71. ความเสียหายที่ทำลงไปด้วยการโอ้อวด

โดย รว่อหยู ประเทศสเปน

เมื่อสองสามปีก่อน ฉันทำหน้าที่รดน้ำอยู่กับพี่น้องชายหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเขากระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบเหลือเกิน พวกเขาได้รับการยกย่องจากผู้อื่นบ่อยๆ ซึ่งทำให้ฉันชื่นชมพวกเขามาก ฉันเคยหวังที่จะเป็นเหมือนพวกเขาในสักวันหนึ่ง และได้รับความเคารพเลื่อมใสจากผู้อื่น ต่อมาฉันถูกโยกย้ายไปที่คริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง ไม่นานนักผู้นำคนหนึ่งที่นั่นก็ถูกระบุว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ และถูกเปลี่ยนตัวเพราะไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรแทนที่เขา พี่น้องชายหญิงที่รู้จักฉันให้กำลังใจฉันว่า “พระเจ้าทรงยกชูคุณขึ้น คุณควรทะนุถนอมตำแหน่งนี้ไว้นะ” ฉันรู้ว่าหน้าที่นี้จะเป็นความรับผิดชอบครั้งใหญ่ และฉันรู้สึกว่านี่จะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ฉันจะได้พิสูจน์ตัวเอง หากฉันทำได้ดี ฉันก็จะได้รับความเคารพเลื่อมใสจากพี่น้องชายหญิง ฉันตั้งปณิธานอย่างเงียบๆ ว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำหน้าที่ให้ดี

หลังจากนั้นในทุกการชุมนุมกลุ่ม ฉันได้ชำแหละว่าผู้นำคนก่อนไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและพูดจาในเชิงลบบ่อยครั้งอย่างไร และทุกคนก็รู้สึกโกรธผู้นำคนนั้นขึ้นมาจริงๆ พอเห็นแบบนี้ ฉันจำต้องย้ำเตือนตัวเองบ่อยครั้งว่าตอนนี้พี่น้องชายหญิงสามารถดูผู้นำเทียมเท็จออกแล้ว และกำลังคาดหวังให้ฉันทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันจำต้องทำงานหนักและเพียรพยายามที่จะได้รับความเห็นชอบจากพวกเขา ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันจำต้องเป็นผู้มีความคิดริเริ่มที่สุดในคริสตจักรและพร้อมจะทนทุกข์มากกว่าใครอื่น และสามารถเสียสละมากกว่าใครอื่นด้วย ฉันจำต้องมีความเชื่อมากกว่าผู้อื่นเมื่อบททดสอบผ่านเข้ามา และไม่มองโลกในแง่ลบเมื่อพวกเขามองแบบนั้น ฉันต้องดีกว่าผู้อื่นในคริสตจักรในทุกด้านเพื่อที่ทุกคนจะร้องเพลงสรรเสริญฉันอยู่เสมอ เมื่อความคิดแบบนี้ครอบงำจิตใจ ฉันก็ทำตัวเองให้ยุ่งอยู่กับการชุมนุมกลุ่มทั้งหมดและเข้านอนดึกดื่นทุกวัน บางครั้งเมื่อพูดคุยกับคนอื่น ฉันก็จะจงใจพลั้งปากว่าฉันยุ่งกับงานของคริสตจักรขนาดไหน และฉันเข้านอนดึกเพียงใด พอพวกเขาได้ยินแบบนี้ พวกเขาก็คิดว่าฉันมีความรับผิดชอบมากและเต็มใจที่จะทนทุกข์เหลือเกิน และพร่ำบอกฉันให้ดูแลตัวเองอยู่เสมอ พวกเขายังให้ของขวัญแก่ฉันเป็นอาหารชั้นดีและเครื่องดื่มจากบ้านของพวกเขาอีกด้วย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาคนหนึ่งอยู่ในสภาวะที่เลวร้าย ฉันจะรีบรุดไปช่วยเหลือพวกเขา ไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นเช่นไร ในการชุมนุม ฉันบอกพี่น้องชายหญิงเรื่องคนนั้นคนนี้ที่รู้สึกเชิงลบมานาน แต่กลับมารู้สึกเชิงบวกอีกครั้งเมื่อฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขา จากนั้นทุกคนก็คิดว่าฉันนี้ช่างเปี่ยมรักและอดทนทั้งๆ ที่อายุยังน้อย ในการจัดการงานของคริสตจักร ทันทีที่มีคนที่อาจรับเชื่อโผล่มา ฉันจะรีบขอให้มัคนายกข่าวประเสริฐไปสามัคคีธรรมกับพวกเขา และบางครั้งฉันถึงกับไปให้คำพยานกับพวกเขาด้วยตัวเองด้วย งานข่าวประเสริฐเริ่มคืบหน้า และในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันบอกคนอื่นๆ ว่า “เห็นไหม ก่อนหน้านี้งานข่าวประเสริฐของพวกเราไม่ได้ดีอะไรมาก แต่ตอนนี้พวกเรามีผู้คนที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าทุกเดือน พวกเราต้องใช้ความพยายามมากขึ้นอีกนะ” แล้วพี่น้องชายหญิงก็รู้สึกว่างานข่าวประเสริฐได้รับการควบคุมดูแลตั้งแต่ฉันมาถึง และพวกเขาก็เคารพเลื่อมใสและชื่นชูฉันยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อฉันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ของฉันในการชุมนุมทั้งหลาย ฉันก็จะเน้นย้ำอย่างมากถึงบางรายที่เป็นการเข้าสู่เชิงบวก ฉันกลัวว่าหากฉันพูดเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของฉันมากเกินไป คนอื่นๆ ก็จะคิดว่าฉันอ่อนแอเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น และว่าฉันมีวุฒิภาวะน้อย และไม่เคารพเลื่อมใสในตัวฉันอีกต่อไป ดังนั้นฉันจึงพูดน้อยมากว่าฉันคิดลบหรืออ่อนแอเพียงใด หรือฉันเปิดเผยความเสื่อมทรามอย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าฉันแสวงหาความจริง ปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร และฉันทำหน้าที่ด้วยความเชื่อและมองเห็นการทรงนำของพระเจ้าอย่างไรนั้น ฉันพูดไปจนหมด โดยให้แน่ใจว่าฉันเล่ารายละเอียดเล็กน้อยทุกอย่าง เพราะว่าฉันสามัคคีธรรมแบบนี้มานาน คนอื่นจึงคิดว่าฉันเก่งมากในเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริง และคิดว่าฉันสามารถหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติพบเสมอ พวกเขาจะมาสามัคคีธรรมกับฉันเมื่อพบอุปสรรคต่างๆ

ผ่านไปสักพัก งานของคริสตจักรทุกด้านก็เริ่มคืบหน้า ความเชื่อของผู้คนเติบโต และมีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ต้องการทำหน้าที่ของพวกเขา พอเห็นความสำเร็จแบบนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนฉันเป็นเสาหลักของคริสตจักร ฉันเดินตัวตรงและพูดจาอย่างอาจหาญมากขึ้นในทุกที่ที่ฉันไป ฉันคิดว่าฉันทำหน้าที่ผู้นำคริสตจักรได้ดีเยี่ยม และคิดว่าฉันเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มาก เวลาทำงานร่วมกับผู้อื่น ฉันจะเป็นผู้นำเสมอ ฉันโอ้อวดเหมือนฉันดีกว่าพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะชื่นชมฉันและทำตามที่ฉันบอก มีครั้งหนึ่ง พวกเราต้องเช่าบ้านเพื่อใช้ชุมนุม มัคนายกที่เป็นพี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งจับคู่ทำงานด้วยกันกับฉันออกไปสำรวจบ้านหลังนั้น ฉันคิดว่า “ฉันควรได้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญแบบนี้สิ คุณจะอนุมัติโดยที่ฉันยังไม่ได้ไปดูด้วยตาตัวเองไม่ได้” ที่จริงแล้ว ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าพี่น้องชายคนนี้อายุมากกว่าและมีประสบการณ์มากกว่าฉัน และว่าเขาย่อมจะรู้ดีกว่าฉันว่าบ้านหลังนั้นใช้ได้หรือไม่ แต่ฉันกลับใช้สมองคิดอย่างหนักว่าจะแสดงให้เห็นได้อย่างไรว่าฉันฉลาดขนาดไหน ฉันคิดว่า “มีรายละเอียดและประเด็นอะไรอื่นอีกที่พวกเราควรพิจารณาเวลาเช่าบ้านสักหลังนะ” ฉันก็เลยยกคำถามบางข้อขึ้นมาแล้วให้พวกเขาไปหาข้อมูลเพิ่มขึ้น สุดท้ายก็พบปัญหาบางอย่างกับบ้านหลังนั้น แล้วพอบรรดาเพื่อนร่วมงานของฉันรู้เข้าก็พูดว่า “พวกเราละอายใจมาก พวกเราแก่กว่าคุณ แต่พวกเราไม่ได้พิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างระมัดระวังเท่าคุณ” ฉันรู้สึกพึงพอใจในตัวเองเหลือเกินเมื่อได้ยินแบบนี้ ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนก็มาหารือสิ่งต่างๆ และขอคำตอบจากฉัน เมื่อเวลาผ่านไป คนที่ฉันทำงานด้วยก็เริ่มเฉื่อยชาเล็กน้อย รอให้ฉันแสดงความเห็นไปเสียทุกเรื่อง พวกเขาเริ่มพึ่งพาฉันมากขึ้นเรื่อยๆ

ฉันค่อยๆ พบว่าชื่อเสียงของฉันในหมู่เพื่อนร่วมงานนั้นเป็นที่ยอมรับมากขึ้น และพบว่าฉันจำต้องได้สิทธิ์ตัดสินใจในทุกเรื่องของคริสตจักรไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เมื่อเจออุปสรรค พี่น้องชายหญิงจะขอการสามัคคีธรรมจากฉันทุกครั้ง ฉันรู้สึกว่าคริสตจักรขาดฉันไม่ได้ และบ่อยครั้งฉันรู้สึกหลงตัวเองเอามากๆ บางครั้งฉันก็จะคิดว่าคนที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสย่อมจะพบกับความโชคร้าย แล้วฉันก็จะรู้สึกไม่สบายใจและถามตัวเองว่า “ทุกคนเคารพเลื่อมใสในตัวฉันกันมากเหลือเกิน—นี่ฉันหลงผิดไปหรือเปล่า” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ฉันเป็นผู้นำนะ พี่น้องชายหญิงควรจะมาหาฉันเวลามีปัญหาสิ แล้วพวกเขาก็มีปัญหาบางอย่างที่ฉันช่วยพวกเขาแก้ไขได้ การที่พวกเขาพึ่งพาฉันก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา! ใครจะไม่ชอบอยู่กับคนที่ช่วยเหลือพวกเขาล่ะ” และดังนั้นฉันจึงเพิกเฉยต่อคำตำหนิและตักเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่สำรวจสภาวะของตัวฉันเองหรือเส้นทางที่ฉันเดินอยู่ แต่ฉันกลับเดินไปตามทางผิดๆ เส้นเดิมอยู่อย่างนั้น จนเมื่อพระเจ้าทรงสั่งสอนและบ่มวินัยฉันเท่านั้นที่หัวใจที่ด้านชาของฉันเริ่มจะตระหนักรู้

เมื่อฉันตื่นขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ฉันก็พบว่าฉันเจ็บตาข้างซ้ายมาก น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด แล้วพอฉันส่องกระจกดู ฉันก็พบว่าใบหน้าซีกซ้ายของฉันแข็งทื่อ ฉันปิดตาหรือขยับปากไม่ได้เลย ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ที่การชุมนุมในบ่ายวันนั้นพี่น้องหญิงคนหนึ่งตกใจมากเมื่อเห็นฉัน และบอกว่านี่คือการที่ใบหน้าเป็นอัมพาต และว่าฉันต้องไปรักษาทันที ถ้ารอช้า หน้าของฉันจะไม่กลับเป็นปกติอีกเลย ฉันใจหายจริงๆ แล้วก็คิดอะไรไม่ออกเลย ฉันเจ็บป่วยขนาดนี้ทั้งที่อายุยังน้อยได้อย่างไร ถ้าที่พี่น้องหญิงพูดเป็นความจริง และหน้าของฉันจะเบี้ยวอย่างนี้ตลอดไป แล้วฉันจะทำหน้าที่ของฉันได้อย่างไร ฉันจะสู้หน้าผู้คนได้อย่างไร ฉันมึนงงไปหมด แล้วในหัวใจของฉันก็เริ่มอ่อนแอ คนอื่นๆ พากันพูดถึงอาการป่วยของฉัน แต่ในหัวฉันกลับสับสนไปหมด ฉันไม่มีพละกำลังเหลือเลยสักนิด

วันนั้นฉันกลับบ้านอย่างใจลอย ฉันอยากอธิษฐานต่อพระเจ้า แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เท่าที่ฉันทำได้คือเฝ้าขอให้พระเจ้าทรงนำฉันให้เงียบเสียงหัวใจของฉันและแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วอยู่ๆ ฉันก็นึกถึงเพลงสรรเสริญที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การเริ่มต้นของอาการป่วยควรได้รับการผ่านประสบการณ์อย่างไร?  เจ้าควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและเสาะแสวงที่จะจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และตรวจสอบว่าอะไรกันแน่ที่เจ้าได้ทำผิดไป หรือว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดอยู่ภายในตัวเจ้าซึ่งเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้  เจ้าไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามโดยปราศจากความเจ็บปวดได้  ผู้คนต้องถูกกล่อมเกลาโดยความเจ็บปวด เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะหยุดเกเรและดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดเวลา  เมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ ผู้คนจะอธิษฐานเสมอ  จะไม่มีความคิดเรื่องอาหาร เสื้อผ้า หรือความสนุกสนาน ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาจะอธิษฐาน และตรวจสอบว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใดผิดบ้างหรือไม่ในระหว่างเวลานี้  ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผู้คนถูกรุมเร้าโดยโรคภัยไข้เจ็บรุนแรงหรืออาการป่วยที่ผิดปกติบางอย่าง และการนั้นเป็นเหตุให้พวกเขาได้รับความเจ็บปวดใหญ่หลวง สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ(“เจ้าต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเมื่ออาการป่วยซัดกระหน่ำ” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “การนั้นเป็นเหตุให้พวกเขาได้รับความเจ็บปวดใหญ่หลวง สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ”  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนัก ว่าอาการป่วยนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ น้ำพระทัยอันดีงามของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างแน่นอน และพระองค์กำลังบ่มวินัยฉัน ฉันจำต้องแสวงหาอย่างสุดจิตสุดใจและทบทวนตัวเองเพื่อคิดให้ออกว่าฉันได้ล่วงเกินพระเจ้าอย่างไร ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ตอนนี้ข้าพระองค์ป่วยและข้าพระองค์รู้ในหัวใจว่านี่คือการที่พระองค์ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ ว่าพระองค์กำลังใช้อาการป่วยนี้เพื่อเตือนข้าพระองค์และทำให้ข้าพระองค์ทบทวนตัวเอง แต่ตอนนี้ข้าพระองค์มึนชาไปหมด ข้าพระองค์ยังไม่รู้ปัญหาของตัวเอง ขอทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์เพื่อให้ข้าพระองค์เรียนรู้บทเรียนผ่านอาการป่วยนี้ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็คอยคิดถึงเรื่องนี้ แต่ก็นึกไม่ออกว่าฉันได้ล่วงเกินพระเจ้าอย่างไร ดังนั้นฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจอีกครั้ง และขอให้พระองค์ทรงนำฉัน ฉันอธิษฐานและแสวงหาแบบนี้อยู่สองสามวัน ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงรับฟังคำอธิษฐานของฉัน ไม่นานหลังจากนั้นพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ฉันมองเห็นปัญหาของฉันได้

