะฉันรู้ว่า พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงเป็นความจริง และเป็นหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ที่ชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด คนที่ปรารถนาจะแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างจริงใจ ก็แค่ต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพวกเขาจะจำเสียงของพระเจ้าได้ และหวนคืนสู่พระบัลลังก์ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger