พระเจ้าทรงมีเพศซึ่งเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ข้าพเจ้าค้นพบการตีความใหม่ประการหนึ่ง (ภาคที่ 2)
โดย เป่าเอิน บราซิล ความล้ำลึกของ “พระบิดา และพระบุตร” ได้รับการเปิดเผยแล้วในที่สุด แม้ว่า ข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความจริงนี้แล้ว...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว วิถีทางดั้งเดิมของผู้คนเกี่ยวกับการเชื่อ (วิถีทางของศาสนาคริสต์ หนึ่งในสามศาสนาใหญ่ของโลก) คือการอ่านพระคัมภีร์ การแยกตัวจากพระคัมภีร์ไม่ใช่การเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า การแยกจากพระคัมภีร์คือความนอกคอกและความนอกรีต และถึงแม้ว่าผู้คนจะอ่านหนังสืออื่นๆ แต่รากฐานของหนังสือเหล่านั้นก็ต้องเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ กล่าวคือ หากเจ้าเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ และนอกเหนือจากพระคัมภีร์แล้ว เจ้าต้องไม่นมัสการหนังสือเล่มใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ หากเจ้าทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระเจ้า นับตั้งแต่เวลาที่มีพระคัมภีร์เป็นต้นมา การเชื่อของผู้คนในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าผู้คนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นเชื่อในพระคัมภีร์ และแทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คงเป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่ต่อหน้าพระคัมภีร์ ด้วยวิธีนี้ ผู้คนนมัสการพระคัมภีร์เสมือนว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า เสมือนว่าพระคัมภีร์คือโลหิตแห่งชีวิตของพวกเขา และการสูญเสียพระคัมภีร์ก็คงจะเหมือนกับการสูญเสียชีวิตของพวกเขา ผู้คนมองว่าพระคัมภีร์สูงส่งเท่ากับพระเจ้า และมีแม้กระทั่งผู้ที่มองว่าพระคัมภีร์สูงส่งกว่าพระเจ้า หากผู้คนปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้—แต่ทันทีที่พวกเขาสูญเสียพระคัมภีร์ หรือสูญเสียบทและคำคมที่ขึ้นชื่อจากในพระคัมภีร์ ก็เสมือนกับว่าพวกเขาได้สูญเสียชีวิตของพวกเขาไปแล้ว…พระคัมภีร์ได้กลายเป็นรูปเคารพในจิตใจของผู้คน ได้กลายเป็นปริศนาในสมองของพวกเขา และพวกเขาเพียงแค่ไม่สามารถเชื่อว่าพระเจ้าสามารถทรงพระราชกิจภายนอกพระคัมภีร์ได้ พวกเขาไม่สามารถเชื่อว่าผู้คนสามารถพบพระเจ้าภายนอกพระคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะเชื่อได้ว่าพระเจ้าสามารถแยกทางจากพระคัมภีร์ในระหว่างพระราชกิจขั้นสุดท้ายและเริ่มต้นใหม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนคิดไม่ถึง พวกเขาไม่สามารถเชื่อสิ่งนี้ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งนี้ได้ พระคัมภีร์ได้กลายเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ต่อการที่ผู้คนจะยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า และเป็นความลำบากยากเย็นต่อการที่พระเจ้าจะทรงขยายพระราชกิจใหม่นี้ให้กว้างไกล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เผยให้เห็นปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่ก่อนนี้ เมื่อก่อนตอนที่ฉันนับถือศาสนา ฉันคิดว่าความเชื่อในพระคัมภีร์คือความเชื่อในพระเจ้า ฉันถึงกับเชื่อว่าพระคัมภีร์สูงส่งกว่าพระเจ้าด้วยซ้ำ บทพระคัมภีร์ต่างๆ โดยเฉพาะบทดั้งเดิมเป็นสิ่งที่ฉันเกาะติด ฉันไม่ได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะ เมื่อถึงตอนของการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันได้ยินใครบางคนเป็นพยานว่า องค์พระเยซูเจ้า เสด็จกลับมาในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตรัสความจริง ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย แต่ฉันก็ไม่ได้แสวงหามัน ฉันเกือบพลาดโอกาสในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันไป การทรงชี้นำอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า อนุญาตให้ฉันต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้าย ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
ฉันรับบัพติศมา และยอมรับองค์พระเยซูเจ้าอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2001 จากนั้น ก็ได้กลายมารับใช้คริสตจักรอย่างแข็งขัน แต่ในไม่ช้า ฉันก็พบว่า ศิษยาภิบาลนำคำเทศนาเดิมๆ กลับมาใช้ และไม่มีสิ่งใหม่ๆ มาเทศนา ท่านยังโกงเงินกองทุนของคริสตจักรอีกด้วย เพื่อนร่วมงานต่างแข่งขันกันสร้างสถานะอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ น่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ฉันจึงถอนตัวจากการรับใช้คริสตจักร ในช่วงสองสามปีต่อจากนั้น ฉันอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานอยู่เรื่อยๆ แต่ฉันรู้สึกถึงความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณอยู่เสมอ ฉันเริ่มค้นหาหนทางที่ดีกว่า หวังจะค้นพบคริสตจักร หรือการชี้นำทางจิตวิญญาณที่มีพระราชกิจของ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สามารถบรรเทาความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณของฉันได้
ตอนนั้นเอง ที่ฉันได้พบกับพี่สาวลีทางอินเทอร์เน็ต ในปี ค.ศ.2018 เธอบอกกับฉันว่า เธอกำลังตรวจดูคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่ ที่ว่า องค์พระเยซูเจ้า เสด็จกลับมาในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และฉันควรลองเข้าไปดูมันด้วยเช่นกัน ฉันรู้สึกตกใจ และคิด “ศิษยาภิบาล และ ผู้ปกครอง มักพูดเสมอว่า พระคัมภีร์คือบรรทัดฐานที่แท้จริงของคริสตชน และมีอำนาจสิทธิ์ขาด ความเชื่อของเราขึ้นอยู่กับพระคัมภีร์ และสิ่งอื่นใดคือความนอกรีต หนทางของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปเกินกว่าพระคัมภีร์ ดังนั้น ไม่ว่ามันจะฟังดูดีแค่ไหนก็ตาม พวกเราไม่อาจฟัง อ่าน หรือแม้กระทั่งติดต่อกับมันได้” ฉันปฏิเสธพี่สาวลีไปอย่างสุภาพ แต่จากนั้น ฉันรู้สึกไม่สบายใจกับทั้งหมดนั้นเล็กน้อย และคิดว่า “การเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์เพียงให้ฉันปฏิเสธอย่างมืดบอดที่จะไม่ดูมันเลยอย่างนั้นหรือ? องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย’ (มัทธิว 5:3) ฉันควรแสวงหาด้วยใจที่เปิด เมื่อได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา” แต่เมื่อฉันคิดถึงคำของศิษยาภิบาล ฉันก็ไม่กล้า ฉันกระสับกระส่าย และพลิกตัวไปมาในคืนนั้น ไม่อาจหลับลงได้ ฉันรู้สึกขัดแย้งอย่างมาก และไม่รู้ว่าฉันจะทำสิ่งใด รู้สึกหลงทาง ฉันอธิษฐานต่อหน้าพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้นำ ให้ฉันเลือกทางที่ถูก ในสองวันต่อมา ฉันพบข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เกี่ยวกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และหนทางของคริสตจักรมากขึ้น ฉันลังเลเมื่อเห็นข่าวในทางลบบางส่วน ฉันตั้งคำถามว่า “ฉันควรจะเข้าไปดูมันไหม?” แต่จากนั้น ฉันจำได้ว่าการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นสำคัญขนาดไหน ฉันไม่ควรฟังคนอื่น หรือตามฝูงชนไปอย่างมืดบอด ฉันต้องศึกษามันอย่างจริงจัง ฉันเข้าไปค้นหาเว็บไซต์ และวิดีโอต่างๆ ของคริสตจักร แล้วฉันก็พบมิวสิควิดีโอเพลงสรรเสริญที่เรียกว่า “อาณาจักรของพระคริสต์คือบ้านที่อบอุ่น” มันช่างอบอุ่นใจเหลือเกิน ฉันถูกดึงเข้าไปทันที ฉันดูส่วนที่เหลือของเว็บไซต์ไปทั่ว และได้เห็นวิดีโอ กับ ภาพยนตร์ที่ดีเยี่ยมหลายประเภท ที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำขึ้นมา รวมถึงชิ้นงานเพลงประสานเสียง มิวสิควิดีโอ ภาพยนตร์พระกิตติคุณ เพลงสวดตามพระวจนะของพระเจ้า เพลงสรรเสริญ บวกกับภาพนยตร์ที่เกี่ยวกับคำพยานประสบการณ์ ทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยพลังจริงๆ พร้อมกับเป็นบทเรียนที่ดีเยี่ยม มันกระทบใจฉันมาก ฉันเริ่มดูไล่ไปทีละเรื่อง
ดูมากกว่าสิบสองเรื่องในสัปดาห์นั้น ฉันพบว่าสามัคคีธรรมที่อยู่ในนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง และให้ความรู้แจ้ง มันแสดงให้เห็นว่า ทำไมโลกศาสนาจึงว่างเปล่า และขาดพระราชกิจของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และมันยังชัดเจนเป็นอย่างยิ่งด้วยว่า พวกเราควรต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร วิดีโอต่างๆ ยังอธิบายด้วยว่าผู้ใดที่พระเจ้าทรงอวยพร และผู้ใดที่พระองค์ทรงลงโทษ และอื่นๆ อีก ปัญหาและคำถามยุ่งยากมากมายที่ฉันมีมานานหลายปีก็มลายหายไป ฉันรู้สึกว่าภาพยนตร์ของคริสตจักรนั้น ช่างมีประโยชน์ และเติมเต็มเป็นอย่างยิ่ง มันยิ่งทำให้ฉันคิด คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่เห็นจะนอกรีตเลย! ถ้าคริสตจักรไม่ดีจริง พวกเขาสามารถทำภาพยนตร์เหล่านี้ที่ให้ความรู้แจ้ง และ เติมเต็มเป็นอย่างยิ่งได้อย่างไรกัน? นิกายต่างๆ ทั้งหมดต่างอ้างว่าเป็นความเชื่อที่แท้จริง เป็นขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่ไม่มีใครอื่นเคยทำภาพยนตร์เกี่ยวกับการเป็นพยานให้กับพระเจ้าจำนวนมาก ฉันยังคิดถึงที่ศิษยาภิบาล และผู้อาวุโส พูดอีกด้วย ว่าผู้เชื่อที่แท้จริงจำนวนมาก จากหลากหลายนิกายยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และมีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อยู่ทั่วโลกในตอนนี้ มันทำให้ฉันนึกถึงสิ่งที่กามาลิเอลพูด คือ “ถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ มันจะล่มสลายไปเอง แต่ถ้ามาจากพระเจ้า พวกท่านจะไม่สามารถทำลายพวกเขาได้ เกรงว่าพวกท่านกลับจะเป็นฝ่ายสู้รบกับพระเจ้า” (กิจการ 5:38-39) สิ่งใดที่มาจากพระเจ้าต้องเจริญงอกงาม และดูเหมือนจะเป็นไปได้มากว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาจากพระเจ้าโดยแท้ แต่ฉันยังมีคำถามอีกมาก ได้แก่ “โดยเฉพาะหนังสือเล่มนี้ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ถูกกล่าวถึงในภาพยนตร์ทุกเรื่องของพวกเขา ทำไมสมาชิกคริสตจักรของพวกเขาจึงไม่อ่านพระคัมภีร์? นั่นไม่ใช่การละทิ้งพระคัมภีร์หรอกหรือ? ศิษยาภิบาล และผู้ปกครอง มักพูดซ้ำๆ เสมอ ว่าพระคัมภีร์คือบรรทัดฐานของคริสตชน และมีอำนาจสิทธิ์ขาด และว่าสิ่งสำคัญที่สุด เหนือสิ่งอื่นใดคือการติดตามพระคัมภีร์ และสิ่งอื่นใดที่นอกไปจากนั้นคือความนอกรีต” ฉันคิดแล้วคิดอีก แต่ไม่ว่าจะวนไปกี่รอบก็ตาม ฉันก็ยังคิดไม่ตก พระวจนะจากองค์พระเยซูเจ้าเหล่านี้ ทรงมาหาฉันในตอนนั้นเอง “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” (มัทธิว 7:7) ฉันบอกกับตัวเองว่า “เพราะผู้คนพูดว่า องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา ไม่ว่าฉันมีความกังขามากเพียงใดก็ตาม หากมีโอกาสเป็นจริง แม้เพียงน้อยที่สุดก็ตาม ฉันต้องไล่ตามเสี้ยวของความหวังนั้น ฉันไม่อาจเสียโอกาสในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้”
ครั้งหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังดูเว็บไซต์ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่นั้น ฉันได้ดูคลิปจากภาพยนตร์เรื่อง จงออกมาจากพระคัมภีร์ และหัวข้อ “พระเจ้าทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์หรือไม่?” พุ่งเข้าใส่ฉันเกือบจะในทันทีทันใด ฉันแทบจะรอไม่ไหว ฉันเริ่มดูภาพยนตร์ตอนนั้นและตรงนั้น และเห็นพี่สาวหวัง ผู้ประกาศข่าวประเสริฐถามศิษยาภิบาลว่า “ท่านพูดว่า พระเจ้าทรงไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์เพื่อทรงพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ ว่าสิ่งใดภายนอกพระคัมภีร์คือความนอกรีต จริงๆ แล้ว สิ่งใดมาก่อนกัน พระคัมภีร์ หรือพระราชกิจของพระเจ้า?” เมื่อฉันได้ยินคำถามนั้น ฉันก็ได้ยินจิตใต้สำนึกของฉันเอ่ยว่า “แน่นอน พระราชกิจของพระเจ้ามาก่อนพระคัมภีร์!” พี่สาวหวังพูดว่า “ในช่วงเริ่มต้น พระเจ้าทรงสร้างสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงบันดาลให้น้ำท่วมโลก พระองค์ทรงเผาเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และยังมีอีก พันธสัญญาเดิมมีอยู่หรือไม่ ตอนที่พระองค์ทรงบันดาลให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างต่างๆ นั้น?” จิตใต้สำนึกของฉันบอกคำตอบกับฉันว่า “ไม่ พระเจ้าคือจุดเริ่มต้น พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวล ก่อนแม้กระทั่งจะมีหมวดข้อเขียน ที่ด้อยกว่าพระคัมภีร์อยู่มาก!” พี่สาวหวังพูดต่อไปว่า “ไม่มีข้อพระคัมภีร์ในช่วงที่พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ นั่นคือ พระราชกิจของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงก่อน จากนั้นจึงเขียนลงในข้อพระคัมภีร์ต่างๆ และเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจในยุคพระคุณ ก็ไม่มีพันธสัญญาใหม่ กว่าสามร้อยปีต่อมา มีการประชุมจากการรวมตัวของผู้นำทางศาสนาจำนวนมาก จากทั่วโลก พวกเขาเลือกพระกิตติคุณสี่เล่ม ให้เป็นบันทึกพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าที่ได้รับเลือก และยังเพิ่มเติมจดหมายของอัครทูตบางส่วนให้กับคริสตจักรต่างๆ อีกด้วย และวิวรณ์ที่ได้รับการบันทึกโดยยอห์น พวกเขารวบรวมทั้งหมดนี้ ไว้ในสิ่งที่พวกเรารู้จักกันว่า พันธสัญญาใหม่ พวกเราสามารถดูได้จากกระบวนการจัดทำพระคัมภีร์ ที่พระราชกิจของพระเจ้าทรงมาก่อน จากนั้นจึงเขียนลงในพระคัมภีร์ ปราศจากพระราชกิจของพระเจ้า แม้กระทั่งพระคัมภีร์ก็จะไม่มีอยู่จริง กล่าวคือ พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์ และไม่ทรงถูกจำกัดด้วยพระคัมภีร์ พระองค์ทรงพระราชกิจตามแผนการของพระองค์เอง และตามความจำเป็นของมนุษยชาติ ดังนั้นแล้ว พวกเราไม่สามารถจำกัดพระราชกิจของพระเจ้าไว้กับสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้นอย่างเด็ดขาด หรือ ใช้พระคัมภีร์มาจำกัดพระราชกิจของพระองค์ พวกเราไม่สามารถอ้างได้เลยว่า สิ่งใดเกินกว่าพระคัมภีร์คือความนอกรีต”
พี่สาวหยางจากภาพยนตร์ได้แบ่งปันสามัคคีธรรมที่มีประโยชน์อีกมากหลังจากนั้น ได้แก่ “องค์พระเยซูเจ้า มิได้ทรงพระราชกิจตามพันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงเทศนาหนทางของการกลับใจ ทรงรักษาคนป่วย และทรงขับไล่พวกมาร กระทั่งทรงพระราชกิจในวันสะบาโต ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเขียนอยู่ในข้อพระคัมภีร์ ณ เวลานั้น ยิ่งดูเหมือนว่ามันจะขัดแย้งกับธรรมบัญญัติของพันธกิจเดิม ผู้นำปุโรหิต อาลักษณ์ และพวกฟาริสีทั้งหมด กล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า เพราะพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ขัดกับข้อพระคัมภีร์นั่นเอง ถ้าพวกเราพูดอะไรก็ตามภายนอกพระคัมภีร์ คือความนอกรีตแล้วล่ะก็ จะไม่เป็นการกล่าวโทษพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าตลอดยุคต่างๆ อย่างนั้นหรอกหรือ?”
ฉันตกใจ และตระหนักในทันที ว่านั่นคือความจริง องค์พระเยซูเจ้าทรงเทศนา และ ทรงพระราชกิจในวันสะบาโต ทรงรักษาคนป่วย และทรงขับไล่พวกมาร ไม่เคยมีสิ่งใดตามนั้นถูกกล่าวถึงในพันธกิจเดิม เนื่องจากพระราชกิจของพระองค์ไปไกลเกินกว่าข้อพระคัมภีร์ ผู้นำปุโรหิต อาลักษณ์ และโดยเฉพาะพวกฟาริสี กล่าวโทษพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ว่าคือความนอกรีต และท้ายที่สุดก็ตรึงกางเขนพระองค์จนสิ้นพระชนม์ชีพ พวกเขาถูกลงโทษโดยพระเจ้า หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาจริง และพวกเราเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่พระคัมภีร์คือความนอกรีต จะไม่เป็นการกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นการล่วงละเมิดต่อพระเจ้า! ความคิดนี้ทำให้ฉันกลัวจริงๆ ขึ้นมาเล็กน้อย ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถยึดติดกับความคิดเดิมได้อีกต่อไป ฉันดูต่อไป
พี่สาวในภาพยนตร์อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองสามบท “ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์ ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)) “พระคัมภีร์คือหนังสือประวัติศาสตร์ และหากเจ้าได้กินและดื่มพันธสัญญาเดิมในระหว่างยุคพระคุณแล้ว—หากเจ้าได้นำสิ่งที่เป็นข้อพึงประสงค์ในกาลสมัยของพันธสัญญาเดิมในระหว่างยุคพระคุณมาปฏิบัติแล้ว—พระเยซูก็คงจะทรงละทิ้งเจ้าและกล่าวโทษเจ้า หากเจ้าได้นำพันธสัญญาเดิมมาประยุกต์ใช้กับพระราชกิจของพระเยซู เจ้าก็คงจะได้เป็นพวกฟาริสี หากวันนี้เจ้านำพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่มารวมกันเพื่อกินและดื่มและปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าในวันนี้จะกล่าวโทษเจ้า เจ้าจะไล่ตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ไม่ทันแล้ว! หากเจ้ากินและดื่มพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะอยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์! ในระหว่างกาลสมัยของพระเยซู พระเยซูทรงนำคนยิวและบรรดาผู้คนที่ติดตามพระองค์โดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระองค์ในเวลานั้น พระองค์ไม่ได้ทรงนำพระคัมภีร์มาเป็นพื้นฐานของสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พระองค์ตรัสไปตามพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงสำรวจค้นเส้นทางที่จะนำผู้ติดตามของพระองค์ในพระคัมภีร์ นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจ พระองค์ทรงเผยแพร่หนทางแห่งการกลับใจ—ซึ่งเป็นคำที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงไว้ในคำเผยพระวจนะทั้งหลายของพันธสัญญาเดิมโดยสิ้นเชิง พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่ทรงปฏิบัติตามพระคัมภีร์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงนำเส้นทางใหม่และทรงพระราชกิจใหม่ด้วย พระองค์ไม่เคยทรงอ้างอิงถึงพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ทรงเทศนาเลย ในระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้น ไม่เคยมีผู้ใดมีความสามารถที่จะกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ในการรักษาคนป่วยและขับไล่พวกปีศาจได้ ดังนั้น พระราชกิจของพระองค์ คำสอนของพระองค์ และสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระองค์จึงเกินกว่ามนุษย์คนใดในยุคธรรมบัญญัติเช่นเดียวกัน พระเยซูเพียงทรงพระราชกิจของพระองค์ที่ใหม่กว่า และถึงแม้ว่าผู้คนมากมายกล่าวโทษพระองค์โดยใช้พระคัมภีร์—และแม้กระทั่งใช้พันธสัญญาเดิมเพื่อตรึงกางเขนพระองค์—พระราชกิจของพระองค์ก็เหนือกว่าพันธสัญญาเดิม หากนี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดผู้คนจึงตอกตรึงพระองค์กับกางเขน? นั่นไม่ได้เป็นเพราะในพันธสัญญาเดิมไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดที่เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์และความสามารถในการรักษาผู้ป่วยและขับไล่ปีศาจของพระองค์หรอกหรือ? พระราชกิจของพระองค์ได้รับการปฏิบัติเพื่อนำเส้นทางใหม่ ไม่ใช่เพื่อจงใจมีเรื่องกับพระคัมภีร์ หรือเพื่อจงใจไม่ใช้พันธสัญญาเดิมอีกต่อไป พระองค์เพียงเสด็จมาเพื่อดำเนินพันธกิจของพระองค์ เพื่อนำพระราชกิจใหม่มายังผู้ที่โหยหาและแสวงหาพระองค์ พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่ออธิบายพันธสัญญาเดิมหรือยกชูพระราชกิจของพันธสัญญาเดิม พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ยุคธรรมบัญญัติพัฒนาต่อไปได้ เพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้คำนึงว่าจะมีพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานหรือไม่ พระเยซูเพียงเสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์ควรต้องทรงกระทำ ดังนั้น พระองค์จึงไม่ได้ทรงอธิบายคำเผยพระวจนะทั้งหลายของพันธสัญญาเดิม อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจตามพระวจนะของยุคธรรมบัญญัติแห่งพันธสัญญาเดิม พระองค์ทรงเพิกเฉยต่อสิ่งที่พันธสัญญาเดิมกล่าวไว้ พระองค์ไม่ใส่พระทัยว่าพันธสัญญาเดิมจะเห็นชอบกับพระราชกิจของพระองค์หรือไม่ และไม่ใส่พระทัยว่าผู้อื่นจะรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์หรือไม่ หรือพวกเขาจะกล่าวโทษพระราชกิจของพระองค์อย่างไร พระองค์เพียงทรงพระราชกิจที่พระองค์ควรต้องทำต่อไป ถึงแม้ว่าผู้คนมากมายจะใช้การพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมมากล่าวโทษพระองค์ก็ตาม สำหรับผู้คนแล้ว ดูเสมือนว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีพื้นฐานและมีหลายส่วนขัดแย้งกับบันทึกของพันธสัญญาเดิม นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของมนุษย์หรอกหรือ? จำเป็นต้องนำหลักคำสอนมาใช้กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือ? และพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามการพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะหรือ? ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์? เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์? พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ? เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป? หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน? ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับหลักคำสอนเหล่านี้? เจ้าควรรู้ว่าอย่างใดสำคัญกว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))
พี่สาวหวังได้แบ่งปันสิ่งนี้ “พวกเราได้วางพระเจ้ากับพระคัมภีร์ไว้ในตำแหน่งเดียวกันมานานหลายปี คิดว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่สามารถไปเกินกว่าพระคัมภีร์ได้ และว่า ความเชื่อใดภายนอกพระคัมภีร์ไม่สามารถเรียกได้ว่าความเชื่อ แต่คือความนอกรีต ตามความเป็นจริง พระคัมภีร์เป็นบันทึกพระราชกิจของพระเจ้าในสองช่วงระยะแรกเท่านั้น พระคัมภีร์เป็นคำพยานของพระราชกิจในสองช่วงระยะแรกที่ทรงนำทางและช่วยให้มนุษย์รอด หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างสวรรค์ แผ่นดินโลก ทุกสรรพสิ่ง และรวมถึงมนุษยชาติด้วย พระคัมภีร์ไม่ได้นำเสนอพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ที่ทรงช่วยให้มนุษย์รอด พระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ช่างมีจำกัดยิ่งนัก มีนัยสองสามอย่างของพระอุปนิสัยชีวิตของพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้ใส่ไว้ทั้งหมด้ พระเจ้ามิได้ทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์ หรืออ้างถึงพระคัมภีร์ในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงใช้พระคัมภีร์ค้นหาหนทางเพื่อทรงชี้นำผู้ติดตามของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ทรงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง พระเจ้าทรงเริ่มยุคใหม่ และทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ พระองค์ทรงแสดงเส้นทางใหม่และความจริงที่ยิ่งใหญ่ให้กับผู้คน เพื่อให้พวกเราสามารถไปถึงความรอดที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ดังนั้น พระเจ้ามิได้ทรงนำมนุษยชาติ โดยขึ้นอยู่กับพระราชกิจเดิมของพระองค์ นั่นคือพูดได้ว่า พระเจ้ามิได้ทรงพระราชกิจโดยขึ้นอยู่กับพระคัมภีร์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายแห่งวันสะบาโต และแห่งพระคัมภีร์ด้วย พระองค์ทรงมีสิทธิ์ทุกประการในการทรงพระราชกิจเกินกว่าพระคัมภีร์ ในการทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ตามแผนของพระองค์เอง และสิ่งที่มนุษยชาติจำเป็น พระราชกิจของพระเจ้าจากยุคที่ต่างกันยุคหนึ่งไปยังยุคหนึ่ง ไม่อาจเหมือนกันอย่างแน่นอน การอ้างว่าสิ่งอื่นใดภายนอกพระคัมภีร์คือความนอกรีตนั้นก็แค่ไม่สมเหตุสมผล”
ฉันละอายใจ เมื่อได้ดูสิ่งนี้ สามัคคีธรรมที่เธอแบ่งปัน ตรงกับข้อเท็จจริงต่างๆ พระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณไปไกลเกินกว่าพันธสัญญาเดิม นั่นไม่ได้บอกพวกเราหรอกหรือว่า ในฐานะที่ทรงเป็นเจ้าเป็นนายของการสร้าง แสดงว่าในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า แห่งการทรงสร้าง พระเจ้าทรงสามารถดำเนินพระราชกิจภายนอกพระคัมภีร์ได้อย่างเต็มที่? ทำไมฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้มาก่อน การพูดว่า “สิ่งอื่นใดภายนอกพระคัมภีร์คือความนอกรีต” นั้นผิดและฟังไม่ขึ้น ฉันช่างโง่เขลา และเบาปัญญาเป็นอย่างมาก!
ขณะที่ฉันกำลังดูไปอยู่นั้น สิ่งที่พี่สาวพูดดึงดูดความสนใจของฉันจริงๆ เธอพูดว่า “พระคัมภีร์เป็นเพียงคำพยานเท่านั้น เป็นบันทึกพระราชกิจของพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ได้ให้ชีวิตนิรันดร์ แม้ว่ามันจะต่างจากความคิดดั้งเดิม แต่มันก็ไม่อาจโต้แย้งได้ ดังที่องค์พระเยซูเจ้า ประณามพวกฟาริสีเมื่อนานมาแล้ว โดยตรัสว่า ‘พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต’ (ยอห์น 5:39-40) องค์พระเยซูเจ้า ตรัสกับพวกเราอย่างชัดเจนว่า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ให้ค้นเจอในข้อพระคัมภีร์ และการพยายามค้นหาชีวิตนิรันดร์ในนั้นเป็นความผิดอย่างเห็นได้ชัด พระคัมภีร์โดยตัวเองนั้น ไม่เพียงพอต่อการได้รับความจริง และชีวิต พวกเราสามารถพบสิ่งเหล่านั้นได้จากองค์ของพระคริสต์เองเท่านั้น” การที่ได้ยินแบบนี้ เป็นการเปิดตา ฉันเห็นว่าองค์พระเยซูเจ้า ได้ตรัสกับเราเมื่อนานมาแล้วว่า ไม่มีชีวิตนิรันดร์ในพระคัมภีร์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิต และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมอบชีวิตนิรันดร์ให้กับเราได้ ทำไมฉันไม่เคยตระหนักถึงสิ่งนี้ เมื่อฉันอ่านมันก่อนหน้านั้น?
พี่สาวอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทอื่นในภาพยนตร์ “เหตุใดจึงศึกษาหนทางที่ต่ำและล้าสมัยนั้น ในเมื่อมีหนทางที่สูงกว่า? เหตุใดจึงใช้ชีวิตท่ามกลางบันทึกประวัติศาสตร์เก่าๆ ในเมื่อมีถ้อยดำรัสต่างๆ ที่ใหม่กว่า และพระราชกิจที่ใหม่กว่า? ถ้อยดำรัสใหม่สามารถจัดเตรียมให้เจ้าได้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คือพระราชกิจใหม่ บันทึกเก่าๆ ไม่สามารถทำให้เจ้าอิ่มอกอิ่มใจ หรือตอบสนองความจำเป็นในปัจจุบันของเจ้าได้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นคือประวัติศาสตร์ และไม่ใช่พระราชกิจของที่นี่และตอนนี้ หนทางที่สูงที่สุดคือพระราชกิจที่ใหม่ที่สุด และด้วยพระราชกิจใหม่นี้ ไม่ว่าหนทางของอดีตจะสูงเพียงใดก็ตาม หนทางนั้นก็แค่เป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้คนกำลังมองย้อนกลับไป และไม่ว่าหนทางนั้นจะมีคุณค่าในฐานะแหล่งอ้างอิงอย่างไรก็ตาม หนทางนั้นก็ยังคงเป็นหนทางเก่า ถึงแม้ว่าจะได้รับการบันทึกใน ‘หนังสือศักดิ์สิทธิ์’ ก็ตาม หนทางเก่าก็คือประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีบันทึกถึงหนทางนี้ใน ‘หนังสือศักดิ์สิทธิ์’ ก็ตาม หนทางใหม่ก็คือหนทางของที่นี่และตอนนี้ หนทางนี้สามารถช่วยเจ้าให้รอดได้ และหนทางนี้สามารถเปลี่ยนแปลงเจ้าได้ เพราะนี่คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)) จากนั้นเธอแบ่งปัน ดังนี้ “พระคัมภีร์มีแค่คำเผยพระวจนะแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเท่านั้น ไม่ใช่การบันทึกเรื่องราว ซึ่งมันลึกซึ้งกว่า อยู่ในระดับที่สูงส่งกว่าจริงๆ ขึ้นกับความจำเป็นในปัจจุบันของมนุษยชาติ ในช่วงปลายของยุคธรรมบัญญัติ ทุกคนเสื่อมทรามลึกล้ำมาก และอาจตกอยู่ในความตายภายใต้ธรรมบัญญัติได้ทุกเมื่อ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง ทรงเสด็จมายังแผ่นดินโลก และทรงถูกตอกตรึงกับไม้กางเขนหลังจากนั้น เสมือนบาปที่ทรงเสนอให้มนุษย์ พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ ตามพระราชกิจแห่งธรรมบัญญัติ แม้ว่ามันไม่ได้ถูกเขียนลงในข้อพระคัมภีร์ก็ตาม พระองค์ทรงพระราชกิจตามความจำเป็นของมนุษยชาติ และตามแผนการของพระองค์เอง พระองค์มิได้ทรงล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่ทรงทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ ตอนนี้ ในยุคสุดท้าย พระเจ้ายังทรงพระราชกิจตามแผนการของพระองค์ และตามความจำเป็นของมนุษย์อีกด้วย บนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากาษาของพระองค์ โดยเริ่มที่บ้านของพระเจ้า เพื่อทรงช่วยให้พวกเรารอดจากธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของเรา ทรงปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระจากพันธนาการบาปทั้งปวง และทรงนำเราเข้าสู่จุดหมายที่งดงามอันเป็นนิรันดร์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อทรงชำระและทรงช่วยให้มนุษยชาติรอด และพระองค์ทรงเปิดเผยความลึกลับของแผนงานบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์ พระองค์ไม่เคยตรัสพระวจนะเหล่านี้ในยุคธรรมบัญญัติ หรือยุคพระคุณ นั่นเป็นหนังสือม้วน ตราทั้งเจ็ดดวงที่แกะออกในยุคสุดท้าย ปฏิบัติตามคำเผยพระวจนะที่พบในวิวรณ์บทนี้ ‘ใครมีหู ก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์ 2:7) และนี่ด้วยเช่นกัน ‘นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิด ทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือ และแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้’ (วิวรณ์ 5:5) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถูกค้นพบในพระคัมภีร์สำหรับยุคแห่งราชอาณาจักร ได้แก่ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ พระวจนะพิเศษเหล่านี้มีไว้ให้ปฏิบัติตาม และเป็นหนทางของชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ เป็นเส้นทางโดยแท้เส้นทางเดียวเท่านั้นที่นำไปสู่ความรอดอันสมบูรณ์ ถ้าพวกเราปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งนี้ พวกเราจะไม่เคยได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยบ่อน้ำแห่งชีวิตของพระเจ้า หรือไม่ได้รับความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์”
หลังจากนั้น ฉันได้ยินพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้นในภาพยนตร์เรื่องอื่น “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์ พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) พี่ชายในภาพยนตร์เรื่องนั้นได้แบ่งปัน ดังนี้ “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อให้มนุษย์รอด ความจริงที่สมบูรณ์ และครอบคลุม และให้เนื้อแท้จากพระเจ้าอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้ เป็นการเปิดตาและให้ความรู้แจ้ง มันแสดงให้เราเห็นว่าพระคริสต์เป็นหนทาง เป็นความจริง และเป็นชีวิต เป็นหนทางของชีวิตนิรันดร์ พระวจนะของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร ไปไกลเกินกว่าพระวจนะของพระองค์ จากยุคแห่งธรรมบัญญัติ และยุคพระคุณรวมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล’ ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ เป็นครั้งแรก ที่พระเจ้าตรัสอย่างเปิดเผยต่อมวลมนุษย์ และเป็นครั้งแรก ที่มนุษย์ได้ยินพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้าง ที่พระองค์ตรัสต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง มันทำให้จักรวาลสะเทือน และเปิดตาของพวกเราจริงๆ ยุคแห่งราชอาณาจักร คือ เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยให้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ต่อมนุษย์อย่างเต็มที่ นั่นคือเหตุผลว่า เหตุใดพระองค์จึงทรงเปล่งพระสุรเสียงเพื่อทรงพิพากษา ทรงชำระ และทรงทำให้มนุษย์เพียบพร้อมในยุคนี้ พระองค์ทรงทำให้เกิดภัยพิบัติอย่างมากมาย ประทานรางวัลให้คนดี และทรงลงโทษคนชั่วร้าย และทรงเปิดเผยให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงออก เพื่อชำระ ช่วยให้รอด และทำให้มนุษย์เพียบพร้อมอย่างแท้จริง เป็นหนทางของชีวิตนิรันดร์ ที่พระองค์ทรงมอบให้มนุษย์ในยุคสุดท้าย มันเป็นบ่อน้ำแห่งชีวิตที่ไหลจากพระบัลลังก์ของพระองค์”
ณ จุดนี้ ฉันตระหนักในที่สุด ว่า พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ จากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นหนทางของชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์ในยุคสุดท้าย ฉันแค่ต้องตามพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าให้ทัน และอ่านพระวจนะใหม่ๆ ทั้งหมดของพระองค์ เพื่อได้รับเนื้อแท้ของบ่อน้ำแห่งชีวิตของพระองค์ และ ความรอดอันสมบูรณ์ของพระองค์ หลังจากนั้นไม่นาน ฉันติดต่อกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในทันใด และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มากขึ้น ฉันได้เห็นว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยความลึกลับทั้งหมดอย่างแท้จริง ความลึกลับต่างๆ ของแผนการบริหารจัดการ ของการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ เรื่องราวจริงๆ ภายในพระคัมภีร์ และแง่มุมของความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย ฉันได้เรียนรู้มากมายเหลือเกิน เกินกว่าที่ฉันเคยเรียนมาตลอดทศวรรษของความเชื่อในพระเจ้า ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายอย่างเป็นทางการในท้ายที่สุด
ฉันคิดย้อนกลับไปว่า ฉันถูกทำให้หลงผิดโดยศิษยาภิบาลและผู้ปกครองได้อย่างไรกัน ฉันเคยเชื่อว่าพระราชกิจ และพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น และคิดว่าสิ่งอื่นใดนอกจากนั้นคือความนอกรีต ฉันได้ยินผู้คนจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นพยานให้กับการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า แต่ฉันก็ไม่ได้เข้าไปดูมัน ฉันได้แต่ตามนักบวชของคริสตจักรอย่างมืดบอด และละทิ้งพระราชกิจของพระเจ้า เพราะมโนคติที่หลงผิดของฉัน ฉันเป็นผู้เชื่อ แต่ต่อต้านพระเจ้า ฉันช่างมืดบอดและโง่เขลาเสียนี่กระไร! โชคดีเหลือเกิน การทรงชี้นำของพระเจ้าอนุญาตให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และในภาพยนตร์ที่พวกเขาทำขึ้น และได้ปลดเปลื้องความเชื่อเดิมๆ ของฉัน ฉันไม่ใช่ผู้นมัสการพระคัมภีร์อย่างมืดบอดอีกต่อไปแล้ว ฉันเรียนรู้ว่านั่นไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง และพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ชีวิตนิรันดร์ พระคริสต์เท่านั้นที่ทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิต พระคริสต์ในยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่ทรงแสดงหนทางของชีวิตนิรันดร์ให้กับเราได้ และพวกเราสามารถได้รับความจริงและชีวิต ด้วยการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย นั่นคือความเชื่อแบบเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นพระคุณ และพระพรของพระเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้น ฉันสำนึกในพระเมตตา และความรอดของพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย เป่าเอิน บราซิล ความล้ำลึกของ “พระบิดา และพระบุตร” ได้รับการเปิดเผยแล้วในที่สุด แม้ว่า ข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความจริงนี้แล้ว...
โดย Muguang, เกาหลีใต้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด...
โดย เจี้ยนจึ้ง, เกาหลีใต้ ผมเคยเป็นสมาชิกคริสตจักรเพรสไบทีเรียนเกาหลี ตอนที่ลูกสาวของผมล้มป่วย ทุกคนในครอบครัวก็ได้กลายเป็นผู้เชื่อ จากนั้น...
โดย ซุนยวี่ ประเทศจีน ปี 2000 ฉันได้มาเป็นคริสเตียน ศิษยาภิบาลชาวเกาหลีใต้ จะเทศน์ให้เราฟังค่อนข้างบ่อย ในการปรนนิบัติครั้งหนึ่ง...