46. การเป็นพยานให้พระเจ้าคือการทำหน้าที่อย่างแท้จริง
ไม่นานมานี้ ฉันได้ดูวิดีโอคำพยานของผู้มาใหม่บางตอน ซึ่งทำให้ฉันได้รับการดลใจอย่างมาก แม้จะเชื่อมาสองหรือสามปี แต่พวกเขาก็สามารถแบ่งปันคำพยานประสบการณ์ของตนได้ ฉันรู้สึกละอายใจทีเดียวและเริ่มคิดทบทวนว่าทำไมฉันเชื่อมาหลายปีแล้ว แต่ไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้แก่พระเจ้า วันหนึ่งฉันบังเอิญอ่านเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “สิ่งที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์และได้เห็นนั้นเหนือกว่าที่เหล่าวิสุทธิชนและเหล่าผู้เผยพระวจนะทั้งหลายจากทุกยุค แต่พวกเจ้าสามารถให้คำพยานได้ดีกว่าถ้อยคำของเหล่าวิสุทธิชนและเหล่าผู้เผยพระวจนะในอดีตกาลเหล่านี้หรือไม่? สิ่งที่เรามอบให้แก่พวกเจ้านั้นเหนือกว่าโมเสสและบดบังดาวิด ดังนั้น ในทำนองเดียวกันนี้ เราขอให้คำพยานของพวกเจ้าเหนือกว่าโมเสส และให้ถ้อยคำของพวกเจ้ายิ่งใหญ่กว่าดาวิด เราให้พวกเจ้าเป็นร้อยเท่า—ดังนั้น ในทำนองเดียวกันนี้ เราขอให้พวกเจ้าตอบแทนเราในแบบเดียวกัน พวกเจ้าต้องรู้ไว้ว่าเราคือผู้ที่มอบชีวิตให้แก่มวลมนุษย์ และพวกเจ้าคือผู้ที่ได้รับชีวิตจากเรา และต้องเป็นพยานให้เรา นี่คือหน้าที่ของพวกเจ้าที่เราได้ส่งลงมายังพวกเจ้า และที่พวกเจ้าควรจะต้องทำให้แก่เรา เราได้มอบสง่าราศีของเราทั้งหมดให้แก่พวกเจ้า เราได้มอบชีวิตให้แก่พวกเจ้า ซึ่งประชากรที่ถูกเลือก นั่นคือ พวกอิสราเอล ก็ไม่เคยได้รับมาก่อน ด้วยสิทธิ์ทั้งหลายนี้ พวกเจ้าควรจะต้องเป็นพยานต่อเรา และอุทิศวัยเยาว์ของพวกเจ้าให้เราและสละชีวิตลง ไม่ว่าใครก็ตามที่เราได้มอบสง่าราศีของเราให้ จะต้องเป็นพยานให้เรา และมอบชีวิตของพวกเขาให้เรา เราได้กำหนดเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้านานแล้ว เป็นโชควาสนาของพวกเจ้าที่เรามอบสง่าราศีของเราให้แก่พวกเจ้า และหน้าที่ของพวกเจ้าคือเป็นพยานให้สง่าราศีของเรา หากพวกเจ้าเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้รับพร เช่นนั้นแล้วงานของเราก็จะมีความสำคัญน้อยนิด และพวกเจ้าก็จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน… สิ่งที่พวกเจ้าได้รับไว้ไม่ใช่เพียงแค่ความจริงของเรา วิถีของเรา และชีวิตของเราเท่านั้น หากแต่เป็นนิมิตและการวิวรณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านิมิตและการวิวรณ์ของยอห์น พวกเจ้าเข้าใจการอัศจรรย์มากกว่ามาก และยังได้มองดูโฉมหน้าแท้จริงของเราอีกด้วย พวกเจ้าได้ยอมรับคำพิพากษาของเรามากกว่า และรู้อุปนิสัยอันชอบธรรมของเรามากกว่า และดังนั้น แม้ว่าพวกเจ้าจะถือกำเนิดในยุคสุดท้าย ความเข้าใจของพวกเจ้าก็เป็นความเข้าใจของแต่ก่อนและของอดีต และพวกเจ้ายังได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย และนั่นเป็นการกระทำโดยเราเองด้วยตัวเราเองโดยเฉพาะทั้งหมด สิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าไม่ได้มากเกินไป เพราะเราได้ให้พวกเจ้ามากเหลือเกิน และพวกเจ้าได้เห็นมากมายหลายอย่างในเรา ด้วยเหตุนี้ เราขอให้เจ้าเป็นพยานให้เราต่อเหล่าวิสุทธิชนในหลายยุคที่ผ่านมา และนี่คือความปรารถนาเพียงอย่างเดียวในหัวใจของเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันตื่นเต้นมาก แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกผิดด้วย ฉันตื่นเต้นที่ตัวเองโชคดีพอที่จะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้ชื่นชมเสบียงหล่อเลี้ยงแห่งพระวจนะของพระเจ้า แต่รู้สึกผิดที่ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีและได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามามากเหลือเกิน แต่กลับไม่มีคำพยานให้พระเจ้า ฉันคิดถึงการที่พระเจ้าประทานความจริงมากมายให้แก่พวกเราอย่างไม่มีขอบเขตในยุคสุดท้าย เปิดเผยและพิพากษาความเสื่อมทรามของพวกเรา ย้ำเตือนพวกเรา ให้สติพวกเรา หนุนใจพวกเรา และชูใจพวกเรา แต่เพราะพวกเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และความสามารถในการจับใจความของพวกเราก็ไม่ดี พระเจ้าจึงทรงสามัคคีธรรมกับพวกเราถึงความจริงทุกแง่ทุกมุมอย่างละเอียด ประทานตัวอย่างและอุปมานทั้งหลายแก่พวกเรา และทรงอธิบายความจริงแก่พวกเราตั้งแต่พื้นฐานขึ้นมาเพื่อให้แน่พระทัยว่าพวกเราจะเข้าใจ พระเจ้าทรงใช้ความพยายามอย่างมากมายและทรงยอมลำบากขนาดนั้นเพื่อพวกเรา และพระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพราะพระองค์ทรงต้องการให้พวกเราเข้าใจความจริงและรู้จักพระองค์ กำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกจากตัว รวมทั้งกลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง พระเจ้าทรงต้องการคำพยานเช่นนี้ นับแต่ที่พระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจก็เป็นเวลา 30 ปีแล้ว พระองค์ทรงพระราชกิจมามากมายและทรงแสดงความจริงมากหลาย และพระองค์ทรงต้องการเห็นคำพยานของพวกเรา ต่อให้เป็นคำพยานที่ตื้นเขิน พระองค์ก็ทรงยอมรับหากเป็นคำพยานตามจริง พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเราจะสามารถแบ่งปันสิ่งที่ได้รับและความรู้ที่พวกเรามีประสบการณ์ด้วยในพระราชกิจของพระองค์ และสามารถเขียนบทความคำพยานได้ เพราะนี่คือดอกผลแห่งพระราชกิจของพระเจ้าและเครื่องแสดงถึงความอุตสาหะของพระเจ้า จากนั้นฉันก็นึกถึงตนเอง แม้ว่าพระเจ้าจะประทานให้ฉันมามากมาย แต่ฉันกลับไม่กล้าคิดว่าตัวเองเข้าใจความจริงในแง่มุมไหนบ้างและได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงประการใดบ้าง เพราะฉันเข้าใจพระวจนะส่วนใหญ่ของพระเจ้าตามคำสอนเท่านั้น แต่ไม่ได้ไตร่ตรอง ปฏิบัติ หรือมีประสบการณ์กับพระวจนะอย่างจริงจัง ดังนั้นเมื่อพูดถึงการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าและเขียนบทความคำพยาน ฉันจึงรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ และฉันใช้ความมานะพยายามในเรื่องนี้น้อยมาก พอคิดว่าฉันเชื่อมานานหลายปี แต่ไม่สามารถเขียนเล่าประสบการณ์ของตนเองได้และไม่มีคำพยาน ฉันก็ทุกข์ใจมาก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งถามฉันว่าอยากฝึกเขียนคำพยานจากประสบการณ์หรือไม่ ตอนนั้นฉันตอบตกลง แต่ก็เขียนไปเพียงนิดเดียว แล้วก็วาง ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้รับผิดชอบงานมากนัก แต่ก็รู้สึกอยู่เสมอว่าตนเองยุ่งมากและไม่มีเวลาเขียน ดังนั้นฉันจึงผัดผ่อนการเขียนบทความออกไปวันแล้ววันเล่า ภายหลังฉันจัดตารางการเขียนขึ้นมา แต่พอถึงเวลา ฉันก็ยุ่งกับสิ่งอื่นในหน้าที่อยู่ดี จึงสงบใจเขียนไม่ได้ ฉันมีเหตุผลและข้ออ้างสารพัด บางครั้งฉันพูดว่าฉันเรียนมาไม่สูง หรือมีขีดความสามารถต่ำ จึงเขียนได้ไม่ดี ครั้งอื่นๆ ฉันก็พูดว่าฉันยุ่งและไม่มีเวลา ดังนั้นฉันจะเขียนภายหลัง บางครั้งฉันถึงกับรู้สึกว่าการเขียนบทความไม่ได้สำคัญเป็นพิเศษ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการจัดการงานของตัวเองในแต่ละวัน เพราะถ้าทำให้งานล่าช้า ฉันก็จะถูกตัดแต่ง และถ้าร้ายแรงฉันก็จะถูกปลด แต่ไม่มีใครมาติติงฉันเพราะไม่เขียนคำพยานจากประสบการณ์ พอคิดแบบนี้ ฉันก็ยิ่งไม่จริงจังกับการเขียนบทความ และไม่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในหน้าที่ของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันจึงติดอยู่ในสภาวะที่ดื้อรั้นและกบฏนี้ และเฉื่อยชามากในเรื่องการเขียนคำพยานจากประสบการณ์
วันหนึ่งฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง และทรรศนะของฉันก็เปลี่ยนไปบ้าง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “บัดนี้ เจ้ารู้อย่างแท้จริงแล้วหรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงเชื่อในเรา? เจ้ารู้จุดประสงค์และนัยสำคัญของงานของเราอย่างแท้จริงหรือไม่? เจ้ารู้หน้าที่ของเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่? เจ้ารู้คำพยานของเราอย่างแท้จริงหรือไม่? หากเจ้าเพียงเชื่อในเราเท่านั้น ทว่ายังไม่มีวี่แววของสง่าราศีหรือคำพยานของเราในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเราย่อมกำจัดเจ้าออกไปนานแล้ว สำหรับบรรดาผู้ที่รู้ทั้งหมดนั้น พวกเขาเป็นหนามยอกตาของเราเสียมากกว่า และในนิเวศของเราพวกเขาไม่ใช่สิ่งใด ที่มากไปกว่าอุปสรรคบนวิถีของเรา พวกเขาคือข้าวละมานที่จะถูกฝัดร่อนออกไปจนหมดสิ้นในงานของเรา พวกเขาใช้การไม่ได้ พวกเขาไร้ค่า และเราชิงชังพวกเขามานานแล้ว ความโกรธเคืองของเรามักจะบังเกิดกับทุกคนที่สูญเสียคำพยานไป และไม้เรียวของเราไม่เคยไกลห่างจากพวกเขาเลย เราได้ส่งมอบพวกเขาให้กับมือของเหล่ามารร้ายมานานแล้ว พวกเขาสูญเสียพรของเราไป เมื่อวันนั้นมาถึง การตีสอนของพวกเขาจะหนักหนาสาหัสกว่าการตีสอนพวกผู้หญิงโง่เขลา วันนี้ เราทำเฉพาะงานที่เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำเท่านั้น เราจะผูกข้าวสาลีทั้งหมดเป็นมัดๆ รวมเข้าด้วยกันกับข้าวละมานเหล่านั้น นี่คือหน้าที่ของเราวันนี้ ข้าวละมานเหล่านั้นจะถูกฝัดร่อนออกไปทั้งหมดในเวลาแห่งการฝัดร่อนของเรา เมื่อนั้น เมล็ดข้าวสาลีจะถูกรวบรวมไว้ในยุ้งฉาง และข้าวละมานที่ถูกฝัดร่อนออกไปเหล่านั้นจะถูกใส่ไปในไฟเพื่อเผาเป็นเถ้าถ่าน งานของเรา ณ บัดนี้ คือการผูกมนุษย์ทั้งหมดไว้เป็นมัดๆ กล่าวคือ เป็นการพิชิตพวกเขาอย่างถึงที่สุด เมื่อนั้น เราจะเริ่มทำการฝัดร่อนเพื่อเปิดเผยวาระสุดท้ายของมนุษย์ทั้งหมด และดังนั้น เจ้าควรจะรู้ว่าเจ้าควรทำให้เราพึงพอใจอย่างไร ณ บัดนี้ และเจ้าควรจะกำหนดร่องครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อในเราของเจ้าอย่างไร สิ่งที่เราปรารถนาคือความจงรักภักดีและความนบนอบของเจ้า ณ บัดนี้ ความรักและคำพยานของเจ้า ณ บัดนี้ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้ว่าคำพยานคืออะไรหรือความรักคืออะไร เจ้าก็ควรจะนำทุกอย่างของเจ้ามาให้เรา และส่งมอบทรัพย์สมบัติเดียวที่เจ้ามีให้แก่เรา นั่นก็คือ ความจงรักภักดีและความนบนอบของเจ้า เจ้าควรรู้ว่ามีคำพยานถึงการที่เราทำให้ซาตานพ่ายแพ้อยู่ในความจงรักภักดีและความนบนอบของมนุษย์ เช่นเดียวกับคำพยานถึงการพิชิตมนุษย์โดยบริบูรณ์ของเรา หน้าที่แห่งความเชื่อในเราของเจ้าก็คือการเป็นพยานแก่เรา การจงรักภักดีต่อเราและไม่จงรักภักดีต่อสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น และยอมนบนอบไปจนถึงปลายทาง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) บทตอนนี้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้เชื่อในพระเจ้าควรเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า ว่านี่คือหน้าที่ของคนเรา เมื่อผู้เชื่อในพระเจ้าเป็นพยานยืนยันไม่ได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า ฉันรู้สึกถึงพระพิโรธของพระเจ้าเมื่อฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ความว่า “หากเจ้าเพียงเชื่อในเราเท่านั้น ทว่ายังไม่มีวี่แววของสง่าราศีหรือคำพยานของเราในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเราย่อมกำจัดเจ้าออกไปนานแล้ว สำหรับบรรดาผู้ที่รู้ทั้งหมดนั้น พวกเขาเป็นหนามยอกตาของเราเสียมากกว่า และในนิเวศของเราพวกเขาไม่ใช่สิ่งใด ที่มากไปกว่าอุปสรรคบนวิถีของเรา พวกเขาคือข้าวละมานที่จะถูกฝัดร่อนออกไปจนหมดสิ้นในงานของเรา” และ “ความโกรธเคืองของเรามักจะบังเกิดกับทุกคนที่สูญเสียคำพยานไป และไม้เรียวของเราไม่เคยไกลห่างจากพวกเขาเลย เราได้ส่งมอบพวกเขาให้กับมือของเหล่ามารร้ายมานานแล้ว พวกเขาสูญเสียพรของเราไป เมื่อวันนั้นมาถึง การตีสอนของพวกเขาจะหนักหนาสาหัสกว่าการตีสอนพวกผู้หญิงโง่เขลา” หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีมาก หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย ฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรมมานับไม่ถ้วน มีประสบการณ์กับการตัดแต่ง ความพลั้งพลาด และความล้มเหลว และผ่านประสบการณ์กับความรู้แจ้ง การทรงนำ และการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันก็ยังไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า ฉันมีประสบการณ์และความรู้อยู่บ้าง แต่ไม่อยากลงมือเขียน ฉันใช้เวลาทั้งวันจัดการสิ่งภายนอก แต่ไม่มุ่งแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนเอง และไม่พยายามก้าวหน้าในความจริง ฉันได้รับความรู้และความสว่างจากประสบการณ์ตามปกติของตนเองอยู่บ้าง แต่ฉันไม่ได้ใคร่ครวญและไม่ได้มีความชัดเจนเพื่อให้ตัวเองเกิดความเข้าใจได้อย่างแท้จริง และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็สูญเสียสิ่งที่ได้รับมา และความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ถูกฝังกลบไป ฉันนึกถึงเมื่อก่อน ตอนที่ตนเองฝึกให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ ฉันไม่สามารถแม้แต่จะสามัคคีธรรมถึงความจริงเกี่ยวกับการเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ดี สิ่งที่ฉันแบ่งปันค่อนข้างผิวเผิน และฉันจับประเด็นที่เป็นกุญแจสำคัญไม่ได้ ต่อมาเมื่อฉันประกาศข่าวประเสริฐ ฉันก็ไม่อาจจับประเด็นสำคัญเพื่อวิเคราะห์มโนคติอันหลงผิดทางศาสนาหรือตรรกะวิบัติของศัตรูของพระคริสต์ให้ชัดเจนหรือน่าเชื่อถือได้ ในทุกแง่มุมของความจริง ฉันเข้าใจเพียงบางส่วนและไม่สามารถสามัคคีธรรมได้อย่างชัดเจน ระหว่างการสามัคคีธรรมถึงปัญหาของการเข้าสู่ชีวิตตามการชุมนุมต่างๆ ส่วนใหญ่ฉันเอาแต่ใช้สำนวนที่จำเจและผิวเผินชักจูงผู้คน หรือนำเสนอทฤษฎีอันว่างเปล่าและความเข้าใจอันตื้นเขินบางอย่าง ฉันไม่อาจแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้ และคำพยานที่ฉันมีให้พระเจ้าก็ไม่มีประสิทธิผล ความเข้าใจที่ฉันมีไม่ว่าในแง่มุมใดของความจริงเป็นเพียงไคำสอนเท่านั้น ไม่มีความเป็นจริงความจริง ฉันมองเห็นว่าฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่อาจเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า ฉันใช้ความมานะพยายามเพียงเล็กน้อยและทำงานบ้าง แต่ไม่ได้ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ อีกทั้งไม่มีคำพยานของการเข้าใจความจริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน ฉันนึกถึงที่พระเจ้าตรัสไว้ว่าผู้คนเช่นนี้คือ “หนามในดวงพระเนตรของพระองค์” “อุปสรรค” และ “ข้าวละมานที่จะถูกถอนทิ้ง” พระพิโรธที่พระเจ้ามีต่อผู้คนเช่นนี้ไม่เคยเลือนหาย ความคิดเหล่านี้ทำให้ฉันทุกข์ใจมาก ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ประโยชน์และน่าอับอายอย่างที่สุด พระเจ้าทรงเกลียดผู้คนเช่นนี้เป็นพิเศษ ไม่ทรงทนยอมรับพวกเขา และทรงบันดาลโทสะกับพวกเขา แม้ผู้คนเช่นนี้จะปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่เพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจึงไม่อาจได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีคำพยานของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า เมื่อมองเห็นท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเยี่ยงนี้ มโนคติอันหลงผิดของฉันก็ถูกลบล้างไปสิ้น ฉันเคยคิดว่าถ้าฉันทำงานที่คริสตจักรมอบหมายให้ ไม่ทำชั่ว ไม่ทำผิดพลาดใหญ่โตในหน้าที่ ไม่มีการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง และถ้าฉันไม่ถูกปลด นั่นก็เท่ากับว่าฉันปลอดภัยดีและมีหวังที่จะได้รับความรอด ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าความคิดนี้ไปกันไม่ได้กับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดและความเพ้อฝันของฉันเองเท่านั้น การเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เพียงขยันทำงานในหน้าที่ของตน ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บางประการ และเห็นได้ชัดว่าไม่ทำความชั่ว ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่ยังไม่มีคำพยาน คุณก็จะถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากวันหนึ่งมาถึงเมื่อเจ้าไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานต่อทุกสิ่งที่เจ้าเห็นในวันนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสูญเสียการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการดำรงอยู่ของเจ้าก็จะปราศจากความหมายใดๆ เลย เจ้าก็จะไม่ควรค่าแก่การเป็นมนุษย์ กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ! เราได้ทำงานกับพวกเจ้ามาอย่างมากมายเหลือคณา แต่เพราะว่าขณะนี้เจ้าไม่ได้กำลังเรียนรู้อะไรเลย ไม่ตระหนักรู้อะไรเลย และลงแรงของเจ้าไปอย่างไร้ผล เมื่อถึงเวลาที่เราจะขยายงานของเรา เจ้าก็จะได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่า พูดไม่ออกและไร้ประโยชน์อย่างที่สุด เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นคนบาปมิใช่หรือ? เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะไม่รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อะไรคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกละอายใจ และในเวลาเดียวกันก็ค่อนข้างกังวลใจ ฉันรู้สึกว่าฉันไม่สามารถเป็นแบบนั้นอีกต่อไปและฉันต้องฝึกเขียนบทความเพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า
พอฉันเริ่มลงมือเขียนจริงๆ ก็ยังคงมีความยากลำบากและอุปสรรคอยู่บ้าง ตอนแรกฉันไม่สามารถเรียบเรียงประสบการณ์ของตนเองได้ และไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน อีกอย่างคือมีงานอื่นที่เร่งด่วนกว่า ฉันจึงไปทำงานอื่น หลังจากนั้นฉันก็ยังให้ข้ออ้างกับตนเอง ฉันคิดว่าคนอื่นสามารถเขียนบทความคำพยานเสร็จภายในครึ่งวัน แต่ฉันไม่สามารถทำได้หากไม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบและมีเวลามากพอ และดูเหมือนว่าขีดความสามารถของฉันก็ไม่เพียงพอที่จะเขียนบทความ ฉันจึงหยุดเขียนไปอีกครั้ง หลังจากนั้นฉันเริ่มนึกสงสัยในเรื่องนี้ ทำไมฉันถึงเฉื่อยชาในการเขียนบทความคำพยานนัก? ทำไมฉันตอบตกลงว่าจะเขียน แต่ไม่ทำอะไรเลย? วันหนึ่งฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งและได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับตนเอง พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าสามารถรู้และใช้วิจารณญาณแยกแยะอุปนิสัยเยี่ยงซาตานได้อย่างไร? โดยพื้นฐานของสิ่งทั้งหลายที่ซาตานชอบทำ ตลอดจนวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมที่มันใช้ทำสิ่งต่างๆ คนเราสามารถมองเห็นได้ว่ามันไม่เคยชอบสิ่งที่เป็นบวก ว่ามันชอบความชั่ว และว่ามันคิดว่าตัวเองเก่งพอและมีความสามารถที่จะควบคุมทุกสิ่งเสมอ นี่คือธรรมชาติอันโอหังของซาตาน นั่นคือเหตุผลที่ซาตานปฏิเสธ ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้าอย่างไร้คุณธรรม ซาตานเป็นตัวแทนและแหล่งที่มาของสิ่งที่เป็นลบทั้งหมดและสิ่งชั่วทั้งหมด หากเจ้าสามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นเจ้าก็มีวิจารณญาณแยกแยะอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้คนที่จะยอมรับความจริงและปฏิบัติความจริง เพราะพวกเขาทั้งหมดมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและพวกเขาล้วนถูกจำกัดบังคับและพันธนาการโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตน ตัวอย่างเช่น คนบางคนตระหนักได้ว่าเป็นการดีที่เป็นบุคคลซื่อสัตย์ และพวกเขารู้สึกอิจฉาริษยาเมื่อเห็นผู้อื่นซื่อสัตย์ พูดความจริง และพูดจาในลักษณะที่เรียบง่ายและเปิดใจ หนำซ้ำหากเจ้าขอให้ตัวพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ พวกเขาก็รู้สึกว่านั่นช่างลำบากยากเย็น พวกเขาไม่สามารถกล่าววาจาที่ซื่อสัตย์และทำสิ่งที่ซื่อสัตย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง นี่ไม่ใช่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานหรอกหรือ? พวกเขาพูดสิ่งที่ฟังดูดี แต่พวกเขาไม่ปฏิบัติสิ่งเหล่านั้น นี่คือการรังเกียจความจริง พวกที่รังเกียจความจริงนั้นมีช่วงเวลายากลำบากในการยอมรับความจริงและไม่มีทางที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เลย สภาวะที่เห็นชัดที่สุดของผู้คนที่รังเกียจความจริงก็คือการที่พวกเขาไม่สนใจความจริงและสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาถึงกับผลักไสและเกลียดชังสิ่งเหล่านั้น และพวกเขาชอบทำตามกระแสนิยมเป็นพิเศษ ในหัวใจพวกเขาไม่ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงรักและสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับเมินเฉยและไม่แยแสสิ่งเหล่านั้น และก็บ่อยครั้งที่ผู้คนถึงกับดูหมิ่นมาตรฐานและหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อมนุษย์ พวกเขาผลักไสสิ่งที่เป็นบวกและรู้สึกขัดขืน ต่อต้าน และเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยามต่อสิ่งเหล่านั้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาเสมอ นี่คือการสำแดงเบื้องต้นของการรังเกียจความจริง ในชีวิตคริสตจักรนั้น การอ่านพระวจนะของพระเจ้า การอธิษฐาน การสามัคคีธรรมถึงความจริง การปฏิบัติหน้าที่ และการแก้ไขปัญหาด้วยความจริง ล้วนเป็นสิ่งซึ่งเป็นบวก สิ่งเหล่านั้นทำให้พระเจ้าพอพระทัย แต่คนบางคนก็ผลักไสสิ่งซึ่งเป็นบวกเหล่านี้ ไม่ใส่ใจในสิ่งเหล่านี้ และไม่แยแสต่อสิ่งเหล่านี้ ส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือการที่พวกเขารับเอาท่าทีเหยียดหยามมาใช้กับผู้คนที่เป็นบวก อาทิ ผู้คนที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง บรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี และบรรดาผู้ที่คุ้มกันพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาพยายามโจมตีและตัดผู้คนเหล่านี้ออกไปตลอดเวลา หากพวกเขาค้นพบว่าผู้คนเหล่านี้มีข้อบกพร่องหรือเผยความเสื่อมทรามออกมา พวกเขาก็ฉวยคว้าเรื่องนี้มาทำให้เป็นเรื่องใหญ่ และดูเบาผู้คนเหล่านี้เกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่เป็นประจำ นี่คืออุปนิสัยประเภทใด? เหตุใดพวกเขาจึงเป็นปรปักษ์ต่อผู้คนที่เป็นบวกมากขนาดนั้น? เหตุใดพวกเขาจึงรักใคร่และโอนอ่อนผ่อนตามพวกคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และพวกศัตรูของพระคริสต์ และเหตุใดพวกเขาจึงล้อเล่นหยอกเย้ากับผู้คนเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง? ที่ไหนมีสิ่งชั่วและเป็นลบมาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและอิ่มเอม แต่พอพูดถึงสิ่งที่เป็นบวก ก็เริ่มปรากฏการขัดขืนขึ้นในท่าทีของพวกเขา โดยเฉพาะยามที่พวกเขาได้ยินผู้คนสามัคคีธรรมความจริงหรือแก้ปัญหาโดยใช้ความจริง พวกเขารู้สึกรังเกียจและไม่พึงพอใจอยู่ในหัวใจ แล้วพวกเขาก็ระบายข้อข้องใจทั้งหลายของตนออกมา นี่ไม่ใช่อุปนิสัยรังเกียจความจริงหรือ? นี่ไม่ใช่การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ? มีผู้คนมากมายซึ่งเชื่อในพระเจ้าที่ชอบทำงานเพื่อพระองค์และวิ่งวุ่นหัวหมุนอย่างกระตือรือร้นเพื่อพระองค์ และเมื่อเป็นเรื่องของการนำของประทานและจุดแข็งของพวกเขามาใช้ ปรนเปรอความชอบส่วนตนและการอวดตัว พวกเขาก็มีพลังงานอันไร้ขอบเขต แต่หากเจ้าขอให้พวกเขาปฏิบัติความจริงและปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริง นั่นย่อมทำให้ความมุ่งมั่นของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงและพวกเขาก็สูญเสียความกระตือรือร้น หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้อวดตน พวกเขาก็กลายเป็นซังกะตายและหมดกำลังใจ เหตุใดพวกเขาจึงมีพลังงานสำหรับการอวดตน? และเหตุใดเล่าพวกเขาถึงไม่มีพลังงานสำหรับการปฏิบัติความจริง? ปัญหาในที่นี้คืออะไร? ผู้คนล้วนชอบที่จะทำตัวเองให้โดดเด่น พวกเขาล้วนละโมบความรุ่งโรจน์อันว่างเปล่า ทุกคนมีพลังงานอย่างไม่รู้จักหมดสิ้นเมื่อเป็นเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าเพื่อเห็นแก่การได้รับพระพรและบำเหน็จทั้งหลาย แล้วเหตุใดเล่าพวกเขาจึงกลายเป็นซังกะตาย เหตุใดพวกเขาจึงท้อแท้เมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติความจริงและการต่อต้านเนื้อหนัง? เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร? นี่ย่อมพิสูจน์ว่าหัวใจผู้คนนั้นมีสิ่งปลอมปน พวกเขาเชื่อในพระเจ้าโดยบริบูรณ์เพราะเห็นแก่การได้รับพระพร—พูดง่ายๆ ก็คือ พวกเขาทำอย่างนั้นก็เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ หากปราศจากพระพรหรือประโยชน์ให้ไล่ตามไขว่คว้า ผู้คนก็กลายเป็นซังกะตายและท้อแท้ อีกทั้งไม่มีความกระตือรือร้น ทั้งหมดนี้มีเหตุมาจากอุปนิสัยเสื่อมทรามที่รังเกียจความจริง เมื่อถูกอุปนิสัยนี้ควบคุม ผู้คนก็ไม่เต็มใจที่จะเลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาไปตามทางของตัวเองและเลือกเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง—พวกเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะนั้นผิด และกระนั้นก็ยังคงไม่สามารถทนทำโดยไม่มีสิ่งเหล่านี้หรือละวางสิ่งเหล่านี้ได้ และพวกเขายังคงไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้โดยเดินไปบนเส้นทางของซาตาน ในกรณีนี้ พวกเขาไม่ได้กำลังติดตามพระเจ้าแต่กำลังติดตามซาตาน ทุกสิ่งที่พวกเขาทำเป็นการรับใช้ซาตาน และพวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ทุ่มเทให้กับการเขียนบทความ ฉันรู้สึกผิดอยู่บ้างเพียงชั่วครู่เท่านั้นในเรื่องนี้และไม่ได้ใส่ใจมากขนาดนั้น ฉันคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ฉันจึงมองเห็นว่านี่คือการเบื่อหน่ายความจริง เป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานประเภทหนึ่ง การเขียนบทความจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์และความรู้ และต้องใช้เวลาคิดด้วย พวกเราต้องทำใจให้สงบ ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาความจริง และทบทวนตนเอง นี่คือสาเหตุที่เมื่อถูกขอให้แสวงหาความจริง ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า และเขียนบทความ ฉันจึงปฏิเสธและต้านทานอยู่ในหัวใจ พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงวิธีเป็นพยานยืนยันให้พระองค์เอาไว้มาก และพี่น้องชายหญิงก็ฝึกเขียนคำพยานจากประสบการณ์กันทุกคน แต่ฉันไม่ได้สนใจและถึงกับหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยง ฉันช่างดื้อรั้นนัก! ฉันต้านทานและขุ่นเคืองในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความจริง และไม่เต็มใจทำงานหนักกับสิ่งดังกล่าว ส่วนสิ่งทั้งหลายภายนอก ฉันกลับกระตือรือร้นและเต็มใจเป็นพิเศษกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง นี่เป็นเพราะการทำสิ่งเหล่านั้นเป็นจุดแข็งของฉัน เป็นสิ่งที่ฉันทำได้ง่าย และหลังจากนั้นพี่น้องชายหญิงก็สามารถมองเห็นดอกผลที่เกิดจากงานของฉันได้อย่างชัดเจน ฉันจะไม่ถูกตัดแต่งหรือถูกปลดออก ฉันสามารถรักษาความมีหน้ามีตาของตนเอง ที่จริงแล้วพฤติกรรมประเภทนั้นของฉันคือการเอือมระอาความจริง—เป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน อันที่จริงกระบวนการเขียนบทความคือกระบวนการแสวงหาความจริง การแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาสามารถเปิดเผยท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริงได้ดีที่สุด ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี สามารถละทิ้งและสละเพื่อทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และสามารถพูดตามคำพูดและคำสอนได้มากมาย แต่ฉันไม่ได้สนใจความจริงและไม่ถวิลหาความจริงหรือชื่นชูความจริงว่าล้ำค่า อีกทั้งไม่ได้เชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตนเองและยังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ทันทีที่ฉันคิดทบทวนเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนักว่าปัญหาของฉันนั้นร้ายแรง หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ท่าทีที่ฉันมีต่อพระเจ้าและความจริงไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ฉันยังคงเป็นของซาตาน เบื่อหน่ายความจริง ต้านทานพระเจ้า และอุปนิสัยของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ว่าฉันจะเชื่อมานานเท่าใดหรืออุตสาหะมากขนาดไหน ฉันก็จะไม่มีวันเข้าใจความจริงหรือแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ ต่อให้ฉันเชื่อจนถึงปลายทาง ฉันก็จะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอด ตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกกลัวเล็กน้อย ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อกลับใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่รักความจริง ข้าพระองค์เบื่อหน่ายความจริง ข้าพระองค์เพียงแค่เพลิดเพลินกับการมานะพยายามและตรากตรำในหน้าที่ของตน ตอนนี้ข้าพระองค์เห็นแล้วว่าข้าพระองค์น่าสมเพชเพียงใดในความเชื่อของตน ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าพระองค์ขอหันกลับไปหาพระองค์ และทำงานหนักเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง”
ต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งตอบกลับคำพร่ำบ่นของฉันที่ว่าตัวเองได้รับการศึกษามาไม่ดีและมีขีดความสามารถที่แย่ โดยส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งมาให้ ซึ่งฉันพบว่ามีประโยชน์อย่างมาก พระเจ้าตรัสว่า “การผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้านำประโยชน์และประสบการณ์จริงมาให้เจ้า—ดังนั้นเจ้าจึงควรเป็นคำพยานให้พระเจ้า ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักแล้วเจ้าควรพูดคุยถึงการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน รวมทั้งบททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าทนทุกข์ไปมากเท่าใด เจ้าทำสิ่งที่ต้านทานพระเจ้าไปมากเพียงใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด จงเล่าว่าเจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าดูเป็นคนค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริง จากประสบการณ์จริงของเจ้า และกล่าวออกมาจากหัวใจให้มากขึ้น การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น พวกเจ้าเคยเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้าที่สุด มีแนวโน้มที่จะนบนอบพระองค์น้อยที่สุด แต่บัดนี้เจ้าได้ถูกพิชิตแล้ว—จงอย่าลืมการนั้นเป็นอันขาด เจ้าควรไตร่ตรองและคิดคำนึงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น ครั้นผู้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็จะรู้ว่าจะเป็นคำพยานได้อย่างไร หาไม่แล้ว พวกเขาก็จะหมิ่นเหม่ที่จะกระทำการที่น่าละอายและไร้สำนึก ซึ่งไม่ใช่การเป็นคำพยานให้พระเจ้า แต่เป็นการนำความเสื่อมเสียมาสู่พระเจ้าต่างหาก หากไม่มีประสบการณ์จริงและไม่เข้าใจความจริง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคำพยานให้พระเจ้า ผู้คนที่ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้านั้นเลอะเลือนและสับสน จะไม่มีวันสามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันจึงเข้าใจว่าคำพยานที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าคือการเป็นพยานยืนยันให้พระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า สามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ที่คุณมีกับการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงแห่งพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมถึงความเสื่อมทรามที่คุณแสดงออกมา และแบ่งปันว่าคุณมีการรู้จักตนเองผ่านทางการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้าว่าอะไรบ้าง และคุณปฏิบัติและเข้าสู่การรู้จักตนเองอย่างไร เพื่อที่คนอื่นจะสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและความรักของพระเจ้า การเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้านั้นไม่สำคัญว่าคนเราจะสามารถเพียงใดในการพูดถึงทฤษฎีขั้นสูง ทั้งหมดที่สำคัญก็คือว่าคุณพูดอย่างซื่อสัตย์และจริงใจ ทันทีที่ฉันตระหนักเช่นนี้ หัวใจของฉันก็รู้สึกสว่างไสวขึ้นมาบ้าง การเขียนคำพยานจากประสบการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ระดับการศึกษาหรือลีลาการเขียนของคุณไม่สำคัญเลย กุญแจสำคัญอยู่ที่คุณสามารถทุ่มเทความพยายามเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ คุณแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามและปัญหาของคุณหรือไม่ คุณได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า วิเคราะห์และรู้จักตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า มองเห็นแก่นแท้ของปัญหาอย่างชัดเจน รวมทั้งกลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงหรือไม่ เมื่อคุณถึงพร้อมด้วยสิ่งเหล่านี้ บทความที่คุณเขียนย่อมจะดี นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับระดับการศึกษาของคุณเลย คุณเพียงจำเป็นต้องเขียนถึงประสบการณ์และความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วยภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คุณเพียงต้องเขียนสิ่งที่คุณมีประสบการณ์ด้วยและเข้าใจเท่านั้น หากคุณเขียนออกมาจากความเข้าใจและความรู้สึกที่แท้จริงโดยใช้คำพูดของคุณเอง อะไรก็ตามที่ให้ประโยชน์แก่คนอื่นได้ เช่นนั้นคุณก็มีคำพยาน ในอดีตฉันคิดเสมอว่าตนเองมีการศึกษาน้อยและมีขีดความสามารถต่ำ และใช้เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างที่จะไม่เขียนบทความ ราวกับว่าการเขียนบทความเหล่านั้นจำเป็นต้องมีความรู้หรือขีดความสามารถในระดับสูง แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าทรรศนะเช่นนี้ผิด ฉันไม่ควรใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะนี้ ฉันควรมุ่งไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันมีประสบการณ์และสิ่งที่ฉันได้รับ เพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า นี่คือหน้าที่ของฉัน
ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันเห็นพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้า ซึ่งช่วยให้ฉันแบกรับภาระในการไล่ตามเสาะหาความจริงและในการเขียนบทความคำพยาน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เหตุใดจึงมีกลุ่มคนที่เป็นผู้นำและคนทำงาน? พวกเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ในวงกว้างนั้น พระราชกิจของพระเจ้าจำเป็นต้องมีพวกเขา ในวงแคบลงมา งานของคริสตจักรจำเป็นต้องมีพวกเขา ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำเป็นต้องมีพวกเขา… ความแตกต่างระหว่างผู้นำและคนทำงานกับสมาชิกทั่วไปของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งในหน้าที่ที่พวกเขาปฏิบัติ ลักษณะที่พิเศษนี้แสดงให้เห็นอยู่ในบทบาทผู้นำของพวกเขาเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าคริสตจักรหนึ่งจะมีผู้คนกี่คน ผู้นำก็คือหัวหน้า ดังนั้นผู้นำคนนี้มีบทบาทอันใดในหมู่สมาชิก? พวกเขานำประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักร แล้วพวกเขามีผลต่อคริสตจักรทั้งมวลอย่างไร? หากผู้นำคนนี้ใช้เส้นทางที่ผิด ทุกคนในคริสตจักรก็จะติดตามพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด ซึ่งจะส่งผลต่อประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรเป็นอย่างมาก จงดูเปาโลเป็นตัวอย่าง เขานำทางคริสตจักรมากมายที่เขาก่อตั้งและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เมื่อเปาโลออกนอกลู่นอกทาง คริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่เขานำก็พลอยออกนอกลู่นอกทางไปด้วย ดังนั้นเมื่อผู้นำแยกไปใช้เส้นทางของตนเองที่ต่างออกไป พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ คริสตจักรทั้งหลายและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพวกเขานำทางอยู่นั้นย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน หากผู้นำเป็นบุคคลที่ใช่ เป็นบุคคลหนึ่งที่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วผู้คนที่พวกเขานำย่อมจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติและไล่ตามเสาะหาความจริงตามปกติ และในเวลาเดียวกัน ประสบการณ์ชีวิตและความก้าวหน้าของผู้นำก็จะปรากฏแก่สายตาของผู้อื่นและส่งผลต่อผู้อื่น ดังนั้นเส้นทางที่ถูกต้องที่ผู้นำควรเดินคือสิ่งใด? คือการสามารถนำผู้อื่นไปสู่การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความจริง และนำผู้อื่นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เส้นทางที่ไม่ถูกต้องคือสิ่งใด? คือการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ อวดตนและเป็นพยานให้ตนเองบ่อยๆ ไม่เคยเป็นพยานให้พระเจ้า การนี้ส่งผลต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร? (เป็นการนำพวกเขามาอยู่เบื้องหน้าตนเอง) พวกเขาจะไถลห่างไปไกลจากพระเจ้าและมาอยู่ใต้การควบคุมของผู้นำผู้นี้ หากเจ้านำผู้คนมาอยู่ต่อหน้าเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังนำพวกเขามาอยู่ต่อหน้าบุคคลที่เสื่อมทราม และเจ้ากำลังนำพวกเขามาอยู่ต่อหน้าซาตาน ไม่ใช่พระเจ้า มีเพียงการนำผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าความจริงเท่านั้นที่เป็นการนำพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เหล่าผู้นำและคนทำงานมีอิทธิพลโดยตรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่ว่าพวกเขาจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือเส้นทางที่ผิดก็ตาม” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ชัดเจนในความรับผิดชอบและหน้าที่ของตนมากขึ้น ขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงบนบ่าของฉัน พระเจ้าตรัสบอกพวกเราว่าเส้นทางที่ผู้นำและคนทำงานเลือกและสิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่เพียงส่งผลต่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อพี่น้องชายหญิงที่พวกเขานำอีกด้วย เมื่อผู้นำและคนทำงานไล่ตามเสาะหาความจริงและเป็นคนที่เหมาะสม พวกเขาย่อมจะเจริญก้าวหน้าในความจริงอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะสามารถคิดทบทวนในชีวิตประจำวันได้ว่าพวกเขามีทรรศนะอะไรที่ผิดพลาดหรือพวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอะไรที่เสื่อมทราม เข้าใจแก่นแท้ของปัญหาบนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า จากนั้นก็ค้นหาว่าจะเข้าสู่หลักธรรมใด เมื่อผู้นำและคนทำงานเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเขาจะแบกรับภาระสำหรับการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงและมุ่งแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อให้ผู้คนที่พวกเขานำนั้นเข้าสู่ในทิศทางนี้เช่นกัน หากผู้นำและคนทำงานละเลย ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อให้ได้ชื่อเสียงและสถานะ ไม่สนใจไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และหากพวกเขามัวยุ่งอยู่กับเรื่องภายนอกในหน้าที่ของตน หรือพูดตามคำพูดและหลักธรรมเพื่อยกย่องตนเองและทำให้ตนโดดเด่น และพวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้ เช่นนั้นพวกเขาก็กำลังเดินบนเส้นทางที่ต้านทานพระเจ้า และพวกเขากำลังนำผู้คนไปในทิศทางที่ผิด คนเช่นนี้เดินตามหนทางของตนอย่างไร้สติและนำผู้อื่นเดินไปตามเส้นทางแห่งการออกแรงทำงาน ซึ่งเป็นเส้นทางที่เปาโลใช้ต้านทานพระเจ้า นี่ขัดกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะทรงพระราชกิจและช่วยผู้คนให้รอด คริสตจักรให้โอกาสฉันฝึกฝนการเป็นผู้นำไม่ใช่เพื่อให้ฉันสามารถทำงานภายนอกได้ ไม่ใช่เพื่อให้ฉันสามารถมานะพยายามและตรากตรำ และไม่ใช่เพื่อให้ฉันสามารถไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ ฉันควรแสดงบทบาทผู้นำ และนำพี่น้องชายหญิงให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาในหน้าที่ของพวกเขา และค่อยๆ เข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้ นี่คือหน้าที่ของฉัน ฉันจึงรู้สึกว่าการมุ่งไล่ตามเสาะหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนนั้นสำคัญยิ่ง ตอนนี้ฉันมีความเข้าใจในความจริงที่ตื้นเขินมาก และฉันไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย ดังนั้นฉันจึงเรียนรู้ได้ต่อเมื่อตัวเองมีประสบการณ์กับความจริงเท่านั้น ตราบใดที่หัวใจและเส้นทางของฉันถูกต้อง ฉันย่อมจะได้รับการทรงนำจากพระเจ้า
ในช่วงเวลาต่อมา ฉันคิดทบทวนว่าตัวเองแก้ปัญหาอะไรด้วยการแสวงหาความจริงอย่างแท้จริงตลอดหลายปีที่ฉันเชื่อในพระเจ้า และฉันได้แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอะไรไปบ้าง พอทำแบบนี้ฉันก็พบว่าฉันสับสนและเข้าใจคำถามตั้งมากมายเพียงบางส่วนเท่านั้น ฉันไม่เข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้และมองไม่เห็นแก่นแท้ของปัญหา หรือพบหลักธรรมของการปฏิบัติ อีกทั้งไม่เคยแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิผล หลังจากนั้นฉันพยายามเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ฉันมีความเข้าใจค่อนข้างดี และฉันไตร่ตรองขณะที่เขียนไปด้วย ฉันไตร่ตรองเมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเวลา เมื่อฉันเขียนบทความนั้นเสร็จในที่สุด ฉันรู้สึกลุล่วง มั่นคง และสบายใจมาก ในกระบวนการเขียนบทความนั้น ด้วยการแสวงหาความจริง ฉันเริ่มมองเห็นสภาวะของตนเองและแก่นแท้ของปัญหาของตนได้ชัดเจนขึ้นไปโดยปริยาย ความรู้ที่ฉันมีเกี่ยวกับความจริงเริ่มสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นรูปธรรมมากขึ้น และเส้นทางปฏิบัติของฉันก็ชัดเจนขึ้น ฉันเห็นว่าการเขียนบทความคำพยานนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่งยวดต่อการเข้าใจสภาวะของตนเองและต่อการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา นี่คือเส้นทางของการเข้าสู่ชีวิต และเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการแสวงหาและเข้าใจความจริงอีกด้วย
ต่อมาฉันได้ยินว่าหลายคนรวมแม้กระทั่งผู้นำและคนทำงานไม่มุ่งเน้นการเขียนบทความ อีกทั้งไม่ใช้ความพยายามใดๆ ในด้านนี้ บางคนพูดเสมอว่าพวกเขายุ่งกับงานและไม่มีเวลาเขียนบทความ ฉันก็นึกขึ้นมาว่า “นี่คือสภาวะของฉันเลยไม่ใช่หรือ? ฉันก็มีมุมมองที่ผิดนั้นเช่นกันและหาข้ออ้างที่จะไม่เขียน ถ้าฉันสามารถนำเอากระบวนการของตนเองมาเขียนบทความว่าฉันแก้ไขสภาวะของตนอย่างไรและเปลี่ยนแปลงมุมมองของตนอย่างไร นั่นย่อมจะแก้ไขปัญหาบางส่วนของพี่น้องชายหญิงได้ไม่ใช่หรือ?” พอตระหนักดังนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองมีภาระให้แบกรับแล้ว และตัดสินใจเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าความเข้าใจของฉันจะตื้นเขินและมองความด้านเดียวอยู่มาก แต่ฉันก็รู้ว่าการเขียนบทความนี้เป็นหน้าที่ของฉัน ดังนั้นฉันจึงต้องฝึกเขียนตามที่ฉันเข้าใจให้มากที่สุด ปกติแล้วเวลาฉันพบหรือพูดคุยกับพี่น้องชายหญิง ฉันจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับหัวข้อนี้ และฉันก็ครุ่นคิดถึงหัวข้อนี้เมื่อตัวเองมีเวลาว่าง ระหว่างการเฝ้าเดี่ยวของตนในตอนเช้า ฉันกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในหัวข้อนี้ ผ่านไปสักพักฉันก็สามารถมองเห็นปัญหาได้ชัดเจนขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วพอลงมือเขียนก็ง่ายขึ้นมาก หลังจากเขียนโครงเรื่องเสร็จแล้ว ฉันก็อธิบายความหมายแต่ละชั้นออกมาตามความเข้าใจของตนเอง และเขียนความคิดและประสบการณ์ของฉันออกมาเป็นคำพูดของฉันเอง การเขียนไม่ได้ให้ความรู้สึกลำบากยากเย็นขนาดนั้นอีกต่อไป และขณะที่ฉันไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ระหว่างที่เขียน ฉันก็สามารถมองเห็นปัญหา รวมทั้งแง่มุมต่างๆ ของความจริงที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจนขึ้น ฉันรู้สึกอย่างแท้จริงว่ายิ่งพวกเราพยายามไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งพวกเราเขียนบทความและใช้การเขียนบทความเป็นวิถีทางในการไล่ตามเสาะหาความจริงและแก้ปัญหา พวกเราก็ยิ่งได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้าและยิ่งได้รับพร ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ยิ่งเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งแบกภาระยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และยิ่งภาระที่เจ้ามียิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ประสบการณ์ของเจ้าก็จะยิ่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงมอบภาระให้แก่เจ้า แล้วจากนั้นก็จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเกี่ยวกับภารกิจซึ่งพระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เมื่อพระเจ้าทรงมอบภาระนี้แก่เจ้า เจ้าก็จะสนใจความจริงทั้งหมดที่เกี่ยวข้องขณะที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าไปด้วย หากเจ้ามีภาระที่เกี่ยวข้องกับสภาพชีวิตของพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นภาระที่พระเจ้าได้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ และเจ้าก็จะแบกภาระนี้ไว้กับตัวในการอธิษฐานประจำวันของเจ้าเสมอ เจ้ามีสิ่งที่พระเจ้าทรงทำอยู่กับตัวแล้ว และเจ้าเต็มใจทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ นี่คือความหมายของการแบกภาระของพระเจ้าเสมือนเป็นภาระของเจ้าเอง เมื่อถึงจุดนี้ ในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมุ่งเน้นที่ประเด็นปัญหาเหล่านี้ และเจ้าจะสงสัยว่า ฉันจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร? ฉันจะทำให้พี่น้องชายหญิงของฉันสามารถสัมฤทธิ์ความเป็นอิสระและพบกับความชื่นชมยินดีทางฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร? เจ้าจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาเหล่านี้ในขณะที่กำลังสามัคคีธรรมด้วย และเมื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมุ่งเน้นที่การกินและดื่มพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ เจ้าจะแบกภาระเอาไว้ขณะที่กินและดื่มพระวจนะของพระองค์เช่นกัน ทันทีที่เจ้าเข้าใจข้อพึงพระสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว เจ้าจะมีแนวคิดที่ชัดเจนขึ้นว่าจะใช้เส้นทางใด นี่คือความรู้แจ้งและความกระจ่างแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ภาระของเจ้านำมาให้ และนี่ยังเป็นการทรงนำของพระเจ้าที่ได้ประทานแก่เจ้าอีกด้วย เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? หากเจ้าไม่มีภาระ เช่นนั้นแล้ว เวลาที่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะไม่ตั้งใจ เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าพลางแบกภาระไปด้วย เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจในแก่นแท้ของพระวจนะ ค้นพบหนทางของเจ้า และคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ ดังนั้น ในการอธิษฐานของเจ้า เจ้าควรปรารถนาให้พระเจ้าทรงมอบภาระแก่เจ้ามากขึ้น และวางพระทัยมอบหมายภารกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกให้เจ้าทำ เพื่อที่เจ้าอาจมีเส้นทางปฏิบัติมากขึ้นในภายหน้า เพื่อที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจะเกิดผลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อที่เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจในแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระองค์เพิ่มมากขึ้น และเพื่อที่เจ้าจะสามารถได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่าเมื่อพวกเราแบกรับภาระของการเข้าสู่ชีวิตและปัญหาของตนเองในคริสตจักร พวกเราก็สามารถใช้ความพยายามให้มากขึ้นในการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา กิน ดื่ม และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อนั้นพวกเราก็สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วขึ้น ระหว่างกระบวนการนี้ ขณะที่พวกเราแบกรับภาระ ถวิลหา และแสวงหา พวกเราก็สามารถได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้า ค่อยๆ เข้าใจความจริงได้ลึกซึ้งขึ้น มองทะลุเรื่องราวและผู้คนได้ชัดเจนขึ้นและถี่ถ้วนขึ้น และเข้าใจความจริงได้อย่างเป็นรูปธรรมและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น หากพวกเราไม่หมั่นไล่ตามเสาะหาความจริงหรือฝึกเขียนบทความ ต่อให้พวกเรามีความสว่างอยู่บ้างเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า ก็ย่อมเป็นเพียงความเข้าใจตามการรับรู้ที่ตื้นเขิน ซึ่งจะให้ความรู้สึกคลุมเครืออยู่เสมอเหมือนรูปทรงในหมอก และแสดงว่าพวกเราไม่มีความรู้ที่เป็นจริง เฉพาะเมื่อพวกเราเขียนความรู้และประสบการณ์ของตนออกมา ใคร่ครวญและเข้าใจประเด็นปัญหาอย่างถ้วนทั่วตามพระวจนะของพระเจ้า และยกระดับความรู้ตามการรับรู้ของพวกเราให้ค่อนข้างแม่นยำ ตรงตามความเป็นจริง และเป็นรูปธรรมเท่านั้น ความเข้าใจของพวกเราจึงจะเกิดผลในที่สุด การเขียนบทความคือกระบวนการของการได้รับความชัดเจนในเรื่องต่างๆ ของการเข้าใจความจริงและแก้ไขปัญหา ยิ่งพวกเราเขียนก็ยิ่งได้รับ
ตอนนี้ฉันไม่ต้านทานการเขียนบทความแล้ว ฉันเพลิดเพลินกับการเขียน เพราะฉันมองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนชัดเจนขึ้นในระหว่างที่เขียน และมุมมองกับอุดมการณ์ของฉันก็เปลี่ยนแปลงด้วยเมื่อฉันมาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า นี่คือประโยชน์ที่แท้จริง และเป็นสิ่งที่มีค่าและมีความหมายที่สุด ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกเสมอว่าการเขียนบทความนั้นตรากตรำมากและยากเย็นเป็นพิเศษ และฉันเลือกที่จะทำงานภายนอกมากกว่าจะพยายามเขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง ฉันกบฏและดื้อรั้นมาก ฉันถึงกับรู้สึกว่าการเขียนบทความจะทำให้งานของฉันล่าช้า แต่ทรรศนะนี้ที่จริงแล้วผิดและไร้สาระทีเดียว การเขียนบทความไม่ได้ทำให้งานล่าช้าเลย กลับกระตุ้นให้คุณแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาและทำให้คุณมีประสิทธิผลในหน้าที่ได้มากขึ้น ตอนนี้เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเวลา ฉันจะพยายามสงบใจและพิจารณาสภาวะของตนเอง ฉันยังเต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามเพื่อไตร่ตรองปัญหาที่ฉันมองเห็นไม่ชัดเจนหรือแก้ไขไม่ได้อีกด้วย ฉันค่อยๆ เริ่มแบกรับภาระเพื่อการเข้าสู่ชีวิตของตนเอง ฉันรู้สึกด้วยว่าตัวเองมีสภาวะมากมายที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยการแสวงหาความจริง และฉันเกิดความรู้สึกถวิลหาพระวจนะของพระเจ้าทีละน้อย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!