หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (9)

หลักเกณฑ์สองประการสำหรับตัดสินว่าผู้นำและคนทำงานเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่

บัดนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานไปทั้งหมดแปดประการ และในเรื่องของหน้าที่รับผิดชอบแปดประการนี้ พวกเราได้ชำแหละการสำแดงนานาประการของผู้นำเทียมเท็จไปแล้ว  จากการชำแหละพวกเขาในหนทางนี้ บัดนี้พวกเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับผู้นำเทียมเท็จอยู่บ้างแล้วใช่หรือไม่?  หากเจ้าเป็นผู้นำ เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำสิ่งเหล่านี้ของผู้นำเทียมเท็จได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถปฏิบัติงานและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานอย่างมีสติ ตามหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปได้หรือไม่?  ผ่านสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ตอนนี้ในหัวใจของพวกเจ้าควรรู้แล้วว่า ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติงานของพวกเขาอย่างไร มีรายละเอียดใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานนี้ พวกเขาควรดำเนินงานอย่างไร และพวกเขาควรปฏิบัติการเป็นผู้นำและคนทำงานที่เป็นไปตามมาตรฐานอย่างไร  หากคนคนหนึ่งมีขีดความสามารถเพียงพอ หากพวกเขามีความสามารถในการทำงานอยู่ระดับหนึ่ง และพวกเขาก็แบกรับภาระ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรหลีกเลี่ยงการแสดงออกซึ่งการสำแดงเหล่านี้ของผู้นำเทียมเท็จได้  อย่างไรก็ตาม หากคนคนหนึ่งมีขีดความสามารถและมีความสามารถในการทำงานอยู่ระดับหนึ่ง แต่พวกเขาไม่แบกรับภาระ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถเป็นผู้นำที่เป็นไปตามมาตรฐานและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สำหรับพวกเขา การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก  สมมุติว่าผู้นำคนหนึ่งแบกรับภาระและความเป็นมนุษย์ของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติงานของตนอย่างไร  ไม่ว่าสามัคคีธรรมกับเขาอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะมีส่วนร่วมและดำเนินงานอันเจาะจงอย่างไร อีกทั้งไม่สามารถหาหลักธรรมและทิศทางได้  เขายังไม่รู้อีกด้วยว่าจะให้การชี้แนะกับงานหรือสายงานที่เจาะจงอย่างไร  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ผู้นำคนนี้ก็หาแก่นแท้ของปัญหาเหล่านั้นไม่เจอ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเฉื่อยชาและเชื่องช้าอย่างมากอยู่ตลอดเวลาในงานที่พวกเขาทำหรือในปัญหาใดก็ตามที่เขากำลังจัดการ  บุคคลเช่นนั้นจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่เป็นปัญหาประเภทใดหรือ?  ถึงแม้ว่าคนประเภทนี้จะกระตือรือร้นมาก แบกรับภาระ และต้องการปฏิบัติงานของตน ขีดความสามารถของพวกเขาก็ย่ำแย่เกินไป พวกเขาไม่มีความสามารถในการทำงาน และไม่สามารถแบกรับงาน หรือปฏิบัติงานอันเจาะจงหรือแก้ไขปัญหาอันเจาะจงได้ เวลามีส่วนร่วมในงานใดก็ตาม พวกเขาก็ได้แต่ทำไปให้พอพ้นตัว และพวกเขายังเป็นคนที่หัวทึบ มึนงง และเฉื่อยชาอย่างมาก  ผลก็คือเกิดประเด็นปัญหาขึ้นมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเริ่มจัดการปัญหาเหล่านั้นได้ พวกเขาไม่รู้ว่าปัญหาเหล่านั้นเกิดมาจากจุดไหน ไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขาจะรู้วิธีสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเลย และพวกเขาก็ไม่สามารถรายงานปัญหาเหล่านั้นต่อเบื้องบนและแสวงหาจากเบื้องบนได้เสียด้วยซ้ำ  ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และต่อให้พวกเขาจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้นำที่ดี—พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ

บัดนี้ เมื่อพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานทั้งแปดประการไปแล้ว พวกเจ้าย่อมสามารถคิดคำนิยามเบื้องต้นของผู้นำเทียมเท็จได้ใช่หรือไม่?  คนเราควรตัดสินอย่างไรว่าผู้นำคนหนึ่งกำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน หรือเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ?  ในระดับพื้นฐานที่สุด คนเราต้องดูว่าพวกเขาสามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้หรือไม่ พวกเขามีขึดความสามารถเช่นนี้หรือไม่  จากนั้น คนเราก็ควรดูว่าพวกเขามีภาระที่จะทำงานนี้ให้ดีหรือไม่  อย่าไปสนใจว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นฟังดูดีเพียงใดและพวกเขาดูเข้าใจหลักคำสอนมากแค่ไหน และอย่าไปสนใจว่าพวกเขามีพรสวรรค์และมีความสามารถพิเศษเพียงใดในยามที่จัดการกับเรื่องภายนอก—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดมากที่สุดคือพวกเขาสามารถดำเนินงานที่เป็นพื้นฐานที่สุดของคริสตจักรได้อย่างถูกควรหรือไม่ พวกเขาสามารถใช้ความจริงแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ และพวกเขาสามารถนำผู้คนไปสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่  นี่คืองานที่เป็นพื้นฐานและเป็นแก่นสำคัญมากที่สุด  หากพวกเขาไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขามีขีดความสามารถดีเพียงใด พวกเขาเก่งแค่ไหน หรือพวกเขาสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้มากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้นำเทียมเท็จ  คนบางคนกล่าวว่า “ตอนนี้ช่างเรื่องที่เขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารไปเถอะ  เขามีขีดความสามารถดีและเป็นคนมีความสามารถ  หากเขาฝึกฝนสักระยะหนึ่ง เขาจะต้องสามารถทำงานจริงได้แน่  อีกอย่างเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี และยังไม่ได้ทำชั่วหรือก่อการรบกวนและการขัดขวางเลย—คุณจะพูดว่าเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร?”  พวกเราจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร?  ไม่สำคัญว่าเจ้าเก่งแค่ไหน มีขีดความสามารถและมีการศึกษาในระดับไหน เจ้าสามารถกู่ก้องคำขวัญได้มากมายเพียงใด หรือเจ้าเข้าใจคำพูดและคำสอนมากมายแค่ไหน ไม่ว่าในแต่ละวันเจ้าจะยุ่งหรือเหนื่อยล้าเพียงใด หรือเจ้าเดินทางมาไกลแค่ไหน เจ้าไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรกี่แห่ง หรือเจ้าแบกรับความเสี่ยงและสู้ทนความทุกข์มากเพียงใด—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเลย  สิ่งที่สำคัญคือเจ้าปฏิบัติงานของตนตามการจัดการเตรียมงานหรือไม่ เจ้าดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นอย่างถูกต้องหรือไม่ ระหว่างการเป็นผู้นำของเจ้า เจ้าได้มีส่วนร่วมในงานอันเฉพาะเจาะจงทุกๆ งานที่เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่ เจ้าแก้ไขประเด็นปัญหาจริงไปแล้วกี่อย่าง มีคนที่มาเข้าใจหลักธรรมความจริงเพราะการเป็นผู้นำและการชี้แนะของเจ้ากี่คน และงานของคริสตจักรได้คืบหน้าและพัฒนาไปมากเพียงใด—สิ่งที่สำคัญก็คือ เจ้าสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้แล้วหรือยัง  ไม่ว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับงานอันเฉพาะเจาะจงงานใด สิ่งสำคัญก็คือเจ้าได้ติดตามผลและกำกับงานนั้นอย่างต่อเนื่องแทนการทำตัวสูงส่ง มีอำนาจ และออกคำสั่งหรือไม่  นอกจากเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกเช่นกันก็คือ ในขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของตนนั้นเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่ เจ้าสามารถจัดการกับเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรมได้หรือไม่ เจ้ามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่ และเจ้าสามารถจัดการและแก้ไขปัญหาจริงที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญได้หรือไม่  สิ่งเหล่านี้ รวมถึงสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ล้วนเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินว่าผู้นำหรือคนทำงานได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาหรือไม่  พวกเจ้าคิดว่าหลักเกณฑ์เหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงใช่หรือไม่?  และเป็นธรรมกับผู้คนใช่หรือไม่?  (ใช่)  หลักเกณฑ์เหล่านั้นเป็นธรรมกับทุกคน  ไม่ว่าการศึกษาของเจ้าอยู่ในระดับใด ไม่ว่าเจ้าเป็นคนหนุ่มสาวหรือแก่เฒ่า ไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี ไม่ว่าเจ้ามีอาวุโสแค่ไหน หรือเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมายเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สำคัญเลย  สิ่งสำคัญก็คือหลังจากได้รับเลือกเป็นผู้นำแล้ว เจ้าทำงานของคริสตจักรได้ดีเพียงใด เจ้ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในงานของตนเพียงใด อีกทั้งงานแต่ละชิ้นนั้นคืบหน้าไปอย่างเป็นระเบียบและเกิดผล และไม่ล่าช้าหรือไม่  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องหลักที่จะนำมาประเมินในยามที่มีการประเมินวัดว่าผู้นำหรือคนทำงานได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาหรือไม่

ผ่านสิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไป บัดนี้พวกเจ้าย่อมมีความเข้าใจและความรู้อันแจ่มแจ้งเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน รวมถึงคำพูดที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำนิยามและแก่นแท้ของผู้นำเทียมเท็จกันบ้างแล้ว  หลักเกณฑ์พื้นฐานที่สุดในการตัดสินว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่คือการดูว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติงานที่เป็นแก่นสารได้หรือไม่ จากนั้นก็ดูว่าที่จริงแล้ว พวกเขาทำงานจริงหรือไม่  นี่คือหลักเกณฑ์ที่สำคัญสองประการ หนึ่งคือคำถามที่ว่าพวกเขามีความสามารถหรือไม่ และอีกประการหนึ่งคือคำถามที่ว่าพวกเขาเต็มใจหรือไม่  พวกเจ้าจะจำสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ใช่ผู้นำ แล้วทำไมฉันถึงควรจำสิ่งเหล่านี้ให้ได้?”  ความเห็นเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  ผ่านการเข้าใจความจริงเหล่านี้ ในแง่มุมหนึ่งผู้คนย่อมสามารถมารู้จักตนเองได้ และอีกแง่มุมหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถมาแยกแยะผู้อื่นได้—สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่ผู้คนควรมีและเข้าใจ และการไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ย่อมจะไม่ได้การ  ก่อนอื่นเจ้าต้องประเมินว่าเจ้ามีขีดความสามารถและมีความสามารถที่จะเป็นผู้นำตามหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือไม่  หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นก็จงอย่าเอาแต่ต้องการที่จะเป็นผู้นำ  หากเจ้าไม่มีขีดความสามารถในการเป็นผู้นำแต่ยังต้องการที่จะเป็น เช่นนั้นก็ย่อมเป็นความมักใหญ่ใฝ่สูง ทันทีที่เจ้ากลายเป็นผู้นำ เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติงานที่เป็นแก่นสารได้ และเจ้าจะกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีขีดความสามารถดี ในบรรดาทุกคนฉันคือคนที่โดดเด่น ฉันมักจะคิดแนวคิดที่ดีบางอย่าง รวมถึงข้อเสนอแนะที่ดีและชาญฉลาดบางอย่างได้  ฉันเชี่ยวชาญในทุกเรื่องที่ทำ แถมฉันยังค่อนข้างมีความรู้ มีความเข้าใจเชิงลึก และมีประสบการณ์มาก  ทั้งหมดนี้หมายความว่าฉันสามารถเป็นผู้นำได้มิใช่หรือ?”  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรประเมินตนเองดูว่าเจ้ามีสำนึกแห่งหน้าที่รับผิดชอบและแบกรับภาระหรือไม่  หากเจ้ามีแต่ความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และมีเพียงความปรารถนาที่จะทำสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งมีความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างใหญ่หลวงแต่ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นต่อไปจนสำเร็จได้ และเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะทุ่มเทความพยายามและจ่ายราคาอย่างไร อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคาใดเลย—หากเจ้าต้องการให้สมองและหัวใจของเจ้าอยู่ในภาวะที่ผ่อนคลายอยู่เสมอ หากเจ้าชอบที่จะอยู่ว่างและไม่ถูกผูกมัด ชอบมีชีวิตที่สะดวกสบาย และไม่ชอบที่จะกังวลหรือมีชีวิตที่ยุ่ง ทั้งยังกลัวความเหนื่อยล้าและความยากลำบาก—เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ และเจ้าจะไม่สามารถแบกรับหรือปฏิบัติงานของการเป็นผู้นำได้เลย

ขณะนี้ พวกเราเพิ่งสรุปหลักเกณฑ์สองประการในการตัดสินว่าผู้นำคนหนึ่งเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ กล่าวคือ พวกเขามีความสามารถในการปฏิบัติงานที่เป็นแก่นสารหรือไม่ และพวกเขาทำงานที่เป็นแก่นสารหรือไม่  หากผู้คนเข้าใจหลักเกณฑ์สองประการนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ควรเข้าใจชัดเจนโดยสมบูรณ์ว่าพวกเขาสามารถเป็นผู้นำได้หรือไม่ รวมไปถึงพวกเขามีความสามารถที่จะทำงานของคริสตจักรให้ดี ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนอย่างครบถ้วน และเป็นคนที่ได้มาตรฐานของผู้นำหลังจากที่ได้เป็นหรือไม่  สำหรับผู้ที่รับหน้าที่ผู้นำและคนทำงานอยู่ในขณะนี้ ตอนนี้เจ้าได้มีเส้นทางและหลักธรรมบางอย่างในการประเมินวัดว่าเจ้าได้ทำงานที่เป็นแก่นสารและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานแล้วใช่หรือไม่?  ผ่านการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบแปดประการของผู้นำและคนทำงาน พวกเจ้าควรมีความสามารถที่จะประเมินว่าการสำแดงใดที่ผู้นำเทียมเท็จแสดงออกมา และสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติงานของพวกเขาอย่างไร รวมไปถึงจุดใดในงานของเจ้าที่ยังขาดตกบกพร่อง ดีไม่พอ หรือเฉพาะเจาะจงไม่พอ และเจ้าควรทำงานอย่างไรต่อจากนั้น—อย่างน้อยที่สุดเจ้าควรมีความเข้าใจเชิงลึกเหล่านี้  หากพวกเจ้าไม่มีข้อสรุปหรือความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องของวิธีเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือวิธีลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เช่นนั้นก็หมายความว่าขีดความสามารถของพวกเจ้ายังไม่ถึงงานนั้น  ยิ่งกว่านั้น หากพวกเจ้ารู้สึกสับสนอย่างที่สุดว่าจะแยกแยะผู้นำเทียมเท็จอย่างไร เช่นนั้นแล้ว นี่ยิ่งแสดงให้เห็นกว่าเดิมว่าขีดความสามารถของพวกเจ้านั้นย่ำแย่ นอกจากนี้ยังมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ มีบางคนที่ถึงแม้จะได้ฟังสามัคคีธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริงหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน คนที่ไม่ได้จริงจังหรือเก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย  พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่สนใจว่าใครจะเป็นผู้นำเทียมเท็จ  อย่างไรเสียถ้าฉันได้เป็นผู้นำ ฉันก็จะทำทุกอย่างที่เบื้องบนสั่งให้ฉันทำ  ฉันคงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามมากมายหรือใช้ความคิดมากมายนัก”  เมื่อพวกเขาฟังคำเทศนา พวกเขาก็ฟังแค่พอเป็นพิธีและฆ่าเวลา ทั้งยังรู้เพียงคร่าวๆ เท่านั้นว่าคำเทศนาเจาะจงพูดถึงเรื่องใด แต่พวกเขาเกียจคร้านเกินกว่าที่จะสรุปว่าความจริงและข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ข้อใดบ้างที่กำลังสามัคคีธรรมกันอยู่ และพวกเขาก็ไม่กระตือรืนร้นที่จะจำใส่ใจ  พวกเขาคิดว่า  “การแยกแยะเรื่องพวกนี้ยุ่งยากเกินไป  อย่างไรเสียฉันก็มีข้อกำหนดให้ตัวเองเพียงข้อเดียว นั่นคือการไม่ทำชั่ว ไม่ก่อการรบกวนและการขัดขวาง รวมถึงไม่ทำตัวโดดเด่นจากฝูงชน เท่านั้นก็พอแล้ว  เรียบง่ายจะตาย!  นี่เป็นหนทางอันยอดเยี่ยมในการใช้ชีวิต ฉันไม่ได้เรียกร้องจากตัวเองมากนัก”  ไม่ว่าพวกเขาฟังคำเทศนาอย่างไร นี่ก็เป็นแง่มุมเดียวของพวกเขา และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนพวกเขาได้ ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร ไม่ว่าเจ้าใช้วิธีการใดในการสามัคคีธรรม หรือไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมถึงสิ่งใด เจ้าก็ไม่สามารถจับหัวใจของพวกเขาได้ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจว่าตนเองจะฟังคำพูดเหล่านี้หรือไม่ เพราะสำหรับพวกเขาแล้วแทบไม่ต่างกันเลย  บุคคลประเภทนี้ใช้ชีวิตแค่พอผ่านไป ทั้งยังไม่จริงจังกับสิ่งใดทั้งสิ้น  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบแปดประการของผู้นำและคนทำงาน—ต่อให้พวกเราสามัคคีธรรมทั้งหมดทุกประการ พวกเขาก็จะยังคงไม่เข้าใจ และจะไม่สามารถสรุปหลักธรรมหรือเส้นทางใดได้  ผู้คนเช่นนี้ไม่รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขาไม่สนใจและไม่อาจรวบรวมเรี่ยวแรงขึ้นมาได้เมื่อเป็นเรื่องของความจริงหรือสิ่งใดก็ตามที่เป็นบวก และในทางกลับกัน พวกเขามีความสนใจระดับหนึ่งในการกิน การดื่ม และการแสวงหาความพึงพอใจ  จากการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบแปดประการของผู้นำและคนทำงาน ในแง่มุมหนึ่งพวกเราได้สรุปหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างของผู้นำและคนทำงาน รวมถึงวิธีปฏิบัติงานและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของคนเราในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน อีกแง่มุมหนึ่ง พวกเราได้สรุปการสำแดงอันเฉพาะเจาะจงบางอย่างที่ผู้นำเทียมเท็จแสดงออกมา  ขณะนี้พวกเราเพิ่งสรุปหลักธรรมเบื้องต้นสองประการ หลักเกณฑ์สองประการ สำหรับแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ หนึ่งคือดูว่าใครบางคนสามารถปฏิบัติงานที่เป็นแก่นสารได้หรือไม่ และอีกประการหนึ่งคือดูว่าเมื่อพวกเขาเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้ว โดยแท้แล้วพวกเขาทำงานที่เป็นแก่นสารหรือไม่  การใช้หลักเกณ์สองประการนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดและเรียบง่ายที่สุดในปัจจุบันเพื่อประเมินดูว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่

ประการที่เก้า: สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้การชี้แนะ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)

คำนิยามและรายการอันเจาะจงของการจัดการเตรียมงาน

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้การชี้แนะ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา”  เมื่อพิจารณาหน้าที่รับผิดชอบนี้โดยรวม สิ่งที่พึงให้ผู้นำและคนทำงานดำเนินการคืออะไร?  (การจัดการเตรียมงานอันหลากหลายของพระนิเวศของพระเจ้า)  ประเด็นหลักของหน้าที่รับผิดชอบนี้คือวิธีดำเนินการจัดการเตรียมงานอันหลากหลายของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่คืองานที่สำคัญที่สุดของผู้นำและคนทำงาน  ไม่ว่าคนเราเป็นผู้นำหรือคนทำงานในระดับใด ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน คนเราจะเผชิญกับการจัดการเตรียมงาน รวมไปถึงงานอันเจาะจงของการดำเนินการจัดการเตรียมงานอยู่เสมอ  การดำเนินการจัดการเตรียมงานอันหลากหลายนั้นเกี่ยวข้องกับงานของผู้นำและคนทำงานทุกๆ คน และนี่คืองานที่สำคัญมาก เฉพาะเจาะจงมาก และเป็นพื้นฐานอย่างมาก  เมื่อคำนึงจากจุดนี้ อันดับแรกจึงจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมโดยเจาะจงว่าการจัดการเตรียมงานคืออะไรมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วการจัดการเตรียมงานคืออะไร?  ขอบเขตและคำนิยามของการจัดการเตรียมงานเป็นอย่างไร?  บางคนกล่าวว่า “ขอบเขตของการจัดการเตรียมงานนั้นครอบคลุมแค่งานและเนื้อหาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  และการจัดการเตรียมงานก็เป็นแค่การจัดการเตรียมการและการแจกจ่ายงานและเนื้อหาเหล่านี้มิใช่หรือ?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำอธิบายนี้?  นี่ล้วนเป็นคำพูดและคำสอนมิใช่หรือ?  (ใช่ นี่ล้วนเป็นคำพูดและคำสอน)  แล้วคำว่า “คำพูดและคำสอน” หมายความว่าอย่างไร?  คำนี้หมายความว่า ถึงแม้ว่าคำอธิบายนี้จะไม่มีคำใดที่ฟังดูไม่ถูกต้อง แต่หลังจากที่ฟัง เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจคำอธิบายนี้ ราวกับว่าสิ่งนี้ยังไม่ได้รับการอธิบายแต่อย่างใดเลย  ก่อนอื่น พวกเรามานิยามการจัดการเตรียมงานในแง่ของคำอธิบายที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้คนสามารถมีแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการนี้ จะได้เข้าใจและรู้ว่าการจัดการเตรียมงานคืออะไรกันแน่กันเถิด  การจัดการเตรียมงานเป็นแผนการและข้อกำหนดอันเฉพาะเจาะจงที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่องานอันเจาะจงบางอย่าง สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสื่อสารและดำเนินการโดยผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังเป็นข้อกำหนด งาน และวิธีการสำหรับงานอันเจาะจงที่ถูกแจกจ่ายให้สมาชิกคริสตจักรทุกคน—นี่คือคำนิยามของการจัดการเตรียมงาน  แล้วการจัดการเตรียมงานครอบคลุมรายการใดบ้าง?  ทุกคนรู้จักคำนามว่า “รายการ” นี้ แต่ก็ควรมีเนื้อหาอันเจาะจงบางอย่างที่ครอบคลุมอยู่ภายในขอบเขตของรายการเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้ารู้จักเนื้อหาใดบ้าง?  (มีงานข่าวประเสริฐ และมีงานผลิตภาพยนตร์)  นั่นคือสองรายการ  (นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคริสตจักรและการจัดตั้งองค์กรฝ่ายปกครองของคริสตจักรด้วย)  มีงานอะไรอีก?  (มีงานของการชำระคริสตจักรให้สะอาด รวมไปถึงงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบการบริหารจัดการของคริสตจักร)  เนื้อหาอันเจาะจงของการจัดการเตรียมงานมีดังนี้ รายการที่หนึ่ง งานด้านการปกครองของคริสตจักร  นี่เป็นงานที่ใหญ่ที่สุด และหากงานด้านการปกครองไม่ดำเนินไปด้วยดี ก็ย่อมจะไม่มีงานของคริสตจักรเลย  รายการที่สอง งานด้านบุคลากร  นี่เป็นงานใหญ่  รายการที่สาม งานข่าวประเสริฐ  นี่ก็เป็นงานใหญ่เช่นเดียวกัน  รายการที่สี่ งานสายอาชีพหลากหลายประเภท  ขอบเขตของงานนี้ค่อนข้างกว้าง อีกทั้งเป็นงานที่รวมถึงการผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน การแปลภาษา ดนตรี การผลิตวีดิทัศน์ ศิลปะ และอื่นๆ  รายการที่ห้า ชีวิตคริสตจักร  รายการที่หก งานของการบริหารจัดการทรัพย์สิน  รายการที่เจ็ด งานของการชำระให้สะอาด  รายการที่แปด กิจธุระภายนอก  รายการที่เก้า สวัสดิการของคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น วิธีที่คริสตจักรแก้ไขความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นในบ้านของพี่น้องชายหญิง สิ่งที่คริสตจักรทำเกี่ยวกับความลำบากยากเย็นเหล่านั้น รวมไปถึงการเยี่ยมพี่น้องชายหญิงในเรือนจำ และการดูแลครอบครัวของคนเหล่านั้น เป็นต้น—ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้สวัสดิการของคริสตจักร  รายการที่สิบ แผนการฉุกเฉิน  บางครั้งคริสตจักรจะประกาศมาตรการฉุกเฉินบางอย่าง  ตัวอย่างเช่น ในตอนที่เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ คริสตจักรได้นำเอาระบบการแยกตัวที่สอดคล้องกันมาใช้  แผนการเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้แผนการฉุกเฉิน  โดยพื้นฐานแล้ว การจัดการเตรียมงานเกี่ยวข้องกับทั้งสิบรายการนี้  งานยิบย่อยอื่นๆ หรือรูปการณ์แวดล้อมพิเศษก็รวมอยู่ในสิบรายการนี้—โดยพื้นฐานแล้วงานของคริสตจักรเกี่ยวข้องกับสิบรายการที่สำคัญนี้  โดยแท้แล้ว สิ่งเหล่านี้คือขอบเขตของการจัดการเตรียมงานอันหลากหลายที่ถูกแจกจ่ายโดยพระนิเวศของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  บัดนี้เมื่อทั้งสิบรายการได้รับการยืนยันแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็ควรเข้าใจการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เล็กน้อย และรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นงานสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือขอบเขตของข้อกำหนดที่พระนิเวศของพระเจ้ามีในเรื่องของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  นัยของสิ่งนี้คือในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน ขอบเขตของงานและหน้าที่รับผิดชอบที่เจ้าต้องทำให้ลุล่วงนั้นไม่อาจหลุดไปจากรายการเหล่านี้ที่อยู่ในการจัดการเตรียมงานได้—รายการเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น  นอกจากงานเหล่านี้แล้ว ในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำ จงทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำได้ดีอยู่บ้าง และพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เพราะฉะนั้นขณะที่เจ้าปฏิบัติงานของตน เจ้าก็ควรใคร่ครวญดูว่าจะดำเนินงานเหล่านี้อย่างไร  ข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้าคืออะไร งานอันเฉพาะเจาะจงใดที่เจ้าต้องทำ เจ้าจะดำเนินงานดังกล่าวอย่างไร งานนั้นดำเนินการด้วยดีหรือไม่ ความคืบหน้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร เจ้าได้ติดตามงานดังกล่าวหรือไม่ มีงานรายการใดที่ยังไม่ได้ทำให้ดีหรือมีการเบี่ยงเบนและข้อตำหนิปรากฏอยู่ และทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานนั้น โดยแท้แล้วกำลังทำงานอยู่หรือไม่—เจ้าต้องใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ  บัดนี้เมื่อเจ้าเข้าใจรายการงานอันเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเตรียมงานแล้ว เราก็จำเป็นต้องมอบการอธิบายอันเรียบง่ายให้กับแต่ละรายการใช่หรือไม่?  หรือบางทีพวกเจ้าอาจจะคิดว่า “พวกเราทีส่วนในรายการงานเหล่านี้มาหลายปีแล้ว และพวกเราก็เข้าใจทั้งหมด ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้อีกครั้งเลย—โปรดทรงสามัคคีธรรมถึงบางสิ่งที่สำคัญแทนเถิด  หัวข้อนี้ไม่ได้สำคัญมากนัก แถมไม่สำคัญด้วยว่าพวกเราจะรู้เกี่ยวกับงานเหล่านี้หรือไม่ และพวกเราก็ไม่อยากฟังเรื่องนั้นด้วย”?  การอธิบายหัวข้อนี้เพิ่มเติมนั้นจำเป็นหรือไม่?  (จำเป็น)  ในเมื่อจำเป็น พวกเราก็มาพูดถึงเรื่องนี้แบบเรียบง่ายกันเถิด  เราจะเลือกบางรายการที่เจ้ายังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก รายการที่ไม่ค่อยเฉพาะเจาะจง ค่อนข้างเป็นรูปธรรม แล้วสามัคคีธรรมถึงรายการเหล่านั้น

I. งานด้านการปกครอง

พวกเรามาเริ่มต้นด้วยการสามัคคีธรรมถึงงานรายการแรกนั่นคืองานด้านการปกครองกันเถิด  งานด้านการปกครองค่อนข้างเป็นนามธรรมและไม่ได้เป็นรูปธรรมมากพอ และผู้คนมากมายก็ไม่เข้าใจงานนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาได้ไม่นานย่อมไม่รู้เกี่ยวกับการก่อตั้งคริสตจักรและงานด้านการปกครองของคริสตจักรจริงๆ อีกทั้งพวกเขาไม่รู้ว่าการปกครองคืออะไร  การปกครองนี้ไม่เหมือนกับกฎการปกครองที่พระเจ้าทรงประกาศ  โดยหลักแล้ว งานด้านการปกครองนี้เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดอันเจาะจงของพระนิเวศของพระเจ้าต่องานของการก่อตั้งคริสตจักร  แล้วข้อกำหนดอันเจาะจงเหล่านี้มีเนื้อหาอย่างไร?  เนื้อหาดังกล่าวรวมถึงวิธีการแบ่งคริสตจักร จำนวนคนในแต่ละคริสตจักร วิธีตั้งชื่อคริสตจักร เป็นต้น  ในการจัดการเตรียมงานกำหนดไว้ว่าคริสตจักรทั้งหลายต้องถูกแบ่งตามสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติ โดยให้มีคนราวสามสิบถึงห้าสิบคนอาศัยอยู่ค่อนข้างใกล้เคียงกันจึงจะถูกจัดว่าเป็นคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าในย่าน ก. มีหมู่บ้านอยู่ราวสามหรือสี่หมู่บ้าน หากหมู่บ้านเหล่านี้มีผู้เชื่อห้าสิบคน เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถถูกจัดว่าเป็นคริสตจักรได้  พวกเขาจะมีช่วงเวลาและสถานที่จัดการชุมนุมเป็นของตนเอง พวกเขาจะมีผู้นำคริสตจักรและมัคนายก รวมไปถึงมีงานอันเจาะจงของคริสตจักรที่ต้องทำ และทุกสิ่งจะถูกบริหารจัดการร่วมกันโดยคริสตจักรแห่งนี้  นี่คือข้อกำหนดในเรื่องของการแบ่งคริสตจักรและจำนวนสมาชิกในคริสตจักร  ขณะเดียวกัน คริสตจักรแห่งนี้จะอยู่ภายใต้หน้าที่รับผิดชอบของเขตใดเขตหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าคริสตจักรแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด และเขตนั้นจะรับผิดชอบงานทุกชิ้นในคริสตจักรแห่งนั้น อย่างเช่นชีวิตคริสตจักรที่นั่น ผู้นำและมัคนายกเป็นคนที่เหมาะสมหรือไม่ การแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้า การดำเนินการจัดการเตรียมงานอันหลากหลาย รวมถึงการสื่อสารข้อกำหนดของเบื้องบน เป็นต้น  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงสำหรับสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่น จำนวนคริสตจักรที่รวมกันเป็นหนึ่งเขต จำนวนเขตที่รวมกันเป็นหนึ่งภูมิภาค รวมถึงภูมิภาคที่รับผิดชอบเขตต่างๆ และเขตต่างๆ ที่รับผิดชอบคริสตจักรทั้งหลาย ซึ่งเป็นหน่วยบริหารปกครอง  หากกล่าวโดยง่าย สิ่งนี้เรียกว่างานด้านการปกครอง และงานนี้อยู่ในขอบเขตของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แล้วสิ่งใดคือหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำให้ลุล่วง?  พวกเขาต้องแบ่งคริสตจักรออกไปตามสถานที่และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติของคริสตจักรเหล่านั้นโดยอ้างอิงตามการจัดการเตรียมงาน  หากเวลาผ่านไปและจำนวนคนในคริสตจักรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เช่นนั้นคริสตจักรก็ควรถูกแบ่งอีกครั้งตามจำนวนของคนและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์  ตัวอย่างเช่น หากคริสตจักรโตขึ้นจากห้าสิบคนเป็นแปดสิบคน ก็ควรแบ่งออกเป็นสองคริสตจักร หากสองคริสตจักรนี้รวมกันแล้วโตขึ้นจากแปดสิบคนเป็นหนึ่งร้อยห้าสิบคน เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรเหล่านี้ก็ควรถูกแบ่งออกเป็นสามคริสตจักร  หากคริสตจักรเติบโตขึ้นจนมีสมาชิกเจ็ดสิบคน แปดสิบคน หรือหนึ่งร้อยคน และยังไม่ถูกแบ่งเป็นสองคริสตจักร เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรนี้ไม่เข้าใจงานด้านการปกครองของพระนิเวศของพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ในช่วงเวลาเช่นนี้ ผู้นำและคนทำงานควรอ่านการจัดการเตรียมงานในหัวข้อนี้—คู่มือของคริสตจักรในเรื่องการจัดการเตรียมงานนั้นมีข้อกำหนดอันเจาะจงเหล่านี้อยู่  หากคริสตจักรหนึ่งแห่งถูกแบ่งออกเป็นคริสตจักรใหม่สองแห่ง เช่นนั้นแล้ว แต่ละคริสตจักรก็ต้องเลือกผู้นำและคนทำงานที่จำเป็น อย่างเช่น ผู้นำคริสตจักร มัคนายก เป็นต้น  แล้วผู้นำและคนทำงานควรทำสิ่งใด?  พวกเขาควรรู้และเข้าใจจำนวนคนในคริสตจักรและสถานะการก่อตั้งของคริสตจักร  นี่คืองานด้านการปกครองของคริสตจักร ทั้งยังเป็นงานที่ใหญ่ที่สุด  ไม่ว่าที่ใดมีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือก ที่นั่นก็ควรมีคริสตจักร และเมื่อคริสตจักรถูกก่อตั้งขึ้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ต้องรับผิดชอบต่องานในทุกแง่มุมของคริสตจักรแห่งนั้น ตัวอย่างเช่นการแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้า การบริหารจัดการสมาชิกคริสตจักร การดำเนินการจัดการเตรียมงานเพื่อให้พวกเขารู้ว่าเนื้อหาของการจัดการเตรียมงานคืออะไร  โดยหลักแล้ว งานด้านการปกครองเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งคริสตจักร รวมไปถึงการก่อตั้งหน่วยงานและบุคลากรฝ่ายปกครองของคริสตจักร—สิ่งเหล่านี้เป็นงานอันเจาะจงที่อยู่ภายใต้งานด้านการปกครอง  โดยปกติแล้ว คนประเภทใดที่พบเจองานรายการนี้มากกว่ากัน?  คริสตจักรของผู้เชื่อใหม่ ฝ่ายข่าวประเสริฐ รวมไปถึงผู้นำระดับภูมิภาค ผู้นำระดับเขต และผู้นำคริสตจักรในพื้นที่ที่ข่าวประเสริฐเผยแผ่ไปถึง ล้วนพบเจอกับงานนี้มากกว่า  นอกจากนี้แล้ว งานด้านการปกครองยังรวมถึงงานพิเศษหนึ่งอย่าง ซึ่งก็คือการแยกคริสตจักรออกเป็นคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา คริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นบางเวลา คริสตจักรธรรมดาทั่วไป และกลุ่ม ข. และนี่คืองานอีกอย่างหนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานพึงกระทำ  ผู้นำและคนทำงานควรมีความเข้าใจถึงวิธีแยกคริสตจักร และหลักธรรมของการแยกคริสตจักรคือการแบ่งผู้คนออกเป็นคริสตจักรต่างๆ ตามความแตกต่างในหน้าที่ที่พวกเขาทำ แบ่งคนที่ทำหน้าที่ออกจากคนที่ไม่ทำหน้าที่ และแบ่งคนที่ทำหน้าที่ของพวกเขาเต็มเวลาออกจากคนที่ทำหน้าที่ของพวกเขาเป็นบางเวลา—นี่คืองานด้านการปกครองที่พิเศษและเฉพาะเจาะจงอีกประการหนึ่ง

II. งานด้านบุคลากร

รายการที่สอง งานด้านบุคลากร  งานในรายการนี้เกี่ยวข้องกับการคัดเลือก การแต่งตั้ง และการปลดผู้นำและคนทำงานทุกระดับ  การจัดการเตรียมงานได้มอบข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับระบบการคัดเลือก ผู้คนประเภทใดที่จะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำและคนทำงาน รวมถึงวิธีการและข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับการคัดเลือก  นอกจากนี้ก็ยังมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษ ตัวอย่างเช่น ควรทำอย่างไรหากพี่น้องชายหญิงเพิ่งเคยพบกันและยังไม่รู้จักกันและกันดี และไม่สามารถเลือกผู้นำและคนทำงานที่เหมาะสมผ่านการคัดเลือกได้?  ในกรณีนั้นย่อมสามารถส่งเสริมและแต่งตั้งผู้คนได้ ตรวจสอบว่าใครคือคนที่ค่อนข้างเหมาะสมกับการเป็นผู้นำ แล้วจากนั้นก็ทำความรู้จักคนเหล่านั้นให้มากขึ้น สามัคคีธรรม และดำเนินการตรวจสอบแบบเรียบง่าย หลังจากนั้นก็แต่งตั้งพวกเขาได้  มากไปกว่านั้น เมื่อเบื้องบนจัดการเตรียมการโครงการขนาดใหญ่ และแต่งตั้งผู้คนมากมายให้เป็นหัวหน้างาน นี่ก็เป็นการจัดการเตรียมงานพิเศษ  ยังมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอีกประการหนึ่ง นั่นคือ เมื่อใครบางคนเขียนรายงานถึงเบื้องบน อธิบายว่าผู้นำคนนั้นคนนี้ไม่ปฏิบัติงานที่เป็นแก่นสารและเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และหลังจากตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เบื้องบนก็ได้แจกจ่ายการจัดการเตรียมงานให้ปลดผู้นำที่ถูกรายงานคนนั้นออกจากตำแหน่งเสีย  นี่คือการจัดการเตรียมงานอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับงานด้านบุคลากร  สรุปก็คือ งานที่เกี่ยวกับบุคคลากรนั้นเกี่ยวข้องกับการคัดเลือก การแต่งตั้ง และการปลดผู้นำและคนทำงานทุกระดับในคริสตจักร  งานรายการนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ทั้งยังเป็นงานที่เข้าใจง่ายอีกด้วย

III. งานข่าวประเสริฐ

รายการที่สาม งานข่าวประเสริฐ  งานข่าวประเสริฐเป็นงานเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่สำคัญงานแรกต่อจากงานบริหารและงานบุคลากรในพระนิเวศของพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำการจัดการเตรียมงานมากมายอย่างต่อเนื่องสำหรับงานส่วนนี้ จัดการเตรียมงานเฉพาะในส่วนของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ขอบเขตทางภูมิศาสตร์สำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ รวมถึงหนทางและวิธีการประกาศข่าวประเสริฐ  ในขณะเดียวกัน พระนิเวศของพระเจ้าก็มีถ้อยแถลงเฉพาะในการจัดการเตรียมงานที่เกี่ยวกับหนังสือพระวจนะของพระเจ้า ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ รวมถึงรายการวาไรตี้ต่างๆ นานาที่ล้วนจำเป็นต่อการประกาศข่าวประเสริฐ ทั้งยังมีถ้อยแถลงการณ์เกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดที่พบได้ทั่วไป และคำถามที่พบบ่อยหลากหลายประเภทจากผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ  ถ้อยแถลงบางส่วนอาจจะไม่ถูกนำเสนออย่างเฉพาะเจาะจงเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็มีถ้อยแถลงมากมายที่ถูกนำเสนอผ่านการสามัคคีธรรมทางวาจาและการพูด  งานข่าวประเสริฐนั้นคืบหน้าและดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ และขณะที่งานนี้คืบหน้าไป พระนิเวศของพระเจ้าก็ได้วางการจัดการเตรียมงานและข้อกำหนดเฉพาะในเรื่องของประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นและเผชิญอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังได้ออกข้อกำหนดและงานเฉพาะบางอย่างแก่คนทำงานข่าวประเสริฐ มัคนายกข่าวประเสริฐ และผู้ดูแลงานข่าวประเสริฐอีกด้วย  ถึงแม้ว่าในระยะหลังนี้ พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ได้พูดถึงการจัดการเตรียมงานสำหรับงานข่าวประเสริฐมากนัก แต่ความจริงในแง่มุมนี้ก็ได้รับการสามัคคีธรรมในคริสตจักรเป็นประจำ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ข่าวประเสริฐเริ่มเผยแผ่ไปยังต่างประเทศ พระนิเวศของพระเจ้าก็ได้จัดการเตรียมงานเฉพาะสำหรับงานแปลภาษาในภาษาต่างๆ  นักแปลและคนทำงานข่าวประเสริฐที่คุ้นเคยกับภาษาต่างประเทศต่างๆ ก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้ความร่วมมือในงานประเภทนี้ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ประเภทเหล่านี้เป็นจำนวนมากเพื่อร่วมมือกันในงานข่าวประเสริฐ และการนี้สอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้า  สรุปก็คือ เบื้องบนคอยชี้แนะ ถามไถ่ ติดตาม และกำกับดูแลงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยตนเองอยู่เสมอ  ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบใดในงานนี้บ้าง?  การมีผู้ดูแลงานข่าวประเสริฐไม่ได้หมายความว่าผู้นำและคนทำงานจะสามารถปล่อยปละละเลยโดยสิ้นเชิง ไม่ใส่ใจงานนี้ ไม่ไถ่ถาม และเพียงแค่เพิกเฉยต่องานนี้ โดยคิดว่า “ปล่อยให้งานพัฒนาไปตามแต่ที่จะเป็นก็แล้วกัน  อย่างไรเสียงานนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน  ฉันรับผิดชอบชีวิตคริสตจักรและงานเชี่ยวชาญเฉพาะทางประเภทต่างๆ  หากงานข่าวประเสริฐเกิดปัญหา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน”  แบบนี้ใช้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่คือการทอดทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า  ในบรรดางานทั้งหมดของพระนิเวศของพระเจ้า งานที่สำคัญที่สุดที่ผู้นำและคนทำงานควรมุ่งเน้นคืองานข่าวประเสริฐ  เจ้าอาจจะไม่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานนี้โดยตรง แต่เจ้าก็ต้องไถ่ถามว่างานนี้พัฒนาไปมากแค่ไหนแล้ว และสถานะความคืบหน้าของงานนี้เป็นอย่างไร—เจ้าต้องติดตาม รับทราบ อีกทั้งเข้าใจและพร้อมจัดการสิ่งเหล่านี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของบุคลากรที่สำคัญบางคน อย่างเช่น ผู้ประกาศข่าวประเสริฐและผู้ให้น้ำในฝ่ายข่าวประเสริฐ รวมไปถึงผู้ดูแลงานข่าวประเสริฐ เจ้าต้องจัดการสถานการณ์ของพวกเขาให้ทันกาลเสมอ และหากมีปัญหาเกิดขึ้นกับบุคลากรเหล่านี้ เจ้าต้องแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างทันท่วงที—เจ้าไม่ควรวางมือจากงานนี้หลังจากที่ได้มอบหมายไปแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าต้องหมั่นตรวจสอบและกำกับผู้ประกาศข่าวประเสริฐทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ รวมไปถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในคริสตจักรและผู้ประกาศข่าวประเสริฐทางออนไลน์แนวหน้า และผู้ให้น้ำในแต่ละฝ่าย  การจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้กำหนดไว้นานแล้วว่าผู้ประกาศข่าวประเสริฐและผู้ให้น้ำทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนพิเศษ  การฝึกฝนพิเศษหมายถึงอะไร?  หมายถึงต้องแน่ใจว่าผู้ประกาศข่าวประเสริฐและผู้ให้น้ำมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงแห่งนิมิต และพวกเขาสามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  หากมีความจริงแห่งนิมิตในแง่มุมใดที่พวกเขายังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง เช่นนั้นก็ต้องสามัคคีธรรมถึงเรื่องนี้ให้บ่อยครั้ง และยิ่งผู้ประกาศข่าวประเสริฐกับผู้ให้น้ำเข้าใจละเอียดมากขึ้นเพียงใดก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานสำหรับเรื่องนี้อยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นงานที่เฉพาะเจาะจงและซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยงานมากมายที่แยกจากกัน  ต้องแน่ใจว่างานแต่ละงานดำเนินไปด้วยดีและมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด นี่เป็นพระบัญชาของพระเจ้า  งานแต่ละชิ้นต้องดำเนินไปด้วยดี และต้องมั่นใจว่าผลลัพธ์ของงานแต่ละงานพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง—มีเพียงการนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  งานที่ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางประเภทอื่นทั้งหมด เช่น การผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน ดนตรี ศิลปะ และการแปลภาษาล้วนมีอยู่เพื่อสนับสนุนและค้ำจุนงานข่าวประเสริฐ และงานข่าวประเสริฐก็เป็นงานแนวหน้าของงานทั้งปวง  เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่ทำหน้าที่ต่างๆ จึงต้องทำงานของตนเองให้ดีและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ดังที่พระเจ้าทรงกำหนด  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะมีส่วนร่วมในงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นี่เป็นเพราะงานที่ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางประเภทอื่นๆ เหล่านี้ล้วนมีอยู่เพื่อรับใช้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และงานทั้งหมดนี้ต้องมีงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นศูนย์กลาง รวมถึงให้การค้ำจุนงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างไม่มีสิ้นสุด  ทุกวันนี้ สื่อ ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการประกาศข่าวประเสริฐนั้นล้วนสร้างขึ้นด้วยความพยายามของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากมายที่อยู่เบื้องหลัง  ทุกสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ทำอยู่เบื้องหลังนั้นมอบการเกื้อหนุนที่ทรงพลังให้งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ในอดีต พระนิเวศของพระเจ้าไม่มีงานภาพยนตร์ประเภทต่างๆ ไม่ได้มีบทเพลงมากมาย และไม่มีวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์มากนัก  พระนิเวศของพระเจ้าพึ่งพาเพียงการสามัคคีธรรมอย่างต่อเนื่องของคนทำงานข่าวประเสริฐ  ถึงคนทำงานข่าวประเสริฐจะพูดจนคอแห้ง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะได้เห็นผลลัพธ์ที่เด่นชัด และการที่จะได้รับใครมาสักคนก็เป็นเรื่องลำบากยากเย็น  หลังจากคริสตจักรผลิตวีดิทัศน์ทุกรูปแบบ งานของฝ่ายข่าวประเสริฐก็ค่อนข้างเบาลง อีกทั้งง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก และประสิทธิภาพของงานก็เพิ่มมากขึ้น  บางคนมีความคิดดื้อรั้นและหัวโบราณ เมื่อเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงอย่างไรก็ไม่ได้ผล และพวกเขาก็ยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดของตน รวมทั้งไม่ยอมรับความจริง—เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าให้พวกเขาดูภาพยนตร์คำพยานข่าวประเสริฐสักหนึ่งหรือสองเรื่อง มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาจะก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลง แล้วพวกเขาก็จะเริ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อหนทางที่แท้จริง  เมื่อพวกเขามาแสวงหาอีกครั้ง พวกเขาย่อมไม่มีอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางอันใหญ่หลวงในหัวใจอีกต่อไป และเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาย่อมยอมรับได้อย่างง่ายดาย  นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนมากเมื่อเจ้าฉายภาพยนตร์ที่พระนิเวศของพระเจ้าผลิตให้ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐดู อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง หรือฉายวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ให้พวกเขาชม—การทำเช่นนี้มีประสิทธิผลมากกว่าการที่เจ้ากล่าวคำพูดมากมายกับพวกเขา  ไม่ว่าผู้ใดกำลังแสวงหาและตรวจสอบหนทางที่แท้จริงอยู่ก็ตาม อันดับแรก จงให้พวกเขาดูภาพยนตร์บางเรื่อง แล้วจากนั้นก็ให้พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมเพื่อเป็นการปูทางให้พวกเขา  หลังจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  การทำเช่นนี้ย่อมทำให้สิ่งทั้งหลายดำเนินไปอย่างราบรื่นขึ้นมาก  ทุกวันนี้ บรรดาผู้ที่กำลังตรวจสอบหนทางที่แท้จริงได้รับชมภาพยนตร์และวีดิทัศน์คำพยานมากมายที่ผลิตโดยพระนิเวศของพระเจ้าบนอินเทอร์เน็ต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย ก่อนที่พวกเขาจะมาแสวงหาและตรวจสอบ พวกเขาก็มีความรู้สึกที่ดีกับหนทางที่แท้จริงอยู่แล้ว และเบื้องต้นพวกเขาก็ตระหนักรู้แล้วว่านี่คือหนทางที่แท้จริง  พวกเจ้าได้ค้นพบสิ่งใดในเรื่องนี้บ้าง?  ภาพยนตร์เหล่านี้ วีดิทัศน์การอ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ วีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์เหล่านี้ วีดิทัศน์บทเพลงนมัสการ และอื่นๆ ที่พระนิเวศของพระเจ้าผลิตขึ้นมานั้นเป็นคำพยานให้พระเจ้าได้อย่างมีประสิทธิผลมาก!  ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายมากมายในการสามัคคีธรรมและโต้แย้งกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ เมื่อพวกเขาได้รับชมวีดิทัศน์เหล่านี้ พวกเขาย่อมสามารถยอมรับหนทางที่แท้จริงได้  นี่ประหยัดเวลาของผู้ประกาศข่าวประเสริฐไปได้มาก ทั้งยังแสดงให้เห็นว่า เบื้องหลังการประกาศข่าวประเสริฐมีการเกื้อหนุนที่ทรงพลังยิ่ง!  การประกาศข่าวประเสริฐมีทรัพยากรนานาประเภทอย่างเหลือล้น!  เมื่อผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐจำนวนมากตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าทางออนไลน์ พวกเขาย่อมรู้สึกประหลาดใจ เพราะบนเว็บไซต์ของพระนิเวศของพระเจ้ามีอะไรมากมายและอุดมไปด้วยเนื้อหาอย่างยิ่ง!  พระวจนะของพระเจ้ามีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ทุกรูปแบบมีอยู่อย่างเหลือเฟือ และมีคำพยานจากประสบการณ์อย่างอุดมสมบูรณ์และมีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับเจ้า  นี่คือผลลัพธ์จากพระราชกิจและการทรงชี้แนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริง!  ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพระราชกิจของพระเจ้าโดยแท้  ไม่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงและโลกศาสนาจะเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลและใส่ร้ายป้ายสีอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์เลย  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ ผลที่เก็บเกี่ยวจากงานทั้งปวงของพระนิเวศของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน และสิ่งเหล่านั้นคือข้อเท็จจริงที่สัมฤทธิ์โดยพระวจนะของพระเจ้า

ในงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร งานของพระนิเวศของพระเจ้าทุกงานล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระบบระเบียบมากและดำเนินการอย่างเป็นลำดับ  งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นงานระยะยาว ตรากตรำ และสำคัญอย่างยิ่งยวด  เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลหรือคนทำงานข่าวประเสริฐทั่วไป ก็ควรยืนยันความสำคัญของงานนี้ในหัวใจพวกเขา  ถึงแม้พวกเจ้าจะกำลังทำงานข่าวประเสริฐอยู่แนวหน้าและกำลังทำหน้าที่ของตน แต่แนวหลัง กล่าวคือ เบื้องหลังของพวกเจ้า มีพี่น้องชายหญิงมากมายที่กำลังทำงานสนับสนุนหลากหลายประเภท และพวกเขาคือกองกำลังที่เกื้อหนุนงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  การที่เรากล่าวเช่นนี้หมายถึงอะไร?  งานทั้งหมดของพระนิเวศของพระเจ้ามีการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นศูนย์กลาง และหน้าที่ที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนปฏิบัติก็เป็นการรับใช้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พี่น้องชายหญิงทุกคนที่ทำหน้าที่ต่างมีส่วนร่วมในงานข่าวประเสริฐ และงานทุกๆ งานก็เกี่ยวข้องกับงานข่าวประเสริฐอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้ง  สรุปก็คืองานทุกงาน รวมถึงงานข่าวประเสริฐเอง ต่างเป็นหน้าที่ที่ควรทำให้ดีเพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจของพระเจ้า งานทุกงานล้วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับงานที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้า  เรื่องนี้ถูกต้องแม่นยำโดยสมบูรณ์  ดังนั้นแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าจึงวางงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐไว้ในลำดับแรกของรายการงานทั้งหมด และเป็นงานหมายเลขหนึ่งในงานสารพัดอย่างของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมโดยแท้จริง  งานนี้เป็นงานสำคัญ ตรากตรำ และเป็นงานระยะยาว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกๆ คน ผู้ที่ติดตามพระเจ้าทุกๆ คนต้องมีความแข็งแกร่ง มีความอดทน และมีความเชื่อที่เพียงพอเพื่อตระเตรียมที่จะทำงานนี้ให้ดีและเพื่อต่อสู้ในการสู้รบอันยาวนานนี้  ไม่ว่าพวกเจ้าพากเพียรมาสิบปี ยี่สิบปี หรือสามสิบปี พวกเจ้าก็ต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้าเสมอ อุทิศชีวิตของพวกเจ้าและตลอดช่วงชีวิตของพวกเจ้าให้กับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อีกทั้งจงรักภักดีต่อพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง  นี่เป็นความรับผิดชอบสำคัญที่ผู้ติดตามพระเจ้าทุกๆ คนมีหน้าที่ต้องแบกรับ นี่คือหน้าที่ของทุกคน ทั้งยังเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่ทุกคนอีกด้วย

ผ่านการสามัคคีธรรมนี้ของเรา พวกเจ้าทุกคนย่อมเกิดความกระตือรือร้นในหัวใจ และเริ่มเห็นว่างานข่าวประเสริฐสำคัญแล้วใช่หรือไม่?  มีบางคนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า “ฉันไม่เข้าใจงานด้านเทคนิค ฉันแสดงไม่เป็นและฉันก็เป็นนักแสดงไม่ได้ และพื้นฐานการใช้คำของฉันก็ไม่แข็งแรง ฉันจึงไม่รู้ว่าจะเขียนบทความอย่างไร ฉันไม่เข้าใจดนตรีและยิ่งไม่รู้เรื่องศิลปะ  เพราะฉันไม่เก่งเรื่องไหนเลย ฉันจึงได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ฝ่ายข่าวประเสริฐ  ฝ่ายข่าวประเสริฐก็เทียบได้กับชั้นวางด้านหลังที่ถูกลืมในพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  แล้วในเมื่อฉันถูกส่งไปอยู่บนชั้นวางด้านหลังที่ถูกลืม ฉันยังจะมีหวังที่จะได้รับความรอดอยู่ไหม?”  การนี้เป็นเช่นนี้หรือ?  หากเจ้าเข้าใจสถานการณ์นี้เช่นนั้นจริงๆ เจ้าก็เข้าใจพระเจ้าผิดเสียแล้ว การประกาศข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ทุกๆ คนจำเป็นต้องทำ  หากเจ้าไม่ถนัดเรื่องไหนและไม่เข้าใจงานด้านเทคนิค และเจ้าทำได้เพียงการประกาศข่าวประเสริฐ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะได้รับการจัดการเตรียมการให้ไปทำหน้าที่ของเจ้าในฝ่ายข่าวประเสริฐ  นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า และการนี้ก็เพื่อรับรองว่าเจ้าไม่ได้เป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งที่เสียเปล่า ทั้งยังสามารถถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะมนุษย์ได้ในระดับสูงสุด  เจ้าไม่ถนัดด้านใดเลย ทั้งยังหัวทึบในทุกอย่างที่ทำ แต่เจ้าสามารถทำหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐได้ดี และต่อให้เจ้าถูกขอให้ไปมองหาผู้รับข่าวประเสริฐ เจ้าก็สามารถทำงานนี้อย่างถ่อมตน และส่งผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐที่เจ้าพบให้กับผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้  ในเวลาเดียวกัน เจ้าสามารถเรียนรู้วิธีประกาศพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปทีละน้อย และนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  นี่คือหน้าที่ของเจ้ามิใช่หรือ?  คนอื่นๆ เกิดผลลัพธ์บางอย่างผ่านการมีส่วนร่วมในงานข้อเขียน งานผลิตภาพยนตร์ และงานประเภทอื่นๆ แต่เจ้าไม่รู้วิธีทำสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งไม่ได้มีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ใดๆ แต่เจ้าอุทิศเรี่ยวแรงของเจ้าให้งานข่าวประเสริฐ ทุ่มเททั้งหมดที่มีและลุล่วงหน้าที่ของเจ้า ทั้งยังแบกรับพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้ สิ่งเหล่านี้คือความประพฤติดีมิใช่หรือ?  นี่ก็เป็นความประพฤติดีเช่นกัน และพระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งเหล่านี้  การนี้ทำให้คำกล่าวที่ว่า ในหน้าที่ที่ผู้คนทำนั้นไม่มีการแบ่งแยกว่าใครสูงส่งหรือใครต่ำต้อย สิ่งสำคัญหนึ่งเดียวคือการที่เจ้าจงรักภักดีในหน้าที่ของตน และการที่เจ้าทำหน้าที่นั้นอย่างได้มาตรฐานหรือไม่  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เจ้าจึงถูกขอให้ไปประกาศข่าวประเสริฐ—การนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ที่พอจะเป็นไปได้เป็นสิ่งสุดท้ายของเจ้า ภายใต้สภาพการณ์ที่เจ้าไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่อื่นได้  เจ้าได้รับโอกาสและความหวังเสี้ยวหนึ่งผ่านเรื่องนี้  เจ้าไม่ได้ถูกพรากสิทธิ์ในการทำหน้าที่ของตน  พระเจ้ายังทรงมีพระบัญชาให้แก่เจ้า และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงมีอคติต่อเจ้า  เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ฝ่ายข่าวประเสริฐจึงไม่ได้ถูกส่งไปอยู่บนชั้นวางด้านหลังที่ถูกลืม และพวกเขาก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง กลับกัน พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนในส่วนที่ต่างออกไป  จากการสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานสำหรับงานข่าวประเสริฐ บัดนี้พวกเจ้าย่อมมองงานข่าวประเสริฐในทางที่ดี และไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานนี้อีกต่อไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วเจ้าจะรู้สึกลำพองใจกับหน้าที่นี้หรือไม่?  ไม่ว่าผู้คนทำหน้าที่ใด ข้อกำหนดที่พระเจ้ามีต่อพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขามีความจงรักภักดีและความจริงใจ  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันจะสงบเสงี่ยม ฉันจะไม่รู้สึกลำพองใจ ฉันแค่ทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ทำ” แต่เจ้าไม่มีความจงรักภักดี ไม่มีความจริงใจ เช่นนั้นก็ย่อมจะใช้ไม่ได้  ไม่ว่าเจ้าตีความงานข่าวประเสริฐอย่างไร ไม่ว่าในกรณีใด หากเจ้าเกิดมีความจงรักภักดีและความจริงใจ เช่นนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็ย่อมจะได้มาตรฐาน  ไม่ว่าเจ้ามองหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐดีเพียงใดหรือมีท่าทีที่เป็นบวกต่อหน้าที่นี้แค่ไหน หากเจ้าไม่สามารถสู้ทนความยากลำบาก ทั้งยังไม่มีควาทรหดอดทนและไม่มีความจงรักดี เช่นนั้นแล้ว นั่นก็ย่อมจะใช้ไม่ได้เช่นกัน  เพราะฉะนั้น ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าถูกจัดไปอยู่ที่ใด ในเวลาหรือสถานที่ใด ติดต่อกับใครหรือทำหน้าที่อะไร  พระเจ้าจะทรงเห็นเจ้าและทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของเจ้าเสมอ  อย่าคิดว่าเพราะเจ้าเป็นสมาชิกฝ่ายข่าวประเสริฐที่พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเจ้าหรือทรงมองไม่เห็นเจ้า แล้วเจ้าจะสามารถทำตามใจตนเองได้  และอย่าคิดว่าหากเจ้าได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ฝ่ายข่าวประเสริฐ เจ้าก็ไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไป แล้วปฏิบัติต่อหน้าที่นี้ด้วยความคิดลบ  วิธีคิดทั้งสองแบบนี้ต่างเป็นวิธีคิดที่ผิด  ไม่ว่าเจ้าถูกจัดไปอยู่ตรงไหนหรือได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ใด นี่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ และเจ้าควรทำสิ่งนี้อย่างแข็งขันและมีความรับผิดชอบ  ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้านั้นไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเจ้าก็ควรนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าอย่างไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน  สถานะของคนที่ทำงานข่าวประเสริฐกับคนที่ทำหน้าที่อื่นๆ นั้นเหมือนกัน คุณค่าของคนคนหนึ่งไม่ได้วัดจากหน้าที่ที่พวกเขาทำ แต่วัดจากการที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่  นี่คือทั้งหมดที่เราจะสามัคคีธรรมในเรื่องของงานข่าวประเสริฐ อันเป็นงานเฉพาะทางที่ใหญ่นี้

IV. งานในสายอาชีพหลากหลายประเภท

รายการที่สี่ งานในสายอาชีพหลากหลายประเภท  สิ่งนี้รวมถึงการผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน ดนตรี ศิลปะ การแปลภาษา เป็นต้น  บางคนกล่าวว่า “คนทำชุดอย่างพวกเราก็เกี่ยวข้องกับงานผลิตภาพยนตร์เหมือนกัน  การทำชุดถือว่าเป็นงานประเภทหนึ่งไหม?”  การทำชุดอยู่ในงานประเภทผลิตภาพยนตร์และดนตรี นี่คืองานสนับสนุนประเภทหนึ่งที่ทำงานร่วมกันกับงานประเภทเหล่านี้  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงเกี่ยวกับข้อกำหนดเฉพาะสำหรับงานสายอาชีพเหล่านี้ในทุกช่วงระยะ  บางคนสื่อสารผ่านการเขียน และบางคนสื่อสารทางคำพูดผ่านสามัคคีธรรมที่การชุมนุม  ไม่ว่าพวกเขาจะสื่อสารอย่างไร ผู้นำและคนทำงานก็ควรแบกรับความรับผิดชอบให้พวกเขา  บันทึกข้อกำหนดเฉพาะที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดสำหรับงานนี้และเรียบเรียงบันทึกเหล่านี้ จากนั้นก็สามัคคีธรรมให้เป็นรูปธรรม และดำเนินการอย่างเฉพาะเจาะจง  งานนี้ก็เป็นงานใหญ่ และเป็นงานเฉพาะทางรองมาจากงานข่าวประเสริฐ  สำหรับงานเฉพาะทางนี้ พระนิเวศของพระเจ้าประสงค์ให้บุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพอันหลากหลายทุกคนศึกษาหาความรู้ทางสายอาชีพอันเกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหาข้อมูลเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า  ขณะเดียวกันพระนิเวศของพระเจ้าก็สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริง และมอบแผนการที่ชัดเจนสำหรับงานในสายอาชีพหลากหลายประเภทอย่างสม่ำเสมอ  บางครั้งงานเหล่านี้ถูกสามัคคีธรรมกับผู้ดูแลและสมาชิกในฝ่ายโดยพร้อมเพรียงกัน และบางครั้งก็มีการสามัคคีธรรมงานเหล่านี้เพื่อตอบคำถามแก่ผู้นำ คนทำงาน และผู้ดูแลที่รับผิดชอบงานนี้เท่านั้น  ไม่ว่างานเหล่านี้จะถูกสื่อสารและสามัคคีธรรมผ่านการเขียนหรือผ่านการชุมนุม อย่างไรก็ตาม งานเหล่านี้ก็ได้รับการปรับปรุงและทำให้ได้มาตรฐานอยู่เป็นนิจ ทั้งยังมีการจัดการเตรียมการเฉพาะอยู่ตลอดตามความจำเป็นของงานข่าวประเสริฐ  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าพระนิเวศของพระเจ้าผลิตภาพยนตร์เรื่องหนึ่งซึ่งมีแก่นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ และภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถ่ายทำด้วยความเป็นมืออาชีพอย่างมาก  หลังจากถูกอัปโหลดไปบนโลกออนไลน์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีอัตราการกดเข้าชมที่สูงทีเดียว  ในสถานการณ์เช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้าย่อมสร้างข้อกำหนดที่เจาะจงต่องานประเภทนี้ โดยอ้างอิงตามกระแสตอบรับและความจำเป็นของงานข่าวประเสริฐ  สรุปก็คือ งานในส่วนนี้มีการสรุปความและได้รับการปรับปรุงอยู่ตลอด ทั้งยังเป็นงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สำหรับงานในสายอาชีพหลากหลายประเภท การจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้านั้นต้องการให้ผู้คนศึกษาเพิ่มเติม และหาครูบาอาจารย์ รวมถึงเรียนรู้จากแหล่งข้อมูลและสื่อการสอนนานาประเภท  ยกตัวอย่างการร้องเพลง การหาอาจารย์มาสอนและให้พวกเขาฝึกการใช้เสียงก็เป็นการจัดการเตรียมงานเฉพาะด้านเช่นเดียวกัน  เมื่อได้ยินการจัดการเตรียมการนี้แล้ว ผู้นำและคนทำงานควรหาอาจารย์ที่เหมาะสมกับงานนี้ตามข้อกำหนดของเบื้องบน และให้อาจารย์เหล่านี้ติวให้นักร้องของพวกเรา ด้วยการช่วยให้นักร้องได้ศึกษาความรู้ที่ถูกต้องเรื่องดนตรีขับร้องและวิธีการร้องเพลงที่ถูกต้อง และแน่นอนว่าต้องหาผลงานชิ้นเอกเพื่อนำมาศึกษา  สำหรับการแต่งเพลงและการขับร้องประสานเสียงนั้นต้องศึกษาความรู้ในสายอาชีพอยู่เสมอ และการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าก็มักกำหนดให้ผู้คนศึกษาความรู้ในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของตน รวมถึงเรียนรู้การใช้วิธีการขั้นสูงและปฏิบัติได้จริงบางอย่างอยู่สม่ำเสมอ เป็นต้น  การจัดการเตรียมงานและข้อกำหนดเหล่านี้ไม่ได้แจกจ่ายออกไปแล้วก็จบ แต่กลับกัน ผู้นำและคนทำงานพึงต้องสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานเหล่านี้อยู่เป็นประจำ ชี้แนะบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานในสายอาชีพ เปิดโอกาสให้พวกเขาศึกษาต่อไป และเพียรพยายามที่จะทำให้งานในสายอาชีพทุกประเภทพัฒนาขึ้นและลึกขึ้นอย่างต่อเนื่องและได้ผล ไม่หยุดอยู่กับที่  บางคนคิดว่า “พวกเราได้รับแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานมาวันนี้ ดังนั้นพวกเราก็แค่ต้องปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นในเดือนนี้ และจบลงเท่านั้น  หากเบื้องบนไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกในอนาคต พวกเราอาจจะไม่ต้องปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นต่อไปก็ได้”  เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่?  (ไม่จริง)  ผู้นำและคนทำงานห้ามคิดเช่นนี้โดยเด็ดขาด แต่ควรหมั่นสอบถามอยู่เป็นครั้งคราวว่า “คุณศึกษาสายอาชีพนี้ไปถึงไหนแล้ว?  คุณเจอความยากลำบากอะไรไหม?  มีอะไรที่ขัดแย้งหรือไม่ลงรอยกับหลักธรรมบ้างหรือเปล่า?  ใครศึกษาได้ดีที่สุด ใครมีทักษะมากที่สุด และใครมีพัฒนาการในสิ่งนี้เร็วที่สุด?  เมื่อได้ศึกษาทฤษฎีเหล่านี้แล้ว คุณได้เรียนรู้อะไรที่คิดว่าเหมาะจะนำไปใช้กับงานของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?”  นอกจากนี้ ผู้นำและคนทำงานต้องถามบรรดาผู้คนในฝ่ายข่าวประเสริฐที่กำลังศึกษาภาษาต่างประเทศ อย่างเช่น “คุณเรียนภาษาต่างประเทศนี้มากี่ปีแล้ว?  ช่วงนี้การเรียนของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?  คุณสามารถพูดบทสนทนาในชีวิตประจำวันได้กี่ประโยค?  คุณสามารถแปลคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณทั่วไปได้หรือไม่?  คุณสามารถใช้ภาษานี้เพื่อสื่อสารความจริงที่เกี่ยวข้องกับการประกาศข่าวประเสริฐได้หรือไม่?  ทุกวันนี้คุณพูดหรือเขียนได้ดีกว่ากัน?  คุณต้องการอาจารย์มาช่วยสอนหรือไม่?  มีใครที่เหมาะสมและมีทักษะในการเรียนภาษาต่างประเทศมากกว่าหรือไม่?  บุคคลากรประเภทนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่?  มีใครรู้สึกว่าการเรียนภาษานั้นวุ่นวายและยากเกินไปจนไม่อยากเรียนต่อไปแล้ว อีกทั้งล้มเลิกกลางคัน และอยากสลับไปทำอีกหน้าที่หนึ่งหรือไม่?”  เรื่องที่เจาะจงเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับงานประเภทนี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องสอบถามและกำกับดูแลอยู่เป็นครั้งคราว  ในเมื่อเบื้องบนได้กระทำการจัดการเตรียมงานอย่างเจาะจงมาแล้ว ผู้ดูแลก็ควรรับผิดชอบงานที่เจาะจงเหล่านี้ไปจนถึงปลายทาง  จงอย่ารอเฉยให้เบื้องบนเป็นผู้สอบถาม หากเบื้องบนไม่สอบถามเรื่องใดเลยเป็นเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปี เจ้าก็ควรที่จะยังทำงานทุกอย่างให้ดี ทำอย่างสุดความสามารถของเจ้า และพร้อมยอมรับการตรวจสอบและการกำกับจากเบื้องบนอยู่ตลอดเวลา—นี่คือชุดความคิดที่ถูกต้อง  นี่เป็นเพราะการจัดการเตรียมงานนั้นถูกสื่อสารและแจกจ่ายออกไปแล้ว และเจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบในการติดตามงานในฐานะผู้ดูแลงานดังกล่าว ดังนั้นเจ้าก็ควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นพวกไร้ประโยชน์ และเจ้าก็ควรถูกปลดและถูกกำจัดออกไป  ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานจึงควรใคร่ครวญและสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานหรือการสามัคคีธรรมอันเจาะจงจากเบื้องบนเหล่านี้อยู่เป็นประจำ จากนั้นก็ดำเนินการและติดตามงานไปตามสถานการณ์  พวกเขาควรดูว่า ในช่วงนี้พวกเขาละเลยและไม่ได้ตรวจสอบงานประเภทใดมานานแล้ว และงานใดที่ตัวพวกเขาเองไม่ถนัดมากนัก ทั้งยังไม่ได้ไถ่ถามเลยในช่วงนี้ จนทำให้พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับสถานะในปัจจุบันของใครคนหนึ่งไป แล้วไปตรวจดูสิ่งเหล่านั้นเสีย  นอกจากนี้ในแง่ของงานในสายอาชีพหลากหลายประเภท พระนิเวศของพระเจ้ายังมีการจัดการเตรียมการเฉพาะอีกประการหนึ่ง นั่นคือ พระนิเวศของพระเจ้าต้องการให้หาตัวบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่เกี่ยวข้องให้เจอ บ่มเพาะ และส่งเสริมพวกเขาอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้นแล้ว เมื่อผู้นำและคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงานนี้มา พวกเขาควรทำอย่างไร?  พวกเขาต้องเอาใจใส่ว่ามีใครเหมาะจะทำงานประเภทนี้หรือไม่  หากใครบางคนเหมาะที่จะทำงานประเภทนี้ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับอาชีพทางเทคนิคนี้มากนัก เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องได้รับการบ่มเพาะ และจัดการเตรียมการให้ไปศึกษาและฝึกฝนในเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว  สรุปก็คือ งานในสายอาชีพหลากหลายประเภทก็เป็นงานที่สำคัญเช่นเดียวกัน  งานนี้ประกอบด้วยสิ่งมากมายหลายอย่าง และขอบเขตของงานนี้ก็กว้างมาก รวมถึงพระนิเวศของพระเจ้าได้ทำการจัดการเตรียมงานอันเฉพาะเจาะจงมากมายให้กับงานนี้  สิ่งที่จำเป็นสำหรับงานนี้คือการหมั่นศึกษา สรุปความ และเข้าใจให้ลึกซึ้งมากขึ้นอยู่เป็นนิจ อีกทั้งต้องหาหลักธรรมที่เหมาะสมในการดำเนินการให้ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ก็ต้องบ่มเพาะผู้ที่มีความสามารถพิเศษ ที่เหมาะสมกับการทำหน้าที่เหล่านี้อยู่เป็นนิจ  นี่คือการจัดการเตรียมงานสำหรับงานสำคัญอย่างงานในสายอาชีพหลากหลายประเภท และสิ่งนี้ก็ง่ายต่อการเข้าใจเช่นกัน

V. ชีวิตคริสตจักร

รายการที่ห้า ชีวิตคริสตจักร  พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำการจัดการเตรียมงานและข้อกำหนดที่เจาะจงสำหรับเนื้อหาที่จะกินและดื่มระหว่างชีวิตคริสตจักร รูปแบบของชีวิตคริสตจักร และจำนวนคนที่ใช้ชีวิตคริสตจักร  นอกจากนี้พระนิเวศของพระเจ้ายังมีการจัดการเตรียมงานที่สอดคล้องกับรูปแบบการชุมนุมและเนื้อหาของชีวิตคริสตจักรภายใต้รูปการณ์แวดล้อมและสถานการณ์พิเศษ  โดยส่วนใหญ่ การจัดการเตรียมงานเหล่านี้ถูกจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร  การจัดการเตรียมงานสำหรับชีวิตคริสตจักรของผู้มาใหม่ในประเทศต่างๆ—รูปแบบและความถี่ในการชุมนุมของพวกเขา รวมไปถึงเนื้อหาที่พวกเขากินและดื่มระหว่างการชุมนุม และอื่นๆ—โดยพื้นฐานแล้ว เหมือนกับการจัดการเตรียมงานสำหรับชีวิตคริสตจักรของชาวจีน นอกจากสภาพการณ์เฉพาะบางอย่าง  เราเพิ่งสรุปภาพรวมของการจัดการเตรียมงานที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตคริสตจักรให้เจ้าฟัง—สิ่งนี้หมายรวมถึงทั้งเนื้อหาพระวจนะของพระเจ้าที่ใช้กินดื่ม และเนื้อหาในการสามัคคีธรรมความจริงในการชุมนุมในช่วงระยะนี้ กับรูปแบบการสามัคคีธรรมในการชุมนุม  ตัวอย่างเช่น ห้ามคนใดคนหนึ่งครอบงำการสามัคคีธรรมในการชุมนุม ระยะเวลาสูงสุดที่แต่ละคนได้รับอนุญาตให้สามัคคีธรรม วิธีปฏิบัติและจัดการกับคนที่พูดจาเยิ่นเย้อและแสดงออกอย่างไม่ชัดเจน เป็นต้น—ในการจัดการเตรียมงานมีถ้อยแถลงเฉพาะสำหรับเรื่องที่เจาะจงทั้งหมดนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตคริสตจักรและการชุมนุม  ในแง่หนึ่ง ผู้นำและคนทำงานรับผิดชอบการแจกจ่ายและสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ และในอีกแง่หนึ่ง พวกเขารับผิดชอบการสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานเหล่านี้กับพี่น้องชายหญิงให้ชัดเจน ทำให้สมาชิกทุกคนของคริสตจักรเข้าใจและยอมรับการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็แค่ต้องดำเนินการและปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้อย่างเคร่งครัด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มักจะออกนอกเรื่อง ทำให้เกิดการขัดขวาง พูดวาจาและคำสอน รวมถึงตะโกนคำขวัญเวลาพูดในการชุมนุมต้องถูกจำกัดห้าม และในการจัดการเตรียมงานก็มีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับสภาพการณ์พิเศษเหล่านี้ด้วย  โดยหลักแล้ว การจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับชีวิตคริสตจักรนั้นสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม สิ่งเหล่านี้ไม่ซับซ้อน ทั้งยังแสนเรียบง่าย และไม่ว่าคนคนหนึ่งทำหน้าที่ใด เขาก็แค่ต้องปฏิบัติตามหลักธรรมในการจัดการเตรียมงานเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น ในการชุมนุม ฝ่ายข่าวประเสริฐเพียงต้องปฏิบัติตามหลักธรรมในการจัดการเตรียมงานที่เกี่ยวกับชีวิตคริสตจักร—เรื่องเหล่านี้ไม่มีอะไรพิเศษ  ฝ่ายอื่นๆ ก็แค่ปฏิบัติงานที่ต่างไปจากผู้อื่น แต่ในสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่น การชุมนุม การสามัคคีธรรมความจริง การอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า และการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ส่วนบุคคล ทุกอย่างเหมือนกันหมด—ไม่ได้เกินไปจากขอบเขตนี้เลย  พวกเขาเพียงต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดปัจจุบันของพระนิเวศของพระเจ้า ในเรื่องของเนื้อหาที่จะกินและดื่มในชีวิตคริสตจักร รูปแบบการจัดสามัคคีธรรม และรูปแบบของการชุมนุม  หากภาวะทั้งหลายเอื้ออำนวย ผู้คนก็สามารถร่วมชุมนุมด้วยตนเอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็สามารถชุมนุมกันทางออนไลน์ได้  ควรเป็นเรื่องที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนและเรียบง่ายมาก  สมาชิกคริสตจักรบางคนกระจายตัวอยู่ในทวีปและประเทศต่างๆ บ้างอยู่ในยุโรป บ้างอยู่ในตะวันออกกลาง ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมจำเป็นต้องชุมนุมกันทางออนไลน์  การตัดสินใจเรื่องเวลาและความถี่ในการจัดการชุมนุมขึ้นอยู่กับคริสตจักรท้องถิ่น พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีข้อกำหนดที่เจาะจงในเรื่องนี้ และไม่เข้าแทรกแซงในเรื่องนี้  เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่เข้าแทรกแซงในเรื่องนี้?  บางคนในคริสตจักรไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาแบบเต็มเวลา พวกเขามีงานทำและมีครอบครัว สภาพการณ์ส่วนบุคคลก็แตกต่างกัน แถมเขตเวลาของแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน จึงต้องอนุญาตให้พวกเขาตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะชุมนุมกันสัปดาห์ละกี่ครั้ง และการชุมนุมแต่ละครั้งจะจัดขึ้นในเวลาใด  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ตั้งข้อกำหนดที่เจาะจงในเรื่องนี้ เพียงแต่มอบหลักธรรมให้เท่านั้น  พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดขอบเขตเอาไว้แล้วว่าในหนึ่งสัปดาห์ ผู้เชื่อใหม่จะชุมนุมร่วมกันบ่อยแค่ไหน และจำนวนครั้งในการชุมนุมร่วมกันต่อสัปดาห์ระหว่างผู้ที่ทำหน้าที่กับผู้ที่ไม่ทำหน้าที่ก็มีความแตกต่างกัน  มีการจัดการเตรียมงานที่ต้องการให้ผู้เชื่อใหม่ชุมนุมร่วมกันสัปดาห์ละเจ็ดครั้งหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วจำนวนครั้งต่อสัปดาห์ที่ผู้เชื่อใหม่ชุมนุมร่วมกันนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งใด?  (ขึ้นอยู่กับเวลาที่ผู้เชื่อใหม่มี)  การชุมนุมร่วมกันอย่างมากสัปดาห์ละสองหรือสามครั้ง และอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เป็นเรื่องที่เหมาะสมทั้งสิ้น  บางคนกล่าวว่า “คนในพื้นที่ของพวกเราไม่ค่อยมีอะไรทำในช่วงนอกฤดูเพาะปลูก ดังนั้นทุกคนจึงอยากชุมนุมกันทุกวัน—ต่อให้ชุมนุมกันสองครั้งต่อวันก็ยังไหว  พวกเราอยากชุมนุมกันจริงๆ”  หัวใจของผู้เชื่อใหม่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น และพวกเขาต้องการเข้าใจความจริงให้มากขึ้นเสมอ  หากสภาพการณ์ในครอบครัวของพวกเขาเอื้ออำนวย การที่พวกเขาขอเข้าชุมนุมมากขึ้นย่อมเป็นเรื่องที่ดี ตราบเท่าที่การนี้ไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของพวกเขา  จำนวนครั้งที่แน่นอนที่ผู้คนควรชุมนุมร่วมกันในทุกสัปดาห์ควรกำหนดตามสถานการณ์ของครอบครัวและงานของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในแต่ละพื้นที่—พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีข้อกำหนดเฉพาะในเรื่องนี้  บรรดาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งอยู่ในภาวะที่ทำเช่นนั้นได้ก็อาจจะชุมนุมกันบ่อยขึ้น จากนั้นพวกเขาจะเข้าใจความจริงมากขึ้น และสัมฤทธิ์การเติบโตในชีวิตรวดเร็วขึ้น  นี่เป็นเรื่องที่ดี  อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่ภาวะไม่เอื้ออำนวยย่อมไม่เหมาะสมที่จะชุมนุมกันในลักษณะนี้ และการที่พวกเขาเข้าชุมนุมอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งหรือสองครั้งก็ใช้ได้แล้ว  จำนวนครั้งที่คริสตจักรในแต่ละพื้นที่จัดการชุมนุมทุกๆ สัปดาห์นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่ควรมีผู้ใดแทรกแซงเรื่องนี้  สิ่งสำคัญที่สุดคือ การชุมนุมจัดขึ้นเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจความจริงโดยไม่ได้มีเหตุผลอื่น  เพราะฉะนั้น จำนวนครั้งที่แต่ละคริสตจักรจัดการชุมนุมจึงตัดสินตามสภาพการณ์เฉพาะของคริสตจักรนั้นๆ  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถเข้าร่วมชุมนุมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของพวกเขามากขึ้น  หากมีคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ต้องการเข้าชุมนุมมากไปกว่านี้ เช่นนั้นก็ไม่ควรยัดเยียดให้กับพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล่าพนักงานกินเงินเดือนที่ค่อนข้างยุ่งมากกว่าและไม่มีเวลาเข้าที่จะเข้าร่วมการชุมนุมมากกว่านี้ ไม่ควรเรียกร้องให้พวกเขาทำเช่นนี้  ไม่ว่าผู้คนจะอยู่ในสถานะที่เข้าร่วมการชุมนุมได้หรือไม่ หรือไม่ว่าพวกเขาจะเข้าชุมนุมกันกี่ครั้ง พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่เข้าไปแทรกแซงหรือใช้ข้อจำกัดใดๆ  นี่เป็นเพราะสภาพการณ์และภูมิหลังของผู้เชื่อแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไม่ถูกบีบบังคับใดๆ  สำหรับเนื้อหาที่จะกินและดื่มระหว่างชีวิตคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าก็มีข้อกำหนดที่สอดคล้องอยู่ในการจัดการเตรียมงาน และผู้นำทุกระดับในคริสตจักร รวมถึงพี่น้องชายหญิง พึงต้องเข้าใจข้อกำหนดเหล่านี้ให้ชัดเจน  ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจว่า งานและเรื่องที่เฉพาะเจาะจงประการใดกันแน่ที่ต้องดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน และพี่น้องชายหญิงก็ต้องกำกับดูแลผู้นำและคนทำงานเพื่อดูว่าพวกเขาปฏิบัติงานนี้อยู่หรือไม่  สำหรับเนื้อหาที่จะกินและดื่มระหว่างชีวิตคริสตจักร รวมถึงการจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับการชุมนุมที่ต้องได้รับความเข้าใจและทำตาม ผู้นำและคนทำงานต้องได้ข้อสรุปร่วมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงโดยเด็ดขาด  การจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับงานด้านชีวิตคริสตจักรนั้นเรียบง่ายมาก ง่ายที่ผู้คนจะเข้าใจ และไม่ใช่เรื่องที่เป็นนามธรรมเลย

VI. การบริหารจัดการทรัพย์สิน

รายการที่หก การบริหารจัดการทรัพย์สิน  ถึงแม้ว่างานบริหารจัดการทรัพย์สินจะไม่ได้มีการจัดทำการจัดการเตรียมงานเป็นประจำเหมือนงานข่าวประเสริฐหรืองานในสายอาชีพหลากหลายประเภท แต่พระนิเวศของพระเจ้าก็ยังมีการจัดการเตรียมงานเฉพาะสำหรับงานนี้  การบริหารจัดการทรัพย์สินเกี่ยวข้องกับอะไร?  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับวิธีจัดเก็บทรัพย์สิน สถานที่จัดเก็บ คนที่บริหารจัดการทรัพย์สินเหล่านั้น รวมถึงวิธีการจัดสรร บริหารจัดการ และโยกย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นเมื่อเกิดอันตรายหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์ รวมไปถึงรูปการณ์แวดล้อมพิเศษแบบอื่นๆ  อันที่จริง การจัดการเตรียมงานมีข้อกำหนดที่เกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ และสำหรับงานนี้ ผู้นำและคนทำงานไม่ควรรอให้เบื้องบนออกคำสั่งหรือแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานมาโดยตรง แล้วจึงค่อยเริ่มบริหารทรัพย์สินอย่างเฉื่อยชา  หากไม่มีการจัดการเตรียมงานแบบกระทันหันที่พึงให้เจ้าจัดการทรัพย์สินในลักษณะที่เจาะจง และในรูปการณ์แวดล้อมพิเศษที่เจ้าไม่รู้จะจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นอย่างไร อีกทั้งไม่ได้รับคำตอบจากเบื้องบนอย่างทันท่วงที เจ้าควรทำอย่างไร?  ความปลอดภัยคือสิ่งที่สำคัญอันดับหนึ่ง และนี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าที่จะคุ้มครองทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้า  สำหรับหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่ตีพิมพ์โดยพระนิเวศของพระเจ้า รวมไปถึงเครื่องจักร อาหารการกิน เงินทอง และทรัพย์สินอื่นๆ ทุกประเภท ผู้นำและคนทำงานควรเก็บทั้งหมดไว้ในที่ที่ปลอดภัยตามการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ปล่อยให้ชื้น ขึ้นรา หรือถูกแมลงกัดกิน ไม่ต้องพูดถึงการยอมให้คนชั่วหรือพญานาคใหญ่สีแดงยึดสิ่งเหล่านี้ไปเลย  มากไปกว่านั้น นอกจากการบริหารจัดการทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าเหล่านี้ให้ดีแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ควรรักษาความลับอย่างเคร่งครัด ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทุกคนควรถูกกันไม่ให้รู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และผู้ที่รู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ก็ควรปิดปากให้สนิทและไม่ปากสว่าง  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานที่เจาะจงเกี่ยวกับงานนี้ และการแจกจ่ายหรือเปิดเผยการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ผ่านการเขียนก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม  หากผู้นำและคนทำงานคิดหนทางและวิธีบริหารจัดการทรัพย์สินที่ดีกว่าได้  เช่นนั้นแล้ว ในขณะที่ปฏิบัติตามหลักธรรมของการบริหารจัดการและคุ้มครองทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าให้ดีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสีย แน่นอนว่าพวกเขาก็อาจจะหารือเรื่องนี้กับผู้นำและคนทำงานคนอื่น และตัดสินใจด้วยตนเอง  งานรายการนี้เป็นงานพิเศษ และพวกที่ไม่ปิดปากให้สนิท พวกที่ไร้ซึ่งสำนึกของความรับผิดชอบ พวกที่มีแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม พวกที่เพิ่งเริ่มเชื่อและยังไม่มีรากฐานในความเชื่อของตน รวมถึงพวกที่จ้องทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าตาเป็นมันด้วยความละโมบอยู่เสมอ ทั้งหมดต้องไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เรื่องนี้  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถกล่าวถึงอย่างโจ่งแจ้งได้ในการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า แต่ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงผู้ดูแลที่ไว้ใจได้ก็ควรตระหนักถึงเรื่องนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ในที่นี้มีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอยู่  สมมุติว่าผู้นำที่ได้รับเลือกมาใหม่เพิ่งเชื่อในพระเจ้ามาเพียงสามปี เขาเป็นคนที่มีขีดความสามารถดี กระตือรือร้นมาก และภายนอกก็ดูเป็นคนที่ใช้ได้ แต่ยังไม่รู้ว่าเขามีลักษณะนิสัยอย่างไร เขามองทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร หรือเป็นคนโลภหรือไม่  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ยังไม่รู้และไม่แน่นอน และพี่น้องชายหญิงที่เชื่อในพระเจ้ามานานก็ไม่ได้รู้จักคนคนนี้ดีนัก พวกเขาไม่ได้รู้จักคนคนนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง  ควรทำอย่างไรในสถานการณ์ดังกล่าว?  เมื่อถึงเวลาส่งมอบงานให้ผู้นำคนนี้ งานอื่นๆ ถูกส่งมอบไปหมดแล้ว—ควรส่งมอบงานด้านทรัพย์สินให้ผู้นำคนนี้หรือไม่?  (ไม่ควร)  เหตุใดจึงไม่ควร?  งานหลักของผู้นำและคนทำงานไม่ใช่แค่บริหารจัดการทรัพย์สินเท่านั้น ทรัพย์สินเป็นเพียงส่วนหนึ่งในงานของพวกเขา  หากมีคนที่เหมาะกับการบริหารจัดการทรัพย์สินจริงๆ และผู้นำที่ได้รับเลือกมาใหม่นี้ไว้ใจไม่ได้ การไม่ส่งต่องานนี้ให้ผู้นำคนนี้ทันทีก็ไม่เป็นไร เนื่องจากยังไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อในพระเจ้าไปอีกนานหรือจะสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่  ในอดีต ใครบางคนเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร และหลังจากเข้ารับตำแหน่งนี้ สิ่งแรกที่เขาทำคือถามประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถึงบัญชีธนาคารและรหัสผ่านของบัญชีที่เก็บเงินถวายเอาไว้  เขาถามว่าใครมีเลขบัญชีและรหัสผ่านเหล่านี้ และไปกดดันคนเหล่านั้นให้ส่งต่องานนี้ให้เขาทันที  ในสถานการณ์เช่นนี้ควรส่งต่องานนี้ให้เขาหรือไม่?  เขาไม่ได้เป็นห่วงหรือกังวลใจเกี่ยวกับงานอื่นเลย ทว่ากลับจริงจังและกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ—เขาเป็นคนที่ไว้ใจได้หรือไม่?  จงอย่าคิดว่าใครบางคนไว้ใจได้เพราะเขาคือผู้นำหรือคนทำงาน  ในความเป็นจริง มีเพียงผู้ดูแลที่ได้รับเลือกตามหลักธรรมอย่างแท้จริงเท่านั้นที่ไว้ใจได้—พวกเขาสามารถสละชีวิตของตนเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าได้  ผู้คนเช่นนี้ไว้ใจได้มากที่สุด  แล้วผู้นำและคนทำงานสามารถทำเช่นนี้ได้ทุกคนหรือไม่?  ไม่จำเป็น  ในอดีตมีผู้นำระดับภูมิภาคคนหนึ่งถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม และเขาปูดเรื่องทรัพย์สินทั้งหมดของคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน จนนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมหาศาล  หากเขาไม่รู้ว่าทรัพย์สินของคริสตจักรอยู่ที่ไหน ต่อให้เขาถูกทุบตีจนตาย เขาก็คงจะไม่สามารถเผยเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว ทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ประสบกับการสูญเสียใช่หรือไม่?  โดยแท้แล้ว นี่เป็นเพราะเขารู้มากเกินไปจนคายข้อมูลทั้งหมดในยามที่เขาไม่อาจสู้ทนการทรมานและการทุบตีอันโหดร้ายได้ จนเงินนี้ไปลงเอยอยู่ในมือของพญานาคใหญ่สีแดง  หากเขาไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ว่าทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ที่ไหน และหากคนที่คุ้มครองทรัพย์สินเหล่านี้เป็นคนที่ไว้ใจได้ เงินของพระนิเวศของพระเจ้าจะประสบกับการสูญเสียและถูกพญานาคใหญ่สีแดงยึดเอาไปหรือไม่?  ไม่ ย่อมจะไม่เป็นเช่นนั้น  นี่คือบทเรียนที่ร้ายแรง  เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับการจัดการเตรียมงานนี้ก็คือ ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ต้องรักษาให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด และงานก็ควรทำในหนทางใดก็ตามที่ปลอดภัย  จงหาใครบางคนที่แสดงความจงรักภักดีในการบริหารจัดการทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้มาบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้—นี่เป็นแนวทางปฏิบัติที่วางใจได้มากที่สุด  ถึงแม้ว่าคนคนนี้จะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เขาก็จะจงรักภักดีและจะสามารถคุ้มครองเงินได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการใช้คนคนนี้คุ้มครองทรัพย์สินจึงเป็นเรื่องถูกต้องที่พึงกระทำ  เนื่องจากงานนี้เป็นงานที่ทำทีละอย่าง การจัดการเตรียมการสำหรับงานนี้จึงเรียบง่ายมาก นั่นคือ หาคนที่ใช่มาคุ้มครองทรัพย์สิน และหาสถานที่ปลอดภัยในการเก็บทรัพย์สินเหล่านั้น  นอกจากนี้ ในการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้ายังมีข้อกำหนดเฉพาะที่ว่าด้วยการจัดสรรและการใช้จ่ายทรัพย์สินเหล่านี้ของพระนิเวศของพระเจ้า กล่าวคือ เงินดังกล่าวสามารถนำไปใช้กับรายจ่ายที่จำเป็น แต่ไม่สามารถนำไปใช้กับส่วนที่ไม่จำเป็นได้  มีอีกหนึ่งสิ่งก็คือ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทั้งหลายนั้นมีระบบการกำกับดูแลที่เข้มงวด และพระนิเวศของพระเจ้าก็มีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับกระบวนการและขั้นตอนอันหลากหลาย โดยให้มีการลงลายมือชื่อจากคนหลายคน เป็นต้น  มีการบริหารจัดการ มีการคุ้มครอง มีการใช้จ่าย รวมถึงมีการทำบัญชี—ทั้งหมดนี้มีการจัดการเตรียมงานที่เจาะจงอยู่

VII. งานชำระออก

รายการที่เจ็ด งานชำระออก  พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำการจัดการเตรียมงานสำหรับงานนี้อย่างสม่ำเสมอเช่นกัน  ในแง่หนึ่ง การจัดการเตรียมงานนี้เกิดขึ้นตามความจำเป็นจากงานของพระนิเวศของพระเจ้า และในอีกแง่หนึ่ง สิ่งนี้เกิดขึ้นตามการจำแนกและการนิยามของผู้คนหลากหลายประเภท รวมไปถึงการคัดแยกแต่ละคนไปตามประเภทของพวกเขาตามการสำแดงในทันทีที่พวกเขาถูกเผยออกมา  พระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมสำหรับจัดการศัตรูของพระคริสต์ คนชั่ว และผู้ไม่เชื่อทุกรูปแบบ บางคนถูกชำระออกจากกลุ่มของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ บางคนถูกชำระออกจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาและถูกส่งไปอยู่คริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นบางเวลาหรือคริสตจักรทั่วไป บางคนถูกชำระออกจากคริสตจักรทั่วไปและถูกส่งไปอยู่กลุ่มข. และมีบางคนที่ถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปโดยตรง  พระนิเวศของพระเจ้าจัดการเตรียมงานชำระออกจากคริสตจักรซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังมีการจัดการเตรียมงานที่เจาะจงในเรื่องของผู้คนหลากหลายประเภทที่ตรงตามเงื่อนไขของการชำระออกไป  จากท่าทีที่ผู้คนมีต่อการทำหน้าที่ของพวกเขาและการกระทำผิดที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทำหน้าที่ของตน รวมไปถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามที่ผู้คนหลากหลายประเภทเผยออกมา ท้ายที่สุดพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้วางแผนการเฉพาะสำหรับจัดการคนเหล่านี้  เพราะฉะนั้น การที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดการกับคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และศัตรูของพระคริสต์หลากหลายประเภทจึงเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์ และการนี้ก็ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อเป็นการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ ในมุมหนึ่งจำเป็นต้องสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงเพื่อให้ผู้คนเข้าใจสิ่งเหล่านั้น และเรียนรู้วิธีแยกแยะผู้คนหลากหลายประเภท ในขณะที่อีกมุมหนึ่งก็จำเป็นที่จะต้องแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ไปยังคริสตจักรทั้งหลาย เพื่อให้คริสตจักรเหล่านั้นสามัคคีธรรมและนำไปดำเนินการได้  อย่างไรก็ตาม งานชำระออกจากคริสตจักรต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุด และงานนี้ต้องไม่ถูกขัดขวางอย่างเด็ดขาด  งานนี้ต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะไม่มีคนชั่วเหลืออยู่ในคริสตจักรอีกต่อไป  ไม่ใช่ว่าผู้นำและคนทำงานจะปฏิบัติงานชำระออกแค่ในช่วงเวลาที่เบื้องบนแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานที่สั่งให้ชำระออกจากคริสตจักรเท่านั้น หลังจากเสร็จสิ้นการชำระออกไปได้ระยะหนึ่งแล้ว หากพบว่ามีคนชั่วที่ก่อกวนอีก แต่เบื้องบนยังไม่ได้จัดการเตรียมงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้นำและคนทำงานก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคนชั่วเหล่านั้นหรือชำระพวกเขาออกไป—เช่นนั้นย่อมจะไม่ได้การ  งานชำระออกจากคริสตจักรต้องดำเนินต่อไปอย่างเป็นระเบียบ ตราบเท่าที่มีคนที่ต้องถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป เช่นนั้นงานชำระออกก็ต้องดำเนินต่อไป  จงอย่ารอเฉยให้เบื้องบนออกคำสั่ง หรือให้ผู้นำระดับสูงสื่อสารสิ่งเหล่านั้นกับเจ้า และอย่ารอเฉยให้พี่น้องชายหญิงรายงานใครบางคนเพิ่มขึ้นกว่านี้  ทันทีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเปิดโปงและรายงานใครบางคน ผู้นำและคนทำงานก็ควรเริ่มตรวจสอบและจัดการเรื่องนั้นเสีย  หากผู้นำและคนทำงานเก็บจดหมายรายงานเอาไว้และไม่จัดการเรื่องนั้น พวกเขาก็ควรถูกสอบสวนและจัดการ และหากพบว่าพวกเขากำลังคุ้มกันคนชั่ว เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรพร้อมกับคนชั่วคนนั้น  ผู้นำหรือคนทำงานที่ไม่ปฏิบัติงานของการชำระออกจากคริสตจักรย่อมเป็นผู้นำหรือคนทำงานเทียมเท็จ และควรถูกปลดในทันที  หากพวกเขาถึงกับปกป้องและคุ้มกันคนชั่ว เช่นนั้นก็สามารถระบุลักษณะว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ ขับไล่ และเอาพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  สิ่งเหล่านี้คือข้อกำหนดอันเจาะจงที่พระนิเวศของพระเจ้าตั้งขึ้นในส่วนของงานชำระออกจากคริสตจักร  งานชำระออกจากคริสตจักรเป็นงานที่มีความสำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่ง ทั้งยังมีนัยสำคัญที่ลึกซึ้ง  บอกเราทีเถิดว่า การชำระออกจากคริสตจักรเป็นไปเพื่อทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์มิใช่หรือ?  หากคริสตจักรได้รับการชำระให้บริสุทธิ์—กล่าวคือ หากไม่มีคนชั่วก่อกวนอยู่ในคริสตจักร และไม่มีผู้ไม่เชื่อปะปนอยู่ในหมู่สมาชิกคริสตจักร—นั่นย่อมจะเป็นคริสตจักรที่แท้จริง อีกทั้งจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตคริสตจักรด้วย  นี่จะเป็นอีกหนึ่งก้าวที่ยิ่งใหญ่ไปสู่การทำให้ราชอาณาจักรของพระคริสต์เป็นจริงมิใช่หรือ?  คริสตจักรที่บริสุทธิ์เช่นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรมากที่สุด เพราะทุกคนจะมีความเป็นจริงความจริง ทุกคนจะสามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้าและได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ในฐานะประชากรของพระเจ้า และจะไม่มีคนชั่วที่มาก่อกวนอีกต่อไป  โดยธรรมชาติแล้ว คริสตจักรเช่นนี้ย่อมจะได้รับพรสูงสุด  เพราะฉะนั้น การชำระออกจากคริสตจักรจึงเป็นงานที่มีความหมายมากที่สุด และทั้งหมดก็เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสงบสุขมากขึ้น และไร้ซึ่งการก่อกวนจากคนชั่ว  มากไปกว่านั้น พระนิเวศของพระเจ้าไม่เกื้อหนุนพวกคนขี้เกียจหรือคนไร้ประโยชน์ อีกทั้งไม่เกื้อหนุนพวกปรสิตที่ลุ่มหลงในความสะดวกสบายและกินขนมปังให้อิ่มท้อง  บรรดาผู้ที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเองเลย ทั้งยังก่อกวนและสร้างผลกระทบต่อผู้อื่นที่ทำหน้าที่ของพวกเขา รวมถึงพวกที่แสดงความคิดเห็นอย่างไร้ความรับผิดชอบ จุ้นจ้าน และไม่ทำงานอันถูกควรของพวกเขาในคริสตจักร ล้วนต้องถูกเอาตัวออกไปเช่นกัน  บัดนี้ ผู้คนทุกประเภทได้ถูกเผยออกมาอย่างหมดเปลือกแล้ว งานชำระออกจากคริสตจักรนั้นสำคัญยิ่ง และต้องทำให้ดีและรอบคอบ  บรรดาคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ ผู้ไม่เชื่อ พวกที่ไร้ประโยชน์ และปรสิตทั้งหลายที่ถูกเผยว่าเป็นพวกที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ และพวกเขาก็เกินกว่าจะช่วยให้รอด  หากคริสตจักรไม่ดำเนินงานชำระออก สิ่งนี้ย่อมจะกระทบกับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ด้วยเหตุนั้น งานชำระออกจากคริสตจักรจึงเป็นงานสำคัญที่จำเป็นต้องรีบเร่งทำให้ดีในเวลานี้  มีเพียงผู้นำและคนทำงานที่สามารถทำงานชำระออกจากคริสตจักรให้ดีได้เป็นอย่างดีเท่านั้นที่คู่ควรกับการบ่มเพาะและสามารถเป็นผู้นำและคนทำงานต่อไปได้  ผู้นำและคนทำงานคนใดที่ขัดขวางงานชำระออกจากคริสตจักรย่อมเป็นเครื่องสะดุดและเป็นสิ่งกีดขวาง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องเปิดโปงและรายงานเรื่องพวกเขา  ก่อนอื่น ผู้นำและคนทำงานทุกระดับต้องแก้ไขและเอาเครื่องสะดุดกับสิ่งกีดขวางงานของคริสตจักรทั้งหมดนี้ออกไป—สิ่งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เอื้อให้งานหลากหลายรายการของคริสตจักรก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น และเอื้อให้คริสตจักรดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าทรงได้รับพระสิริทั้งปวง

VIII. กิจธุระภายนอก

รายการที่แปด กิจธุระภายนอก  งานด้านกิจธุระภายนอกไม่ใช่งานใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่งานเล็ก และมีหลักธรรมมากมายในการจัดการเตรียมงานด้านกิจธุระภายนอกของพระนิเวศของพระเจ้า  หนึ่งคือการศึกษากฎหมายท้องถิ่นและข้อบังคับเฉพาะในท้องถิ่น  กล่าวคือ ไม่ว่าคริสตจักรทำอะไรในสถานที่ใดที่หนึ่ง เจ้าก็ต้องศึกษากฎหมายท้องถิ่นเสียก่อน—นี่คือหลักธรรมข้อหนึ่ง  หลักธรรมอีกข้อหนึ่งก็คือ เมื่อเจ้าเผชิญปัญหาที่เกี่ยวกับกิจธุระภายนอก ซึ่งเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่ได้รู้ชัดเจน เจ้าก็ต้องปรึกษาทนายและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และไม่ตัดสินเอาเองแบบขาดความรู้ เจ้าต้องคิดแผนการที่เจาะจงในการจัดการกับเรื่องทั้งหลายตามเงื่อนไขที่แตกต่างกันในระดับชาติในแต่ละประเทศ  แล้วแผนการเหล่านี้เกิดขึ้นมาอย่างไร?  เจ้าต้องเชื่อในสิ่งที่ทนายบอก และปล่อยให้ทนายเป็นผู้ตัดสินใจ—อย่าตัดสินตามอำเภอใจ หรือตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเอง  เงื่อนไข นโยบาย กฎหมาย และข้อบังคับระดับชาติแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ดังนั้นจงอย่าทำตามจินตนาการของเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเห็นใครบางคนถูกปล้นบนถนนที่ประเทศจีน  กฎหมายประเทศจีนกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ผ่านไปมาซึ่งเห็นเหตุการณ์นี้สามารถเข้าไปแทรกแซงด้วยความกล้าหาญ โดยจับโจรนั้นไว้ก่อนเป็นอย่างแรก แล้วจึงส่งต่อให้กับตำรวจ  หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะกลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้า เจ้าจะไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ และเจ้าก็ควรได้รับการยกย่อง  นี่คือสถานการณ์และระบบแห่งชาติในประเทศจีน และนี่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมประเภทหนึ่งในประเทศจีน—คนจีนอธิบายสิ่งนี้ด้วยชื่ออันไพเราะว่า “คุณงามความดีตามประเพณีนิยม”  อย่างไรก็ตาม ในฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา หากเจ้าเห็นโจรกำลังขโมยของบางอย่างแล้วเข้าไปจับพวกเขาไว้ทันที และรอให้ตำรวจมาจับกุมพวกเขา เช่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ผิด นี่คือสิ่งที่ผิดกฎหมาย  นี่เป็นเพราะเจ้าเป็นเพียงพลเมืองธรรมดา ไม่ใช่ผู้บังคับใช้กฎหมาย และเจ้าไม่มีสิทธิ์จับกุมใครทั้งสิ้น มีเพียงตำรวจเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการจับกุมใครคนหนึ่ง  เมื่อเจ้าเห็นโจรกำลังขโมยของบางอย่าง เจ้าสามารถแจ้งตำรวจได้ แต่เจ้าไม่สามารถจับโจรคนนั้นด้วยตัวเอง  หากเจ้าไปจับโจรแบบมั่วซั่ว เช่นนั้นเจ้าก็กำลังทำผิดกฎหมาย—นี่คือกฎหมายในฝั่งตะวันตก  ในประเทศฝั่งตะวันตก การปฏิบัติ “คุณงามความดีตามประเพณีนิยม” ของชาวจีนนั้นไม่เหมาะสม  ประเทศฝั่งตะวันตกมีกฎหมายของตนเอง  หากเจ้าเห็นใครบางคนหกล้มที่ถนนในประเทศฝั่งตะวันตก กฎหมายกำหนดไว้อย่างไร?  เจ้าต้องเดินเข้าไปและถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม?  ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?”  หากคนคนนั้นบอกว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถไปได้  หากเจ้าเห็นใครบางคนหกล้มแต่ไม่ถามไถ่ว่าเขาเป็นอะไรไหม หรือไม่ไปดูพวกเขา เพียงแต่เดินต่อไป เช่นนั้นเจ้าก็กำลังทำผิดกฎหมาย  หากเจ้าเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ในประเทศจีน นี่อาจจะเป็นพวกต้มตุ๋น และหากเจ้าเมินเฉยก็ไม่เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า  หากเจ้าถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม?  ต้องการความช่วยเหลือหรือเปล่า?” นั่นอาจจะสร้างปัญหาให้แก่เจ้า คนคนนั้นอาจจะหลอกต้มเจ้า แล้วเมื่อนั้นเจ้าก็ลืมเรื่องที่จะใช้ชีวิตดีๆ ต่อไปในภายภาคหน้าอีกได้เลย  สองเรื่องนี้บอกอะไรแก่พวกเจ้า?  การศึกษาในประเทศที่ต่างกันท่ามกลางเชื้อชาติที่ต่างกันนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและระบบสังคม และแน่นอนว่ากฎหมายและข้อบังคับ  สำหรับงานด้านกิจธุระภายนอก ในแง่หนึ่ง ผู้คนที่ปฏิบัติงานนี้จำเป็นต้องเข้าใจกฎหมาย ข้อบังคับ บทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรอย่างแม่นยำ และในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็ควรเผยแพร่ความรู้ทั่วไปที่เกี่ยวกับชีวิต หรือบทบัญญัติทางกฎหมายที่พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องรู้ด้วย  เพราะฉะนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจึงมีการจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับงานรายการนี้ ที่กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานนี้หารือกันถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อบังคับของรัฐบาลเป็นอันดับแรกเสมอในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่เผชิญกับประเด็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข พวกเขาต้องปรึกษากับทนายและไม่ตัดสินแบบสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยตนเอง หรือกำหนดแนวทางแก้ไขตามความคิดและตรรกะของชาวจีน—นี่เป็นวิธีปฏิบัติตนที่โง่เขลาและไม่รู้ความ  เมื่อเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ควรรู้ถึงนัยสำคัญของงานด้านกิจธุระภายนอก ผลลัพธ์ที่พึงสัมฤทธิ์ รวมถึงความจำเป็นที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องกระทำการจัดการเตรียมงานเหล่านี้  ขอบเขตของงานรายการนี้ไม่ได้กว้างนัก ดังนั้นในสถานการณ์ส่วนมาก การทำให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานนี้มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานนี้จึงเพียงพอแล้ว  หากเป็นสิ่งที่พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องรู้ เช่นนั้นก็จงช่วยให้พวกเขาเข้าใจและจับความเข้าใจสิ่งนี้  งานด้านกิจธุระภายนอกเป็นงานที่สำคัญมากเช่นกัน เพราะหากพี่น้องชายหญิงไม่เข้าใจกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการที่พวกเขาใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในต่างประเทศ เช่นนั้นก็ย่อมจะไม่ได้การ  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานที่เจาะจงเกี่ยวกับสิ่งที่กำหนดไว้ในแง่มุมนี้ และการดำเนินการงานนี้ตามการจัดการเตรียมงานก็เป็นสิ่งจำเป็น  หากมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษเกิดขึ้น พระนิเวศของพระเจ้าก็จะสร้างแนวทางแก้ไขฉุกเฉินบางอย่าง  หากงานงานหนึ่งเกี่ยวข้องกับงานด้านกิจธุระภายนอก เจ้าก็ต้องปรึกษาบุคลากรด้านกิจธุระภายนอก และดูว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมการที่เจาะจงเกี่ยวกับงานนี้อย่างไร จงอย่าพึ่งพาจินตนาการของเจ้าแบบสุ่มสี่สุ่มห้าและลงมือทำแบบขาดความรู้  การกระทำในหนทางนั้นอาจจะก่อให้เกิดปัญหา และผลที่ตามมาย่อมจะเกินคาดคิด  งานด้านกิจธุระภายนอกเป็นงานที่ทำไปทีละอย่างเช่นกัน งานนี้ไม่ซับซ้อน และเจ้าก็ควรสามารถหาสาระงานที่เจาะจงที่สุดในการจัดการเตรียมงานได้  ในยามที่ผู้คนเริ่มทำงานด้านกิจธุระภายนอกที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก งานนี้อาจรู้สึกซับซ้อนได้บ้าง แต่หลังจากทำไปสักระยะหนึ่ง พวกเขาจะเจอรูปแบบและวิธีการ และงานนี้จะไม่ได้ดูซับซ้อนมากอีกต่อไป  ทีแรก คนจีนที่ไปอยู่ต่างประเทศนั้นถูกรายงานเรื่องการทิ้งขยะไม่เป็นที่ การเข้านอนดึกเกินไป การตื่นแต่เช้าตรู่เกินไป การปล่อยให้สุนัขของตนเห่ารบกวนผู้คน การตากผ้าที่ระเบียง และการจอดรถอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม—พวกเขาถูกรายงานในหลายเรื่อง  ท้ายที่สุดพวกเขาถูกรายงานบ่อยครั้ง ตำรวจก็มักมาเคาะประตูบ้านพวกเขาเพื่อให้การชี้แนะ และหลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่านั้น พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ที่ต่างประเทศ ไม่ได้อยู่ที่ประเทศจีน  พวกเราเริ่มตื่นตัวมากขึ้นทีละน้อย พวกเขาเริ่มตระหนักเรื่องกฎหมายขึ้นบ้าง และพวกเขาก็มาเข้าใจกฎเกณฑ์บางอย่างเกี่ยวกับชีวิต งาน การขับรถ เป็นต้น  เมื่อคนจีนเดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก พวกเขาเข้าใจเพียงมารยาทพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับวิธีประพฤติปฏิบัติตนเท่านั้น และไม่มีความรู้ทางสามัญสำนึกในเรื่องส่วนใหญ่เกี่ยวกับกฎหมาย พวกเขาเป็นเหมือนสัตว์ป่า ไม่มีการตระหนักรู้เรื่องกฎหมายเลย  หลังจากผ่านไปสองถึงสามปี พวกเขาก็เกิดความรู้บางอย่างและเข้าใจกฎเกณฑ์ขึ้นบ้างราวกับพวกเขาถูกฝึกให้เชื่อง และพวกเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อย

IX. สวัสดิการของคริสตจักร

รายการที่เก้า สวัสดิการของคริสตจักร  ก่อนหน้านี้พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำการจัดการเตรียมงานด้านสวัสดิการคริสตจักรไว้แล้ว และหากคนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มเวลา หรือครอบครัวของพวกเขาต้องการความช่วยเหลือให้มีเงินเพียงพอที่จะประทังชีวิต ผู้นำคริสตจักรก็ต้องแก้ไขปัญหานี้  การจัดการเตรียมงานเหล่านี้มีหลักธรรมและแผนการดำเนินการที่เจาะจง และพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้มอบถ้อยแถลงและข้อกำหนดเฉพาะเอาไว้แล้ว  สำหรับพี่น้องชายหญิงที่ถูกจำคุกเพราะความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา จนทำให้ครอบครัวของพวกเขาเกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับพ่อแม่ที่ทำหน้าที่ห่างไกลบ้านเป็นเวลานานและไม่มีใครดูแลลูกๆ ให้พวกเขา รวมไปถึงพี่น้องชายหญิงที่เจ็บป่วยซึ่งเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ของพวกเขามาเป็นเวลาหลายปี คริสตจักรควรมอบความช่วยเหลือและหนทางแก้ไขความลำบากยากเย็นเหล่านี้และอื่นๆ ในลักษณะเดียวกัน  มีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ และนั่นก็คือ เมื่อบางครอบครัวตรงตามเงื่อนไขของการเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงที่บ้านพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีแหล่งรายได้—เช่นนั้นควรจัดการค่าใช้จ่ายสำหรับการเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงอย่างไร?  เรื่องนี้อยู่ภายใต้งานด้านสวัสดิการของคริสตจักร  ข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถหาได้ในการจัดการเตรียมงาน หรือผู้นำและคนทำงานสามารถจัดสรรทรัพยากรของคริสตจักรได้ตามสมควรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ท้องถิ่นเพื่อดำเนินงานเจ้าภาพ—คริสตจักรมีข้อกำหนดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับทั้งหมดนี้  หากมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษที่เกินขอบเขตของข้อกำหนดเฉพาะเหล่านี้เกิดขึ้น เช่นนั้นผู้นำและคนทำงานก็อาจจะสามัคคีธรรมและหารือกันในเรื่องนี้ แล้วจัดการเตรียมการอย่างสมเหตุสมผลและเป็นรูปธรรมตามมาตรฐานการใช้ชีวิตตามปกติในพื้นที่นั้น  ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่งานขนาดใหญ่และไม่ใช่งานที่สำคัญมากนัก แต่งานนี้ก็อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และเป็นงานที่ไม่อาจละเลยได้  หากไม่มีใครต้องการการเกื้อหนุนเพื่อให้มีเงินเพียงที่จะประทังชีวิต หรือต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน เช่นนั้นผู้นำและคนทำงานก็ไม่จำเป็นต้องออกไปหาคนที่มีความต้องการดังกล่าว  หากมีผู้คนเช่นนั้นอยู่ ผู้นำและคนทำงานไม่ควรหลบเลี่ยงพวกเขา และยิ่งไม่ควรดูดายคนเหล่านั้น อยู่เฉย หรือแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นคนเหล่านั้น  ผู้นำและคนทำงานควรกระทำการตามหลักธรรม—นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา

X. แผนการฉุกเฉิน

รายการที่สิบ แผนการฉุกเฉิน  แผนการฉุกเฉินมีไว้จัดการกับประเด็นปัญหาพิเศษที่เกิดขึ้นในงานทุกส่วนของพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่ปรากฏในงานข่าวประเสริฐ งานด้านการปกครอง หรืองานสายอาชีพ หรือกรณีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จ หรือสถานการณ์พิเศษที่ต้องแยกแยะผู้คนที่ถูกชักพาให้หลงผิดไปแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในหมวดหมู่ของแผนการฉุกเฉิน  ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนก่อการรบกวนและการขัดขวาง หรือหากศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งทำตามอำเภอใจและเผด็จการ พยายามก่อตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นมา เป็นต้น ทันทีที่พระนิเวศของพระเจ้าพบว่าเรื่องดังกล่าวสมควรที่จะสร้างการจัดการเตรียมงานสำหรับแผนการเฉพาะเกี่ยวกับหนึ่งในสถานการณ์เหล่านี้ พระนิเวศของพระเจ้าก็จะสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษรที่สอดคล้องกัน  แผนการฉุกเฉินนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่างที่เกิดขึ้นกับคริสตจักรในขณะนั้น และเบื้องบนก็สร้างการจัดการเตรียมงานที่เฉพาะเจาะจงตามความร้ายแรงของรูปการณ์แวดล้อมดังกล่าว จากนั้นจึงแจกจ่ายและสื่อสารสิ่งเหล่านั้นออกไป  แผนการที่เฉพาะเจาะจงอาจจะเกี่ยวข้องกับงานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ ตราบเท่าที่เบื้องบนเป็นผู้จัดการเตรียมการแผนนี้ และกำหนดให้ผู้นำและคนทำงานดำเนินการ เช่นนั้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ต้องแจกจ่ายและดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน  พวกเขาต้องเอาจริงเอาจังกับการจัดการเตรียมงานเหล่านี้  เมื่อเบื้องบนจัดการเตรียมงานเหล่านี้ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จึงไม่เป็นรองจากงานด้านการปกครองหรืองานสายอาชีพเฉพาะใดๆ  แม้การจัดการเตรียมงานเหล่านี้จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว แต่ผู้นำและคนทำงานก็ยังควรแจกจ่าย สื่อสาร ดำเนินการ และติดตามสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกับการจัดการเตรียมงานที่เป็นทางการ จากนั้นจึงชี้แจงและรายงานให้เบื้องบนทราบในภายหลัง—นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แผนการฉุกเฉินไม่ได้มุ่งเป้าไปที่งานใดงานหนึ่งเป็นพิเศษ กล่าวคือ ไม่ว่าเบื้องบนจะมอบหมายงาน ตั้งข้อกำหนด หรือมอบการจัดการเตรียมงานให้ผู้นำและคนทำงานทุกระดับของทุกพื้นที่เมื่อไร ผู้นำและคนทำงานก็ต้องไม่เพิกเฉยต่องานประเภทนี้  ในเมื่อนี่คือการจัดการเตรียมงาน และสิ่งเหล่านี้ถูกแจกจ่ายให้กับผู้นำทุกระดับและทุกพื้นที่ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นงานที่อยู่ภายในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  ผู้นำและคนทำงานไม่ควรทำเฉยหรือจำแนกงานในแง่ของขอบเขต หรือในแง่ที่ว่างานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเขาหรือไม่ หรือไม่ควรคาดเดาน้ำเสียงและความเร่งด่วนในการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นอย่างทันท่วงทีหรือไม่  เรื่องเช่นนั้นไม่ควรเกิดขึ้น แต่ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินงานเช่นเดียวกับงานที่เป็นทางการ และทำให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมปฏิบัติต่อการนี้ในฐานะพระบัญชาและงานสำคัญ—นี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  มีแผนการฉุกเฉินสำหรับรูปการณ์แวดล้อมพิเศษ และนี่คืองานที่ดำเนินการในบริบทเฉพาะ  เมื่อมีบางสิ่งที่พิเศษและเฉพาะเจาะจงเกิดขึ้น เบื้องบนจะใช้บริบทและเหตุการณ์เหล่านี้ เพื่อให้ผู้นำและคนทำงานหรือพี่น้องชายหญิงใช้โอกาสนี้ในการแยกแยะผู้คนและสิ่งทั้งหลายโดยใช้ความจริงในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น เรียนรู้วิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างทะลุปรุโปร่ง และสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งขึ้น  จุดประสงค์ในการทำเช่นนี้คือเพื่อให้ผู้คนสามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์  นอกจากนี้ยังทำไปเพื่อให้พี่น้องชายหญิงมีสภาพแวดล้อมสำหรับชีวิตคริสตจักรที่เงียบสงบ เหมาะสม และไม่ถูกก่อกวน  ในอีกแง่มุมหนึ่ง นี่ก็เพื่อให้ผู้คนสามารถเรียนรู้บทเรียนที่หลากหลายในหนทางที่ทันท่วงทีและได้รับการฝึกฝน หลังจากได้รับการฝึกฝนในหนทางนี้แล้วครั้งหนึ่ง ผู้คนย่อมจะเกิดความก้าวหน้าในชีวิตของตนอย่างมหาศาล  นี่คือหนทางที่เบื้องบนใช้ฝึกฝนผู้นำและคนทำงานทุกระดับ และพี่น้องชายหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าพี่น้องชายหญิงที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  การทำเช่นนี้ไม่มีความมุ่งร้ายอยู่เลย เบื้องบนไม่ได้กำลังทรมานผู้คน หรือกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่  ถึงแม้ว่านี่คือแผนการฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการจัดการเตรียมงานชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงมีนัยสำคัญและมีคุณค่า เราหวังว่า ผู้นำและคนทำงานในทุกระดับ รวมถึงพี่น้องชายหญิง จะสามารถเข้าใจเรื่องนี้และเข้าหาสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง

พวกเราระบุการจัดการเตรียมงานออกมาทั้งหมดสิบรายการ และบัดนี้ เราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงทั้งสิบรายการนี้ในเบื้องต้นแล้ว  เรายังไม่ได้สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้โดยละเอียดมากนัก แต่สิ่งที่เราสามัคคีธรรมไปแล้วก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจและทำความเข้าใจได้ว่าการจัดการเตรียมงานคืออะไรกันแน่ และพระนิเวศของพระเจ้าทำงานที่เฉพาะเจาะจงใด  ในอีกแง่มุมหนึ่ง เจ้าก็ได้รับความเข้าใจว่า แท้จริงแล้วพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใดในคริสตจักรท่ามกลางผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร ผ่านงานที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้  งานของพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่การทำกิจการ หรือมีส่วนร่วมในการเมือง หรือในสิทธิมนุษยชน และไม่ใช่การทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ใดๆ งานที่พระนิเวศของพระเจ้าทำคือสิ่งที่พบได้ในการจัดการเตรียมงาน  ดังนั้น พรรครัฐบาลบางพรรคและสถาบันทางสังคมบางแห่งจึงมักสะกดรอย ค้นคว้า และสืบค้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสมอ และบางทีก็ด้วยการตรวจสอบเรื่องนี้—ผ่านการรับชมวีดิทัศน์และเว็บไซต์ของพระนิเวศของพระเจ้า—พวกเขาก็ได้ยืนยันแล้วว่า คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความเชื่อที่แท้จริง และคริสตจักรนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเมืองของประเทศใดทั้งสิ้น  คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทนทุกข์กับการกดขี่และการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมานานหลายปี แต่ยังคงประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้าต่อไป รวมถึงได้อัปโหลดพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และวีดิทัศน์คำพยานทุกรูปแบบทางออนไลน์ นำมาซึ่งประโยชน์อันยิ่งใหญ่และมากมายมหาศาลต่อสังคมมนุษย์ ทั้งยังพิสูจน์ให้เห็นโดยสมบูรณ์ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความจริง และทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดในยุคสุดท้ายอย่างต่อเนื่อง  พวกเขาเฝ้าค้นคว้าครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วผลลัพธ์ที่พวกเขาได้จากการค้นคว้านั้นคืออะไร?  พวกเขาเกิดความผิดหวังอย่างรุนแรงมิใช่หรือ?  พวกเขาถึงกับใคร่ครวญว่าจะใช้สิ่งใดเป็นเครื่องมือเพื่อปักหมุดว่าคริสตจักรของพวกเราเป็น “ลัทธิ” และตีตราคริสตจักรนี้ว่าเป็นพวกต่อต้านพรรคและต่อต้านรัฐ  แต่บัดนี้พวกเขาเห็นแล้วว่าพวกเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้—เมื่อตัดสินจากการจัดการเตรียมงานที่คริสตจักรแจกจ่ายมาตลอดหลายปี พวกเขาไม่มีทางที่จะตีตราเหล่านี้ให้กับคริสตจักร และการค้นคว้าของพวกเขาล้วนเปล่าประโยชน์  นี่ก็เหมือนกับเมื่อครั้งที่ชาวยิวศึกษาเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าในอดีตทุกประการ  เหล่าธรรมาจารย์ ฟาริสี และเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐต่างศึกษาสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสและทรงทำ และพบว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นไม่มีสิ่งใดขัดต่อกฎหมายหรือการเมืองเลย ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสและทรงทำนั้นถูกต้อง เป็นความจริง และสอดคล้องกับพระคัมภีร์โดยสมบูรณ์ และสุดท้ายพวกเขาก็ผิดหวัง  โลกศาสนาในปัจจุบันมองว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหนังสือและการอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วพวกเขาคิดอย่างไร?  หากพวกเขาไม่อาจมองเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาก็โง่เขลาอย่างเหลือเชื่อจริงๆ!  สิ่งที่มาจากพระเจ้าต้องรุ่งเรือง—นี่คือผลของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่มีใครสามารถปกปิดเรื่องนี้ได้  บัดนี้ พระวจนะของพระเจ้าได้เผยแผ่ไปทั่วทั้งโลก และความจริงที่พระองค์ทรงแสดงก็วางอยู่ต่อหน้ามวลมนุษย์ทั้งปวง การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าก้าวหน้าไปอย่างทรงพลัง ไม่มีชนชาติหรือกำลังบังคับใดต่อต้านได้  พญานาคใหญ่สีแดงได้รับความอับอายและพ่ายแพ้ไปแล้วโดยสิ้นเชิง!  ไม่ว่าโลกศาสนาจะกล่าวโทษอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าได้ และท้ายที่สุด พวกเขาจะได้แต่ถูกกำจัดและจมลงไปในกระแสอันเชี่ยวกรากของพระราชกิจนั้น

บัดนี้ เราได้สามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว  สิ่งที่เราสามัคคีธรรมไปแล้วนั้นล้วนเป็นงานที่พระนิเวศของพระเจ้าทำมิใช่หรือ?  นี่คืองานที่พวกเจ้ามองเห็นด้วยตาของพวกเจ้าเอง คือสิ่งที่พวกเจ้าได้ยินด้วยหูของตัวเอง และคือสิ่งที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์และรู้ซึ้งด้วยตัวเอง—ในเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับอยู่เลย  พญานาคใหญ่สีแดงมีการจัดการเตรียมงานทั้งปวงของคริสตจักรมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา—การจัดการเตรียมงานที่พวกเขามีนั้นมากมายและครอบคลุมทุกด้าน  พวกเขาศึกษาสิ่งเหล่านั้นทุกวัน และเฝ้าศึกษาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า “หากผู้คนเหล่านี้เผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและเป็นคำพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าในหนทางนี้อยู่เป็นนิจ แบบนั้นย่อมจะเลวร้ายมาก!  คนพวกนี้ต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก และต่อให้หนีไปต่างประเทศก็ปล่อยไว้ไม่ได้!”  เจ้าดูสิ พวกมารไม่เหมือนกับผู้คนที่เสื่อมทรามธรรมดา—พวกเขาจะต่อต้านพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง  หากผู้คนที่เสื่อมทรามธรรมดาเห็นคำพยานจากคริสตจักร พวกเขาย่อมสามารถเข้าใจคำพยานเหล่านั้นได้ พวกเขาคิดว่าคำพยานเหล่านั้นสมเหตุสมผล และจะไม่ทำการข่มเหงใดๆ  อย่างไรก็ตาม ซาตานและพวกมารไม่ได้เป็นเช่นนี้  เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าติดตามพระเจ้าและเป็นคำพยานให้กับพระเจ้า พวกเขาก็เกลียดเจ้า พวกเขาต้องการฆ่าเจ้า และไม่อนุญาตให้เจ้ามีชีวิตอยู่  หากเจ้าไม่ทำตามที่พวกเขาบอกและไม่เคารพพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีวันรามือจากเจ้า และจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่  ไม่ว่าเจ้าไปที่ใด พวกเขาก็จะไล่ล่าเจ้าจนตาย ต่อให้เจ้าไปจนสุดขอบแผ่นดินโลก พวกเขาก็จะยังไม่ปล่อยเจ้าไปอยู่ดี  นี่คือสิ่งที่พญานาคใหญ่สีแดงทำ  นี่คือความเลวร้ายของซาตาน และนี่ต่างจากคนเสื่อมทรามธรรมดา  เจ้าต้องเข้าใจประเด็นนี้ให้ชัดเจน

วิธีสื่อสารและดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้อง

I. วิธีสื่อสารการจัดการเตรียมงาน

การจัดการเตรียมงานทั้งสิบรายการนี้เป็นขอบเขตและเนื้อหาของงานต่างๆ ที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในคริสตจักรและท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งสิ้น  การเข้าใจเนื้อหาและขอบเขตของงานนี้ช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำกับดูแลผู้นำและคนทำงานให้ทำงานนี้ให้ดี  ในอีกแง่หนึ่ง โดยหลักแล้วสิ่งนี้ช่วยให้ผู้นำและคนทำงานเข้าใจและจับความเข้าใจขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของตน รวมถึงงานที่พวกเขาควรทำและหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วง และมีคำนิยามที่ถูกต้องของคำว่า “ผู้นำและคนทำงาน”  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานคืออะไร?  พวกเขาควรดำเนินชีวิตด้วยสภาพเสมือนสิ่งใด?  พวกเขาควรเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหรือไม่?  (ไม่)  “ผู้นำและคนทำงาน” ไม่ใช่ชื่อเรียกหรือตำแหน่งอย่างเป็นทางการ  คนเราควรเข้าใจว่า ผู้นำและคนทำงานคืออะไรจากหน้าที่ที่ผู้นำและคนทำงานทำ และจากพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขา รวมถึงมาตรฐานที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่พวกเขา  ในหนทางนี้ คนเราจะเกิดความเข้าใจที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับตำแหน่ง “ผู้นำและคนทำงาน” และเริ่มเข้าใจความหมายของผู้นำและคนทำงานอย่างชัดเจนขึ้น  อะไรคือหน้าที่รับผิดชอบขั้นต่ำที่ผู้นำและคนทำงานพึงลุล่วง?  พวกเขาควรสื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานแต่ละประการให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า ดังที่กล่าวถึงในรายการที่เก้า  ไม่ว่าการจัดการเตรียมงานเกี่ยวข้องกับแง่มุมใด ตราบเท่าที่มีการสื่อสารผ่านผู้นำและคนทำงาน สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือสื่อสารการจัดการเตรียมงานนี้กับคริสตจักรทั้งหลายโดยไม่รีรอและไม่หยุดยั้ง หลังจากที่พวกเขาเข้าใจการจัดการเตรียมงานนี้อย่างถูกต้องครบถ้วน  สำหรับผู้ที่ได้รับการสื่อสารการจัดการเตรียมงานนั้น หากพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้สื่อสารการจัดการเตรียมงานนี้ไปยังผู้นำและคนทำงานทุกระดับ รวมถึงผู้คนในระดับผู้ประกาศ ผู้นำคริสตจักร และมัคนายกของคริสตจักร เช่นนั้นก็ควรสื่อสารลงไปจนถึงผู้คนในระดับนี้ ก็เท่านั้นเอง หากต้องสื่อสารการจัดการเตรียมงานไปสู่พี่น้องชายหญิงทุกคน เช่นนั้นก็ควรสื่อสารสิ่งเหล่านี้ไปสู่พี่น้องชายหญิงทุกคนอย่างเคร่งครัดตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า  หากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยที่จะสื่อสารการจัดการเตรียมงานเป็นลายลักษณ์อักษร และการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือปัญหาที่หนักหนายิ่งกว่านั้น เช่นนั้นก็ควรสื่อสารเนื้อหาสำคัญและเป็นหลักธรรมของการจัดการเตรียมงานไปยังแต่ละคนอย่างถูกต้องด้วยวาจา  แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะถือว่าการจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารไปแล้ว?  หากสื่อสารการจัดการเตรียมงานเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ต้องยืนยันว่าทุกคนได้รับสิ่งที่สื่อสารออกไปแล้ว ทุกคนรู้ถึงการจัดการเตรียมงาน และเอาจริงเอาจังกับการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น หากสื่อสารการจัดการเตรียมงานด้วยวาจา เช่นนั้นเมื่อสื่อสารออกไปแล้วก็ต้องถามผู้คนซ้ำๆ ว่าพวกเขาเข้าใจการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นอย่างชัดเจนและจำได้หรือไม่  ทั้งยังสามารถขอให้พวกเขากล่าวทวนการจัดการเตรียมงานนั้นกลับมา—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นจึงถือได้ว่า การจัดการเตรียมงานได้ถูกสื่อสารออกไปแล้วอย่างแท้จริง  หากผู้คนสามารถกล่าวทบทวน และบอกได้อย่างชัดเจนว่าหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดคืออะไร และเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงคืออะไร นี่ย่อมพิสูจน์ได้ว่าการจัดการเตรียมงานได้ถูกสื่อสารเข้าสู่ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาแล้ว พวกเขาได้จดจำ และเข้าใจการจัดการเตรียมงานดังกล่าวอย่างชัดเจน  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงถือได้ว่า การจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารออกไปแล้วอย่างแท้จริง  หากภาวะ สภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆ ดังกล่าวทุกอย่างเหมาะสมที่จะสื่อสารการจัดการเตรียมงานเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นนั้นก็ต้องสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างแน่นอน แต่หากไม่สามารถสื่อสารการจัดการเตรียมงานเป็นลายลักษณ์อักษรได้เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนี้และต้องสื่อสารด้วยวาจาแทน เช่นนั้นก็ต้องยืนยันว่าสิ่งที่สื่อสารทางวาจานั้นตรงกันกับการจัดการเตรียมงาน ยืนยันว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกบิดเบือน ไม่มีการเพิ่มเติมความเข้าใจส่วนบุคคลเข้าไป และเชื่อมโยงกับข้อความต้นฉบับ—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ถือได้ว่าการจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารออกไปอย่างแท้จริงและถูกต้อง  การจัดการเตรียมงานควรถูกสื่อสารออกไปตามถ้อยคำที่เฉพาะเจาะจงอย่างครบถ้วน สิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกสื่อสารอย่างไร้ความรับผิดชอบหรือด้วยการตีความที่บิดเบือนหรือไร้สาระตามความเข้าใจและความคิดฝันส่วนตัวของผู้คน  สำหรับการสื่อสารการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้อง ผู้คนควรเข้าใจถึงระดับความเข้มงวดของการสื่อสารการจัดการเตรียมงาน กล่าวคือ การสื่อสารสิ่งเหล่านี้ต้องกระทำอย่างถูกต้อง  บางคนกล่าวว่า “พวกเราต้องสื่อสารสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องแม่นยำใช่หรือไม่?”  ไม่ใช่ ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น  ความแม่นยำเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ หากผู้คนสามารถสื่อสารสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ก็ถือว่าพวกเขาก็ทำได้ดีทีเดียว  ตัวอย่างเช่น เรื่องของชีวิตคริสตจักร การจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเรื่องการรู้จักพระเจ้า—เรื่องนี้ง่ายต่อการสื่อสารใช่หรือไม่?  (ใช่)  การจัดการเตรียมงานมอบขอบเขตให้ผู้คน และพวกเขาก็สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ได้  อย่างไรก็ตาม หากใครบางคนตีความการจัดการเตรียมงานแบบผิดๆ เติมความเข้าใจส่วนตัว รวมถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเขาลงไป อีกทั้งสื่อสารคำพูดบางคำเพิ่มขึ้นมา นี่ก็หมายความว่า เขาได้เบี่ยงออกจากการจัดการเตรียมงานแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาสื่อสารการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เขากำลังสื่อสารการจัดการเตรียมงานโดยเพิ่มเติมสิ่งต่างๆ เข้าไปเอง—นี่คือเรื่องที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง  คนเราต้องอ่านการจัดการเตรียมงานทุกประการที่มาจากเบื้องบนซ้ำๆ กันหลายครั้งและเข้าใจความหมายที่ถูกต้องให้ชัดเจน นัยสำคัญของการแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานนี้ และผลลัพธ์ที่ตั้งใจให้สัมฤทธิ์ จากนั้นจึงคิดหาหาทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติงานเฉพาะนั้นๆ ที่เบื้องบนจัดการเตรียมงานให้ หลีกเลี่ยงการทำผิดพลาด  หลังจากสามัคคีธรรมและเข้าใจการจัดการเตรียมงานเหล่านี้แล้ว การสื่อสารสิ่งเหล่านี้ย่อมจะถูกต้องโดยสมบูรณ์  สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกคือ ส่งการจัดการเตรียมงานจากผู้นำและคนทำงานในเขตอภิบาลไปยังผู้นำและคนทำงานทุกระดับ ซึ่งจะเป็นผู้ส่งการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นไปยังผู้ดูแลของทุกๆ ฝ่ายในคริสตจักรตามลำดับในที่สุด  จากนั้นก็ต้องสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าหลายๆ ครั้งในการชุมนุมเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนเข้าใจและรู้วิธีนำการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ไปปฏิบัติ—มีเพียงเมื่อสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถถือได้ว่าสิ่งเหล่านี้ได้ถูกสื่อสารออกไปแล้ว การจัดการเตรียมงานต้องสื่อสารออกไปตามวิธีการและขอบเขตที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด  แน่นอนว่า เนื้อหาที่สื่อสารนั้นต้องถูกต้องและไร้ข้อผิดพลาด  ผู้นำและคนทำงานต้องไม่ตีความการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ผิด และไม่เพิ่มเติมแนวคิดของตนเองเข้าไปโดยไม่ยั้งคิด—นั่นไม่ใช่วิธีสื่อสารการจัดการเตรียมงานที่ถูกต้อง และถือเป็นความล้มเหลวในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน  นี่คือวิธีเข้าใจการสื่อสารและดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้อง

หากผู้นำและคนทำงานยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับวิธีสื่อสารการจัดการเตรียมงานให้ถูกต้อง พวกเขาควรทำอย่างไร?  เรื่องนี้มีวิธีการที่เรียบง่ายและง่ายดายมาก  หลังจากผู้นำและคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงานแล้ว ก่อนอื่นพวกเขาควรสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานดังกล่าวกับผู้นำและคนทำงานคนอื่น ดูว่าในการจัดการเตรียมงานนี้เบื้องบนกำหนดงานที่เฉพาะเจาะจงมากี่งาน แล้วไล่เรียงงานเหล่านั้นออกมาทีละรายการ  จากนั้นพวกเขาก็ควรพิจารณาสถานการณ์จริงของคริสตจักรท้องถิ่นตามการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ อย่างเช่น รูปการณ์แวดล้อมของงานข่าวประเสริฐ งานสายอาชีพหลากหลายประเภท และชีวิตคริสตจักร รวมไปถึงขีดความสามารถและรูปการณ์แวดล้อมทางครอบครัวของผู้คนนานาสารพัดประเภท เป็นต้น โดยผนวกทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันเพื่อดูว่าจะดำเนินงานแต่ละชิ้นอย่างไร  ผ่านการสามัคคีธรรม ผู้นำและคนทำงานทุกคนต้องเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกันเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงาน และมีวิธีการอันสอดคล้องที่จะสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น—ในหนทางนี้เท่านั้น การจัดการเตรียมงานจึงได้รับการสื่อสารอย่างถูกต้อง  หากผู้นำหรือคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงาน แล้วหลับหูหลับตาเรียกพี่น้องชายหญิงมารวมตัวกันเพื่อแจกจ่ายและสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น โดยที่ยังไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นประกอบด้วยอะไรเป็นการเฉพาะบ้าง การทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?  ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำเช่นนี้คือ หลังจากสื่อสารการจัดการเตรียมงานออกไปหนึ่งหรือสองเดือน ย่อมพบว่าทุกๆ คริสตจักรมีการเบี่ยงเบนอยู่ในวิธีดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น และเมื่อผู้นำหรือคนทำงานตรวจสอบการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นอย่างใกล้ชิดเท่านั้น พวกเขาจึงพบว่า การจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารออกไปพร้อมความเบี่ยงเบน  หากในตอนนั้นผู้นำและคนทำงานตั้งใจอ่านและสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงาน การนี้ย่อมจะเป็นไปด้วยดี แต่เนื่องจากพวกเขาเกียจคร้านและสุกเอาเผากินไปชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาจึงก่อให้เกิดข้อผิดพลาดและการเบี่ยงเบนขึ้นมากมายในงานของคริสตจักร และหลังจากนั้น พวกเขาก็ต้องแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น  นี่เป็นการเพิ่มขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและเป็นการเสียเวลา  หากพวกเขาได้สามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานอย่างชัดเจนโดยตรงแต่แรก แล้วค่อยสื่อสารและดำเนินการสิ่งเหล่านั้นไปทีละรายการย่อมจะดีกว่า  นี่คือความผิดพลาดในยามที่งานออกมาไม่ดีมิใช่หรือ?  (เป็นความผิดพลาด)  เพราะฉะนั้น การสื่อสารการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้องจึงมีขั้นตอนต่างๆ  ก่อนอื่น ผู้นำและคนทำงานต้องมีการทำความเข้าใจที่แท้จริงและมีความเข้าใจที่ถูกต้องในเนื้อหาเฉพาะของการจัดการเตรียมงาน จากนั้นพวกเขาก็ต้องมีแผนการดำเนินการ วิธีดำเนินการ และบุคคลที่เป็นเป้าหมายของการดำเนินการที่เฉพาะเจาะจงอยู่ในใจ—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะสื่อสารการจัดการเตรียมงานได้อย่างถูกต้อง  หากผู้นำและคนทำงานหลับหูหลับตาแจกจ่ายและสื่อสารการจัดการเตรียมงานออกไป โดยที่พวกเขามีแค่ความเข้าใจที่ไม่ครบถ้วน แค่ดูเหมือนเข้าใจการจัดการเตรียมงานเท่านั้น แต่ยังคลุมเครือและไม่ได้เข้าใจสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจน หรือไม่เข้าใจข้อกำหนดและเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงในการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  ผู้นำและคนทำงานเช่นนั้นจะสามารถปฏิบัติงานให้ดีได้หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่ได้  ดังนั้นในสถานการณ์ที่พี่น้องชายหญิงไม่รู้ว่าหลักธรรมและมาตรฐานที่กำหนดอย่างเฉพาะเจาะจงคืออะไร หรือไม่รู้ว่าควรดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นอย่างไรกันแน่ ผู้นำและคนทำงานจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงาน รวมไปถึงมีแผนการที่ชัดเจน และมีขั้นตอนในการดำเนินการจัดการเตรียมงานนั้นเรียบร้อยแล้ว—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ผู้นำและคนทำงานจะสามารถดำเนินการในขั้นตอนแรก กล่าวคือ สื่อสารการจัดการเตรียมงานได้  เมื่อสื่อสารการจัดการเตรียมงานนั้นไปแล้ว และพี่น้องชายหญิงทุกคนต่างเข้าใจเนื้อหาของการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้อง อีกทั้งมีความรู้เกี่ยวกับนัยสำคัญ คุณค่า และมาตรฐานของพระนิเวศของพระเจ้าในการทำงานนี้อยู่บ้าง เช่นนั้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ควรสามัคคีธรรมถึงวิธีจัดสรรผู้คนและงานที่เฉพาะเจาะจง รวมถึงแผนการที่เฉพาะเจาะจงว่าใครจะดำเนินการและปฏิบัติงานนี้โดยทันที—สิ่งเหล่านี้คือขั้นตอนในการปฏิบัติงาน  เจ้าคิดอย่างไรกับการติดตามงานในหนทางนี้?  นี่ถือเป็นการติดตามงานอย่างใกล้ชิดได้หรือไม่?  นี่คือการติดตามงานอย่างทันท่วงทีใช่หรือไม่?  (ใช่)

II. วิธีดำเนินการจัดการเตรียมงาน

เมื่อผู้นำและคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงาน พวกเขาไม่ใช่แค่ต้องสื่อสารและแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานดังกล่าวออกไปแล้วจบลงเพียงเท่านั้น  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรทุกแห่งรับรู้ว่ามีการแจกจ่ายออกไปแล้ว จะถือได้หรือไม่ว่าการจัดการเตรียมงานได้รับการดำเนินการแล้ว?  นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหรือการดำเนินการจัดการเตรียมงานที่แท้จริง นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา และไม่ใช่มาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดในท้ายที่สุด  การสื่อสารและการแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานไม่ใช่จุดมุ่งหมาย—จุดมุ่งหมายคือการดำเนินการ  การจัดการเตรียมงานจะถูกดำเนินการอย่างเฉพาะเจาะจงอย่างไร?  ผู้นำและคนทำงานต้องเรียกผู้ดูแลและพี่น้องชายหญิงทุกคนที่เกี่ยวข้องมารวมตัวกัน และสามัคคีธรรมถึงวิธีทำงานกับพวกเขา ขณะเดียวกันก็เลือกผู้ดูแลหลักและสมาชิกในฝ่ายที่จะดำเนินงานดังกล่าว  สิ่งแรกที่ผู้นำและคนทำงานควรทำเวลาดำเนินงานคือสามัคคีธรรม—จงสามัคคีธรรมถึงวิธีทำงานที่ตรงตามหลักธรรมและสอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานนี้จากพระนิเวศของพระเจ้า รวมถึงวิธีทำงานในหนทางที่ทำให้การจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้านี้ถูกนำไปปฏิบัติและดำเนินการ  ระหว่างการสามัคคีธรรม พี่น้องชายหญิง รวมถึงผู้นำและคนทำงานควรเสนอแนะแผนการอันหลากหลาย แล้วในที่สุดก็ควรเลือกหนทาง วิธีการ และขั้นตอนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักธรรมมากที่สุด โดยตัดสินใจว่าทำสิ่งใดก่อน และทำสิ่งใดหลัง เพื่อให้งานสามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นระเบียบ  ทันทีที่เข้าใจเรื่องในนี้ทางทฤษฎี เมื่อผู้คนไม่มีความลำบากยากเย็นหรือความคิดฝันอีกต่อไป เมื่อพวกเขาจะไม่รู้สึกต่อต้านใดๆ ต่องานนี้ ทั้งยังสามารถเข้าใจความหมายและจุดประสงค์ของการจัดการเตรียมงานนี้ของพระนิเวศของพระเจ้า นั่นก็ยังไม่สามารถถือว่างานนี้ได้รับการดำเนินการแล้ว  ต้องมีการตัดสินใจด้วยว่าใครที่เหมาะสมและมีทักษะในงานนี้มากที่สุด ใครสามารถแบกรับหน้าที่รับผิดชอบของงานนี้ได้ และใครมีความสามารถที่จะทำงานนี้ให้เสร็จสมบูรณ์  ต้องมีการคัดเลือกผู้ที่จะรับผิดชอบงานนี้ ต้องมีการกำหนดแผนการดำเนินการและกำหนดเวลาแล้วเสร็จ รวมถึงต้องมีการตระเตรียมและระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับทรัพยากร ส่วนประกอบ และสิ่งจำเป็นอื่นๆ สำหรับการทำงานนี้ให้เสร็จสมบูรณ์—เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะถือว่างานดังกล่าวถูกดำเนินการแล้ว  แน่นอนว่า ก่อนดำเนินการ จำเป็นจะต้องสื่อสารและหารืออย่างเจาะจงเป็นรายบุคคลกับผู้ที่รับผิดชอบงานนี้ โดยถามพวกเขาว่าเคยทำงานนี้มาก่อนหรือไม่ และมีทัศนะหรือความคิดอย่างไรเกี่ยวกับงานนี้  หากพวกเขาเสนอแผนการและความคิดบางอย่างที่สอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นก็อาจจะนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ได้  ยิ่งไปกว่านั้น ในการดำเนินงานทุกอย่างก็ต้องใส่ใจในการค้นหาด้วยว่า ที่จริงแล้วมีปัญหาอยู่มากแค่ไหน—นี่คือขั้นตอนที่ไม่ควรละเลย  หลังจากค้นพบปัญหาแล้ว ก็ต้องคิดหาหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ทันกาล และหลังจากแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างครบถ้วนแล้วเท่านั้นจึงจะเป็นการดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างแท้จริง  นอกจากนี้ เจ้าก็ต้องแสวงหาวิธีที่จะทำงานนี้ในหนทางที่สอดคล้องกับหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดด้วยมิใช่หรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะมีข้อกำหนดในแง่ของเวลาสำหรับงานนี้อย่างไร งานนี้ต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ภายในช่วงเวลาใด ไม่ว่าจะมีข้อกำหนดที่เป็นรูปธรรมในเรื่องของทักษะทางวิชาชีพหรือไม่ และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหัวข้อที่ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมกับผู้ดูแลที่เกี่ยวข้อง  นี่คือการดำเนินการ  การดำเนินการไม่ได้จบลงที่การสื่อสารด้วยวาจาหรือทฤษฎี แต่กลับเกี่ยวข้องกับความคืบหน้าที่แท้จริงของงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงปัญหาและความลำบากยากเย็นเฉพาะบางอย่างที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรคำนึงถึงเมื่อดำเนินการจัดการเตรียมงานกับผู้ดูแล  กล่าวคือ ก่อนที่จะปฏิบัติงานที่เฉพาะเจาะจงนี้ ผู้นำและคนทำงานควรมีการสามัคคีธรรม วิเคราะห์ และหารือกับผู้ดูแลในลักษณะนี้—นี่คือการดำเนินการ  การดำเนินการนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังเป็นสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานพึงสัมฤทธิ์  การปฏิบัติในหนทางนี้คือการปฏิบัติงานที่แท้จริง  สมมุติผู้นำคนหนึ่งกล่าวว่า “ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำงานนี้อย่างไรเหมือนกัน  แต่อย่างไรเสียฉันได้ส่งต่องานนี้ให้คุณแล้ว  ฉันได้สื่อสารและแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานให้คุณแล้ว แถมยังบอกทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องให้คุณฟังแล้วด้วย  ส่วนคุณจะรู้วิธีทำงานนี้หรือไม่ คุณจะทำงานนี้อย่างไร ไม่ว่าคุณจะทำได้ดีหรือไม่ดี และคุณจะใช้เวลาแค่ไหน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับคุณ  เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  การที่ฉันทำงานมากขนาดนี้ก็เท่ากับฉันได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองแล้ว”  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรพูดอย่างนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  หากผู้นำพูดเช่นนี้ เขาคือคนประเภทใด?  เขาคือผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อไรก็ตามที่เบื้องบนมีข้อกำหนดและจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติงานตามการจัดการเตรียมงาน คนประเภทนี้ย่อมจะผลักงานทั้งหมดไปให้ผู้อื่น โดยกล่าวว่า “คุณทำสิ ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  อย่างไรเสียคุณก็เข้าใจงานทั้งหมดอยู่แล้ว  คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ ส่วนฉันมันคนธรรมดา”  นี่คือ “คำพูดยอดนิยม” ที่พวกผู้นำเทียมเท็จมักกล่าวออกมาเป็นประจำ พวกเขาหาข้อแก้ตัว แล้วจากนั้นก็แอบหนีไป

โดยสรุปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความรับผิดชอบในงานของตน  ไม่ว่าขีดความสามารถของพวกเขาจะสูงหรือต่ำ หรือไม่ว่าพวกเขาเหมาะสมกับงานนี้หรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาไม่สนใจ พวกเขาไม่ทุ่มเทหัวใจให้กับงานนี้ และพวกเขาทำอย่างสุกเอาเผากินเสมอ  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงถึงการไร้ความรับผิดชอบ  สมมุติว่าผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งไม่ค่อยมีขีดความสามารถและประสบการณ์ที่ลึกซึ้งนัก แต่เขาสามารถทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจและทุ่มเทหัวใจให้กับงานของตน  ถึงแม้ว่าผลสัมฤทธิ์ในงานของเขาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เขาทุ่มเททั้งหัวใจให้กับงานของตน ทั้งยังทำงานนี้อย่างสุดความสามารถ  นี่เป็นเพราะเขาค่อนข้างไร้ขีดความสามารถและมีวุฒิภาวะน้อยเท่านั้นเอง เขาจึงทำงานได้ไม่ดี  หลังจากฝึกฝนตนเองไประยะหนึ่งแล้ว หากเขาจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถในงานของตนอย่างแท้จริง เช่นนั้นผู้นำประเภทนี้ก็ควรได้รับการบ่มเพาะต่อไป  หากผู้นำไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเอาแต่ยึดติดกับตำแหน่งและลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง แต่ไม่ทำงานจริงเลย เช่นนั้นแล้ว เขาก็คือผู้นำเทียมเท็จโดยแท้ เขาควรถูกปลดในทันที และไม่ได้รับอนุญาตให้เลื่อนขั้นหรือใช้งานอีกต่อไป  ผู้นำที่แท้จริง ผู้นำที่มีความรับผิดชอบย่อมทุ่มเทอย่างสุดความสามารถให้กับงานของตน—เขาอุทิศจิตใจให้กับงาน เขาหาหนทางทุกรูปแบบเพื่อทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จ และเขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถ—เขาย่อมกำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในหนทางนี้  ขณะที่ดำเนินการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า ผู้นำที่มีความรับผิดชอบจะคอยสังเกตและติดตามสถานะของการดำเนินการนั้นเช่นกัน  เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น พวกเขาจะสามารถใช้มาตรการตอบโต้และหนทางแก้ไข แทนที่จะแอบหนีไปและปัดความรับผิดชอบในเรื่องนี้  การดำเนินงานในหนทางนี้เรียกว่าการมีความรับผิดชอบ  เมื่อการจัดการเตรียมงานถูกแจกจ่ายออกไป ผู้นำและคนทำงานควรถือว่างานชิ้นนั้นสำคัญที่สุดในเวลานี้ และมีความรับผิดชอบต่องานนั้น พวกเขาต้องติดตามงานนั้นด้วยตนเอง รับผิดชอบงานนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ และจะปล่อยมือก็ต่อเมื่องานนั้นอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง และผู้นำของแต่ละฝ่ายรู้วิธีปฏิบัติงานดังกล่าวแล้วเท่านั้น  แต่หลังจากปล่อยมือจากงานนั้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ยังจำเป็นต้องเข้าใจสถานะของงาน และตรวจสอบงานนั้นอยู่เป็นระยะ มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะมั่นใจได้ว่างานดังกล่าวดำเนินไปด้วยดี  ผู้นำและคนทำงานที่ไม่ละทิ้งตำแหน่งหน้าที่ของตน ยืนหยัดอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้งานอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง—นี่จึงเรียกว่าการทำงานที่แท้จริง  ในระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องเอาใจใส่และตรวจสอบความคืบหน้าของงานชิ้นอื่นด้วยเช่นกัน  ไม่ว่าจะเกิดปัญหาหรือความลำบากยากเย็นใดขึ้นในงานนั้น ผู้นำและคนทำงานก็ควรรีบไปที่หน้างานเพื่อมอบแนวทางและหนทางแก้ไข  ผู้นำหลักต้องยึดมั่นกับงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และในเวลาเดียวกัน เขาจำเป็นต้องติดตาม เข้าใจ ตรวจสอบ กำกับดูแลงานอื่นในคริสตจักรและต้องแน่ใจว่างานทั้งหมดนั้นดำเนินไปอย่างเป็นปกติอีกด้วย  สำหรับงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ผู้นำหลักต้องทำงานที่หน้างานและสั่งการงานนี้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นส่วนที่สำคัญยิ่งของงาน เขาต้องไม่ออกไปจากหน้างานโดยเด็ดขาด  หากคนหนึ่งคนไม่เพียงพอ ก็ควรจัดวางคนอีกคนหนึ่งเพื่อร่วมมือและกำกับงานนี้ร่วมกับคนคนนั้น—นี่คือการพยายามอย่างสุดความสามารถ และการรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยจุดประสงค์เดียวกันเพื่อทำงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดให้ดี  เนื่องจากพระนิเวศของพระเจ้ามีงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่ทุกระยะและทุกช่วงเวลา หากผู้นำหลักไม่ทำงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดให้ดี เขาย่อมมีปัญหาเรื่องขีดความสามารถและต้องถูกปลด  ผู้นำหลักต้องรับผิดชอบงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ขณะที่ผู้นำคนอื่นทำเช่นเดียวกันกับงานธรรมดา ผู้นำและคนทำงานต้องเรียนรู้วิธีจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน และเรียนรู้วิธีชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย  หากผู้นำและคนทำงานสามารถเชี่ยวชาญหลักธรรมเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ตรงตามมาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงาน

ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขาเป็นมือใหม่ และกำลังฝึกฝนการปฏิบัติงาน ดังนั้น สิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับพวกเขาคือการเรียนรู้เพื่อให้เชี่ยวชาญในหลักธรรม  บางคนอาจจะกล่าวว่า “ข้อกำหนดที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อผู้นำและคนทำงานไม่สูงเกินไปหรือ?”  จริงๆ แล้วไม่เลย  การกำหนดให้ผู้คนเชี่ยวชาญในหลักธรรมจะเป็นข้อกำหนดที่สูงได้อย่างไร?  คนเราจะสามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรให้ดีได้อย่างไรหากเขาไม่อาจเชี่ยวชาญในหลักธรรม?  ใครสักคนจะเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้อย่างไรหากเขาจัดการเรื่องทั้งหลายโดยไร้ซึ่งหลักธรรม?  การเชี่ยวชาญในหลักธรรมเป็นข้อกำหนดสำหรับผู้นำและคนทำงาน ไม่ใช่สำหรับคนทั่วไป หากใครบางคนไม่อาจเชี่ยวชาญในหลักธรรมได้ พวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานให้ดีได้  ผู้คนที่มีขีดความสามารถน้อยเกินไปย่อมขาดหลักธรรม พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่บ่มเพาะพวกเขา และพวกเขาย่อมมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเป็นผู้นำด้วยเช่นกัน  คนบางคนรู้สึกอยู่เสมอว่าการเป็นผู้นำนั้นเป็นเรื่องยาก และเรื่องนี้มีเหตุผลอยู่สองข้อ เหตุผลหนึ่งคือพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเลย และไม่สามารถใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ พวกเขาไร้ซึ่งขีดความสามารถ พวกเขาไม่รู้ว่าการทำงานหมายถึงอะไร พวกเขาไม่สามารถอธิบายหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติสำหรับงานดังกล่าวได้อย่างชัดเจน และพวกเขาก็ไม่สามารถเอ่ยคำสอนอย่างชัดเจนได้เสียด้วยซ้ำ  ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ  สมมุติว่าคนบางคนมีขีดความสามารถที่ต่ำเกินไป พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำงานอย่างไร และพวกเขาก็ไม่มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของตนเลย—กล่าวคือ พวกเขาใช้เวลาหลายวันเพื่อทำงานงานหนึ่งที่ควรใช้เวลาวันเดียว หรือใช้เวลาหกเดือนในการทำงานงานหนึ่งที่ควรใช้เวลาหนึ่งเดือน—ผู้คนเช่นนั้นไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีอะไรดีเลย  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไปไม่สามารถทำหน้าที่ใดให้ดีได้  การที่เรามีข้อกำหนดเหล่านี้ให้แก่ผู้คนคือสิ่งที่ทั้งสมเหตุสมผลและเป็นธรรม และข้อกำหนดเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานสามารถสัมฤทธิ์ได้  คนบางคนรู้สึกว่า สิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดนั้นสูงเกินไป—นี่แสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นผู้นำและคนทำงาน และพวกเขาควรแสดงความรับผิดชอบและลาออกไปเสีย  เจ้าไม่สามารถแบกรับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และเจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็น ดังนั้นถึงแม้เจ้าเป็นผู้นำ เจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทำงานชิ้นหนึ่งให้ดีได้ เจ้าจะสามารถดูแลงานอื่นในเวลาเดียวกันได้อย่างไร?  คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไปนั้นคู่ควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  หากพวกเขาดีไม่เท่าสุนัขเฝ้าบ้านเสียด้วยซ้ำ พวกเขาก็ไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่ามนุษย์  เวลาที่สุนัขตัวหนึ่งเฝ้าบ้าน มันไม่เพียงแต่เฝ้าสนามหน้าบ้าน สนามหลังบ้าน และแปลงผักเท่านั้น แต่ยังสามารถเฝ้าไก่ ห่าน และแกะในบ้านได้ด้วย  ในจังหวะที่สุนัขเห็นคนแปลกหน้าเข้ามา มันก็เห่าไล่—สุนัขจะไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาในสนาม ทั้งยังรู้จักเห่าเตือนเจ้าของบ้านเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามา  แม้กระทั่งจิตใจของสุนัขก็ไม่ได้เรียบง่าย  หากคนบางคนมีขีดความสามารถที่ต่ำเกินไปและไม่สามารถเปรียบเทียบกับสุนัขได้เสียด้วยซ้ำ คนประเภทนั้นก็ย่อมไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  คนบางคนรักสบายและเกลียดงาน เป็นพวกตะกละตะกลามและเกียจคร้าน พวกเขาต้องการเกาะพระนิเวศของพระเจ้ากินโดยไม่ทำอะไรด้วยตนเองทั้งสิ้น—คนพวกนี้คือปรสิตมิใช่หรือ?  การกำหนดให้ผู้นำและคนทำงานจัดการกับเรื่องต่างๆ ด้วยหลักธรรม คือการที่พระนิเวศของพระเจ้ากำลังบ่มเพาะและฝึกฝนให้พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้  ผู้นำและคนทำงานบางคนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าได้—คนเหล่านี้ล้วนได้รับพรจากพระเจ้า  พวกที่รักสบายและเกลียดงาน และพวกที่ไม่ทำอะไรจริงเลยต้องถูกกำจัดออกไป  พวกคนไร้ประโยชน์ที่ละโมบความสะดวกสบาย คนที่กลัวความยากลำบากและความเหนื่อยล้า คนที่มักพร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากและอุปสรรคอยู่เสมอ และไม่สามารถสู้ทนความยากลำบากได้เลยต้องถูกกำจัดออกไปให้หมด—อย่าเหลือไว้แม้แต่คนเดียว!  ในยามที่ผู้นำและคนทำงานเริ่มทำงานของตน หากพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นนานาประการ พวกเขาก็ควรค้นหาต้นตอของปัญหา แล้วจากนั้นจึงชำระตัวปัญหาที่ขัดขวางและไร้เหตุผลเหล่านั้น—พวกเครื่องสะดุดและสิ่งกีดขวางเหล่านั้นออกไป  เมื่อคนที่เหลืออยู่ล้วนเป็นผู้ที่สามารถยอมรับความจริง เชื่อฟัง และนบนอบ การนำพวกเขาย่อมจะง่ายขึ้นมาก  เวลาที่ผู้นำและคนทำงานทำงาน อันดับแรกพวกเขาควรสามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจน เพื่อที่หลังจากผู้คนได้ฟังแล้ว พวกเขาจะมีหนทางไปข้างหน้า  ผู้นำและคนทำงานไม่ควรเอ่ยคำสอน โห่ร้องคำขวัญ และยิ่งไม่ควรบังคับให้ผู้คนเอาใจใส่ เชื่อฟัง และปฏิบัติตาม  หากผู้นำและคนทำงานสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจน เช่นนั้นผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะเต็มใจนำความจริงไปปฏิบัติ  เป็นเรื่องที่น่ากังวลหากผู้นำและคนทำงานไม่อธิบายสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนหรือกระจ่างแจ้ง แต่ยังคงเรียกร้องให้พี่น้องชายหญิงปฏิบัติ และพี่น้องชายหญิงก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร อีกทั้งไม่สามารถหาเส้นทางปฏิบัติได้—เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของงานนั้น  ดังนั้นตราบเท่าที่ผู้นำและคนทำงานสามารถอธิบายหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวกับงานที่เฉพาะเจาะจงทุกประเภทได้อย่างชัดเจนและแจ่มแจ้ง เช่นนั้นผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะเข้าใจและมีเหตุผล และพวกเขาจะเต็มใจทำในส่วนของตน  หากใครบางคนพูดในสิ่งที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความจริง และเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ทุกคนย่อมเต็มใจที่จะฟัง  อย่างไรก็ตาม มีสถานการณ์ที่ผู้นำและคนทำงานบางคนเอ่ยแต่คำพูดและคำสอนเท่านั้น และเมื่อใครบางคนถามพวกเขาเกี่ยวกับเส้นทางปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง พวกเขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ และพวกเขาก็เอ่ยคำสอนที่ยิ่งใหญ่และโห่ร้องคำขวัญบางอย่างแทน จากนั้นก็ส่งคนคนนั้นกลับไป พลางคิดว่า “คุณกำลังขอให้ฉันนำสิ่งนี้ไปปฏิบัติ แต่คุณยังไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนเลย—แล้วฉันจะปฏิบัติได้อย่างไร?  ฉันไม่มีเส้นทางให้เดินตาม!  ฉันถามคุณเพราะฉันไม่เข้าใจ แต่กลายเป็นว่าคุณก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แถมยังรู้แต่วิธีเอ่ยคำสอนและตะโกนคำขวัญเท่านั้น  คุณไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลย  ทำไมฉันถึงควรจะเชื่อฟังคุณ?  ฉันเชื่อฟังความจริง ไม่ใช่คุณที่เอ่ยคำสอนและตะโกนคำขวัญ!”  มีสถานการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้น  หากผู้นำและคนทำงานสามารถหลีกเลี่ยงการพูดคำสอนที่ว่างเปล่า โดยพูดอย่างจริงใจ สามัคคีธรรมหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติอย่างชัดเจนได้ เช่นนั้นผู้คนส่วนใหญ่ก็จะสามารถเชื่อฟังได้  เพราะฉะนั้น งานของคริสตจักรเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายอย่างแท้จริง ตราบเท่าที่ผู้นำและคนทำงานสามารถดำเนินการจัดการเตรียมงานได้อย่างจริงจัง ตั้งมั่นในตำแหน่งของตน และมีส่วนร่วมในงานที่เฉพาะเจาะจง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถทำงานให้ดีได้อย่างแน่นอน  สิ่งที่น่ากังวลก็คือ หากผู้นำ คนทำงาน และผู้ดูแลขาดความรับผิดชอบและทำตัวเหนือกว่า รู้แต่วิธีเอ่ยคำสอนและกู่ร้องคำขวัญ และไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในงานอันเฉพาะเจาะจงที่หน้างาน—เช่นนั้นแล้ว งานนั้นย่อมจะมีปัญหาอย่างแน่นอน  นี่เป็นเพราะคนระดับล่างไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาต้องการใครสักคนมาชี้ทางให้พวกเขา พวกเขาต้องการแกนนำ ต้องการใครสักคนมานำพวกเขาด้วยตนเองและบอกพวกเขาว่าต้องทำอย่างไร พวกเขาต้องการใครสักคนมากำกับดูแลและดำเนินการตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นงานนั้นจะไม่ได้รับการดำเนินการ  หากเจ้าคาดหวังว่าเจ้าจะสามารถตะโกนคำสอนและคำขวัญสองสามคำจากตำแหน่งที่มีสถานะ แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะดำเนินการและทำตามที่เจ้าบอก เช่นนั้นก็ฝันไปเถิด  ผู้ใต้บังคับบัญชาก็เหมือนเครื่องจักร หากไม่มีใครกระตุ้น พวกเขาก็จะไม่ลงมือทำ  หากแม้แต่คนที่รับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงานยังไม่สามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นพวกเขาก็ขาดความเข้าใจเชิงลึกมากเกินไปแล้ว!  ในยามที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน พวกเขาไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  พวกเขาไม่รู้ว่างานใดสำคัญอย่างยิ่งยวดและอะไรคืองานกิจธุระทั่วไป และพวกเขาไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วนได้  ไม่ว่าพวกเขาทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่มีหลักธรรม พวกเขาไม่สามารถอธิบายเส้นทางปฏิบัติได้อย่างชัดเจน และพวกเขาก็เพียงเอ่ยคำสอนและกู่ร้องคำขวัญ พูดสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่างเท่านั้น  ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาไม่สามารถทำงานใดได้เลย และได้แต่ถูกกำจัดออกไปเท่านั้น  ผู้นำและคนทำงานต้องรู้วิธีจัดการเตรียมงานและดำเนินการ พวกเขาต้องรู้วิธีตรวจสอบและกำกับงาน และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง  มีเพียงผู้นำและคนทำงานเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถทำงานจริงและโน้มน้าวใจผู้คนได้โดยสมบูรณ์  หากผู้นำไม่สามารถกำกับงานหรือค้นพบและแก้ไขปัญหาทั้งหลายได้ หากเขาทำได้เพียงสั่งสอนและตัดแต่งผู้อื่นอยู่ร่ำไป ทั้งยังโทษผู้อื่นในยามที่ตัวเองทำให้สิ่งทั้งหลายยุ่งเหยิง เช่นนั้นนี่ก็คือการเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถ  ผู้นำเช่นนั้นเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ เขาคือผู้นำเทียมเท็จ และเขาต้องถูกกำจัดออกไป  หากเจ้าไม่รู้ว่าจะทำงานที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างอย่างไร อย่างน้อยเจ้าก็ต้องหาสองคนที่เหมาะสมมาเป็นผู้ช่วย เพื่อช่วยเหลือเจ้าให้ทำงานที่เฉพาะเจาะจงนี้ให้ดี และอย่างน้อย เจ้าก็ต้องจัดการและเอาคนที่เป็นอุปสรรคที่ก่อการรบกวนออกไปเสียก่อน  นี่คือการสร้างภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการทำงานนี้ให้ดีมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าพบคนที่สามารถทำบางสิ่งที่แท้จริงได้ หากเจ้าเลื่อนตำแหน่งให้คนเหล่านั้นทันที และหากเจ้าจัดการและเอาตัวคนที่ก่อการรบกวนและการขัดขวางออกไปทันที เมื่อเจ้าทำงานนี้ต่อไป ความยากลำบากก็จะน้อยลงมาก  ผู้นำที่ขาดพร่องขีดความสามารถมากเกินไปย่อมไม่สามารถทำงานเช่นนี้ได้  พวกเขากลัวการล่วงเกินผู้คน และเมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วก่อการรบกวนและการขัดขวางอยู่เป็นนิจ พวกเขาก็ไม่จัดการกับคนเหล่านั้น  พวกเขาไม่สามารถบอกได้ด้วยว่าใครสามารถทำสิ่งที่แท้จริงได้ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าใครคือคนที่เหมาะสมที่จะได้เลื่อนตำแหน่งให้มารับผิดชอบงานนี้  ผู้นำเช่นนี้หูตามืดบอด และพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติงานของตนเองได้  หากผู้นำและคนทำงานไม่เข้าใจความจริงหรือทักษะทางวิชาชีพ พวกเขาก็จะทำงานของตนได้ไม่ดี ดังนั้นผู้นำและคนทำงานจึงต้องหมั่นฝึกฝนที่จะทำงานจริงอยู่เป็นประจำ  ตราบเท่าที่พวกเขาเชี่ยวชาญในหลักธรรม รู้วิธีจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน รวมถึงรู้วิธีชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะสามารถทำงานของตนให้ดีได้ และกลายเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐาน

บัดนี้ เราได้สามัคคีธรรมถึงเนื้อหาของการสื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าไปแล้ว  ตอนนี้ผู้นำและคนทำงานอย่างเจ้ามีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีเข้าหาและดำเนินการจัดการเตรียมงานแล้วใช่หรือไม่?  และตอนนี้พวกเจ้าพอจะมีความเข้าใจที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าควรลุล่วงเมื่อดำเนินการจัดการเตรียมงานแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตอนนี้เมื่อเจ้ามีความเข้าใจที่เจาะจงเช่นนี้ เจ้าก็ควรพิจารณาว่าเจ้าควรทำสิ่งใด และเจ้าสามารถทำสิ่งนั้นได้จนถึงระดับใด จากนั้นเจ้าก็ควรจะสามารถตัดสินได้ว่า เจ้ามีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่ และเจ้าเหมาะกับงานของผู้นำหรือไม่  เนื่องจากผู้นำและคนทำงานบางคนมีขีดความสามารถต่ำและไม่ทำงานจริง—กล่าวคือ คนที่พวกเราเรียกว่าผู้นำเทียมเท็จ—เมื่อพวกเขาเข้าใจเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานประการที่เก้าแล้ว พวกเขาควรทำอย่างไร?  บางคนกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานจริงๆ พอฉันกลายเป็นผู้นำ ฉันก็เอาแต่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเองในการทำงานบางอย่างเพื่อภาพลักษณ์ภายนอก และฉันก็คิดว่า เนื่องจากฉันกระตือรือร้นและเต็มใจสู้ทนความทุกข์ ฉันอาจจะได้มาตรฐานในฐานะผู้นำ  พอได้ฟังพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมในหนทางนี้ ฉันก็รู้สึกตะลึงจนพูดไม่ออก  กลับกลายเป็นว่าฉันคือผู้นำเทียมเท็จ ขีดความสามารถของฉันต่ำเกินไป และฉันไม่สามารถทำงานจริงได้  ฉันไม่สามารถดำเนินการจัดการเตรียมงานที่เจาะจงจากพระนิเวศของพระเจ้าได้แม้แต่ประการเดียว  ฉันเคยคิดว่าการอ่านการจัดการเตรียมงานหลายๆ ครั้ง การส่งต่อการจัดการเตรียมงานนั้นให้ทุกคน แล้วกระตุ้นและกำกับดูแลขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานดังกล่าวหมายความว่าฉันกำลังดำเนินการจัดการเตรียมงานนั้นอยู่  หลังจากผ่านไปสักพัก ฉันก็พบว่างานนั้นไม่ได้เสร็จสิ้นด้วยดี และมีงานเฉพาะมากมายได้ถูกละเลยไป ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่า ฉันยังขาดขีดความสามารถอยู่จริงๆ และฉันไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำเลย”  แล้วคนเช่นนี้ควรทำอย่างไร?  จะเป็นอะไรหรือไม่หากเขาละทิ้งงานของตน?  (ไม่เป็นไร)  แล้วมีหนทางในการแก้ไขปัญหานี้หรือไม่?  หรือนี่คือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้?  (นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้  คนเหล่านั้นต้องเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นตามข้อกำหนดของพระเจ้า)  นี่คือมุมมองที่เป็นบวกและกระตือรือร้น เป็นมุมมองที่ดีมาก  เขาควรเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นตามข้อกำหนดของพระเจ้า มีความเชื่อและพึ่งพาพระเจ้า และไม่กลายเป็นคิดลบ หรือละทิ้งงานของตน—นี่คือหนทางแก้ไขหนึ่ง  นี่คือหนทางแก้ไขที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  แต่นี่คือหนทางแก้ไขเดียวอย่างนั้นหรือ?  (ไม่ใช่  หากเขามีขีดความสามารถที่ต่ำเกินไปและเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้เลยจริงๆ เช่นนั้น เขาก็สามารถรับผิดชอบต่อเรื่องนี้และลาออกจากตำแหน่งได้)  นี่คือหนทางแก้ไขที่สอง  หากเขาเคยลองมาก่อนแล้ว และเขาก็รู้สึกว่าตนไม่สามารถทำงานของผู้นำได้—กล่าวคือ หากนี่เป็นงานที่เหนื่อยยากและตรากตรำอย่างยิ่งสำหรับเขา และเขารู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับงานนี้มาก ไม่สามารถนอนหลับให้ดีได้ และในทุกๆ วันเขารู้สึกราวกับมีภูเขาลูกใหญ่ทับอยู่จนเขาไม่สามารถโงหัวหรือหายใจได้ และถึงขั้นรู้สึกว่าขาของเขาหนักอึ้งเวลาเดิน—และเมื่อได้ฟังข้อกำหนดที่เจาะจงเหล่านี้แล้ว เขายิ่งรู้สึกว่าขีดความสามารถของตนต่ำเกินไป และเขาไม่สามารถนำงานนี้ได้จริงๆ เขาควรทำอย่างไร?  มีบางอย่างที่เขาสามารถทำได้ และนั่นก็คือการลาออกในทันที  หากเขาไม่สามารถทำงานจริงได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ควรส่งผลกระทบต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่คือสำนึกที่เขาพึงมี  เขาไม่ควรหลับหูหลับตาฝืนขีดจำกัดของตนเอง ยืนกรานที่จะพยายามทำบางสิ่งบางอย่างที่เกินความสามารถของตน หรือทำสิ่งที่โง่เขลา  มีเพียงผู้ที่ยับยั้งตนเองจากการทำสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่มีสำนึก  ผู้คนที่มีสำนึกย่อมมีความตระหนักรู้ในตนเอง พวกเขาเข้าใจชัดเจนถึงขีดความสามารถของตน และพวกเขาก็รู้ถึงข้อบกพร่องของตนเอง  มีเพียงยามที่ผู้คนรู้จักขอบเขตของตนเองอย่างชัดเจนเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งใด พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใด และพวกเขาเหมาะที่จะทำสิ่งใดมากที่สุด  เหตุใดผู้คนจึงต้องรู้จักขีดความสามารถของตนเอง?  การนี้ช่วยให้พวกเขาตรวจสอบหน้าที่ที่พวกเขาควรทำ ทั้งยังช่วยให้พวกเขาทำหน้าที่นั้นให้ดีอีกด้วย  หากเจ้าตรวจสอบตนเองเรียบร้อยแล้ว และได้เห็นแล้วว่าเจ้ามีเพียงขีดความสามารถเช่นนี้ และรู้ว่าเจ้าไม่สามารถทำงานของผู้นำได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตนเองอีกครั้งและพิสูจน์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง  เจ้าควรลาออกทันที—อย่ายึดติดกับตำแหน่งของเจ้าและไม่ยอมก้าวลงมา อย่าสร้างผลกระทบและทำให้ผู้อื่นหยุดชะงักในยามที่เจ้าไม่สามารถทำงานอันเฉพาะเจาะจงได้  การลาออกคือเส้นทางข้างหน้ามิใช่หรือ?  เส้นทางสองเส้นนี้วางอยู่ตรงหน้าเจ้า และเจ้าสามารถเลือกได้หนึ่งเส้นทาง เจ้าไม่ได้ไร้ซึ่งหนทางข้างหน้า และไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว  เจ้าสามารถทำการตัดสินสถานการณ์ที่แท้จริงของเจ้าได้อย่างถูกต้องและสัมพันธ์กับชีวิตจริง ตามความเข้าใจที่เจ้ามีต่อตนเอง รวมถึงตามการประเมินเจ้าโดยพี่น้องชายหญิงรอบตัวที่รู้จักเจ้า แล้วจึงตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่สร้างความลำบากให้แก่เจ้า  เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?  (นี่เป็นเรื่องดี)  บางคนกล่าวว่า “ฉันอยากลองดูอีกครั้งหนึ่ง และเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้น  ฉันคิดว่าฉันทำได้  หลายปีที่ผ่านมาฉันแค่ไม่ได้เอาใจใส่กับการไล่ตามเสาะหาความจริงมากนัก แล้วพอกลายเป็นผู้นำ ฉันก็ยังไม่รู้วิธีแสวงหาความจริง และยังทำงานในหนทางที่เลอะเลือน  ฉันเคยคิดว่าการเป็นผู้นำคริสตจักรนั้นง่ายมาก ก็เพียงแค่จัดการให้ผู้คนเข้าร่วมชุมนุม เป็นคนนำในการสามัคคีธรรมความจริง แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที และดำเนินการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนทันที แล้วจบลงเพียงเท่านั้น  ฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่าหลังจากเป็นผู้นำมาสักระยะหนึ่ง ฉันจะพบว่ามีปัญหามากมายที่ฉันไม่สามารถแก้ได้ เมื่อเบื้องบนถามเรื่องงาน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร และเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนยกประเด็นปัญหาจริงขึ้นมา ฉันก็ไม่สามารถให้คำตอบได้  ตลอดหลายปีที่พี่น้องชายหญิงเชื่อในพระเจ้า พวกเขาทุกคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนาอยู่เป็นประจำ  พวกเขาทุกคนย่อมเข้าใจความจริงบางประการและมีวิจารณญาณแยกแยะอยู่บ้างแน่นอน  หากไม่มีความเป็นจริงความจริง ฉันก็ไม่สามารถให้น้ำหรือจัดเตรียมให้พวกเขาได้จริงๆ”  บัดนี้ชัดเจนแล้วว่า การปฏิบัติงานที่เฉพาะเจาะจงประเภทใดก็ตามในพระนิเวศของพระเจ้าให้ดีไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น  ในแง่หนึ่ง ผู้คนจำเป็นต้องมีขีดความสามารถ ส่วนอีกแง่หนึ่ง พวกเขาจำเป็นต้องแบกรับภาระ รวมไปถึงเข้าใจความจริง—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จำเป็นอย่างแท้จริง  สำหรับผู้ใดที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือขาดขีดความสามารถ ก็จะไม่สามารถปฏิบัติงานที่เฉพาะเจาะจงได้ และผู้ใดที่ขาดความเป็นมนุษย์และไม่แบกรับภาระก็จะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน  งานที่เฉพาะเจาะจงจำเป็นต้องมีวิธีเข้าหาที่เจาะจง และไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่ายเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม คนบางคนยังไม่ยอมเชื่อ  พวกเขายังคงต้องการลองดูอีกครั้ง และพวกเขาก็ขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง—ผู้คนเช่นนี้ควรได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?  หากทั้งความสามารถในการทำงานและขีดความสามารถของพวกเขาอยู่ในระดับปานกลาง แต่พวกเขาสามารถปฏิบัติงานที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างได้ ไม่ทำอย่างสุกเอาเผากิน ทั้งยังมุ่งเน้นที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในงานของตน และสามารถเชื่อฟังและนบนอบการจัดการเตรียมการจากเบื้องบนได้ และโดยพื้นฐานแล้ว สามารถดำเนินงานตามการจัดการเตรียมงานและหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด และถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่ได้ปฏิบัติงานของตนให้ดีเพราะพวกเขายังเยาว์วัย ไม่เข้าใจความจริง และมีรากฐานที่ตื้นเขิน แต่พวกเขาคือคนที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรได้รับโอกาสอีกครั้งและฝึกฝนตนเองต่อไป—จงอย่าหลับหูหลับตาปลดพวกเขา  การเป็นผู้นำหรือคนทำงานไม่ได้ง่ายขนาดนั้น และการเลือกผู้นำหรือคนทำงานก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น  บัดนี้ ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ย่อมมีความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาบ้างแล้ว และอย่างน้อยพวกเขาจะทำงานของตนได้ค่อนข้างดีขึ้นกว่าแต่ก่อน—นี่คือข้อเท็จจริง

บัดนี้เราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานประการที่เก้า—นั่นคือ “สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้คำแนะนำ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา”—หัวใจของเจ้าล้วนสว่างไสว และเจ้าย่อมมีเส้นทางปฏิบัติ  ขณะนี้พวกเจ้าจะไม่เพียงสามารถลุล่วงหน้าที่ของตนและมีการเข้าสู่ชีวิตเท่านั้น แต่เจ้าควรมีความรู้หรือวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับผู้นำและคนทำงานอยู่บ้างเช่นกัน และอย่างน้อยที่สุดก็ควรได้รับความกระจ่างและความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานพึงลุล่วง และงานที่พวกเขาควรทำ  สรุปก็คือ การรู้ว่าผู้นำและคนทำงานกำลังทำงานจริงอยู่หรือไม่นั้นเป็นตัวช่วยและเป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกๆ คน และในหนทางนี้ ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานจะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป แต่จะกลับกลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น

10 เมษายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (10)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger