คุณสามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยการจ้องมองท้องฟ้าจริงหรือ
ผู้เชื่อหลายคนกำลังรอให้องค์พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาบนก้อนเมฆ เพื่อรับพวกเขาขึ้นไปสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อนที่ความวิบัติจะมาถึง แต่ตลอดเวลามานี้ ขณะที่พวกเขามองดูความวิบัติที่มากขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่เสด็จมาบนก้อนเมฆ ความเชื่อของหลายคนสั่นคลอน บางคนกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาเมื่อไหร่นั้นเป็นกิจของพระองค์ เราก็แค่ต้องรอ ส่วนคนอื่นๆ ก็กล่าว ว่าถ้าพระองค์ไม่เสด็จมาก่อนความวิบัติ พระองค์ก็อาจเสด็จมาระหว่างหรือหลังจากนั้นก็ได้ คำกล่าวพวกนี้แสดงว่าอย่างไร มันแสดงว่าความเชื่อของพวกเขาตกต่ำสุดๆ แล้วไม่ใช่เหรอ พวกเขาสูญเสียความเชื่อ พวกเขาไม่แสวงหาหรือตรวจสอบ แต่กลับรอให้ความวิบัติมาถึงตัว โดยที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงได้อีก พวกเขาจ้องมองท้องฟ้ามาหลายปีแต่ก็ยังไม่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นใช่วิธีที่ถูกต้องเหรอครับ สิ่งสำคัญที่สุดในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร ผมจำได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา” (ยอห์น 10:27) “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) และในวิวรณ์ก็มีคำเผยพระวจนะอยู่มากมาย “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์บทที่ 2, 3) ข้อเหล่านี้แสดงให้เห็น ว่ากุญแจสำคัญในการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า คือการแสวงหาสิ่งที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย และเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า คนที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าจะได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญา เมื่อก่อนผมไม่เข้าใจความจริงข้อนี้ แถมยังใช้ชีวิตด้วยมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของตัวเอง เอาแต่จ้องมองท้องฟ้า พอผมได้ยินคนให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วและทรงแสดงให้เห็นความจริงมากมาย ผมก็ไม่แสวงหาหรือตรวจสอบ จนเกือบพลาดโอกาสในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกรับขึ้นไปแล้วครับ
ที่คริสตจักรเดิมของผม ศิษยาภิบาลมักจะพูดถึง กิจการบทที่ 1 ข้อ 11 “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” เขาบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนก้อนเมฆเมื่อพระองค์ทรงกลับมา เราจึงต้องเตรียมพร้อมและอธิษฐานเพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมมั่นใจว่าผมอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานทุกวัน หวังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนก้อนเมฆและรับผมขึ้นสู่ราชอาณาจักรของพระองค์สักวัน
วันหนึ่ง ผมไปที่บ้านของเพื่อน ในช่วงที่เขากำลังทำกายภาพบำบัดแพทย์แผนจีน ระหว่างที่คุยกัน ผมได้ทราบว่าพี่จางที่เป็นนักกายภาพบำบัดเป็นคริสเตียน เราเลยได้คุยเรื่องพระคัมภีร์กัน พี่จางพูดถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และอ้างถึงข้อหนึ่งในพระคัมภีร์ขึ้นมา “เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร” (ยอห์น 5:22) แล้วเขาก็บอกผมว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์เสด็จมาในร่างมนุษย์ และทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย” ตอนที่ผมได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ผมทั้งตื่นเต้นและตกใจ พลางคิดว่า “มหัศจรรย์เหลือเกินที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว! ฉันปรารถนาวันนี้มาหลายปี—ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จมา!” แต่ในขณะที่ผมรู้สึกมีความสุข จู่ๆ ผมก็ตระหนักได้ว่าพี่จางพูดว่า “ในร่างมนุษย์” หัวใจของผมเริ่มเต้นรัว เพราะศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมักจะพูด ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนก้อนเมฆ ข่าวเรื่องพระองค์เสด็จมาในร่างมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเท็จ อย่าไปเชื่อ ผมเลยคอยระวังตัวจากพี่จาง ผมคิดว่าผมก็เป็นผู้เชื่อมาหลายปีและอ่านพระคัมภีร์มามาก แต่ผมไม่เคยเห็นอะไรเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในร่างมนุษย์เลย ผมเลยพูดกับเขาไปว่า “เรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในร่างมนุษย์จะเป็นไปได้ยังไงครับ ในกิจการบทที่ 1 ข้อ 11 กล่าวว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น’ และวิวรณ์บทที่ 1 ข้อ 7 ก็กล่าวว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ จากข้อเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จไปบนก้อนเมฆ ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะเสด็จมาบนก้อนเมฆเหมือนกัน ที่คุณบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในร่างมนุษย์ มันขัดแย้งกับคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์อยู่นะครับ”
จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดกับผมว่า “น้องชาย พระคัมภีร์กล่าวเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ แต่มันก็ไม่ได้มีคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแบบเดียวนี่ ยังมีคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับการเสด็จมาในร่างมนุษย์อย่างลับๆ ของพระองค์ในฐานะบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้ายอีกตั้งเยอะ” เขากล่าวถึงพระวจนะอีก 2-3 ข้อ “เราจะมาเหมือนอย่างขโมย” (วิวรณ์ 3:3) “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลานั้น แม้แต่พวกทูตในฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาเท่านั้น” (มาระโก 13:32) “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6) และยังมี “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25) แล้วเขาก็สามัคคีเรื่องข้อเหล่านี้ในพระคัมภีร์ บอกว่า คำเผยพระวจนะที่กล่าวถึง “อย่างขโมย” และ “ไม่มีใครรู้” หมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอย่างลับๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครจำพระองค์ได้ แม้พวกเขาจะเห็นพระองค์ก็ตาม แถมคำเผยพระวจนะยังพูดถึง “บุตรมนุษย์” และการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ด้วย การอ้างอิงใดๆ ถึง “บุตรมนุษย์” แปลว่าพระองค์ทรงกำเนิดจากมนุษย์ พระองค์มีเลือดเนื้อและครอบครองความเป็นมนุษย์ที่ปกติ องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกเรียกว่าพระคริสต์ บุตรมนุษย์ ภายนอก พระองค์ทรงดูเหมือนคนอื่นๆ พระองค์เสวย แต่งพระองค์ และใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาเหมือนคนอื่น ถ้าเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า หรือกายวิญญาณหลังการคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์คงไม่ถูกเรียกว่า “บุตรมนุษย์” ดังนั้น การพูดถึงการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ จึงหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในร่างมนุษย์ “การเสด็จมาบนก้อนเมฆขององค์พระผู้เป็นเจ้าคงเป็นการแสดงอันน่าประทับใจที่เขย่าโลกเลยละ ทุกคนคงล้มลงกับพื้นและไม่มีใครกล้าต่อต้านพระองค์ แต่พอนึกถึง คำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า: ‘แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ มันจะลุล่วงได้หรือ” เขาพูดด้วยว่า “พระเจ้าจะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน ถ้าพระองค์ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในร่างมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์ เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ คนที่ไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและจำเนื้อแท้อันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูเจ้าไม่ได้นั้น ยึดติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง ต่อต้าน และกล่าวโทษพระองค์ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็จับพระองค์ตรึงกางเขน ดังนั้น เมื่อคำเผยพระวจนะเหล่านี้กล่าวถึง การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ ‘อย่างขโมย’ และ ‘คนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ ทั้งหมดจึงอ้างถึงการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างลับๆ ในร่างมนุษย์ ในฐานะบุตรมนุษย์” การสามัคคีธรรมนี้น่าประหลาดใจสำหรับผมมากครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่า ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อทรงพระราชกิจในฐานะบุตรมนุษย์อยู่มากมาย ผมสงสัยว่า “ฉันอ่านพระคัมภีร์มาตั้งหลายครั้งแต่ทำไมไม่เคยเห็นเรื่องนี้ ทำไมเวลาคุยเรื่องพระคัมภีร์ ศิษยาภิบาลหรือผู้อาวุโสไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย” ผมต้องยอมรับว่าสิ่งที่พี่จางเทศนานั้นสูงส่งมาก