วันหนึ่ง ฉันไปบ้านของพี่น้องหญิงจ้าวเพื่อฝังเข็ม ครอบครัวของเธอต่างถามฉันว่าเป็นอย่างไรบ้าง เกรงว่าฉันอาจจะรู้สึกหดหู่อยู่ ระหว่างการฝังเข็ม เธออ่านหลักธรรมเกี่ยวกับวิธีรับมือโรคภัย เธอบอกฉันว่าอย่ากังวล แต่ให้อธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้นและมีความเชื่อ และบอกว่าเมื่อได้รับการรักษา ฉันย่อมจะดีขึ้นในไม่ช้า แต่เพราะเธอพูดก่อนหน้านั้นว่าหากไม่รีบรักษา ใบหน้าของฉันอาจจะเบี้ยวตลอดไป ฉันจึงกลัวจริงๆ แต่พอเห็นเธอเป็นห่วงฉันมาก ฉันก็คิดว่า “ถ้าคนอื่นรู้ว่าจริงๆ แล้วฉันรู้สึกอย่างไร พวกเขาจะคิดว่าฉันมีวุฒิภาวะน้อยนิดหรือเปล่า เมื่อใดก็ตามที่มีใครเผชิญบททดสอบหรือป่วย ฉันก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงความจริงเกี่ยวกับความเชื่อ โดยที่ตัวฉันเองรู้สึกมีความเชื่อแรงกล้าเหลือเกินเช่นกัน แต่ตอนนี้ที่ฉันมาป่วยอย่างกะทันหันเช่นนี้ ฉันกลับแสดงให้เห็นว่าฉันขาดความเชื่อและแสดงความหวาดวิตกและความกลัวออกมา ทุกคนจะคิดว่าฉันแค่เทศนาหลักคำสอนมาตลอดหรือเปล่า” ดังนั้นฉันจึงยิ้มพลางพูดกับพี่น้องหญิงจ้าวว่า “พอฉันป่วยแบบนี้ ฉันก็รู้สึกอ่อนแออยู่บ้างจริงๆ แต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ความทุกข์ทางกายนี้ไม่เป็นไรหรอก ที่ฉันเจ็บปวดที่สุดก็คือฉันยังหาน้ำพระทัยของพระเจ้าไม่พบ หรือไม่รู้ว่าปัญหาของฉันคืออะไรต่างหาก ฉันกลุ้มใจที่คิดไม่ออกขนาดนี้” เธอมองฉันอย่างชื่นชมและพูดว่า “คุณป่วยแบบนี้ก็ควรทบทวนตัวเองอยู่ สำรวจและพยายามเข้าใจตัวเอง และรักษาไปด้วย คุณอาจจะล้มป่วยเพราะทำงานหนักมากมาตลอดก็ได้ คุณทำหน้าที่ตั้งแต่ย่ำรุ่งจนย่ำค่ำ และเราทุกคนก็เคารพในเรื่องนั้น แม้แต่ตอนนี้คุณก็ยังอยากไปทำหน้าที่อยู่เลย ผ่อนคลายบ้างเถอะ ฉันตำหนิพี่น้องหญิงที่ทำงานกับคุณไปเรื่องที่ไม่ทำงานส่วนของเธอ ฉันย้ำเตือนเธอแล้วว่าให้ตั้งใจกับงานของคริสตจักรมากขึ้น” พอเธอพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย ฉันจึงแก้ไขความเข้าใจของเธอว่า “ฉันไม่ใช่คนเดียวที่ทำงานของคริสตจักรหรอก อย่าชื่นชมฉันเกินไปเลย” วันนั้นฉันคิดระหว่างทางกลับบ้านว่า “เธอวิพากษ์วิจารณ์พี่น้องหญิงคนนั้นแบบนั้นเพราะฉันได้อย่างไรกันนะ ในสายตาของเธอ ฉันมีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่นๆ หรือ ฉันคงจะสรรเสริญตัวเองและลดความสำคัญของคนอื่นตลอดเวลาเลยสินะ” ฉันคิดถึงเรื่องที่ฉันเพิ่งจะซ่อนความอ่อนแอของฉันไว้จากพี่น้องหญิงจ้าว และแสร้งทำเป็นว่ามีความเชื่อแรงกล้ามาก ฉันไม่ได้หลอกลวงเธอหรอกหรือ ฉันกำลังนึกสงสัยในเรื่องนี้ตอนที่เห็นพี่น้องหญิงจางเดินมาหาฉัน เธอพูดกับฉันด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “คุณต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ หากอาการนี้ทำให้คุณล้มหมอนนอนเสื่อ พวกเราจะทำอย่างไรกัน” พอได้ยินเธอพูดตรงไปตรงมาแบบนี้ ฉันก็รู้สึกกลัวมาก ในขณะที่ฉันเดินต่อไป ฉันก็เฝ้าคิดถึงสิ่งที่เธอเพิ่งพูด ฉันเริ่มรู้สึกประหม่าในใจพลางคิดว่า “ฉันเป็นแค่ผู้นำคริสตจักรที่ไม่มีนัยสำคัญคนหนึ่ง ไม่มีฉัน คริสตจักรก็ดำเนินต่อไปได้สบาย แล้วเธอมาถามว่าพวกเธอจะทำอย่างไรถ้าไม่มีฉันได้อย่างไร การที่เธอพูดแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าฉันได้เข้าไปจับจองที่ในหัวใจของพวกเธอ หัวใจคือพระวิหารของพระเจ้า ดังนั้นหากฉันมีที่อยู่ในนั้น ฉันก็กำลังต่อต้านพระเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ” ฉันคิดถึงการที่ฉันต้องการการยอมรับและความชื่นชมจากผู้คนเสมอ แต่เมื่อฉันได้ยินพี่น้องหญิงคนนั้นพูดเช่นนั้น ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจและกลัว พี่น้องชายหญิงคนอื่นถูกฉันหลอกลวงด้วยหรือเปล่านะ ถ้าคนอื่นรู้สึกแบบเดียวกันกับพี่น้องหญิงจางละก็ นั่นแปลว่าฉันได้นำผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าฉันหรือเปล่า ฉันอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์! ฉันนึกถึงศัตรูของพระคริสต์บางคนที่ฉันเคยเห็นถูกขับไล่มาก่อน และรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง ฉันรู้สึกเหมือนฉันเพิ่งประสบภัยพิบัติครั้งใหญ่

เมื่อฉันถึงบ้าน ฉันก็หยิบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมา และอ่านบทตอนดังนี้ “ผู้คนที่มีธรรมชาติอันโอหังสามารถที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ต้านทานพระองค์ กระทำการทั้งหลายที่ตัดสินพระองค์และทรยศพระองค์ และทำสิ่งทั้งหลายที่ยกย่องตัวพวกเขาเอง และที่เป็นความพยายามที่จะสถาปนาราชอาณาจักรของพวกเขาเอง ลองสมมุติเพื่อประโยชน์ของการเสวนา หากผู้คนสองหมื่นคนในประเทศหนึ่งตอบรับที่จะไปทำงานที่นั่น และเจ้าก็ได้รับการจัดการเตรียมการให้ไปทำงานที่นั่น และเราได้ละเลยเจ้าเป็นเวลาหนึ่งเดือนและได้ยื่นสิทธิอำนาจให้เจ้ากระทำการโดยตัวเจ้าเองได้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ถึงสิบวัน เจ้าย่อมจะทำให้ตัวเจ้าเองเป็นที่รู้จักของทุกคน และภายในหนึ่งเดือน พวกเขาทั้งหมดคงจะคุกเข่าต่อหน้าเจ้า ขับร้องเพลงสรรเสริญเจ้าด้วยทุกคำพูด โดยกล่าวว่าเจ้านั้นประกาศอย่างเต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และกล่าวอ้างอย่างไม่ลดละว่าถ้อยคำของเจ้าคือสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมี และว่าเจ้าสามารถจัดเตรียมสิ่งที่พวกเขาพึงต้องมี—ทั้งหมดนั้นโดยที่ไม่เคยเปล่งคำว่า ‘พระเจ้า’ เลย เจ้าจะทำงานนี้จนแล้วเสร็จอย่างไร? การที่ผู้คนเหล่านี้สามารถมีปฏิกิริยาเช่นนั้นได้ ย่อมจะพิสูจน์ว่างานที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นคำพยานให้แก่พระเจ้าแต่อย่างใดเลย แต่กลับเป็นเพียงคำพยานให้ตัวเจ้าเองและเป็นการอวดตัวเจ้าเองเท่านั้น เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนั้นได้อย่างไร? ผู้คนบางคนพูดว่า ‘สิ่งที่ฉันสามัคคีธรรมคือความจริง แน่นอนว่าฉันไม่เคยให้การเป็นพยานแก่ตัวฉันเองเลย!’ ท่าทีนั้นของเจ้า—ลักษณะท่าทางนั้น—เป็นท่าทีของการพยายามที่จะสามัคคีธรรมกับผู้คนจากสถานภาพของพระเจ้า และนั่นไม่ใช่ท่าทีของการยืนในฐานะมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดคือการพูดแบบคุยโวและยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้อื่น ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตัวเจ้าเองเลย เพราะฉะนั้น ผลที่เจ้าจะสัมฤทธิ์ก็คือการให้ผู้คนสักการบูชาเจ้า อิจฉาริษยาเจ้า และสรรเสริญเจ้าจนกระทั่งในที่สุดแล้วพวกเขาทั้งหมดมีความรู้เกี่ยวกับเจ้า เป็นประจักษ์พยานให้เจ้า ยกย่องเจ้า และยกยอปอปั้นเจ้าเป็นการใหญ่ เมื่อการนั้นเกิดขึ้น เจ้าย่อมจะจบสิ้นแล้ว เจ้าย่อมจะล้มเหลวแล้ว! นี่ไม่ใช่เส้นทางที่พวกเจ้าทั้งหมดเดินอยู่ในตอนนี้หรอกหรือ? หากเจ้าถูกขอให้นำทางผู้คนสองสามพันคนหรือสองสามหมื่นคน เจ้าย่อมจะรู้สึกอิ่มเอมใจ และแล้วเจ้าก็จะเกิดความโอหังและเริ่มพยายามที่จะยึดครองตำแหน่งของพระเจ้า ผ่านทางการพูดและแสดงท่าทาง และเจ้าจะไม่รู้ว่าจะสวมใส่อะไร จะกินสิ่งใด หรือจะเดินอย่างไร เจ้าจะไม่พบปะบรรดาคนส่วนใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าเจ้า และเจ้าจะค่อยๆ เสื่อมสภาพ และถูกซัดโทษใส่เหมือนหัวหน้าเทวทูตไม่มีผิด พวกเจ้าทุกคนล้วนสามารถทำการนี้ใช่หรือไม่? ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าควรทำสิ่งใดเล่า? หากวันหนึ่ง มีการจัดการเตรียมการให้พวกเจ้าออกไปทำงานจริงๆ และพวกเจ้าสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วจะสามารถขยับขยายงานนั้นได้อย่างไร? นี่จะไม่ก่อปัญหาหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว ใครเล่าจะกล้าปล่อยพวกเจ้าไปที่นั่น? เมื่อเจ้าไปที่นั่น เจ้าคงจะไม่กลับมา เจ้าคงจะไม่สนใจสิ่งอันใดที่พระเจ้าตรัส และเจ้าคงจะแค่อวดตัวและเป็นคำพยานให้ตัวเจ้าเองเรื่อยไป ราวกับว่าเจ้ากำลังนำความรอดมาสู่ผู้คน ทำพระราชกิจของพระเจ้า และทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงปรากฏแล้วและทรงพระราชกิจอยู่ตรงนี้—และขณะที่ผู้คนสักการบูชาเจ้า เจ้าคงจะชื่นบานเป็นล้นพ้น และเจ้าคงจะถึงขั้นยินยอมหากพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าดั่งพระเจ้า ทันทีที่เจ้าไปถึงช่วงระยะนั้น เจ้าย่อมจะจบสิ้นแล้ว เจ้าจะกลายเป็นเศษเดน หากเจ้าไม่ตระหนักถึงการนั้น ธรรมชาติอันโอหังประเภทนี้ก็จะลงเอยเป็นความย่อยยับของเจ้า นี่คือตัวอย่างของบุคคลที่เดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนที่มาถึงจุดนี้ได้สูญเสียจิตสำนึกไปแล้ว การล่วงรู้ของพวกเขาได้หยุดทำงานไปแล้ว(“ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “บางคนใช้ตำแหน่งของพวกเขาให้คำพยานซ้ำๆ เกี่ยวกับตัวเอง คุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อผู้คนและสถานภาพ  พวกเขาใช้วิธีการและมาตรการสารพัดเพื่อทำให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา พยายามชนะใจผู้คนและควบคุมพวกเขาอยู่เป็นนิตย์  บางคนถึงกับเจตนาทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นพระเจ้า  พวกเขาคงจะไม่มีวันบอกใครสักคนว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้ว—บอกว่าพวกเขาก็เสื่อมทรามและโอหังเช่นกัน อย่าเคารพบูชาพวกเขาเลย และบอกว่าไม่สำคัญว่าพวกเขาทำดีเพียงใดก็ล้วนเป็นเพราะการยกย่องของพระเจ้าทั้งนั้น และบอกว่า ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็กำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำอยู่แล้ว  เหตุใดพวกเขาจึงไม่พูดสิ่งเหล่านี้เล่า?  เพราะพวกเขากลัวอย่างลึกล้ำที่จะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน  นี่คือสาเหตุที่ผู้คนเช่นนี้ไม่มีวันยกย่องพระเจ้า และไม่มีวันเป็นพยานต่อพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1)  “ทั้งหมดของพวกที่เดินลงเหวนั้น ล้วนยกย่องตัวพวกเขาเองและให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเอง  พวกเขาเที่ยวอวดตัวไปทั่วเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและคุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และพวกเขาไม่ได้นำพระเจ้าเข้าไปในหัวใจแต่อย่างใดเลย  พวกเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องที่เรากำลังพูดคุยอยู่บ้างหรือไม่?  ผู้คนมากมายกำลังให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองอยู่เป็นนิตย์ว่า ‘ข้าพเจ้าได้ทนทุกข์ในหนทางนี้หนทางนั้น ข้าพเจ้าได้ทำงานนี้งานนั้น พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อข้าพเจ้าในหนทางนี้หนทางนั้น พระองค์ทรงขอให้ข้าพเจ้าทำดังนี้ดังนั้น พระองค์ทรงพระดำริเกี่ยวกับข้าพเจ้าอย่างสูงส่งเป็นพิเศษ และตอนนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นดังนี้ดังนั้น’  พวกเขาจงใจพูดจาในกระแสเสียงเฉพาะอย่างหนึ่งและนำท่าทางเฉพาะอย่างหนึ่งมาใช้  ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนบางคนจบลงตรงความคิดที่ว่าผู้คนเหล่านี้คือพระเจ้า  ทันทีที่พวกเขาได้มาถึงจุดนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาไปนานแล้ว  แม้ว่าในระหว่างนั้น พวกเขาถูกเพิกเฉยและไม่ถูกขับไล่ แต่ชะตากรรมของพวกเขาถูกกำหนดแล้ว และทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือ รอคอยการลงโทษพวกเขา(“ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนดาบแทงใจฉัน ฉันเป็นเหมือนที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ ยกย่องตัวเองและโอ้อวดในหน้าที่ของฉันอยู่เสมอ ตั้งแต่ฉันมาเป็นผู้นำ ฉันก็คิดว่าการที่จะเป็นผู้นำนั้น ฉันต้องดีกว่าคนอื่นและมีวุฒิภาวะมากกว่า เพื่อให้ได้การยอมรับและความชื่นชมจากทุกคน เมื่อฉันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ของฉัน ฉันเสแสร้งและแทบไม่พูดถึงความอ่อนแอและความเสื่อมทรามของตัวเองเลย กลัวว่าคนอื่นจะไม่เคารพเลื่อมใสในตัวฉันถ้าพวกเขารู้ว่าฉันก็เสื่อมทรามพอๆ กับพวกเขา แม้แต่ตอนที่ฉันป่วย ฉันก็คิดลบและเริ่มตัดพ้อต่อว่า และรู้สึกกลัวมาก แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ ฉันจึงซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงและพูดถึงแต่เรื่องดีๆ เท่านั้นเพื่อที่คนอื่นจะได้ชื่นชูฉันยิ่งขึ้นไปอีก และคิดว่าฉันช่างเป็นคนคิดบวกและมีความเชื่อมากกว่าคนอื่นมากเพียงใด ในฐานะผู้นำ ฉันควรอยู่ทำงานดึกและทนทุกข์มากกว่าอยู่แล้ว แต่ฉันจงใจพลั้งปากบอกพี่น้องชายหญิงว่าฉันยุ่งขนาดไหน ว่าฉันอยู่ดึกขนาดไหนและฉันทำงานหนักขนาดไหนตลอดเวลา พวกเขาจะได้คิดว่าฉันช่างมีความรับผิดชอบและทำงานหนักเหลือเกิน ความสำเร็จที่ฉันมองเห็นในหน้าที่ของฉันนั้นเป็นเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างชัดเจน แต่ฉันไม่เคยยกย่องพระเจ้า แค่โอ้อวดว่าฉันได้ทนทุกข์และเสียสละมามากเพียงใด เพื่อให้ทุกคนคิดว่าฉันเป็นเสาหลักของคริสตจักร ราวกับว่าหากไม่มีฉัน ก็ย่อมทำอะไรไม่ได้เลย ฉันสามัคคีธรรมแบบนี้ หลอกลวงคนอื่นอยู่เสมอ ซึ่งนำไปสู่การที่ฉันถูกบ่มวินัยด้วยความเจ็บป่วยนี้ แต่คนอื่นๆ กลับเชื่อว่าฉันเจ็บป่วยเนื่องจากฉันทำงานหนัก และพี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยก็ถูกตำหนิว่าไม่ทำงานส่วนของเธอ อย่างกับว่าฉันแบกรับภาระที่หนักหนาที่สุดให้คริสตจักร ฉันยกย่องตัวเองและโอ้อวดด้วยวิธีนี้ หลอกลวงและกักขังคนอื่นไว้ในกรง และพาพวกเขามาอยู่เบื้องหน้าฉัน ฉันเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว เพื่อให้คนอื่นเคารพเลื่อมใสและชื่นชูฉัน ฉันใช้ทุกวิถีทางเพื่อโอ้อวดตัวเองและหลอกลวงคนอื่น ซึ่งพาให้พวกเขาพึ่งพาฉันจนไม่เหลือพื้นที่ให้พระเจ้าในหัวใจของพวกเขาเลย พวกเขาขอข้อคิดเห็นและความเห็นชอบจากฉันในทุกเรื่อง ฉันไม่ได้ปกครองเหมือนราชินีในคริสตจักรมาโดยตลอดหรอกหรือ คริสตจักรควรจะเป็นสถานที่นมัสการพระเจ้า ด้วยการยกย่องตัวฉันเองและนำคนอื่นๆ มาเบื้องหน้าฉัน ฉันไม่ได้กำลังพยายามแทนที่พระเจ้าแล้วเปลี่ยนพระองค์ให้เป็นประมุขแต่ในนามหรอกหรือ ฉันต่อต้านและทรยศพระเจ้าเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์มาตลอด ฉันได้กระทำบาปอันเลวร้ายของการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า! ตอนนั้นฉันรู้สึกตกใจกลัวมาก ฉันเจ็บป่วยเพราะทำให้พระเจ้าทรงเดือดดาล และตอนนี้พระองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ ฉันเกลียดตัวเองที่มึนชาและเป็นกบฏเหลือเกิน และมองเห็นว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการล่วงเกินเช่นไร ฉันทรุดตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและกลับใจว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ปีที่ผ่านมา ข้าพระองค์ไม่เคยรับใช้พระองค์เลย เอาแต่กระทำความชั่ว ข้าพระองค์ได้นำผู้คนมาเบื้องหน้าข้าพระองค์ แข่งขันกับพระองค์เพื่อชิงอำนาจควบคุม ข้าพระองค์ได้ทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์อย่างน่ารังเกียจและน่าละอายนัก ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ได้ทำผิดไปจริงๆ” ฉันที่ท่วมท้นไปด้วยความสำนึกเสียใจ รู้สึกละอายเกินกว่าจะเผชิญพระพักตร์พระเจ้า

แล้วฉันก็เริ่มคิดว่า “ฉันเดินทางผิดขนาดนี้ได้อย่างไรนะ อะไรกันแน่ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง  พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก  พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ  พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา?  หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน  พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา  นี่คือภาพลักษณ์อมตะของซาตาน  แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น  พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “ตั้งแต่ที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ธรรมชาติของพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยน และพวกเขาก็ค่อยๆ สูญเสียสำนึกรับรู้ของเหตุผลที่ผู้คนปกติครอง  ตอนนี้พวกเขาไม่ปฏิบัติตนในฐานะมนุษย์ในตำแหน่งของมนุษย์อีกต่อไป ทว่าพวกเขากลับปรารถนาที่จะข้ามผ่านสถานะของมนุษย์ และพวกเขาโหยหาบางสิ่งซึ่งสูงกว่าและยิ่งใหญ่กว่า  และอะไรเล่าที่เป็นบางสิ่งซึ่งสูงกว่านี้?  พวกเขาปรารถนาที่จะข้ามผ่านพระเจ้า ที่จะข้ามผ่านฟ้าสวรรค์ และที่จะข้ามผ่านอื่นใดทั้งหมด  สิ่งใดหรือที่อยู่ตรงรากเหง้าของเหตุผลที่ผู้คนได้กลายเป็นเช่นนี้?  เมื่อพิจารณาโดยรวมทั้งหมดแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์นั้นโอหังเกินไป…การสำแดงความโอหังคือการกบฏและการต้านทานพระเจ้า  เมื่อผู้คนโอหัง คิดว่าตนสำคัญ และคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะจัดตั้งราชอาณาจักรอิสระของพวกเขาเอง และทำสิ่งทั้งหลายไม่ว่าพวกเขาต้องการอย่างไร  พวกเขายังนำพาผู้อื่นมาอยู่ในมือของพวกเขาเองและดึงผู้อื่นเข้าสู่อ้อมกอดของพวกเขาด้วยเช่นกัน  การที่ผู้คนจะสามารถทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นได้ นั่นหมายความว่าแก่นแท้ของความโอหังของพวกเขาได้กลายเป็นแก่นแท้ของหัวหน้าเทวทูตไปแล้ว  เมื่อความโอหังและความคิดว่าตนสำคัญของพวกเขาไปถึงระดับเฉพาะหนึ่ง เมื่อนั้น นั่นย่อมกำหนดพิจารณาว่า พวกเขาคือหัวหน้าเทวทูตและจะละวางพระเจ้า  หากเจ้าครองอุปนิสัยอันโอหังเช่นนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของเจ้า(“ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการต้านทานพระเจ้าของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าให้ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นถึงแก่นแท้ของปัญหาของฉัน และฉันมองเห็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงยกย่องตัวเองและโอ้อวดในหน้าที่ของฉันอยู่เสมอ นี่เป็นเพราะธรรมชาติที่โอหังและทะนงตัวของฉัน เส้นทางที่ฉันเดินไปนั้นมันผิดมาตั้งแต่ต้น การยกย่องตัวเองและโอ้อวดในหน้าที่ของฉันทำให้ฉันเป็นเหมือนเปาโล เปาโลยกย่องและให้คำพยานแก่ตัวเองในขณะที่ทำงานของเขาเสมอ และในจดหมายของเขาไม่เคยสักครั้งที่เขาให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เขาเพียงแค่ให้คำพยานว่าเขาทนทุกข์และเสียสละมากแค่ไหน ถึงกับพูดว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์” (ฟีลิปปี 1:21) และ “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) เขาทำให้คนอื่นเชื่อว่าเขาคู่ควรกับมงกุฎและรางวัล ฉันได้เห็นว่าธรรมชาติของฉันเหมือนของเปาโล ฉันสุขสำราญกับการได้รับความเคารพเลื่อมใสและชื่นชู การมีผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง และการได้ยินผู้คนสรรเสริญฉันไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน ฉันแค่ต้องมีที่ในหัวใจของผู้คน อย่างที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ ฉันได้เห็นว่าธรรมชาติของฉันเต็มไปด้วย “ความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น” ฉันโอหังมากจนอยู่พ้นสำนึกใดๆ ฉันไม่สามารถสวมบทบาทสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและนมัสการพระเจ้า และไม่ได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างพระเจ้า แต่กลับให้เกียรติตัวเอง ฉันวางตัวเองในหน้าที่เพื่อให้ได้รับความเคารพเลื่อมใสและชื่นชู ซึ่งนำไปสู่การหลอกลวงพี่น้องชายหญิงของฉัน เมื่อปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็พึ่งพาฉันและให้ฉันทำการตัดสินใจเรื่องงานทั้งหมด ฉันนำผู้คนมาเบื้องหน้าฉันและตั้งราชอาณาจักรของฉันเอง พฤติกรรมเช่นนี้จะไม่กระตุ้นพระพิโรธของพระเจ้าและทำให้พระองค์ทรงเกลียดฉันได้อย่างไร ความเจ็บป่วยของฉันคือความชอบธรรมของพระเจ้า และฉันก็สมควรได้รับสำหรับการทำชั่วและการต่อต้านพระเจ้า ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงบ่มวินัยฉัน หยุดการกระทำชั่วของฉันในทันที

พอเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ข้าพระองค์จะตั้งใจปฏิบัติความจริงและละทิ้งเนื้อหนังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะตีแผ่ความเสื่อมทรามของข้าพระองค์เพื่อให้คนอื่นเห็นความน่าเกลียดของข้าพระองค์ เห็นข้าพระองค์อย่างที่เป็น และไม่ชื่นชูข้าพระองค์อีกต่อไป” ระหว่างการเฝ้าเดี่ยวในเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการเป็นคนซื่อสัตย์และเปิดเผย และเกี่ยวกับวิธียกย่องพระเจ้าและให้คำพยานต่อพระองค์ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตัดสินผู้คน การทดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น พวกเจ้าเคยเป็นผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้าที่สุด และมีความเอนเอียงที่จะนบนอบต่อพระองค์น้อยที่สุดแต่ บัดนี้เจ้าได้ถูกพิชิตแล้ว—จงอย่าลืมการนั้น เจ้าควรไตร่ตรองและคิดคำนึงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้มากขึ้น ครั้นผู้คนได้เข้าใจเรื่องเหล่านั้นอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็จะรู้ว่าจะเป็นคำพยานได้อย่างไร หาไม่แล้ว พวกเขาก็จะหมิ่นเหม่ที่จะกระทำการปฏิบัติตนแบบน่าละอายและไร้สำนึก(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “‘การบอกเล่าและเข้าสนิทประสบการณ์ทั้งหลาย’ หมายถึงการส่งเสียงแสดงทุกความคิดในหัวใจของเจ้า สภาวะความเป็นอยู่ของเจ้า ประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวเจ้า และจากนั้นก็ยอมให้คนอื่นหยั่งรู้สิ่งเหล่านั้น ยอมรับส่วนทั้งหลายที่เป็นด้านบวก และระลึกได้ว่าสิ่งไหนเป็นด้านลบ  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการบอกเล่า และมีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการเข้าสนิทอย่างแท้จริง(“การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่า เพื่อยกย่องและให้คำพยานต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง เราต้องพูดเกี่ยวกับความเสื่อมทรามและความกบฏของเรามากขึ้น ตีแผ่สภาวะและความคิดที่แท้จริงของเรา พูดเกี่ยวกับแรงจูงใจพื้นฐานของเรา สิ่งที่เราได้ทำลงไปและอะไรคือผลลัพธ์ และเกี่ยวกับว่าเราได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้าและมารู้จักตัวเองอย่างไร แล้วเราควรเปิดโปงและชำแหละแก่นแท้อันเสื่อมทรามของเราเพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นเราอย่างที่เราเป็น และพูดเกี่ยวกับว่าพระเจ้าได้ทรงสั่งสอนและบ่มวินัยเรา และจัดการเตรียมการสถานการณ์ต่างๆ เพื่อทรงนำเราอย่างไร เพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นความรักที่พระองค์ทรงมีให้มนุษย์ พวกเรายังต้องพูดจากหัวใจของเราอย่างแท้จริงและไม่คุยโวหรือโอ้อวดด้วย ในเมื่อตอนนี้ฉันมีวิถีปฏิบัติแล้ว ฉันจึงเปิดใจกับคนอื่นในการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ที่ผ่านมาทั้งหมดของฉัน ฉันชำแหละผลอันน่ากลัวที่ตามมาของการที่ฉันได้เดินบนเส้นทางนี้และหลอกลวงผู้คน และยิ่งฉันสามัคคีธรรมเรื่องนี้มากเท่าใด ฉันก็ยิ่งเห็นตัวเองชัดเจนขึ้นเท่านั้น หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็พูดว่าพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องพวกนี้เลย และว่าพวกเขาถูกถ้อยคำอันชาญฉลาดและการทำดีของฉันหลอกเสียสนิท พี่น้องหญิงคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเคยคิดว่าคุณปฏิบัติความจริงได้ยอดเยี่ยม ราวกับว่าคุณสามารถคิดบวกได้ตลอดด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าคุณเองก็เสื่อมทรามมาก ว่าคุณก็คิดลบและอ่อนแอมาตลอดด้วย และเห็นว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นเหมือนกันไปหมด เราไม่สามารถชื่นชูใครหรือชื่นชมใครมากเกินไปได้” พี่น้องหญิงอีกคนพูดว่า “ฉันเคยคิดว่าคุณเข้มแข็งจริงๆ และฉันไม่เคยอยากเปิดใจเลยเมื่ออยู่ใกล้คุณ ฉันเคยคิดว่าเทียบกับคุณแล้วฉันเสื่อมทรามเหลือเกิน! แต่มาวันนี้พอคุณเปิดอกพูดกับพวกเรา ฉันก็เห็นว่าพวกเรานั้นเป็นเหมือนกันหมด” พอได้ยินพี่น้องหญิงทั้งสองพูดแบบนี้ก็ทำให้ฉันละอายใจและสำนึกเสียใจอย่างมาก ฉันบอกพวกเธอว่า “อย่าเคารพเลื่อมใสฉันต่อไปเลย ฉันเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์และทำให้พวกคุณทุกคนเข้าใจผิดมาตลอด” จากนั้นบรรดาคนที่จับคู่ทำงานกับฉันและเพื่อนร่วมงานของฉันก็ใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อช่วยให้ฉันรู้จักตัวเอง แล้วฉันก็รู้สึกใกล้ชิดพวกเขาทุกคนมากขึ้นในทันที ฉันสบายใจขึ้นมากเมื่อกลับถึงบ้านในวันนั้น ค่ำวันนั้น ฉันเกือบลืมเรื่องอาการป่วยของตัวเองเสียสนิท และนอนหลับเหมือนทารก ฉันยินดีมากเมื่อตื่นมาในวันรุ่งขึ้นแล้วพบว่าใบหน้าของฉันกลับมาเป็นปกติ มันดีขึ้นในเวลาแค่คืนเดียวเท่านั้น!

ในการชุมนุมหลังจากนั้น ฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “โดยปกติธรรมดาแล้ว เมื่อมาถึงเรื่องของพวกที่มีเจตนาและวัตถุประสงค์ที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงพวกที่รักที่จะถูกผู้อื่นมองเห็น ผู้ที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะทำสิ่งทั้งหลาย ผู้ที่โน้มเอียงที่จะเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวาง ผู้ที่เก่งในการพ่นพล่ามคำสอนทางศาสนา ผู้ที่เป็นขี้ข้าของซาตาน และอื่นๆ—เมื่อผู้คนเหล่านี้แสดงจุดยืนออกมา พวกเขากลายเป็นความลำบากยากเย็นของคริสตจักร และนี่เป็นเหตุให้การกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าของบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่สูญเปล่า  เมื่อเจ้าเผชิญกับผู้คนที่เล่นละครเช่นนี้ จงยับยั้งพวกเขาในทันที  หากทั้งที่มีการตักเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นพวกเขาก็จะทนทุกข์กับความสูญเสีย  หากพวกที่ยืนกรานอย่างดื้อดึงในวิถีทางของตนเองนั้นพยายามแก้ต่างให้ตัวเอง และพยายามปกปิดบาปทั้งหลายของพวกเขา คริสตจักรก็ควรตัดพวกเขาออกในทันที และไม่เหลือที่ให้พวกเขาลงมือตามแผนการใด  อย่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย จงเปิดตาของเจ้ามองภาพรวม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 17)  พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยที่เห็นได้ชัดที่สุดของฉันตลอดปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ฉันมาเป็นผู้นำ ฉันสนุกกับการรับหน้าที่ผู้นำในทุกอย่างที่ฉันทำเสมอ ฉันโอ้อวดเหมือนฉันดีกว่าทุกคน เวลาหารือเรื่องงานกับผู้ร่วมงานของฉัน แม้ว่าพวกเขาจะมีความคิดของตัวเอง ฉันก็ต้องเป็นคนนำและคุยอวดความเห็นที่ “เหนือกว่า” ของฉันเสมอ ฉันดูเป็นคนทำงานเชิงรุกและคิดบวก แต่ในความเป็นจริงฉันแค่ต้องการให้ผู้คนมาชื่นชมฉันและอยากโอ้อวดในทุกอย่างที่ฉันทำ พอคิดเรื่องนี้ ฉันก็รู้ตัวว่าธรรมชาติที่โอหังของฉันได้ทำให้ฉันทำตัวน่าละอายยิ่ง คนอื่นๆ เคารพความเห็นของฉันและหารือสิ่งต่างๆ กับฉัน พวกเขาใช้ชีวิตตามความจริงความเป็นจริง พวกเขาไม่เผด็จการหรือโอหัง แต่ฉันกลับตีความเรื่องนี้ว่าฉันเก่งกว่าพวกเขา และต้องการทำตัวเหนือกว่าและแสดงให้เห็นว่าฉันดีกว่ามากขนาดไหนเสมอ ทั้งหมดนั้นน่าหัวร่อเหลือเกิน ฉันรู้สึกเหมือนเป็นจักรพรรดิในนิทานเรื่องฉลองพระองค์ใหม่ของจักรพรรดิ โดยที่ไม่ตระหนักรู้ตัวเองเลย ฉันไม่รู้ว่าฉันทำตัวน่าละอายเพียงใด แค่เอาแต่โอ้อวดทุกครั้งที่มีโอกาสเท่านั้น เมื่อคิดถึงพฤติกรรมของฉัน ฉันก็รู้สึกอับอายขายหน้า ฉันเคยคิดว่าฉันนั้นแสนวิเศษ เพราะฉันไม่เคยรู้จักตัวเองจริงๆ เลย ฉันรู้สึกกลัวเมื่อคิดถึงเส้นทางที่ฉันเดินอยู่ โดยเฉพาะเมื่อฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าว่าเมื่อเราเจอผู้คนที่มีแรงจูงใจผิดๆ ที่รักการโอ้อวด เราก็ควร “ยับยั้งพวกเขาในทันที” และหากพวกเขาไม่ทบทวนตัวเอง แต่อ้างโน่นอ้างนี่ “คริสตจักรก็ควรตัดพวกเขาออกในทันที” นี่แสดงให้เห็นความชอบธรรมและพระบารมีของพระเจ้า ฉันโอ้อวดทุกครั้งที่มีโอกาส และลงเอยด้วยการหลอกลวงพี่น้องชายหญิงและทำให้พวกเขาชื่นชูฉันยิ่งขึ้นไปอีก นี่ทำให้พวกเขาไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจเลย ฉันแอบเปลี่ยนคนที่ฉันทำงานด้วยให้เป็นหุ่นเชิด และพวกเขาก็ไม่ทำตัวให้มีความรับผิดชอบอีกต่อไป ฉันสร้างแต่ความเสียหายด้วยการวิ่งพล่านไปทั่วคริสตจักรโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด ขณะเดียวกันก็กลับคิดว่าตัวเองเป็นดาวรุ่ง หากพระเจ้าไม่ได้พิพากษาฉันอย่างเข้มงวดเช่นนั้น ฉันก็คงไม่มีทางรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองหรือเกี่ยวกับเส้นทางเดินผิดๆ ของฉัน หรือเรื่องที่ฉันอยู่บนเส้นทางที่ไม่มีทางย้อนกลับ เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ ทัศนคติของฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันเคยคิดว่าหากฉันเป็นคนมีความสามารถที่ผู้อื่นให้ความเคารพเลื่อมใส เช่นนั้นจะโอ้อวดสักเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดูทรงเกียรติด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้ฉันรู้ตัวแล้วว่าการโอ้อวดในทางที่น่ารังเกียจแบบนั้นเพื่อให้ผู้คนเคารพเลื่อมใสในตัวฉันเป็นการน่าละอาย ฉันได้รู้สึกว่าการไม่เข้าใจตัวเอง ไม่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และทำตามอุปนิสัยอันโอหังของฉันและโอ้อวดทุกครั้งที่มีโอกาสนั้นไร้ศักดิ์ศรีขนาดไหน คนที่มีความเป็นมนุษย์สามารถละทิ้งความโอหังของพวกเขาได้ เคารพพระเจ้า ประพฤติตัวอย่างเหมาะสม ทำหน้าที่อย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเป็นคำพยานให้แก่พระเจ้าทั้งทางคำพูดและการกระทำ ผู้คนแบบนี้ใช้ชีวิตอย่างมีสำนึกและมีศักดิ์ศรี

หลังจากนั้น ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนและรังเกียจเมื่อใดก็ตามที่ฉันโอ้อวดโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นฉันก็ตั้งใจเตือนตัวเองว่าฉันต้องเป็นคนจริงและไม่คุยโต ไม่ว่าฉันจะอยู่กับใครก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันต้องสามัคคีธรรมอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นและไม่โอ้อวด ก่อนที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประสบการณ์ของฉัน ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างมีสติ ขอให้พระองค์ทรงเฝ้ามองหัวใจของฉัน และทรงแก้ไขแรงจูงใจของฉันให้ถูกต้องเพื่อให้ฉันเป็นคำพยานแก่พระองค์มากขึ้น หลังจากสามัคคีธรรมแล้ว ฉันก็จะถามตัวเองว่าสิ่งที่ฉันพูดไปนั้นได้โอ้อวดในทางใดทางหนึ่งหรือไม่ บางครั้งฉันก็ค้นพบว่าสิ่งที่ฉันได้พูดไปนั้นมีการโอ้อวดเล็กน้อย ดังนั้นในครั้งต่อไปที่ฉันพบกับคนกลุ่มเดิม ฉันจะตีแผ่ตัวเองและวิเคราะห์พฤติกรรมครั้งก่อนของฉัน เพื่อที่ว่าพวกเขาทั้งหมดจะแยกแยะคำพูดของฉันออกและไม่หลับหูหลับตาชื่นชูฉัน หลังจากการสามัคคีธรรมแบบนี้ พี่น้องชายหญิงก็สามารถเห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของฉันและไม่เคารพเลื่อมใสในตัวฉันอีกต่อไป

เมื่อคิดย้อนไปถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น พระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ฉันกลับเดินบนทางของศัตรูของพระคริสต์เพื่อทำเรื่องของตัวเองและกลายเป็นศัตรูของพระองค์ ฉันติดค้างพระเจ้ามากเหลือเกิน ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงบ่มวินัยฉันด้วยความเจ็บป่วยนั้น ถ้าไม่มีการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระองค์ ฉันก็คงยังไม่รู้จักตัวเองสักนิดเดียว ฉันมักจะร้องเพลงสรรเสริญชื่อ จงรู้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความรัก แต่ฉันไม่เคยมีประสบการณ์จริงหรือความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ตอนนี้ฉันเกิดความรู้สึกอย่างแท้จริงว่าการพิพากษา การตีสอน และการบ่มวินัยของพระเจ้าคือความรักและความรอดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์! ฉันตื้นตันใจมากเมื่อใคร่ครวญความรักของพระเจ้า และเสียใจที่ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันบอกตัวเองว่าฉันต้องพยายามเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ในการชุมนุม ฉันจดจ่ออยู่กับวิธีที่ฉันสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าในแบบที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า เวลาอยู่กับเพื่อนร่วมงานของฉัน ฉันก็พยายามเป็นพิเศษที่จะเคารพและยืนยันความเห็นที่สอดคล้องกับความจริงของพวกเขา และฉันเลิกปิดปากพวกเขาและโอ้อวดเหมือนที่เคยทำ ฉันกับผู้ร่วมงานนั้นเสมอภาคกัน โดยไม่มีใครเป็นคนนำอีกต่อไป เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ทุกคนแสวงหาหลักปฏิบัติและนำมาปฏิบัติ ฉันสำนึกขอบคุณการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ที่ทำให้ฉันเข้าใจอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์และเริ่มเคารพพระองค์ ฉันเสาะแสวงที่จะสวมบทบาทสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในขณะที่รับใช้พระองค์ และทำหน้าที่ของฉันให้ดี ฉันขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงช่วยฉันให้รอด

ก่อนหน้า: 70. ไม่โอ้อวดอีกต่อไป

ถัดไป: 73. ความรอดของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger