พระเจ้าทรงมีเพศซึ่งเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ข้าพเจ้าค้นพบการตีความใหม่ประการหนึ่ง (ภาคที่ 2)
โดย เป่าเอิน บราซิล ความล้ำลึกของ “พระบิดา และพระบุตร” ได้รับการเปิดเผยแล้วในที่สุด แม้ว่า ข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความจริงนี้แล้ว...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันเกิดในครอบครัวคาทอลิกค่ะ บาทหลวงของเราพูดเสมอว่า เราควรติดตามพระบัญญัติของพระเจ้า มอบความรักให้แก่กัน เข้าพิธีมิสซา และทำความดี เขาบอกว่าผู้คนที่ทำสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นผู้เชื่อที่มีใจศรัทธา และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกเขาขึ้นไปยังอาณาจักรสวรรค์ ฉันมักบอกตัวเองว่า “ฉันต้องทำตามที่พระเจ้าตรัสไว้ ทำตามกฎของคริสตจักรทุกข้อ และทำความดีอยู่เสมอ เพื่อให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักฉัน และเมื่อพระองค์ทรงกลับมา พระองค์จะประทานพระพรและนำฉันขึ้นไปยังราชอาณาจักรของพระองค์”
หลังจากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ฉันพักการศึกษาไว้เพื่อให้มีเวลามากขึ้น สำหรับทำงานที่คริสตจักร ชาวคริสตจักรของเราดูเคร่งมากเวลาอธิษฐานและเข้าพิธีมิสซาในคริสตจักร แต่นอกจากนั้นพวกเขาก็สูบบุหรี่ ดื่มสุรา และสังสรรค์กันอย่างบ้าระห่ำ ฉันขยะแขยงค่ะ ฉันคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนให้เรารักพระองค์ ช่วยผู้ที่ลำบาก และหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าทางโลก คนพวกนี้อาจดูเหมือนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่จริงๆ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อพระองค์เลย พวกเขามีกิเลสไล่ตามสิ่งทางโลกและแสวงหาความสุขทางโลก นั่นมันขัดแย้งกับคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่หรือ ฉันจะเป็นเหมือนพวกเขาไม่ได้ ฉันจะทำงานดีๆให้มากขึ้นเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ฉันจะสามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์เมื่อเวลามาถึง”
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันพบว่าฉันไม่สามารถรักษาพระบัญญัติทั้งหลายในชีวิตประจำวันของฉันได้เช่นกัน เมื่อไรก็ตามที่ฉันเห็นสมาชิกคริสตจักรที่แสวงหาความสนุกสนานใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและอิสระ ขณะที่ฉันกำลังดิ้นรน ฉันก็อดโทษพระเจ้าไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนให้เรารักคนอื่นเหมือนตัวเราเอง แต่ฉันอิจฉาและดูถูกผู้คนอยู่เสมอ ครอบครัวของฉันดุว่าเวลาฉันทำอะไรผิด แต่ฉันก็ได้แต่หาข้ออ้าง ประชดประชัน และโกรธพวกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนให้เราถ่อมตัวและให้อภัย แต่ฉันไม่ได้ปฏิบัติตาม ฉันรู้สึกผิดมาก เหมือนว่าฉันเป็นผู้เชื่อแค่ในนามเท่านั้น ฉันเริ่มครุ่นคิดว่า “ทำไมฉันถึงเอาชนะบาปของฉันไม่ได้เลย แม้ว่าฉันจะสารภาพกับบาทหลวงทุกครั้งที่ฉันทำบาป และทำความดีเพื่อชดเชย สุดท้ายฉันก็ยังทำบาปแบบเดิมซ้ำอีก พระเจ้าจะประทานพระพรให้ความเชื่อแบบของฉันได้ยังไง” แต่แล้วฉันก็คิดถึงสิ่งที่บาทหลวงบอกเราอยู่เสมอ ว่าโดยการสารภาพกับเขาหลังจากที่เราได้ทำบาปไป เราจะได้รับการให้อภัย และตราบใดที่เราทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและทำความดี พระองค์จะทรงพระเมตตาเราอีกครั้ง ประทานพระพรให้เรา และทรงให้เราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ในพระคัมภีร์บอกว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างดี ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนเสร็จสิ้น ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ต่อแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมจะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) เมื่อได้อ่านดังนี้ฉันก็สบายใจค่ะ ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันเข้าพิธีมิสซามากขึ้น ไปสารภาพบาป และทุ่มเทตัวเองเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันก็มีหวังที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ดังนั้นฉันจึงง่วนอยู่กับการทำความดี ฉันไปเยี่ยมผู้ป่วยและนักโทษ ทั้งยังเป็นอาสาสมัครที่บ้านเด็กกำพร้า
วันหนึ่งในปี 2017 ฉันเข้าเฟซบุ๊กเพื่อไล่อ่านข่าวไปเรื่อยๆ เหมือนปกติ แล้วจู่ๆ ฉันก็เห็นวาทะบทตอนหนึ่งที่พี่น้องคนหนึ่งที่ชื่อเบ็ตตี้โพสต์เอาไว้ ฉันจะอ่านให้ฟังค่ะ “แม้ว่าผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้า แต่น้อยคนนักที่เข้าใจว่าอะไรคือความหมายของความเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาต้องทำอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า…‘การเชื่อในพระเจ้า’ หมายถึงการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง นี่เป็นมโนทัศน์ที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนกับการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันเป็นความเชื่อที่เรียบง่ายประเภทหนึ่งซึ่งมีนัยแฝงทางศาสนาที่รุนแรง ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้คือ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนเรา ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าและได้มารู้จักพระเจ้า มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’ กระนั้นผู้คนมักเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องเรียบง่ายและไร้สาระ ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ได้สูญเสียความหมายของความเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว และแม้ว่าพวกเขาอาจจะยังเชื่อต่อไปจนถึงวาระท้ายสุด แต่พวกเขาจะไม่มีวันได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า เพราะพวกเขาก้าวย่างไปบนเส้นทางที่ผิด ณ วันนี้ ยังมีพวกที่เชื่อในพระเจ้าตามความหมายของตัวอักษรที่เขียนไว้และหลักคำสอนที่กลวงเป็นโพรง พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาขาดแก่นแท้ของการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่สามารถได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า พวกเขายังคงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อขอพรแห่งความปลอดภัยและพระคุณที่เพียงพอ พวกเราจงมาหยุดนิ่ง สงบใจและถามตัวเองว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดบนโลกอย่างแท้จริง? เป็นไปได้หรือไม่ที่การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้า? ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยที่ไม่รู้จักพระองค์หรือที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังคงต่อต้านพระองค์จะสามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง หรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) วาทะเหล่านี้ให้ความรู้สึกสดใหม่มาก ฉันติดใจทันทีเลยค่ะ ฉันไม่เคยพิจารณาคำถามต่างๆ ท้ายบทตอนนี้เป็นพิเศษมาก่อน ฉันคิดว่า “นี่มันสุดยอดเลย! นี่เป็นวาทะของใครกันนะ บทตอนสั้นๆ นี้ เผยความหมายของความเชื่อในพระเจ้าและเป้าหมายความเชื่อของเราได้จนหมดสิ้น” ฉันไตร่ตรองวาทะเหล่านี้ดู สงบหัวใจและพิจารณาความเชื่อของฉันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในชีวิต ฉันคิดย้อนไปถึงความเชื่อของฉันในช่วงเวลาหลายปี ฉันได้เข้าร่วมกิจกรรมและพิธีการของคริสตจักรมากมาย ช่วยงานสอนศาสนาอย่างขันแข็งและทำความดีในชุมชน ทั้งยังได้ทนทุกข์และรับผลที่ตามมา แต่ฉันทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อให้ครอบครัวกับตัวเองได้รับพระพรและการปกป้องโดยพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้ฉันได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ฉันคิดเสมอว่าฉันทำถูกแล้วที่ไล่ตามสิ่งเหล่านี้ ว่าพระเจ้าจะพอพระทัยในความเชื่อของฉัน