แถมเขายังมีความเข้าใจในพระคัมภีร์แบบเฉพาะตัวที่แย้งไม่ได้เลย แต่ผมนึกถึงการที่พระคัมภีร์พูดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ และการที่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมักพูดว่าเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องเท็จ ผมคิดว่าพวกเขารู้พระคัมภีร์อย่างดี พวกเขาเลยไม่น่าเข้าใจผิด แต่การสามัคคีธรรมของพี่จางก็สอดคล้องกับพระคัมภีร์ ผมไม่รู้จะคิดยังไงจริงๆ ผมไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้เลย และยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกว้าวุ่น ผมหยุดฟังการสามัคคีธรรมของเขา และหาข้ออ้างที่จะขอตัวกลับ
ผมกลับบ้าน แต่ก็ไม่สามารถสงบความรู้สึกลงได้ การสามัคคีธรรมของพี่จางดังก้องอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา ผมกังวลว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาจริงๆ และฉันไม่ตรวจสอบ ฉันจะไม่พลาดโอกาสในการต้อนรับพระองค์เอาเหรอ” แต่แล้ว ผมก็คิดถึงที่พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์จะเสด็จมาบนก้อนเมฆ แถมเหล่านักบวชต่างก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน ผมกลัวว่าจะหลงทางในการเชื่อ ผมรู้มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หลังจากนั้นพี่จางได้เชิญผมไปที่คริสตจักรของเขาอยู่สองสามครั้ง ผมสับสนมากและตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายผมเลยอ้างไปว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่บ้าน แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และผมก็ไม่มีสันติสุขเลย ผมอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้พระองค์ประทานปัญญาแยกแยะและทรงนำผม แล้วผมก็ต้องประหลาดใจ ไม่กี่วันหลังจากนั้นพี่จางแวะมาหาผมที่บ้านครับ ผมค่อนข้างรู้สึกแย่ที่ ปฏิเสธพี่จางไปหลายครั้ง ผมเลยเล่าปัญหาให้เขาฟัง ผมบอกว่า “พี่จาง เรื่องที่พี่พูดคราวก่อน ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในร่างมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์ ก็ฟังดูสอดคล้องกับในพระคัมภีร์นะครับ แต่มีบางเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ พระคัมภีร์ระบุชัดเจนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาบนก้อนเมฆ ในวิวรณ์กล่าวว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7) ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในร่างมนุษย์อย่างที่คุณว่า แล้วคำเผยพระวจนะว่าพระองค์จะเสด็จมาบนก้อนเมฆและทุกคนก็ได้เห็นพระองค์ จะลุล่วงได้ยังไงครับ มันไม่ขัดแย้งกันเหรอ”
พี่จางยิ้มและตอบกลับมาว่า “ทุกคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะลุล่วง ไม่มีอะไรขัดแย้งเลย มันเป็นเรื่องของลำดับเหตุการณ์เท่านั้น พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างลับๆ ในฐานะบุตรมนุษย์ก่อน จากนั้นจึงทรงปรากฏอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ ขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ในร่างมนุษย์ พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า ผู้ที่ได้ยินพระสุรเสียงและยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระองค์คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา ผู้จะถูกยกขึ้นเฉพาะพระบัลลังก์ของพระองค์ พวกเขายอมรับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทำให้พวกเขาเป็นผู้ชนะก่อนความวิบัติ จากนั้นจึงทรงบันดาลความวิบัติถาโถม ทรงให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่วร้าย เมื่อความวิบัติต่างๆ สิ้นสุดลง พระองค์จะทรงปรากฏอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ จากนั้นคนที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย จะได้เห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่พวกเขากล่าวโทษมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา พวกเขาจะตีอกชกหัว ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นั่นจะทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วงดังที่ว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลก จะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7) หลังจากนั้น เขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางบทตอนให้ผมฟัง “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย…การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พี่จางก็บอกว่า “ตอนที่รอการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาและฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจในยุคสุดท้ายและแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงที่ชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยเขาให้รอด เราต้องแสวงหาและตรวจสอบเรื่องนี้ และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อดูว่ามันเป็นความจริงไหม ใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าไหม เราพึ่งพามโนคติที่หลงผิดของตัวเองไม่ได้นะครับ พวกฟาริสีชาวยิวพึ่งพามโนคติที่หลงผิดของตัวเอง หลับหูหลับตาเฝ้ารอพระเมสสิยาห์ และไม่แสวงหาความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดง พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์ รวมถึงตรึงพระองค์บนกางเขน พวกเขาทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองและถูกพระองค์ทรงสาปแช่ง ถ้าเราสอบสวนการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง ยืนยันว่าพระองค์ต้องเสด็จมาบนก้อนเมฆ นอกจากนี้เป็นเรื่องเท็จ รวมถึงเห็นด้วยกับพวกนักบวชในการต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เราจะทำพลาดแบบเดียวกับพวกฟาริสีและทำบาปชั่วร้ายเลวทราม จากนั้นเราอาจจะร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่มันก็สายไปแล้ว”
หลังการสามัคคีธรรมของเขา ผมได้เข้าใจว่าการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเกิดขึ้นในหลายระยะ พระองค์ทรงพระราชกิจการพิพากษาในร่างมนุษย์และสร้างกลุ่มผู้ชนะก่อน แล้วถึงจะเสด็จมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ คำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาของพระเจ้าจะลุล่วงไปทีละขั้น ตอนนั้นผมรู้สึกว่าโง่และตามืดบอดมาตลอด ผมเชื่อมาหลายปีแต่ดันไม่เข้าใจพระคัมภีร์ แถมยังทำตามนักบวชและมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง ผมไม่ได้แสวงหาที่จะได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและต้อนรับพระองค์ แต่โชคดีที่พระเจ้าทรงดลใจให้พี่จางมาแบ่งปันข่าวเสริฐกับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่อย่างนั้นผมคงพลาดการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการยึดติดการจินตนาการของตัวเอง สุดท้ายผมก็คงถูกกำจัด ผมบอกพี่จางไปว่า “การสามัคคีธรรมของคุณทำให้ผมเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้านั้นฉลาดและสัมพันธ์กับชีวิตจริงขนาดไหน พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ที่เสด็จมาอย่างลับๆ เพื่อทรงพระราชกิจคือความรอดของเราจริงๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ คุณเป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจุติกลับมาเป็นมนุษย์แล้ว แต่จริงๆ แล้วการจุติเป็นมนุษย์คืออะไรกันแน่ครับ คุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์จริงๆ”
พี่จางอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ผมฟังสองบทตอน “‘การจุติเป็นมนุษย์’ คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น เพื่อที่พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง คือว่าพระเจ้าในแก่นสารที่แท้จริงของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงกลายเป็นมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ) “พระคริสต์ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติทรงเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณทรงได้เป็นจริงขึ้น และทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ประสาทสัมผัสที่ปกติ และความคิดของมนุษย์ ‘การได้เป็นจริง’ หมายถึงพระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ พระวิญญาณทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ กล่าวอย่างง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นคือ นั่นคือเวลาที่พระเจ้าพระองค์เองประทับในเนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และทรงแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางเนื้อหนังนี้—นี่คือความหมายของการได้เป็นจริง หรือจุติเป็นมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ) “พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นเลือดเนื้อ พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์หรือเทวสภาพของพระองค์ ต่างก็นบนอบต่อน้ำพระทัยของพระบิดาแห่งสวรรค์ เนื้อแท้ของพระคริสต์คือพระวิญญาณ นั่นก็คือ เทวสภาพ ดังนั้นแล้ว เนื้อแท้ของพระองค์จึงเป็นเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง เนื้อแท้นี้จะไม่ขัดขวางพระราชกิจของพระองค์เอง และคงไม่อาจเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงกระทำสิ่งใดๆ ที่ทำลายพระราชกิจของพระองค์เอง อีกทั้งพระองค์คงจะไม่ทรงเปล่งพระวจนะใดๆ ที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระองค์เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์)
