84. ยึดมั่นกับหลักธรรมเพื่อทำหน้าที่ให้ดี

โดย ฉู่นั่ว, ประเทศจีน

เดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 2019 พี่น้องหญิงหลินซินที่เป็นผู้นำของคริสตจักรแห่งหนึ่งเขียนจดหมายลาออก  ผู้นำของฉันจัดแจงให้ฉันไปตรวจสอบที่คริสตจักรนี้  เธอพูดว่าถ้าหลินซินไม่อาจทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้จริงๆ เธอก็ควรจะถูกปลด และควรจะมีการเลือกตั้งใหม่  หลังจากที่ฉันไปถึง มัคนายกที่นั่นก็บอกฉันเรื่องสถานการณ์ของหลินซิน พวกเขาพูดว่าทันทีที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของครอบครัวเธอ หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของเธอ เธอจะทิ้งงานของคริสตจักรทุกอย่างให้พี่น้องหญิงที่จับคู่กับเธอจัดการ  นี่ทำให้คู่ของเธอรับภาระงานหนัก และการติดตามงานก็ทำได้ไม่ดี  มีเรื่องด่วนบางส่วนที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที  ผู้นำระดับสูงได้เสนอความช่วยเหลือและการสนับสนุนให้หลินซินหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงและสิ่งต่างๆ ก็ไม่อาจพลิกกลับได้  ที่การชุมนุม สามัคคีธรรมของเธอตามพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่มีความรู้แจ้ง และเมื่อพี่น้องชายหญิงมีปัญหาหรือความยากลำบากต่างๆ เธอก็ไม่สามารถสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและความยากลำบากเหล่านั้นได้  เธอทำได้เพียงให้หนุนใจด้วยคำพูดและคำสอน หรือเธอใช้วิธีและปรัชญาทางโลกของเธอเองเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ  ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงอยู่ในสภาวะทางจิตวิญญาณที่ย่ำแย่เพราะความเจ็บป่วย เธอจะแค่บอกพวกเขาว่า ควรจะไปหาหมอคนไหน ใช้สินค้าสุขภาพอะไร แทนที่จะนำพวกเขาให้ แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และเรียนรู้บทเรียน  นอกจากนี้ เวลามีคนพูดเรื่องการลงทุนในระหว่างการชุมนุม หลินซินไม่เพียงขาดการหยั่งรู้ที่จะเปิดโปงและหยุดพวกเขา ที่จริงเธอผสมโรงและเชิญชวนพี่น้องชายหญิงให้ทำแบบนั้นเช่นกัน  พี่น้องชายหญิงบางคนเคยย้ำเตือนเธอหลายครั้ง ให้มุ่งเน้นการไล่ตามความจริงและลุล่วงหน้าที่ แต่เธอก็ไม่ฟัง  ด้วยกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดว่าเธอโลภอยากได้เงิน เธอจึงแอบลงทุนและขาดทุนไปกว่าสี่แสนหยวน ซึ่งยิ่งทำให้เธอเขวจากหน้าที่มากขึ้นอีก  หลินซินละเลยหน้าที่และไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ชีวิตคริสตจักรจึงไม่เกิดผลและพี่น้องชายหญิงก็รู้สึกคิดลบและอ่อนแอ  พวกเขาบางคนไม่อยากมางานชุมนุมอีกต่อไป และตัวเธอเองก็กลัวที่จะพบกับพี่น้องชายหญิง เพราะเธอไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้

หลังจากได้ฟังรายงานสถานการณ์ของบรรดามัคนายก ฉันคิดว่า “หลินซินไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และทัศนะต่อสิ่งต่างๆ ของเธอก็เหมือนผู้ไม่เชื่อคนหนึ่ง  เธอจะสามารถนำคริสตจักรแบบนั้นได้อย่างไร?  ถึงจะไม่มีจดหมายลาออก เธอก็ควรถูกปลดฐานเป็นผู้นำเทียมเท็จเพราะพฤติกรรมของเธอ”  ฉันจึงหาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องและสามัคคีธรรมถึงปัญญาแยกแยะตามสิ่งที่พบและพฤติกรรมเธอ  เมื่อฉันสามัคคีธรรมเสร็จ มัคนายกทุกคนก็ยืนยันว่าหลินซินขาดงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  แต่เมื่อฉันพูดเรื่องการปลดหลินซินจากหน้าที่ของเธอ มัคนายกคนหนึ่งก็พูดว่า “หลินซินมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี เธอช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงกับความลำบากยากเย็นเท่าที่ทำได้ อีกทั้งเธอเป็นมิตรและไม่เสแสร้ง”  คนหนึ่งพูดว่าเธอมีขีดความสามารถที่ดี ฉลาด และเมื่อพี่น้องชายหญิงอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่หรือมีความลำบากยากเย็นบางอย่าง เธอก็สามารถชูใจพวกเขาได้  ถ้าเธอถูกปลด คริสตจักรคงไม่อาจหาผู้นำที่เหมาะสมกว่านี้ได้  มัคนายกอีกคนหนึ่งพูดด้วยว่า “หลินซินอาจแค่อยู่ในสภาวะที่ไม่ดีชั่วคราว  มาพยายามช่วยเธอก่อนเถอะ” พวกเขาหารือกันไปมาและต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเธอไม่ควรถูกปลด  ตามหลักธรรมสำหรับการแทนที่ผู้นำและคนทำงาน ถ้าผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งไม่ได้รับงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่อาจทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้เป็นเวลานาน พวกเขาก็ควรถูกแทนที่  ถ้าพวกเขาขาดงานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และพวกเราให้อยู่ต่อ นั่นไม่เป็นการเปลี่ยนท่าทีของพวกเราที่มีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  มัคนายกเหล่านี้เห็นแค่ว่าหลินซินใส่ใจผู้คนได้ ว่าเธอคำนึงถึงผลประโยชน์ทางร่างกายของพวกเขา ให้ความรักในระดับหนึ่ง ฉลาดและมีขีดความสามารถบ้าง แต่พวกเขาไม่สามารถเห็นได้ว่าเธอเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ หรือว่าเธอสามารถทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่ พวกเขาไม่ได้กำลังประเมินเธอตามมาตรฐานของพระนิเวศของพระเจ้าในการคัดเลือกผู้คน  เห็นชัดว่าหลินซินไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และยังมีทัศนะเหมือนกับพวกผู้ไม่เชื่อ  เธอไม่สามัคคีธรรมตามความจริงเมื่อเกิดเรื่อง และไม่อาจแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงได้เลย  เธอถูกเปิดเผยว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ถ้าเธอทำหน้าที่ต่อไป เธอก็จะขัดขวางและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก และทำให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงล่าช้าลงเท่านั้น  ดังนั้นฉันจึงสามัคคีธรรมกับเหล่ามัคนายกเรื่องการแทนที่เธออีกครั้ง  หลังจากการสามัคคีธรรมของฉัน มัคนายกทุกคนพากันเงียบ แต่ฉันเห็นได้ว่าพวกเขายังไม่เห็นด้วยกับการปลดเธอ  ณ ตอนนั้น ฉันลังเลว่า “ถ้าฉันยืนกรานในมุมมองของฉันที่นี่ และสามัคคีธรรมถึงความจริงและใช้ปัญญาแยกแยะหลินซินต่อไป มัคนายกเหล่านี้จะพูดว่าฉันโอหังและทำตามอำเภอใจเกินไป และไม่ยอมรับความเห็นของคนอื่นหรือเปล่า?  ถ้าฉันทำลายความสัมพันธ์ของฉันกับมัคนายกเหล่านี้ทั้งที่เพิ่งมาถึง งานส่วนที่เหลือของฉันก็จะยากขึ้น”  เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็หยุดสามัคคีธรรมกับเหล่ามัคนายกถึงหลักธรรมในการใช้ปัญญาแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ และรายงานสถานการณ์ของคริสตจักรต่อผู้นำลำดับถัดจากฉัน  ฉันคิดว่าถ้าผู้นำเห็นด้วยกับมุมมองของฉัน เช่นนั้นฉันก็สามารถปลดหลินซินได้ และมัคนายกเหล่านั้นก็จะไม่มีความเห็นไม่ดีกับฉัน  หลังจากนั้น ฉันไปพบพี่น้องหญิงคนอื่นที่คริสตจักรนั้นเพื่อเรียนรู้ทัศนะที่พวกเธอมีต่อหลินซิน แต่ฉันค้นพบว่าพี่น้องหญิงเหล่านี้ก็ขาดปัญญาแยกแยะเธอเช่นกัน  ทุกคนพูดว่าเธอมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ให้ความรักต่อพวกเธอ คำนึงถึงความยากลำบากของพวกเธอ อีกทั้งฉลาดและมีขีดความสามารถ  ทัศนะของพวกเธอเหมือนกับเหล่ามัคนายก  เมื่อฉันเห็นอย่างนี้ ฉันก็ไม่กล้าสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อใช้ปัญญาแยกแยะหลินซิน  ฉันกลัวพวกเขาจะพูดว่าฉันโอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และเมินทัศนะของคนอื่น และพวกเขาจะมีความประทับใจที่ไม่ดีกับฉัน  ดังนั้นฉันจึงแค่รอจดหมายที่มีคำตอบจากผู้นำอย่างเฉื่อยชา  ด้วยวิธีนั้น ฉันก็ไม่ได้แบกภาระกับเรื่องการปลดหลินซิน  ฉันเห็นชัดเจนว่าพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ขาดความจริงและไม่อาจใช้ปัญญาแยกแยะได้ แต่ฉันไม่มีความอยากสามัคคีธรรมกับพวกเขา  ในช่วงนั้น ฉันรู้สึกมืดมนอยู่ข้างใน และไม่อาจรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า  ฉันจึงรีบไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานขอความรู้แจ้งและการทรงนำของพระองค์ เพื่อที่ฉันจะได้รู้สภาวะของตนเอง

ผ่านไปไม่กี่วัน ผู้นำก็ขอชุมนุมกับฉัน  พวกเราอ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่อันใด เจ้าก็ต้องจับหลักธรรมให้ได้ และสามารถปฏิบัติความจริง  เช่นนั้นเจ้าจึงจะมีหลักธรรม  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจบางสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หากเจ้าไม่แน่ใจว่าวิธีทำที่เหมาะสมเป็นเช่นใด เจ้าก็ควรแสวงหาและสามัคคีธรรมเพื่อหาฉันทามติ  เมื่อเจ้าระบุได้แล้วว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง ก็จงทำดังนั้น  อย่ายอมให้ข้อบังคับใดๆ ตีกรอบเจ้าเอาไว้ อย่ารอช้า อย่าคอย และอย่าเป็นผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งเฉย  หากเจ้าเป็นผู้สังเกตการณ์ที่นิ่งเฉยอยู่เสมอและไม่เคยมีความคิดเห็นของตนเอง ถ้าเจ้ารอจนผู้อื่นตัดสินใจก่อนจึงค่อยลงมือทำอยู่เสมอ และถ้าเจ้าเอาแต่แกล้งถ่วงเวลาและรอคอยในยามที่ยังไม่มีใครตัดสินใจ ผลสืบเนื่องย่อมจะเป็นเช่นใด?  งานทุกชิ้นจะชะงักอยู่กับที่ และไม่มีสิ่งใดสำเร็จเสร็จสิ้น  เจ้าควรเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริง หรืออย่างน้อยก็สามารถกระทำการตามมโนธรรมและเหตุผลของตนได้  ตราบใดที่เจ้าสามารถมองทะลุจนเห็นหนทางที่เหมาะสมในการทำบางสิ่ง และผู้คนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นกันว่าวิธีการนั้นใช้ได้ ตราบนั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติตามนั้น  จงอย่ากลัวการรับผิดชอบ หรือการล่วงเกินผู้อื่น หรือกลัวที่จะแบกรับผลสืบเนื่อง  หากมีคนที่ไม่ทำสิ่งใดจริง คิดคำนวณอยู่เสมอ กลัวการรับผิดชอบ และไม่กล้ายึดมั่นในหลักธรรมเวลาที่พวกเขากระทำการ เช่นนั้นแล้ว นี่ก็แสดงว่าพวกเขากลับกลอกและหลอกลวงเกินไป และเก็บงำกลอุบายที่มีเหลี่ยมคูเอาไว้มากเกินไป  การอยากชื่นชมพระคุณและพรจากพระเจ้า แต่กลับไม่ทำสิ่งใดจริงนั้น ช่างไร้คุณธรรมนัก  ไม่มีใครที่พระเจ้าทรงรังเกียจยิ่งกว่าผู้คนที่เจ้าเล่ห์และหลอกลวงเช่นนี้อีกแล้ว  ไม่ว่าเจ้าจะกำลังคิดสิ่งใดอยู่ก็ตาม ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามความจริง ไม่มีความจงรักภักดี ด่างพร้อยไปด้วยสิ่งปลอมปนที่มาจากตัวเจ้าเอง และมีความคิดอ่านและแนวคิดของตนเองอยู่เสมอ พระเจ้าย่อมจะทรงพินิจพิเคราะห์และรู้ถึงสิ่งทั้งปวงนี้  เจ้านึกว่าพระเจ้าไม่ทรงรู้กระนั้นหรือ?  ถ้าคิดเช่นนั้น เจ้าก็เบาปัญญานัก!  และหากเจ้าไม่กลับใจทันที เจ้าก็จะไม่มีพระราชกิจของพระเจ้า  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกของผู้คน  พระองค์ทรงมองเห็นอุบายเหลี่ยมจัดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งปวงที่พวกเขามีได้อย่างชัดเจนที่สุด ทรงมองเห็นว่าพวกเขาปิดใจของตนจากพระองค์ และไม่ได้มีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์  สิ่งสำคัญที่ทำให้หัวใจของผู้คนอยู่ห่างจากพระเจ้าคืออะไร?  ความคิดของพวกเขา ผลประโยชน์และความภาคภูมิใจของพวกเขา สถานะและอุบายเล็กๆ น้อยๆ ที่มีเหลี่ยมคูของพวกเขาเอง  เมื่อในหัวใจของผู้คนมีสิ่งทั้งหลายที่เป็นกำแพงกั้นพวกเขาจากพระเจ้า และพวกเขาก็เก็บซ่อนความลับเอาไว้ตลอดเวลา มีแรงจูงใจของตนเองอยู่เสมอ นี่ย่อมเป็นปัญหา(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  ฉันได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าเวลาคนเราทำหน้าที่ของตนในคริสตจักร ทุกอย่างควรเป็นไปตามหลักธรรมความจริง  ในเรื่องที่พวกเราไม่อาจเห็นได้ชัด พวกเราสามารถหารือ ลงฉันทามติ และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรที่สุด  ในเรื่องที่พวกเราเห็นชัดเจน พวกเราจำเป็นต้องปฏิบัติความจริงและทำตามหลักธรรม  ด้วยการทำแบบนั้นเท่านั้นพวกเราจึงคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า  แต่ถ้าพวกเราขาดหัวใจที่ซื่อสัตย์ เล่นเล่ห์เพทุบายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พยายามปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเราเสมอ เข้าใจความจริงแต่ไม่ปฏิบัติ และไม่แสดงความภักดีหรือการคำนึงถึงต่อพระเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่มีวันได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่มีวันได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้าในหน้าที่ของพวกเรา  ฉันตกลงใจอย่างชัดเจนแล้วว่าหลินซินเป็นคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลย และเป็นผู้นำเทียมเท็จที่จำเป็นต้องถูกแทนที่ทันที แต่เมื่อฉันเห็นว่าเหล่ามัคนายกไม่เห็นด้วย ฉันก็กลัวพวกเขาจะว่าฉันโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ ฉันจึงไม่กล้าค้ำจุนหลักธรรมความจริง และไม่อยากใช้ความพยายามสามัคคีกับพวกเขาเรื่องความจริงที่เกี่ยวเนื่องกับการมีปัญญาแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อฉันเขียนจดหมายรายงานไปถึงผู้นำ ภายนอกฉันจริงจังกับหน้าที่ฉัน แต่ที่จริงฉันลังเลที่จะก้าวไปข้างหน้า เพราะฉันกลัวพี่น้องชายหญิงจะมองฉันในทางลบ  ในหน้าที่ฉัน ฉันไม่มีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันไม่ปกป้องงานของคริสตจักร และคำนึงถึงแต่ความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง  เพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาและสถานะ ฉันถึงกับยอมทนต่อผู้นำเทียมเท็จที่ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก และขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง  ฉันได้เห็นว่าฉันเห็นแก่ตัวและฉลาดแกมโกงจริงๆ  พระเจ้าทรงตรวจดูจิตและใจของผู้คน และความคิดของฉันอาจจะหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้  ระหว่างนั้น วิญญาณฉันมืดมนและฉันไม่อาจรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าได้  นี่คือการตีสอนและการบ่มวินัยของพระเจ้าจริงๆ

ในขณะนั้นเอง ฉันได้ยินเรื่องคริสตจักรที่มีการค้นพบว่าศัตรูของพระคริสต์กำลังทำชั่ว แต่ไม่มีใครรายงานหรือเปิดโปงเขา แม้เมื่อศัตรูของพระคริสต์คนนี้ถูกขับออกไปแล้ว สมาชิกก็ปกปิดและปกป้องเขา  การนี้ทำให้พระอุปนิสัยพระเจ้าเดือดดาล และทุกคนในคริสตจักรก็ถูกแยกเดี่ยวให้ไตร่ตรอง  ตอนที่ฉฉันได้ยินเรื่องผลลัพธ์นั้น หัวใจของฉันก็สั่นด้วยความกลัว  ฉันถามตนเองซ้ำไปซ้ำมา ว่าทำไมฉันถึงปลดผู้นำเทียมเท็จคนนี้ไม่ได้ในทันทีที่ฉันค้นพบมัน  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ทันทีที่ความจริงกลายเป็นชีวิตของเจ้าด้วย ยามที่เจ้าสังเกตเห็นใครบางคนหมิ่นประมาทพระเจ้า ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า และขอไปทีประระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา หรือขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าจะโต้ตอบตามหลักธรรมความจริง และจะสามารถระบุและเปิดโปงสิ่งเหล่านั้นตามจำเป็น  หากความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้ายังคงดำรงชีวิตภายในอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ยามที่เจ้าพบคนชั่วและมารที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนต่องานของคริสตจักร เจ้าจะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เจ้าจะปัดเรื่องเหล่านั้นไปก่อน โดยไม่มีการตำหนิมาจากมโนธรรมของเจ้า  เจ้าจะถึงขั้นคิดเสียด้วยซ้ำว่า การที่ใครบางคนที่เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนต่องานในคริสตจักรนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย  ไม่ว่างานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะเสียหายเพียงใด เจ้าก็ไม่ใส่ใจ ไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย หรือรู้สึกผิด—ซึ่งทำให้เจ้าเป็นใครบางคนที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล เป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นคนออกแรงทำงาน  เจ้ากินสิ่งที่เป็นของพระเจ้า ดื่มสิ่งที่เป็นของพระเจ้า และสุขสำราญกับทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าความเสียหายใดๆ ที่เกิดกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่เกี่ยวกับเจ้า—ซึ่งทำให้เจ้าเป็นคนทรยศที่แว้งกัดมือที่ชุบเลี้ยงเจ้า  หากเจ้าไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้ายังนับเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?  นี่คือปีศาจที่แฝงตัวเข้ามาในคริสตจักร  เจ้าแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า แกล้งทำเป็นผู้ที่ได้รับเลือกสรร และเจ้าต้องการทำตัวเอาแต่ได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าไม่ได้ดำรงชีวิตแบบมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนภูตผีมากกว่าคน และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ไม่เชื่ออย่างชัดเจน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  พระวจนะของพระเจ้าทิ่มแทงใจฉัน และฉันก็กลัว  ราวกับว่าพระเจ้าทรงพิโรธฉัน  ฉันได้เห็นชัดถึงผู้นำเทียมเท็จในคริสตจักรที่ทำให้งานหยุดชะงัก ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง แต่เพื่อคุ้มครองความสัมพันธ์ของฉันกับเหล่ามัคนายกและพี่น้องชายหญิง และด้วยกลัวว่าจะล่วงเกินพวกเขา ฉันจึงไม่กล้าเปิดโปงหรือจัดการผู้นำเทียมเท็จคนนั้น และไม่ได้สามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อช่วยให้พี่น้องชายหญิงใช้ปัญญาแยกแยะ ฉันกลายเป็นโล่ให้กับผู้นำเทียมเท็จโดยไม่เจตนา  ฉันได้กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน  สิ่งที่ฉันทำนั้นชั่วร้าย!  พระเจ้าเสด็จมาประสูติเป็นมนุษย์ แสดงความจริงมากมายเพื่อให้น้ำและจัดหาให้พวกเรา และฉันเพลิดเพลินกับทั้งหมดที่มีมาจากพระเจ้า แต่เมื่อผู้นำเทียมเท็จปรากฏขึ้นในคริสตจักร เพื่อประโยชน์ในการปกป้องผลประโยชน์ของตัวฉันเอง ฉันสู้ทนให้เธอรบกวนงานของคริสตจักร  ฉันแว้งกัดผู้มีคุณอย่างแท้จริง  ฉันขาดมโนธรรมทั้งหมด เหตุผล ไม่มีเศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์  ฉันทำให้พระเจ้าทรงเศร้าโศกมาก  หลังจากนั้น ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ?  จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่?  เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่?  เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่?  เจ้าจะสามารถวางความรู้สึกของเจ้าและเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ความจริงของเราได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถยอมให้ในตัวเจ้ามีการสนองเจตนารมณ์ของเราหรือไม่?  เจ้าเคยมอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่?  เจ้าใช่คนที่ปฏิบัติตามเจตจำนงของเราหรือไม่?  จงถามคำถามเหล่านี้กับตัวเจ้าเอง และคิดเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ให้บ่อย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13)  ฉันได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์ที่อยู่ในประโยคเหล่านี้  ผู้นำเทียมเท็จปรากฏขึ้นในคริสตจักรนี้ และพระเจ้าทรงหวังว่าฉันจะยืนข้างพระองค์ คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์ และปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร  ในเมื่อฉันได้ค้นพบผู้นำเทียมเท็จ ฉันก็ควรรีบปลดเธอ ใช้หลักธรรมเพื่อเลือกคนที่เหมาะสม และมอบชีวิตคริสตจักรที่ดีให้กับพี่น้องชายหญิง  ถ้าฉันคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอและไม่อาจลุกขึ้นมาปกป้องงานของคริสตจักรได้ ฉันก็คงถูกพระเจ้ารังเกียจและปฏิเสธอย่างแน่นอน  เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันจึงตัดสินใจแทนที่หลินซินทันที  ฉันไม่กังวลว่าจะถูกเรียกว่าโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมออีกต่อไป  เพราะฉันรู้ชัดเจน ว่าการทำแบบนั้นคือการค้ำจุนหลักธรรม ปฏิบัติความจริง และคุ้มครองงานของคริสตจักร ไม่ใช่การโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ  มีแต่คนที่ทำตัวไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า ทำตามใจ และยึดมโนคติอันหลงผิดและความคิดของตนเองเท่านั้น ที่โอหัง คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และขัดต่อความจริง

ดังนั้น หลังจากนั้น ฉันก็ใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อสามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอะไรที่บรรดาผู้นำและคนทำงานควรทำ ถึงผลสืบเนื่องจากการไม่ปลดผู้นำเทียมเท็จ ถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีคืออะไร ขีดความสามารถที่ดีคืออะไร และใจที่ให้ความรักคืออะไร  ผ่านการสามัคคีธรรมของฉัน พี่น้องชายหญิงก็เกิดปัญญาแยกแยะในตัวหลินซิน  พวกเขาเห็นด้วยว่าในพระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมสำหรับการโยกย้ายและการปลดออก  มันไม่ใช่การดูที่ความรัก พรสวรรค์หรือขีดความสามารถเพียงผิวเผินของผู้คน แต่ดูว่าพวกเขาสามารถไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติความจริง และทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่  ทุกคนเห็นชัดเจนว่าหลินซินเป็นผู้นำเทียมเท็จและต้องถูกปลดออก  หลังจากที่เธอถูกปลด ฉันก็สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงในเรื่องหลักธรรมในการเลือกตั้ง และพวกเราก็เลือกผู้นำคริสตจักรคนใหม่

หลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น ฉันคิดถึงที่พี่น้องชายหญิงได้รายงานพฤติกรรมบางอย่างของเสี่ยวเล่ย  พวกเขาพูดว่าเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่เปลี่ยนทัศนะต่อสิ่งต่างๆ ว่าเขาโลภอยากได้สิ่งของทางโลกและไล่ตามเสาะหาเงิน และว่าเขาสนใจแต่การได้ร่ำรวยและใช้ชีวิตที่เกินธรรมดา  แต่ละครั้งที่เขาได้รับมอบหมายหน้าที่ เขาก็ยุ่งกับการทำธุรกิจเพื่อหาเงิน และไม่เต็มใจจะปฏิบัติหน้าที่นั้น เขาชักชวนพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรให้ลงทุน ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาสูญเงินกันหมด  พฤติกรรมของเขาทำให้ชีวิตคริสตจักรวุ่นวายและหยุดชะงักแล้ว  ฉันคิดเรื่องที่จะไปสามัคคีธรรมกับเขาเพื่อเตือนเขา  แต่ในวันที่มีการชุมนุม เขาจงใจไม่กลับบ้านจนค่ำ เมื่อการชุมนุมจบแล้ว  ฉันถามเขาว่าเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ระยะหลังมานี้ และเขาได้ไตร่ตรองและพยายามเข้าใจตนเองหรือไม่  เขาไม่มีความเข้าใจ ไม่รู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองเลย และเขามีความเข้าใจผิดและการพร่ำบ่นมากมาย  เขาพูดว่าเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและไม่ได้อะไรเลย  ลูกชายของเขาไม่เชื่อฟัง ภรรยาเข้าใจเขาผิด…  ทุกอย่างที่เขาพูดมาจากมุมมองของผู้ปราศจากความเชื่อ  ขณะที่ฉันสามัคคีธรรมกับเขา ฉันก็นำให้เขาทบทวนและมารู้จักตนเอง แต่เขาต่อต้านมาก  เขาพูดด้วยว่า “ปฏิบัติความจริงแล้วได้อะไร?”  พี่น้องชายหญิงได้ย้ำเตือนเขาและช่วยเหลือเขามาก่อน และปฏิกิริยาของเขาก็เหมือนเดิมมาตลอด  เสี่ยวเล่ยไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง และมีการสำแดงมากมายของผู้ปราศจากความเชื่อ  ตามหลักธรรมแล้ว คนที่ไม่ยอมรับความจริง ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักจำเป็นต้องถูกแยกเดี่ยวเพื่อให้พวกเขาสามารถทบทวนตนเองได้  พวกเขาไม่อาจได้รับอนุญาตให้ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักได้  จากนั้น ถ้าพวกเขาไม่กลับใจ พวกเขาก็ต้องถูกเอาออกไปจากคริสตจักร  เสี่ยวเล่ยควรถูกแยกเดี่ยว และให้เวลาเพื่อทบทวน เพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลอกลวงและรบกวนพี่น้องชายหญิงที่มีวุฒิภาวะน้อยกว่าซึ่งขาดปัญญาแยกแยะ  ฉันจึงสามัคคีธรรมและให้ปัญญาแยกแยะกับผู้นำและมัคนายกของคริสตจักร  ทุกคนเห็นด้วยว่าเสี่ยวเล่ยควรถูกแยกเดี่ยว  แต่หลายวันต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งก็ส่งจดหมายมาบอกฉันว่าเสี่ยวเล่ยต้องการกลับใจ เปลี่ยนแปลง และปฏิบัติความจริง แต่ใช้ชีวิตอยู่กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและไม่อาจปฏิบัติได้  พี่น้องหญิงคนนั้นไม่รู้ว่าการแยกเดี่ยวเขานั้นเหมาะสมหรือไม่  พอได้อ่านจดหมาย ฉันก็ลังเล  ถ้าเสี่ยวเล่ยต้องการกลับใจและเปลี่ยนแปลง แล้วการที่ฉันจัดเตรียมให้เขาแยกเดี่ยวจะไม่ทำให้เขาคิดลบกว่าเดิมหรือ?  ถ้าเสี่ยวเล่ยและพี่น้องชายหญิงรู้ว่าฉันเป็นคนแนะนำให้ทำแบบนี้ พวกเขาจะพูดว่าฉันไม่ให้โอกาสผู้คนได้กลับใจหรือไม่?  ฉันเพิ่งจะมาถึงคริสตจักรนี้เมื่อเร็วๆ นี้ แต่ฉันกำลังปลดผู้นำเทียมเท็จและจัดการผู้ปราศจากความเชื่อ  พี่น้องชายหญิงจะพูดว่าฉันทำตัวแข็งกร้าวทันทีที่ฉันเริ่มตำแหน่งใหม่ และไร้ความปรานีเกินไปหรือไม่?  เสี่ยวเล่ยมีคารมคมคาย  ตอนที่ฉันไปเปิดโปงเขา ถ้าเขาไม่เห็นด้วย ต่อต้านฉัน หรือโมโหใส่ฉัน ฉันจะทำอย่างไร?  เมื่อฉันคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันก็พบว่าตนเองอยู่ในความยากลำบากอีกครั้ง และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  ฉันจึงไปอยู่ต่อพระพักตร์และอธิษฐาน ขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อที่ฉันจะได้ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “คริสตจักรอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และซาตานก็กำลังพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรื้อถอนคริสตจักร  มันต้องการรื้อถอนการก่อสร้างของเราด้วยทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ ด้วยเหตุผลนี้ คริสตจักรจึงต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยเร็ว  ต้องไม่มีกากเดนแม้เพียงน้อยนิดของความชั่วหลงเหลืออยู่ คริสตจักรต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จนกลายเป็นไร้ข้อตำหนิ และยังคงบริสุทธิ์ต่อไปเหมือนดั่งในอดีต  พวกเจ้าต้องตื่นและรอคอยอยู่เสมอ และเจ้าต้องอธิษฐานต่อหน้าเราให้มากขึ้น  เจ้าต้องระลึกรู้ถึงแผนร้ายสารพัด และกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน ระลึกรู้ถึงจิตวิญญาณทั้งหลาย  รู้จักผู้คน และมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท  เจ้าต้องกินและดื่มวจนะของเราให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน  และที่สำคัญกว่านั้น เจ้าต้องสามารถกินและดื่มวจนะด้วยตัวเองได้  จงเตรียมตัวเจ้าให้พร้อมด้วยความจริงทั้งปวง และมาอยู่ต่อหน้าเรา เพื่อที่เราจะได้เปิดดวงตาฝ่ายวิญญาณของพวกเจ้า และอนุญาตให้พวกเจ้าได้เห็นความล้ำลึกที่ทอดตัวอยู่ในจิตวิญญาณ… เมื่อคริสตจักรเข้าสู่ระยะก่อสร้าง เหล่าวิสุทธิชนก็ออกเดินทัพสู่การสู้รบ  คุณสมบัติพิเศษอันน่ารังเกียจต่างๆ ของซาตานนั้นถูกวางอยู่ตรงหน้าพวกเจ้า กล่าวคือ พวกเจ้าจะหยุดแล้วถอยไปข้างหลัง หรือพวกเจ้าจะลุกขึ้นและวางใจในเรา ก้าวต่อไปข้างหน้า?  เปิดเผยคุณสมบัติพิเศษอันเสื่อมทรามและน่าเกลียดของซาตานอย่างถ้วนทั่ว ไม่เก็บงำความรู้สึกใดๆ และไม่แสดงความปรานี!  ต่อสู้กับซาตานจนตาย!  เราคือผู้หนุนหลังพวกเจ้า และเจ้าต้องมีจิตวิญญาณของเด็กผู้ชาย!  ซาตานกำลังสะบัดปัดป้องพัลวันในการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายก่อนตาย แต่มันจะยังคงไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีไปจากการพิพากษาของเราได้  ซาตานอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา และมันก็กำลังถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าของพวกเจ้าเองเช่นกัน—นี่คือข้อเท็จจริง!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 17)  ฉันได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าขณะพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ซาตานก็พยายามเต็มที่เพื่อรบกวนและทำให้งานของพระเจ้าหยุดชะงัก พระเจ้าทรงอนุญาตผู้นำเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ ผู้กระทำชั่ว และผู้ปราศจากความเชื่อให้ปรากฏในคริสตจักร เพื่อที่พวกเราจะได้เกิดปัญญาแยกแยะ และหยั่งรู้ผู้คน เรื่องและสิ่งต่างๆ รอบตัวตามหลักธรรมความจริง เข้าใจว่าสิ่งไหนมาจากพระเจ้า สิ่งไหนมาจากซาตาน ยืนข้างความจริง และหยั่งรู้และปฏิเสธสิ่งที่เป็นลบทั้งหมดของซาตาน  เสี่ยวเล่ยไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแต่ยังมีทัศนะอย่างผู้ไม่เชื่อ และเมื่อพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมกับเขา เขาก็มีเหตุผลวิบัติพร้อมจะโต้แย้งเสมอ  เขาไม่ยอมรับความจริงอะไรเลย  ที่สำคัญที่สุด ระหว่างการชุมนุมเขาคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความจริงอยู่เสมอ และชักชวงให้พี่น้องชายหญิงหาเงินและทำให้ตนเองรวยขึ้น รบกวนชีวิตของคริสตจักร และไม่เคยเล่นบทบาทเชิงบวก  ถ้าคนประเภทนี้ไม่ถูกจัดการอย่างทันท่วงที พี่น้องชายหญิงก็ไม่อาจมีชีวิตคริสตจักรปกติได้ และบรรดาผู้ที่มีวุฒิภาวะน้อยกว่าก็จะถูกหลอกลวง  พระนิเวศของพระเจ้าต้องการให้ผู้ปราศจากความเชื่อถูกจัดการ เพราะผู้ปราศจากความเชื่อและบรรดาผู้ที่เชื่อและรักความจริงจากใจ เป็นคนละประเภทกันอย่างสิ้นเชิง  การแยกเดี่ยวผู้ปราศจากความเชื่อคือการจำกัดความประพฤติชั่วของพวกเขา และทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถรบกวนชีวิตคริสตจักรสำหรับพี่น้องชายหญิงได้  เปิดโอกาสให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไล่ตามความจริงได้ดีขึ้นและถูกช่วยให้รอด  ฉันต้องจัดการผู้ปราศจากความเชื่อตามหลักธรรม  ถ้าฉันหดหัว ถ้าฉันไม่จัดการพวกเขาอย่างทันท่วงที เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและไม่ล่วงเกินผู้อื่น ก็ไม่ใช่ว่าฉันปกปิดให้ซาตานและยอมทนผู้ปราศจากความเชื่อ ที่รบกวนของคริสตจักรอยู่หรือ?  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และได้เรียนรู้ถึงรากเหง้าของสาเหตุที่ฉันไม่อาจปฏิบัติความจริงหรือค้ำจุนหลักธรรมได้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กล่าวว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง แต่โดยมากแล้วพวกเขาแค่มีปณิธานและความพึงปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา  ผลก็คือ เมื่อพวกเขามาเจอกับกำลังบังคับชั่วหรือเผชิญกับคนชั่วและคนไม่ดีที่ประกอบความประพฤติชั่ว หรือเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ล่วงละเมิดหลักธรรม—อันเป็นการก่อกวนงานของคริสตจักรและทำอันตรายบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วยเหตุนี้—พวกเขาสูญเสียความกล้าที่จะยืนขึ้นและพูดออกมา  นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อเจ้าไม่มีความกล้า?  นั่นหมายความว่าเจ้าใจเสาะหรือพูดไม่ออกใช่หรือไม่?  หรือเป็นที่เจ้าไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และจึงไม่มีความมั่นใจที่จะพูดขึ้นมา?  ไม่ใช่ที่กล่าวมาเลย นี่เป็นผลสืบเนื่องของการถูกอุปนิสัยที่เสื่อมทรามตีกรอบเอาไว้  หนึ่งในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายที่เจ้าเปิดเผยออกมาคืออุปนิสัยหลอกลวงของเจ้า เมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นกับเจ้า สิ่งแรกที่เจ้าคิดถึงคือผลประโยชน์ทั้งหลายของตนเอง สิ่งแรกที่เจ้าพิจารณาคือผลที่ตามมาว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่  นี่เป็นอุปนิสัยหลอกลวงใช่หรือไม่?  อุปนิสัยอีกอย่างหนึ่งคืออุปนิสัยเห็นแก่ตัวและต่ำช้า  เจ้าคิดว่า ‘การสูญเสียผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ?  ฉันไม่ใช่ผู้นำ ดังนั้น ทำไมฉันควรใส่ใจด้วยเล่า?  ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย  นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน’  ความคิดและคำพูดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดอย่างมีสติรู้ตัว แต่เป็นผลผลิตจากจิตใต้สำนึกของเจ้า—ซี่งเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เปิดเผยออกมาเมื่อผู้คนเผชิญประเด็นปัญหา  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ครอบงำวิธีคิดของเจ้า สิ่งเหล่านี้มัดมือและเท้าของเจ้า และควบคุมสิ่งที่เจ้าพูด  ในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องการลุกขึ้นและพูด แต่เจ้ามีความเคลือบแคลง… เจ้าไม่มีพลังอำนาจเหนือสิ่งที่เจ้าพูดและทำ  ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจบอกความจริงหรือพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ ได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจปฏิบัติตามความจริงได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าได้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูด ทำ และปฏิบัติคือการโกหก และเจ้าก็ขอไปทีไม่มีผิดเลย  เจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าล่ามโซ่ตรวนและควบคุมอย่างสิ้นเชิง  เจ้าอาจต้องการที่จะยอมรับและปฏิบัติความจริง แต่นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า  เมื่ออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าควบคุมเจ้า เจ้าก็พูดและทำอะไรก็ตามที่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าบอกให้เจ้าทำ  เจ้าไม่ใช่สิ่งใดนอกจากหุ่นเชิดของเนื้อหนังอันเสื่อมทราม เจ้าได้กลายเป็นเครื่องมือของซาตานไปแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยคือสภาวะของตัวฉันเองไม่มีผิด  แต่ละครั้งที่ฉันจำเป็นต้องปฏิบัติความจริงและปกป้องงานของคริสตจักร ฉันสนใจแต่ชื่อเสียงและสถานะของตนเองเท่านั้น ฉันเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์มาก  ปรัชญาเยี่ยงซาตานอย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” ได้หยั่งรากลึกในใจฉันแล้ว  ฉันใช้ชีวิตตามพิษของซาตานเหล่านี้ ฉันจึงไม่กล้าค้ำจุนหลักธรรมความจริง  ในเรื่องการปลดหลินซิน ฉันกลัวมาตลอดว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดว่าฉันโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีความประทับใจที่ดีในตัวฉัน ฉันจึงไม่กล้าค้ำจุนหลักธรรม  เมื่อจัดการปัญหาของเสี่ยวเล่ย ฉันรู้ชัดเจนว่าตามหลักธรรมแล้วเขาควรถูกแยกเดี่ยว  แต่ฉันกลัวว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดว่า ฉันไม่ให้โอกาสเขาได้กลับใจ และพูดว่าฉันไม่คำนึงถึงจุดอ่อนของเขา  ฉันเลือกให้ชีวิตของคริสตจักรได้รับผลกระทบมากกว่าค้ำจุนหลักธรรมความจริง  ทั้งหมดที่สำคัญกับฉันคือจะคุ้มครองภาพลักษณ์และสถานะของตัวฉันเองอย่างไร และฉันไม่สนใจว่างานหรือผลประโยชน์ของคริสตจักรจะเสียหายอย่างไร  ฉันจะเรียกตนเองว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่จริงใจได้อย่างไร?  ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ตัวว่าถูกปรัชญาเยี่ยงซาตานวางยาพิษไว้ลึกมาก ว่าฉันเห็นแก่ตัวและมีแต่เล่ห์ลวง  พระเจ้าโปรดคนที่มีสำนึกแห่งความยุติธรรม และคนที่สามารถค้ำจุนหลักธรรมความจริง คนที่สามารถค้ำจุนและปกป้องสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด และคนที่กล้ายืนหยัดและเปิดโปงและปฏิเสธสิ่งที่เป็นลบทั้งหมด  ฉันควรเป็นคนที่มีสำนึกแห่งความยุติธรรม ค้ำจุนหลักธรรมความจริงไม่ว่าคนอื่นจะคิดกับฉันอย่างไร  หลังจากนั้น พี่น้องชายหญิง ก็ได้เรียนรู้ผ่านการสามัคคีธรรม ที่จะใช้ปัญญาแยกแยะพฤติกรรมผู้ปราศจากความเชื่อของเสี่ยวเล่ย และพวกเขาร้อยละ 80 ก็เห็นด้วย ให้แยกเดี่ยวเขาเพื่อที่เขาจะได้ทบทวนตนเอง  ต่อมา ฉันไปสามัคคีธรรมกับเสี่ยวเล่ย และใช้พฤติกรรมที่เขามีมาตลอดเปิดโปงปัญหาของเขา  แต่ก่อนที่ฉันจะพูดจบด้วยซ้ำ เขาก็แข็งขืนและไม่พอใจ พูดว่าพี่น้องชายหญิงยอมลงทุนด้วยความเต็มใจ ว่าเขาไม่เกี่ยวด้วยเลย…  พฤติกรรมของเขาพิสูจน์ว่าเขาไม่สามารถยอมรับความจริงอะไรได้เลย และเขาเป็นพวกเดียวกับผู้ปราศจากความเชื่อ  ถ้าเขายังไม่แสดงการทบทวนหรือการกลับใจในช่วงที่แยกเดี่ยว เขาจะถูกเอาออกจากคริสตจักร  หลังจากปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ในใจฉันก็รู้สึกถึงความปลอดภัย สันติสุขและความชื่นบานเกินจะบรรยาย

หลังจากประสบการณ์นั้น ฉันเริ่มเข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง ฉันสามารถวางผลประโยชน์ของตนเองและปฏิบัติความจริง และฉันสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้เล็กน้อย  ทั้งหมดนี้คือความรอดของพระเจ้า  ฉันยังเห็นด้วยว่าพระนิเวศของพระเจ้าแตกต่างจากโลก  ความจริงปกครองในพระนิเวศของพระเจ้า  เมื่อพวกเราปฏิบัติความจริงและทำตัวตามหลักธรรม พวกเราก็จะได้รับพรและการทรงนำ

ก่อนหน้า: 83. ผลสืบเนื่องของการทำงานอย่างเอาแต่ใจ

ถัดไป: 85. ความทุกข์ทั้งหมดนั้นเพื่ออะไร?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger