เรียนรู้วิธีที่จะแยกแยะหนทางเทียมเท็จจากหนทางที่แท้จริง การกลับมาอยู่ร่วมกันกับพระเจ้าของฉัน (ส่วนที่ 1)

วันที่ 06 เดือน 03 ปี 2021

ใน Xinkao, สหรัฐอเมริกา

บันทึกของบรรณาธิการ: ฉันแน่ใจว่าชาวคาทอลิกจำนวนมากได้สังเกตว่า การปฏิบัติที่ผิดแผกจากหลักศาสนาภายในคริสตจักรเกิดขึ้นด้วยความถี่ที่เพิ่มขึ้นทุกที พวกคนที่อยู่ในเขตวัดดูเหมือนอ่อนแอในความเชื่อของพวกเขา และคริสตจักรดูเหมือนว่าสิ้นหวังและอ้างว้างมากขึ้นทุกทีอย่างไร ชาวคาทอลิกบางคนอยากจะมองหาคริสตจักรที่อื่นๆ ซึ่งมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เพราะบรรดาบาทหลวงพูดอยู่เสมอว่า พวกเขาต้องระวังหนทางเทียมเท็จ พวกเขาจึงไม่กล้าแสวงหาและสืบค้น อย่างไรก็ตาม พี่น้องหญิงซินเกาได้สืบค้นอย่างแข็งขันถึงคริสตจักรซึ่งมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรียนรู้วิธีที่จะจำแนกความต่างระหว่างหนทางที่แท้จริงกับหนทางเทียมเท็จ และต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า อยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประสบการณ์ของเธอหรือไม่? อ่านต่อเพื่อรับฟังเรื่องราวของเธอ…

คริสตจักรที่สิ้นหวังและอ้างว้าง ความรู้สึกสับสนและไร้ทิศทาง

ก่อนที่ฉันจะได้วางความเชื่อของฉันในพระเจ้า ฉันได้มาอยู่ภายใต้อิทธิพลของกระแสนิยมทางสังคมที่ล่อแหลมเฉพาะบางอย่าง ซึ่งได้นำทางฉันให้เริ่มเล่นพนัน และในระหว่างนั้นไม่เพียงแค่สูญเสียเงินเท่านั้น แต่ยังมีภาวะทางสุขภาพหลายอย่างขึ้นมาด้วยเช่นกัน ซึ่งได้ทิ้งให้ฉันอยู่ในความทุกข์และความร้าวราน ในปี ค.ศ. 1998 หลังจากเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ฉันเลิกเล่นพนัน และสุขภาพของฉันก็ดีขึ้นเช่นกัน ในปีต่อๆ มา ฉันยังอธิษฐานอยู่ต่อไปทุกวัน ทำการสวดในตอนเช้าและตอนเย็น เข้าร่วมพิธีมิสซา และรู้สึกเต็มไปด้วยความชื่นบานและมีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง ในปี ค.ศ. 2011 ฉันอพยพมาอเมริกา และถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่ฉันติดธุระและอ่อนล้ากับงาน ฉันยังเข้าร่วมพิธีมิสซาอยู่ต่อไป ในเวลานั้น บรรดาบาทหลวงจะพูดกับพวกเราบ่อยครั้งว่า “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอ้างว่า พระเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว แต่เจ้าต้องไม่เชื่อพวกเขา และเจ้าไม่ควรเข้าร่วมพิธีมิสซาของกลุ่มที่เจ้าไม่คุ้นเคย บัดนี้มีการประกาศหนทางเทียมเท็จมากมาย—หากเจ้าถูกขโมยเส้นทางเดินไปจากหนทางที่แท้จริงโดยผ่านทางการเดินทางของเจ้าและทรยศพระเจ้า ไม่เพียงเจ้าจะได้เชื่อโดยสูญเปล่าแล้วเท่านั้น เจ้ายังจะได้ถูกชี้ชะตากรรมให้ไปนรกด้วยเช่นกัน…” ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันได้ชื่นชมพระคุณอันดีงามของพระเจ้าเรื่อยมา ดังนั้น ฉันต้องไม่ทรยศพระองค์ด้วยความไม่สำนึกบุญคุณและความไม่จงรักภักดี—นั่นจะเป็นการไม่สมเหตุสมผล! วุฒิภาวะของฉันน้อย และฉันก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ดังนั้น ฉันจึงไม่ควรคบหาสมาคมกับผู้คนจากนิกายอื่นๆ จะดีที่สุด ในหนทางนั้นฉันจะไม่ปะปนกับผู้คนซึ่งประกาศหนทางเทียมเท็จ” หลังจากนั้น ฉันก็ปิดตัวเอง และไม่เคยบอกใครจากนิกายอื่นๆ เลยว่าฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็แค่เข้าร่วมพิธีมิสซาที่คริสตจักรเรื่อยไป

อย่างไรก็ตาม ฉันเริ่มที่จะสังเกตอย่างช้าๆ ว่าคริสตจักรของพวกเราได้ยอมจำนนต่อความนอกรีตแล้ว เพื่อนเก่าของฉันบางคนจากคริสตจักรได้เริ่มนำแผ่นจารึกบรรพบุรุษของครอบครัวมาที่คริสตจักร โดยวางแผ่นจารึกเหล่านั้นบนแท่นบูชาและทำของถวายด้วยธูป ฉันคิดกับตัวเองว่า “คริสตจักรไม่ใช่สถานที่ที่จะนมัสการพระเจ้าหรอกหรือ? เหตุใดคุณจึงสักการะบูชาบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วของคุณที่นี่? นี่ไม่เป็นไปตามพระบัญญัติของพระเจ้า!” อย่างไรก็ตาม บรรดาบาทหลวงของพวกเราก็ไม่ได้หยุดกระทำการในหนทางนี้ ซึ่งได้ทิ้งให้ฉันรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ในระหว่างพิธีมิสซา บ่อยครั้งที่คนที่เข้าร่วมนั้นบางตา และพวกที่มาก็จะงีบหลับไปหรือเล่นโทรศัพท์ของพวกเขา การนมัสการพระเจ้าถูกลดลงไปเป็นแค่การทำพิธีกรรมตามปกติและการทำไปอย่างพอเป็นพิธีประเภทหนึ่ง หากบรรดาบาทหลวงของพวกเราไม่ได้เน้นย้ำความจำเป็นที่จะต้องระวังหนทางเทียมเท็จ พวกเขาก็จะสนทนาเกี่ยวกับการระดมเงินเพื่อสร้างคริสตจักรใหม่เท่านั้น และบ่อยครั้งที่บังคับพวกคนที่อยู่ในเขตวัดให้ทำการบริจาค บรรดาบาทหลวงจะติดชื่อผู้บริจาคและจำนวนเงินที่บริจาคบนผนังเพื่อที่ทุกคนจะได้เห็น การปฏิบัติเฉพาะนี้ทำให้ฉันไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และฉันก็เริ่มที่จะตั้งคำถามว่า “มีบางสิ่งผิดปกติกับคริสตจักรนี้หรือไม่? น่าจะเป็นไปได้หรือที่คริสตจักรอื่นๆ ไม่มีการปฏิบัติประเภทเหล่านี้? บางทีฉันควรตรวจสอบคริสตจักรอื่นๆ บางแห่ง?” อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงวิธีที่บรรดาบาทหลวงพูดอยู่เสมอว่า ให้ระวังหนทางเทียมเท็จ ฉันก็ลังเลอีกครั้ง…

สาเหตุที่คริสตจักรได้กลายเป็นสิ้นหวังและอ้างว้าง

ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 2018 ฉันได้พบพี่น้องหญิงหลี่ พวกเราเสวนาเรื่องพระคัมภีร์ร่วมกันบ่อยครั้ง และพวกเรามีก็ทรรศนะที่คล้ายๆ กันในส่วนที่เกี่ยวกับสิ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นมากมายในคริสตจักร พวกเราเข้ากันได้เป็นอย่างดีมาก และดังนั้น ฉันจึงแบ่งปันแนวคิดของฉันเกี่ยวกับการจะไปตรวจสอบคริสตจักรอื่นๆ บางแห่งให้เธอรับรู้ พี่น้องหญิงหลี่พูดว่า เธอรู้จักพี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งได้ให้คำเทศนาที่ดีมากและได้ขอให้ฉันมาฟังกับเธอ ฉันตอบตกลงอย่างมีความสุข

สองสามวันต่อมา ฉันได้พบพี่น้องชายหลิวและพี่น้องหญิงคนอื่นๆ อีกสองสามคน ในขณะที่เยี่ยมเยียนพี่น้องหญิงหลี่ที่บ้านของเธอ เมื่อหัวข้อพูดคุยเวียนไปถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่คริสตจักร ฉันบอกความลับกับพวกเขาในส่วนที่เกี่ยวกับความงุนงงสับสนเร็วๆ นี้บางอย่างของฉันว่า “พี่น้องชายหลิว เหตุใดคริสตจักรจึงได้กลายเป็นสิ้นหวังและอ้างว้างเหลือเกิน? เหตุใดจึงเป็นว่า บรรดาบาทหลวงเปิดโอกาสให้ผู้คนวางแผ่นจารึกบรรพบุรุษของพวกเขาบนแท่นบูชา และถึงขั้นปล่อยให้พวกเขาทำของถวายที่ทำจากธูป?”

พี่น้องชายหลิวสามัคคีธรรมโดยพูดว่า “พี่น้องหญิง คุณได้หยิบยกประเด็นปัญหาสำคัญขึ้นมาพูด ในคริสตจักร การปฏิบัติที่ผิดแผกจากหลักศาสนานั้นดาษดื่น บรรดาบาทหลวงไม่รักษาพระบัญญัติ ไม่นำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติ และคำเทศนาของพวกเขาขาดพร่องความจริงแท้ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ พวกคนที่อยู่ในเขตวัดอ่อนแอในความเชื่อของพวกเขา และแม้ในยามที่มีการประชุม ผู้คนก็แค่ดูเหมือนว่าทำไปอย่างพอเป็นพิธีและไม่นมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในบาปและโดยปราศจากการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์… นี่แสดงให้เห็นว่า บัดนี้คริสตจักรได้สิ้นหวังและอ้างว้างมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว และขาดพร่องการปฏิบัติพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงยุคธรรมบัญญัติ วิหารของเวลานั้นตอนแรกเต็มเปี่ยมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยท้าทายพระเกียรติของพระเจ้า และทุกคนยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติภายในวิหาร ต่อมา ทันทีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงหยุดปฏิบัติพระราชกิจภายในวิหาร นั่นก็กลายเป็นตลาดที่วุ่นวายสกปรกที่ซึ่งมีการขายวัว แกะ และนกพิราบ ดูเหมือนว่าด้วยบัดนี้ สถานการณ์ในคริสตจักรไม่แตกต่างจากวิหารในช่วงเวลาตอนปลายของยุคธรรมบัญญัติขนาดนั้น ดังนั้น เหตุใดจึงเป็นว่า คริสตจักรได้ร่วงสู่สภาวะที่ลำบากใจประเภทนี้? อันที่จริงแล้วเหตุผลก็คือ พระเจ้าได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่แล้วในสถานที่ที่แตกต่างออกไป และดังนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงได้ทรงหยุดคุ้มกันพระราชกิจเดิม และได้ทรงย้ายไปสู่พระราชกิจใหม่ พวกเรายังตามไม่ทันพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้า จิตวิญญาณของพวกเรายังไม่ได้รับการจัดหา พวกเราไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเราได้ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย แต่ยังไม่ได้ถูกตำหนิและถูกบ่มวินัยโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และดังนั้น สถานการณ์ฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเราจึงมืดมิดยิ่งขึ้นทุกที การนี้ทำให้คำเผยวจนะต่อไปนี้จากพระคัมภีร์ลุล่วง ‘“เราเองเป็นผู้ยับยั้งฝนไว้เสียจากเจ้าด้วย สามเดือนก่อนถึงฤดูเกี่ยว เราให้ฝนตกในเมืองหนึ่ง อีกเมืองหนึ่งไม่ให้ฝน นาแห่งหนึ่งมีฝนตก ส่วนนาที่ไม่มีฝนก็เหี่ยวแห้ง ดังนั้นชาวเมืองสองสามเมืองก็เดินโซเซไปหาอีกเมืองหนึ่ง เพื่อจะหาน้ำดื่ม แต่ไม่สิ้นกระหาย กระนั้น พวกเจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ(อาโมส 4:7-8) พระเยซูคริสต์ไม่ทรงพระราชกิจแห่งการหว่านเมล็ดพันธุ์ พระองค์ได้ทรงหว่านเมล็ดพันธุ์ของพระองค์เรื่อยมาเป็นเวลากว่าสองพันปีแล้ว บัดนี้ ในยุคสุดท้าย เมื่อเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวอยู่กับพวกเรา พระเจ้าได้ทรงออกจากคริสตจักรและได้ทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการเก็บเกี่ยวในยุคใหม่แล้ว วลีที่ว่า ‘ฝนตกในเมืองหนึ่ง’ และ ‘นาแห่งหนึ่งมีฝนตก’ อ้างอิงถึงคริสตจักรซึ่งมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีเพียงโดยการตามทันย่างพระบาทของพระเจ้าและการยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์เท่านั้น พวกเราจึงอาจรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้”

ฉันคิดว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงออกจากคริสตจักรแล้วดังที่พี่น้องชายหลิวกล่าวอ้าง ด้วยเหตุที่ หากคริสตจักรมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ พวกคนที่อยู่ในเขตวัดคงจะล้วนแต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของคริสตจักร ยึดปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า และคงจะไม่กล้าทำสิ่งใดที่เป็นการทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้พวกคนที่อยู่ในเขตวัดสักการะบูชารูปเคารพเทียมเท็จโดยไม่ได้ถูกบ่มวินัยโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ สำหรับฉันแล้วจึงดูเหมือนว่า คริสตจักรได้เคลื่อนลงมาสู่ความอ้างว้างและความสิ้นหวังแล้วอย่างแท้จริง

ถัดไป พี่น้องชายหลิวหยิบปากมาและกระดาษขึ้นมาวาดรูป ซึ่งเป็นการแสดงตัวอย่างถึงพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์สามช่วงระยะของพระเจ้า (ยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร) เขาให้คำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับภูมิหลัง เนื้อหา ความหมาย และผลของพระราชกิจของพระองค์ทุกช่วงระยะซึ่งสัมฤทธิ์แล้ว ฉันไม่เคยได้ยินบาทหลวงคนใดพูดในหนทางนี้ และฉันพบว่าการสามัคคีธรรมของเขาจัดหาให้ฉันและชื่นใจเป็นพิเศษ หลังจากนั้น พี่น้องชายหลิวให้การเป็นพยานต่อฉันว่า พระเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ทรงเปล่งพระวจนะหลายล้านคำแล้ว และกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นพระราชกิจของพระเจ้าช่วงระยะใหม่อันมีพื้นฐานอยู่บนรากฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ ณ จุดนี้ ฉันตระหนักว่า พี่น้องชายหลิวกำลังประกาศคำสอนของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เมื่อจำได้ว่าบรรดาบาทหลวงของพวกเราได้กล่าวโทษฟ้าแลบจากทิศตะวันออกว่าเป็นหนทางเทียมเท็จ ฉันจึงระมัดระวังพี่น้องชายหลิวและแทบไม่ได้ฟังอะไรที่เขาพูดจากจุดนั้นอีกเลย

วิธีที่จะกำหนดพิจารณาหนทางที่แท้จริง (1)

หลังจากการพบกันครั้งแรกนั้น พี่น้องหญิงหลี่ชวนฉันให้มาฟังคำเทศนาอื่น แต่ฉันขอตัวและปฏิเสธไป อย่างไรก็ตาม ฉันรู้สึกคั่งค้างและขัดแย้งหลังจากบอกปัดเธอ ฉันคิดว่า “บรรดาบาทหลวงพูดว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือหนทางเทียมเท็จ แต่เมื่อได้ฟังคำเทศนาของพวกเขาแล้ว กับสิ่งที่พวกเขาพูดนั้น ฉันไม่สามารถหาสิ่งใดก็ตามที่ผิดได้เลย ที่มากไปกว่านั้นก็คือ พี่น้องชายหลิวพูดอย่างมีเหตุผลและจัดเตรียมหลักฐานอันเหลือเฟือเพื่อสนับสนุนตัวเขาเอง พระเจ้าทรงเป็นผู้หว่านเมล็ดพันธุ์—หากพระองค์ไม่ทรงเก็บเกี่ยวจากเมล็ดพันธุ์ซึ่งพระองค์ทรงหว่าน พระราชกิจของพระองค์ย่อมจะได้สูญเปล่าไปแล้ว พี่น้องชายหลิวยังพูดอีกเช่นกันว่า พระราชกิจซึ่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังทรงกระทำอยู่นั้น คือพระราชกิจแห่งการเก็บเกี่ยว หากนี่คือหนทางที่แท้จริงและฉันบอกปัดหนทางนั้นแทนที่จะแสวงหา ฉันจะไม่ได้สูญเสียความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายไปแล้วหรอกหรือ? แบบนี้ใช้ไม่ได้ ฉันต้องหาคำตอบให้กับคำถามของฉัน!” เมื่อได้ตั้งปณิธานแล้ว ฉันติดต่อพี่น้องหญิงหลี่และจัดการเตรียมการที่จะไปฟังคำเทศนาอื่นกับเธอ เมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหลิว ฉันรีบถามเขาว่า “พี่น้องชาย บรรดาบาทหลวงของพวกเราได้พูดว่า ในยุคสุดท้ายมีการประกาศหนทางเทียมเท็จมากมาย และพวกเขาบอกพวกเราไม่ให้ฟังคำเทศนาของนิกายอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เพื่อมิให้พวกเราถูกหลอกลวง อย่างไรก็ตาม ฉันพบว่าสิ่งที่คุณได้พูดไปนั้นให้ความกระจ่างเป็นอย่างยิ่ง และฉันก็อยากแสวงหาอีกครั้ง ฉันสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่า พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือหนทางที่แท้จริง?”

พี่น้องชายหลิวยิ้มแล้วพูดว่า “คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า! การจำแนกความต่างระหว่างหนทางที่แท้จริงกับหนทางเทียมเท็จ เป็นแง่มุมที่สำคัญมากของความจริง หากพวกเราสามารถเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริงได้ พวกเราจะไม่ถูกหลอกลวงโดยง่าย และสามารถแสวงหาและค้นพบหนทางที่แท้จริงและต้อนรับการทรงกลับมาของพระเจ้าได้อย่างทันท่วงที พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อธิบายแง่มุมนี้ของความจริงอย่างชัดเจนมาก พวกเรามาดูกันเถิด” พี่น้องชายหลิวเปิดเอกสารบนคอมพิวเตอร์ของเขาขณะที่เขาพูด แล้วจากนั้นจึงอ่านพระวจนะต่อไปนี้: “หลักการพื้นฐานที่สุดในการแสวงหาหนทางที่แท้จริงคืออะไร? เจ้าต้องมองไปที่ว่ามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหนทางนี้หรือไม่ ว่าวจนะเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความจริงหรือไม่ ผู้ใดได้รับการเป็นพยานให้ และมันสามารถนำสิ่งใดมาให้เจ้าได้ การแยกแยะระหว่างหนทางที่แท้จริงและหนทางที่เป็นเท็จนั้นจำเป็นต้องใช้ความรู้พื้นฐานหลายแง่มุม ซึ่งสิ่งที่เป็นรากฐานที่สุดของมันก็คือการบอกได้ว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีอยู่ในนั้นหรือไม่ เพราะเนื้อแท้ของการเชื่อของผู้คนในพระเจ้าคือการเชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้า และแม้กระทั่งการเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ก็เป็นเพราะว่าเนื้อหนังนี้เป็นร่างจำแลงของพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าการเชื่อดังกล่าวยังคงเป็นการเชื่อในพระวิญญาณ มีความแตกต่างหลายประการระหว่างพระวิญญาณและเนื้อหนัง แต่เพราะว่าเนื้อหนังนี้มาจากพระวิญญาณ และเป็นพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งที่มนุษย์เชื่อจึงยังคงเป็นเนื้อแท้ภายในของพระเจ้า ดังนั้นในการแยกแยะว่ามันเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่ เหนือสิ่งอื่นใดเจ้าต้องมองไปที่ว่ามันมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าต้องมองไปที่ว่ามีความจริงอยู่ในหนทางนั้นหรือไม่ ความจริงนั้นเป็นอุปนิสัยชีวิตของความเป็นมนุษย์ปกติ นั่นคือ สิ่งที่ถูกเรียกร้องจากมนุษย์เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างเขาในปฐมกาล กล่าวคือสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมัน (ซึ่งรวมถึงสำนึกรับรู้แบบมนุษย์ ความเข้าใจเชิงลึก สติปัญญา และความรู้พื้นฐานของการเป็นมนุษย์) นั่นคือ เจ้าจำเป็นต้องมองไปที่ว่าหนทางนี้สามารถนำผู้คนไปสู่ชีวิตแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้หรือไม่ ว่าความจริงที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นที่พึงประสงค์ตามความเป็นจริงแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติหรือไม่ ว่าความจริงนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงหรือไม่ และว่ามันเหมาะสมแก่เวลามากที่สุดหรือไม่ หากมีความจริงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มันก็สามารถนำผู้คนไปสู่ประสบการณ์ต่างๆ ที่ปกติและเป็นจริง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนก็จะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที สำนึกรับรู้แบบมนุษย์ของพวกเขาก็จะกลายเป็นครบบริบูรณ์มากขึ้นทุกที ชีวิตของพวกเขาในเนื้อหนังและชีวิตฝ่ายวิญญาณก็กลายเป็นมีระเบียบมากขึ้นทุกที และอารมณ์ต่างๆ ของพวกเขาจะกลายเป็นปกติมากขึ้นทุกที นี่คือหลักการข้อที่สอง มีหลักการอีกข้อหนึ่ง ซึ่งก็คือว่าผู้คนมีความรู้ที่เพิ่มขึ้นในเรื่องพระเจ้าหรือไม่ และว่าการได้รับประสบการณ์กับงานและความจริงดังกล่าวสามารถบันดาลใจให้เกิดความรักต่อพระเจ้าในตัวพวกเขาและนำพวกเขาให้เข้าใกล้พระเจ้าได้มากขึ้นทุกทีหรือไม่ ในการนี้ ก็สามารถวัดได้ว่าหนทางนี้เป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า)

พี่น้องชายหลิวสามัคคีธรรมโดยพูดว่า “พี่น้องหญิง พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ วาดเค้าโครงหลักธรรมสามประการสำหรับการแยกแยะหนทางที่แท้จริงอย่างชัดเจน ก่อนอื่น พวกเราต้องดูว่า หนทางนี้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ พวกเราทุกคนรู้ว่า หนทางที่แท้จริงต้องมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้คนยอมรับหนทางนี้ การเชื่อในพระเจ้าและความรักที่มีต่อพระเจ้าของพวกเขา กลายเป็นยิ่งใหญ่ขึ้นทุกที และคริสตจักรเฟื่องฟูจนถึงขอบข่ายที่ใหญ่ขึ้นทุกที นี่ก็เหมือนกันกับเมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ ตราบเท่าที่บรรดาพี่น้องหญิงชายติดตามคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาย่อมจะรับความกระจ่างและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะถูกบ่มวินัยและตำหนิ หากพวกเขาต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นซึ่งเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ชื่นชมการปฏิบัติพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และรู้สึกมีเหตุผล เปี่ยมสันติสุข และเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นบาน ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกที และไม่สำคัญว่าพวกเขาเผชิญหน้าความทุกข์ยากประเภทใด พวกเขายืนกรานในการอ่านบทคัมภีร์และการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ไม่สำคัญว่ารัฐบาลโรมันและพวกฟาริสีกล่าวโทษและบังคับขู่เข็ญอย่างไร ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้ายังเผยแผ่ต่อไปเป็นการใหญ่ และจำนวนของผู้ติดตามของพระองค์ก็เพิ่มขึ้นกับทุกวันที่ผ่านไป ในยุคสุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาในเนื้อหนัง เพื่อเปล่งพระวจนะของพระองค์และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ พวกเราบรรดาพี่น้องชายหญิงติดตามพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และล้วนแต่ได้ชื่นชมการจัดหาน้ำแห่งชีวิต เมื่อใดก็ตามที่พวกเราเผชิญความลำบากยากเย็น พวกเราอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยแสวงหา และพระเจ้าทรงนำพวกเราและทรงให้ความกระจ่างแก่พวกเรา เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าใจความจริง และแสดงให้พวกเราเห็นว่าพวกเราควรย่ำเท้าไปบนเส้นทางใด อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเราไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า แต่ปฏิบัติตนตามมโนคติอันหลงผิดของพวกเราเอง พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์ ผู้คน สิ่งของ และรูปการณ์แวดล้อมที่หลากหลายเพื่อสั่งสอนและบ่มวินัยพวกเรา เป็นการเปิดโอกาสให้พวกเราระลึกได้ถึงความเสื่อมทรามของพวกเรา แสวงหาความจริง เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเต็มใจที่จะทรยศความเสื่อมทรามของพวกเราเอง และปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระเจ้า โดยผ่านทางประสบการณ์ซ้ำๆ เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเราเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้และมีพระชนม์อยู่อย่างไร และค่อยๆ มายำเกรงพระองค์ในหัวใจของพวกเรา ขณะที่ความเชื่อในพระองค์ของพวกเราลึกซึ้งยิ่งขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่มีการโจมตีและการตัดสินจากโลกศาสนาและการข่มเหงอันเลวทรามซึ่งนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน บรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเรายังคงติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไปอย่างหนักแน่น และเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างแข็งขัน ที่มากไปกว่านั้นก็คือ แม้ในขณะที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ตกอยู่ภายใต้การข่มเหงจากโลกศาสนาและรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน คริสตจักรก็ยังเฟื่องฟูต่อไปจนถึงขอบข่ายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ยี่สิบปีกว่าปี ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่เพียงแต่ได้เผยแผ่ไปทั่วประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่ได้ถึงขั้นขยายขอบเขตไปยังประเทศโพ้นทะเลจำนวนมาก นี่ล้วนแต่เป็นผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งซึ่งมาจากพระเจ้าย่อมไม่แคล้วที่จะเฟื่องฟู!”

ฉันพบว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหลิวสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง—หนทางที่แท้จริงมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอไป เมื่อคิดย้อนกลับไปในยามที่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรก ความเชื่อของฉันลึกซึ้ง ฉันชื่นชมการอธิษฐานและการอ่านบทคัมภีร์ และสามารถรู้สึกได้ถึงการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำและทรงให้ความกระจ่างแก่ฉัน อย่างไรก็ตาม บัดนี้ฉันไม่สามารถรู้สึกได้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้า และความเชื่อของฉันอ่อนแอ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ฉันสังเกตเห็นว่า คนอื่นๆ ก็ได้รับประสบการณ์กับประเด็นปัญหาเดียวกัน กล่าวคือ คำเทศนาของบรรดาบาทหลวงไม่ให้ความกระจ่าง เพื่อนๆ ในคริสตจักรของฉันติดตามกระแสนิยมทางสังคมทั่วไป และทำของถวายที่ทำจากธูปให้บรรพบุรุษของพวกเขา คริสตจักรอยู่ในสภาวะของการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ในทางตรงกันข้าม พี่น้องชายหลิวได้ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เข้าใจความจริงมากมาย และสามัคคีธรรมอย่างให้ความกระจ่าง เป็นการทำความรู้ความเข้าใจเชิงลึกซึ่งฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือได้ล้มเหลวที่จะเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังเฟื่องฟู ไม่สำคัญว่าโลกศาสนาเผยแผ่คำโกหกและโจมตีพวกเขาอย่างไร ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังเผยแผ่ต่อไปโดยตลอดทั่วทั้งโลก พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะสามารถเป็นหนทางที่แท้จริงได้จริงๆ หรือ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เรียนรู้วิธีที่จะแยกแยะหนทางเทียมเท็จจากหนทางที่แท้จริง การกลับมาอยู่ร่วมกันกับพระเจ้าของฉัน (ส่วนที่ 2)

ใน Xinkao, สหรัฐอเมริกา วิธีที่จะกำหนดพิจารณาหนทางที่แท้จริง (2) พี่น้องชายหลิวยังทำการสามัคคีธรรมของเขาต่อไป โดยพูดว่า...

พระเจ้าได้แสดงพระดำรัส นอกเหนือไปจากพระคัมภีร์หรือไม่?

วันหนึ่งในเดือนมกราคมปี 2018 ฉันพบพี่น้องหญิงเซี่ยและพี่น้องหญิงเฉินออนไลน์ ซึ่งมีความเข้าใจลึกซึ่งในพระคัมภีร์เป็นพิเศษ...

พระเจ้าทรงมีเพศซึ่งเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ข้าพเจ้าค้นพบการตีความใหม่ประการหนึ่ง (ภาคที่ 2)

โดย เป่าเอิน บราซิล ความล้ำลึกของ “พระบิดา และพระบุตร” ได้รับการเปิดเผยแล้วในที่สุด แม้ว่า ข้าพเจ้าได้มาเข้าใจความจริงนี้แล้ว...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger