ฉันได้อาบในน้ำแห่งชีวิตที่ไหลรินตลอดเวลาแล้ว
ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของครอบครัวฉันสืบย้อนไปสามชั่วคน ฉันเริ่มไปคริสตจักรกับครอบครัวตั้งแต่เด็กค่ะ พอเริ่มโตหน่อยฉันก็ทำงานต่างๆ ให้คริสตจักร อย่างเช่นเป็นมัคนายกและนักบัญชี ฉันรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างกระตือรือร้นเสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปฉันก็พบว่าคริสตจักรแห้งแล้งขึ้นเรื่อยๆ และศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสก็เทศนาเรื่องเดิมๆ โดยไม่มีความสว่างใหม่เลย พวกเขาไม่สามารถแก้ไขความยากลำบากและปัญหาจริงๆ ของเราได้ พวกเขาพูดถึงงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาเองเสมอ โอ้อวดว่าพวกเขาทนทุกข์มามากแค่ไหนและยอมลำบากอะไรมาบ้าง ฉันฟังเรื่องพวกนั้นจนเอียนแล้ว และที่การนมัสการทุกวันอาทิตย์ ฉันจะเห็นหมอสอนศาสนาคนเดิมอธิษฐานให้ผู้คนตามบทพูดที่เตรียมไว้แล้ว และมันดูไม่จริงใจสำหรับฉัน ผู้อธิษฐานที่แท้จริงควรพูดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าจากหัวใจ ถึงแม้จะแค่ไม่กี่คำก็ตาม นั่นเป็นเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (ยอห์น 4:24) ที่พวกเขาท่องคำอธิษฐานที่เขียนไว้แล้วเฉยๆ ไม่ใช่การอธิษฐานที่แท้จริง และพวกเขาไม่สามารถนำความชื่นบานมาให้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแน่นอน เวลาพวกผู้นำคริสตจักรหาคนมารับตำแหน่งมัคนายก พวกเขาไม่ได้เลือกผู้คน ที่มีพฤติกรรมที่ดี ซื่อสัตย์ ไม่ละโมบ และปฏิบัติความพอประมาณอย่างที่สอนในพระคัมภีร์ (ดู 1 ทิโมธี 3:1-11) แต่กลับแต่งตั้งผู้คนที่กระตือรือร้นมากๆ ที่ถวายเครื่องบูชามากกว่า พฤติกรรมของพวกผู้นำคริสตจักรขัดแย้งกับคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าทุกทาง พวกเขานำการชุมนุมตามหลักคำสอนส่วนตัวของพวกเขาเองทั้งหมด ฉันไม่เห็นการทรงนำจากองค์พระผู้เป็นเจ้าภายในคริสตจักรแบบนั้นเลย ฉันไม่สามารถสัมผัสพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือได้รับการบำรุงเลี้ยงชีวิตของฉันเลยค่ะ สมาชิกคริสตจักรคนอื่นๆ ทั้งหมดก็อ่อนแอทางจิตวิญญาณและความเชื่อของพวกเขาก็เสื่อมถอย หมอสอนศาสนาพยายามคิดหาหนทางฟื้นฟูคริสตจักร อย่างเช่นจัดทริปกลางวันและค่ายฤดูร้อนสำหรับบรรดาผู้เชื่อ แต่มันก็แค่ความสนุกชั่วคราว แล้วทุกคนก็จะห่อเหี่ยวกันอีก ฉันผิดหวังในคริสตจักรจริงๆ ค่ะ และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถได้รับอะไรจากการนมัสการพระเจ้าในที่แบบนั้นเลย ฉันตัดสินใจออกจากคริสตจักรนั้นในเดือนพฤษภาคมปี 2013
หลังจากนั้น ในการพยายามหาคริสตจักรที่สอดคล้องกับคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าและสามารถจัดเตรียมให้ชีวิตฉันได้ ฉันเริ่มเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อฟังคำเทศนาจากบรรดาศิษยาภิบาลที่โด่งดังทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ฉันยังติดต่อกับผู้ประกาศคนหนึ่งจากคริสตจักรเดิมของฉัน ซึ่งได้ตั้งคริสตจักรของเธอเองหลังจบจากโรงเรียนสอนศาสนาด้วยค่ะ ฉันฟังคำเทศนาออนไลน์และเข้าร่วมชุมนุมกับเธอ แต่ไม่มีคำเทศนาของใคร ที่ฟังแล้วเพลิดเพลินหรือให้การบำรุงเลี้ยงสำหรับฉันเลยค่ะ สามเดือนต่อมา ฉันติดต่อกับคริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าคำสอนของพวกเขานั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์ ดังนั้นฉันจึงเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของพวกเขา แต่ผ่านไปสักพัก ฉันก็ค้นพบว่าในตอนเริ่มต้นและปิดท้ายการนมัสการทุกครั้ง พวกเขาจะอธิษฐานภาษาแปลกๆ เสมอ และพวกเขาบอกว่าการพูดภาษาแปลกๆ เป็นหลักฐานหนึ่งเดียวของการมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และได้รับการช่วยให้รอด แต่ฉันไม่เห็นด้วยสักนิด เพราะกาลาเทีย 5:22-23 ในพระคัมภีร์กล่าวว่า “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน” ความเข้าใจของฉันในพระคัมภีร์ก็คือ ว่าการเข้าใจพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและการออกผลทั้งเก้าแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา เป็นความเชื่ออันบริสุทธิ์และหลักฐานของการมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ค่ะ และในการนมัสการ พวกศิษยาภิบาลก็ประกาศเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เสมอโดยไม่มีความสว่างใหม่ๆ ผู้เข้าร่วมชุมนุมส่วนใหญ่จะผล็อยหลับระหว่างการเทศนา พวกเขาแค่เข้าร่วมตามธรรมเนียมปฏิบัติเท่านั้น ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาพจิตใจหดหู่และเป็นลบ ฉันไม่สามารถเห็นความยินดีที่ผู้คนควรมีในการนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเลยค่ะ การเห็นการนมัสการเหล่านี้จัดขึ้นด้วยวิธีการที่เหลวไหลเช่นนี้ ฉันคิดกับตัวเองว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปีติยินดีที่เห็นผู้คนแค่ทำไปแกนๆ ไหม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตกับเราระหว่างการนมัสการจริงๆ เหรอ” แล้วฉันก็นึงถึงบทตอนนี้จากวิวรณ์ว่า “จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองเลาดีเซียว่า…เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือว่าเจ้าไม่เย็นและไม่ร้อน เราอยากให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะว่าเจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” (วิวรณ์ 3:14-16) คริสตจักรนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพเดียวกับคริสตจักรแห่งเลาดีเซียหรอกเหรอ คริสตจักรนี้ก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางจิตวิญญาณของฉันได้เหมือนกัน แล้วฉันก็ถูกทิ้งให้รู้สึกว่างเปล่าและสิ้นไร้หนทาง ฉันเห็นว่าคริสตจักรทุกแห่งที่ฉันผ่านมานั้นเหมือนกันหมด ทุกคนยึดมั่นอยู่กับกฎระเบียบและทำตามธรรมเนียมปฏิบัติในการปรนนิบัติ แต่ฉันไม่สามารถรู้สึกถึงพระราชกิจหรือการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์เลยค่ะ ฉันรู้สึกเจ็บปวดจริงๆ ความหวังเดียวของฉันในตอนนั้น คือให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาโดยเร็ว ให้พระองค์ทรงเลี้ยงดูเรา ฉันอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยๆ ว่า “โอ้ องค์พระผู้เป็นเจ้า! พระองค์จะทรงกลับมาเมื่อไร”
ฉันเริ่มหวังอย่างแรงกล้าขึ้นอีกให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา และเพื่อหาคริสตจักรที่สามารถจัดเตรียมการบำรุงเลี้ยงให้ชีวิตของฉันได้ให้เจอค่ะ ฉันเริ่มค้นหาทางอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ทุกครั้งที่มีโอกาสฉันจะค้นหาคำต่างๆ อย่างเช่น “พระสุรเสียงของพระเจ้า” และ “ย่างพระบาทของพระเจ้า” ที่อ้างถึงการทรงปรากฏของพระเจ้า เช้าวันที่ 27 มกราคม ปี 2016 ฉันหาข้อมูลเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าออนไลน์ ฉันเจอวิดีโอเรื่องหนึ่ง และฉันได้ยินพระวจนะที่ทำให้ใจเต้นแรง “ราชอาณาจักรของเรากำลังเป็นรูปเป็นร่างเหนือทั้งจักรวาล และบัลลังก์ของเรามีอิทธิพลใหญ่หลวงในหัวใจของผู้คนหลายร้อยล้านคน ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าทูตสวรรค์ ความสำเร็จลุล่วงอันยิ่งใหญ่ของเราจะบรรลุผลในไม่ช้า บรรดาบุตรของเราและประชากรของเราทั้งหมดรอคอยการกลับมาของเราอย่างใจจดใจจ่อ ถวิลหาให้เราอยู่ร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง ไม่มีวันแยกจากกันอีก ปวงประชามากหลายแห่งราชอาณาจักรของเราจะไม่วิ่งรี่เข้าหากันท่ามกลางการเฉลิมฉลองอันชื่นบานยินดีเนื่องแต่การที่เรามาอยู่ร่วมกับพวกเขาได้อย่างไร? นี่จะเป็นการอยู่ร่วมกันอีกครั้งที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาอันใดได้หรือไม่? เราย่อมมีเกียรติในสายตาของมนุษย์ทั้งปวง เราย่อมได้รับการกล่าวประกาศในคำพูดของทุกคน ที่มากกว่านั้นคือ เมื่อเรากลับมา เราจะพิชิตกำลังบังคับของศัตรูทั้งหมด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 27) แม้ฉันจะไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างในนั้น เมื่อได้ยินว่า “ราชอาณาจักรของเรากำลังเป็นรูปเป็นร่างเหนือทั้งจักรวาล และบัลลังก์ของเรามีอิทธิพลใหญ่หลวงในหัวใจของผู้คนหลายร้อยล้านคน” “ที่มากกว่านั้นคือ เมื่อเรากลับมา เราจะพิชิตกำลังบังคับของศัตรูทั้งหมด” ฉันรู้สึกจริงๆ ค่ะว่าพระวจนะทุกคำมีสิทธิอำนาจและมีฤทธานุภาพ และพระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่คำพูดที่มนุษย์คนใดสามารถกล่าวออกมาได้ ฉันผุดขึ้นนั่งตัวตรงฟังทันที จิตใจจดจ่อเต็มที่ แล้วฉันก็ได้ยินบทตอนนี้ในวิดีโอค่ะ “ถึงเวลาแล้ว! เราจะเริ่มงานของเรา เราจะครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ท่ามกลางมนุษย์! เรากำลังจะกลับมา! และเรากำลังจะออกเดินทาง! นี่คือสิ่งที่ทุกคนหวัง เป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนา เราจะให้มนุษยชาติทั้งมวลเห็นการมาถึงแห่งวันของเรา และพวกเขาทั้งปวงจะยินดีต้อนรับการมาแห่งวันของเราด้วยความชื่นบานยินดี!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 27) ยิ่งฉันฟัง ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้มีสิทธิอำนาจและซาบซึ้งใจมาก ฉันนึกสงสัยว่า “พระวจนะเหล่านี้มาจากไหนกันแน่” ในตอนท้ายของวิดีโอ ฉันเห็นข้อความนี้ค่ะ “ตัดตอนมาจาก พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ฉันโทรหาร้านหนังสือคริสเตียนสองแห่งทันที เพื่อดูว่าพวกเขามีหนังสือเล่มนั้นไหม แต่ทั้งสองแห่งบอกว่าไม่มี ฉันรู้สึกผิดหวังจริงๆ ค่ะ แต่แล้วฉันก็เห็นว่ามีเบอร์ติดต่อในตอนท้ายของวิดีโอ ซึ่งฉันโทรไปทันที น้องสาวคนหนึ่งรับโทรศัพท์ และพอคุยกับเธอ ฉันถึงได้รู้ค่ะว่ามันไม่ใช่หนังสือที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน ฉันรู้สึกว่าพระวจนะที่ฉันได้ยินนั้นมีค่าอย่างยิ่ง ฉันจึงบอกเธอ ว่าฉันต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ให้ได้! จากนั้นเราก็หาเวลานัดหมายเพื่อพบปะกันค่ะ
ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ปี 2016 พี่สาวหวังกับพี่สาวจินมาที่บ้านของฉัน ฉันพูดถึงสถานการณ์ในคริสตจักรทั้งหลายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเรื่องที่ฉันกำลังค้นหาคริสตจักรที่มี พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และสามารถนำการบำรุงเลี้ยงมาสู่ชีวิตฉันได้ พวกเธอถามฉันว่า “คุณคิดยังไงกับพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คะ” ฉันตอบว่า “พระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพจริงๆ ค่ะ เหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดกล่าวได้ เหมือนเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าค่ะ” พี่สาวหวังตอบว่า “พระวจนะเหล่านี้คือพระสุรเสียงของพระเจ้า คือพระวจนะที่ดำรัสโดยองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในเนื้อหนัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้พวกเขารอด พระองค์ทรงเปิดเผยความลึกลับทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้า ความลึกลับของพระราชกิจสามระยะของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ความลึกลับของการจุติเป็นมนุษย์และเรื่องจริงเบื้องหลังพระคัมภีร์ ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามยังไง พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดยังไง ผู้คนสามารถเป็นอิสระจากบาปและได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระเจ้าได้ยังไง บทอวสานของมวลมนุษย์จะเป็นยังไง ผู้คนควรแสวงหายังไงเพื่อที่พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า และอีกมากมาย พระเจ้าทรงแบ่งปันความลึกลับและความจริงเหล่านี้กับเรา นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงดังที่ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น’ (ยอห์น 16:12-13) พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ บรรจุถ้อยดำรัสที่ทรงแสดงโดยพระเจ้าพระองค์เองในยุคสุดท้าย หนังสือนี้คือน้ำแห่งชีวิตที่พระเจ้าประทานให้เรา และเป็นหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ เราเพียงจำเป็นต้องเดินตามรอยพระบาทของพระเมษโปดกและได้รับพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงเท่านั้น เพื่อให้ได้รับการบำรุงเลี้ยงสำหรับชีวิตของเรา แล้ววิญญาณที่แห้งแล้งของเราจะได้รับการให้อาหารและรดน้ำ” ฉันประหลาดใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้นค่ะ ฉันคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาแล้วจริงๆ เหรอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาที่ฉันถวิลหามาตลอดเหรอ” แม้ฉันจะรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะทรงกลับมา ฉันก็ไม่สามารถยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่พวกเธอเป็นพยานให้ได้อย่างเต็มที่ แต่แล้วฉันก็นึกถึงพวกฟาริสีที่เฝ้ารอการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เสมอ แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับพระองค์ พวกเขายึดมั่นในมโนคติที่หลงผิดของตัวเองอย่างดื้อรั้น กล่าวโทษและหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ทำให้พระองค์ถูกตอกตรึงกับกางเขน พวกเขาทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองและถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษ ฉันเตือนตัวเองหลายครั้งมาก ว่าอย่าเป็นเหมือนพวกฟาริสีเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา ฉันนึกถึงผู้เผยพระวจนะสิเมโอนกับอันนาด้วย ฉันชื่นชมพวกเขามาตลอดจริงๆ และอยากจำองค์พระเยซูเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงกลับมา อย่างที่พวกเขาจำได้ค่ะ นี่ฉันได้ยินข่าวเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าแล้ว ฉันจะไม่แสวงหาและตรวจสอบได้ยังไง แล้วพี่สาวทั้งสองก็เอาหนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ให้ฉันค่ะ พวกเธอบอกฉันด้วยว่าพระวจนะทุกคำในนั้นมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และบอกว่าฉันควรอ่านอย่างถี่ถ้วน
ฉันเริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หลังจากนั้น และเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์กับพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ วันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้คือ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนเรา ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าและได้มารู้จักพระเจ้า มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) ฉันกล่าว “อาเมน” ภายในหัวใจของฉัน และนึกย้อนไปถึงประสบการณ์ของฉันเองในความเชื่อของฉัน ฉันพึงพอใจกับพระคุณแห่งความรอดขององค์พระเยซูเจ้ามาตลอด โดยคิดว่าการร่วมชุมนุม อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นที่เทียบเท่ากับการมีความเชื่อ ก่อนนั้นฉันไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของความเชื่อจริงๆ การอ่านพระวจนะเหล่านั้นให้ความกระจ่างแก่ฉันจริงๆ ค่ะ ฉันมองเห็นว่าความเชื่อต้องอาศัยการได้รับประสบการณ์พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา เพื่อที่จะเราจะสามารถได้รับความจริง และได้มารู้จักพระเจ้า นี่คือการมีความเชื่อในพระเจ้า พระวจนะที่สั้นกระชับไม่กี่คำนี้อธิบายความหมายที่แท้จริงของความเชื่ออย่างหมดจด และแสดงให้ฉันเห็นเส้นทางค่ะว่าจะเชื่อในพระเจ้าได้ยังไง พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถดำรัสพระวจนะแบบนี้ได้ ต่อมาฉัน อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางบทตอนที่ตีแผ่ความจริงและแก่นแท้ของความเสื่อมทรามของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงเปิดเผยว่าเราทำงานและทุ่มเทตัวเอง ไม่ใช่เพราะเรารักพระเจ้าและต้องการทำให้พระองค์พอพระทัย แต่ด้วยความหวังที่จะได้รับพระพรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าตอบแทน ด้วยการทำข้อตกลงกับพระเจ้า พระองค์ทรงเปิดเผยความโอหังและความทะนงตนของเรา และความที่เราขาดความเกรงกลัวในพระเจ้า ทันทีที่พระราชกิจของพระองค์ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของเรา เราก็ตัดสินและกล่าวโทษพระราชกิจนั้นตามอำเภอใจ เหมือนที่กล่าวไว้ในฮีบรู 4:12 ว่า “เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” ฉันยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าพระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงนั้นเป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง เพราะมีเพียงพระเจ้าที่ทรงสามารถพินิจพิเคราะห์ห้วงลึกของหัวใจมนุษย์ ทรงสำรวจความคิดและมุมมองของเรา และทรงรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถชำแหละความจริงของความเสื่อมทรามของเราได้อย่างเที่ยงตรง พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เปิดเผยความลึกลับ ของพระคัมภีร์มากมายหลายบทตอนที่ฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อน อย่างเช่นจริงๆ แล้ว “การถูกรับขึ้นไป” หมายถึงอะไร น้ำแห่งแม่น้ำแห่งชีวิตคืออะไร เยรูซาเล็มใหม่คืออะไร หญิงพรหมจารีมีปัญญาและโง่คืออะไร การเปิดม้วนหนังสือและผนึกทั้งเจ็ดคืออะไร และอีกมากมาย มันเปิดตาฉันจริงๆ ค่ะ ฉันเชื่อมั่นอย่างหมดใจ ไม่มีใครสามารถเปิดเผยความลึกลับเหล่านี้ของพระคัมภีร์ได้ นอกจากพระเจ้าพระองค์เอง ยิ่งฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็ยิ่งรู้สึกได้รับการบำรุงเลี้ยงทางจิตวิญญาณมากขึ้น มันเหมือนฝนอันชุ่มฉ่ำหลังจากความแห้งแล้งอันยาวนาน บำรุงเลี้ยงและรดน้ำให้ชีวิตของฉัน ฉันเกิดความแน่ใจอย่างที่สุดว่าพระวจนะเหล่านี้คือพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระเจ้าทรงตรัสต่อมวลมนุษย์ ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ ฉันได้รับประสบการณ์ถึงความหมายเบื้องหลังสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ “แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 4:14) ปรากฏว่า พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่มีน้ำพุแห่งน้ำดำรงชีวิต และตอนนี้ในที่สุดฉันก็พบแหล่งที่มาของน้ำพุแห่งชีวิตนี้ค่ะ
ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และชุมนุมและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง ฉันก็เข้าใจแก่นแท้และสาเหตุของความแห้งแล้งของโลกศาสนาค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกที่ไม่ได้ติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้เข้าสู่พระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานมากมายเพียงใด หรือความทุกข์ของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใด หรือพวกเขาวิ่งวุ่นเพียงใด สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไรกับพระเจ้า และพระองค์จะไม่ทรงชมเชยพวกเขา วันนี้บรรดาผู้ที่ติดตามพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าล้วนอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกที่แปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ต่างอยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้คนเช่นนั้นไม่ได้รับการชมเชยจากพระเจ้า การปรนนิบัติที่เลิกร้างจากถ้อยดำรัสปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการปรนนิบัติที่เกิดจากเนื้อหนังและมโนคติอันหลงผิด และเป็นไปไม่ได้ที่จะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า หากผู้คนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดที่เหมาะแก่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และแม้ว่าพวกเขาจะรับใช้พระเจ้า แต่พวกเขาก็รับใช้ท่ามกลางจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา และไม่สามารถรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์) “ในแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้ายังมีข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ที่สอดคล้องกับช่วงระยะนั้นๆ ด้วยเช่นกัน ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกครองโดยการสถิตและการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ไม่อยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมอยู่ภายใต้คำสั่งของซาตาน และปราศจากพระราชกิจใดๆ แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนที่อยู่ในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์คือบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า กับผู้ที่ร่วมมือในพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า…สำหรับผู้คนที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ การย่อมไม่เป็นดังนั้น กล่าวคือ พวกเขาอยู่นอกกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการบ่มวินัยกับการตำหนิของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้ใช้กับพวกเขา ตลอดทั้งวัน ผู้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตภายในเนื้อหนัง พวกเขาใช้ชีวิตภายในจิตใจของพวกเขา และทั้งหมดที่พวกเขาทำก็สอดคล้องกับหลักข้อเชื่อที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์และการค้นคว้าวิจัยของสมองของพวกเขาเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์พึงประสงค์ และยิ่งไม่ใช่การร่วมมือกับพระเจ้าเข้าไปใหญ่ พวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจึงสูญสิ้นการสถิตของพระเจ้า และนอกจากนั้น พวกเขาย่อมปราศจากพรและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า คำพูดและการกระทำส่วนใหญ่ของพวกเขาจึงยึดมั่นอยู่กับข้อพึงประสงค์ในอดีตของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านั้นคือหลักข้อเชื่อ ไม่ใช่ความจริง หลักข้อเชื่อและระเบียบข้อบังคับเช่นนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าการชุมนุมกันของผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากศาสนา พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรหรือเป้าหมายของพระราชกิจของพระเจ้า สมัชชาของผู้คนทั้งหมดท่ามกลางพวกเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่ของศาสนา และย่อมไม่สามารถเรียกว่าคริสตจักร นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์) หลังจากอ่านพระวจนะนี้ฉันก็ตระหนัก ว่าเพราะคริสตจักรเดิมของฉันและนิกายต่างๆ ที่ฉันเคยอยู่ ไม่สามารถตามพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าทัน พวกเขาจึงถูกกันออกไปจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และกลายเป็นสถานที่ชุมนุมทางศาสนา และไม่ใช่คริสตจักรของพระเจ้าอีกต่อไป หมอสอนศาสนาแค่อธิบายความรู้และหลักคำสอนของพระคัมภีร์ คอยยกระดับและเป็นพยานให้ตัวเองอยู่เสมอ โอ้อวดว่าพวกเขาทนทุกข์และเสียสละมามากแค่ไหน พวกเขาไม่เคยยกย่องหรือเป็นพยานให้พระเจ้า และพวกเขาไม่ได้นำผู้อื่นให้ปฏิบัติพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาบางคนให้ตำแหน่งในคริสตจักรแก่ผู้คนตามความชอบพอ และพูดว่าผู้คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนั่นพิสูจน์ว่าพวกเขาถูกพระเจ้าช่วยให้รอดแล้ว พวกเขาคิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาตามความคิด มโนคติที่หลงผิด และจินตนาการของพวกเขาเอง ด้วยการนำคริสตจักรของพวกเขาแบบนี้ พวกผู้นำศาสนาได้แยกจากคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และขัดแย้งกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาพูดว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ แต่ไม่ได้ยึดมั่นต่อหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เส้นทางของพวกเขาขัดแย้งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสิ้นเชิง องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเห็นชอบได้อย่างไร สถานที่เหล่านั้นไม่นับเป็นคริสตจักรแล้วด้วยซ้ำ มันเป็นแค่สถานที่สำหรับนิกายหรือกลุ่มศาสนาต่างๆ เพราะแบบนั้นฉันจึงไม่สามารถได้รับการทรงนำของพระเจ้าตอนที่ฉันปฏิบัติความเชื่อของฉันที่นั่น ฉันถูกปล่อยให้แห้งแล้งทางจิตวิญญาณและขาดการบำรุงเลี้ยง
หลังจากนั้น เราก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกสองบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงนี้ที่ว่า พระองค์จะทำให้ผู้คนทั้งหมดทั่วทั้งจักรวาลมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์และนมัสการพระเจ้าบนแผ่นดินโลก และพระราชกิจของพระองค์ในที่อื่นๆ จะยุติลง และผู้คนจะถูกบีบให้ต้องแสวงหาหนทางที่แท้จริง เหมือนดั่งโยเซฟ กล่าวคือ ทุกคนมาหาเขาเพื่ออาหาร และกราบไหว้เขาเพราะเขามีสิ่งต่างๆ ให้กิน เพื่อหลีกเลี่ยงกันดารอาหาร ผู้คนจะถูกบีบให้แสวงหาหนทางที่แท้จริง ชุมชนทางศาสนาทั้งหมดจะประสบทุกข์จากกันดารอาหารที่รุนแรง และมีเพียงพระเจ้าของวันนี้เท่านั้นที่เป็นน้ำพุของน้ำแห่งชีวิต ซึ่งมีน้ำพุที่ไหลรินตลอดเวลาจัดเตรียมไว้สำหรับความชื่นชมยินดีของมนุษย์ และผู้คนจะมาและพึ่งพาอาศัยพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อาณาจักรพันปีได้มาถึงแล้ว) “เราได้มอบสง่าราศีของเราแก่อิสราเอลแล้วจากนั้นก็เอาสง่าราศีนั้นออกไป และหลังจากนั้นเราได้พาคนอิสราเอลไปยังทิศตะวันออก และนำพามนุษยชาติทั้งมวลไปยังทิศตะวันออก เราได้นำพาพวกเขาทั้งหมดไปยังความสว่างเพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกับความสว่างอีกครั้ง และเชื่อมสัมพันธ์กับความสว่าง และไม่ต้องค้นคว้าหาความสว่างอีกต่อไป เราจะปล่อยให้ผู้คนทั้งหมดที่กำลังค้นคว้าได้เห็นความสว่างอีกครั้งและได้เห็นสง่าราศีที่เราได้มีในอิสราเอล เราจะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นว่าเราได้ลงมาบนเมฆขาวเข้าสู่ท่ามกลางมวลมนุษย์นานมาแล้ว จะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นหมู่เมฆสีขาวนับไม่ถ้วนและผลไม้เป็นพวงอันอุดม และที่มากไปกว่านั้นคือ จะปล่อยให้พวกเขาได้เห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล เราจะปล่อยให้พวกเขาเฝ้ามององค์เจ้านายแห่งชาวยิว พระเมสสิยาห์ซึ่งเป็นที่ถวิลหารอคอย และการปรากฏอันครบถ้วนของเราผู้ที่ได้ถูกพวกกษัตริย์ข่มเหงตลอดทั่วทั้งยุคต่างๆ เราจะทำงานกับทั้งจักรวาลและเราจะปฏิบัติงานอันยิ่งใหญ่ เป็นการเปิดเผยสง่าราศีของเราทั้งหมดและกิจการของเราทั้งหมดต่อมนุษย์ในยุคสุดท้าย เราจะแสดงโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเราในความครบถ้วนต่อบรรดาผู้ที่ได้รอคอยเรามานานหลายปีแล้ว ต่อบรรดาผู้ที่ได้ถวิลหาให้เราลงมาบนเมฆขาว ต่ออิสราเอลที่ได้ถวิลหาให้เราปรากฏอีกครั้งหนึ่ง และต่อมวลมนุษย์ทั้งปวงที่ข่มเหงเรา เพื่อที่ทั้งหมดจะได้รู้ว่าเราได้เอาสง่าราศีของเราไปและได้นำพาสง่าราศีนั้นมายังทิศตะวันออกเมื่อนานมาแล้ว และสง่าราศีนั้นไม่ได้อยู่ในแคว้นยูเดียอีกต่อไป ด้วยเหตุที่ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวานการเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล) ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและชุมนุมกับพี่น้องชายหญิง ฉันก็เข้าใจ ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาในเนื้อหนังเพื่อทรงพระราชกิจใหม่ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงเริ่มยุคแห่งราชอาณาจักรและทรงสรุปจบยุคพระคุณ และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้เปลี่ยนเป็นพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า โลกศาสนาได้สูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จนหมดสิ้น บรรดาผู้คนที่ติดอยู่ในที่ชุมนุมทางศาสนาได้ตกลงสู่ความมืดมิดและอ้างว้างค่ะ เมื่อสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงพระราชกิจที่ใหม่กว่าและสูงส่งกว่าภายนอกวิหาร เริ่มยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจของพระเจ้าเปลี่ยนเป็นพระราชกิจแห่งการไถ่ของยุคนั้น แล้วจากนั้นวิหารก็รกร้าง บรรดาผู้ที่ยึดติดอยู่กับพระราชกิจของพระยาห์เวห์พระเจ้าและไม่ยอมรับพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ล้วนตกสู่ความมืดมิดและหลงทาง นั่นทำให้ฉันนึกถึงอาโมส 8:11 ที่ว่า “พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า ‘นี่แน่ะ วันเวลาก็มาถึง เมื่อเราจะส่งความกันดารมาที่แผ่นดิน ไม่ใช่กันดารอาหาร หรือกระหายน้ำ แต่จะเป็นการกันดารพระวจนะของพระยาห์เวห์’” แล้วในที่สุดฉันก็เข้าใจ ฉันไปคริสตจักรหลายแห่งและฟังคำเทศนาของศิษยาภิบาลที่โด่งดังมากมาย แต่ฉันไม่เคยพบเสบียงแห่งชีวิต จิตวิญญาณที่หิวกระหายของฉันเต็มอิ่มเมื่อฉันได้ยินพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันตระหนักว่าทั้งหมดเป็นเพราะพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจใหม่ และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์สนับสนุนแค่พระราชกิจที่ทำในนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้น ไม่ว่าผู้คนติดตามพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าดีแค่ไหน พระเจ้าก็ไม่ทรงรับรองอีกแล้ว
ฉันแบ่งปันความเข้าใจนี้ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง และพี่สาวหวังก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า “ที่จริง น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังความกันดารในโลกศาสนา ความกันดารในศาสนา ทำให้บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและรักความจริงออกจากศาสนา เพื่อแสวงหาสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลาย และแสวงหาการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า อีกทั้งยอมรับและเชื่อฟังพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ก็คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา และจะถูกยกขึ้นไปเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า พวกเขาก้าวผ่านการพิพากษา การชำระให้สะอาด และความเพียบพร้อมของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเห็นความจริงว่าซาตานทำให้พวกเขาเสื่อมทรามยังไง อุปนิสัยที่โอหัง คดโกง เจ้าเล่ห์แบบซาตานของพวกเขาค่อยๆ ถูกชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลง พวกเขามารู้จักพระเจ้าดีขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ เติบโตในชีวิตของตนเอง พวกเขาให้คำพยานทุกรูปแบบเรื่องการนบนอบต่อพระเจ้าและการเป็นผู้จงรักภักดี พวกเขาคือบรรดาผู้ชนะที่พระเจ้าทรงสร้างก่อนความวิบัติทั้งหลาย และพวกเขาคือพืชผลแรก นี่ทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วงดังที่ว่า ‘คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าพวกเขาเป็นพรหมจารี เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและแด่พระเมษโปดก’ (วิวรณ์ 14:4) เมื่อผู้พิชิตกลุ่มนี้ได้ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นแล้ว พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์โดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้าจะมาถึงบทอวสาน หลังจากนั้น พระองค์จะทรงให้ความวิบัติหลั่งไหลดั่งสายฝน ให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว จากนั้น คนทั้งหมดที่ไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้า คนที่กล่าวโทษและต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะยอมจำนนต่อความวิบัติ ร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผู้ที่ได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับการคุ้มครองของพระเจ้าและรอดชีวิต เพื่อถูกนำเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าในท้ายที่สุด”
ฉันเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านการสามัคคีธรรมของพี่สาวคนนั้น ฉันรู้สึกได้ว่าความรักของพระเจ้านั้นจริงแค่ไหน พระเจ้าทรงไม่ได้ทอดทิ้งฉัน แต่ทรงเปิดโอกาสให้ฉันได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าในช่วงชีวิตของฉัน พระองค์ทรงจัดหาพระวจนะทั้งหมดนี้ให้ฉัน และประทานความจริงมากมายให้ฉัน บำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณที่แห้งแล้งของฉัน ยิ่งฉันนึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกได้รับพรมากขึ้นค่ะ! ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าด้วยค่ะ “หนทางแห่งชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถมีได้ อีกทั้งไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถบรรลุอย่างง่ายๆ ได้ นี่เป็นเพราะว่าชีวิตสามารถมาจากพระเจ้าได้เพียงเท่านั้น กล่าวคือ พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงครอบครองเนื้อแท้แห่งชีวิต และพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงมีหนทางแห่งชีวิต และดังนั้นพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต และน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตที่ไหลอยู่ตลอดเวลา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง หนทาง และชีวิต พระวจนะเหล่านี้รดน้ำและบำรุงเลี้ยงเราอย่างไม่สิ้นสุด และตอนนี้ ฉันได้รับการรดน้ำและการเลี้ยงดูของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และฉันอาบในน้ำแห่งชีวิตที่ไหลรินตลอดเวลาจากพระบัลลังก์ ฉันกำลังเข้าร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกจริงๆ ค่ะ ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากที่ทรงช่วยฉันให้รอด!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