พระคัมภีร์เป็นตัวแทนขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ไหม

วันที่ 10 เดือน 01 ปี 2021

โดย Xiangwang, มาเลเซีย

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิต และความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์และความจริงก็ดำรงอยู่ร่วมกัน พวกที่ไม่สามารถได้รับความจริงจะไม่มีทางได้รับชีวิต หากปราศจากการทรงนำ การสนับสนุน และการจัดเตรียมความจริง เจ้าจะได้รับเพียงตัวอักษร คำสอน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความตายเท่านั้น พระชนม์ชีพของพระเจ้าเป็นปัจจุบันตลอดกาล และความจริงและพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นดำรงอยู่ร่วมกัน หากเจ้าไม่สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงของชีวิต หากเจ้าไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และดังนั้น นอกเหนือจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ แล้ว ร่างกายทั้งร่างของเจ้าจะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเนื้อหนังของเจ้า—เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของเจ้า จงรู้ไว้ว่าคำพูดในหนังสือนั้นไม่นับว่าเป็นชีวิต บรรดาบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สามารถได้รับการสักการบูชาประหนึ่งว่าเป็นความจริงได้ และกฎระเบียบต่างๆ ในอดีตก็ไม่สามารถใช้เป็นการเล่าเรื่องราวของพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าในปัจจุบัน มีเพียงสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่เป็นความจริง ชีวิต น้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) เมื่อฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันยึดมั่นในความหมายตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ คิดไปว่ามันเป็นตัวแทนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และดังนั้นมันจึงเป็นทางเดียวที่จะได้รับชีวิต พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเห็นว่าทั้งหมดนั่นเป็นแค่มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของฉัน พระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นความจริงและพระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตมนุษย์ พระคัมภีร์เป็นแค่บันทึกพระราชกิจของพระเจ้า และไม่สามารถแทนที่พระราชกิจและพระวจนะในปัจจุบันของพระองค์ได้ หากเราในฐานะผู้เชื่อยึดติดอยู่กับพระคัมภีร์อย่างเดียว แต่ไม่ติดตามย่างพระบาทของพระเจ้าหรือยอมรับพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้าย เราจะเชื่อจนถึงบทอวสานแต่ไม่ได้ความรับความจริงและชีวิต

ฤดูร้อนวันหนึ่งในปี 2017 เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งหันมาพูดกับฉันอย่างเคร่งขรึมว่า “แม่ของคุณอาจจะติดต่อกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกนะ ฉันแนะนำให้คุณระวังไว้ให้ดี ฉันเคยได้ยินหนทางของพวกเขา พวกเขาไม่ทำตามพระคัมภีร์ พวกเขาไปไกลกว่านั้น” ฉันว่ามันไม่น่าเชื่อค่ะ แม่ของฉันเป็นมัคนายกของคริสตจักรที่มีพื้นฐานหนักแน่นในพระคัมภีร์ แล้วแม่จะติดต่อกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกได้ยังไง ฉันรู้สึกกังวลก็เลยตัดสินใจรีบกลับบ้านเพื่อดูด้วยตัวเอง

เมื่อฉันถึงบ้าน แม่ของฉันบอกฉันว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงแสดงพระวจนะมากมายและทำการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า แม่ขอให้ฉันดูพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันตอบว่า “ศิษยาภิบาลพูดเสมอว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจโดยพระเจ้า ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด การเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าหมายถึงการเชื่อในพระคัมภีร์ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า หนทางของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกนั้นเกินกว่าพระคัมภีร์และไกลห่างจากหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าติดต่อกับพวกเขาเลยค่ะ” แต่แม่ของฉันแค่ตอบอย่างนิ่มนวลว่า “แม่ไปชุมนุมกับคนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่สองสามวัน และแม่ได้เรียนรู้ความจริงบางอย่าง ข้อสงสัยส่วนใหญ่ที่แม่มีในความเชื่อของแม่ได้รับความกระจ่างแล้ว การสามัคคีธรรมของพวกเขามีการทรงนำและการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันเป็นสิ่งที่ศิษยาภิบาลไม่เคยเอ่ยขึ้นมาเลย การชุมนุมกับพวกเขาทั้งสนุกและหล่อเลี้ยงจิตใจแม่มากๆ การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซะก่อนสิ แล้วก็ฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิง” พอเห็นแม่ยืนกรานแบบนั้น ฉันก็ไม่พูดอะไรอีก ฉันกลับเข้าห้องตัวเองแล้วพิจารณาสิ่งที่แม่พูดอย่างใจเย็น แม่พูดถูก ฉันกำลังตัดสินฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอย่างขอไปทีโดยไม่ฟังพวกเขาก่อน นั่นไม่มีเหตุผลเลย แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ศิษยาภิบาลพูดเสมอว่าพระเจ้าทรงดลใจทุกสิ่งในพระคัมภีร์ นั่นคือรากฐานของความเชื่อของเรา นั่นก็ถูกต้องเหมือนกัน” ฉันเต็มไปด้วยอารมณ์ขัดแย้งและไม่รู้ว่าจะฟังใครดี ฉันอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและขอให้พระองค์ได้โปรดประทานการทรงนำแก่ฉัน เพื่อที่ฉันจะแยกแยะถูกผิดได้

วันต่อมาแม่ของฉันก็พูดย้ำว่าฉันควรตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แม่พูดว่าถ้าฉันพลาดโอกาสนี้ที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จะนึกเสียใจก็สายไปแล้ว แล้วฉันก็คิดว่า “แค่ไปดูว่าพวกเขาประกาศเรื่องอะไรก็คงได้มั้ง ฉันจะได้หาคำตอบว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงหรือเปล่า” สุดท้ายแล้ว ฉันก็ตกลงที่จะไปฟังการสามัคคีธรรมของพวกเขา ในการชุมนุม พี่น้องหยางจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พูดถึงเรื่องแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า รวมถึงว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามยังไง และพระเจ้าทรงพระราชกิจทีละขั้นตอนเพื่อความรอดของมนุษย์ยังไง ฉันไม่เคยได้ยินการสามัคคีธรรมที่ให้ความรู้แจ้งแบบนี้มาก่อน มันทำให้ฉันสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันตกลงใจตรวจสอบฟ้าแลบจากทิศตะวันออก

ครั้งหนึ่งฉันถามพี่น้องหยางในการชุมนุม “ศิษยาภิบาลพูดเสมอ ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจโดยพระเจ้าและพูดว่าทุกสิ่งในนั้นคือพระวจนะของพระองค์ แต่คุณพูดว่ามันไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดเพราะมันบรรจุคำพูดของมนุษย์ไว้ด้วย ทำไมคุณพูดแบบนั้นคะ” เขาตอบอย่างใจเย็นว่า “ผู้คนทางศาสนามากมายยังคงคิด ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจโดยพระเจ้า ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด แต่ไม่มีใครเคยสอบสวนว่ามันมีพื้นฐานตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ หรือไม่ ความจริงก็คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยตรัสแบบนั้น อีกทั้งองค์พระเยซูเจ้าก็ไม่เคยตรัสแบบนั้น และมันไม่มีเขียนอยู่ในหนังสือคำเผยพระวจนะเช่นกัน เปาโลพูดว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ เรารู้ว่าเปาโลเป็นเพียงคนธรรมดา ดังนั้นแล้วคำพูดของเขาจึงไม่ใช่ความจริง หากเราไม่สอบสวนข้อเท็จจริง แต่กำหนดเอาอย่างมืดบอดว่าทั้งหมดในพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าตามคำกล่าวนั้น จะไม่เป็นการไร้เหตุผลเหรอ ความเป็นจริงก็คือ แค่ส่วนหนึ่งของหนังสือคำเผยพระวจนะได้รับการดลใจโดยพระเจ้า และเป็นพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะทั้งหมดนั้นระบุไว้ชัดเจน อย่างเช่น ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า’ ‘พระยาห์เวห์ยังตรัสกับข้าพเจ้าว่า’ หรือ ‘นิมิตที่อิสยาห์ได้เห็น’ และอื่นๆ ที่เหลือเป็นคำพูดของมนุษย์ และส่วนใหญ่เป็นบันทึกที่มนุษย์เขียนถึงพระราชกิจของพระเจ้า จะไม่เป็นการสับสนและทำให้เข้าใจผิดเหรอหากเรายังคิดแบบนั้น โดยไม่มีพื้นฐานใดๆ ว่าคำพูดของมนุษย์ในพระคัมภีร์ ได้รับการดลใจโดยพระเจ้า ว่ามันคือพระวจนะของพระเจ้า นอกจากพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าและคำเผยพระวจนะในวิวรณ์ ส่วนมากพันธสัญญาใหม่ก็คือจดหมายของบรรดาสาวกกับอัครทูต ซึ่งเป็นความรู้ของมนุษย์ มีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในสิ่งเหล่านี้และคำพูดเหล่านี้สอดคล้องกับความจริง คำพูดเหล่านี้สอนใจอย่างแน่นอน แต่ก็ยังเป็นคำพูดของมนุษย์ จะเรียกว่าพระวจนะของพระเจ้า หรือได้รับการดลใจโดยพระเจ้าได้ยังไง พระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต และพระองค์เท่านั้นที่สามารถแสดงความจริงได้ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแสดงพระวจนะของพระเจ้า หรือแสดงความจริงได้ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และมนุษย์คือมนุษย์ คำพูดของมนุษย์กับพระวจนะของพระเจ้าไม่มีทางอยู่ในระดับเดียวกันได้ ถ้ามองว่าคำพูดของมนุษย์ ของเปาโล ในพระคัมภีร์เป็นของพระเจ้า งั้นนั่นก็เป็นการหมิ่นประมาท! แนวความคิด ที่ว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจโดยพระเจ้า และพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระองค์ทั้งหมด เป็นเพียงการตีความของมนุษย์ และไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง”

ฉันเห็นด้วยกับพี่น้องหยาง และการสามัคคีธรรมของเขา คำพูดของมนุษย์อยู่ในพระคัมภีร์อย่างแน่นอน มันไม่ใช่แค่ของพระเจ้า แต่ฉันไม่สามารถยอมรับได้ทั้งหมดในทันที ฉันคิดว่า “ทั้งโลกศาสนาคิดว่าพระเจ้าทรงดลใจพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นไปได้ไหมว่าทุกคนคิดผิด” ในตอนนั้น ฉันอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเงียบๆ “โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า หากเป็นความจริงที่ทั้งหมดในพระคัมภีร์ไม่ได้มาจากพระองค์ ก็ขอได้โปรดให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ และทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจ”

พี่น้องหยางพูดต่อไปว่า “หากพระคัมภีร์ทั้งเล่มได้รับการดลใจโดยพระเจ้า งั้นก็ไม่ควรมีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวในพระคัมภีร์นั้น แต่ความเป็นจริงก็คือพระคัมภีร์ประกอบด้วยข้อผิดพลาดมากมาย ดูอย่างเยโฮยาคีนทรงขึ้นครองบัลลังก์ มีกล่าวไว้ใน 2 พงศาวดาร 36:9 ‘เยโฮยาคีนมีพระชนมายุ 8 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 3 เดือนกับ 10 วัน’ แล้วใน 2 พงศ์กษัตริย์ 24:8 กล่าวว่า ‘เยโฮยาคีนมีพระชนมายุ 18 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 3 เดือน’ ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ทั้งคู่บันทึกว่าเยโฮยาคีนทรงครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ แต่ในตอนหนึ่งกล่าวว่า ‘8’ ในขณะที่อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า ‘18’ ตอนหนึ่งกล่าวว่าพระองค์ครองราชย์นาน 3 เดือนกับ 10 วัน แต่อีกตอนหนึ่งกล่าวว่าพระองค์ครองราชย์นาน 3 เดือน ยังมีการที่เปโตรปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าในพระวรสารทั้งสี่ด้วย ในมัทธิว 26:75 เขียนไว้ว่า ‘ก่อนไก่ขันท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง’ แต่แล้วในมาระโก 14:72 เขียนไว้ว่า ‘ก่อนไก่ขันสองหน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง’ เป็นเหตุการณ์เดียวกันแต่เห็นชัดว่าจังหวะเวลาขัดแย้งกัน นี่เป็นหลักฐานว่า บางส่วนของพระคัมภีร์เป็นบันทึกของมนุษย์ ไม่ใช่การดลใจของพระเจ้า”

การสามัคคีธรรมของพี่น้องหยางทำให้ฉันพูดไม่ออก ฉันคิดว่า “จริงด้วย! มีความไม่ลงรอยชัดเจนในข้อพระคัมภีร์บทต่างๆ ซึ่งบันทึกเหตุการณ์เดียวกัน หากมันมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ ก็ต้องไม่แตกต่างกันสิ” ก่อนหน้านั้น ฉันไม่เคยสังเกตปัญหาพวกนี้มาก่อน ฉันคิดว่าพระคัมภีร์ทั้งเล่มได้รับการดลใจโดยพระเจ้าและเป็นพระวจนะของพระองค์ทั้งหมด แต่ในตอนนั้นฉันสามารถเห็นข้อผิดพลาดในความเข้าใจนั้นได้

หลังจากการชุมนุม ฉันก็ครุ่นคิดถึงการสามัคคีธรรมของพี่น้องหยางอย่างจริงจัง และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางส่วนที่เราได้อ่านแล้วซ้ำอีกครั้ง “วันนี้ ผู้คนเชื่อว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคัมภีร์ ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อเช่นกันว่าข้อความทั้งหมดในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระเจ้าตรัส และว่าข้อความทั้งหมดนั้นพระเจ้าเป็นผู้ตรัส บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าคิดแม้กระทั่งว่า ถึงแม้ว่าหนังสือพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดหกสิบหกเล่มได้รับการเขียนขึ้นโดยผู้คน แต่หนังสือทุกเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นบันทึกถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือการจับใจความที่ผิดพลาดของมนุษย์ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างครบบริบูรณ์ อันที่จริงแล้ว นอกเหนือจากหนังสือการเผยพระวจนะแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่ของพันธสัญญาเดิมคือบันทึกทางประวัติศาสตร์ จดหมายฝากบางส่วนของพันธสัญญาใหม่มาจากประสบการณ์ของผู้คน และบางส่วนมาจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตัวอย่างเช่น จดหมายฝากของเปาโลเกิดขึ้นจากงานของมนุษย์ จดหมายฝากเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผลจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทั้งหมดได้รับการเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และเป็นคำพูดเตือนสติและหนุนใจสำหรับพี่น้องชายหญิงของคริสตจักร คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่พระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส—เปาโลไม่อาจพูดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ อีกทั้งท่านก็ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับการที่ท่านจะมองเห็นนิมิตที่ยอห์นได้พบเห็น จดหมายฝากของท่านเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรเอเฟซัส ฟิลาเดลเฟีย กาลาเทีย และคริสตจักรอื่นๆ… หากผู้คนเห็นว่าจดหมายฝากหรือคำพูดเช่นของเปาโลเป็นถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนมัสการคำพูดเหล่านั้นเป็นพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็สามารถพูดได้เพียงว่าพวกเขาช่างขาดการพิจารณาจนเกินไปเท่านั้น หากพูดอย่างกระด้างขึ้นก็คือ นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การหมิ่นประมาทหรอกหรือ? มนุษย์จะสามารถพูดในนามของพระเจ้าได้อย่างไร? แล้วผู้คนจะสามารถกราบไหว้ต่อหน้าบันทึกของจดหมายฝากของท่าน และคำพูดที่ท่านพูดเสมือนเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือหนังสือจากสวรรค์ได้อย่างไร? มนุษย์คนหนึ่งสามารถเปล่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไม่ต้องคิดมากหรือ? มนุษย์จะสามารถพูดในนามของพระเจ้าได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3)) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงให้ความกระจ่างว่าอะไรในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า และอะไรเป็นคำพูด ประสบการณ์ และความเข้าใจของมนุษย์ ฉันเกิดความแน่ใจว่าพระคัมภีร์ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด และฉันตระหนักว่าพระวจนะจากพระยาห์เวห์พระเจ้า องค์พระเยซูเจ้า บรรดาผู้เผยพระวจนะได้รับการดลใจโดยพระเจ้า และคำเผยพระวจนะในวิวรณ์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นคำพูดและบันทึกของมนุษย์

วันต่อมาในการชุมนุมฉันบอกกับพี่น้องหยาง “ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วค่ะ คำพูดของเปาโลที่ว่า ‘พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า’ นั้นไม่จริงเสียทีเดียว แต่ฉันยังสับสนบางเรื่องค่ะ ศิษยาภิบาลของเรากล่าวว่า พระคัมภีร์เป็นรากฐานของความเชื่อของคริสตชน ว่าพระคัมภีร์เป็นตัวแทนของพระเจ้า และการที่เรายึดตามพระคัมภีร์ เป็นทางเดียวที่จะเชื่อในพระเจ้า ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันถูกต้องไหม”

พี่น้องหยางพูดว่า “คนมากมายในโลกศาสนาก็มีมุมมองเดียวกันนี้ พวกเขาวางพระคัมภีร์ในระดับเดียวกันกับพระเจ้า นั่นจะเป็นการสอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เหรอ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกชีวิต พระองค์ประทานน้ำที่ไหลรินซึ่งไม่เคยเหือดแห้งแก่เรา ความอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้านั้นไม่มีสิ้นสุด ในทางกลับกัน พระคัมภีร์เป็นแค่บันทึกพระราชกิจของพระเจ้า มันเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ และบันทึกพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์ก็มีจำกัดมาก มันจะเท่าเทียมพระเจ้าได้ยังไง มันจะเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ยังไง” ยิ่งไปกว่านั้น เขาให้ฉันดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “นับตั้งแต่เวลาที่มีพระคัมภีร์เป็นต้นมา การเชื่อของผู้คนในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าผู้คนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นเชื่อในพระคัมภีร์ และแทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คงเป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่ต่อหน้าพระคัมภีร์ ด้วยวิธีนี้ ผู้คนนมัสการพระคัมภีร์เสมือนว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า เสมือนว่าพระคัมภีร์คือโลหิตแห่งชีวิตของพวกเขา และการสูญเสียพระคัมภีร์ก็คงจะเหมือนกับการสูญเสียชีวิตของพวกเขา ผู้คนมองว่าพระคัมภีร์สูงส่งเท่ากับพระเจ้า และมีแม้กระทั่งผู้ที่มองว่าพระคัมภีร์สูงส่งกว่าพระเจ้า หากผู้คนปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้—แต่ทันทีที่พวกเขาสูญเสียพระคัมภีร์ หรือสูญเสียบทและคำคมที่ขึ้นชื่อจากในพระคัมภีร์ ก็เสมือนกับว่าพวกเขาได้สูญเสียชีวิตของพวกเขาไปแล้ว (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของเราภายในขอบเขตของพระคัมภีร์เท่านั้นและพวกเขาถือว่าเราเทียบเท่าพระคัมภีร์ กล่าวคือไม่มีพระคัมภีร์ไม่มีเราและไม่มีเราไม่มีพระคัมภีร์ พวกเขาไม่ใส่ใจต่อการดำรงอยู่หรือการกระทำของเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับอุทิศการให้ความสนใจอย่างที่สุดและเป็นพิเศษให้กับทุกๆ คำในพระคัมภีร์ ผู้คนอีกมากมายกว่านั้นถึงกับเชื่อว่าเราไม่ควรทำสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาจะทำเว้นแต่จะถูกบอกไว้ล่วงหน้าโดยพระคัมภีร์ พวกเขาให้ความสำคัญกับพระคัมภีร์มากเกินไป อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของวจนะและการแสดงออกต่างๆ มากเกินไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเขาจะใช้ข้อพระคัมภีร์จากพระคัมภีร์มาวัดทุกคำที่เราพูดและเพื่อกล่าวโทษเรา สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่หนทางแห่งการเข้ากันได้กับเราหรือหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง แต่เป็นหนทางแห่งการเข้ากันได้กับวจนะของพระคัมภีร์และพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไม่ใช่งานของเราโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พงศ์พันธุ์ผู้เคร่งครัดต่อหน้าที่ของพวกฟาริสีหรอกหรือ? พวกฟาริสีชาวยิวใช้ธรรมบัญญัติของโมเสสกล่าวโทษพระเยซู พวกเขาไม่ได้แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเยซูในเวลานั้น แต่ทำตามธรรมบัญญัติอย่างขยันขันแข็งตามตัวอักษร จนถึงขอบข่ายที่—หลังจากที่ได้ตั้งข้อหาแก่พระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและไม่ใช่พระเมสสิยาห์แล้ว—พวกเขาได้ตอกตรึงพระเยซูผู้ไร้ความผิดเข้ากับกางเขนในท้ายที่สุด อะไรคือแก่นแท้ของพวกเขา? มิใช่การที่พวกเขาไม่ได้แสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริงหรอกหรือ? พวกเขาหมกมุ่นกับทุกๆ คำในพระคัมภีร์ในขณะที่ไม่ใส่ใจทั้งต่อเจตจำนงของเราและต่อขั้นตอนและวิธีการทำงานของเรา พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริง แต่เป็นผู้คนที่เกาะติดอย่างตายตัวอยู่กับวจนะ พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้คนที่เชื่อในพระคัมภีร์ โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือสุนัขเฝ้าพระคัมภีร์ เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์นานาของพระคัมภีร์ เพื่อค้ำจุนความทรงเกียรติของพระคัมภีร์และเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของพระคัมภีร์ พวกเขาถึงกับตอกตรึงพระเยซูผู้ทรงเปี่ยมปรานีไว้กับกางเขน พวกเขาทำสิ่งนี้ก็แค่เพื่อประโยชน์แห่งการปกป้องพระคัมภีร์เท่านั้นและเพื่อประโยชน์แห่งการธำรงสถานะของทุกๆ คำในพระคัมภีร์ไว้ในหัวใจของผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงพอใจที่จะเลือกละทิ้งอนาคตของพวกเขาและเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อกล่าวโทษพระเยซูผู้ไม่ทรงปฏิบัติตามคำสอนของพระคัมภีร์จนถึงแก่ความตาย พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เป็นข้ารับใช้ของทุกๆ คำในพระคัมภีร์หรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์)

แล้วเขาก็อธิบายกับเราว่า “เราต้องรู้ว่าหากเราหลับหูหลับตาเชิดชูพระคัมภีร์ หรือแม้แต่ใช้พระคัมภีร์เพื่อแทนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ นั่นก็เป็นการเชื่อในพระคัมภีร์และไม่ใช่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า การยึดมั่นในพระคัมภีร์โดยไม่ติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า หรือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นการต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกฟาริสีทั้งหมดนับถือพระคัมภีร์เหนือสิ่งอื่นใด และจะยึดมั่นตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกเขารับรู้ได้ว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจแต่พวกเขาไม่แสวงหา หรือสอบสวน พวกเขาแค่พยายามจับผิด โดยกล่าวว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์นั้นเกินกว่าพันธสัญญาเดิม พวกเขาจึงกล่าวโทษพระองค์ แล้วสมคบคิดกันตรึงกางเขนพระองค์ นี่ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองและพวกเขาก็ถูกลงโทษ ผู้คนในโลกศาสนายังนมัสการพระคัมภีร์อย่างมืดบอดในยุคสุดท้ายด้วย และพวกเขาถึงขนาดวางพระคัมภีร์เหนือพระเจ้าพระองค์เอง เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความจริงเพื่อทรงทำการพิพากษาในยุคสุดท้าย พวกเขาก็ไม่ตรวจสอบ พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง เพราะมันไม่อยู่ในพระคัมภีร์ นั่นแตกต่างจากตอนที่พวกฟาริสีทั้งหมดยึดติดกับพระคัมภีร์และต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงไหน มันชัดเจนว่าการนมัสการพระคัมภีร์อย่างเดียวโดยไม่แสวงหา พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า เป็นสิ่งผิด และเป็นปฏิปักษ์กับหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

พอได้ยินทั้งหมดนี้ฉันก็ละอายใจมากและเชื่อมั่นอย่างสุดใจ ฉันเห็นว่าฉันเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตลอด ฉันเห็นว่าฉันไม่ได้แสวงหาน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าในความเชื่อของฉัน แต่เชื่อสิ่งที่ศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสพูดอย่างมืดบอด ฉันเคยคิดว่าพระราชกิจและพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์ คิดว่าพระคัมภีร์เป็นตัวแทนขององค์พระผู้เป็นเจ้า อะไรอื่นไม่ใช่ความเชื่อในพระองค์ เช่นนี้ฉันไม่ได้กำลังทำผิดพลาดแบบเดียวกับพวกฟาริสีหรอกเหรอ ฉันรู้สึกชื่นชมพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างมาก ฉันคิดว่า “พระวจนะของพระองค์อธิบายความจริงเกี่ยวกับพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วนมาก ยิ่งกว่านั้นพระวจนะเหล่านั้นตีแผ่ทัศนคติของมวลมนุษย์ที่มีต่อพระคัมภีร์อย่างสมบูรณ์ด้วยซ้ำ ฉันสงสัยว่าหรือนี่จะเป็นพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ”

พี่น้องหยางทำการสามัคคีธรรมของเขาต่อไป “ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพื่อปฏิเสธคุณค่าของพระคัมภีร์ แต่เพื่อ ให้เราสามารถเข้าหาพระคัมภีร์ได้อย่างเหมาะสม องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต(ยอห์น 5:39-40) พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้านั้นชัดเจน พระคัมภีร์เป็นพยานต่อพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นแค่บันทึกพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ถ้าเรายึดติดในพระคัมภีร์อย่างเดียวโดยไม่ติดตามพระคริสต์หรือนบนอบต่อพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า แม้จะมีความเชื่อตลอดชีวิต เราก็จะไม่ได้รับความจริง นับประสาอะไรกับชีวิตนิรันดร์ เราสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์ด้วยการติดตามพระคริสต์เท่านั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนในยุคพระคุณเพื่อไถ่มวลมนุษย์ และให้หนทางเราได้กลับใจ แม้ว่าบาปของเราจะสามารถได้รับการอภัยด้วยการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของเราจะยังคงอยู่ เรายังคงดำรงอยู่ต่อไปในสภาพของการทำบาปแล้วสารภาพ เรายังไม่รอดพ้นจากบาป อีกทั้งไม่ได้รับการชำระให้สะอาด องค์พระเยซูเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้นพระองค์จะทรงปล่อยให้ผู้คนที่ยังทำบาปและต่อต้านพระองค์เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง นั่นเป็นเหตุผลที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งเพื่อตรัสและกระทำพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด และนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48) อีกอย่าง มีกล่าวไว้ใน 1 เปโตรว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระองค์กำลังทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษา และพระองค์กำลัง ทรงแสดงความจริงทั้งมวลเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด ตัวอย่างเช่น วิธีการรู้จักพระเจ้า รวมถึงพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าสามระยะและผลที่ออกมา วิธีที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม วิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด วิธีที่จะเข้าใจความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของเราที่เกิดขึ้นเพราะซาตาน และวิธีที่จะได้รับการชำระอุปนิสัยเสื่อมทรามของเราให้สะอาด นอกจากนี้ยังมีความหมายของความกลัว ความรัก และการนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และอื่นๆ อีกมาก พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้คำเผยพระวจะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วง ด้วยการติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดก ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และก้าวผ่านการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะสามารถได้รับความจริงและชีวิตและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”

ฉันอยากให้เราดูวิดีโอพระวจนะของพระเจ้าที่พี่น้องหยางให้ดูอีกสองตอนดังนี้ค่ะ “พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิต และความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์และความจริงก็ดำรงอยู่ร่วมกัน พวกที่ไม่สามารถได้รับความจริงจะไม่มีทางได้รับชีวิต หากปราศจากการทรงนำ การสนับสนุน และการจัดเตรียมความจริง เจ้าจะได้รับเพียงตัวอักษร คำสอน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความตายเท่านั้น พระชนม์ชีพของพระเจ้าเป็นปัจจุบันตลอดกาล และความจริงและพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นดำรงอยู่ร่วมกัน หากเจ้าไม่สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงของชีวิต หากเจ้าไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และดังนั้น นอกเหนือจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ แล้ว ร่างกายทั้งร่างของเจ้าจะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเนื้อหนังของเจ้า—เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของเจ้า จงรู้ไว้ว่าคำพูดในหนังสือนั้นไม่นับว่าเป็นชีวิต บรรดาบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สามารถได้รับการสักการบูชาประหนึ่งว่าเป็นความจริงได้ และกฎระเบียบต่างๆ ในอดีตก็ไม่สามารถใช้เป็นการเล่าเรื่องราวของพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าในปัจจุบัน มีเพียงสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่เป็นความจริง ชีวิต น้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์ พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)

การฟังวิดีโอนี้ให้ความสว่างแก่หัวใจฉันจริงๆ ฉันตระหนัก ว่าถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะเป็นบันทึกของพระราชกิจในอดีตของพระเจ้า พระคัมภีร์ก็ไม่ใช่แหล่งกำเนิดของชีวิต ฉันเห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตเรา เราไม่สามารถยึดติดอยู่กับพระคัมภีร์ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเชื่อฟังพระราชกิจและพระวจนะในปัจจุบันของพระเจ้า ฉันรู้โดยไม่มีข้อกังขาว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นพระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อธิบายมโนคติที่หลงผิดของเราและเรื่องราวแท้จริงเบื้องหลังพระคัมภีร์อย่างครบถ้วน ใครอีกจะสามารถตรัสทั้งหมดนั้นด้วยสิทธิอำนาจเช่นนี้หากไม่ใช่พระเจ้า ตลอดสองสามวันต่อจากนั้น ฉันคว้าทุกโอกาสเพื่อสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพี่น้องชายหญิง ฉันได้รับความเข้าใจบางประการเรื่องการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าและวิธีการที่พระเจ้าทรงพิพากษามนุษย์ในยุคสุดท้าย รวมถึงความเชื่อแบบไหนที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง นอกจากนี้ฉันยังได้เรียนรู้ถึงผลลัพธ์และบั้นปลายของผู้คน รวมถึงความจริงอื่นๆ อีกพอควร ฉันค่อนข้างแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา และฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ค่ะ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความล้ำลึกแห่งการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดย หลี่ชุนเม่ย, เกาหลีใต้ ฉันได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อปี 2012 ค่ะ ฉันได้ยินศิษยาภิบาลพูดในการชุมนุมบ่อยๆ ว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger