ผมได้เห็นม้วนหนังสือที่เปิดออกแล้ว
ตอนที่ผมยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ผมได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งมาจากไหน และเรียนรู้แหล่งที่มาของความเสื่อมทรามของมนุษย์ด้วยการอ่านพระคัมภีร์ ผมได้เรียนรู้เรื่องที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ องค์พระเยซูเจ้าทรงรักษาคนป่วย ทรงขับผี ทรงแก้ไขปัญหา ทรงมอบพระคุณอันอุดมแก่มนุษย์ และทรงถูกตรึงกางเขนด้วยพระองค์เองในฐานะเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อไถ่มวลมนุษย์จากบาป พระคัมภีร์ช่วยให้ผมเข้าใจความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า และผมอ่านสองสามบทตอนทุกวันครับ ศิษยาภิบาลของเราบอกเราตลอดเวลา ว่าพันธสัญญาเดิมและใหม่นั้นสมบูรณ์ และพันธสัญญาเหล่านี้บรรจุพระวจนะของพระเจ้าไว้ทั้งหมด และเราจะหลงทางจากพระคัมภีร์ไม่ได้โดยเด็ดขาด ผมก็เชื่อตามนั้น
ในเดือนมีนาคม ปี 2016 ผมไปเจอพี่ชายคนหนึ่งที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าระหว่างที่กำลังทำกิจธุระกับลูกพี่ลูกน้องของผม ขณะที่คุยกัน เขาบอกผม ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในร่างมนุษย์ และกำลังทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า เขาพูดพร้อมหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋า และพูดว่ามันบรรจุความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้าย ผมดูหนังสือเล่มนั้น ที่หน้าปกเขียนว่า หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก ผมตกใจเลยครับ ผมไม่เคยเห็นหนังสือนั่นมาก่อน แต่เขาพูดว่าพระวจนะทั้งหมดในนั้นคือพระวจนะของพระเจ้า ผมนึกสงสัยว่า “จะเป็นไปได้ยังไง พระคัมภีร์เท่านั้นที่บรรจุพระวจนะของพระเจ้าไว้ แล้วจะมีอยู่ในหนังสือเล่มอื่นได้ยังไง ศิษยาภิบาลบอกเราว่าพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ บอกว่านอกเหนือจากนั้นคือหลงไปจากหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และนั่นคือความนอกรีต” ตอนนั้นเองที่ผมจำได้ว่าศิษยาภิบาลได้บอกเราว่าความนอกรีตทุกรูปแบบจะปรากฏในยุคสุดท้าย และการป้องกันที่ดีที่สุดของเราก็คือไม่ไปฟังหรือไปอ่าน และไม่ติดต่อกับคนพวกนั้น พอคิดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะระแวดระวังพี่ชายคนนั้น แล้วผมก็หยุดฟังเขา แต่ลูกพี่ลูกน้องของผมชอบการสามัคคีธรรมและคำพยานของเขา เขาพูดว่าเขาอยากอ่าน หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก และตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมตกใจที่ได้ยินแบบนั้น ผมคิดว่า “นายเห็นด้วยกับเรื่องนั้นโดยไม่คิดให้รอบคอบได้ยังไง นายลืมไปแล้วเหรอ ที่ศิษยาภิบาลพูดว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์น่ะ” ผมไม่นิ่งเฉย ผมเตือนเขาไม่ให้ไปตรวจสอบมันอย่างมืดบอด แต่เขาไม่ยอมฟัง กลับบอกว่าผมเองก็ควรตรวจสอบด้วย เขาเป็นผู้เชื่อมามากกว่า 20 ปี รู้ข้อพระคัมภีร์ต่างๆ ดี และรู้จักจิตใจตัวเองในความเชื่อของเขา ในเมื่อเขาตัดสินใจจะตรวจสอบดู ผมก็ไม่อยากบังคับใจเขา ยังไงซะ ทุกคนก็สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ จากนั้นมา เขาก็เริ่มแบ่งปัน ความรู้แจ้งที่เขาได้รับจากการอ่าน หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก และอยากให้ผมลองอ่านดูบ้าง ทันทีที่ผมนึกถึงคำเตือนของศิษยาภิบาล ผมก็ไม่กล้าอ่านครับ ผมพูดกับเขาอย่างเฉียบขาด “ไม่ต้องชวนฉันอ่านแล้วนะ นายเชื่อของนาย ฉันก็เชื่อของฉัน” ผมยึดติดกับความคิดของตัวเองอย่างดื้อรั้น คิดว่าผมกำลังสัตย์ซื่อต่อหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนคริสเตียนของผมบอกผมอย่างยินดี ว่าเขาได้พบคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และการเทศนาของพวกเขาก็ให้ความรู้แจ้ง ความสับสนที่เขามีมานานในความเชื่อของเขาได้รับการแก้ไขแล้ว และเขาอยากให้ผมไปด้วย ผมอยากสงสัยเรื่องคริสตจักรนั้นจริงๆ ผมก็เลยถามว่า “คริสตจักรไหนเหรอ” เขาพูดว่า “คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ผมประหลาดใจมากที่ได้ยินแบบนั้น ผมนึกสงสัย “ถ้าคริสตจักรนั้นมีความจริงจริงๆ ล่ะ ทำไมทุกคนรอบตัวฉันถึงเริ่มเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นะ พระเจ้ากำลังบอกฉันให้ตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือเปล่า เป็นไปได้ไหมที่มุมมองที่ฉันยึดถือจะผิด” ผมอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอการทรงนำของพระองค์
ลูกพี่ลูกน้องของผมพูดถึงพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับผมอีกในภายหลัง เขาพูดว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมากมาย เปิดเผยความจริงและความลึกลับทุกประเภทที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เปิดเผยว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามยังไง พระเจ้าทรงพระราชกิจเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดยังไง รากเหง้าของการที่มวลมนุษย์ต่อต้านพระเจ้า จะแก้ไขธรรมชาติที่เต็มไปด้วยบาปของพวกเขาและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ยังไง และอื่นๆ เขาพูดว่าเขาได้รับจากพระวจนะเหล่านั้นมากกว่าจากการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้านาน 20 ปีของเขาเสียอีก เขายังพูดด้วยว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้คำเผยพระวจนะต่างๆ ในวิวรณ์เรื่องที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับคริสตจักรทั้งหลายลุล่วง และพูดว่าพระองค์ทรงคือพระเมษโปดกที่กำลังเปิดหนังสือม้วนนั้น เขาบอกว่าผมควรไปดูด้วยตาตัวเอง ในขณะที่เขาแบ่งปันการสามัคคีธรรม เขาดูมีความสุขมาก ราวกับว่าเขาได้พบขุมทรัพย์ ผมรู้สึกว่าอาจจะมีความจริงอยู่บ้างในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็เลยตัดสินใจลองตรวจสอบดู
ผมพบกับคนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในวันต่อมา ผมเข้าประเด็นทันทีและแบ่งปันความสับสนของผมว่า “ศิษยาภิบาลของผมพูดเสมอว่าไม่มีอะไรนอกเหนือจากพระคัมภีร์ที่บรรจุพระวจนะของพระเจ้าไว้ พูดว่าทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ และอะไรก็ตามนอกเหนือจากนั้นคือความนอกรีต คุณพูดได้ยังไงว่าทุกอย่างในหนังสือเล่มนี้คือพระวจนะของพระเจ้า”
พี่น้องจางแบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้กับผมครับ “คนที่นับถือศาสนามากมายคิดว่า พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ และสามารถพบได้ในพระคัมภีร์เท่านั้น แต่นั่นสอดคล้องกับข้อเท็จจริงหรือเปล่า พระเจ้าเคยตรัสไหมว่าพระวจนะของพระองค์ทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสไว้ไหมว่าการแยกห่างจากพระคัมภีร์เป็นความนอกรีต ผู้คนที่เข้าใจพระคัมภีร์ทุกคนรู้ ว่าพันธสัญญาเดิมและใหม่รวบรวมขึ้น 300 ปีหลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระราชกิจของพระเจ้ามาก่อน แล้วค่อยมีพระคัมภีร์ แปลว่า พระราชกิจในแต่ละยุคไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ที่มีอยู่แล้ว ย้อนไปเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พระองค์ได้ทรงประกาศธรรมบัญญัติ กฤษฎีกา และพระบัญญัติของพระองค์โดยมีพื้นฐานจากพระคัมภีร์ของพวกเขาไหม ไม่ใช่แน่นอน ตอนนั้นไม่มีพระคัมภีร์เลย ในยุคพระคุณ พระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าก็คือการเผยแผ่หนทางแห่งการสารภาพและกลับใจ เพื่อสอนผู้คนให้รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง รักศัตรูของพวกเขา และให้อภัยเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง พระองค์ทรงรักษาคนป่วยในวันสะบาโตด้วย ทั้งหมดนี้ทำบนพื้นฐานของพันธสัญญาเดิมไหมครับ พระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าไม่ได้บันทึกไว้ในพันธสัญญาเดิม และทั้งหมดนั้นขัดแย้งกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ ในธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ อย่าง ‘ตาแทนตา ฟันแทนฟัน’ (อพยพ 21:24) ถวายเครื่องบูชาหลังจากทำบาป และไม่ทำงานในวันสะบาโต ถ้าเรามองตามมุมมองของมนุษย์ ว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าไม่มีอยู่ภายนอกพระคัมภีร์และอะไรอื่นเป็นความนอกรีต เราก็กำลังกล่าวโทษพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่เหรอ พระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่มีวันเก่า และพระราชกิจของพระองค์ก็เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ พระองค์ไม่ได้วางพื้นฐานพระราชกิจของพระองค์บนพระคัมภีร์หรือใช้พระคัมภีร์เป็นแนวทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ไม่ได้หาวิถีการทรงนำผู้ติดตามของพระองค์ในนั้น แต่พระองค์ไปนอกเหนือพระคัมภีร์เพื่อทรงพระราชกิจใหม่และทรงนำผู้คนไปบนวิถีใหม่ พระเจ้าทรงไม่ใช่แค่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งวันสะบาโต แต่ยังเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระคัมภีร์อีกด้วย พระองค์มีสิทธิ์จะไปนอกเหนือพระคัมภีร์ทุกประการ เพื่อทรงนำและทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงพระราชกิจใหม่ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และสิ่งที่มนุษย์ชาติต้องการ เราจะจำกัดพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าไว้แค่ในพระคัมภีร์ตามมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของเราได้ยังไง เราพูดได้ยังไงล่ะครับว่าพระเจ้าทรงไม่สามารถตรัสหรือทรงงานนอกเหนือสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ได้”
การสามัคคีธรรมของพี่น้องจางทำให้ผมประหลาดใจ ผมเป็นผู้เชื่อมาตลอดหลายปีแต่ไม่เคยได้ยินการสามัคคีธรรมที่ให้ความรู้แจ้งแบบนั้นเลย พระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่มีวันเก่า พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ไม่ได้มีพื้นฐานบนพระคัมภีร์ แต่อยู่บนความจำเป็นของพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ การสามัคคีธรรมนั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์และข้อเท็จจริงของพระราชกิจของพระเจ้า ผมงงเลยครับ พวกเขาเข้าใจมากขนาดนั้นได้ยังไง
เหมือนเขาอ่านใจผมได้ พี่น้องจากพูดต่อว่า “ความเข้าใจแม้เพียงเล็กน้อยทุกส่วนของเรามาจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทั้งหมด พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเปิดเผยความจริงและความลึกลับทั้งหมดของพระราชกิจของพระเจ้าครับ” แล้วเขาก็อ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้า “ในระหว่างกาลสมัยของพระเยซู พระเยซูทรงนำคนยิวและบรรดาผู้คนที่ติดตามพระองค์โดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระองค์ในเวลานั้น พระองค์ไม่ได้ทรงนำพระคัมภีร์มาเป็นพื้นฐานของสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พระองค์ตรัสไปตามพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงสำรวจค้นเส้นทางที่จะนำผู้ติดตามของพระองค์ในพระคัมภีร์ นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจ พระองค์ทรงเผยแพร่หนทางแห่งการกลับใจ—ซึ่งเป็นคำที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงไว้ในคำเผยพระวจนะทั้งหลายของพันธสัญญาเดิมโดยสิ้นเชิง พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่ทรงปฏิบัติตามพระคัมภีร์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงนำเส้นทางใหม่และทรงพระราชกิจใหม่ด้วย พระองค์ไม่เคยทรงอ้างอิงถึงพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ทรงเทศนาเลย ในระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้น ไม่เคยมีผู้ใดมีความสามารถที่จะกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ในการรักษาคนป่วยและขับไล่พวกปีศาจได้ ดังนั้น พระราชกิจของพระองค์ คำสอนของพระองค์ และสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระองค์จึงเกินกว่ามนุษย์คนใดในยุคธรรมบัญญัติเช่นเดียวกัน พระเยซูเพียงทรงพระราชกิจของพระองค์ที่ใหม่กว่า และถึงแม้ว่าผู้คนมากมายกล่าวโทษพระองค์โดยใช้พระคัมภีร์—และแม้กระทั่งใช้พันธสัญญาเดิมเพื่อตรึงกางเขนพระองค์—พระราชกิจของพระองค์ก็เหนือกว่าพันธสัญญาเดิม หากนี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดผู้คนจึงตอกตรึงพระองค์กับกางเขน? นั่นไม่ได้เป็นเพราะในพันธสัญญาเดิมไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดที่เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์และความสามารถในการรักษาผู้ป่วยและขับไล่ปีศาจของพระองค์หรอกหรือ?…สำหรับผู้คนแล้ว ดูเสมือนว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีพื้นฐานและมีหลายส่วนขัดแย้งกับบันทึกของพันธสัญญาเดิม นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของมนุษย์หรอกหรือ? จำเป็นต้องนำหลักคำสอนมาใช้กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือ? และพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามการพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะหรือ? ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์? เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์? พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ? เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป? หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน? ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับหลักคำสอนเหล่านี้? เจ้าควรรู้ว่าอย่างใดสำคัญกว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์! ในเมื่อทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต แล้วพระองค์จะไม่สามารถเป็นเจ้าเป็นนายเหนือพระคัมภีร์ด้วยหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))
พระวจะของพระเจ้าทำให้ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ “พระเจ้าทรงสร้างและทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงมีอิสระอย่างเต็มที่ที่จะทรงพระราชกิจยังไงก็ได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา ในฐานะมนุษย์ เราไม่มีสิทธิ์จะตีกรอบหรือจำกัดพระราชกิจของพระองค์ไว้ในพระคัมภีร์” ถึงแม้ว่าผมจะคิดแบบนั้น ผมก็ยังนมัสการพระคัมภีร์และไม่สามารถปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดของผมได้ครับ แล้วพวกเขาก็ค่อยๆ หา ข้อพระคัมภีร์มากมายเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย อย่างคำเผยพระวจนะจากองค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) แล้วก็มียอห์น 12:47-48 ที่ว่า “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย” องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าพระองค์จะทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย และมีคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” (1 เปโตร 4:17) การสามัคคีธรรมของพวกเขาทั้งหมดสมเหตุสมผลมาก และในหัวใจของผมก็เห็นด้วยทั้งหมด แต่ผมไม่พร้อมจะยอมรับว่าที่ผ่านมาผมคิดผิด พอกลับมาบ้าน ผมก็รีบเปิดพระคัมภีร์ และตรวจสอบและครุ่นคิดถึงทุกอย่างที่พวกเขายกมาอย่างระมัดระวัง ผมพบว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายที่พวกเขาเป็นพยานให้ มีคำเผยพระวจนะอยู่ในพระคัมภีร์จริงๆ ผมอัศจรรย์ใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่และถามตัวเองว่า “ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ ล่ะ” แล้วผมก็กล่าวคำอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ้องค์พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพระองค์รู้สึกว่าการสามัคคีธรรมที่พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นแบ่งปันวันนี้ให้ความรู้แจ้งจริงๆ สิ่งที่พวกเขาอ่านจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นมีสิทธิอำนาจ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถพูดทั้งหมดนั้นได้แน่ และพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เปิดเผยความลึกลับของความจริงที่ข้าพระองค์ไม่เคยเข้าใจจากการอ่านพระคัมภีร์มาตลอดหลายปีนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ไม่แน่ใจเต็มที่ว่าพระองค์ทรงกลับมาในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่ โปรดประทานการทรงนำให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
วันต่อมา พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นก็ให้ผมดูภาพยนตร์ เผยความล้ำลึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ในหนัง พี่น้องชายคนหนึ่งของคริสตจักรแบ่งปันการสามัคคีธรรมเรื่องความคิดของตัวละครหลัก ที่ว่า “พระวจนะของพระเจ้าไม่มีอยู่ภายนอกพระคัมภีร์ และอะไรอื่นเป็นความนอกรีต” ซึ่งผมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ เขาพูดว่า “ในการรวบรวมพระคัมภีร์ พระวจนะของพระเจ้าบางส่วนที่ถ่ายทอดโดยผู้เผยพระวจนะ ไม่ได้บันทึกไว้ในพันธสัญญาเดิมทั้งหมด เนื่องจากการตัดทอนและความขัดแย้งระหว่างผู้เรียบเรียง นี่เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันกว้างขวาง ดังนั้นเราจะสามารถพูดได้ยังไงว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าพบได้ในพระคัมภีร์เท่านั้น คำเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะที่ตัดออกไปไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าเหรอ องค์พระเยซูเจ้าตรัสมากกว่าสิ่งที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ กว่าสามปีที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจ เราไม่รู้เลยว่าพระองค์ตรัสหรือทรงประกาศมากมายแค่ไหน มากกว่าปริมาณที่บันทึกไว้ในพระกิตติคุณทั้งสี่กี่เท่า อย่างที่กล่าวในพระกิตติคุณยอห์น ‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ (ยอห์น 21:25) นี่พิสูจน์ ว่าพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าไม่ได้บันทึกอยู่ในพันธสัญญาใหม่อย่างครบถ้วน สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์เป็นส่วนที่จำกัดมากของพระวจนะของพระเจ้า ที่ไม่ได้รวมทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น การพูดว่าไม่มีพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าภายนอกพระคัมภีร์และอะไรอื่นเป็นความนอกรีต ไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง มันไม่มีพื้นฐานเลย”
พอชมภาพยนตร์นี้ ผมก็คิดว่า “จริงด้วย พระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาเดิมทั้งหมด พระองค์ทรงนำชีวิตของผู้คนบนแผ่นดินโลกนับสหัสวรรษ ไม่มีทางที่พระวจนะของพระองค์ต่อบรรดาผู้เผยพระวจนะจะมีแค่เท่าที่อยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงประกาศนานสามปีครึ่ง จะเป็นไปได้ยังไงที่พระกิตติคุณทั้งสี่จะสามารถบันทึกพระวจนะของพระองค์ไว้ได้ทั้งหมด ผมว่าผมคงไม่สามารถด่วนตัดสินได้ ผมต้องเข้าหาเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง” และดังนั้นผมก็เลยชมต่อไปอย่างกระตือรือร้น
พี่น้องชายในภาพยนตร์สามัคคีธรรมของเขาต่อไป “เราทั้งหมดเคยอ่านพระคัมภีร์ในความเชื่อของเราในอดีต แต่เราไม่เคยชัดเจนเรื่องความเป็นจริงของพระคัมภีร์ ตอนนี้พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่เรา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์ ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ? การยกสิ่งต่างๆ ในอดีตมากล่าวถึงในวันนี้ทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นประวัติศาสตร์ และไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเที่ยงแท้หรือเป็นจริงเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นประวัติศาสตร์—และประวัติศาสตร์ไม่สามารถกล่าวถึงปัจจุบันได้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์! และดังนั้น หากเจ้าเพียงเข้าใจพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิบัติในวันนี้เลย และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่แสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เข้าใจความหมายของการแสวงหาพระเจ้า หากเจ้าอ่านพระคัมภีร์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เพื่อค้นคว้าประวัติศาสตร์การทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกทั้งหมดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่วันนี้ เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิต เนื่องจากเจ้าไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาไปตามตัวอักษรและคำสอนที่ตายไปแล้วหรือความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เจ้าต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ และเจ้าต้องมองหาทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเจ้าเป็นนักโบราณคดี เจ้าจะสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้—แต่เจ้าไม่ใช่ เจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และเจ้าควรจะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าของวันนี้อย่างดีที่สุด’ (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4))” แล้วเขาก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมว่า “ผู้คนบันทึกพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้า และรวบรวมพระคัมภีร์จากทั้งหมดนั้นหลังจากพระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแล้ว พระคัมภีร์เป็นเพียงบันทึกทางประวัติศาสตร์ของพระราชกิจในอดีตของพระเจ้าและเป็นเพียงคำพยานต่อพระราชกิจของพระองค์ พระคัมภีร์ไม่ได้เป็นตัวแทนของพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถแทนที่พระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ พูดง่ายๆ คือพระคัมภีร์ไม่สามารถเทียบพระเจ้าได้ พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต พระวจนะของพระองค์เป็นน้ำพุที่ไหลรินซึ่งมากมายจนวัดไม่ได้ ในขณะที่พระคัมภีร์เป็นเพียงหนังสือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พระคัมภีร์บันทึกพระวจนะของพระเจ้าไว้ปริมาณจำกัด แล้วพระคัมภีร์จะสามารถอยู่ระดับเดียวกับพระเจ้าได้ยังไง พระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่มีวันเก่า พระองค์ทรงพระราชกิจใหม่และดำรัสพระวจนะใหม่ในทุกยุค หากเรายึดติดกับพระวจนะในอดีตของพระองค์ ในขณะที่กล่าวโทษพระราชกิจและพระวจนะแห่งยุคใหม่ของพระเจ้า จะกลายเป็นว่าเราต่อต้านพระเจ้า ดูอย่างยุคพระคุณ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจใหม่และดำรัสพระวจนะใหม่ ปุโรหิตและฟาริสียิวยึดมั่นในพระคัมภีร์เก่าของพวกเขา โดยคิดว่าพระคัมภีร์นั้นบรรจุพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาสมคบคิดกันตรึงกางเขนพระองค์ กระทำบาปที่เลวร้าย ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา ซึ่งพระคัมภีร์ไม่มีบันทึกไว้ เนื่องจากมันไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ จึงไม่มีทางที่พระคัมภีร์จะสามารถแทนที่พระราชกิจและพระวจนะแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้ หากผู้คนได้แต่ค้ำจุนพระคัมภีร์โดยไม่ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่ได้รับความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ พวกเขาจะถูกกำจัดทิ้งผ่านพระราชกิจและพระวจนะแห่งยุคใหม่ของพระองค์”
ผมพิจารณาอย่างระมัดระวัง ณ จุดนี้ พระคัมภีร์เป็นเพียงคำพยานของพระราชกิจของพระเจ้าจริงๆ และบันทึกพระวจนะของพระเจ้าในนั้นมีจำกัด ก่อนหน้านี้ผมฟังพวกศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสเสมอ คิดไปว่าพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่มีที่อื่น แต่นั่นเป็นมโนคติที่หลงผิดที่น่าขันและไร้สาระ พระราชกิจของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดดำเนินไปข้างหน้าเสมอ หากพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าจำกัดอยู่ในพันธสัญญาเดิม และพระองค์ไม่เคยทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ ทุกคนก็คงใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติมาตลอด ถูกกล่าวโทษและถูกฆ่าตายเพราะฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ งั้นมนุษยชาติก็คงไม่อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด เราก็คงใช้ชีวิตในบาปต่อไป ไม่สามารถหนีพ้น พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้นเราซึ่งเปียกปอนไปด้วยความโสโครกจะสามารถเห็นพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือถูกรับเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ยังไง หลังจาก เผยความล้ำลึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์ จบ ผมนึกทบทวนถึงโครงเรื่อง มุมมองเก่าของผมถูกป่นจนแหลกโดยพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมได้ตัดสินใจตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างถ้วนทั่วครับ
ภายหลังพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นก็ส่ง หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก มาให้ผมเล่มหนึ่ง พระวจะของพระเจ้าเผยความคิดและมุมมองของผมอย่างหมดเปลือก แรงจูงใจที่จะได้รับพระพรของผม และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายของผม ความโอหัง ความหลอกลวง ความชั่วร้าย และการดูหมิ่นความจริง ยิ่งผมอ่านมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งแน่ใจว่าพระวจนะเหล่านี้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากพระเจ้า มีเพียงพระเจ้าที่ทรงสามารถมองเข้าไปในหัวใจและความคิดของผู้คน และตีแผ่แรงจูงใจผิดๆ และความเสื่อมทรามภายในทั้งหมดของเราได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมากมาย อย่างเป้าหมายของพระองค์ในการบริหารจัดการมนุษยชาติ เรื่องราวเบื้องหลังของพระคัมภีร์และพระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดสามระยะของพระองค์ ความเชื่อที่แท้จริงและความนบนอบต่อพระเจ้าคืออะไร ใครสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ และความจริงอีกมากที่ผมไม่เคยได้ยินในการนับถือศาสนาของผมมาตลอดหลายปี มันเปิดดวงตาของผมจริงๆ ครับ ผมเห็นว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ลุล่วงอย่างสมบูรณ์ “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยอห์น 16:12-13) มีคำเผยพระวจนะนี้ในวิวรณ์เช่นกัน “และไม่มีใครในสวรรค์ หรือบนแผ่นดินโลก หรือใต้แผ่นดินโลก ที่สามารถเปิดหนังสือม้วนหรือดูหนังสือนั้น” “นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิด ทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้” (วิวรณ์ 5:3, 5) ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงเปิดเผยความจริงทั้งหมดแก่มนุษยชาติแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้ได้รับการชำระให้สะอาดและถูกช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ ผมเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่เขียนไว้ในม้วนหนังสือแห่งยุคสุดท้าย และคือพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระองค์
เพียงแค่ไม่กี่เดือน ของการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมเข้าใจมากกว่าที่เคยในช่วงกว่า 10 ปีที่เชื่อในศาสนามาครับ ผมเห็นจริงๆ ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือน้ำพุที่ไหลริน และเป็นเสบียงที่ไม่มีวันหมดซึ่งค้ำจุนพวกเรา ผมเกิดความแน่ใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ผมเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่รู้สึกเสียดายมากในเวลาเดียวกัน ผมคิดถึงเรื่อง ที่ผมนมัสการพระคัมภีร์และฟังศิษยาภิบาลอย่างมืดบอด จำกัดพระวจนะของพระเจ้าไว้ในพระคัมภีร์ตามมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของผม ที่ผ่านมาผมไม่มีเหตุผลอย่างมาก แต่พระเจ้าไม่ทรงกำจัดผมทิ้ง พระองค์ทรงเคาะประตูของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าผ่านพี่น้องชายหญิง และทรงนำผมให้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์เพื่อที่ผมจะไม่พลาดการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมขอบคุณความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำหรับผม
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