ตอนนี้ฉันรู้พระนามใหม่ของพระเจ้าแล้ว

วันที่ 05 เดือน 09 ปี 2020

โดย Zhao Xin, ไต้หวัน

ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้เข้าร่วมการชุมนุมกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก พอจบมัธยมปลายฉันเลยไปเข้าวิทยาลัยคริสเตียนค่ะ ระหว่างคาบเรียนหนึ่ง ศิษยาภิบาลพูดกับพวกเราว่า “ฮีบรูบทที่ 13 ข้อที่ 8 กล่าวว่า ‘พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์’ องค์พระเยซูเจ้าคือพระผู้ช่วยให้รอดเพียงหนึ่งเดียว พระนามของพระองค์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ายุคไหนก็ตาม แค่เพียงวางใจในพระนามแห่งองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น เราก็อาจได้รับการช่วยให้รอด…” หลังจากได้ยินคำนี้ฉันก็เชื่ออย่างเต็มที่ว่า เราสามารถได้รับการช่วยให้รอดด้วยการยึดถือพระนามแห่งองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น และเราไม่มีวันปฏิเสธพระนามของพระองค์ได้ เวลาอยู่นอกห้องเรียน ฉันกระตือรือร้นมีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรม การศึกษาพระคัมภีร์ และกลุ่มข่าวประเสริฐ ฉันไม่เคยพลาดการเทศนาธรรมหรือการชุมนุมเลยสักครั้ง แต่พอเวลาผ่านไป ฉันก็พบว่าเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุมีแนวโน้มที่จะพูดแต่เรื่องเดิมๆ มันไม่เคยมีความสว่างใหม่ใดๆ อีกทั้งจิตวิญญาณของฉันก็ขาดสิ่งหล่อเลี้ยงไปโดยสิ้นเชิง พี่น้องชายหญิงบางคนกลายเป็นคนอ่อนแอและหยุดไปที่การชุมนุม และพวกเขาก็ได้รับการช่วยเหลือหรือการสนับสนุนน้อยมาก บางคนถึงขนาดผล็อยหลับระหว่างการชุมนุม และจะขายประกันหรือสินค้าต่างๆ ให้คนอื่นหลังเสร็จงานบริการ การได้เห็นสถานการณ์นี้ในคริสตจักร มันทำให้ฉันโกรธและผิดหวัง ฉันคิดว่า “ถ้าชาวคริสเตียนไม่แสวงหาความก้าวหน้าในชีวิตทางจิตวิญญาณของพวกเขา มัวแต่อยากได้อยากมีสิ่งต่างๆ ทางโลกและเงินตราอยู่เสมอ พวกเขาจะยังถูกเรียกว่าเป็นคริสเตียนได้อยู่ไหม พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเห็นว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ นั่นมันสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าเหรอ มันจะเป็นการนมัสการพระเจ้าได้ยังไง” พอไม่ได้รับการบำรุงใจจากการชุมนุมนานๆ จิตวิญญาณของฉันก็เหี่ยวแห้ง ฉันยุ่งๆ อยู่กับงานด้วยค่ะ สุดท้ายเลยไม่ได้ไปชุมนุมอีกเลย ฉันรู้สึกแย่กับเรื่องนี้มาก ฉันเลยอ่านพระคัมภีร์ที่บ้านและอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มักจะรู้สึกว่าฉันเสียจุดมุ่งหมายและความหวังทั้งหมดไป รู้สึกหลงทางและทำอะไรไม่ถูก

ต่อมาในเดือนตุลาคมปี 2017 ฉันได้พบกับพี่สาวลี่และพี่สาวหวังจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางออนไลน์ ฉันพบว่าการสามัคคีธรรมบนพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเธอนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและให้ความรู้แจ้ง ฉันเองเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี และไม่เคยได้ยินใครสามัคคีธรรมบนพระวจนะของพระองค์ได้ชัดเจนขนาดนี้ ฉันรู้สึกได้ว่าพวกเธอมีการทรงนำแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นฉันเลยนัดพบกับพวกเธอทางออนไลน์บ่อยๆ

มีการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันลงชื่อเข้าไปช้านิดหน่อยค่ะ แต่ทันทีที่เข้าไปได้แล้ว ฉันก็ได้ยินพี่ลี่พูดว่า “แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดนั้นแบ่งออกเป็นสามยุค และพระองค์ทรงพระราชกิจใหม่ อีกทั้งทรงใช้ชื่อใหม่ในแต่ละยุค พระเจ้าทรงใช้พระนามของพระองค์ในการเปลี่ยนยุคและเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ก้าวไปข้างหน้า และพระนามของพระองค์ก็เปลี่ยนไปตามพระราชกิจต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติในชื่อพระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์ทรงสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติและทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ พระนามของพระองค์คือพระเยซู ไม่ใช่พระยาห์เวห์อีกต่อไป ตอนนี้ในยุคสุดท้าย พระราชกิจของพระเจ้าก็กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง และพระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา โดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้าบนรากฐานแห่งพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระเยซู พระองค์ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร และพระนามของพระองค์ก็ได้เปลี่ยนไปตามนั้น ไม่ใช่พระเยซูอีกต่อไปแล้ว แต่คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” พอฉันได้ยินเธอบอกว่าพระนามของพระเจ้านั้นเปลี่ยนไป ฉันก็คิดว่า “ไม่มีทาง พระคัมภีร์กล่าวอย่างชัดเจนว่า ‘พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์’ (ฮีบรู 13:8) พระนามขององค์พระเยซูเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนได้ แต่คุณกำลังบอกว่าตอนนี้พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปแล้วงั้นเหรอ ถ้าตอนอธิษฐานเราไม่เรียกพระเยซูแต่กลับเรียกพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แทน แบบนั้นมันจะสอดคล้องกับพระคัมภีร์เหรอ” จากนั้นพี่ลี่ก็ได้อธิบายให้ฉันฟังด้วยการเปรียบเปรยว่า “น้องจ้าว ถ้าบริษัทให้คุณเป็นหัวหน้าฝ่ายวางแผนอยู่หนึ่งปี แล้วให้คุณเป็นผู้จัดการอีกหนึ่งปี จากนั้นก็ให้คุณเป็นผู้อำนวยการ ชื่อตำแหน่งของคุณก็จะเปลี่ยนไป ตามความจำเป็นในงานของคุณ เวลาที่งานของคุณเปลี่ยน ชื่อตำแหน่งของคุณเปลี่ยน เมื่อก่อนคนคงเรียกคุณว่าหัวหน้าฝ่ายวางแผนหรือผู้จัดการ แต่ตอนนี้พวกเขาจะเรียกคุณว่าผู้อำนวยการ พวกเขาคงเรียกคุณด้วยชื่อที่ต่างกัน แต่ตัวคุณจะเปลี่ยนไปงั้นเหรอ คุณจะไม่ได้เป็นคุณคนเดิมเหรอ นี่คือการเลือกใช้ชื่อในแต่ละยุคของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าต่างกันและพระนามของพระองค์ก็เปลี่ยนไป แต่พระองค์ยังคงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว” สำหรับฉัน ทั้งหมดเริ่มมีเหตุผลขึ้นมา แต่พอฉันคิดถึงการเปลี่ยนพระนามของพระเยซูฉันก็รับไม่ได้ ฉันคิดว่า “ฉันไม่สนว่าคุณจะพูดอะไร ฉันจะยึดพระนามขององค์พระเยซูเจ้าเอาไว้ ฉันจะไม่ยอมเชื่อง่ายๆ หรอก” หลังการชุมนุมนั้นฉันก็ปิดกั้นพี่ลี่ทางออนไลน์ไปค่ะ

แต่ในเย็นวันถัดมา พี่สาวสองคนได้ปรากฏตัวที่หน้าบ้านฉัน ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ฉันคิดว่าพระนามของพระเยซูนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ฉันเลยรู้สึกรังเกียจพวกเธอนิดหน่อย ไม่ว่าพวกเธอจะพูดอะไรฉันก็ไม่อยากได้ยินมันค่ะ ตอนที่กำลังจะจากไป พวกเธอก็บอกว่า “น้องสาว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน(มัทธิว 7:7) เราไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงจะไม่ยอมรับมัน แต่คุณเคยสอบสวนมันจริงๆ บ้างหรือยัง” หลังจากพวกเธอจากไปฉันก็หยุดคิดถึงสิ่งที่พวกเธอพูดไม่ได้ ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลยค่ะ ฉันคิดถึง การสามัคคีธรรมทั้งหมดที่ฉันเคยฟังจากผู้คนที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และคิดถึงว่าจิตวิญญาณของฉันได้รับการหล่อเลี้ยงแค่ไหน ฉันรู้อยู่ในหัวใจว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่พวกเขาอ่านเป็นความจริง และเป็นพระดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจะเป็นผู้แสวงหาความจริงโดยการปฏิเสธพวกเขาแบบนั้นได้ยังไง ฉันนึกถึงการชุมนุมตอนที่พี่ลี่พูดในการสามัคคีธรรมว่า “แกะของพระเจ้าย่อมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ถ้าเราอยากรับเสด็จการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ หญิงพรหมจารีมีปัญญาติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ เช่นเดียวกับเปโตรในยุคพระคุณ เขาไม่ได้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะเขาได้ฟังพระวจนะของพระองค์ และจำพระสุรเสียงของพระเจ้าได้งั้นเหรอ” พอตระหนักเรื่องนี้ได้ฉันก็รีบหยิบพระคัมภีร์ออกมา และเปิดหนังสือวิวรณ์บทที่ 3 ข้อ 20-22 ที่บอกว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา…ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณได้ตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ฉันไตร่ตรองพระคัมภีร์สองข้อนี้อย่างรอบคอบ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่าพระวิญญาญบริสุทธิ์จะตรัสในยุคสุดท้าย และเราควรฟังพระวจนะของพระองค์ ฉันช่างโชคดีที่ได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ทำไมฉันถึงเต็มใจที่จะถูกยับยั้งโดยมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง และทำเป็นหูหนวกใส่สิ่งใดก็ตามที่ฉันไม่เข้าใจล่ะ ฉันคิดว่า “ถ้าฉันหาคำตอบเรื่องการเปลี่ยนพระนามของพระเจ้าไม่ได้ตอนนี้” “ฉันก็ต้องตรวจสอบและเข้าใจมันเสียก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำยังไง” ต่อมาฉันก็ได้อ่านสิ่งนี้ในมัทธิว บทที่ 7 ข้อที่ 7: “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” ฉันคิดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ และทรงกำลังเคาะประตูของฉันอยู่ และฉันยอมให้มโนคติที่หลงผิดของตัวเองทำให้ฉันหูหนวกตาบอด เพื่อที่ฉันจะได้ไม่เห็นหรือไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น และไม่เปิดประตู องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทอดทิ้งฉันไหม” คืนนั้นฉันนอนไม่หลับเลยค่ะ ฉันรู้สึกไม่สบายใจที่ปฏิเสธข่าวประเสริฐ ฉันสงสัยว่า “ฉันเข้าใจผิดหรือเปล่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าจริงเหรอ” ด้วยความคิดเหล่านี้ในหัว ฉันจึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า วอนขอการทรงนำและความรู้แจ้งของพระองค์

จากนั้น ฉันก็เข้าไปที่เว็บไซต์ทางการของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่เรียกว่า ข่าวประเสริฐแห่งการสืบสายของราชอาณาจักร จากนั้นฉันก็ได้อ่านบทตอนที่เกี่ยวกับพระนามของพระเจ้า: “บางคนพูดว่าพระนามของพระเจ้านั้นไม่เปลี่ยน ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมพระนามของพระยาห์เวห์จึงได้กลายเป็นพระเยซูเล่า? ได้มีการพยากรณ์ไว้ว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา แล้วเหตุใดชายคนที่มาจึงชื่อพระเยซู? เหตุใดพระนามของพระเจ้าจึงเปลี่ยนพระราชกิจดังกล่าวไม่ได้ถูกดำเนินการนานมาแล้วหรอกหรือ? ขอพระเจ้าทรงโปรดไม่ปฏิบัติพระราชกิจซึ่งใหม่กว่าในวันนี้เลย? พระราชกิจแห่งวันวานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพระราชกิจของพระเยซูสามารถเกิดขึ้นตามหลังพระราชกิจของพระยาห์เวห์ได้ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจอื่นๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นต่อจากพระราชกิจของพระเยซูเชียวหรือ? หากพระนามของพระยาห์เวห์สามารถเปลี่ยนเป็นพระเยซู แล้วพระนามของพระเยซูจะไม่สามารถเปลี่ยนได้เช่นกันหรือ? ไม่มีอะไรในเรื่องนี้ที่แปลกประหลาดเลย เป็นเพียงแค่ว่าผู้คนนั้นด้อยปัญญาเกินไป พระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ ไม่สำคัญว่าพระราชกิจของพระองค์จะเปลี่ยนไปเช่นใด และไม่คำนึงถึงว่าพระนามของพระองค์อาจเปลี่ยนไปเช่นใด พระอุปนิสัยและพระปรีชาญาณของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยน หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานได้ว่าพระเยซูเท่านั้น เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็ย่อมถูกจำกัดมากเกินไปแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?) หลังจากได้อ่านพระวจนะนี้ฉันก็รู้สึกค่อนข้างสะเทือนใจค่ะ ฉันคิดถึงการที่ในยุคธรรมบัญญัติ พระนามของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ และพระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลภายใต้ชื่อนี้ อย่างไรก็ตาม ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระนามของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนจากพระยาห์เวห์เป็นพระเยซูเหรอคะ ฉันสงสัยว่า “ทั้งหมดนี้มันเรื่องอะไรกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระนามใหม่ในยุคสุดท้ายจริงเหรอ ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าจริง และฉันกลับไม่แสวงหาหรือสอบสวนมัน ถ้าฉันเสียโอกาสในการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันก็คงโง่สิ้นดี!” ฉันตัดสินใจที่จะสอบสวนพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายทันทีค่ะ

ฉันติดต่อพี่ชายเฉินจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปทางออนไลน์ ที่การชุมนุม ฉันเล่าถึงความสับสนของตัวเองให้เขาฟัง ฉันบอกไปว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า: ‘พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์’ (ฮีบรู 13:8) พระนามขององค์พระเยซูเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าตอนนี้พระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์ก็ควรถูกเรียกว่าพระเยซูเหมือนเดิมสิ จะทรงถูกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ยังไงคะ ฉันมักจะอธิษฐานและเอ่ยพระนามขององค์พระเยซูเจ้าเสมอ แล้วฉันจะอธิษฐานกับชื่ออื่นได้ยังไง” พี่ชายเฉินจึงส่งพระวจนะของพระเจ้ามาให้ฉันสองบทตอน: “มีบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้ามิอาจทรงเปลี่ยนแปลงไปอีกได้ นั่นก็ถูกต้อง แต่นั่นหมายถึงพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปอีก การเปลี่ยนแปลงพระนามและพระราชกิจของพระองค์มิได้พิสูจน์ว่าแก่นแท้ของพระองค์ได้ปรับเปลี่ยนไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าย่อมจะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หากเจ้ากล่าวว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการที่ยาวนานหกพันปีของพระองค์ได้หรือ? เจ้าเพียงรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงตลอดกาล แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า? หากพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถนำทางมวลมนุษย์มาตลอดทางจนถึงยุคปัจจุบันได้หรือ? หากพระเจ้ามิสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วไซร้ เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงพระราชกิจมาสองยุคแล้ว?…คำว่า ‘พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า’ จึงอ้างอิงถึงพระราชกิจของพระองค์ และคำว่า ‘พระเจ้าย่อมไม่เปลี่ยนแปลง’ ก็อ้างอิงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นโดยธรรมชาติ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่อาจแขวนพระราชกิจหกพันปีไว้กับจุดจุดหนึ่ง หรือล้อมกรอบเอาไว้ด้วยคำที่ตายแล้ว เช่นนั้นคือความโฉดเขลาของมนุษย์ พระเจ้ามิได้ทรงเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการ และพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่ในยุคใดยุคหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาห์เวห์ไม่สามารถเป็นพระนามของพระเจ้าเสมอไปได้ พระเจ้าจึงสามารถทรงพระราชกิจของพระองค์ภายใต้พระนามว่าเยซูด้วย นี่คือหมายสำคัญอย่างหนึ่งว่าพระราชกิจของพระเจ้าก้าวไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3))

หลังจากอ่านพระวจนะ พี่เฉินก็ได้แบ่งปันสามัคคีธรรมนี้ “คำว่า ‘พระเจ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้’ พูดถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า มันไม่ได้หมายความว่าพระนามของพระองค์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่า พระราชกิจของพระองค์ก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น และพระนามของพระองค์ก็เปลี่ยนไปตามพระราชกิจของพระองค์ แต่ไม่ว่าพระนามของพระองค์อาจจะเปลี่ยนไปอย่างไร พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ก็ไม่มีวันเปลี่ยน พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าตลอดไป และนี่คือสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเราไม่เข้าใจว่า ‘พระเจ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้’ หมายถึงอะไร หรือไม่เข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่า เราก็มีแนวโน้มที่จะจำกัดพระราชกิจของพระเจ้าตามมโนคติที่หลงผิดของเราเอง หรือแม้แต่ต่อต้านและตัดสินพระเจ้า พวกฟาริสียึดติดกับพระคัมภีร์ เฝ้ารอพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระนามของพระองค์กลับไม่ใช่พระเมสสิยาห์แต่เป็นพระเยซู พวกเขาจึงปฏิเสธและกล่าวโทษพระองค์ แม้พวกเขารู้ว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์นั้นมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สอบสวนเท่านั้น แต่ยังต่อต้านและกล่าวโทษมันอีกด้วย ท้ายที่สุด พวกเขาก็สมรู้ร่วมคิดกับพวกโรมันเพื่อจับพระเยซูตรึงกางเขน กระทำการทารุณกรรมร้ายแรง ถ้าตอนนี้เรายึดติดกับพระคัมภีร์ เชื่อว่าพระนามของพระเยซูไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และมีเพียงพระองค์ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จึงปฏิเสธและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย เราจะไม่ได้เป็นอย่างพวกฟาริสีงั้นเหรอ แล้วเราก็จะมีแนวโน้มที่จะต่อต้านพระเจ้าและทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ขุ่นเคือง”

ในที่สุดฉันก็ได้เข้าใจ ว่าเมื่อในพระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” มันพูดถึงแค่พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่า พระนามของพระเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ฉันได้เห็นว่าการเทศนาธรรมของศิษยาภิบาลอ้างอิงจากมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขา และพวกเขาไม่ได้เข้าใจพระคัมภีร์จริงๆ เลย

ต่อมาพี่เฉินได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนให้ฉันฟังค่ะ: “ในแต่ละยุค พระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่และมีพระนามใหม่ พระองค์จะทำพระราชกิจเดียวกันในยุคที่แตกต่างกันได้อย่างไร? พระองค์จะทรงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมได้อย่างไร? พระนามของพระเยซูนั้นใช้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่ ดังนั้นพระองค์จะยังคงใช้พระนามเดียวกันเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายหรือ? พระองค์จะยังทรงพระราชกิจแห่งการไถ่อยู่อีกหรือ? เหตุใดจึงเป็นว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูคือหนึ่งเดียวกัน ทว่าทั้งสององค์กลับมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน? มิใช่เพราะว่ายุคแห่งพระราชกิจของทั้งสององค์นั้นแตกต่างกันหรอกหรือ? ชื่อเพียงชื่อเดียวสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าจึงต้องมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างออกไป และพระองค์ต้องใช้พระนามนั้นๆ มาเปลี่ยนแปลงยุคและเป็นตัวแทนยุคนั้น เพราะชื่อเพียงชื่อเดียวไม่สามารถแทนพระเจ้าพระองค์เองได้อย่างเต็มเปี่ยม และแต่ละชื่อสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคหนึ่งๆ ได้เฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวกับยุคเท่านั้น ทั้งหมดที่ชื่อหนึ่งต้องทำก็คือเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าจึงสามารถเลือกพระนามใดก็ได้ที่เหมาะสมกับพระอุปนิสัยของพระองค์เพื่อเป็นตัวแทนยุคนั้นทั้งยุค(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3))‘พระยาห์เวห์’ คือชื่อที่เราใช้ในช่วงระหว่างงานของเราในอิสราเอล และหมายถึงพระเจ้าของคนอิสราเอล (ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร) ที่สามารถเวทนามนุษย์ สาปแช่งมนุษย์ และนำทางชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงครองมหาฤทธานุภาพและเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาญาณ ‘พระเยซู’ คือ อิมมานูเอล ซึ่งหมายถึงเครื่องบูชาลบล้างบาปอันเปี่ยมไปด้วยความรัก เปี่ยมไปด้วยความสงสาร และไถ่บาปให้มนุษย์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งส่วนของพระราชกิจของแผนการบริหารจัดการเท่านั้น…พระนามของพระเยซูได้มาดำรงอยู่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนของยุคพระคุณได้เกิดใหม่และได้รับการช่วยให้รอด และเป็นพระนามเฉพาะสำหรับการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ พระนามของพระเยซูจึงเป็นตัวแทนพระราชกิจแห่งการไถ่ และบ่งบอกถึงยุคพระคุณ พระนามพระยาห์เวห์เป็นชื่อเฉพาะสำหรับประชาชนอิสราเอลที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ ในแต่ละยุคและแต่ละช่วงระยะในงานของเรา ชื่อของเรานั้นใช่ว่าไม่มีพื้นฐานที่มา แต่ถือครองนัยสำคัญเชิงตัวแทน กล่าวคือ แต่ละชื่อเป็นตัวแทนหนึ่งยุค ‘พระยาห์เวห์’ ทรงเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ และเป็นพระนามซึ่งแสดงการถวายพระเกียรติซึ่งประชาชนอิสราเอลใช้เรียกพระเจ้าผู้ที่พวกเขานมัสการ ‘พระเยซู’ ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และเป็นพระนามของพระเจ้าของทุกคนที่ได้รับการไถ่ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ หากมนุษย์ยังคงถวิลหาการเสด็จมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และยังคงคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงในพระฉายาที่พระองค์ทรงใช้ในแคว้นยูเดีย เช่นนั้นแล้วแผนการบริหารจัดการสำหรับหกพันปีทั้งหมดทั้งสิ้นก็คงจะหยุดลงไปแล้วในยุคแห่งการไถ่ และคงไม่อาจคืบหน้าไปได้มากกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยุคสุดท้ายจะไม่มีวันมาถึง และยุคนั้นจะไม่มีวันถูกนำพาไปถึงบทอวสาน นี่เป็นเพราะพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำรงอยู่เพื่อการไถ่และความรอดของมวลมนุษย์เท่านั้น เราได้ใช้ชื่อพระเยซูเพียงเพื่อประโยชน์ของคนบาปทั้งหมดในยุคพระคุณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ชื่อที่เราจะใช้เพื่อนำพามวลมนุษย์ทั้งปวงไปสู่บทอวสาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว)

จากนั้นพี่เฉินก็ได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า “แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าถูกแบ่งออกเป็นสามยุค พระองค์ทรงพระราชกิจหนึ่งระยะและแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ส่วนหนึ่งในแต่ละยุค ชื่อที่พระองค์ทรงใช้ในแต่ละยุค เป็นตัวแทนพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระองค์ในยุคนั้น แต่มันไม่สามารถเป็นตัวแทนในสิ่งทั้งปวงของพระเจ้าได้ ในยุคธรรมบัญญัติ พระนามของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ ชื่อนี้เป็นตัวแทนพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติ เช่นเดียวกับพระอุปนิสัยของพระองค์ในแง่ที่เปี่ยมพระบารมี พิโรธ มีพระเมตตา และสาปแช่ง พระเจ้าทรงใช้ชื่อพระยาห์เวห์เพื่อประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ และเพื่อนำชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก พฤติกรรมของมนุษย์ได้รับการควบคุมและทุกคนรู้วิธีนมัสการพระเจ้า แต่เมื่อถึงปลายยุคนั้น มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่สามารถรักษาธรรมบัญญัติและพระบัญญัติได้อีกต่อไป ทุกคนตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกล่าวโทษและประหารชีวิต เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในนามพระเยซู ทรงเริ่มต้นยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ องค์พระเยซูเจ้าประทานหนทางแห่งการกลับใจ รักษาคนเจ็บและขับไล่ปีศาจ อีกทั้งทรงอภัยแก่บาปของมนุษย์ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยที่เมตตาและเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์อีกด้วย ในที่สุด พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนและพระราชกิจแห่งการไถ่มนุษยชาติทั้งปวงก็เสร็จสมบูรณ์ ทุกคนที่ยอมรับพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา คนที่อธิษฐานต่อพระนามของพระองค์ สารภาพบาปและกลับใจ ก็สามารถได้รับการอภัยในบาป รวมถึงได้รับสันติสุขและความปีติที่พระเจ้าประทานให้ เพราะองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ไม่ใช่พระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมนุษยชาติให้สะอาดในยุคสุดท้าย แม้ความเชื่อของเราแปลว่าบาปของเราได้รับการอภัย แต่ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของเรานั้นยังคงอยู่ เรายังคงมีชีวิตอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการทำบาปและสารภาพบาป เรายังคงโกหกและหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา เราไล่ตามกระแสทางโลก เราขี้อิจฉาและน่ารังเกียจ และอีกมากมาย เรามีชีวิตอยู่ในบาป ไร้เรี่ยวแรงที่จะหลบหนี ดังนั้น ในการช่วยเราให้รอดโดยสมบูรณ์จากพันธนาการแห่งบาปและชำระเราให้สะอาด เพื่อให้เราได้เหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระให้สะอาด พระองค์ทรงเริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรและสิ้นสุดยุคพระคุณ อีกทั้งพระนามของพระองค์ก็เปลี่ยนไปเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สิ่งนี้ทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านี้ในวิวรณ์ลุล่วงอย่างถูกต้อง: ‘พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า เราเป็นอัลฟาและโอเมกา(วิวรณ์ 1:8)คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย(วิวรณ์ 3:12)

ฉันตาสว่างและได้เห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนพระนามขององค์ในยุคสุดท้ายค่ะ! ฉันเคยอ่านสองข้อนี้มาก่อน ทำไมฉันถึงไม่เข้าใจพวกมันนะ ทั้งสองข้อเผยพระวจนะเอาไว้อย่างชัดเจน ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมีพระนามใหม่คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ยามที่พระองค์เสด็จมาอีกครั้งในยุคสุดท้าย แต่ฉันกลับเอาแต่เชื่อเสมอว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” (ฮีบรู 13:8) และตัดสินใจว่าพระนามของพระเยซูจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ฉันเอาแต่ปฏิเสธและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายมาตลอด ที่ผ่านมาฉันมันโง่เขลาจริงๆ ค่ะ! ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า พระเจ้าทรงใช้ชื่อใหม่ในแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ และพระองค์ทรงใช้ชื่อนี้เพื่อเปลี่ยนยุคและเพื่อเป็นตัวแทนพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระองค์ในยุคนั้น ฉันตระหนักได้ว่าชื่อที่พระเจ้าทรงใช้ในแต่ละยุคนั้นสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าฉันปล่อยไปตามมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง ว่าพระนามของพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพระองค์จะเสด็จมาในยุคสุดท้ายในฐานะพระเยซู แล้วพระราชกิจของพระเจ้าจะเคลื่อนไปข้างหน้าได้ยังไง มันจะไม่เป็นยุคพระคุณอยู่เสมองั้นเหรอ พอฉันตระหนักเรื่องนี้ได้ ฉันก็ไม่สงสัยเรื่องชื่อใหม่ของพระเจ้าในยุคสุดท้ายอีกต่อไปค่ะ— พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

ต่อมาพี่เฉินได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟัง “ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว)

จากนั้นพี่เฉินก็ได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคแห่งราชอาณาจักร และทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงที่จำเป็น เพื่อชำระและช่วยมนุษยชาติให้รอด พระองค์ทรงเปิดเผยความลึกลับแห่งพระราชกิจในการบริหารจัดการเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และทรงตีแผ่ความจริงแห่งความเสื่อมทรามโดยซาตานของมนุษยชาติ รวมถึงรากเหง้าแห่งการทำบาปและการต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์ พระองค์ทรงพิพากษาความเป็นกบฏและการไร้ซึ่งความชอบธรรมของมนุษยชาติผู้เสื่อมทราม อีกทั้งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ได้แสดงให้มนุษย์เห็นถึงหนทาง เพื่อให้อุปนิสัยของพวกเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกคนที่ยอมรับในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน การทดสอบ และกระบวนการถลุงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า คนที่ละทิ้งบาปและได้รับการชำระให้สะอาด ก็จะรอดชีวิตจากความวิบัติใหญ่หลวง พระเจ้าจะทรงนำพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ให้ได้เพลิดเพลินในพระพรและพระสัญญาของพระองค์ คนเหล่านั้นซึ่งเป็นคนชั่วร้าย เป็นศัตรูพระคริสต์ และเป็นผู้ปราศจากความเชื่อที่ปฏิเสธการยอมรับ พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย อีกทั้งคนที่ต่อต้าน กล่าวโทษ ดูหมิ่น และว่าร้ายพระองค์ ก็จะร่ำไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของพวกเขาในความวิบัติใหญ่หลวง และจะถูกทำลายโดยพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้ชื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย เพื่อทรงปรากฏต่อมนุษย์ด้วยพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและทรงพระบารมีซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง เพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอดโดยสมบูรณ์ เพื่อกำจัดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเรา และนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พระเจ้ายังทรงแบ่งแยกแต่ละคนตามประเภทของพวกเขา และทรงนำยุคที่ชั่วร้ายนี้ให้ถึงจุดสิ้นสุด จึงจะเป็นการสำเร็จพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการและช่วยมนุษย์ให้รอดตลอดหกพันปีของพระองค์ สิ่งนี้ก็เพื่อให้ทุกคนได้เห็นอีกด้วยว่า พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสร้างและปกครองทุกสรรพสิ่ง แต่พระองค์ยังตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อนำมนุษยชาติได้อีกด้วย พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแก่มนุษย์ อีกทั้งสามารถชำระและทำให้มนุษย์นั้นเพียบพร้อมได้ พระเจ้าทรงเป็นที่หนึ่งและเป็นที่สุดท้าย ไม่มีใครหยั่งถึงกิจการอันแสนมหัศจรรย์ พระมหิทธิฤทธิ์ และพระปรีชาญาณของพระองค์ได้ นี่เองคือความสำคัญของการที่พระองค์ทรงใช้ชื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคแห่งราชอาณาจักร ทุกคนที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย คนที่อธิษฐานต่อพระนามแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และอ่านพระวจนะของพระองค์ จะสามารถได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และการค้ำจุนของน้ำประกอบด้วยชีวิต แต่กระนั้น ความแห้งแล้งในปัจจุบันในคริสตจักรแห่งยุคพระคุณนั้นยังไม่เกิดขึ้น ความเชื่อของผู้ที่เชื่อนั้นเยือกเย็นขึ้น นักเทศน์ไม่มีอะไรจะพูด และไม่มีใครได้ตื้นตันใจในการอธิษฐานเลย มนุษย์กำลังถูกกระแสทางโลกล่อลวงไปมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเพราะพวกเขาติดตามก้าวย่างแห่งพระเมษโปดกไม่ทัน พวกเขาไม่ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจึงไม่ได้รับการค้ำจุนของน้ำแห่งชีวิต พวกเขาได้แต่ร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิดอย่างไม่มีทางหวนกลับ”

การสามัคคีธรรมของพี่เฉินได้แสดงให้ฉันเห็นว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระยาห์เวห์ และพระเยซูคือพระเจ้าหนึ่งเดียว แค่พระเจ้าทรงใช้พระนามที่ต่างกันเพื่อทรงพระราชกิจที่ต่างกันในแต่ละยุคเท่านั้น แต่ไม่ว่าพระนามของพระองค์จะเปลี่ยนไปอย่างไร พระเอกลักษณ์และเนื้อแท้ของพระองค์ก็ไม่มีวันเปลี่ยน พระเจ้าก็คือพระเจ้า เท่านั้นเอง พระนามของพระเจ้าในแต่ละยุคนั้นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงใช้ชื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคแห่งราชอาณาจักร และการทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ก็เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพวกเรา ในการเป็นอิสระจากบาปและได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า! ฉันนึกถึงช่วงหลายปีที่ฉันขาดสิ่งหล่อเลี้ยงใจในการชุมนุมและการเทศนาธรรม ความเชื่อของพี่น้องชายหญิงถูกทำให้อ่อนแอ อีกทั้งนักเทศน์ก็ไม่มีอะไรจะพูด ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ก้าวไปข้างหน้า แต่พวกเราติดตามก้าวย่างแห่งพระเมษโปดกไม่ทัน เราไม่ได้รับการค้ำจุนโดยพระวจนะในปัจจุบันของพระเจ้า เราจึงร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิด จังหวะนั้นเองฉันก็มั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา และฉันได้ยอมรับในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเป็นทางการค่ะ นับแต่นั้นมา ฉันก็อธิษฐานในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และอ่านพระวจนะของพระองค์ทุกวันเลยค่ะ ฉันได้รับการรดน้ำโดยน้ำประกอบด้วยชีวิต และได้เข้าร่วมงานฉลองแห่งพระเมษโปดก ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความสว่างแห่งการพิพากษา

โดย Enhui, มาเลเซีย “พระเจ้าสำรวจโลกทั้งใบและบัญชาการทุกสรรพสิ่งและมองดูถ้อยคำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์...

เรียนรู้วิธีที่จะแยกแยะหนทางเทียมเท็จจากหนทางที่แท้จริง การกลับมาอยู่ร่วมกันกับพระเจ้าของฉัน (ส่วนที่ 1)

ใน Xinkao, สหรัฐอเมริกา บันทึกของบรรณาธิการ: ฉันแน่ใจว่าชาวคาทอลิกจำนวนมากได้สังเกตว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger