การพิพากษาแห่งพระที่นั่งใหญ่สีขาวได้เริ่มขึ้นแล้ว
โดย Witri, อินโดนีเซีย หลังได้มาเชื่อ ฉันก็เริ่มเรียนรู้วิธีอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมากค่ะ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ซึ่งเป็นเพียงการทรงอภัยแด่บาปของมนุษยชาติ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องเราจากธรรมชาติอันเสื่อมทรามของเรา เรายังต้องการให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ เพื่อทรงมอบความจริงให้มากขึ้น และทรงแก้ไขธรรมชาติอันเต็มไปด้วยบาปของเรา เพื่อให้เราสามารถปลดเปลื้องพันธนาการแห่งบาปในตัวได้อย่างสมบูรณ์ แล้วเราก็จะไม่ทำบาปหรือต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไป และเราจะกลายเป็นมนุษย์ที่เชื่อฟังและเกรงกลัวพระเจ้า นั่นคือทางเดียวที่เราจะคู่ควรแก่การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าค่ะ ฉันคิดว่าพอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยแก่บาปของเราแล้ว เราก็จะได้รับการพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์โดยความเชื่อและสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้ แต่หลังจากเชื่อมาสิบกว่าปี ฉันก็ยังคงทำบาปอยู่ตลอดเวลาและไม่สามารถปฏิบัติพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ แล้วคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบาปอย่างฉันจะถูกรับขึ้นสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าตอนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาได้ยังไง ฉันสับสนและคิดไม่ตกเลยค่ะ หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นฉันถึงได้เข้าใจ ว่าฉันยังขาดประสบการณ์ในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดแห่งพระราชกิจของพระเจ้า—งานแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า ในการเชื่อนั้น เราต้องผ่านการทรงพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เพื่อให้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราได้รับการชำระ นั่นคือทางเดียวที่จะได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ค่ะ ฉันอยากแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองในเรื่องนี้ค่ะ
ฉันโตมากับการไปคริสตจักรกับพ่อแม่ค่ะ ฉันชอบฟังพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า หลังแต่งงานแล้ว ฉันและสามีก็ยังให้งานของคริสตจักรมาเป็นอันดับหนึ่ง เราเข้าร่วมพิธีต่างๆ ของคริสตจักรอย่างแข็งขันทั้งพิธีใหญ่และพิธีเล็ก แต่พอเวลาผ่านไป ฉันตระหนักได้ว่าการสามัคคีธรรมของศิษยาภิบาลแห้งแล้งมาก เขาพูดแต่เรื่องซ้ำซาก และมักส่งเสริมเราให้มอบเครื่องบูชาอยู่เสมอ เขากังวลเรื่องการเงินมากกว่าชีวิตของพวกเราเสียอีก เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสจะเถียงกันเรื่องแท่นและตำแหน่ง แถมยังมีส่วนร่วมในการวางอุบายของกันและกันอีก พี่น้องชายหญิงมาเข้าร่วมพิธีต่างๆ น้อยลงเรื่อยๆ และเวลาที่มาพวกเขาก็จะคุยสัพเพเหระกัน หรือไม่ก็คุยเรื่องความสุขทางกาย อีกทั้งยังผล็อยหลับตลอดช่วงของการเทศนาธรรม ตัวฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้า และการเข้าร่วมพิธีต่างๆ ของคริสตจักรก็เป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก ฉันไม่สามารถปฏิบัติพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ และใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ทำบาปแล้วค่อยสารภาพบาป เวลาที่ฉันเห็นสามีกลับจากทำงาน แล้วเอาแต่หมกตัวอยู่ในเกมออนไลน์โดยไม่ทำอะไรเลย ฉันก็อดไม่ได้ที่จะบ่นและด่าว่าเขา บอกเขาให้ทำนั่นทำนี่ด้วยน้ำเสียงแบบออกคำสั่ง เขาก็จะไม่ฟังฉัน แล้วฉันก็จะยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ แม้แต่การเห็นเขาทำอะไรชักช้าก็เป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกทนไม่ได้ และฉันก็จะวิจารณ์เขาที่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง เขาก็วิจารณ์ฉันอยู่เสมอเหมือนกันค่ะ บอกว่า “เป็นผู้ที่เชื่อมาตั้งหลายปีแต่เธอไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉันก็จะรู้สึกผิด และคิดถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าขึ้นมา “ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน? ท่านจะกล่าวกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาของเธอ?’ ทั้งๆ ที่มีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตาของท่านเอง” (มัทธิว 7:3-4) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนว่าเราไม่ควรมองที่ข้อบกพร่องของคนอื่นอยู่เสมอ แต่ควรตรวจสอบข้อผิดพลาดของตัวเองให้มากขึ้น แต่เวลาที่สามีของฉันพูดหรือทำในสิ่งที่ฉันไม่ชอบ ฉันก็ไร้ซึ่งความอดทนกับเขา ฉันมักจะอารมณ์เสียและชวนเขาทะเลาะอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ ของเราแย่ลง และฉันทุกข์ใจมาก พระเจ้าตรัสว่า “จงชำระตัวให้บริสุทธิ์เพื่อเจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:44) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และผู้ไม่บริสุทธิ์ ไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ แต่ฉันไม่สามารถเก็บคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอน หรือปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ได้ ฉันทำบาปอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถหนีรอดจากพันธนาการแห่งบาปไปได้ คนอย่างฉันจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ยังไง ความคิดนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจเลยค่ะ
วันหนึ่งหลังเสร็จจากพิธี ฉันได้เอาความไม่แน่ใจของตัวเองไปถามศิษยาภิบาล เขาบอกว่า “อย่าห่วงไปเลย แม้เราทำบาปอยู่บ่อยครั้ง แต่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอภัยแก่บาปของเราทั้งปวง ตราบใดที่เราอธิษฐานและสารภาพบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เป็นนิตย์ เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงพาพวกเราขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์” สิ่งที่เขาพูดมาไม่ได้แก้ไขความสับสนของฉันเลย มีคำกล่าวในพระคัมภีร์ว่า “จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน และที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14) “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย” (ฮีบรู 10:26) มันเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าถ้าเราไม่ปฏิบัติพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเราจงใจทำบาป ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปอีกต่อไป แล้วคนที่ทำบาปอยู่ตลอดจะถูกรับขึ้นสู่สวรรค์จริงเหรอ ฉันไม่รู้ว่าจะหยุดทำบาปได้ยังไงค่ะ ดังนั้นฉันเลยมุมานะในเรื่องของการอดทนและการให้อภัยที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอน แต่ฉันกลับเอามันมาปฏิบัติไม่ได้ ในความเจ็บปวดฉันได้ไปพบศิษยาภิบาลอีกครั้ง เขาได้แต่ส่ายหัวอย่างหมดปัญญาและบอกว่า “ผมก็ไม่มีทางแก้สำหรับปัญหาที่เรื่องทำบาปแล้วค่อยสารภาพบาปเหมือนกัน แม้แต่เปาโลยังกล่าวไว้ว่า ‘เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย คือว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ก็ไม่ได้ทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาทำ ก็ยังทำอยู่’ (โรม 7:18-19) เราอดที่จะทำบาปไม่ได้หรอก ดังนั้นกลับใจแล้วสารภาพบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าให้มากขึ้น และผมจะอธิษฐานเพื่อคุณมากขึ้นด้วยเหมือนกัน” พอได้ยินคำนี้จากศิษยาภิบาลแล้วมันหมดกำลังใจมากๆ ค่ะ ในความเจ็บปวด ฉันได้อธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพระองค์ไม่ได้อยากทำบาปแต่ข้าพระองค์ห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ การมีชีวิตอยู่ในบาปเป็นเรื่องเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ข้าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าจะหนีรอดจากมันได้ยังไง หากยังทำแบบนี้ต่อไป ข้าพระองค์กลัวว่าพระองค์จะทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด”
จุดสิ้นสุดของมนุษย์ คือจุดเริ่มต้นของพระเจ้า ฉันได้พบกับพี่สาวซูซานทางออนไลน์ในวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคมปี 2018 พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องพระคัมภีร์กันเยอะมากๆ เธอมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ในเรื่องพระคัมภีร์ และการสามัคคีธรรมของเธอก็ให้ความรู้แจ้งมาก ฉันจึงแบ่งปันความกังวลและสิ่งที่ฉันไม่แน่ใจกับเธอในการแสวงหา ฉันบอกว่า “ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแล้วค่ะ แต่ฉันไม่สามารถปฏิบัติการรู้อภัยและการอดทนได้ ฉันทำบาปอยู่ตลอดเวลา ฉันกังวลว่าจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ศิษยาภิบาลของเราบอกว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงอภัยบาปทั้งปวงของเราแล้ว