ในที่สุดฉันก็พบเส้นทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์

วันที่ 10 เดือน 01 ปี 2021

โดย Chen Liang, สหรัฐอเมริกา

ผมเกิดมาในครอบครัวคาทอลิค และตอนอายุ 13 ผมศึกษาบัญญัติสิบประการและได้รับบัพติศมา หลังจากนั้น ผมก็ตกลงใจมาเป็นนักบวชเพื่อรับใช้พระเจ้า เพื่อการนั้น ผมเข้าโรงเรียนสอนศาสนาตอนอายุ 22 ซึ่งเป็นที่ที่ผมได้ศึกษาเทววิทยาและพระคัมภีร์ รวมถึงลงเรียนอีกบางวิชา แต่เวลาผ่านไปสักพัก ผมก็ยังไม่รู้สึกใกล้ชิดพระเจ้าขึ้นเลย และความปรารถนาที่จะแต่งงานและมีครอบครัวก็โผล่มาเรื่อยๆ ผมอธิษฐานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่สามารถข่มความรู้สึกนี้ได้ ผมสาบานกับตัวเองว่าจะถือพรหมจรรย์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อที่ผมจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผมต้องการละทิ้งข้อผูกพันนั้น ผมกำลังทำบาปและโกหกพระเจ้าอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ผมจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไร ผมเรียนที่โรงเรียนศาสนาอยู่ 10 ปี หลังจากเรียนจบ ผมก็ไปอยู่ที่อารามแห่งหนึ่งในอินโดนีเซียอีกหนึ่งปี แต่ผมก็มีความคิดที่ไม่บริสุทธิ์อยู่เรื่อยๆ ผมหมดกำลังใจจริงๆ ครับ หลังจากผมเรียนจบ ผมก็ตัดสินใจมาเป็นลูกวัดทั่วไป ผมกลับบ้านและแต่งงาน แต่ในชีวิตประจำวัน ผมก็จะถกเถียงกับภรรยาเรื่องหยุมหยิมในบ้าน และผมก็ไม่มีความอดทนเลย บางครั้งผมจะโกหกเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ผมมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อสารภาพและกลับใจเยอะมากสำหรับสิ่งเหล่านี้ แต่แล้วผมก็ยังทำเรื่องพวกนั้นต่อไป ผมต้องการซ่อมแซมความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยการไปร่วมพิธีรำลึกวันสวรรคตของพระเยซูและกล่าวคำอธิษฐานมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาของผม

แล้วผมก็มาสหรัฐในปี 2014 ผมพบหลี่กับหลิว ลูกวัดอีกสองคนที่พิธีรำลึกฯ เมื่อไรก็ตามที่มีโอกาส ผมจะพูดคุยเรื่องความเชื่อกับพวกเขา ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่เรากำลังแบ่งปันองค์พระคัมภีร์กัน หลิวพูดว่า เขารู้จักมัคนายกที่เคร่งศาสนาคนหนึ่งที่รู้จักข้อพระคัมภีร์ดีมาก ซึ่งเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เขาพูดว่าสมาชิกคริสตจักรอีกสองคน ที่มีศรัทธาแรงกล้าก็เข้าร่วมด้วย เขาสงสัยว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นคริสตจักรแบบไหน และทำไมผู้เชื่ออย่างแรงกล้ามากมายจึงเข้าร่วมคริสตจักรนั้น เรื่องนี้ก็ทำให้ผมสับสนเหมือนกันครับ เพราะผมก็เคยรู้จักมัคนายกที่เคร่งศาสนา ซึ่งได้เข้าร่วมฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเช่นกัน ผมไม่รู้ว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกประกาศอะไร หรือทำไมมันถึงดึงดูดคริสตชนที่เคร่งครัดมากมายนัก คริสตจักรนี้ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า ผมคิดว่าควรตรวจสอบดู และดูว่าสิ่งที่คริสตจักรนั้นประกาศมีอะไรพิเศษนัก ผมสงสัยว่ามันสามารถช่วยผมเรื่องการเฝ้าเดี่ยวและการรู้จักพระเจ้าได้ไหม พอคิดได้แบบนั้น ผมก็บอกหลี่กับหลิว ว่าผมต้องการไปตรวจสอบคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาเห็นด้วย

พอเราไป พี่สาวคนหนึ่งได้เปิดวิดีโอเรื่อง ประวัติศาสตร์การเกิดและเติบโตของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ให้เราดู จากวิดีโอนี้ ผมเรียนรู้ ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว ตามที่ผมเฝ้าหวังมานานเลย พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในร่างมนุษย์ ซึ่งกำลังทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา นั่นคือสาเหตุที่ ผู้คนจากทุกคณะนิกายซึ่งรักความจริงและถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เห็นว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อีกอย่าง ข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เผยแผ่จากประเทศจีนในตะวันออกไปยังประเทศตะวันตกมากมาย ให้ความลุล่วงแก่คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เพราะว่าฟ้าแลบออกมาจากทิศตะวันออกและส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย(มัทธิว 24:27) ผมประหลาดใจจริงๆ ที่นั่นเป็นวิธีที่ทำให้คำเผยพระวจนะนี้ลุล่วง ผมอ่านคำเผยพระวจนะนั้นมาตลอดหลายปีโดยไม่เข้าใจเลย

จากนั้น พี่ชายคนหนึ่งได้เปิดภาพยนตร์ข่าวประเสริฐชื่อ พระคัมภีร์และพระเจ้า เรื่องนี้ดลใจผมอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก และผมเห็นว่ามีความลึกลับมหาศาลในพระคัมภีร์ ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิญญาณมามากมาย แต่ไม่มีนักเทววิทยาหรือนักวิชาการพระคัมภีร์คนไหน เคยอธิบาย ความจริงเบื้องหลังพระคัมภีร์ ประวัติความเป็นมา และความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ชัดเจนขนาดนี้มาก่อน ผมได้อะไรมากมายจากภาพยนตร์เรื่องนั้น ผมเห็นได้ว่าทำไมบรรดาผู้เชื่อที่กระตือรือร้นมากมายมาก ถึงยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หลังจากได้ยินพระวจนะของพระองค์ ผมรู้ว่าผมต้องลองตรวจสอบดู

หลังจากนั้น พวกเขาได้กล่าว ว่าในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดเป็นครั้งสุดท้าย ผมสับสนเพราะองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “สำเร็จแล้ว” บนกางเขน นั่นควรแปลว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ดังนั้นทำไมพระเจ้าถึงจำเป็นต้องทรงพิพากษามวลมนุษย์เพื่อชำระให้บริสุทธิ์และช่วยเราให้รอดล่ะ ผมอยากจะหาคำตอบ แต่มันดึกแล้ว ผมจึงนัดว่าจะกลับมาในวันรุ่งขึ้น ผมตื่นเต้นไปตลอดทางกลับบ้าน ผมได้เรียนรู้มากมายจากการสามัคคีธรรมวันนั้นและรู้สึกเหมือนผมใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น ดูเหมือนว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นเกี่ยวข้องกับพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ คงจะยอดเยี่ยมไปเลย หากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วจริงๆ และผมสามารถใช้ชีวิตเคียงข้างพระองค์ได้ อย่างที่เปโตรเคยทำครับ ความคิดนี้ทำให้ผมตั้งตารอการชุมนุมในวันรุ่งขึ้นยิ่งขึ้นไปอีก

ในวันต่อมา ทันทีที่ผมเลิกงาน ผมก็รีบไปสถานที่ชุมนุมของเราและถามพี่สาวคนนั้นโดยไม่เสียเวลา “คุณพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา แต่บนกางเขน พระองค์ตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ นั่นแปลว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเสร็จสิ้นแล้ว บาปของเราได้รับการอภัยผ่านความเชื่อ เราได้รับความชอบธรรมและการช่วยให้รอดโดยความเชื่อ และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์ก็ทรงนำเราตรงขึ้นสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ พระองค์จะทรงพระราชกิจแห่งความรอดเพิ่มอีกทำไม ความหมายเบื้องหลังเรื่องนี้คืออะไรครับ”

เธอพูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ เพราะพระราชกิจแห่งการไถ่เสร็จสิ้นแล้ว มันไม่ได้แปลว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว หากเราลงความเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นเสร็จสิ้นแล้ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘สำเร็จแล้ว’ และเห็นว่าพระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจใหม่เมื่อพระองค์ทรงกลับมา แล้วคำเผยพระวจนะเหล่านี้จะลุล่วงได้ยังไง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่พวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะสอนพวกท่านถึงความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสเองโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งต่างๆ ที่ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะมาถึง(ยอห์น 16:12-13)หากใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งที่พิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นเองจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48) แล้วยังมี 1 เปโตรบทที่ 4 ข้อ 17 ที่ว่า ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า’ คำเผยพระวจนะเหล่านี้แสดง ว่าในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงความจริงเพิ่มและทรงพระราชกิจเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด หากเราพูดว่าพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้านั้นสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว คำเผยพระวจนะเหล่านี้จะลุล่วงได้อย่างไร พระคัมภีร์เผยพระวจนะด้วย ว่าในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแยกผู้รับใช้ดีจากผู้รับใช้ชั่ว แกะจากแพะ ข้าวสาลีจากข้าวละมาน หญิงพรหมจารีมีปัญญาจากหญิงพรหมจารีโง่ ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นก็คือบุตรมนุษย์ และผืนนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งราชอาณาจักร แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของผู้ชั่วร้าย และศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชเลวก็คือมารนั้น แต่ฤดูเก็บเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และบรรดาผู้เก็บเกี่ยวนั้นได้แก่ทูตสวรรค์ เพราะฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย บุตรมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์ทั้งหลายของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และพวกผู้ที่ทำชั่วไปจากราชอาณาจักรของท่าน และจะทิ้งลงในเตาไฟที่ลุกโชน ที่นั่นจะมีการร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เวลานั้นบรรดาคนชอบธรรมจะส่องสว่างอยู่ในราชอาณาจักรพระบิดาของพวกเขาดุจดวงอาทิตย์ ใครมีหูก็จงฟังเถิด(มัทธิว 13:37-43) วิวรณ์ก็ได้เผยพระวจนะด้วย ว่าพระเจ้าจะทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะในยุคสุดท้ายและเผยว่าราชอาณาจักรของพระองค์จะมายังแผ่นดินโลก นี่คือพระราชกิจทั้งหมดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำในยุคสุดท้าย หากเราพูดว่าพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์ เพราะองค์พระเยซูเจ้าทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์ แล้วคำเผยพระวจนะเหล่านั้นจะลุล่วงได้อย่างไร ดังนั้นความเข้าใจนี้ ไม่สอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและความเป็นจริงของพระราชกิจของพระเจ้าอย่างชัดเจน”

ผมฟังแล้วก็พยักหน้าตาม รู้สึกว่าเธอพูดถูก ทำไมผมไม่เคยเห็นสิ่งที่ชัดเจนขนาดนี้มาก่อน เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไปอีกหลายบทตอน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้ พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์ เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง? ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น! เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์)แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)โดยแก่นแท้แล้วจุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหมายที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ เพื่อการหยุดพักขั้นสุดท้าย หากไม่มีการชำระให้สะอาดดังกล่าว ก็คงจะไม่มีมนุษย์คนใดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแตกต่างกันตามประเภท หรือเข้าสู่การหยุดพักได้ พระราชกิจนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่การหยุดพัก เฉพาะพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะชำระพวกมนุษย์ให้สะอาดจากความไม่ชอบธรรมของพวกเขา และเฉพาะพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์เท่านั้นที่จะนำส่วนประกอบของมนุษยชาติที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้นไปสู่ความสว่าง ด้วยวิธีนั้น จึงเป็นการแยกบรรดาผู้ที่สามารถถูกช่วยให้รอดออกจากบรรดาผู้ที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ และแยกบรรดาผู้ที่จะคงเหลืออยู่ออกจากบรรดาผู้ที่จะไม่คงเหลืออยู่ได้ เมื่อพระราชกิจนี้สิ้นสุดลง บรรดาผู้คนที่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่จะถูกชำระให้สะอาดทั้งหมดและเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นของมนุษยชาติ ซึ่งพวกเขาจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่สองของมนุษย์อันน่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้นบนแผ่นดินโลก กล่าวคือ พวกเขาจะเริ่มวันแห่งการหยุดพักแบบมนุษย์ของพวกเขา และดำรงอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า หลังจากที่บรรดาผู้ไม่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ได้ถูกตีสอนและถูกพิพากษาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกตีแผ่ออกมาโดยถ้วนทั่ว ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกทำลาย และไม่ได้รับอนุญาตให้รอดชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป เช่นเดียวกับซาตาน มนุษยชาติแห่งอนาคตจะไม่รวมเข้ากับผู้คนประเภทนี้คนใดเลยอีกต่อไป ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งการหยุดพักขั้นสูงสุด อีกทั้งไม่เหมาะสมที่จะร่วมในวันแห่งการหยุดพักที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะร่วมแบ่งปันกัน ด้วยเพราะพวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งการลงโทษและเป็นผู้คนไม่ชอบธรรมที่ชั่วร้าย…จุดประสงค์ทั้งหมดทั้งมวลเบื้องหลังพระราชกิจขั้นสูงสุดแห่งการลงโทษคนชั่วและการให้บำเหน็จรางวัลคนดีของพระเจ้านั้นคือการชำระพวกมนุษย์ทั้งหมดให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงนำมนุษยชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์ได้ พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์มีความสำคัญยิ่งยวดเป็นที่สุด ซึ่งเป็นช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งหมด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)

หลังอ่านจบ เธอก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ครับ “องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ ดังนั้นตราบใดที่เราเชื่อในพระองค์ อธิษฐาน สารภาพ และกลับใจ บาปของเราก็ได้รับการอภัย เราก็เพลิดเพลินกับพระคุณและพระพรของพระเจ้าได้ และจะไม่ถูกกล่าวโทษภายใต้ธรรมบัญญัติ นี่คือสิ่งที่สำเร็จลุล่วงในพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า และนี่คือความหมายที่แท้จริงของ ‘การถูกช่วยให้รอดโดยความเชื่อ’ บาปของเราได้รับการอภัยโดยองค์พระเยซูเจ้าและเราไม่กระทำบาปที่เด่นชัดอีกต่อไป และส่วนใหญ่เราก็ประพฤติตัวดี แต่เราก็ยังไม่เป็นอิสระจากบาป เรายังโกหกและหลอกลวงเพื่อประโยชน์ของเราเอง เราละโมบ ริษยา เกลียดชัง และเก็บซ่อนความคิดชั่วร้ายต่างๆ เราไม่สามารถต้านทานสิ่งยั่วยุของกระแสโลกได้ เราโหยหาเงินและรักความฟุ้งเฟ้อ เราตำหนิคนที่ทำสิ่งที่เราไม่ชอบอย่างจองหอง เราเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อย่างความโอหังและความหลอกลวง เราเบื่อความจริงและบูชาความชั่ว อุปนิสัยเยี่ยงซาตานเหล่านี้ฝังแน่นกว่าบาปที่เห็นภายนอก ซาตานบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้ในตัวเรา มันเป็นรากเหง้าของการทำบาปและการต่อต้านพระเจ้า จนกว่าสิ่งเหล่านี้จะได้รับการแก้ไข เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำบาป และเราไม่สามารถเป็นอิสระจากพันธนาการของบาปได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘พวกท่านจงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(1 เปโตร 1:16) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็เช่นกัน พระองค์ทรงไม่สามารถอนุญาตให้มนุษย์โสมมเข้าได้ บรรดาพวกเราที่ทำบาปทุกวันเป็นทาสของบาป แล้วเราจะเหมาะแก่การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้อย่างไร ดังนั้น พระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า จึงเป็นเพียงพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ไม่ใช่ทั้งหมด บาปของเราเพียงได้รับการอภัย แต่เรายังไม่ได้เป็นอิสระจากบาปหรือละทิ้งอิทธิพลของซาตาน พระเจ้ายังไม่ได้รับมวลมนุษย์โดยสมบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเราให้สะอาดและแก้ไขธรรมชาติเยี่ยงซาตานอันเปี่ยมบาปซึ่งเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าของเรา เราจึงสามารถละทิ้งโซ่ตรวนแห่งบาปได้อย่างสิ้นเชิง ได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เปิดเผยผู้รับใช้ดีและชั่ว แกะและแพะ ข้าวสาลีและข้าวละมาน หญิงพรหมจารีมีปัญญาและโง่ด้วย พวกที่ไม่ยอมฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ปฏิเสธและกล่าวโทษพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็คือหญิงพรหมจารีโง่ ข้าวละมาน ผู้รับใช้ชั่ว ผู้ที่จะตกลงสู่ความวิบัติในที่สุด ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บรรดาผู้ที่จดจำ พระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ และยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ ก็คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ข้าวสาลี และแกะ พวกเขาก้าวผ่านการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และถูกนำเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าในท้ายที่สุด นี่ทำให้คำเผยพระวจนะต่างๆ ในวิวรณ์ลุล่วงอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าสิ้นสุดลง พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดก็จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์”

การสามัคคีธรรมของเธอเปิดหูเปิดตาสำหรับผมครับ ผมตระหนักได้ว่า องค์พระเยซูเจ้าเพียงทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ และมีเพียงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดได้โดยสมบูรณ์ เราได้รับการไถ่บาปเพราะความเชื่อของเรา แต่ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของเรายังอยู่ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการทำบาปและการสารภาพ เมื่อก่อน สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือบังคับให้ตัวเองไม่ทำบาป แต่การอ่านองค์พระคัมภีร์และทำตามกฎของอารามก็หยุดผมจากการทำบาปไม่ได้ แล้วผมก็เข้าใจ ว่าทางเดียวที่จะถอนรากถอนโคนปัญหาของความบาปก็คือการได้รับการพิพากษาและชำระให้สะอาดโดยพระเจ้าในยุคสุดท้าย ผมถามพี่สาวคนนี้อย่างกระตือรือร้น ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระผู้คนให้สะอาดอย่างไร

เธอเปิดวิดีโออ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) หลังจากชมวีดีโอ เธอได้สามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระเจ้าทรงแสดงความจริงในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพิพากษาและทรงชำระผู้คนให้สะอาด พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องเข้าใจและเข้าสู่ เพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงเปิดเผยความลึกลับของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์ พระราชกิจสามระยะเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์ ความลึกลับแห่งพระราชกิจของพระเจ้าร่างมนุษย์ และความลึกลับของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงพิพากษาและตีแผ่รากเหง้าว่าทำไมมวลมนุษย์ทำบาปและต่อต้านพระเจ้า และความจริงแห่งความเสื่อมทรามของเราโดยซาตาน รวมถึงสภาวะเสื่อมทรามทุกรูปแบบด้วย ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้า และทรงบอกเราว่าใครทำให้พระองค์พอพระทัย ใครทำให้พระองค์ทรงรังเกียจ ใครสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ และใครจะถูกลงโทษ และบั้นปลายและผลลัพธ์สำหรับบุคคลแต่ละประเภท พระองค์ประทานเส้นทางเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแห่งชีวิตแก่เราด้วย โดยการก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า เราเห็นว่าซาตานได้ทำให้เราเสื่อมทรามหนักแค่ไหน และเห็นว่าเราเต็มไปด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เช่น ความโอหัง ความหลอกลวง ความชั่วร้าย ความเลว และดูแคลนความจริง รวมถึงเห็นว่าเราไม่สามารถใช้ชีวิตที่คล้ายมนุษย์ได้ เราเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและเริ่มมีความเคารพยำเกรงพระเจ้า เริ่มเกลียดตัวเราเองอย่างแท้จริง เต็มใจที่จะละทิ้งเนื้อหนังและปฏิบัติความจริงด้วย จากนั้น อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง”

หลังจากการสามัคคีธรรมของเธอ เธอได้เปิดวิดีโอคำพยานอีกเรื่องหนึ่งชื่อ ความสว่างที่แท้จริงปรากฏ ให้ผมดู ตัวละครหลักมีพรสวรรค์เล็กๆ ที่ทำให้เขาชี้นิ้วสั่งคนอื่น และดูถูกทุกคน เขาทะนงตนและจองหอง และต้องการให้ทุกคนฟังเขา เขาเป็นผู้เชื่อ เขาอธิษฐานและสารภาพอยู่บ่อยๆ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะอารมณ์เสียและตำหนิคนอื่น เพื่อนร่วมงานทุกคนของเขาตีตัวออกห่าง รวมถึงภรรยากับลูกสาวของเขาก็กลัวเขา เขาไม่มีเพื่อนที่ไว้วางใจได้แม้แต่คนเดียว การใช้ชีวิตในบาปทำให้เขาเป็นทุกข์สาหัส หลังจากเขายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การผ่านการพิพากษาและตีสอนของพระวจนะของพระเจ้าก็แสดงให้เขาเห็น ว่าการนึกถึงตัวเองก่อน มุ่งหาสิ่งต่างๆ ให้ตัวเอง และเรียกร้องให้คนอื่นเชื่อฟังอยู่เสมอนั้น เป็นเพราะเขาโอหังและไร้เหตุผล และเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจและทำให้คนอื่นถอยห่าง เมื่อเขาตระหนักถึงเรื่องนี้ เขาก็เกลียดตัวเองอย่างแท้จริงและเต็มไปด้วยความเสียใจ แล้วเขาก็เข้าหาคนอื่นอย่างนิ่มนวลขึ้น และเมื่อเผชิญปัญหา เขาละทิ้งเนื้อหนัง แสวงหาความจริง และรับฟังผู้อื่น เขาไม่โอหังอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้วครับ

สำหรับผม การดูวีดีโอนี้น่าตื่นเต้นมาก ผมเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพใด เห็นว่าสิ่งเหล่านี้สามารถชำระผู้คนให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้จริงๆ ผมเริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกครั้งที่มีโอกาส รวมถึงดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐและวิดีโอเพลงสรรเสริญจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ยิ่งดูมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกเบิกบานขึ้นเท่านั้นครับ ผมเกิดความแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา ผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ครับ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้วิธีที่จะแยกแยะหนทางเทียมเท็จจากหนทางที่แท้จริง การกลับมาอยู่ร่วมกันกับพระเจ้าของฉัน (ส่วนที่ 1)

ใน Xinkao, สหรัฐอเมริกา บันทึกของบรรณาธิการ: ฉันแน่ใจว่าชาวคาทอลิกจำนวนมากได้สังเกตว่า...

กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ผมมาเป็นคริสเตียนในปี 1990 มีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่พูดเสมอว่า พระคัมภีร์คือรากฐานของความเชื่อ และเราต้องทำตามพระคัมภีร์ คำพูดเหล่านั้น...

ความล้ำลึกแห่งการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดย หลี่ชุนเม่ย, เกาหลีใต้ ฉันได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อปี 2012 ค่ะ ฉันได้ยินศิษยาภิบาลพูดในการชุมนุมบ่อยๆ ว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger