ในศาสนาแล้ว ไม่อาจได้รับความจริง
สมัยเด็กฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตามพ่อแม่ และฉันไล่ตามการเชื่อของตนเองอย่างกระตือรือร้น ฉันมีส่วนร่วมในกิจกรรมทุกอย่างของคริสตจักรอย่างขันแข็ง ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ฉันถวายรายได้สิบเปอร์เซ็นต์เป็นสิบลด และเข้าร่วมในพันธกิจของคริสตจักรเสมอ เนื่องจากการไล่ตามเสาะหาอย่างกระตือรือร้นของฉัน ฉันจึงได้เป็นมัคนายกของคริสตจักร และได้เป็นผู้อาวุโสของคริสตจักรตอนอายุ 30 ปี แต่แม้จะเชื่อมาหลายปี ก็มีบางสิ่งที่รบกวนใจฉันเสมอ ฉันเห็นพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:21-23) พระวจนะนี้ทำให้ฉันสับสน พวกเราไม่ใช่ผู้คนที่ประกาศและทำงานในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า และร้องเรียกหาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า” หรอกหรือ? เหตุใดองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงรู้จักคนอย่างพวกเรา และตรัสว่าคนอย่างพวกเราคือคนทำชั่ว? น้ำพระทัยของพระองค์คือการให้พวกเราตรากตรำเพื่อพระองค์ในหนทางนี้มิใช่หรือ? เช่นนั้นน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร? ฉันไม่เคยสามารถหาคำตอบได้เลย
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 มีอยู่วันหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งชวนฉันฟังคำเทศนาออนไลน์ ฉันคิดว่า “พวกเราไม่อาจไปที่คริสตจักรได้ในช่วงเกิดโรคระบาด ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งดี” ฉันตกลงทำตามนั้นด้วยความยินดี ในการชุมนุมออนไลน์ พี่น้องหญิงเหวยเหวย สามัคคีธรรมถึงความหมายของหญิงพรหมจารีทั้งที่มีปัญญาและโง่ พระคริสต์คืออะไร ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์อยู่ในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก เป็นต้น ฉันคิดว่าเธอพูดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีมาก ทั้งหมดนี้คือประเด็นปัญหาที่ฉันไม่อาจสามัคคีธรรมได้ชัดเจนในการเทศนาของฉัน ดังนั้นการสามัคคีธรรมของเธอจึงดึงดูดใจฉันเป็นอย่างมาก เธอยังพูดด้วยว่า “พวกเราผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนหวังที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่คนแบบไหนที่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้?” จากนั้นเธอก็อ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:21-23) เธอพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ มีเพียงผู้ที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้นที่เข้าได้ เช่นนั้นการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหมายถึงอะไร? ผู้คนมากมายคิดว่า ตราบใดที่พวกเขาทำพันธกิจให้มากขึ้น อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน และทำความดีให้มาก พวกเขาก็กำลังทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา พวกเขาก็จะเข้าสู่ราชอาณาจักร มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่? เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? พวกฟาริสีของศาสนายิวเดินทางไปทั่วทั้งทางบกและทะเลเพื่อให้ได้ผู้รับเชื่อคนเดียว และมีพฤติกรรมดีๆ มากมาย แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาและทรงแสดงความจริงมากมาย พวกเขาก็ไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขารีบร้อนต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์ พวกเขาถึงกับตอกตรึงองค์พระเยซูเจ้ากับกางเขน และกลายเป็นคนทำชั่วในที่สุด จากเรื่องนี้ พวกเราจะเห็นได้ว่าการทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาไม่ใช่เพียงการประกาศข่าวประเสริฐ อ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน และทำความดีดังที่พวกเราคิดเท่านั้น นี่เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งของสิ่งที่คริสเตียนควรทำ เช่นนั้นการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหมายถึงอะไรกันแน่? พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ‘เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’ (เลวีนิติ 11:45) ‘ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ (ฮีบรู 12:14) จากคำกล่าวนี้ พวกเราสามารถเห็นว่าข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนคือการสัมฤทธิ์ความบริสุทธิ์และเป็นอิสระจากบาป ซึ่งแปลว่าการสามารถเชื่อฟังพระเจ้า ฟังพระวจนะของพระองค์ ไม่ทำบาปและต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป ไม่ทรยศพระเจ้าอีกต่อไป และแม้แต่ตอนที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ก็สามารถเชื่อฟังและยอมรับพระราชกิจได้ นี่เท่านั้นคือคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และคนที่จะยังคงอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้า แม้พวกเราจะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเราละทิ้งและสละเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราก็โกหกและทำบาปบ่อยๆ มีความริษยาและความขัดแย้งในหมู่เพื่อนร่วมงานบ่อยๆ และเมื่อพวกเราเผชิญความวิบัติและความเจ็บป่วยทั้งหลาย พวกเราก็ยังสามารถพร่ำบ่นพระเจ้า ตัดสิน และแม้กระทั่งทรยศพระองค์ นี่คือการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงหรือ?” หลังจากที่เธอสามัคคีธรรม ฉันก็พลันตื่นรู้ขึ้นมาว่า การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราดูมีธุระยุ่งขนาดไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเราฟังพระวจนะของพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า เลิกทำบาปและเลิกต่อต้านพระเจ้าหรือไม่ แต่พวกเรายังทำบาปบ่อยครั้ง พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการทำบาปในตอนกลางวันและสารภาพในตอนกลางคืน พวกเรายังหนีไม่พ้นจากบาป พวกเราไม่อาจปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ และเมื่อมีสิ่งที่ไม่น่าพอใจเกิดขึ้น พวกเราก็แค้นเคืองและพร่ำบ่นองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเราทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า?
ต่อมาในทุกการชุมนุม พี่น้องเหวยเหวยจะมีคำพูดมาแบ่งปันกับฉัน ฉันคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้ดี สดใหม่ และสว่างมาก ฉันเริ่มค่อยๆ รักการชุมนุมแบบนี้ และตั้งตารอการชุมนุมครั้งถัดไปเสมอ นี่คือจังหวะที่ฉันค้นพบว่า คำเทศนาที่ฉันเคยประกาศ รวมทั้งคำเทศนาของศิษยาภิบาลหลายคน เป็นเพียงคำสอน ที่พวกเราใช้หนุนใจผู้คน พูดตามตรง พวกเราไม่มีความเข้าใจในพระเจ้าและความจริงเลย แต่เมื่อฉันพบพี่น้องชายหญิงทางออนไลน์และฟังการสามัคคีธรรมของพวกเขา ฉันรู้สึกอย่างลึกซึ้งมากว่า ฉันกำลังได้รับเสบียงอาหาร และฉันรู้สึกว่าเป็นอิสระและได้ปลดเปลื้อง ฉันสามารถถามได้ถ้าฉันไม่เข้าใจพระคัมภีร์หรือถ้าฉันไม่รู้สิ่งต่างๆ และฉันพบคำตอบที่นั่นเสมอ ฉันไม่เคยได้รับมากขนาดนี้ในการชุมนุมของคริสตจักร
ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่น้องเหวยเหวยส่งบทตอนหนึ่งมาให้ฉันอ่าน “ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว) หลังจากอ่านบทตอนนี้ พี่น้องเหวยเหว่ยถามฉันว่า “คุณคิดว่าใครพูดสิ่งนี้คะ?” ฉันรีบอ่านบทตอนนั้นในใจอีกครั้ง ฉันรู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และจากถ้อยคำที่ว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง” ฉันรู้สึกถึงพระบารมีของพระเจ้า ฉันแน่ใจว่าพระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ เพราะว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถพูดอะไรแบบนี้ได้ ไม่มีคนดัง ผู้ยิ่งใหญ่ หรือผู้นำทางศาสนาคนใดสามารถกล่าวถ้อยคำเช่นนี้้ ฉันพูดกับพี่น้องเหวยเหวยว่า “เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าตรัสพระวจนะนี้ เพราะมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงรู้ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด และไม่มีบุคคลใดจะกล้าพูดว่า ‘ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง’” หลังจากได้ยินคำตอบของฉัน เธอพูดอย่างตื่นเต้นว่า “อาเมน! นี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า! พระเจ้าทรงอวยพรผู้ที่สามารถระลึกรู้พระวจนะของพระเจ้า” ฉันไม่เคยอ่านพระวจนะเหล่านี้ในพระคัมภีร์ ดังนั้นฉันจึงอยากรู้อยากเห็นว่า พระวจนะเหล่านี้มาจากไหน ตอนนี้เองที่เธอบอกฉันว่า องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงเปิดม้วนหนังสือและแกะผนึกทั้งเจ็ดแล้ว พระวจนะเหล่านี้มาจากม้วนหนังสือ และเป็นความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้าย เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันก็ตื่นเต้นมากและคิดว่า “ม้วนหนังสือเปิดออกแล้วหรือ? เช่นนั้นฉันจำเป็นต้องรีบอ่านพระวจนะของพระเจ้าเสียแล้ว!” จากนั้น เธอก็สามัคคีธรรมต่อไปว่า “องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจภายใต้พระนาม ‘พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์’ พระองค์ทรงแสดงความจริงไปมากมาย และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระราชกิจแห่งการชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดอย่างถ้วนทั่ว มีเพียงเมื่อพวกเรายอมรับการพิพากษาในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่พวกเราจะสามารถปลดเปลื้องบาปและความเสื่อมทราม และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ได้รับการช่วยให้รอด และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระนามใหม่ของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ทำให้คำเผยพระวจนะในหนังสือวิวรณ์ลุล่วง ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา… พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด’ (วิวรณ์ 1:8) ‘ฮาเลลูยา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่’ (วิวรณ์ 19:6) พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระนามของพระเจ้า แม้ว่าพระเจ้าจะมีพระนามต่างกันในแต่ละยุค แต่พระองค์คือพระเจ้าองค์เดียวและพระวิญญาณหนึ่งเดียว” มีเพียงหลังจากที่ฟังการสามัคคีธรรมของเธอแล้วเท่านั้น ฉันจึงตระหนักว่า พระนามใหม่ในยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้รับการเผยพระวจนะไว้ในวิวรณ์เมื่อนานมาแล้ว แต่ฉันไม่ได้สังเกต ฉันรู้เพียงว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์โดยธรรมชาติ ฉันไม่เคยฉุกคิดว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” คือพระนามที่พระเจ้าทรงใช้เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้าย ฉันมีความสุขและตื่นเต้นมาก กลายเป็นว่าพระเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว และพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! เธอยังบอกฉันด้วยว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏและเริ่มทรงงานใน ค.ศ. 1991 เมื่อสามสิบปีก่อน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมายและแสดงพระวจนะไว้หลายล้านคำ ทั้งหมดมีการเผยแพร่แก่สาธารณะทางอินเทอร์เน็ต ตอนนี้พระวจนะของพระองค์ได้เผยแผ่จากตะวันออกสู่ตะวันตก ไปยังประเทศมากมายในโลก ผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์ ‘เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น’ (มัทธิว 24:27)” ฉันประหลาดใจมาก กลายเป็นว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อสองสามปีก่อน ฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์ว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยานยืนยันการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ในตอนนั้น ฉันเห็นว่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสส่วนใหญ่กล่าวโทษมัน และไม่ยอมให้ผู้เชื่อได้ฟังการประกาศของพวกเขา ดังนั้นฉันจึงคิดว่านี่ไม่ใช่หนทางที่แท้จริง ฉันไม่ได้แสวงหาหรือสืบค้น และแน่นอนว่าฉันไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันไม่เคยคาดคิดว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา และได้ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจมาสามสิบปี ฉันประหม่าเล็กน้อย และรู้สึกว่าตนเองล้าหลังเกินไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงต้องการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ผ่านไประยะหนึ่ง ด้วยการชุมนุมและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับพี่น้องหญิงคนนี้ ฉันได้เข้าใจมากขึ้นว่าเหตุใดพระเจ้าจึงต้องเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจในยุคสุดท้าย พระเจ้าใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทรงงานแห่งการพิพากษาอย่างไร พวกเราต้องมีประสบการณ์กับการพิพากษาอย่างไรเพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เป็นต้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหมดนี้ และทรงแสดงความจริงมากมาย ซึ่งทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยอห์น 16:13) ฉันรู้สึกแน่ใจยิ่งขึ้นไปอีกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการเสด็จมาเป็นครั้งที่สองขององค์พระเยซูเจ้า หลังจากนั้น เธอได้ส่งหนังสือพระวจนะของพระเจ้ามาให้ฉันหนึ่งเล่ม ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน และฉันพบการจัดเตรียมทางฝ่ายวิญญาณ
ต่อมา ฉันไปร่วมการชุมนุมเกือบทุกครั้งเท่าที่ฉันจะทำได้ แต่เพราะฉันยังคงเข้ารอบนมัสการที่คริสตจักรของฉัน เวลาชุมนุมจึงชนกันบ่อย ฉันคิดอยู่ว่า “ฉันควรออกจากคริสตจักรของฉันไหม?” แต่ฉันเป็นผู้อาวุโสมาสิบแปดปี แต่ละสมัยกินเวลาสี่ปี และกว่าสมัยปัจจุบันของฉันจะสิ้นสุดก็ยังอีกตั้งปีกว่า พี่น้องชายหญิงของฉันจะคิดกับฉันอย่างไรถ้าฉันออกจากคริสตจักรกลางคัน? พวกเขาจะคิดว่าฉันผละจากมาตามใจชอบและไม่มีความจงรักภักดีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือเปล่า? แต่แล้วฉันก็คิดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว ดังนั้นฉันควรจะคงอยู่ในศาสนาต่อไปหรือ? ฉันรู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ศิษยาภิบาลพูดบนแท่นเทศน์ไม่อาจให้เสบียงอาหารแก่ผู้เชื่อได้อีกต่อไป พวกเขาพูดถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ขององค์พระเยซูเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก และพวกเขาเสวนาถึงการลอกเลียนแบบองค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยครั้ง การรักเพื่อนบ้านดุจรักตนเอง การอดทน เป็นต้น พวกศิษยาภิบาลประกาศคำสอนที่เก่าแก่ล้าสมัยเหล่านี้มาหลายทศวรรษแล้ว และฉันก็ไม่อาจให้เสบียงอาหารแก่พี่น้องชายหญิงของฉันเช่นกัน ฉันรู้ดีมากว่าโลกศาสนาอ้างว้างลงแล้ว ตอนนั้น ฉันขัดแย้งในใจมาก ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการออกจากคริสตจักรนี้ แต่ข้าพระองค์ยังมีความห่วงกังวล และวิตกว่าพี่น้องชายหญิงจะนินทาข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ควรทำเช่นไร? ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” ขณะอธิษฐาน ฉันนึกถึงที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “นี่แน่ะ วันเวลาก็มาถึง เมื่อเราจะส่งความกันดารมาที่แผ่นดิน ไม่ใช่กันดารอาหาร หรือกระหายน้ำ แต่จะเป็นการกันดารพระวจนะของพระยาห์เวห์” (อาโมส 8:11) “เราเองเป็นผู้ยับยั้งฝนไว้เสียจากเจ้าด้วย สามเดือนก่อนถึงฤดูเกี่ยว เราให้ฝนตกในเมืองหนึ่ง อีกเมืองหนึ่งไม่ให้ฝน นาแห่งหนึ่งมีฝนตก ส่วนนาที่ไม่มีฝนก็เหี่ยวแห้ง” (อาโมส 4:7) ฉันนึกถึงการกันดารอาหารนานเจ็ดปีในอิสราเอล และพี่น้องของโยเซฟล้วนไปที่อียิปต์เพื่อขออาหารจากเขา ตอนนี้ทั้งโลกศาสนากำลังทนทุกข์จากการกันดารอาหาร และไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่ฉันกินและดื่มในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า สิ่งที่ฉันได้รับคือความสว่างที่เป็นจริง และเห็นได้ชัดว่าฉันมีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากฉันตามไม่ทัน ฉันจะถูกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ขับออกไป ตอนนี้ ฉันได้พบคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และฉันได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นฉันไม่ควรคงอยู่ในความอ้างว้างของศาสนาอีกต่อไป หลังจากนั้น ตราบเท่าที่คริสตจักรไม่จัดแจงให้ฉันทำงาน ฉันก็ไม่ไปที่นั่น แต่เพราะฉันเป็นผู้อาวุโส ฉันจึงไปนมัสการเป็นครั้งคราว
วันหนึ่งในอีกครึ่งปีต่อมา ฉันได้ดูละครเวทีทางอินเทอร์เน็ต ทางเลือกที่มีปัญญา เรื่องราวดลใจฉันอย่างลึกซึ้ง หลี่หมิงจื้อตัวละครเอก เป็นแกนนำเขตการปกครองส่วนท้องถิ่น หลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย เขาก็เข้าใจความจริงบางอย่าง เขาคิดทบทวนช่วงเวลาหลายปีที่เขารับใช้พรรคคอมมิวนิสต์จีนและหนทางที่เขาทำชั่วตามพรรค เขาตระหนักว่าเขากำลังเดินอยู่บนทางที่ไปสู่ความพินาศ และเห็นชัดเจนว่ามีเพียงการติดตามพระคริสต์และสละเพื่อพระเจ้าเท่านั้น ที่เขาจะสามารถได้รับความจริงและชีวิตได้ เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยกล่าวว่าเขามีใจแน่วแน่ที่จะออกจากงานและอุทิศตนเพื่อพระเจ้า หลังจากที่ภรรยาของเขารู้เข้า เธอก็คัดค้านอย่างรุนแรง และจากนั้นครอบครัวของเขาก็พยายามบังคับให้เขาเลิกเชื่อในพระเจ้า แม้จะถูกคนทั้งครอบครัวรุมล้อมเข้ามา เขาไม่ยอมลงให้ เขาโต้แย้งกับครอบครัวของเขา และสุดท้าย เขาก็ออกจากงานอย่างเด็ดเดี่ยวและเลือกที่จะติดตามพระเจ้า จากนั้นฉันก็คิดถึงตนเอง ถ้าฉันอยู่ในศาสนาและไม่ติดตามพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ ฉันก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และฉันก็จะถูกพระเจ้าขับออกไป อีกอย่าง ในช่วงเวลานี้ ฉันชุมนุมเพื่อสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถึงข้อเท็จจริงที่โลกศาสนาต่อต้านพระเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้ากำลังทรงนำฉัน และถึงเวลาแล้วที่ฉันจะออกจากศาสนา
พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เผยแผ่มาที่ไต้หวันเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นมีการตีพิมพ์พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในหนังสือพิมพ์ แต่แวดวงศาสนาของไต้หวันร่วมกันประกาศคว่ำบาตรฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เป็นคำแถลงที่ศิษยาภิบาลหลายคนร่วมกันลงชื่อ ศิษยาภิบาลเหล่านี้รู้มานานแล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว แต่พวกเขาไม่แสวงหาหรือสืบค้น อีกทั้งไม่บอกผู้เชื่อของพวกเขาถึงข่าวการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขายังร่วมกันต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าในไต้หวันอีกด้วย นี่ย้ำเตือนให้ฉันนึกถึงพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสีเมื่อสองพันปีก่อน พวกเขาเห็นชัดเจนว่าพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้ามีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาวิตกว่าผู้เชื่อทั้งหมดจะติดตามองค์พระเยซูเจ้า และพวกเขาจะสูญเสียสถานะและรายได้ของตน ดังนั้น พวกเขาจึงแต่งคำวินิจฉัยผิดๆ และกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า โลกศาสนาทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น พวกศิษยาภิบาลกลัวว่าถ้าผู้คนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันหมดและไม่ไปคริสตจักร ก็จะไม่มีใครให้ของถวาย และพวกเขาก็จะไม่ได้เงินเดือน ดังนั้นเพื่อรักษาสถานะและรายได้ของตน พวกเขาจึงร่วมกันกล่าวโทษและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย นี่ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ทรงสาปแช่งพวกฟาริสีว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด! พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม… วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:13-15) ศิษยาภิบาลในศาสนาเหล่านี้ รู้ชัดเจนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้วและทรงแสดงความจริงมากมาย แต่พวกเขาไม่สืบค้น พวกเขาหลอกลวงและคุมเข้มไม่ให้คนอื่นสืบค้นพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า และกีดกันไม่ให้ผู้เชื่อรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นำทางศาสนาเหล่านี้ช่างจงเกลียดจงชังนัก! พวกเขาไม่ใช่คนที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาคือพวกฟาริสียุคใหม่
ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) ขณะที่ฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า พวกศิษยาภิบาลในโลกศาสนาได้เงินจากของถวายที่พี่น้องชายหญิงถวายให้พระเจ้า แต่พวกเขากลับห้ามผู้คนหันเข้าหาพระเจ้า และด้วยเหตุนั้นจึงทำลายโอกาสที่ผู้คนจะได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า และเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พวกเขาไม่ใช่พวกมารที่กลืนกินดวงจิตของผู้คนหรอกหรือ? ฉันคิดด้วยว่าเนื่องจากโรคระบาด คริสตจักรต่างๆ จึงงดรอบนมัสการทั้งหมด ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง พวกศิษยาภิบาลหารือกัน เรื่องการวางขายผลิตผลทางการเกษตรของพี่น้องชายหญิง นอกสำนักงานคณะกรรมการ เพื่อเป็นหนทางเพิ่มรายได้ของบรรดาผู้เชื่อ แบบนั้น พี่น้องชายหญิงย่อมจะสามารถถวายสิบลดต่อไปได้ เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ฉันโกรธมาก และคัดค้านอย่างรุนแรง ฉันพูดว่า “ในฐานะศิษยาภิบาล พวกคุณควรห่วงใยชีวิตของผู้คน พวกคุณมัวแต่สนใจเรื่องเงินกันได้อย่างไร?” เลขานุการพูดกับฉันว่า “เมื่อคริสตจักรงดการชุมนุม ของถวายจากพี่น้องชายหญิงก็ลดลง ซึ่งลดรายได้ของคริสตจักรลงเป็นอันมาก” ฉันได้เห็นว่าศิษยาภิบาลห่วงแต่เงินเดือนและรายได้ของตน ไม่ใส่ใจการให้น้ำแก่พี่น้องชายหญิงและการเสริมสร้างให้ความเชื่อของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาคือพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคดที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสถึง พวกเขาอยากได้เครื่องบูชาที่พี่น้องชายหญิงถวายแก่พระเจ้า พวกเขาไม่ใส่ใจในชีวิตของผู้เชื่อของพวกเขา พวกเขาขัดขวางไม่ให้ผู้คนรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาพยายามเกาะกุมผู้เชื่อของตนไว้แน่น ฉันได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกศิษยาภิบาลชัดเจนขึ้น ศิษยาภิบาลในศาสนาเหล่านี้ไม่ใช่ใครนอกจากศัตรูของพระคริสต์ที่ปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า หลังจากเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี ในที่สุดฉันก็มีวิจารณญาณที่จะแยกแยะพวกเขา ฉันตื่นขึ้นในท้ายที่สุด ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับความกรุณาของพระองค์ และสำหรับการที่ประทานโอกาสให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระองค์ ไม่เช่นนั้น ฉันจะติดตามพวกศิษยาภิบาลในการทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า และฉันจะเสียโอกาสได้รับความรอด
ต่อมา ฉันดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “ตอนนี้เจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงหรือไม่ว่าความเชื่อในศาสนาและความเชื่อในพระเจ้าคืออะไร? ความเชื่อในศาสนากับความเชื่อในพระเจ้าแตกต่างกันหรือไม่? ความแตกต่างอยู่ตรงที่ใด? เจ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้หรือยัง? ปกติแล้วผู้เชื่อในศาสนามีลักษณะเช่นไร? จุดมุ่งเน้นของพวกเขาคืออะไร? จะสามารถนิยามความเชื่อในศาสนาว่ากระไรได้? เมื่อผู้คนเชื่อในศาสนา พวกเขายอมรับรู้ว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง และพวกเขาเปลี่ยนแปลงบางสิ่งในพฤติกรรมของตน กล่าวคือ พวกเขาไม่ทุบตีหรือสบถใส่ผู้คน พวกเขาไม่ทำสิ่งไม่ดีที่ทำร้ายผู้คน และพวกเขาไม่ก่ออาชญากรรมต่างๆ หรือทำผิดกฎหมาย พวกเขาไปชุมนุมทุกวันอาทิตย์ นี่คือใครบางคนที่เชื่อในศาสนา เมื่อเป็นเช่นนั้น การประพฤติตัวดีและเข้าร่วมชุมนุมบ่อยๆ จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าใครบางคนเชื่อในศาสนา เมื่อใครบางคนเชื่อในศาสนา พวกเขายอมรับรู้ว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง และพวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าคือการเป็นคนดี ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำบาปหรือทำสิ่งที่ไม่ดี พวกเขาย่อมจะไปสวรรค์หลังจากที่พวกเขาตาย พวกเขาจะมีปลายทางที่ดี ความเชื่อของพวกเขามอบสิ่งค้ำจุนทางฝ่ายวิญญาณแก่พวกเขา เพราะเหตุนั้นจึงสามารถนิยามการเชื่อในศาสนาดังต่อไปนี้ได้ด้วยว่า การเชื่อในศาสนาคือการยอมรับรู้ในหัวใจของเจ้าว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง วางใจว่าหลังจากที่เจ้าตาย เจ้าจะไปสวรรค์ นี่ย่อมหมายถึงการมีเครื่องค้ำจุนทางอารมณ์อยู่ในหัวใจของเจ้า รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างของเจ้า—ซึ่งก็คือการเป็นคนดี และไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ส่วนเรื่องที่ว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ ตอนนี้พระเจ้าองค์นี้กำลังทำอะไร พระเจ้าองค์นี้ขออะไรจากพวกเขา—พวกเขาไม่รู้ พวกเขาอนุมานและจินตนาการทั้งหมดนี้ตามคำสอนในพระคัมภีร์ นี่คือการเชื่อในศาสนา โดยพื้นฐานแล้วความเชื่อในศาสนาคือการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและสิ่งค้ำจุนทางฝ่ายวิญญาณ แต่เส้นทางที่ผู้คนเหล่านี้เดิน—ซึ่งก็คือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาพร—ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไม่มีการปรับเปลี่ยนทรรศนะที่ผิด มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันที่พวกเขามีเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า รากฐานของการดำรงอยู่ของพวกเขา เป้าหมายชีวิตและทิศทางชีวิตที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นตั้งอยู่บนแนวคิดและความเห็นของวัฒนธรรมดั้งเดิม และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย นี่คือสภาวะของทุกคนที่เชื่อในศาสนา ดังนั้นความเชื่อในพระเจ้าคืออะไร? คำนิยามที่พระเจ้าทรงมีต่อความเชื่อในพระเจ้าคืออะไร? (ความไว้วางใจในอธิปไตยของพระเจ้า) คือความไว้วางใจในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และความไว้วางใจในอธิปไตยของพระเจ้า—เหล่านี้คือส่วนที่สำคัญที่สุด การเชื่อในพระเจ้าคือการรับฟังพระวจนะของพระเจ้า ดำรงอยู่ มีชีวิต ปฏิบัติหน้าที่ของตน และเข้าร่วมกิจกรรมทั้งมวลแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามที่พระวจนะของพระเจ้าร้องขอ ความหมายโดยนัยก็คือการเชื่อในพระเจ้าคือการติดตามพระเจ้า ทำสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ ใช้ชีวิตตามที่พระเจ้าทรงขอ การเชื่อในพระเจ้าคือการติดตามหนทางของพระเจ้า เป้าหมายชีวิตและทิศทางชีวิตของผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามิได้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากผู้คนที่เชื่อในศาสนาหรอกหรือ?… ดังนั้นความเชื่อในพระเจ้าต้องเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ ผู้คนต้องปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ นี่เท่านั้นคือความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า—นี่คือการเข้าถึงรากเหง้าของเรื่อง การปฏิบัติความจริง ทำตามพระวจนะของพระเจ้า และดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า นี่คือหนทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์ ความเชื่อในพระเจ้าสัมพันธ์กับเส้นทางของชีวิตมนุษย์ ความเชื่อในพระเจ้าสัมพันธ์กับความจริงมากมายนัก และผู้ติดตามพระเจ้าต้องเข้าใจความจริงเหล่านี้ พวกเขาจะสามารถติดตามพระเจ้าได้อย่างไรหากพวกเขาไม่เข้าใจและไม่ยอมรับความจริงเหล่านี้? ผู้คนที่เชื่อในศาสนาเพียงยอมรับรู้ว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง และพวกเขาวางใจว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง—แต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ และพวกเขาไม่ยอมรับความจริงเหล่านี้ ดังนั้นผู้คนที่เชื่อในศาสนาจึงไม่ใช่ผู้ติดตามพระเจ้า”(“การเชื่อในศาสนาจะไม่มีวันนำทางสู่ความรอด” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าช่างจริงแท้เหลือเกิน! ฉันนึกถึงตนเองเมื่ออยู่ในศาสนา ไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่มีเสบียงอาหารแห่งพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า ฉันทำได้เพียงยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และพิธีการทางศาสนา และทำความดีให้เห็นบ้างเท่านั้น เมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคิดลบ ฉันก็เกื้อหนุนพวกเขา ฉันมักจะวางมือบนตัวพวกเขาแล้วอธิษฐานให้ และมีส่วนร่วมในพันธกิจอย่างแข็งขัน และฉันคิดว่านี่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า มีเพียงหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้นที่ฉันรู้ว่า ฉันกำลังเชื่อในศาสนา ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เหล่านี้คือการทำดีภายนอกเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งจะไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของฉัน การตรากตรำและทำงานหนักของพวกเราเป็นเพียงการคิดฝันเฟื่องของพวกเราเอง และไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันจำได้ด้วยว่าฉันเคยบอกพี่น้องชายหญิงบ่อยๆ ให้ไล่ตามเสาะหาและทำงานหนักเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ว่าเมื่อพวกเราเข้าสู่สวรรค์ พวกเราจะบริหารเมืองห้าหรือสิบแห่ง ตอนนี้ หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันรู้สึกว่าการประกาศของฉันนั้นไร้สาระและไม่อยู่บนความเป็นจริง ไม่มีใครในหมู่พวกเราเคยมีประสบการณ์กับการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเรายังไม่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และพวกเราไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าเลย คำพูดของฉันที่ว่าเมื่อพวกเราเข้าสู่สวรรค์ พวกเราจะบริหารเมืองห้าหรือสิบแห่งเป็นเพียงความคิดฝันของฉันทั้งสิ้น การทำดีภายนอกไม่เพียงพอสำหรับการเชื่อในพระเจ้า กุญแจสำคัญคือการมีประสบการณ์กับพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้า สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และเชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า เช่นนี้ี่จึงเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันเห็นว่าในอดีต การเชื่อในทางศาสนาที่ฉันมีในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นเพียงการเชื่อที่สับสน และไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าจะทรงสรรเสริญ ถ้าฉันเชื่อในพระเจ้าและชุมนุมในทางศาสนาต่อไป ฉันจะไม่มีวันได้รับความจริง แต่แล้วฉันก็คิดว่า ฉันมีงานในฐานะผู้อาวุโส ดังนั้นฉันยังต้องไปที่คริสตจักร ถ้าฉันออกจากคริสตจักร ฉันย่อมจะถูกเมินและดูหมิ่นอย่างแน่นอน และคนอื่นจะไม่เคารพฉันและคิดว่าฉันไม่สัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อคิดแบบนี้ ฉันก็ลังเล ฉันยังคิดจะบอกพวกเขาด้วยว่าฉันได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว แต่ฉันรู้ว่าทันทีที่ฉันพูดออกไป ฉันจะถูกศิษยาภิบาลและเพื่อนร่วมงานอื่นๆ ข่มเหงและขัดขวาง ฉันคิดกลับไปกลับมาอยู่ในหัวใจของตน ฉันรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วฉันจะออกจากศาสนา แต่ฉันไม่รู้ว่าจะยื่นเรื่องลาออกอย่างไร ฉันมักจะอธิษฐานและแสวงหากับพระเจ้าในเรื่องนี้
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนหนึ่ง “พระเจ้าทรงแสวงหาบรรดาผู้ที่ถวิลหาให้พระองค์ทรงปรากฏ พระองค์ทรงแสวงหาบรรดาผู้ที่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ ผู้ที่ยังไม่ลืมพระบัญชาของพระองค์ และมอบถวายหัวใจและร่างกายของพวกเขาแด่พระองค์ พระองค์ทรงแสวงหาบรรดาผู้ที่เชื่อฟังดุจทารกทั้งหลายเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และไม่ต่อต้านพระองค์ หากเจ้ายอมอุทิศตัวเจ้าให้กับพระเจ้าโดยไม่ถูกยับยั้งจากพลังอำนาจหรือกำลังบังคับใดๆ พระเจ้าก็จะทรงมองดูพวกเจ้าด้วยความโปรดปราน และจะประทานพรของพระองค์ให้กับเจ้า หากเจ้าอยู่ในสถานะอันสูงส่ง มีภาพลักษณ์อันทรงเกียรติ ครองความรู้อันอุดม เป็นเจ้าของสินทรัพย์ล้นเหลือและได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย กระนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ป้องกันเจ้าจากการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับการทรงเรียกของพระองค์และยอมรับพระบัญชาของพระองค์ และทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำ เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่เจ้าทำก็จะเป็นมูลเหตุอันเปี่ยมความหมายที่สุดบนแผ่นดินโลก และเป็นหน้าที่รับผิดชอบอันชอบธรรมที่สุดของมวลมนุษย์ หากเจ้าปฏิเสธการทรงเรียกของพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของสถานภาพและเป้าหมายของตัวเจ้าเอง ทั้งหมดที่เจ้าทำก็จะถูกสาปแช่ง และอาจถึงขั้นถูกดูหมิ่นโดยพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่า ฉันลังเลหลายครั้งเรื่องการออกจากคริสตจักร เพราะฉันไม่อาจปล่อยมือจากตำแหน่งผู้อาวุโสของฉันได้ พี่น้องชายหญิงยอมรับนับถือและเคารพฉันเพราะสถานะของฉัน พวกเขาปฏิบัติต่อฉันต่างออกไป และนึกถึงฉันเสมอเมื่อมีผลประโยชน์ ฉันกังวลว่าฉันจะสูญเสียทั้งหมดนี้เมื่อออกจากคริสตจักร ฉันใฝ่หาสถานะและอยากได้ประโยชน์จากสถานะ นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสม และทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย ฉันรู้ชัดเจนว่าฉันต้องเป็นอิสระจากโซ่ตรวนของสถานะ ถ้าฉันไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ฉันก็จะเดินบนเส้นทางของการต่อต้านพระเจ้า นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ฉันต้องการ ฉันไม่อาจพะวงถึงการได้รับความนับถืออย่างสูงจากพี่น้องชายหญิงอีกต่อไป ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะยกย่องฉันหรือไม่ สิ่งที่สำคัญคือฉันสามารถได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าหรือไม่ ฉันต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้า ไม่ใช่สถานะ เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ความมุ่งมั่นที่จะออกจากคริสตจักรของฉันก็แรงกล้าขึ้น
วันหนึ่ง ฉันไปที่คริสตจักรตามปกติ และหลังการนมัสการวันอาทิตย์ ฉันก็บอกทุกคนว่าฉันขอลาออกจากงานในฐานะผู้อาวุโส ทุกคนประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ และพวกเขาทุกคนพยายามโน้มน้าวให้ฉันอยู่ต่อ หลังจากนั้น ศิษยาภิบาลบางคนก็โทรหาฉัน พูดว่าการเป็นผู้อาวุโสคือข้อตกลงกับพระเจ้าที่ไม่อาจยกเลิกได้ ฉันคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงพระราชกิจใหม่ ฉันยังจำเป็นต้องรักษาข้อตกลงนี้และไม่รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?” ฉันจำได้ว่าพวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และฟาริสี รับใช้พระเจ้าในพระวิหารตลอดทั้งปี แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ พวกเขาก็กล่าวโทษ ต่อต้าน และตอกตรึงองค์พระเยซูเจ้ากับกางเขน นี่คือการจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือ? พวกเขาไม่ใช่คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าสักนิด พวกเขาต่อต้านพระเจ้า วันนี้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว และแสดงพระวจนะใหม่ๆ ถ้าฉันรักษา “ข้อตกลง” ที่ว่านี้ต่อไป และยังคงอยู่ในคริสตจักร และไม่ก้าวให้ทันพระวจนะและพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า เช่นนั้นฉันก็ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า! ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) แกะของพระเจ้าควรฟังพระวจนะของพระเจ้า และติดตามพระองค์โดยไม่มีความลังเล ดังนั้น ไม่ว่าพวกศิษยาภิบาลจะพยายามชักจูงฉันอย่างไร ฉันก็ไม่คลอนแคลน ฉันขอบคุณพระเจ้าอย่างมากที่ทรงนำฉันให้ออกจากศาสนา ทรงให้ฉันกินและดื่มพระวจนะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า และโปรดให้ฉันมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ฉันมีประสบการณ์กับความสบายใจและการปลดเปลื้องอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อสถานะผู้อาวุโสของฉันหมดไป ฉันก็ไม่กล่าวคำสอนที่แห้งแล้งและว่างเปล่าบนแท่นเทศน์อีกต่อไป กลับกัน ฉันมุ่งเน้นที่การเตรียมตัวเองให้พร้อมไปด้วยพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และทุกวันก็ให้ความรู้สึกที่สุขใจและเบิกบานมาก
ไม่นาน ข่าวเรื่องที่ฉันออกจากคริสตจักรก็แพร่ออกไป สองเดือนต่อมา ฉันได้เรียนรู้ว่า พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้โพสต์วิดีโอจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในกลุ่มออนไลน์กลุ่มหนึ่ง ดังนั้นพวกศิษยาภิบาลจึงเริ่มปิดคริสตจักร และแถลงข้อความที่บอกว่าเนื่องจากมีคนออกจากคริสตจักร คริสตจักรจึงต้องเฝ้าระวังฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ฉันเศร้าใจเมื่อได้ยินข่าวนี้ และเสียใจแทนพวกศิษยาภิบาล แต่ฉันแน่ใจยิ่งกว่าที่ผ่านมา ว่าศิษยาภิบาลส่วนใหญ่ในโลกศาสนาไม่ชอบความจริง โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาเบื่อหนายและเกลียดชังความจริง พวกเขาคิดว่าตนเองรู้จักพระคัมภีร์และพระเจ้า แต่ที่จริงพวกเขาคือคนตาบอดที่นำทางคนตาบอดด้วยกันลงหลุม ยังมีแกะของพระเจ้าอีกมากมายที่เตร็ดเตร่อยู่ภายนอกและไม่ได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันต้องประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรแก่พวกเขา ลุล่วงความรับผิดชอบของฉัน และตอบแทนความรักของพระเจ้า ดังนั้น ฉันจึงเริ่มประกาศข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และฉันเห็นว่าผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงกำลังกลับมาหาพระเจ้าคนแล้วคนเล่า ซึ่งทำให้ฉันสุขใจและตื่นเต้นมาก ฉันยังรู้สึกด้วยว่าทุกวันอิ่มเต็มและมีความหมาย ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำทางฉันให้ออกจากศาสนาและยอมให้ฉันติดตามก้าวพระบาทของพระองค์ ในเรื่องนี้ ฉันรู้สึกอย่างแท้จริงว่าได้รับพร
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