และคิดว่าฉันจะได้รับพระสัญญาและพระพรของพระองค์ แต่หลังจากที่อ่านวาทะเหล่านี้ ฉันก็เริ่มเข้าใจรางๆ ถึงความหมายของความเชื่อของฉันที่ลึกซึ้งกว่ามาก ฉันทำความดีอย่างแข็งขันและปฏิเสธตัวเองเพื่อที่จะรับพรจากราชอาณาจักรเป็นการตอบแทนเท่านั้น และนั่นไม่ใช่ความรักที่แท้จริงสำหรับพระเจ้า พระเจ้าจะทรงชื่นชมความเชื่อประเภทนั้นได้ยังไง แต่แล้วฉันก็คิดถึงตัวเองที่เชื่อในพระเจ้ามากว่า 20 ปี มีส่วนร่วมกับการสอนศาสนาของคริสตจักรอยู่เสมอ การทนทุกข์และเสียสละทั้งหมดของฉันจะสูญเปล่าได้หรือ ยิ่งครุ่นคิดถึงวาทะเหล่านั้น ฉันยิ่งอยากเห็นว่าบนไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของพี่น้องเบ็ตตี้มีอะไรอยู่อีกบ้าง เพื่อให้ฉันเข้าใจเรื่องนี้ได้ทั้งหมด ฉันติดต่อเธอไปและเราได้ชุมนุมออนไลน์กันค่ะ
ฉันบอกเธอว่าฉันรู้สึกยังไงตอนที่อ่านวาทะเหล่านั้น “สิ่งที่คุณโพสต์ออนไลน์วิเศษมากค่ะ มันแสดงให้ฉันเห็นว่า ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระพรเท่านั้น ว่านั่นไม่ใช่การรักในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจค่ะ พระคัมภีร์บอกว่า ‘ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างดี ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนเสร็จสิ้น ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ต่อแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมจะเป็นของข้าพเจ้า’ (2 ทิโมธี 4:7-8) บาทหลวงของฉันพูดเสมอว่า ตราบใดที่เราหมั่นทำงานให้ดีและทำความดี องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะประทานพระพรให้เรา และเราจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ ฉันทำแบบนี้ตลอดหลายปีในการเชื่อของฉัน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงจำไม่ได้จริงๆ หรือ ฉันจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ใช่ไหมคะ”
จากนั้นพี่น้องเบ็ตตี้ก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ค่ะ “การตรากตรำ เสียสละ และทำความดีเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ จะทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย และเมื่อพระองค์ทรงกลับมา พระองค์จะทรงรับเราขึ้นสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ นี่คือสิ่งที่เปาโลพูดไว้ องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสอะไรแบบนั้นค่ะ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงไม่เคยเหมือนกัน วาทะเหล่านี้เป็นตัวแทนมุมมองของเปาโลเองเท่านั้น และไม่ใช่พระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า วาทะของมนุษย์ไม่ใช่ความจริง พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง ในเรื่องสำคัญอย่างการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าต้องมีความสำคัญเหนือกว่า ถ้าเราทำตามวาทะของมนุษย์ เราจะมีแนวโน้มที่จะหลงทางไปจากวิถีขององค์พระผู้เป็นเจ้า! ดังนั้นใครกันแน่ที่สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกเราไว้ชัดเจนค่ะ ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้’ (มัทธิว 7:21) นี่แสดงให้เราเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงดูว่าเราเสียสละมากแค่ไหนเวลาที่ทรงกำหนดว่าใครสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ แต่พระองค์ทรงดูว่าเราทำตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือเปล่า นั่นคือ การจะเข้าสู่ราชอาณาจักร มนุษย์ต้องกำจัดธรรมชาติที่มีบาปของพวกเขาออกไปและได้รับการชำระให้สะอาด และพวกเขาจะต้องทำตามพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งเชื่อฟัง รัก และนมัสการพระเจ้า ถ้าเราตรากตรำและทำงาน อีกทั้งเสียสละมากมาย แต่เราไม่สามารถทำตามพระวจนะของพระเจ้าได้ ทั้งยังทำบาปบ่อยๆ และต่อต้านพระเจ้า งั้นเราก็เป็นผู้ปฏิบัติชั่วค่ะ คนประเภทนั้นไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ เหล่าฟาริสีชาวยิวที่ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า รับใช้พระเจ้าปีแล้วปีเล่าอยู่ในพระวิหาร และเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไปกว้างไกล พวกเขาทนทุกข์อย่างหนักและรับผลที่ตามมาอย่างสูง จากภายนอกแล้ว ดูเหมือนพวกเขาอุทิศตนเองเพื่อพระเจ้า แต่ทั้งหมดที่พวกเขาสนใจคือการจัดพิธีกรรมทางศาสนา พวกเขารักษาและประกาศประเพณีของมนุษย์และคัมภีร์ต่างๆ และไม่สนใจพระบัญญัติและธรรมบัญญัติของพระเจ้า พิธีกรรมของพวกเขาขัดแย้งกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและพวกเขาออกห่างจากวิถีแห่งพระเจ้า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจของพระองค์ เหล่าฟาริสีก็ตั้งตนต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย พยายามปกป้องตำแหน่งและความเป็นอยู่ที่ดีของตนเอง พวกเขากล่าวโทษและให้ร้ายพระองค์อย่างบ้าคลั่งและทำทุกสิ่งที่พวกเขาทำได้เพื่อหยุดยั้งผู้คนที่ติดตามพระองค์ ในท้ายที่สุด พวกเขาสมคบกับรัฐบาลโรมันเพื่อจับองค์พระเยซูเจ้าตรึงกางเขน ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองและทำให้ได้รับการลงโทษของพระองค์ นี่พิสูจน์ว่าแม้มนุษย์จะทำงานหนักและทำการเสียสละต่างๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นอกจากพวกเขาจะได้รับการชำระให้สะอาดจากบาป มนุษย์จะยังคงทำบาปและต่อต้านพระเจ้าแม้ว่าพวกเขาจะทุ่มเทตัวเองเพื่อพระองค์ แล้วก็มีพวกเรา แม้เราจะดูเหมือนทำงานหนัก มีความเมตตาอารี และช่วยเหลือสหายที่เข้าคริสตจักร เป้าหมายของเราก็คือเพื่อรับพระพรและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าประทานพระพรให้เรา เราขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ เวลาที่เราป่วยหรือเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น เราก็โทษพระองค์และเข้าใจพระองค์ผิด และอาจทรยศพระองค์ด้วยซ้ำ โดยปกติแล้ว เราพยายามใช้ผลประโยชน์จากการเสียสละและทำงานให้ดี โอ้อวดว่าเราทนทุกข์และทำงานเพื่อพระเจ้าแค่ไหน เพื่อให้คนอื่นชื่นชมและใช้เราเป็นแบบอย่าง และเพื่อให้เราได้รับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เราหัวเสียเวลาเผชิญหน้ากับผู้คนหรือสิ่งที่เราไม่ชอบ เราไม่สามารถทำตามพระวจนะของพระเจ้าได้ และอื่นๆ นี่แสดงให้เราเห็นว่า เราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจากความรักต่อพระเจ้าหรือเพื่อสนองพระเจ้า แต่เพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า เราเพียงแค่ใช้และโกงพระเจ้า เพื่อสนองความทะเยอทะยานและความปรารถนาของตัวเอง แล้วอย่างนั้นเราจะเป็นผู้คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาแห่งสวรรค์ได้ยังไง พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘พวกท่านจงเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเรานั้นบริสุทธิ์’ (1 เปโตร 1:16) พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ แล้วพระเจ้าจะทรงนำผู้คนที่โสมมอย่างเราเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยังไง ด้วยการละทิ้งธรรมชาติที่มีบาป ได้รับการชำระให้สะอาด และไม่ทำบาปหรือต่อต้านพระเจ้าอีกต่อไปเท่านั้น เราจึงจะได้รับความชื่นชมจากพระเจ้าและเหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”
ขณะที่ฉันฟังเธอ ฉันคิดว่า “ฉันเคยคิดว่าฉันสามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ด้วยการทำงานให้ดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันปฏิบัติความเชื่อโดยขัดกับน้ำพระทัยของพระเจ้า มนุษย์สามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้โดยการกลายเป็นผู้ที่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ฉันไม่รู้ว่าจะกลายเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ได้ยังไง” ฉันแบ่งปันความคิดของฉันกับพี่น้องเบ็ตตี้
และเธอก็อ่านบทตอนที่เกี่ยวข้องบางส่วนของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันฟังค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์ เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง? ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น! เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์) “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) จากนั้นพี่น้องเบ็ตตี้ก็บอกว่า “ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าเพียงแค่ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ หลังจากที่เรายอมรับความรอดของพระองค์ เราแค่ต้องสารภาพและกลับใจกับพระองค์ และบาปของเราก็ได้รับการอภัย และจากนั้นเราก็สามารถเพลิดเพลินกับพระคุณและพระพรที่พระองค์ประทานให้เราได้ องค์พระเยซูเจ้าทรงอภัยให้บาปของเราก็จริง แต่พระองค์ไม่ทรงอภัยธรรมชาติที่มีบาปและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา หลังจากที่ซาตานทำให้เราเสื่อมทราม เราก็ถูกครอบงำโดยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา อย่างเช่นความหยิ่งยโส ความหลอกลวง ความชั่วร้ายและความแข็งกระด้าง ดังนั้นพวกเราจึงอดไม่ได้ที่จะทำบาปและต้านทานพระเจ้า ธรรมชาติแบบซาตานของเรานั่นแหละที่เป็นรากเหง้าแห่งบาปของเรา และถ้าเราไม่กำจัดมันออกไป เราจะไม่มีวันเลิกทำบาปและต่อต้านพระเจ้า และเราจะไม่มีวันเหมาะสมที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักร นั่นคือเหตุผลที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงกลับมาในยุคสุดท้าย โดยทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อชำระอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเราให้สะอาดหมดจดและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเหล่านั้น จากนั้นเราจึงสามารถเป็นอิสระจากบาป อีกทั้งได้รับการช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์และถูกรับไว้โดยพระเจ้า เหมือนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเผยพระวจนะไว้ว่า ‘หากใครปฏิเสธเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวไว้แล้วนั่นเองจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:48) ‘เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะบอกแก่พวกท่าน แต่เวลานี้พวกท่านยังรับไม่ไหว แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงสอนพวกท่านถึง ความจริงทั้งปวง เพราะพระองค์จะไม่ตรัสถึงพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงบอกแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น’ (ยอห์น 16:12-13) โดยการยอมรับพระราชกิจการพิพากษาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่ความเสื่อมทรามของเราจะสามารถได้รับการชำระให้สะอาดได้ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจะเหมาะสมที่จะได้รับพระสัญญาของพระเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์”
การสามัคคีธรรมของพี่น้องเบ็ตตี้เปิดตาฉันจริงๆ ค่ะ ช่วงเวลาหลายปีนั้น ฉันได้ทำบาปและจากนั้นก็สารภาพกับบาทหลวงและทำงานหนักเพื่อทำความดี แต่ฉันก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองจากการทำบาปได้ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงแค่ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ และโดยการเชื่อในพระองค์ เราเพียงแค่ได้รับการอภัยในบาปของเรา แต่ธรรมชาติที่มีบาปของเรายังคงอยู่กับเรา นั่นคือสาเหตุที่ฉันยังคงมีชีวิตอยู่ในวัฏจักรอันเลวทรามของการทำบาปและสารภาพ ทางเดียวที่ความเสื่อมทรามของเราจะได้รับการชำระให้สะอาดคือยอมรับพระราชกิจการพิพากษา ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย จากนั้นเราจึงสามารถรักและเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ความคิดนั้นทำให้ฉันมีความสุขมากค่ะ ตอนนี้ฉันมีความหวังที่จะกำจัดบาปและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแล้ว!
วันต่อมา พี่น้องเบ็ตตี้เปิดบทบรรยายเรื่อง พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว มันน่าประทับใจมากสำหรับฉัน และฉันรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นมีสิทธิอำนาจมาก เธอบอกฉันอย่างตื่นเต้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เราปรารถนามานานทรงกลับมาแล้ว ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมายและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งที่เราอ่านเมื่อวานและบทบรรยายที่เราฟังวันนี้ ล้วนเป็นถ้อยดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พระองค์เอง พระองค์ทรงมาและทรงเปิดตราประทับทั้งเจ็ด อีกทั้งทรงคลายม้วนหนังสือเล็ก พระองค์ทรงเผยความลึกลับทั้งหมดที่เราไม่เคยเข้าใจ และประทานความจริงทั้งหมดว่าเราจำเป็นต้องได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วงดังที่ว่า ‘ผู้ใดมีหู ก็จงฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งปวง’ (วิวรณ์ 3:6) การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าวันนี้ เป็นการทรงนำของพระเจ้า และเราได้รับพระพรจริงๆ ค่ะ!”
ฉันปลื้มปีติและตื่นเต้นมากที่ได้ยินข่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว บทบรรยายที่ฉันได้ฟังและพระวจนะที่ฉันได้อ่านวันก่อนหน้า ล้วนเป็นพระวจนะของพระเจ้าค่ะ ไม่แปลกเลยที่พระวจนะเหล่านั้นมีสิทธิอำนาจเหลือเกิน! จะมีใครอีกที่สามารถเผยความลับ แห่งการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ไม่มีใครอื่นนอกจากพระเจ้าที่สามารถทำได้ ฉันเชื่อหมดใจเลยว่าพระวจนะเหล่านี้ตรัสโดยพระเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากเลยค่ะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันรู้สึกโชคดีมาก! ฉันมีแค่คำถามเดียวค่ะ “พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ยังไง”
ตอนนั้นพี่น้องเบ็ตตี้ให้ฉันอ่านบทตอนนี้ของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อตอบคำถามฉัน “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) หลังจากอ่านบทตอนนี้ พี่น้องเบ็ตตี้ก็บอกว่า “ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจเพื่อทรงพิพากษาและทรงชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดด้วยพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงพิพากษาการกบฏและความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ ทรงเผยธรรมชาติของการต่อต้านพระเจ้าเยี่ยงซาตานและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา ทรงพิพากษาและทรงตีแผ่ความปรารถนาในพระพรและความเชื่อที่มีมลทินของเรา อีกทั้งมุมมองผิดๆ และมโนคติที่หลงผิดของเราเกี่ยวกับพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นอีกด้วยว่าจะเป็นคนซื่อสัตย์และรับใช้อย่างสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ได้ยังไง จะเชื่อฟังและรักพระองค์อย่างแท้จริงได้ยังไง จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ยังไง และอื่นๆ โดยการได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เรามองเห็นว่าเราถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามยังไง และทุกสิ่งที่พวกเราดำเนินชีวิตไปตามนั้น ความโอหัง เล่ห์ลวงและความชั่วร้าย มาจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเราออย่างไร ในการนี้เรามองเห็นพระอุปนิสัยที่บริสุทธิ์ชอบธรรมที่ไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง และเราเริ่มที่จะเกลียดตัวเอง รู้สึกเสียใจ และมุ่งปฏิบัติความจริง จากนั้นอุปนิสัยแห่งชีวิตของเราก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดนี้ลุล่วงได้โดยพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้า” จากนั้นพี่น้องเบ็ตตี้ก็แบ่งปันประสบการณ์ของเธอเอง ในการเชื่อของเธอก่อนหน้านั้น เธอมักคิดว่าเธอรักองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะเธอได้ทุ่มเทตัวเองอย่างกระตือรือร้น เธอจึงอธิษฐานบ่อยครั้ง ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระคุณและพระพร เธอเชื่ออย่างหนักแน่นว่า เพราะเธอได้ทนทุกข์เพื่อพระเจ้า พระองค์ต้องประทานรางวัลให้เธอด้วยการเข้าสู่ราชอาณาจักรแน่นอน หลังจากที่เธอยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าและถูกพิพากษาและตีแผ่โดยพระวจนะของพระองค์ เธอก็มองเห็นว่ามุมมองต่างๆ เรื่องความเชื่อของเธอนั้นผิดและมีมลทิน เธอไม่ได้เชื่อเพราะความรักที่มีต่อพระเจ้าหรือเพื่อทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้าง แต่เพื่อสนองความปรารถนาในพระพรของเธอเอง และเพื่อให้ได้รับพระพรแห่งราชอาณาจักรเป็นการตอบแทน นี่คือการใช้พระเจ้าและทำข้อตกลงกับพระองค์ เธอเห็นแก่ตัวอย่างมาก โดยไม่มีมนุษยธรรมหรือเหตุผลเลยแม้แต่น้อย และเธอเสียใจอย่างสุดซึ้งและเกลียดตัวเอง เธอเริ่มไล่ตามความจริงดังข้อกำหนดของพระเจ้า และมุมมองผิดๆ เรื่องความเชื่อของเธอก็ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง อุปนิสัยหลอกลวงเยี่ยงซาตานของเธอเริ่มเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน เธอมองเห็นว่าหนทางเดียวที่จะรู้จักตัวเองอย่างแท้จริงและได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทรามของเธอ คือยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า
จากการสามัคคีธรรมของเธอ ฉันมองเห็นว่ามันสัมพันธ์กับชีวิตจริงยังไงที่พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย และมันสามารถเปลี่ยนแปลงและชำระผู้คนให้สะอาดได้ยังไง ฉันมองเห็นว่าเราต้องการให้พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้ายมากแค่ไหน และมองเห็นว่าตอนนี้เรามีเส้นทางที่จะเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามแล้ว ฉันตื่นเต้นมากค่ะ ในการชุมนุมครั้งหลังๆ พี่น้องเบ็ตตี้เล่าความลึกลับของการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าให้ฉันฟัง ว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามยังไง และพระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดทีละขั้นตอนยังไง เรื่องราวเบื้องลึกของพระคัมภีร์ บทอวสานและบั้นปลายใดบ้างที่รอคอยมนุษยชาติอยู่ และอื่นๆ เธอเล่าให้ฉันฟัง ถึงความจริงที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในการเชื่อในพระเจ้ากว่า 20 ปี ยิ่งฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันยิ่งรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่ทรงสามารถแสดงพระวจนะที่มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ นอกจากพระเจ้าแล้ว จะมีใครที่ตีแผ่ความจริงเรื่องความเสื่อมทรามของมนุษยชาติเพราะฝีมือของซาตานได้ ใครจะแสดงให้เราเห็นข้อผิดพลาดในความเชื่อของเรา และแสดงให้เราเห็นเส้นทางที่ถูกต้องในความเชื่อของเราได้ ใครจะเผยความลับเรื่องแผนการ 6,000 ปีของพระเจ้า และบอกเราได้ว่าบทอวสานและบั้นปลายใดบ้างที่รอเราอยู่ ฉันหันมาเชื่อว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมา พระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย! ฉันจึงยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายอย่างมีความสุข ฉันขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงเลือกฉันและทรงช่วยฉันให้รอดค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย เป่าเอิน บราซิล ความล้ำลึกของ “พระบิดา และพระบุตร” ได้รับการเปิดเผยแล้วในที่สุด แม้ว่า ข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความจริงนี้แล้ว...
โดย Anick, ฝรั่งเศส พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ที่ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงปรากฏ ความจริงก็จะถูกแสดงที่นั่น...
โดย Chen Liang, สหรัฐอเมริกา ผมเกิดมาในครอบครัวคาทอลิค และตอนอายุ 13 ผมศึกษาบัญญัติสิบประการและได้รับบัพติศมา หลังจากนั้น...
โดย จีนน์ เคลาดิโอ ฟิลิปปินส์ ฉันเกิดมาในครอบครัวคาทอลิก ฉันทำตามวิถีแบบคาทอลิก และโหยหาการทรงกลับมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้น...