แล้วพี่จางก็บอกว่า “ในฐานะผู้ที่เชื่อ เราทุกคนรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าที่ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่มีใครเข้าใจความจริงเรื่องการจุติมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ตอนนี้ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยความจริงและความลึกลับแห่งการจุติมาเป็นมนุษย์แก่เรา เราจะเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่า การจุติมาเป็นมนุษย์คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงนุ่งห่มด้วยพระวรกายแบบมนุษย์ธรรมดา เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจในหมู่มนุษย์ พระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์นั้นดูเหมือนมนุษย์ทั่วไป พระองค์ไม่ได้ดูเหนือธรรมชาติ อีกทั้งพระองค์ทรงกินและใช้ชีวิตเหมือนทุกคน พระองค์ทรงมีอารมณ์หลากหลายเหมือนคนธรรมดาและมนุษย์ก็เข้าถึงพระองค์ได้ แต่เนื้อแท้ของพระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์นั้นศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือเหตุผลที่พระคริสต์สามารถแสดงให้เห็นถึงความจริงได้ทุกที่ทุกเวลา พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยและพระปรีชาญาณของพระเจ้า รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และพระองค์ก็ทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง นี่คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้สำเร็จ เช่นเดียวกับองค์พระเยซูเจ้าที่ภายนอกทรงดูเหมือนคนธรรมดา และพระองค์ก็ทรงใช้ชีวิตจริงๆ ในหมู่มนุษยชาติ แต่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงมากมาย รวมถึงประทานหนทางแห่งการกลับใจให้มนุษยชาติ พระองค์ทรงอภัยให้บาปของมนุษย์ และแสดงถึงพระอุปนิสัยที่เปี่ยมด้วยความรักความเมตตาของพระเจ้า พระองค์ยังทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย เช่น ทรงเลี้ยงคนกว่าห้าพันคนด้วยด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ทรงทำให้ลมและทะเลสงบ สิ่งนี้เปิดเผยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ท้ายที่สุด องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่สำหรับมนุษยชาติ นี่แสดงให้เห็นว่าพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าคือพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าพระองค์เอง ว่าพระองค์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ เราจึงไม่สามารถมองที่ภายนอก ในการจำพระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์ได้ แต่เราต้องฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พระราชกิจและพระวจนะของพระคริสต์แสดงให้เราเห็นถึงความจริง ถึงพระอุปนิสัย พระปรีชาญาณ และพระมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น นั่นคือวิธีที่เราจะแน่ใจได้ ว่าใช่พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในร่างมนุษย์”
การสามัคคีธรรมของเขาช่วยทำให้ผมเข้าใจขึ้นบ้าง ผมตระหนักได้ว่าพระคริสต์ทรงดูราวกับมนุษย์ธรรมดา ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือเหนือธรรมชาติ แต่พระองค์ทรงมีเนื้อแท้ของพระเจ้า พระองค์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่นุ่งห่มเนื้อหนังปกติ หลายปีที่เชื่อมาผมไม่เข้าใจในความจริงและความลึกลับเหล่านี้เลย
พี่จางสามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยความจริงและความลึกลับทั้งปวงแห่งการจุติมาเป็นมนุษย์แก่เรา หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ในยุคสุดท้าย มนุษยชาติผู้เสื่อมทรามคงเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยไม่เข้าใจถึงความจริงเบื้องหลังการจุติมาเป็นมนุษย์ตลอดไป และคงไม่มีใครหาคำตอบได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้านั้นเหมือนกัน ภายนอกทั้งสองพระองค์ทรงดูธรรมดามาก ราวกับไม่มีอะไรที่ผิดธรรมดาเลย แต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงซึ่งชำระมนุษยชาติให้สะอาดและช่วยเขาให้รอดได้ และพระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า พระองค์ทรงเปิดเผยความลึกลับแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า รวมถึงเจตจำนงของพระราชกิจ เป้าหมายและความสำคัญของพระราชกิจทั้งสามระยะของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมถึงความลึกลับแห่งการจุติมาเป็นมนุษย์และพระนามของพระเจ้า เรื่องราวเบื้องหลังพระคัมภีร์ ซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามยังไง ความจริงและเนื้อแท้แห่งความเสื่อมทรามของมนุษยชาติโดยซาตาน รากเหง้าของการที่ผู้คนต่อต้านพระเจ้าและทำบาป พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ได้ยังไง พระเจ้าทรงจำแนกมนุษย์ตามประเภทของเขายังไง พระองค์ทรงกำหนดปลายทางและผลลัพธ์ของทุกคนยังไง และอีกมายมาย พระราชกิจการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ได้เปิดเผยพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองอย่างสมบูรณ์” พอถึงตรงนี้พี่จางก็ถามผมว่า “นอกจากพระเจ้าจะมีใครที่เปิดเผยความลึกลับแห่งแผนการของพระองค์ได้อีก ใครจะแสดงให้เห็นถึงความจริงและพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าได้ ใครจะทำงานแห่งการพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ได้” ผมตอบไปว่า “เห็นได้ชัดว่ามีแค่พระเจ้าครับ” และเขาก็เห็นด้วย “ใช่ มีแค่พระเจ้าในร่างมนุษย์ที่ทรงพระราชกิจและตรัสเพื่อช่วยมนุษย์ในวิธีที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแบบนั้นได้! นี่คืองานที่พระเจ้าทรงทำในร่างมนุษย์ ในฐานะบุตรมนุษย์ ยิ่งผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาก็จะยิ่งได้รับประสบการณ์พระราชกิจของพระองค์ พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจว่า พระวจนะทั้งหมดที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสเป็นความจริง และเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอ ว่าพระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การทรงปรากฏของพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว!”
ถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ผมบอกว่า “พี่ครับ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ว่าการจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้าคือความลึกลับยิ่งใหญ่ที่สุดของความจริง! พระเจ้าในร่างมนุษย์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าเป็นหลัก การที่เราพยายามฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงสำคัญมาก ใครก็ตามที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้ ก็คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ จากการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์ เราจะได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกรับขึ้นไปเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าครับ” เขาบอกว่า “การตระหนักของคุณคือการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนๆ!” ผมนึกย้อนไปถึงตลอดเวลาที่ตัวเองปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และผมก็เกลียดตัวเองที่ตามืดบอดและแสนโง่เง่า ผมเชื่อมาตั้งหลายปีแต่ก็ยังไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า กลับยึดติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง เฝ้ารอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆอย่างโง่เขลา โดยไม่พยายามฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อต้อนรับพระองค์เลย พอผมได้ยินคนเป็นพยานว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายอยู่ ผมก็ไม่ตรวจสอบ ผมเกือบปิดประตูใส่องค์พระผู้เป็นเจ้าซะแล้ว แล้วผมก็ได้มั่นใจที่สุด ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงเปิดเผยความจริงและความลึกลับทั้งปวง คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา พระองค์คือพระเจ้าในร่างมนุษย์ ผมขอขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ครับ พระเจ้าทรงไม่ยอมแพ้ในตัวผมเพราะความกบฏของผม แต่ทรงดลใจให้พี่จางมาแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผมหลายครั้งหลายหน เพื่อให้ผมได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้ติดตามย่างพระบาทแห่งพระเมษโปดก นี่คือการที่พระเจ้าทรงแสดงให้ผมเห็นถึงความรักที่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ! ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