และตราบใดที่เราอธิษฐานและสารภาพบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เป็นนิตย์ เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์ก็จะทรงรับเราเข้าสู่สวรรค์ แต่ในหัวใจฉันก็ยังสับสนอยู่ดี คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้คะ” พี่ซูซานตอบว่า “จริงค่ะที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอภัยบาปของพวกเราแล้ว แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเราได้รับการชำระหรือเป็นอิสระจากบาปแล้ว องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป’ (ยอห์น 8:34-35) ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้’ (มัทธิว 7:21) องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสว่าเราจะได้เข้าสู่สวรรค์แค่เพราะบาปของเราได้รับการอภัย และพระองค์ทรงบอกเราไว้ชัดเจนว่า มีเพียงผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยของพระบิดาเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ เราจะเห็นได้ว่า การเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าเพราะบาปของเราได้รับการอภัยนั้น เป็นเพียงมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ ไม่ได้มีมูลฐานของเรื่องนั้นอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าค่ะ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างแน่นอนตลอดหลายปีที่เราเชื่อมา หลังจากมนุษย์ได้รับความเชื่อและการอภัยในบาปแล้ว พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่ทำบาปแล้วค่อยสารภาพบาป สารภาพบาปแล้วไปทำบาปต่อ มันแสดงให้เห็น ว่าการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและการได้รับอภัยในบาป ไม่ใช่เรื่องเดียวกับการปลดเปลื้องพันธนาการและการควบคุมของบาป และมันไม่ได้หมายความว่าเราได้รับการชำระแล้วอย่างแน่นอน พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ จึงไม่มีวันที่พระองค์จะปล่อยให้คนที่ยังทำบาปและต่อต้านพระองค์ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ มีเพียงผู้ที่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าและปฏิบัติน้ำพระทัยของพระองค์ได้เท่านั้น ที่เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้” พอได้ฟังการสามัคคีธรรมของเธอ ฉันก็คิดว่า “นั่นไงละ หากพระเจ้าทรงปล่อยเราที่ทำบาปอยู่เสมอให้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พระองค์จะทรงแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์ได้ยังไง”
เธอสามัคคีธรรมต่อไปว่า “ต่อให้เราอธิษฐานและสารภาพบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพยายามปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงสอนอย่างหนัก ไม่ว่าเราจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน เราก็ยังถูกจำกัดโดยบาปอยู่ดี อะไรคือเหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริงของเรื่องนี้นะ” จากนั้น เธอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนให้ฟัง “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่…ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))
หลังจากอ่านพระวจนะนี้ พี่ซูซานก็ได้สามัคคีธรรมต่อว่า “แม้ว่าเราจะได้รับการไถ่แห่งองค์พระเยซูเจ้า และบาปของเราได้รับการอภัยก็จริง แต่ธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ขับเคลื่อนให้เราทำบาปก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงอดไม่ได้ที่จะทำบาปและต่อต้านพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งไม่สามารถปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าได้ ในยุคแห่งพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ เพื่อไถ่เราจากบาป เพื่อให้เราสามารถรอดพ้นจากการถูกกล่าวโทษและพันธนาการแห่งธรรมบัญญัติ จนเหมาะสมที่จะมาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และเพลิดเพลินกับพระคุณและความปรีดาที่พระองค์ทรงมอบแก่เราได้ แม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงอภัยในบาปของเราแล้ว แต่อุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรานั้นไม่ได้รับการแก้ไข เรายังคงโอหัง เห็นตัวเองสำคัญ คดโกง เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจมากอยู่ดี เราคิดถึงแต่ตัวเองมากเกินไป อยากเป็นคนมีสิทธิ์ชี้ขาด และอยากให้คนอื่นทำตามที่เราบอกเสมอ เมื่อมีคนทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็จะดุด่าและบีบคั้นพวกเขา แถมเรายังโกหกและหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง คำอธิษฐานต่อพระเจ้าของเราเป็นเพียงคำพูดและคำสัญญาที่ว่างเปล่า เราพูดเรื่องการเชื่อฟังและการรักพระเจ้า แต่ในความเป็นจริงเรากลับทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เราทุ่มเทและทำการพลีอุทิศตนเองเพื่อพระเจ้า เพียงเพื่อให้ได้รับพระพรและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ เรามีความสุขเมื่อเราได้รับพระคุณจากองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบากหรือการทดสอบ เราก็จะคิดลบแต่ตัดพ้อ อาจจะถึงขั้นปฏิเสธหรือทรยศต่อพระเจ้าเลยก็ได้ อุปนิสัยเยี่ยงซาตานเหล่านี้เลวร้ายและก้าวร้าวยิ่งกว่าบาปเสียอีก หากมันไม่ได้รับการแก้ไข เราอาจจะทำสิ่งชั่วร้ายและต่อต้านพระเจ้าได้ทุกเมื่อ เรายังคงอยู่จำพวกเดียวกับซาตาน แล้วจะคู่ควรแก่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ยังไง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พระคริสต์ในยุคสุดท้าย คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมานั่นเอง พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงทั้งปวงเพื่อชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ และช่วยพวกเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า หลักๆ ก็เพื่อแก้ไขอุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษยชาติผู้เสื่อมทราม เพื่อถอนรากแห่งปัญหาของการทำบาปและต่อต้านพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ของเรา และเพื่อทรงชำระเราให้บริสุทธิ์อีกทั้งช่วยเราให้รอดโดยถ้วนทั่ว พระราชกิจและพระวจนะแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทำให้คำเผยวจนะเหล่านี้ขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) ‘เราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:47-48) และใน 1 เปโตรก็กล่าวว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ (1 เปโตร 4:17) ด้วยการยอมรับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์องค์พระเยซูเจ้าแห่งยุคสุดท้าย เราก็จะได้รับความจริง อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราได้รับการชำระ มีเพียงตอนนั้นเราจึงสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าได้”
ฉันได้เห็นว่าการสามัคคีธรรมของพี่ซูซานเต็มไปด้วยความสว่างและสอดคล้องกับพระคัมภีร์ อย่างสมบูรณ์ ฉันเชื่อเธออย่างเต็มที่เลยค่ะ ฉันตระหนักได้ว่าในยุคแห่งพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่เท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่พระราชกิจเพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของมนุษยชาติ การเชื่อในพระเจ้าของเรานำพาการให้อภัยแก่บาปมาให้เราเท่านั้น เราต้องผ่านพ้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เพื่อที่จะแก้ไขรากแห่งความเปี่ยมบาปของเรา เพื่อที่จะรอดพ้นจากบาปและได้รับการชำระ ฉันตาสว่างเลยค่ะ ฉันเห็นได้ว่ายังมีลำดับขั้นของพระราชกิจของพระเจ้าที่ฉันยังไม่เคยประสบตลอดชีวิตของการเป็นผู้ที่เชื่อ ฉันได้ยินพี่สาวคนนี้สามัคคีธรรมว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และได้ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงมากมาย เพื่อทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นที่พระนิเวศ ของพระเจ้า เพื่อที่จะชำระมนุษยชาติ ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด และท้ายที่สุดก็พาเราเข้าสู่ราชอาณาจักร แห่งพระเจ้า ฉันตื่นเต้นมาก เลยโพล่งถามพี่ซูซานออกไปเพื่อแสวงหาว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิ ฤทธิ์ ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระเราให้ บริสุทธิ์ ยังไงเหรอคะ”
เธอจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิ ฤทธิ์ให้ฉันฟังสองบทตอน “พระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการตีสอนและการพิพากษาเป็นหลัก โดยการก่อร่างขึ้นบนรากฐานนี้ พระองค์ทรงนำความจริงมาสู่มนุษย์มากขึ้นและชี้ให้เขาเห็นหนทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติที่มากขึ้น ส่งผลให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของพระองค์ในการพิชิตมนุษย์และช่วยเขาให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง นี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)
จากนั้นพี่ซูซานได้ทำการสามัคคีธรรมต่อไปว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงเพื่อชำระและช่วยมนุษยชาติ ให้รอดโดยสมบูรณ์ และได้ทรงเปิดเผยความลึกลับแห่งพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้า พระองค์ทรงเปิดเผยถึงแก่นแท้และความจริงแห่งความเสื่อมทรามของมนุษยชาติโดยซาตาน อีกทั้งทรงเปิดโปงและชำแหละธรรมชาติเยี่ยงซาตานแห่งการต่อต้านพระเจ้าของเรา ทรงบอกเราว่าอุปนิสัยและยาพิษเยี่ยงซาตานแบบไหนที่อยู่ในธรรมชาติ ของเรา ยาพิษแบบซาตานพวกนี้ทำให้เกิดสภาวะและความคิดอันเสื่อมทรามแบบไหนบ้าง รวมถึงจะแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง พระวจนะของพระเจ้าอธิบายความจริงทุกแง่มุม รวมทั้งการนบนอบต่อพระเจ้าคืออะไร รักแท้ต่อพระเจ้าคืออะไร และจะเป็นคนซื่อสัตย์ได้ยังไง พระวจนะได้แสดงให้เห็นถึงหนทางในการปลดเปลื้องอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา และได้รับความรอดอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังเปิดเผยถึงอุปนิสัยที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม และไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองของพระเจ้าต่อมนุษยชาติอีกด้วย ด้วยการผ่านการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า เราก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้นมา และได้เข้าใจถึงแก่นแท้และความจริงแห่งความเสื่อมทรามของเราโดยซาตาน แล้วเราจึงเกลียดชังว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งแค่ไหน ได้หมอบกราบเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าและกลับใจ อีกทั้งฝักใฝ่ในการปฏิบัติความจริง อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราจะได้รับการชำระและเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ อีกทั้งเราจะสามารถยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้าได้ จากนั้นเราก็จะค่อยๆ ทำบาปและต่อต้านพระเจ้าน้อยลง” พี่ซูซานได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวของเธอให้ฉันฟังด้วยค่ะ เธอบอกว่า เธอมักคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าคนอื่นเสมอ บอกว่าเธอเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง และกดดันให้คนอื่นยอมรับมุมมองของเธอ เธอจะผลักไสและไล่ตะเพิดใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับเธอออกไป มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดและอัดอั้นสำหรับคนอื่นมาก ผ่านการพิพากษาและการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้า เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่โดยกฎและตรรกะของซาตานที่ว่า “มีเพียงฉันที่ปกครองอยู่สูงสุด” และ “โลกหมุนรอบตัวฉัน” เธอโอหังได้อย่างเหลือเชื่อ และไม่นอบน้อมกับใครทั้งนั้น ต้องการให้คนอื่นยอมทำตามและเชื่อฟังความคิดของเธออยู่เสมอราวกับมันคือความจริง เธอไม่มีความยำเกรงใดๆ ต่อพระเจ้า อีกทั้งยังไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้ทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจและเป็นการผลักคนอื่นออกไป เธออยากให้คนอื่นฟังเธออยู่เสมอ และนั่นคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานแบบในตำรา ซาตานนั้นแสนยโสและโอหัง และมักต้องการตีเสมอพระเจ้าอยู่เสมอ มันอยากควบคุมมนุษย์ ให้มนุษย์เชื่อฟังและเทิดทูนมัน ดังนั้นมันจึงถูกพระเจ้าทรงสาปแช่ง เมื่อตระหนักได้ถึงธรรมชาติและผลที่ตามมาของปัญหาเธอก็รู้สึกกลัว เธอจึงเริ่มเกลียดตัวเองและจดจ่อกับการปฏิบัติความจริง เธอกลายเป็นคนที่ถ่อมตัวในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นมากขึ้น เธอไม่ดูถูกและบีบบังคับพวกเขาอย่างที่เคยทำอีกต่อไป เธอยอมรับได้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าคนอื่นพูดถูก เมื่อความคิดของพวกเขาสอดคล้องกับความจริง และเธอก็เข้ากับคนอื่นได้ดีขึ้นมากๆ เมื่อได้ฟังการสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และประสบการณ์ของเธอ หัวใจฉันก็กระจ่างเลยค่ะ ฉันเรียนรู้ได้ว่าพระเจ้าดำรัสพระวจนะเพื่อพิพากษาและชำระอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราให้สะอาด การที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อทรงช่วยเราให้รอดในทางนี้ช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงนัก! ฉันเชื่อมาหลายปีก็จริงแต่ไม่สามารถรอดพ้นจากพันธนาการแห่งบาปได้ ฉันใช้ชีวิตอยู่ในความเจ็บปวดสาหัสนี้มาตลอด แต่ในที่สุดฉันก็ได้พบเส้นทางแล้วค่ะ!
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เริ่มดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐ และฟังเพลงสรรเสริญจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผ่านแอพบนมือถือทุกวัน อีกทั้งฉันได้เข้าร่วมการชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้าด้วย ฉันรู้สึกถึงพระราชกิจและการทรงนำแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้วจริงๆ ฉันได้เข้าใจความลึกลับและความจริงมากมายที่ไม่เคยรู้เลยตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันเพลิดเพลินกับมันมากค่ะ ฉันรู้อยู่ในหัวใจแล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา!
หลังจากนั้นฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้น และได้เข้าใจอุปนิสัยที่โอหังของตัวเองขึ้นบ้าง ฉันเห็นว่าตัวเองมักจะวางท่าข่มและดุด่าคนอื่นอยู่บ่อยๆ และนั่นคือฉันได้เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อกลับใจ ฉันไม่อยากปฏิบัติตัวตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง หรือเอาแต่จดจ่ออยู่ที่ปัญหาของคนอื่นอีกต่อไปแล้ว นั่นมันไร้เหตุผลมากค่ะ เวลาฉันเห็นสามีเล่นเกมหรือทำอะไรที่ฉันไม่ชอบ ฉันก็จะอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อสงบใจ ฉันจะได้พูดกับเขาอย่างใจเย็นได้ จู่ๆ วันหนึ่งสามีก็พูดกับฉันว่า “เธอเปลี่ยนไปแล้ว! ตั้งแต่เริ่มเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เธอก็เปลี่ยนไปเลย เธอไม่ได้โกรธหรือตำหนิฉันอย่างที่เคยทำ แถมยังคุยกันได้เวลาที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น” ฉันพร่ำขอบคุณพระเจ้าอยู่ในหัวใจซ้ำไปซ้ำมา ฉันรู้ว่าทั้งหมดเกิดขึ้นกับฉันได้ผ่านพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่ทำให้ฉันประหลาดใจมากก็คือ ตอนที่สามีเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวฉัน เขาก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายด้วยค่ะ ต่อมาสามีของฉันก็ได้ตระหนักผ่านพระวจนะของพระเจ้า ว่าเกมออนไลน์คือหนึ่งในหนทางของซาตานเพื่อล่อลวง ควบคุม และทำให้มนุษย์เสื่อมทราม เขาเริ่มเข้าใจถึงแก่นแท้และความอันตรายของการเล่นเกมออนไลน์ และก็ไม่ถูกพวกมันสะกดจิตอีกต่อไปค่ะ เราไม่ทะเลาะกันแล้วค่ะ เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกันเยอะมาก และสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันด้วย เวลาที่เราเผชิญกับความยากลำบากหรือปัญหา เราก็จะแสวงหาความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า เพื่อหาเส้นทางในการแก้ไขปัญหา ฉันรู้สึกได้อย่างแท้จริงแล้วว่า พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือสิ่งที่ฉันต้องการ และมันสำคัญอย่างมากในการชำระและช่วยเราให้รอดได้โดยสมบูรณ์ ในที่สุดฉันก็พบเส้นทางของการได้รับการชำระและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้วค่ะ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย Witri, อินโดนีเซีย หลังได้มาเชื่อ ฉันก็เริ่มเรียนรู้วิธีอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์...
โดย Sheila, เคนยา ฉันเกิดในครอบครัวคาทอลิกค่ะ บาทหลวงของเราพูดเสมอว่า เราควรติดตามพระบัญญัติของพระเจ้า มอบความรักให้แก่กัน เข้าพิธีมิสซา...
โดย ซุนยวี่ ประเทศจีน ปี 2000 ฉันได้มาเป็นคริสเตียน ศิษยาภิบาลชาวเกาหลีใต้ จะเทศน์ให้เราฟังค่อนข้างบ่อย ในการปรนนิบัติครั้งหนึ่ง...
โดย Zhang Yue, อินโดนีเซีย ตอนอายุ 20 ปี ผมได้รับบัพติศมาและได้หันเข้าหาองค์พระเยซูเจ้า...