หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)

ประการที่แปด: รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที (ภาคที่สอง)

ครั้งที่แล้ว  พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที”  แม้ว่าประการที่แปดจะยาวเพียงบรรทัดเดียว และโดยพื้นฐานแล้วก็เรียกร้องเพียงสิ่งเดียวจากผู้นำและคนทำงานในแง่ของหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก แต่พวกเราก็ใช้เวลาทั้งการชุมนุมครั้งหนึ่งไปเพื่อสามัคคีธรรมในหัวข้อนี้  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมในแง่มุมใดของหัวข้อนี้โดยเฉพาะเจาะจงบ้าง?  หน้าที่รับผิดชอบหลักของผู้นำและคนทำงานที่ประการนี้กล่าวถึงคืออะไร?  (คือพวกเขาควรมาชุมนุมกันและสามัคคีธรรมเมื่อเผชิญกับความสับสนและความลำบากยากเย็น และแสวงหาวิธีแก้ไขและรายงานต่อเบื้องบนโดยทันทีหากพวกเขาไม่สามารถเกิดความกระจ่างในเรื่องเหล่านั้นได้ผ่านทางการสามัคคีธรรม)  หน้าที่รับผิดชอบหลักของผู้นำและคนทำงานที่ประการนี้กล่าวถึงคือการมีส่วนร่วมในงาน และการทุ่มเทตนเองให้กับงานที่เป็นแก่นสารด้านต่างๆ เพื่อที่จะได้ค้นพบปัญหาต่างๆ ที่พบเจอในงาน และแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างทันท่วงที  หากได้ลองใช้วิธีการต่างๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยสมบูรณ์ และยังคงมีอยู่จนกลายเป็นความสับสนและความลำบากยากเย็น เช่นนั้นผู้นำและคนทำงานก็ไม่ควรปล่อยให้ความสับสนและความลำบากยากเย็นเหล่านั้นสะสมหรือเลือกไม่สนใจและเพิกเฉย แต่ต้องคิดหาวิธีแก้ไขในทันทีแทน  แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขก็คือการแสวงหาและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงตลอดจนผู้นำและคนทำงานในระดับต่างๆ เพื่อให้พบทางออกสำหรับปัญหาเหล่านี้  หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ผู้นำและคนทำงานก็ไม่ควรพยายามทำให้เรื่องใหญ่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แล้วทำให้เรื่องเล็กดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา หรือเพียงแค่เลือกไม่สนใจและเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ต้องรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนโดยทันทีเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไข  ด้วยวิธีนี้ งานจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ปราศจากความลำบากยากเย็นและอุปสรรคใดๆ

ผู้นำและคนทำงานควรรายงานและแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที

I. นิยามของคำว่า “ทันท่วงที”

หน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงานกล่าวถึงการรายงานความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที—นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  หากค้นพบปัญหาในวันนี้ แต่กลับปล่อยให้การแก้ไขล่าช้าไปแปดหรือสิบวัน หรือแม้กระทั่งหกเดือนหรือหนึ่งปี จะเรียกสิ่งนั้นว่า “ทันท่วงที” ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วคำว่า “ทันท่วงที” หมายความว่าอย่างไร?  (หมายถึงการจัดการปัญหาโดยทันที ทันใด และในบัดดล)  นั่นไม่เข้มงวดเกินไปหน่อยหรือ?  หากจะอธิบายด้วยคำศัพท์ที่เกี่ยวกับเวลา การแก้ไขปัญหาโดยทันที ทันใด และเดี๋ยวนี้ก็คือความหมายของคำว่า “ทันท่วงที” แต่เมื่อมองคำนี้ตามตัวอักษรแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะทำให้สำเร็จได้ และไม่สามารถทำได้จริง  แล้วเราควรนิยามคำว่า “ทันท่วงที” อย่างไรให้แม่นยำ?  หากปัญหาไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ยังคงเป็นอุปสรรคต่องาน และสามารถแก้ไขได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ก็ควรแก้ไขให้เสร็จสิ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง—อย่างนี้จะถือว่าทันท่วงทีได้หรือไม่?  (ได้)  สมมติว่าปัญหาค่อนข้างซับซ้อนและยาก และสามารถแก้ไขได้ภายในสองหรือสามวัน แต่ผู้คนใช้ความพยายามแสวงหาความจริง ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขให้ได้ในวันเดียว—นั่นจะไม่เป็นประโยชน์ต่องานมากกว่าหรือ?  สมมติว่ามีปัญหาที่ยังมองไม่ทะลุในตอนนี้ และต้องมีการสืบสวนและค้นคว้าซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง  ปัญหาเฉพาะนี้จะใช้เวลาแก้ไขอย่างมากที่สุดสามวัน  หากใช้เวลานานกว่าสามวัน ก็จะเกิดข้อสงสัยว่าการแก้ไขนั้นถูกทำให้ล่าช้าโดยเจตนา และหมายความว่ากำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์  ดังนั้น ปัญหาควรได้รับการรายงาน แสวงหาหนทางแก้ไข และแก้ไขให้ลุล่วงภายในสามวัน  นี่แหละคือความหมายของคำว่า “ทันท่วงที”  หากการแก้ไขปัญหาต้องอาศัยการสื่อสารและการสืบสวนหลายระดับ ตลอดจนการรวบรวมข้อมูลทีละระดับ และอื่นๆ—หากกระบวนการต่างๆ ซับซ้อนมาก—ก็ยังไม่ควรยืดเยื้อไปเป็นเดือน  สมมติว่าปัญหาสามารถแก้ไขได้ภายในหนึ่งสัปดาห์หากผู้นำและคนทำงานเร่งรีบ ทำงานเร็วขึ้น และเลือกใช้คนที่เหมาะสมสองสามคน เช่นนั้นในสถานการณ์นี้ คำว่า “ทันท่วงที” ย่อมหมายถึงการจำกัดการแก้ไขปัญหาไว้ที่หนึ่งสัปดาห์  การใช้เวลาเกินหนึ่งสัปดาห์ในการแก้ไขปัญหาถือว่าไม่เหมาะสม—นั่นไม่ทันท่วงที  นี่คือกรอบเวลาสำหรับการจัดการเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนเช่นนี้  กรอบเวลานี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานอะไร?  มันถูกกำหนดขึ้นโดยพิจารณาจากขนาดและความยากง่ายของเรื่องนั้นๆ  อย่างไรก็ตาม เรื่องส่วนใหญ่ เช่น ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพหรือปัญหาที่หลักธรรมไม่กระจ่างแจ้งแก่ผู้คน สามารถแก้ไขได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค—ควรจำกัดระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไว้ที่เท่าใดจึงจะถือว่า “ทันท่วงที”?  หากเรานิยามคำว่า “ทันท่วงที” โดยพิจารณาจากขนาดและความยากง่ายของเรื่อง เรื่องส่วนใหญ่ก็สามารถแก้ไขได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน โดยมีส่วนน้อยที่อาจต้องใช้เวลาอย่างมากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ในการแก้ไข หากมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ดังนั้น หากเรานิยามคำว่า “ทันท่วงที” ว่าหมายถึงโดยทันที ทันใด และเดี๋ยวนี้ เมื่อพิจารณาตามตัวอักษรแล้ว นี่ดูเหมือนจะเป็นข้อเรียกร้องที่เข้มงวดสำหรับผู้คน แต่เมื่อมองที่กรอบเวลาแล้ว เรื่องส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ในครึ่งวันหรือหนึ่งวันอย่างมากที่สุดหากผู้คนรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขอย่างทันท่วงที  ในแง่ของเวลาแล้ว จะถือว่านี่เป็นเรื่องยากได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  และเนื่องจากไม่ใช่เรื่องยากในแง่ของเวลา ก็ควรเป็นข้อกำหนดที่ทำได้ง่ายสำหรับผู้นำและคนทำงานในการรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงาน และความสับสนและความลำบากยากเย็นเหล่านี้ก็ไม่ควรยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ควรปล่อยให้เป็นดินพอกหางหมูในระยะยาว  บัดนี้พวกเจ้าทุกคนควรรู้แนวคิดเรื่องเวลาของคำว่า “ทันท่วงที” แล้ว—นี่คือประเด็นที่ว่าผู้นำและคนทำงานจะประเมินกรอบเวลาอย่างไรเมื่อจัดการกับความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงาน  กล่าวโดยสรุป นิยามที่แม่นยำที่สุดของคำว่า “ทันท่วงที” คือการกระทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้—นั่นคือ หากปัญหาสามารถได้รับการรายงาน แสวงหาหนทางแก้ไข และแก้ไขให้ลุล่วงภายในครึ่งวัน ก็ควรทำเช่นนั้น และหากสามารถแก้ไขได้ภายในหนึ่งวัน ก็ควรทำเช่นนั้น—และมุ่งมั่นที่จะไม่ก่อให้เกิดความล่าช้าและไม่ยอมให้งานได้รับผลกระทบ  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  เมื่อเผชิญและค้นพบปัญหาในงาน ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างทันท่วงที  หากไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ควรรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขจากเบื้องบนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทนที่จะเลือกไม่สนใจ เพิกเฉย และไม่ให้ความสำคัญ  เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ผู้นำและคนทำงานควรแก้ไขโดยทันที แทนที่จะผัดวันประกันพรุ่ง รอคอย หรือพึ่งพาผู้อื่น—ผู้นำและคนทำงานไม่ควรแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ออกมา

II. ผลที่ตามมาของการไม่แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที

หลักธรรมข้อใหญ่ในการแก้ไขปัญหาคือต้องทำอย่างทันท่วงที  ทำไมต้องทำอย่างทันท่วงที?  หากเกิดปัญหามากมายขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ในแง่หนึ่งผู้คนจะติดอยู่ในสภาวะสับสนและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และในอีกแง่หนึ่ง หากผู้คนยังคงเดินหน้าต่อไปโดยใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง และภายหลังต้องทำใหม่และแก้ไขงานที่ทำไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  กำลังคน ทรัพยากรทางการเงิน และทรัพยากรวัสดุจำนวนมหาศาลจะถูกสิ้นเปลืองและผลาญไป—นี่คือความสูญเสีย  หากเกิดปัญหาขึ้นในงาน และผู้นำกับคนทำงานมืดบอดจนไม่สามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ทันท่วงที ผู้คนจำนวนมากก็จะทำงานต่อไปโดยใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง  เมื่อผู้คนค้นพบปัญหาเหล่านี้และต้องการแก้ไขและปรับปรุงให้ถูกต้อง ปัญหาเหล่านี้ก็ได้สร้างความสูญเสียให้กับงานของคริสตจักรไปแล้ว  กำลังคน ทรัพยากรทางการเงิน และทรัพยากรวัสดุทั้งหมดนั้นจะไม่ถูกสิ้นเปลืองไปหรอกหรือ?  การเกิดความสูญเสียเช่นนี้มีความเกี่ยวข้องกับการที่ผู้นำและคนทำงานไม่แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีหรือไม่?  (มี)  หากผู้นำและคนทำงานสามารถติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบ และให้คำแนะนำสำหรับงานได้ พวกเขาก็จะสามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีอย่างแน่นอน  หากผู้นำและคนทำงานทำอย่างสุกเอาเผากิน และไม่ติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบ และให้คำแนะนำสำหรับงาน หากพวกเขาเพิกเฉยอย่างยิ่งในแง่นี้ และรอจนมีปัญหามากมายจนเรื่องราวบานปลายเกินควบคุมก่อนที่จะคิดแก้ไข ก่อนที่จะคิดรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบน แล้วผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้วหรือ?  (ยัง)  นี่คือการละเลยหน้าที่รับผิดชอบอย่างร้ายแรง ไม่เพียงแต่ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้จะไม่ได้แก้ไขปัญหา แต่พวกเขากลับสร้างความสูญเสียให้กับกำลังคนและทรัพยากรวัสดุของพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนสร้างอุปสรรคอันใหญ่หลวงให้กับงานของคริสตจักร  เนื่องจากการละเลยหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ความประมาทเลินเล่อ ความด้านชา และความโง่เขลาของพวกเขา และเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถค้นพบและแก้ไขปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในงานได้ทันท่วงที และไม่สามารถแม้แต่จะรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนได้ทันท่วงที งานจำนวนมากจึงต้องทำใหม่ และหลังจากที่ทำใหม่แล้ว ก็เกิดปัญหามากขึ้นเนื่องจากไม่สามารถหาหลักธรรมได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไป กำหนดเวลาแล้วเสร็จของงานก็ล่าช้าออกไปอย่างมาก งานที่ควรจะใช้เวลาหนึ่งเดือนกลับใช้เวลาสามเดือนจึงจะเสร็จ และงานที่ควรจะใช้เวลาสามเดือนกลับใช้เวลาแปดหรือเก้าเดือนจึงจะเสร็จ—นี่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ผู้นำและคนทำงานไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร  เนื่องจากผู้นำและคนทำงานไม่รับผิดชอบต่องานของตน—นั่นคือ พวกเขาไม่สามารถค้นหาและแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องได้ทันท่วงทีเมื่อปัญหาเกิดขึ้น—งานในด้านต่างๆ จึงไม่สามารถบรรลุผลและยังคงอยู่ในสภาวะหยุดชะงัก  แล้วใครคือผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงต่อปัญหานี้?  (ผู้นำและคนทำงาน)  ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้นำและคนทำงานจะทำงานที่เป็นแก่นสาร และเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกันที่พวกเขาจะค้นพบปัญหาในขณะที่ทำงานที่เป็นแก่นสาร  บางครั้งผู้นำและคนทำงานจะค้นพบปัญหาแต่ไม่รู้วิธีแก้ไข แต่พวกเขาก็สามารถรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า  ผู้นำและคนทำงานจำนวนมากคิดว่า “พวกเรามีวิธีการทำงานของตนเอง เบื้องบนเพียงแค่ต้องบอกหลักธรรมแก่พวกเรา แล้วพวกเราจะทำงานที่เป็นแก่นสารที่เหลือด้วยตนเอง หากพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็นใดๆ ก็เพียงพอแล้วที่พวกเราข้างล่างนี้จะสามัคคีธรรมและอธิษฐานร่วมกัน”  ส่วนประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา หรือว่าแนวทางแก้ไขของพวกเขานั้นละเอียดถี่ถ้วนหรือได้ผลจริงหรือไม่ พวกเขาก็หลับหูหลับตาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยและไม่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  นี่คือท่าทีไม่รับผิดชอบต่อการทำงานที่พวกเขาเก็บงำไว้ และในที่สุดนี่หมายความว่างานทุกอย่างในคริสตจักรจะไม่สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น และมีปัญหาร้ายแรงที่ไม่ได้รับการแก้ไข  นี่คือผลที่ตามมาซึ่งเกิดจากการที่ขีดความสามารถของผู้นำและคนทำงานย่ำแย่เกินไป หรือไม่ก็เกิดจากการที่พวกเขาไม่รับผิดชอบและไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร

การชำแหละผู้นำเทียมเท็จบางประเภทโดยพิจารณาจากหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปด

I. ผู้นำเทียมเท็จที่แสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ

ครั้งที่แล้ว  พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับว่าความสับสนและความลำบากยากเย็นคืออะไร และนิยามปัญหาบางอย่างที่ต้องรายงานและแสวงหาหนทางแก้ไขโดยทันที  โดยพื้นฐานแล้ว มีปัญหาสองประเภทหลัก  ประเภทหนึ่งคือปัญหาในงานที่ผู้คนไม่แน่ใจหรือมองไม่ทะลุ  เมื่อเป็นเรื่องของปัญหาเหล่านี้ ผู้คนพบว่าเป็นการยากมากที่จะเข้าใจหลักธรรม  แม้ว่าพวกเขาอาจเข้าใจหลักธรรมในเชิงคำสอน แต่พวกเขาก็ไม่รู้วิธีปฏิบัติหรือนำไปใช้  ปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสับสน  อีกประเภทหนึ่งคือความลำบากยากเย็นและปัญหาสำคัญซึ่งผู้คนไม่รู้วิธีแก้ไข  ประเภทนี้ค่อนข้างร้ายแรงกว่าเมื่อเทียบกับความสับสน และเป็นปัญหาที่ผู้นำและคนทำงานควรรายงานและแสวงหาหนทางแก้ไขเช่นกัน  ครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมเป็นหลักว่า เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่จะรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เผชิญในงาน และพวกเราสามัคคีธรรมจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับบางสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำและให้ความสำคัญ  วันนี้ พวกเราจะชำแหละว่าผู้นำเทียมเท็จมีพฤติกรรมอะไรบ้างในส่วนที่เกี่ยวกับประการที่แปด และพวกเขาทำงานที่ผู้นำควรทำและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำควรลุล่วงหรือไม่  เมื่อเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาที่เผชิญในงาน ผู้นำเทียมเท็จย่อมไม่มีความสามารถในแง่นี้อย่างแน่นอน พวกเขาล้มเหลวในการทำงานในแง่มุมนี้และล้มเหลวในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบนี้  มีผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่งที่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดไว้เมื่อทำงาน โดยคิดว่า “ฉันไม่ข้องเกี่ยวกับพิธีรีตองเหล่านั้นเมื่อทำงาน และไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งใดๆ เช่น ความรู้ การเรียนรู้ ทักษะ หรือหลักความเชื่อตายตัว  ฉันเพียงแค่ต้องแน่ใจว่าฉันสามัคคีธรรมความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าอย่างชัดเจนในการชุมนุม และนั่นก็เพียงพอแล้ว  ทุกสัปดาห์ฉันจัดการชุมนุมสำหรับกลุ่มเล็กๆ สองครั้ง ทุกสองสัปดาห์ฉันจัดการชุมนุมสำหรับผู้นำและคนทำงานหนึ่งครั้ง และทุกเดือนฉันจัดการชุมนุมครั้งใหญ่สำหรับพี่น้องชายหญิงทุกคน  การที่ฉันจัดการชุมนุมทุกประเภทเหล่านี้ได้ดีก็เพียงพอแล้ว”  นี่คือพื้นฐานและวิธีการทำงานของพวกเขา  ผู้นำและคนทำงานประเภทนี้เพียงแค่ฝึกฝนการเทศนาอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการเตรียมตนเองด้วยคำพูดและคำสอน—พวกเขาเตรียมโครงร่าง เนื้อหา ตัวอย่าง และความจริงที่จะสามัคคีธรรมในแต่ละการชุมนุม และพวกเขายังเตรียมแผนการบางอย่างสำหรับแก้ไขสภาวะและปัญหาของคนบางคนอีกด้วย  พวกเขาคิดว่าในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาเพียงแค่ต้องเทศนาให้ดี แล้วพวกเขาก็ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้ว  พวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ เช่น ว่าวิธีการประกาศข่าวประเสริฐนั้นเหมาะสมหรือไม่ หรือว่าบุคลากรของคริสตจักรได้รับการมอบหมายอย่างไร หรือว่าบุคลากรที่ทำงานวิชาชีพประเภทต่างๆ นั้นมีความสามารถและได้มาตรฐานหรือไม่—พวกเขาเชื่อว่าเพียงพอแล้วที่จะปล่อยให้หัวหน้างานจัดการเรื่องเหล่านี้  ดังนั้น ไม่ว่าคนประเภทนี้จะไปที่ไหน พวกเขาก็มุ่งเน้นไปที่การชุมนุมและการเทศนา และไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมประเภทใด พวกเขาก็จะเทศนาเสมอ  ภายนอก พวกเขานำผู้คนในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและในการเรียนรู้ที่จะร้องเพลงนมัสการ และบางครั้งพวกเขาก็พูดคุยเกี่ยวกับงาน  คนประเภทนี้รู้เกี่ยวกับปัญหาที่มักจะถูกสามัคคีธรรมถึง เช่น ควรใช้พระวจนะของพระเจ้าข้อใดมาเปรียบเทียบกับปัญหาที่คนประเภทต่างๆ เผชิญ ตลอดจนว่าทำไมผู้คนจึงรู้สึกอ่อนแอและเกิดสภาวะอะไรขึ้นในตัวพวกเขา และควรสามัคคีธรรมความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าข้อใดเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้  โดยสรุป การเทศนาและการสามัคคีธรรมของพวกเขากล่าวถึงความจริงและการปฏิบัติหลายในแง่มุม บางเรื่องเกี่ยวข้องกับการตัดแต่ง บางเรื่องเกี่ยวข้องกับบททดสอบและการถลุง บางเรื่องเกี่ยวข้องกับการอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า บางเรื่องเกี่ยวข้องกับวิธีผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน และอื่นๆ—พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงในแง่มุมต่างๆ ได้เล็กน้อย  เมื่อพวกเขาพบกับผู้เชื่อใหม่ พวกเขาก็เทศนาสำหรับผู้เชื่อใหม่ และเมื่อพวกเขาพบกับผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาก็สามารถเทศนาบางเรื่องเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตได้  แต่เมื่อเป็นเรื่องของงานที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพใดๆ พวกเขาไม่เคยสอบถามเกี่ยวกับงานหรือศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นเลย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่ติดตาม มีส่วนร่วม หรือเจาะลึกเข้าไปในงานใดๆ เพื่อแก้ไขปัญหา  ในสายตาของพวกเขา การเทศนา การอ่านพระวจนะของพระเจ้า และการเรียนรู้เพลงนมัสการคือการทำงาน และนี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน นอกจากนี้ งานอื่นๆ ทั้งหมดก็ไม่สำคัญ เป็นเรื่องของคนอื่น และไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และตราบใดที่พวกเขาสามารถเทศนาได้ดี พวกเขาก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ  คำว่า “นอนหลับได้อย่างสบายใจ” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าการเสร็จสิ้นการชุมนุมก็เหมือนกับการที่พวกเขาทำงานเสร็จ และเมื่อถึงเวลาพัก พวกเขาก็พัก  ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นในงานของคริสตจักร พวกเขาก็เพิกเฉย และเมื่อผู้คนมองหาพวกเขาเพื่อแก้ไขปัญหา ก็ยากที่จะหาตัวพวกเขาเจอ  ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน พวกเขาก็ต้องงีบหลับตอนบ่าย และพวกเขาก็ลุ่มหลงในความสุขสบายในขณะที่คนอื่นสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้  พวกเขาคิดว่า “ฉันเทศนาเสร็จแล้ว การชุมนุมก็จบแล้ว และฉันก็ได้พูดทุกอย่างที่ควรจะพูดกับพวกคุณแล้ว  พวกคุณอยากให้ฉันพูดอะไรอีก?  งานของฉันเสร็จแล้ว  ที่เหลือเป็นงานของพวกคุณ  ฉันได้บอกพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกคุณแล้ว ดังนั้นก็แค่ทำตามหลักธรรมไป  ส่วนปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น นั่นเป็นเรื่องของพวกคุณ และไม่เกี่ยวข้องกับฉัน  พวกคุณควรไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยตนเองและอธิษฐาน ชุมนุม และสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหา  ไม่ต้องมามองหาฉัน”  เมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง พวกเขาไม่เคยให้ใครถามคำถาม พวกเขาไม่เคยต้องการแก้ไขปัญหา และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่เคยสามารถค้นพบปัญหาได้เลย  หลังจากการชุมนุม พวกเขาถือว่างานของตนเสร็จแล้ว และพวกเขาก็นอน กิน และพักผ่อนหย่อนใจตามเวลาปกติ  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารเลยมิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)

มีบางกรณีที่ผู้นำหรือคนทำงานอยู่ในตำแหน่งมาหกเดือนแล้ว และนอกจากคนที่ใกล้ชิดกับพวกเขาซึ่งสามารถพบเจอพวกเขาได้บ่อยๆ พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถพบเจอพวกเขา  พี่น้องชายหญิงเพียงแค่ได้ยินพวกเขาเทศนาทางออนไลน์บ่อยๆ แต่เมื่อมีปัญหา ผู้นำหรือคนทำงานก็ไม่แก้ไข  พี่น้องชายหญิงบางคนเผชิญกับความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของตนซึ่งพวกเขาไม่รู้วิธีแก้ไข และพวกเขาก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติด และเมื่อพวกเขาไปตามหาผู้นำ ก็หาตัวไม่เจอ  ผู้นำประเภทนี้จะทำงานได้ดีหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้ผู้นำของพวกเขายุ่งอยู่ทุกวัน มีปัญหาสะสมและความลำบากยากเย็นมากมาย และพวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อใดผู้นำของพวกเขาจะมาแก้ไขให้  ทุกคนต่างตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้ผู้นำมาช่วย แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน ผู้นำก็ไม่เคยปรากฏตัว  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ยากที่จะหาตัวเจอ ทั้งยังเก่งในการซ่อนตัว!  พวกเขาเทศนาได้ดีมาก และหลังจากเทศนาเสร็จ พวกเขาก็แต่งตัวสวยงามและไม่ทำงาน แอบไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อลุ่มหลงในความสุขสบาย  ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังคิดว่าตนเองทำงานได้ดีมากและอย่างถูกควร  พวกเขาคิดว่าตนเองไม่ได้อู้งาน ได้เทศนาไปแล้ว จัดการชุมนุมแล้ว พูดทุกอย่างที่ควรจะพูดแล้ว และอธิบายทุกอย่างที่ควรจะอธิบายแล้ว  พวกเขาไม่เคยต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับพี่น้องชายหญิงเพื่อติดตามและมีส่วนร่วมในงาน ช่วยพวกเขาโดยการดำเนินการกลั่นกรอง และช่วยพวกเขาจัดการและแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที  หากพวกเขาเจอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ พวกเขาก็ไม่รู้จักรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนเช่นกัน  พวกเขายังไม่ใคร่ครวญในใจด้วยว่า “พี่น้องชายหญิงจะสามารถยึดมั่นในหลักธรรมได้หรือไม่หลังจากที่ได้ฟังในการสามัคคีธรรม?  และเมื่อพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นและความสับสนในงานอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถยึดมั่นในความจริงและจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมได้หรือไม่?  ยิ่งไปกว่านั้น ใครกำลังมีบทบาทเชิงบวกในงาน?  และคนไหนกำลังมีบทบาทเชิงลบ?  และมีใครที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน หรือมีใครที่ทำลายสิ่งต่างๆ หรือมีคนที่เหลวไหลที่มักจะเสนอความคิดที่ไม่ดีอยู่เสมอหรือไม่?  ช่วงนี้งานมีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง?”  เป็นปกติที่พวกเขาจะไม่ใส่ใจหรือสอบถามเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว  ภายนอกดูเหมือนว่าคนเช่นนี้กำลังทำงาน—พวกเขาเทศนา จัดการชุมนุม เตรียมร่างคำเทศนาและโครงร่าง และแม้กระทั่งเขียนรายงานการทำงาน  ผู้นำบางคนยังเขียนคำเทศนาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของตนบ่อยครั้ง พวกเขาขลุกตัวอยู่ในห้องและเขียนเป็นเวลาสามหรือห้าวันรวด และถึงกับต้องมีคนคอยจัดน้ำและอาหารมาให้เป็นพิเศษ และไม่มีใครสามารถพบเจอพวกเขาได้  หากเจ้าบอกว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฉันไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารตรงไหน?  ฉันอาศัยอยู่กับพี่น้องชายหญิงและจัดการชุมนุมและเทศนาอยู่เสมอ  ฉันเทศนาจนปากคอแห้งเป็นผง และบางครั้งฉันถึงกับอยู่จนดึกดื่น”  ภายนอกดูเหมือนว่าพวกเขายุ่งมากและไม่ได้อยู่เฉยๆ—พวกเขาเทศนามากมาย ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการพูดและการเขียน พวกเขาถ่ายทอดข้อความและเขียนจดหมายเป็นประจำ และถ่ายทอดหลักธรรมที่เบื้องบนกำหนด และพวกเขายังสามัคคีธรรมและเน้นย้ำเนื้อหาอย่างจริงจังและอดทนในระหว่างการชุมนุม—พวกเขาพูดมากจริงๆ แต่พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมในงานที่เจาะจง ไม่เคยติดตามงาน และไม่เคยเผชิญปัญหาร่วมกับพี่น้องชายหญิงเลย  หากเจ้าถามพวกเขาว่างานนั้นๆ คืบหน้าไปอย่างไรหรือผลของงานเป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้และต้องไปถามคนอื่นก่อน  หากเจ้าถามพวกเขาว่าปัญหาจากครั้งที่แล้วได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่ พวกเขาจะบอกว่าได้จัดการชุมนุมและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมแล้ว  สมมติว่าเจ้าถามพวกเขาต่อไปว่า “พี่น้องชายหญิงเข้าใจอย่างแท้จริงหรือไม่หลังจากที่เจ้าได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมความจริงแล้ว?  พวกเขายังคงสามารถหลงทางได้หรือไม่?  ในหมู่พวกเขามีใครที่เข้าใจหลักธรรมได้ดีกว่าคนอื่น มีใครที่เชี่ยวชาญทักษะทางวิชาชีพมากกว่า และมีใครที่มีขีดความสามารถดีกว่าและควรค่าแก่การบ่มเพาะ?”  พวกเขาไม่รู้คำตอบของคำถามเหล่านี้เลย พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานะของงาน พวกเขาจะบอกว่า “ฉันได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมแล้ว เพิ่งจัดการชุมนุมเสร็จ และเพิ่งตัดแต่งพวกเขาไป  พวกเขาได้แสดงความมุ่งมั่นของตน และพวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำงานนี้ให้ดี”  แต่เมื่อเป็นเรื่องของความคืบหน้าของงานในลำดับถัดไป พวกเขาก็ไม่รู้อะไรเลย  จะถือว่าพวกเขาได้มาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  วิธีการทำงานของผู้นำและคนทำงานประเภทนี้คือเพียงแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและเทศนาคำพูดและคำสอนบางอย่างแก่ผู้คน แต่พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เป็นแก่นสาร และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากลัวที่จะรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบน—พวกเขากลัวมากว่าเบื้องบนจะล่วงรู้สถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเขา  ธรรมชาติของการกระทำเช่นนี้คืออะไร?  ในแง่ของแก่นแท้แล้วพวกเขาเป็นคนประเภทใด?  พูดให้ชัดเจนคือ คนเช่นนี้คือพวกฟาริสีขนานแท้  การสำแดงของพวกฟาริสีมีดังนี้ พวกเขามีการกระทำภายนอกที่สง่างาม พวกเขาพูดและประพฤติตนในท่าทีที่งดงาม พวกเขาใช้พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของคำพูดและการกระทำทั้งหมดของตน และเมื่อพวกเขาพบปะและพูดคุยกับผู้คน พวกเขาก็จะกล่าวถ้อยคำจากพระคัมภีร์ และพวกเขาสามารถเอ่ยข้อความจากพระคัมภีร์จากความทรงจำได้มากมายหลายบรรทัด  ผู้นำเทียมเท็จก็เหมือนกับพวกฟาริสี—จากภายนอก เจ้าไม่สามารถหาข้อผิดพลาดใดๆ ในตัวพวกเขาได้ และพวกเขาดูเป็นฝ่ายวิญญาณเป็นพิเศษ  เจ้าไม่สามารถตรวจพบปัญหาใดๆ ในตัวพวกเขาจากคำพูด การกระทำ และพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหามากมายที่มีอยู่ในงานของคริสตจักรได้  แล้ว “ความเป็นฝ่ายวิญญาณ” นี้หมายความว่าอย่างไร?  พูดอย่างเคร่งครัด มันคือการแสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ  คนที่แสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณเช่นนี้ทำให้ตนเองยุ่งอยู่ทุกวัน วิ่งวุ่นไปมาระหว่างกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ เทศนาพระวจนะของพระเจ้าทุกที่ที่พวกเขาไป  ภายนอกพวกเขาดูราวกับว่ารักพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าใครๆ ราวกับว่าพวกเขาใช้ความพยายามกับพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าใครๆ ราวกับว่าพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าใครๆ และพวกเขาสามารถบอกเลขหน้าของข้อความที่สำคัญตอนใดตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าได้ทันทีโดยไม่ต้องเปิดดู  หากมีคนเจอปัญหา พวกเขาจะให้เลขหน้าของข้อความที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้าและบอกให้พวกเขาไปอ่าน  จากภายนอก พวกเขาดูเหมือนจะใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเกณฑ์ในทุกสิ่ง เป็นพยานถึงพระวจนะของพระเจ้าเมื่อมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา และดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดๆ กับพวกเขา  แต่เมื่อเจ้ามองดูงานที่พวกเขาทำอย่างใกล้ชิด พวกเขาสามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ในขณะที่พวกเขากำลังเทศนาคำพูดและคำสอนเหล่านี้?  หากผ่านการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาพบปัญหาที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนในงานชิ้นหนึ่ง และแก้ไขปัญหาที่คนอื่นไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นแสดงว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจน  คนที่แสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งนี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาท่องจำพระวจนะของพระเจ้าและเทศนาไปทุกหนทุกแห่ง และจิตใจและหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าปัญหาใหญ่หรือเล็กจะเกิดขึ้นในงาน พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหรือค้นพบได้  ในตอนท้ายของการชุมนุม สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือการที่มีคนหยิบยกประเด็นที่เป็นแก่นสารขึ้นมาและขอให้พวกเขาแก้ไข และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาจากไปทันทีเมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง โดยคิดว่า “ถ้ามีคนถามคำถามที่ฉันตอบไม่ได้ นั่นจะน่าอึดอัดและน่าอายมาก!”  นี่คือวุฒิภาวะและสภาวะที่แท้จริงของพวกเขา

จงคิดดูว่าผู้นำและคนทำงานรอบตัวพวกเจ้าคนใดที่เก่งในการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องชายหญิงและดำเนินงานไปพร้อมกับพวกเขาเมื่อทำหน้าที่ของตน—ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  จงคิดดูว่าผู้นำและคนทำงานรอบตัวพวกเจ้าคนใดที่เก่งในการค้นพบและแก้ไขปัญหา และมุ่งเน้นการทำงานที่เป็นแก่นสารมากที่สุดและได้รับผลลัพธ์มากที่สุดในงานของตน—ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้คือผู้คนที่จงรักภักดีซึ่งมีความรับผิดชอบและเอาใจใส่อย่างยิ่ง  ในทางกลับกัน หากผู้นำคนหนึ่งยอดเยี่ยมในการเทศนาคำพูดและคำสอน และเทศนาอย่างมีตรรกะ เป็นระเบียบ มีประเด็นหลักและเนื้อหา และมีโครงสร้าง และผู้คนก็กระตือรือร้นเกี่ยวกับคำเทศนาของพวกเขา แต่พวกเขากลับหลีกเลี่ยงพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอ กลัวอยู่เสมอว่าพี่น้องชายหญิงจะถามคำถาม และกลัวที่จะแก้ไขและจัดการปัญหาร่วมกับพี่น้องชายหญิง ผู้นำคนนั้นก็เป็นพวกแสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ และพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำและหัวหน้างานรอบตัวพวกเจ้าเป็นคนประเภทใด?  โดยปกติแล้ว นอกจากเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนาแล้ว พวกเขาติดตามและมีส่วนร่วมในงานหรือไม่ พวกเขาสามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาในงานได้บ่อยครั้งหรือไม่ หรือพวกเขาเพียงแค่หายตัวไปหลังจากปรากฏตัวในการชุมนุม?  ผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณมักจะกลัวว่าจะไม่มีอะไรจะเทศนา และกลัวว่าจะไม่มีอะไรจะพูดเมื่อพบกับพี่น้องชายหญิง ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกท่องจำพระวจนะของพระเจ้าและวิธีเทศนาในห้องของตน  พวกเขาเชื่อว่าการเทศนาเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้และเป็นสิ่งที่สามารถบรรลุได้ด้วยการท่องจำ เหมือนกับการหาความรู้หรือการเข้ามหาวิทยาลัย และพวกเขาต้องแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของการศึกษาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและอุตสาหะ  ความเข้าใจที่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เก็บงำไว้นี้บิดเบือนมิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  คนเช่นนี้เทศนาคำสอนจากจุดยืนที่สูงส่งของตน และใส่ใจกับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน แล้วพวกเขาก็คิดว่าตนเองกำลังทำงานในฐานะผู้นำ  พวกเขาไม่เคยไปที่หน้างานเพื่อกำกับดูแลงานหรือแก้ไขปัญหา แต่กลับมักจะนั่งอยู่ในห้องของตน “เก็บตัวเพื่อมุ่งเน้นการบำเพ็ญตน” เตรียมตนเองด้วยพระวจนะของพระเจ้า—นี่จำเป็นหรือไม่?  ในสถานการณ์ใดที่ผู้นำและคนทำงานสามารถพักงานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงไว้ชั่วคราวแล้วไปเตรียมตนเองด้วยความจริง?  เมื่องานไม่ยุ่ง ปัญหาทั้งหมดที่ควรแก้ไขได้รับการแก้ไขแล้ว เรื่องราวทั้งหมดที่ต้องให้ความสำคัญและหลักธรรมที่ควรได้รับการอธิบายก็ได้รับการอธิบายแล้ว พี่น้องชายหญิงไม่มีคำถามหรือความลำบากยากเย็นใดๆ ไม่มีใครก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวาง และงานสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป เมื่อนั้นผู้นำและคนทำงานจึงจะสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเตรียมตนเองด้วยความจริงได้—มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นการทำงานที่เป็นแก่นสาร  ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานเช่นนี้ พวกเขามุ่งเน้นไปที่การทำให้ตนเองเป็นที่สนใจอยู่เสมอ และพวกเขาเพียงแค่ทำงานที่โดดเด่นที่คนอื่นมองเห็นได้เพื่ออวดตัว  หากพวกเขาสามารถค้นพบความสว่างใหม่ๆ เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนา พวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองได้รับบางสิ่งบางอย่าง ว่าตนเองมีความเป็นจริงความจริง แล้วพวกเขาก็รีบมองหาโอกาสที่จะเทศนาให้ผู้อื่นฟัง  พวกเขาเทศนาคำสอนอย่างเป็นระบบ มีตรรกะ และเป็นระเบียบเรียบร้อย มีประเด็นหลักและเนื้อหา และในลักษณะที่ทรงพลังและลึกซึ้งกว่าสุนทรพจน์ของคนดังหรือการบรรยายทางวิชาการ และพวกเขาก็รู้สึกพอใจกับสิ่งนี้มาก  แต่พวกเขาก็ขบคิดว่า “ครั้งหน้าหลังจากเทศนาครั้งนี้จบแล้วฉันจะเทศนาอะไรดี?  ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”  ดังนั้นพวกเขาจึงรีบจากไปและ “เก็บตัวเพื่อมุ่งเน้นการบำเพ็ญตน” อีกครั้ง เพื่อมองหาคำสอนที่ลึกซึ้ง  พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวที่หน้างานของคริสตจักรเลย และเมื่อผู้คนมีความลำบากยากเย็นและกำลังรอให้ปัญหาได้รับการแก้ไข ก็หาตัวผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่เจอ  พวกผู้นำเทียมเท็จไม่รู้สึกกระดากอายและอึดอัดใจบ้างหรือ?  พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นแก่นสารได้ แต่ก็ยังต้องการเทศนาที่สูงส่งเพื่ออวดตัว  คนเหล่านี้ช่างตายด้านต่อความละอายสิ้นดี

ผู้นำเทียมเท็จทุกคนสามารถเทศนาคำพูดและคำสอน  พวกเขาทั้งหมดล้วนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติใดๆ ได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจความจริงแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้วก็ตาม—อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาคิดว่าการเป็นผู้นำคริสตจักรหมายความว่าเพียงแค่ต้องเทศนาคำพูดและคำสอนบ้าง ตะเบ็งเสียงกล่าวคำขวัญบ้าง และอธิบายพระวจนะของพระเจ้าสักเล็กน้อย แล้วผู้คนก็จะเข้าใจความจริง  พวกเขาไม่รู้ว่าการทำงานคืออะไร ไม่รู้ว่าหน้าที่รับผิดชอบที่แท้จริงของผู้นำและคนทำงานคืออะไร และไม่รู้ว่าเหตุใดกันแน่พระนิเวศของพระเจ้าจึงเลือกใครสักคนมาเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือปัญหาส่วนไหนกันแน่ที่การทำเช่นนี้มีเจตนาเพื่อแก้ไข  ดังนั้น ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมอย่างไรว่าผู้นำและคนทำงานต้องติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการงาน ทั้งยังต้องค้นพบและแก้ไขปัญหาในงานโดยทันที และอื่นๆ พวกเขาก็ฟังอย่างเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและไม่เข้าใจเลย  พวกเขาไม่สามารถทำได้ตามข้อกำหนดที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังมองไม่ทะลุถึงปัญหาด้านทักษะทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนประเด็นหลักธรรมในการเลือกผู้ดูแลต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย และต่อให้พวกเขารู้ว่ามีปัญหาเหล่านี้อยู่ พวกเขาก็ยังคงจัดการไม่ได้อยู่ดี  ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนำของผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ ปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรจึงไม่ได้รับการแก้ไข  ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านทักษะทางวิชาชีพที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญเมื่อทำหน้าที่ของตน แต่ยังรวมถึงความยากลำบากในการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ซึ่งก็ถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน และเมื่อผู้นำ คนทำงาน หรือผู้รับผิดชอบในงานต่างๆ บางคนไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติได้ พวกเขาก็ไม่ถูกปลดหรือปรับเปลี่ยนหน้าที่โดยทันที และอื่นๆ อีกมากมาย  ปัญหาเหล่านี้ไม่มีข้อใดได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และผลก็คือประสิทธิภาพของงานต่างๆ ในคริสตจักรจึงลดน้อยถอยลงอย่างต่อเนื่อง และประสิทธิผลของงานก็ย่ำแย่ลงทุกขณะ  ในด้านบุคลากร บรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่บ้างและพูดเก่งก็ได้เป็นผู้นำและคนทำงาน ในขณะที่ผู้ที่รักความจริง ผู้ที่สามารถทุ่มเททำงานหนัก และทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยโดยไม่ปริปากบ่น กลับไม่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ แต่กลับถูกปฏิบัติประหนึ่งเป็นคนลงแรง ทั้งบุคลากรทางเทคนิคต่างๆ ที่มีความสามารถเฉพาะทางก็ไม่ได้รับการนำไปใช้อย่างสมเหตุสมผล  อีกทั้ง บางคนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจก็ไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิต พวกเขาจึงจมดิ่งสู่ความคิดลบและความอ่อนแอ  ที่ร้ายไปกว่านั้น ไม่ว่าเหล่าศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วจะทำความชั่วมากเพียงใด ก็ราวกับว่าผู้นำเทียมเท็จมองไม่เห็น  หากมีคนเปิดโปงคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จถึงกับจะบอกพวกเขาว่าควรปฏิบัติต่อคนคนนั้นด้วยความรักและให้โอกาสกลับใจ  การทำเช่นนี้เป็นการปล่อยให้คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วและก่อกวนในคริสตจักร ซึ่งนำไปสู่ความล่าช้าอันยาวนานในการชำระหรือขับไล่คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และเหล่าศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ออกไป ทำให้พวกเขาสามารถทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักรต่อไป  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาใดๆ เหล่านี้ได้เลย พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมหรือจัดแจงงานอย่างสมเหตุสมผล แต่กลับกระทำการอย่างบุ่มบ่ามและทำงานที่ไร้ประโยชน์ ส่งผลให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิงและโกลาหลวุ่นวาย  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงหรือเน้นย้ำหลักธรรมที่ควรยึดถือในการดำเนินงานของคริสตจักรมากเพียงใด—ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมผู้ที่ควรถูกควบคุมและการชำระผู้ที่ควรถูกชำระออกจากคนทำชั่วและผู้ไม่เชื่อประเภทต่างๆ และการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้ที่มีขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจที่ดี รวมถึงผู้ที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงซึ่งควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ—แม้จะสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน ผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงไม่เข้าใจหรือไม่หยั่งถึง และยังคงยึดมั่นในทัศนะที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณและแนวทางที่ “เปี่ยมรัก” ของตนอย่างดื้อรั้น  ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่า ภายใต้การสอนอย่างจริงจังและอดทนของพวกเขา ผู้คนทุกประเภทต่างปฏิบัติบทบาทของตนเองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ปราศจากความโกลาหล ทุกคนมีความเชื่อค่อนข้างมาก เต็มใจทำหน้าที่ ไม่กลัวการติดคุกและเผชิญอันตราย ทั้งทุกคนยังมีความตั้งใจที่จะสู้ทนความทุกข์และไม่ยอมเป็นยูดาส  พวกเขาเชื่อว่าแค่มีบรรยากาศที่ดีในชีวิตคริสตจักรก็หมายความว่าพวกเขาทำงานได้ดีแล้ว  ไม่ว่าจะเกิดกรณีที่คนชั่วก่อกวนหรือผู้ไม่เชื่อเผยแพร่ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติขึ้นในคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา และไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องแก้ไขเลย  เมื่อเป็นเรื่องของคนที่พวกเขาไว้วางใจให้ทำงานแล้วกลับกระทำการอย่างบุ่มบ่ามตามอำเภอใจและก่อกวนงานข่าวประเสริฐ ผู้นำเทียมเท็จก็ยิ่งหลับหูหลับตาไม่รับรู้  พวกเขากล่าวว่า “ฉันได้อธิบายหลักธรรมการทำงานที่ควรอธิบายแล้ว และฉันได้กำชับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นอีก ก็ไม่เกี่ยวกับฉันแล้ว”  ทว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นเป็นคนที่เหมาะสมหรือไม่ พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องนั้น และไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดตอนอธิบายและกำชับนั้นจะสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่เป็นบวกได้หรือไม่ หรือจะนำมาซึ่งผลที่ตามมาเช่นใด  ทุกครั้งที่ผู้นำเทียมเท็จจัดการชุมนุม พวกเขาจะพรั่งพรูคำพูดและคำสอนออกมาไม่หยุดหย่อน แต่ท้ายที่สุดก็ปรากฏว่าพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย  กระนั้นพวกเขาก็ยังเชื่อว่าตนกำลังทำงานได้ยอดเยี่ยม ยังคงปลาบปลื้มในตนเองและคิดว่าตนนั้นยอดเยี่ยม  ตามจริงแล้ว คำพูดและคำสอนที่พวกเขาพูดนั้นทำได้เพียงแค่หลอกลวงพวกคนเลอะเลือน คนโง่ และคนเขลา ผู้ที่ไม่รู้ความและมีขีดความสามารถต่ำให้ยอมรับ  หลังจากที่คนเหล่านี้ได้ฟังแล้ว พวกเขาก็สับสนงุนงงและเชื่อว่าสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จพูดนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งใดผิดเลย  ผู้นำเทียมเท็จสามารถสนองได้ก็แต่คนสับสนเหล่านี้เท่านั้น และโดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติใดๆ ได้เลย  แน่นอนว่า ผู้นำเทียมเท็จยิ่งไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพและความรู้—พวกเขาหมดหนทางโดยสิ้นเชิงเมื่อเป็นเรื่องเหล่านี้  ยกตัวอย่างงานข้อเขียนของพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คืองานที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ผู้นำเทียมเท็จมากที่สุด  พวกเขาไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าคนใดมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มีขีดความสามารถที่ดี และเหมาะสมที่จะทำงานข้อเขียน พวกเขามองว่าใครก็ตามที่สวมแว่นตาและมีการศึกษาสูงนั้นมีขีดความสามารถที่ดีและมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงจัดให้คนเหล่านั้นทำงานนั้น โดยบอกพวกเขาว่า “พวกคุณทุกคนล้วนมีพรสวรรค์การทำงานข้อเขียน  ฉันไม่เข้าใจงานนี้ ดังนั้นทุกอย่างจึงฝากไว้ที่พวกคุณแล้ว  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้เรียกร้องสิ่งอื่นใดจากพวกคุณ เพียงแค่ให้พวกคุณใช้ข้อเด่นของพวกคุณให้เต็มที่ อย่าได้ยั้งไว้ และอุทิศทุกสิ่งที่พวกคุณได้เรียนรู้มา  พวกคุณต้องรู้จักสำนึกในบุญคุณและขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงยกชูพวกคุณนะ”  หลังจากที่ผู้นำเทียมเท็จพูดถ้อยคำที่ไร้แก่นสารและผิวเผินไปหนึ่งชุด พวกเขาก็รู้สึกว่าได้จัดแจงงานแล้ว และพวกเขาก็ได้ทำทุกสิ่งที่ต้องทำเรียบร้อยแล้ว  พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่พวกเขาจัดให้ทำงานนี้เหมาะสมหรือไม่ และไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มีข้อบกพร่องอะไรบ้างในด้านความรู้ทางวิชาชีพ หรือควรจะเสริมส่วนที่พวกเขาขาดอย่างไร  พวกเขาไม่รู้วิธีมองและมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คน ไม่เข้าใจปัญหาทางวิชาชีพ และไม่เข้าใจความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเขียน—พวกเขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยโดยสิ้นเชิง  ปากก็พูดว่าไม่เข้าใจหรือไม่หยั่งถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ในใจกลับคิดว่า “พวกคุณก็แค่มีการศึกษาและความรู้มากกว่าฉันหน่อยเดียวไม่ใช่หรือ?  ถึงแม้ว่าในงานนี้ฉันจะนำพวกคุณไม่ได้ แต่ฉันก็มีสภาวะฝ่ายวิญญาณมากกว่าพวกคุณ ฉันเทศนาเก่งกว่าพวกคุณ และฉันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ดีกว่าพวกคุณ  ฉันคือคนที่นำพวกคุณ ฉันเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกคุณ  ฉันต้องเป็นผู้ดูแลพวกคุณ และพวกคุณต้องทำตามที่ฉันบอก”  ผู้นำเทียมเท็จมองว่าตนเองอยู่เหนือกว่า แต่พวกเขากลับไม่สามารถให้คำแนะนำที่มีค่าใดๆ เกี่ยวกับงานประเภทใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถให้การชี้แนะใดๆ ได้เช่นกัน  อย่างดีที่สุด พวกเขาก็สามารถจัดบุคลากรให้ดีได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถทำงานที่ตามมาใดๆ ได้เลย  พวกเขาไม่พยายามที่จะได้รับความรู้ทางวิชาชีพ และพวกเขาไม่ติดตามงาน  ผู้นำเทียมเท็จทุกคนล้วนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ พวกเขาสามารถทำได้ก็เพียงแค่เทศนาคำพูดและคำสอนบางอย่างแล้วก็คิดว่าตนเข้าใจความจริงและโอ้อวดต่อหน้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่ตลอดเวลา  ในทุกการชุมนุม พวกเขาเทศนาเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ปรากฏว่าพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย  พวกเขาไม่รู้เรื่องเลยโดยสิ้นเชิงเมื่อเป็นเรื่องของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิชาชีพในหน้าที่ของผู้คน พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาอย่างชัดเจน แต่กลับแสร้งทำเป็นมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ ชี้นำงานของผู้เชี่ยวชาญ—เมื่อเป็นแบบนี้แล้วพวกเขาจะทำงานให้ดีได้อย่างไร?  การที่ผู้นำเทียมเท็จไม่พยายามเรียนรู้ความรู้ทางวิชาชีพและไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติใดๆ นั้นก็น่าสะอิดสะเอียนพอแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังแสร้งทำเป็นคนมีสภาวะฝ่ายวิญญาณและโอ้อวดคำพูดฝ่ายวิญญาณของตน ซึ่งช่างไร้เหตุผลเสียนี่กระไร!  นี่ไม่ต่างอะไรจากพวกฟาริสีเลย  สิ่งที่พวกฟาริสีไร้เหตุผลที่สุดคือการที่พระเจ้าทรงรังเกียจพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยและยังคงถือว่าตนเองค่อนข้างดีและมีสภาวะฝ่ายวิญญาณอย่างยิ่ง  ผู้นำเทียมเท็จก็ขาดความตระหนักรู้ในตนเองเช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติใดๆ ได้อย่างชัดเจนแต่กลับแสร้งทำเป็นมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ พวกเขากลายเป็นฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด  พวกเขาคือผู้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไป

ลักษณะเด่นของผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณคืออะไร?  คือพวกเขาเทศนาเก่ง  “คำเทศนา” เหล่านี้ไม่ใช่คำเทศนาที่แท้จริง  ไม่ใช่คำเทศนาที่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง และยิ่งไม่ใช่คำเทศนาที่มีความเป็นจริงความจริง  แต่เป็นคำเทศนาที่เป็นเพียงคำพูดและคำสอน เป็นคำเทศนาที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ เป็นคำเทศนาของพวกฟาริสี  ผู้นำเทียมเท็จเก่งกาจมากในการขลุกอยู่กับคำพูดและวลีในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการเทศนาคำพูดและคำสอน แต่กลับไม่เคยแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าและไม่เคยใคร่ครวญว่าควรจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างไร  พวกเขาพอใจกับการที่สามารถเทศนาคำพูดและคำสอนได้เท่านั้น พอเทศนาคำสอนได้อย่างชัดเจนและมีเหตุมีผลแล้ว พวกเขาก็คิดว่านั่นดีพอและตนก็มีความเป็นจริงความจริงแล้ว สามารถยืนวางท่าต่อหน้าผู้อื่น และสั่งสอนผู้คนจากตำแหน่งที่สูงส่งของตนได้  เมื่อมองจากภายนอก สิ่งที่พวกเขาพูดและทำดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับความจริง ดูเหมือนไม่ได้ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน และดูเหมือนไม่ได้สนับสนุนคำพูดที่ผิดพลาดหรือยุยงให้เกิดการปฏิบัติที่ผิดพลาด  แต่กระนั้น ก็มีปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง คือพวกเขาไม่สามารถแบกรับงานภาคปฏิบัติใดๆ ได้ หรือลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้แม้แต่น้อยนิด ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่การที่พวกเขาไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ในงานได้เลย  วิธีการทำงานของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดคลำทาง—สักแต่ว่าทำไปตามความรู้สึกและความคิดฝันของตนเพื่อนำข้อบังคับมาใช้อย่างมืดบอด ไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาได้เลย แต่กลับยังคงพล่ามเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้น—พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย  หากผู้นำเทียมเท็จเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมสามารถค้นพบปัญหาและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ  แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริงอย่างชัดเจน แต่กลับแสร้งทำเป็นมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ คิดว่าตนเองสามารถทำงานของคริสตจักรได้ และกล้าที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะของตนอย่างไม่ละอาย  นี่น่ารังเกียจมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าตนมีฝีมืออย่างแท้จริง—คือสามารถเทศนาได้  แต่พวกเขากลับไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติได้เลยแม้แต่น้อย  คำพูดและคำสอนที่ผู้นำเทียมเท็จรู้และเทศนานั้นไม่สามารถช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดี ไม่สามารถช่วยให้พวกเขาค้นพบปัญหาในงาน และยิ่งไม่สามารถช่วยให้พวกเขาแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่เผชิญได้  หลังจากทำงานไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ใดๆ ได้เลย  ผู้นำหรือคนทำงานเช่นนี้ได้มาตรฐานหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  แล้วควรจัดการกับผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างไร?  ไม่เพียงแต่ต้องปลดและกำจัดพวกเขาออกไปเท่านั้น แต่หากพวกเขาไม่กลับใจ ก็ไม่สามารถเลือกพวกเขาให้มารับใช้เป็นผู้นำหรือคนทำงานได้อีกเมื่อมีการเลือกตั้ง  หากใครเลือกผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จที่ถูกกำจัดออกไปแล้ว พวกเขาก็กำลังก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักรโดยเจตนา และนั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ลงคะแนนเสียงนั้นเป็นผู้ที่บูชาและติดตามผู้นำเทียมเท็จคนนั้น ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเจ้าเคยเลือกผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (เคย)  เราคาดว่าพวกเจ้าคงเลือกมาไม่น้อยเลยทีเดียว  พวกเจ้าคิดว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี อ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากและฟังคำเทศนามามาก ผู้ที่มีประสบการณ์โชกโชนในการเทศนาและการทำงาน ผู้ที่สามารถเทศนาได้ครั้งละหลายชั่วโมง ย่อมสามารถทำงานได้อย่างแน่นอน  จากนั้น หลังจากที่พวกเจ้าเลือกพวกเขาเป็นผู้นำแล้ว พวกเจ้าก็ค้นพบปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งคือ พี่น้องชายหญิงไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาเลยและไม่เคยพบพวกเขาเลยเมื่อมีปัญหา  ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งและไม่ยอมให้ใครรบกวน  นั่นคือปัญหา  พวกเขามักจะเล่นซ่อนหาอยู่เสมอในช่วงเวลาที่สำคัญของงาน และพี่น้องชายหญิงก็ไม่เคยพบพวกเขาเลยเมื่อต้องการให้มาแก้ไขปัญหา—พวกเขาไม่ได้กำลังละเลยหน้าที่ที่ถูกควรของตนหรอกหรือ?  เหตุใดบางคนจึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับพี่น้องชายหญิงเมื่อได้เป็นผู้นำแล้ว?  เหตุใดจึงหาตัวพวกเขาไม่พบ?  อะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเขายุ่งอยู่?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่แก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติ?  ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับอะไรก็ตาม ในเรื่องนี้พวกเจ้าสามารถแน่ใจได้เลยว่า หากพวกเขาไม่ได้ทำงานภาคปฏิบัติไประยะหนึ่ง พวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จ และควรถูกปลดออกโดยเร็ว และควรเลือกคนอื่นแทน  ในอนาคตพวกเจ้าจะยังเลือกผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้อีกหรือไม่?  (ไม่)  ทำไมถึงไม่?  พวกเจ้าคิดว่าผลที่ตามมาของการเลือกคนตาบอดเป็นผู้นำทางของพวกเจ้าคืออะไร?  คนคนนั้นตาบอดเอง แล้วเขาจะสามารถนำทางผู้อื่นไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้หรือ?  เหมือนดังที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” (มัทธิว 15:14)  คนตาบอดเดินโดยไม่มีทิศทางหรือเป้าหมาย แล้วเขาจะนำผู้อื่นได้อย่างไร?  หากใครเลือกคนตาบอดเป็นผู้นำทางของตน คนคนนั้นก็ตาบอดเสียยิ่งกว่า  มีคำกล่าวในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อว่า “ถามทางกับคนตาบอด”  การเลือกผู้นำเทียมเท็จให้มารับใช้เป็นผู้นำคริสตจักรก็คือการถามทางกับคนตาบอด  มันเป็นเรื่องไร้สาระมิใช่หรือ?  ทุกคนที่ลงคะแนนเสียงให้ผู้นำเทียมเท็จล้วนเป็นคนตาบอดที่เลือกคนตาบอด และไม่มีสักคนเดียวในหมู่พวกเขาที่เข้าใจความจริง

เมื่อบางคนเลือกคนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณมาเป็นผู้นำ พวกเขาก็รู้สึกมีความสุขมาก โดยคิดว่า “ตอนนี้พวกเรามีผู้นำที่ยอดเยี่ยมแล้ว ผู้นำของพวกเราเทศนาเก่งจริงๆ พวกเขามีเหตุมีผลและมีโครงสร้างในการเทศนามาก และคำเทศนาของพวกเขาก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง”  บางคนที่ขาดวิจารณญาณแยกแยะก็ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล พวกเขาถึงกับหลงใหลในตัวผู้นำคนนี้ และไม่อยากไปทำหน้าที่ของตนเลย  พวกเขาเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจนทีเดียวเมื่อฟังการสามัคคีธรรม แต่เมื่อพวกเขาค้นพบปัญหาขณะทำหน้าที่ พวกเขากลับไม่รู้วิธีแก้ไขและรู้สึกงุนงง โดยคิดว่า “ฉันดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อฟังผู้นำสามัคคีธรรม แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานของฉันได้?”  ปัญหาตรงนี้คืออะไร?  ทุกสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้เทศนาล้วนเป็นคำพูดและคำสอน เป็นวลีที่ว่างเปล่า เป็นคำขวัญ และเป็นเรื่องไร้สาระ  สิ่งที่พวกเขาเทศนาไม่ได้แก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติของเจ้า พวกเขาหลอกเจ้าได้สำเร็จ  พวกเขาป้อนภาพลวงตาให้เจ้า โดยการพูดคำขวัญสองสามคำเพื่อทำให้เจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว ทั้งที่ตามจริงแล้วพวกเขาไม่ได้สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงเกี่ยวกับปัญหาของเจ้าเลย  แล้วปัญหาจะได้รับการแก้ไขด้วยการสามัคคีธรรมในลักษณะนี้ได้อย่างไร?  คำสอนที่พวกเขาเทศนานั้นไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาภาคปฏิบัติเลย พวกเขาเพียงแค่หลีกเลี่ยงแก่นแท้ของปัญหาทั้งหมดและพูดถึงทฤษฎีอย่างเลื่อนลอย  พวกเขาเทศนาเพียงคำพูดและคำสอนและทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาไม่รู้เลยว่าความเป็นจริงความจริงคืออะไร และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็จะสับสนงงงวย  คำเทศนาที่พวกเขาให้นั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้ มันเป็นเพียงทฤษฎีชนิดหนึ่ง เป็นความรู้และคำสอนชนิดหนึ่ง  ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้เทศนาพระวจนะของพระเจ้าและความจริงราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นคำพูดและคำสอนและคำขวัญชนิดหนึ่ง  พวกเขาหลีกเลี่ยงปัญหาภาคปฏิบัติทั้งหมดและเทศนาเพียงคำพูดที่กลวงและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง  แล้วท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น?  ไม่ว่าพวกเขาจะเทศนานานเพียงใด อย่างดีที่สุดคำเทศนาของพวกเขาก็จะส่งผลเป็นการให้กำลังใจและตักเตือนผู้คน ทำให้ผู้คนกระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อยและมีพลังขึ้นมาชั่วขณะ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอื่นใดได้เลย  ความจริงไม่ได้ตัดขาดจากความเป็นจริง แต่กลับเชื่อมโยงกับความเป็นจริงและกับปัญหานานัปการที่มีอยู่จริง  ดังนั้น ตอนนี้พวกเจ้าจะสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณได้หรือไม่เมื่อพวกเจ้าเผชิญหน้ากับพวกเขาในครั้งต่อไป?  ถ้าไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเจ้าต้องการลงคะแนนเสียงให้ใครสักคนเป็นผู้นำ ก็จงให้พวกเขาแก้ไขปัญหาสองสามข้อก่อน  หากพวกเขาแก้ไขตามหลักธรรม และหากพวกเขาบรรลุผลลัพธ์ที่ดีพอสมควรและแก้ไขปัญหาโดยใช้ความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็สามารถลงคะแนนเสียงให้พวกเขาได้  หากพวกเขาหลีกเลี่ยงและไม่พูดถึงแก่นแท้ของปัญหาและสถานการณ์จริง และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการเทศนาคำสอนอย่างว่างเปล่า ตะเบ็งเสียงกล่าวคำขวัญ และยึดติดกับข้อบังคับ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ไม่สามารถลงคะแนนเสียงให้คนคนนั้นได้  ทำไมพวกเจ้าถึงไม่สามารถลงคะแนนเสียงให้คนคนนั้นได้?  (เพราะพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้)  แล้วคนประเภทไหนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้?  คนที่สามารถเทศนาได้เพียงคำพูดและคำสอน—พวกเขาคือฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาไม่มีขีดความสามารถที่จำเป็นในการเข้าใจความจริง ไม่มีสมรรถภาพในการแก้ไขปัญหา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นหากเจ้าเลือกพวกเขาเป็นผู้นำ พวกเขาก็ย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  พวกเขาไม่สามารถทำงานของผู้นำหรือลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำได้  ดังนั้น พวกเจ้าจะไม่เป็นการทำร้ายพวกเขาหรอกหรือหากพวกเจ้าลงคะแนนเสียงให้พวกเขา?  บางคนกล่าวว่า “นั่นจะเป็นการทำร้ายเขาได้อย่างไร?  พวกเรามีเจตนาดีในการลงคะแนนเสียงให้เขา  เขามีขีดความสามารถอยู่บ้าง และถ้าพวกเราเลือกเขา พวกเราก็จะมีคนมารับผิดชอบงานไม่ใช่หรือ?”  แน่นอนว่าการมีคนมารับผิดชอบเป็นสิ่งที่ดี แต่คนประเภทนี้ไม่สามารถรับผิดชอบได้  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการพูดถึงทฤษฎีอย่างว่างเปล่า พวกเขาไม่คำนึงถึงสถานการณ์จริง และพวกเขาไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหา ดังนั้นโดยการลงคะแนนเสียงให้พวกเขา พวกเจ้าไม่ได้กำลังให้โอกาสพวกเขาทำความชั่วหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่ได้กำลังบังคับให้พวกเขาเดินบนเส้นทางของผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  ดังนั้น พวกเจ้าต้องไม่เลือกคนเช่นนี้มาเป็นผู้นำ

สำหรับผู้คนรอบตัวพวกเจ้า—คนที่พวกเจ้าติดต่อด้วยบ่อยๆ และค่อนข้างคุ้นเคย—พวกเจ้าแยกแยะออกหรือไม่ว่าใครเอาแต่พูดคำสอนที่ว่างเปล่าแต่แก้ปัญหาภาคปฏิบัติไม่ได้?  ใครที่มักจะเทศนาทฤษฎีสูงส่งและเสนอแผนการที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครซึ่งไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน แต่พอถูกถามถึงแผนปฏิบัติการและรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมว่าจะนำไปใช้อย่างไร เขากลับงุนงงจนพูดไม่ออก?  ถ้อยคำของพวกเขานั้นว่างเปล่าอย่างยิ่งและไม่สมจริงเลย ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง สภาพแวดล้อมตามจริง สิ่งที่ผู้คนสามารถบรรลุได้จริง วุฒิภาวะของผู้คน และระดับทักษะทางวิชาชีพของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่พูดจาเหลวไหล เอาแต่เพ้อฝันฟุ้งซ่าน และนึกจะพูดอะไรก็พูดออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น  พวกเขาคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูด ไม่เว้นแม้แต่การคุยโวโอ้อวด  พวกเขาแสดงทัศนะและเสนอแนวคิดด้วยท่าทีเช่นนี้—นี่ไม่ใช่คนประเภทเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณหรอกหรือ?  (ใช่)  บางคนเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีใครเอาจริงเอาจังกับการคุยโวโอ้อวดหรือแนวคิดที่ฟังดูสูงส่ง ทั้งยังทำให้ตนดูมีความสามารถอีกด้วย  พวกเขาคิดว่าหากพูดอะไรผิดไป ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ และหากพูดอะไรถูกต้อง ทุกคนก็จะยกย่องพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพูดอะไรก็ได้ตามที่ต้องการและทำให้ทุกอย่างดูง่ายดายไปหมด  พวกเขามีแนวคิดมากมาย แต่ไม่มีสักแนวคิดเดียวที่มาพร้อมกับแผนการปฏิบัติที่เจาะจงและสามารถนำไปใช้ให้เกิดผลได้จริง  พวกเขาไม่เคยเอาจริงเอาจังกับทัศนะใดๆ ที่หยิบยกขึ้นมา ไม่ว่าทัศนะนั้นจะบริสุทธิ์หรือบิดเบือนก็ตาม  วันนี้พวกเขาพูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ก็พูดอีกอย่างหนึ่ง และแม้ว่าทัศนะ ทฤษฎี และหลักพื้นฐานที่พวกเขาพูดถึงจะสูงส่งมาก แต่ทั้งหมดก็ล้วนว่างเปล่าและใช้การไม่ได้จริง  นานๆ ครั้งพวกเขาจะเสนอแผนการที่ไม่ว่างเปล่าหรือผิดเพี้ยน แต่พอถูกถามว่าจะดำเนินแผนการนั้นอย่างเจาะจงได้อย่างไร พวกเขากลับบอกไม่ได้  เวลาที่ตะเบ็งเสียงกล่าวคำขวัญ พูดถ้อยคำที่ฟังดูสูงส่ง และแสดงทัศนะ พวกเขากระตือรือร้นและกระฉับกระเฉงอย่างยิ่ง  แต่พอถึงเวลาทำงานที่เจาะจงและนำแผนการที่เจาะจงไปปฏิบัติ พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซ่อนตัว และไม่มีความเห็นใดๆ อีกต่อไป  คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำได้หรือ?  (ไม่ได้)  ถ้าเช่นนั้น ผลที่ตามมาของการที่คนเช่นนี้ได้เป็นผู้นำจะเป็นอย่างไร?  ย่อมเป็นการทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่นมิใช่หรือ?  พวกเขาจะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังจะก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงต่อตนเองอีกด้วย  คำสอนที่พวกเขาเทศนานั้นมีอยู่จำกัด และเมื่อเทศนาจบแล้ว พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องคอยหลบซ่อนและ “เก็บตัวเพื่อมุ่งฝึกฝนตนเอง” อยู่เสมอ  นี่ไม่เป็นการสร้างความลำบากให้พวกเขาหรอกหรือ?  ทันทีที่ได้เป็นผู้นำ พวกเขาจะรู้สึกราวกับว่ามีภูเขาสามลูกใหญ่ๆ กดทับศีรษะของตนอยู่ จะรู้สึกเหนื่อยล้าทุกวันและรู้สึกกดดันอย่างมาก—พวกเขาจะทนทุกข์เช่นนี้ไปเพื่ออะไร?  พวกเขาไม่มีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำ และเมื่อเผชิญกับปัญหา พวกเขาก็เพียงแค่นำข้อบังคับต่างๆ มาปรับใช้อย่างมั่วซั่วตามจินตนาการของตนและไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้—คนเช่นนี้ไม่สามารถเป็นผู้นำได้  พวกเขาไม่สามารถทำงานจริงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้นำเทียมเท็จ และพวกเขาก็จะยังคงคิดว่าตนเองเก่งกาจนักหนาทั้งๆ ที่ทำให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงต้องล่าช้า  หากพวกเจ้าสามารถค้นพบและเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงขีดความสามารถและลักษณะนิสัยของคนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ได้ พวกเจ้าจะยังคงลงคะแนนให้พวกเขาเป็นผู้นำอีกหรือไม่?  หากเจ้าเองเป็นคนประเภทนี้และมีคนต้องการลงคะแนนให้เจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?  (ข้าพระองค์จะรู้จักประมาณตน และกล่าวว่าตนไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ)  และหากหลังจากที่เจ้าได้กล่าวเช่นนี้แล้ว ทุกคนยังคงคิดว่าเจ้าดีและยืนกรานที่จะลงคะแนนให้เจ้า เจ้าควรทำอย่างไร?  จงกล่าวกับพวกเขาว่า “ฉันทำงานของผู้นำไม่ได้ ฉันแบกรับงานนั้นไม่ไหว  ผิวเผินแล้วดูเหมือนฉันมีขีดความสามารถอยู่บ้าง และบางครั้งฉันก็มีแนวคิดที่ดีและให้ความสว่างเล็กๆ น้อยๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วฉันก็เพียงแค่เทศนาคำพูดและคำสอน  ฉันไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้จริงๆ  ฉันไม่ได้ดีไปกว่าพวกคุณเลย  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ได้โปรดอย่าลงคะแนนให้ฉัน  ต่อให้ฉันได้คะแนนเสียงมากที่สุด ฉันก็ยังไม่สามารถเป็นผู้นำได้  ฉันไม่สามารถทำให้ใครเดือดร้อนได้!  ฉันเคยรับใช้ในฐานะผู้นำมาก่อน และทุกครั้งฉันก็ล้มเหลวและถูกปลดออก  ทุกครั้งที่ฉันถูกปลดออก ก็เป็นเพราะขีดความสามารถของฉันย่ำแย่ ฉันขาดความสามารถในการทำงานและไม่สามารถทำงานจริงได้  ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือเทศนาคำพูดและคำสอน และนอกเหนือจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดีหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบแม้แต่ข้อเดียวที่ผู้นำควรจะลุล่วงได้  ฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ”  การทำเช่นนี้ถึงจะเรียกว่ามีความตระหนักรู้ในตนเอง ไม่ใช่แค่พูดไม่กี่คำว่าตนไม่เหมาะจะเป็นผู้นำแล้วก็จบเรื่องไป  บางคนคิดว่า “ฉันปฏิบัติหน้าที่ในกลุ่มนี้มาหลายปีแล้ว อย่างไรเสียก็น่าจะถือว่าเป็นบุคลากรรุ่นใหญ่ได้  แม้ว่าฉันจะไม่เคยสร้างคุณูปการใดๆ แต่ฉันก็ได้ทำงานหนัก แล้วทำไมไม่มีใครค้นพบจุดแข็งของฉันเลย?  ฉันก็มีแววเป็นผู้นำเหมือนกัน  ฉันมักจะเสนอความคิด แนวคิด และข้อเสนอแนะที่ค่อนข้างมีคุณค่าและมีประโยชน์ในทางปฏิบัติ  ไม่ว่าผู้นำจะรับไปใช้หรือไม่ก็ตาม อย่างไรเสียฉันก็เป็นคนที่มีท่าที มีความคิด และมีทัศนะ  ทำไมไม่มีใครลงคะแนนให้ฉันเลย?”  หากเจ้าคิดเช่นนี้ เจ้าก็สามารถประเมินตนเองได้ดังนี้ นั่นคือ ความคิด แนวคิด และข้อเสนอแนะเหล่านั้นที่เจ้ามีเป็นเพียงคำพูด หรือว่ามีประโยชน์ในทางปฏิบัติจริงๆ?  เจ้าสามารถค้นพบและแก้ไขความยุ่งยากนานัปการที่พบเจอในงานได้หรือไม่?  ความคิดและแนวคิดของเจ้าใช้การได้หรือไม่?  เจ้าสามารถแบกรับงานได้หรือไม่?  หากความคิดและทัศนะของเจ้ายังคงอยู่ในระดับของคำพูดและคำสอน หากมันไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติเลย และที่สำคัญกว่านั้น หากมันไม่สอดคล้องกับหลักธรรมการทำงานของพระนิเวศของพระเจ้าเลย แล้วขีดความสามารถของเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่?  เมื่อเจ้าได้รับเลือกให้เป็นผู้นำแล้ว เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  เจ้าต้องการเป็นผู้นำเพราะความทะเยอทะยาน หรือเพราะมีใจที่จะแบกรับภาระ?  หากเจ้ามีขีดความสามารถในการทำงานและมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง และเมื่อเจ้าเห็นผู้นำและคนทำงานบางคนปฏิบัติงานได้ย่ำแย่มากและไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ สิ่งนี้ทำให้เจ้าร้อนใจ และเจ้าได้ให้ข้อเสนอแนะแก่พวกเขาแต่พวกเขาไม่ฟัง และพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แต่กลับไม่รายงานต่อเบื้องบน และเจ้ารู้สึกกังวลและร้อนใจให้กับงานของพระนิเวศของพระเจ้า และเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างไม่อาจทนได้เมื่อเห็นผู้นำเทียมเท็จทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า นี่แสดงว่าเจ้ามีใจแบกรับภาระ  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการได้รับการยอมรับจากทุกคน เพื่อหาผู้ฟังจำนวนมากขึ้น และเพื่อให้มีคนฟังเจ้าเทศนาและแสดงภูมิมากขึ้น เพียงเพราะเจ้ามีแนวคิดบางอย่าง และหากเจ้าต้องการโดดเด่นในฝูงชน เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่การมีใจแบกรับภาระ—นี่คือความทะเยอทะยาน  คนที่มีความทะเยอทะยานสามารถเทศนาได้แต่คำพูดและคำสอนเท่านั้น และแนวคิดใดๆ ที่พวกเขามีก็เป็นเพียงคำพูดและคำสอนที่ว่างเปล่าเช่นกัน  เมื่อคนเช่นนี้ได้เป็นผู้นำ พวกเขาย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน และหากพวกเขาเป็นคนชั่ว พวกเขาก็คือศัตรูของพระคริสต์  หากแนวคิดของเจ้ายังคงอยู่ในระดับของคำพูดที่ว่างเปล่า เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าได้เป็นผู้นำ เจ้าย่อมต้องเป็นเหมือนกับผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณทุกคนอย่างแน่นอน  เจ้าจะต้อง “เก็บตัวเพื่อมุ่งฝึกฝนตนเอง” อยู่เสมอ มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะรู้สึกถึงวิกฤตและจะไม่มีอะไรจะเทศนา  หากเจ้าเป็นเหมือนกับพวกเขา และในขณะที่เจ้ากำลังเทศนาจากที่สูง เจ้าก็ไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ที่มีอยู่ในงานได้ และโดยธรรมชาติแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  และจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำเทียมเท็จในท้ายที่สุด?  พวกเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถทำงานจริงได้—พวกเขาย่อมต้องเดินบนเส้นทางนี้อย่างแน่นอน

มีหลายคนที่รู้สึกขุ่นเคืองและคันไม้คันมืออยู่ในใจเสมอ และเมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลาเลือกผู้นำหรือผู้ดูแล พวกเขาก็อยากเป็นคนที่ได้รับเลือกเสมอ  บางคนคิดว่าตนเชื่อในพระเจ้ามานานปีที่สุด ทนทุกข์มามากที่สุด ปฏิบัติหน้าที่มานานที่สุดและด้วยความจงรักภักดีที่สุด และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการให้คนอื่นเลือกตน  หากคนอื่นเลือกเจ้าแล้วเจ้าจะสามารถทำอะไรได้?  เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  ทั้งหมดนี้คือปัญหาภาคปฏิบัติ แต่ไม่มีใครพิจารณาเรื่องเช่นนี้เลย  ในบรรดาคนเหล่านี้ บางคนมีขีดความสามารถเพียงพอ  พวกเขาจะสามารถแสวงหาความจริงได้เมื่อมีปัญหาในหน้าที่ของตน และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงและสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมได้ พวกเขาก็จะสามารถได้มาตรฐาน  หากคนเหล่านี้เข้าใจความจริง รักความจริง และสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ และนอกจากนี้ยังมีความเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างดี เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ในการเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐาน—มันจะไม่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา  บางคนบ่นอยู่เสมอว่างานที่ตนทำนั้นลำบากยากเย็น พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทหรือจ่ายราคาเมื่อเป็นเรื่องของความจริง และพวกเขาก็พร่ำบ่นเมื่อถูกตัดแต่ง  คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐานได้หรือ?  เจตนาและท่าทีของพวกเขานั้นผิด พวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกร้องอะไรจากพวกเขา พวกเขาก็ยังคงมีท่าทีที่เป็นลบ  คนเช่นนี้ไม่สมควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงาน  พวกเขาไม่มีใจแบกรับภาระ และไม่ว่าการจัดแจงงานของพระนิเวศของพระเจ้าจะกล่าวไว้อย่างชัดเจนหรือกระจ่างแจ้งเพียงใด พวกเขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะทำงานหนักเพื่อทำงานให้ดี  อันที่จริงแล้ว การทำงานให้ดีนั้นไม่ยาก  เหตุใดจึงไม่ยาก?  ประการแรก พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดแจงงานที่เจาะจงสำหรับงานทั้งหมดของคริสตจักร และเบื้องบนได้กำหนดข้อบังคับที่เจาะจงไว้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ถูกเรียกร้องให้ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในงานใดๆ หรือทำงานให้สำเร็จโดยลำพัง  เบื้องบนได้ให้ขอบเขตและทิศทางแก่พวกเจ้าแล้ว และได้ให้หลักธรรมแก่พวกเจ้าแล้ว และได้ให้มาตรฐานขั้นต่ำแก่พวกเจ้าแล้ว ในการทำงานของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ได้กำลังชกลม หรือขาดทิศทางใดๆ  ประการที่สอง ไม่ว่าจะเป็นงานใด ไม่ว่าผู้ดูแลจะเป็นใคร และไม่ว่างานจะมุ่งไปที่ต่างประเทศหรือในประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพี่น้องชายที่ทำงานเบื้องบนกำลังติดตาม ให้การชี้แนะ กำกับดูแล ตรวจสอบ และดำเนินการกลั่นกรองงานอย่างเจาะจง และสอบถามอยู่บ่อยครั้ง  การกระทำเหล่านี้เจาะจงเพียงใด?  พี่น้องชายที่ทำงานเบื้องบนมีส่วนร่วมและติดตามเป็นการส่วนตัวในทุกบทภาพยนตร์ ทุกภาพยนตร์ ทุกรายการ ทุกบทเพลงนมัสการ และอื่นๆ  เรายังมีส่วนร่วมในงานบางอย่าง โดยให้ทิศทางและโครงร่างโดยรวมแก่พวกเจ้า  ประการที่สาม สำหรับแง่มุมใดๆ ของงานที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง เบื้องบนยังสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับหลักธรรมความจริงและชี้แนะแนวทางการทำงานของพวกเจ้าอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย เบื้องบนยังตัดแต่งพวกเจ้า ดำเนินการกลั่นกรองให้พวกเจ้า และเบื้องบนจะแก้ไขความบิดเบือนของพวกเจ้าได้ทุกเมื่อ  ประการที่สี่ ในส่วนของงานด้านบุคลากรและการบริหารที่สำคัญ เบื้องบนจะช่วยพวกเจ้าเป็นการส่วนตัวโดยดำเนินการกลั่นกรองและตัดสินใจ  ความจริงก็คือไม่ว่าพวกเจ้าจะทำงานอะไร พวกเจ้าก็ไม่ได้ทำมันให้สำเร็จโดยลำพัง ทั้งหมดล้วนได้รับการจัดแจง นำ ชี้แนะ และกลั่นกรองโดยเบื้องบน  แล้วพวกเจ้าทำอะไรกันเล่า?  พวกเจ้าก็แค่เพลิดเพลินกับสิ่งที่พร้อมอยู่แล้ว—พวกเจ้าช่างได้รับพรยิ่งนัก!  พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด เพียงแค่ลงมือลงแรงทำงานเท่านั้น  นี่คืองานในส่วนของพวกเจ้า  พวกเจ้าเคยจ่ายราคาเพิ่มเติมบ้างหรือไม่?  (ไม่เคย)  เบื้องบนได้ทำงานหลักใหญ่ที่สำคัญทั้งหมดนี้แล้ว ดังนั้นงานที่พวกเจ้าทำจึงง่ายมากและไม่มีความยุ่งยากใหญ่หลวงใดๆ เลย  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากผู้คนยังคงทำงานของตนได้ไม่ดี นั่นย่อมไม่มีข้อแก้ตัว และมันพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเพียงแค่ไม่ได้ทุ่มเทหัวใจและความพยายามในงานของตนหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  บางคนกล่าวว่า “ใครบ้างที่ไม่มีข้อบกพร่องเมื่อทำงาน?  ไม่อนุญาตให้คนเรามีปัญหาบ้างเลยหรือ?”  พวกเจ้าไม่ถูกเรียกร้องให้ต้องได้คะแนนเต็มในงานของพวกเจ้า พวกเจ้าเพียงแค่ถูกเรียกร้องให้ผ่านเกณฑ์ แล้วพวกเจ้าก็จะถือว่าได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานแล้ว  นี่เป็นการเรียกร้องที่สูงเกินไปหรือ?  (ไม่ใช่)  การผ่านเกณฑ์นั้นเป็นเรื่องง่ายโดยอาศัยการชี้แนะและการกลั่นกรองของเบื้องบน ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงใจหรือไม่เท่านั้น  หากพวกเขาไม่พยายามใดๆ เมื่อเป็นเรื่องของความจริง และต้องการทำอย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ และหากพวกเขาพอใจกับการทำไปตามขั้นตอนเมื่อทำงาน ไม่ทำสิ่งเลวร้าย ไม่ก่อให้เกิดการรบกวนหรือการขัดขวาง และไม่มีอะไรมารบกวนมโนธรรมของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้  ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่มีท่าทีเช่นนี้เมื่อทำงาน พวกเขาทำงานเล็กน้อยแต่ไม่ต้องการให้ตนเองเหนื่อยล้า พวกเขาพอใจกับการเป็นคนธรรมดาๆ และสำหรับผลของงานของพวกเขานั้น พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องของพระเจ้าและไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง  ท่าทีนี้ยอมรับได้หรือไม่?  หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ งานที่เจ้าสามารถทำได้ย่อมมีจำกัดอย่างยิ่งและเจ้าไม่ได้ทุ่มเททั้งหมดลงไป ซึ่งบ่งชี้ว่าเจ้าไม่สามารถทำงานจริงได้หรือไม่ก็ไม่ได้ทำงานจริง และดังนั้นควรระบุลักษณะว่าเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จ—นี่ย่อมเหมาะสมอย่างยิ่งและไม่ได้ปรักปรำเจ้าเลย  บางคนกล่าวอยู่เสมอว่า “ข้อเรียกร้องของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นสูงเกินไป  หากพวกเราไม่ทำงานนี้ พวกเราก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ และหากพวกเราไม่บรรลุข้อกำหนดนั้น พวกเราก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอีก  พระองค์ทรงถือว่าพวกเราเป็นอะไร?  พวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์ พวกเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ  พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดา เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน  พระองค์ทรงบอกให้พวกเราเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ แล้วเหตุใดพระองค์จึงมีข้อเรียกร้องที่สูงเช่นนี้ต่อพวกเราในฐานะผู้นำ?”  อันที่จริงแล้ว ข้อเรียกร้องของเราที่มีต่อพวกเจ้านั้นไม่สูง  เราเพียงแค่ขอให้เจ้าลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่มนุษย์ควรจะลุล่วง  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรและต้องทำ และเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้ในฐานะผู้นำและคนทำงาน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ทำงานหนักเพื่อมุ่งมั่นไปสู่ความจริง และกลัวความทุกข์ยากลำบากและละโมบความสะดวกสบายอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเหตุผลหรือข้อแก้ตัวของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  มันก็เหมือนกับสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรจะบรรลุและสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรจะดูแลด้วยตนเอง เช่น ผู้ใหญ่ควรตื่นนอนเวลาใดในตอนเช้า ควรกินอาหารกี่มื้อและควรทำงานวันละกี่ชั่วโมง และควรซักเสื้อผ้าที่ใช้แล้วเมื่อใด—เจ้าต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง และไม่จำเป็นต้องไปถามใครอื่นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  หากเจ้าถามคนอื่นเกี่ยวกับทุกสิ่งและไม่เข้าใจอะไรเลย นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีสติปัญญาไม่สมประกอบและเป็นคนโง่หรอกหรือ?  นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่สามารถดูแลตนเองได้หรอกหรือ?  คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำได้หรือ?  พวกเขาไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  คนเช่นนี้ควรถูกปลดออก  คนเช่นนี้ยังคงต้องการยึดติดอยู่กับตำแหน่งของตนและไม่ก้าวลงมา และพวกเขายังคงต้องการเป็นผู้นำ!  หลังจากที่ผู้นำเทียมเท็จบางคนถูกปลดออก พวกเขารู้สึกเหมือนถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมและร้องไห้ไม่หยุด  พวกเขาร้องไห้จนตาบวมไปหมด  เหตุใดพวกเขาจึงร้องไห้?  พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นตัวอะไรกันแน่  เมื่อเรากล่าวว่าข้อเรียกร้องของเราที่มีต่อผู้คนนั้นไม่สูง สิ่งที่เราหมายถึงก็คือสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ทำนั้นคือสิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้ หนทางได้ถูกปูไว้ให้เจ้าแล้วและขอบเขตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และมีการตัดสินใจไปแล้ว และเจ้าเพียงแค่ต้องลงมือทำเท่านั้น  มันก็เหมือนกับการกินอาหาร ธัญพืช ผัก เครื่องปรุงรสทุกชนิด หม้อ และเตาได้ถูกเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว และทั้งหมดที่เจ้าต้องทำคือเรียนรู้วิธีทำอาหาร นี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรจะทำและบรรลุได้  หากเจ้าไม่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ เจ้าก็เป็นคนโง่ และระดับสติปัญญาของเจ้าก็ไม่สามารถถูกนับรวมอยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่ปกติได้  ผู้นำบางคนไม่สามารถทำงานจริงนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องถูกปลดออก  แล้วเราจะนิยามและตัดสินได้อย่างไรว่าใครบางคนสามารถทำงานประเภทนี้ได้หรือไม่?  หากเจ้ามีสติปัญญาและขีดความสามารถของผู้ใหญ่ และเจ้ามีจิตสำนึกในหน้าที่และความรู้สึกรับผิดชอบที่ผู้ใหญ่ควรจะมี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจะสามารถทำงานประเภทนี้ได้  หากเจ้าทำไม่ได้ หรือเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ  นั่นคือวิธีการตัดสินเรื่องนี้ และการตัดสินเช่นนี้ก็ถูกต้องแม่นยำ  นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษหรือการพิพากษาบุคคล แล้วมันเข้มงวดเกินไปหรือไม่?  ข้อเท็จจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยอยู่แล้ว และนี่ไม่ได้เข้มงวดเกินไปเลยแม้แต่น้อย

II. ผู้นำเทียมเท็จผู้มีขีดความสามารถต่ำ

เมื่อสักครู่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันถึงการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้คนเช่นนี้จึงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้  ผู้คนเช่นนี้เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ เพราะพวกเขาไม่สามารถค้นพบความสับสนและความลำบากยากเย็นในงานได้ พวกเขาจึงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบนี้ได้  นี่คือคนประเภทหนึ่ง  ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งคือ พวกเขาเป็นเหมือนกับผู้คนที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณเหล่านั้น—พวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบปัญหาที่มีอยู่ในงานได้เช่นกัน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถรายงานปัญหาเหล่านั้นต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขจากเบื้องบนอย่างทันท่วงทีได้เช่นกัน  ผู้คนเช่นนี้ก็ยุ่งอยู่กับงานเช่นกัน พวกเขาวุ่นวายอยู่ทั้งวันโดยไม่ว่างเว้น  พวกเขามัวแต่วุ่นอยู่กับการเทศนา การไปเยี่ยมเยียนพี่น้องชายหญิงในที่ต่างๆ การจัดเตรียมงาน และกระทั่งการซื้อของต่างๆ นานาเพื่องานคริสตจักร  หากมีใครป่วย พวกเขาก็ช่วยหาหมอให้ หากใครมีปัญหาที่บ้าน พวกเขาก็ช่วยโดยการจัดหาเงินช่วยเหลือ หากใครมีสภาวะไม่ดี พวกเขาก็จะริเริ่มที่จะสนับสนุนและช่วยแก้ไขปัญหาของพวกเขาอย่างแข็งขัน  สรุปคือ พวกเขามักจะยุ่งอยู่กับงานธุรการทั่วไปบางอย่างเสมอ  พวกเขาเฉยเมยต่องานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักร ต่องานข่าวประเสริฐ และต่อปัญหาต่างๆ ในชีวิตคริสตจักร  ทุกๆ วัน พวกเขาเหนื่อยล้ากับการวิ่งวุ่นไปทั่ว และพวกเขาก็ทำให้ตนเองวุ่นอยู่กับการจัดการและแก้ไขกิจการของคริสตจักรและเรื่องส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง  พวกเขาคิดว่าในฐานะผู้นำ พวกเขาควรปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ แต่พวกเขากลับไม่เคยตระหนักเลยว่างานที่เป็นแก่นสารของผู้นำคืออะไร และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหนักเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถพบปัญหาที่แท้จริงและสำคัญยิ่งที่มีอยู่ในคริสตจักรได้  ดังนั้น เมื่อการก่อกวนและอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร และเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิต ผู้นำเหล่านี้จึงไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที  แม้ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับการทำงานและผ่านไปในแต่ละวันโดยไม่ว่างเว้น แต่การที่ยุ่งหัวหมุนเช่นนี้จะเกิดประโยชน์อันใดเล่า?  มีปัญหามากมายปรากฏอยู่ในงานคริสตจักร แต่พวกเขากลับไม่สามารถค้นพบปัญหาเหล่านั้นได้  เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาดูเหมือนจะขยันหมั่นเพียร มีมโนธรรม และไม่ว่างเว้น แต่ปัญหากลับเกิดขึ้นในงานไม่หยุดหย่อน และพวกเขาก็ได้แต่วิ่งตามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยุ่งอยู่กับการแก้ไข “ปัญหาที่ซับซ้อนและยากเย็น” นานัปการ และจัดการกับคนชั่วและผู้คนที่ก่อกวนและขัดขวางทุกประเภทที่ปรากฏตัวในคริสตจักร  พวกเขาวุ่นวายอยู่กับงานเช่นนี้ แต่กลับไม่สามารถแยกแยะแม้กระทั่งปัญหาพื้นฐานที่สุดได้  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าความเป็นมนุษย์ที่ดีคืออะไรและความเป็นมนุษย์ที่เลวคืออะไร ขีดความสามารถที่ดีคืออะไรและขีดความสามารถที่ต่ำคืออะไร การมีความสามารถและความรู้ที่แท้จริงคืออะไรและการมีพรสวรรค์คืออะไร  พวกเขายังมองไม่ทะลุอีกด้วยว่าพระนิเวศของพระเจ้าบ่มเพาะคนประเภทใดและกำจัดคนประเภทใดออกไป คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงคือใครและคนที่ไม่ใช่คือใคร คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มใจคือใครและคนที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนคือใคร คนที่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมเป็นประชากรของพระเจ้าได้คือใคร และคนลงแรงคือใคร และอื่นๆ  พวกเขาปฏิบัติต่อคนที่สามารถพูดจาโอ้อวดและพล่ามทฤษฎีที่ว่างเปล่าแต่ไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ ประหนึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการบ่มเพาะ และพวกเขาจัดให้คนเหล่านั้นปฏิบัติและมอบหมายงานสำคัญให้แก่พวกเขา ในขณะที่พวกเขาชะลอการส่งเสริมและการบ่มเพาะคนที่มีความเข้าใจอันบริสุทธิ์ มีขีดความสามารถ และมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง เพียงเพราะว่าคนเหล่านั้นเชื่อในพระเจ้ามาไม่นานนักหรือได้เผยอุปนิสัยที่โอหังออกมา  ปัญหาเช่นนี้มักเกิดขึ้นในคริสตจักรและนี่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของงานคริสตจักร  นี่คือปัญหาที่แท้จริง แต่ผู้นำประเภทนี้กลับมองไม่เห็นหรือค้นพบปัญหาเหล่านั้นและกระทั่งไม่ตระหนักรู้ถึงปัญหาเหล่านั้นเลยโดยสิ้นเชิง  เมื่อคนชั่วก่อกวนและขัดขวาง พวกเขาก็ให้โอกาสคนเหล่านั้นได้อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์และทบทวนตนเอง ในขณะที่เมื่อคนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่คนชั่ว ทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราวเพราะพวกเขายังเยาว์วัยและโง่เขลาและกระทำการโดยไม่มีหลักธรรม—ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ไม่ใช่ประเด็นทางหลักธรรม—ผู้นำประเภทนี้กลับปฏิบัติต่อความผิดพลาดเหล่านี้ประหนึ่งเป็นบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้และส่งคนเหล่านี้กลับบ้าน  ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ยุ่งอยู่กับงานทุกวัน และเมื่อมองจากภายนอก พวกเขาดูเหมือนจะใช้ความพยายามอย่างมากและใช้เวลาไปมาก แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอย่างไร ก็ไม่มีใครได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิตที่แท้จริงจากงานนั้น  ไม่ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะมีปัญหาและความลำบากยากเย็นอะไร ผู้นำประเภทนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้โดยการสามัคคีธรรมความจริง และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการตักเตือนพวกเขาด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก และประกาศคำพูดและคำสอนเพื่อหนุนใจประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ดังนั้น ภายใต้การนำของผู้คนเช่นนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิต พวกเขาเพียงแต่เชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยอาศัยความกระตือรือร้น และไม่บรรลุการเข้าสู่ชีวิต—พวกเขาจะดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้นานเท่าใด?  ผลก็คือ บางคนมักจะคิดลบและอ่อนแอและปรารถนาให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงอยู่เสมอ และนิมิตก็ยิ่งไม่ชัดเจนต่อพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และบางคนถึงกับสงสัยในพระเจ้าและระแวดระวังพระองค์  ผู้นำเทียมเท็จเมื่อเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ก็ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง และทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้น  พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าร่วมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อแสวงหาความจริงและแก้ไขประเด็นปัญหา—พวกเขาไม่เคยปฏิบัติงานนี้เลย  ทุกๆ วัน พวกเขาเพียงแค่วุ่นวายอยู่กับงานธุรการทั่วไปบางอย่างและเรื่องภายนอกบางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตหรือความจริง  พวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขายุ่งอยู่กับการทำสิ่งต่างๆ นั่นก็หมายความว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนและลุล่วงความรับผิดชอบของตน และพวกเขาไม่มีทางเป็นผู้นำเทียมเท็จได้เลย  ในความเป็นจริง การที่พวกเขาวุ่นวายอยู่กับงานธุรการทั่วไปเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้พี่น้องชายหญิงก้าวหน้าในชีวิตเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่สามารถทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  พวกเจ้าว่าขีดความสามารถของผู้นำประเภทนี้ไม่มีปัญหาหรอกหรือ?  พวกเขาไม่มีความเข้าใจถ่องแท้ในสิ่งใดเลย และพวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขายุ่งอยู่กับการทำงาน ปัญหาทั้งหมดก็จะหายไปเอง และได้รับการแก้ไขโดยอ้อม  ผู้คนเหล่านี้ช่างเลอะเลือนเสียจริงๆ มิใช่หรือ?  ขีดความสามารถของพวกเขาช่างต่ำเสียจริงๆ มิใช่หรือ?  พวกเขามองอะไรไม่ออกเลย พวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงใดๆ ได้ และนี่ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จอย่างแท้จริง  นี่เป็นเรื่องที่แยกแยะได้ง่ายที่สุด

ผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จปรากฏอยู่ในคริสตจักรต่างๆ ทั่วทุกแห่งในเวลานี้  พวกเขาเพียงแค่อาศัยความกระตือรือร้นของตนในการทำงานและไม่มีความเข้าใจในความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่รู้ว่างานที่เป็นแก่นสารของผู้นำหรือคนทำงานคืออะไร และไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาได้—พวกเขาเพียงแค่วุ่นวายอยู่กับงานธุรการทั่วไปบางอย่างอย่างไร้ทิศทางตลอดทั้งวัน  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคริสตจักรจำเป็นต้องซื้อของชิ้นหนึ่ง  นี่ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร เพียงแค่ต้องจัดให้ใครสักคนที่รอบรู้ในด้านที่เกี่ยวข้องไปซื้อมันมา  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งกลัวว่าจะใช้เงินมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงจัดให้ใครบางคนไปดูของหลายๆ ที่เพื่อซื้ออันที่ถูกที่สุด  ผลก็คือพวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์ราคาถูกซึ่งใช้ได้ไม่กี่วันก็พัง และพวกเขาจำเป็นต้องไปซื้ออันใหม่  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ประหยัดเงิน แต่ในทางกลับกัน พวกเขากลับลงเอยด้วยการต้องจ่ายเงินมากขึ้น  การจัดการงานเช่นนี้มีหลักธรรมหรือไม่?  ไม่จำเป็นต้องซื้อยี่ห้อดังเมื่อซื้อของ แต่สิ่งที่เหมาะสมที่ควรทำก็คืออย่างน้อยที่สุดต้องซื้อของที่มีคุณภาพเหมาะสมและใช้งานได้  ผู้นำเทียมเท็จกังวลเกี่ยวกับงานธุรการทั่วไปอย่างมาก และนั่นก็ไม่มีอะไรผิด  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับงานที่เป็นแก่นสารของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างจริงจัง และนี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ เป็นการที่พวกเขาไม่ปฏิบัติงานที่เป็นแก่นสาร  งานต่างๆ เช่น งานข่าวประเสริฐ งานผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน งานวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ และงานปรับเปลี่ยนบุคลากรผู้นำและคนทำงาน ล้วนเป็นงานที่สำคัญยิ่ง แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่คิดว่างานเหล่านี้สำคัญ และพวกเขาก็ปล่อยปละละเลยและเพิกเฉยต่องานเหล่านั้น  พวกเขามีขีดความสามารถไม่เพียงพอและไม่รู้วิธีทำงาน แต่พวกเขาก็ไม่พยายามที่จะเรียนรู้เช่นกัน กลับคิดว่า “ก็ไม่เป็นไรตราบใดที่มีคนรับผิดชอบงานนี้อยู่แล้ว จะต้องมีฉันไปด้วยทำไมกัน? ฉันจัดการงานสำคัญๆ อยู่แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ฉันไม่จำเป็นต้องไปยุ่งด้วย พอฉันบอกหลักธรรมแก่พวกเขาแล้ว งานของฉันก็จบ”  เมื่อมองจากภายนอก ผู้นำเทียมเท็จดูเหมือนจะยุ่งมาก แต่เมื่อพวกเจ้าดูสิ่งที่พวกเขากำลังวุ่นอยู่ ไม่มีสักอย่างเดียวที่เป็นงานชิ้นสำคัญของคริสตจักร ไม่มีสักอย่างเดียวที่เป็นงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คน และไม่มีสักอย่างเดียวที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหา  สิ่งที่พวกเขาวุ่นวายอยู่นั้นไม่มีคุณค่าใดๆ เลย และผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็เพียงแค่วุ่นวายอย่างไร้ทิศทางเท่านั้น  พวกเขาไม่รู้ว่าผู้นำและคนทำงานควรทำงานอะไรเพื่อที่จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่อาศัยความกระตือรือร้นของตนในการวุ่นวายอยู่กับภารกิจบางอย่างที่พวกเขาชอบทำ  พวกเขาจะสอบถามอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องขี้ประติ๋วที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานคริสตจักร เช่น พี่น้องชายหญิงสวมเสื้อผ้าอะไร พวกเขามีทรงผมแบบไหน พวกเขาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร และพวกเขาพูดคุยและประพฤติตนอย่างไร  พวกเขาคิดว่านี่คือการที่พวกเขาเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย และการแก้ไขประเด็นปัญหาในชีวิตจริงของผู้คนเป็นสิ่งที่ผู้นำควรทำ เป็นสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี  แต่พวกเขากลับไม่ให้ความสำคัญกับงานที่เป็นแก่นสารอย่างจริงจัง เช่น งานข่าวประเสริฐ งานผลิตภาพยนตร์ งานบทเพลงนมัสการ งานข้อเขียน งานธุรการ งานให้น้ำผู้เชื่อใหม่ งานจัดตั้งคริสตจักร งานส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน และอื่นๆ  พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในงานใดๆ เหล่านี้เลย และพวกเขาไม่ได้ติดตามงานนั้น ราวกับว่างานนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่แก้ไขปัญหามากมายที่สะสมอยู่ในคริสตจักร พวกเขาไม่ปลดผู้นำเทียมเท็จที่พวกเขาควรปลด พวกเขาไม่ควบคุมหรือจัดการคนชั่วที่ทำชั่วและอาละวาดทำสิ่งเลวร้าย และพวกเขาไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาของบางคนที่สุกเอาเผากิน ไม่ยับยั้งชั่งใจและไร้วินัย และถ่วงงานในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  นี่เป็นปัญหาอะไร?  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติเหล่านี้—พวกเขาเป็นคนที่ทำงานที่เป็นแก่นสารหรือ?  ในใจของพวกเขา ภารกิจที่ไม่สำคัญและไม่เกี่ยวข้องที่พวกเขาปฏิบัตินั้นกลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ  พวกเขาวุ่นวายอยู่กับสิ่งไร้ค่าเหล่านั้นตลอดทั้งวัน โดยเชื่อว่าพวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบของตนและกำลังจงรักภักดี แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารแม้แต่ชิ้นเดียวที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้พวกเขา—ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  พวกเขาเทียบเท่ากับผู้อำนวยการสำนักงานแขวงในสังคม เป็นเพียงพวกแม่บ้านที่ชอบจุ้นจ้าน—แล้วพวกเขายังเป็นผู้นำและคนทำงานของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่อีกหรือ?  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จอย่างแท้จริง  ด้วยเหตุผลใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ?  (เพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการจัดการเรื่องขี้ประติ๋วบางอย่าง)  นี่คือเหตุผลที่เจาะจง  ขีดความสามารถของผู้คนเหล่านี้ต่ำเกินไป ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนากี่ครั้ง อ่านการจัดเตรียมงานกี่ครั้ง ปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้ากี่ปี หรือเป็นผู้นำกี่ปี พวกเขาก็ไม่เคยรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นถูกหรือผิด หรือว่าพวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงหรือไม่  นิยามของพวกเขาสำหรับป้ายและตำแหน่งของผู้นำและคนทำงานก็คือไม่เป็นไรตราบใดที่พวกเขายุ่งอยู่  เหมือนลาที่เดินลากโม่หิน พวกเขาลากไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขยับไม่ได้อีกต่อไป และพวกเขาถือว่านี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของตน  ไม่ว่าจะลากไปในทิศทางใด และไม่ว่าพลังงานที่พวกเขาใช้ในการลากจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบของตน  มีประเด็นปัญหามากมายที่พวกเขาไม่สามารถมองทะลุได้ และพวกเขาไม่พยายามที่จะแก้ไขหรือรายงานปัญหาเหล่านั้นต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไข  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานกี่ปีหรือติดต่อกับผู้คนกี่ปี พวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการสำแดงของบุคคลหนึ่งเป็นการสำแดงของผู้เชื่อใหม่ที่มีรากฐานในความเชื่อที่ตื้นเขินและไม่เข้าใจความจริง หรือเป็นการสำแดงของผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาควรแยกแยะหรือระบุลักษณะพวกเขาอย่างไร  เมื่อมีคนสองคนซึ่งทั้งคู่อยู่ในสภาวะคิดลบ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าคนไหนที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะและคนไหนที่ไม่ควรค่า เมื่อคนสองคนค่อนข้างสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงและคนไหนเป็นคนลงแรง คนไหนที่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้และคนไหนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริง  พวกเขาไม่รู้ว่าคนไหนที่จะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์เมื่อพวกเขาได้เป็นผู้นำ แม้ว่าพวกเขาจะคบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้มาหลายปีแล้วก็ตาม  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานที่ไร้จุดหมายกี่ครั้ง หรือทำงานที่ไร้ประโยชน์กี่อย่าง หรือมีปัญหารอบตัวพวกเขากี่ปัญหา พวกเขาก็ไม่ตระหนักรู้ถึงมัน และพวกเขาไม่ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้คือประเด็นปัญหา  เนื่องจากผู้คนเช่นนี้มีขีดความสามารถต่ำ มีความคิดเลอะเลือน และไม่สามารถปฏิบัติงานได้ จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำหรือคนทำงาน  นอกเหนือจากการสามารถทำงานธุรการทั่วไปง่ายๆ บางอย่างได้แล้ว ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักรได้เลย และพวกเขาก็มองไม่เห็นหรือแก้ไขปัญหาที่แท้จริงใดๆ ในงานไม่ได้  ผู้นำประเภทนี้ที่มีขีดความสามารถเช่นนี้จะควรค่าแก่การบ่มเพาะได้หรือ?  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสับสนหรือความลำบากยากเย็นคืออะไร และพวกเขายิ่งบกพร่องในการจัดการปัญหาเหล่านั้นตามหลักธรรม  ต่อให้ปัญหาที่เผชิญในงานคริสตจักรจะเป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก พวกเขาก็ยังไม่สามารถสรุปและจำแนกประเภทได้ และไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร—ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ไม่สามารถจัดการหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้ที่มักเกิดขึ้นในคริสตจักรได้เลย  ประเด็นปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกเขาไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา หรือว่าพวกเขากลัวที่จะยุ่งและรู้สึกเหนื่อย แต่เป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถต่ำ มีจิตใจที่ไม่กระจ่าง และพวกเขาไม่สามารถทำงานที่สำคัญและงานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักรได้  แต่พวกเขากลับทำแต่งานธุรการทั่วไปบางอย่างหรือชอบที่จะสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องบางอย่าง แล้วพวกเขาก็ต้องการที่จะสวมบทบาทของผู้นำและคนทำงาน—พวกเขาไม่ใช่คนที่เลอะเลือนที่มีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีที่ใหญ่เกินไปหรอกหรือ?  ผู้นำที่มีขีดความสามารถต่ำไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นกลางของคริสตจักรได้เลย ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง หรืองานวิชาชีพที่ซับซ้อน เช่น งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ งานให้น้ำผู้เชื่อใหม่ในคริสตจักร งานผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน และงานบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับผู้นำและคนทำงานในระดับต่างๆ  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำงานนี้ได้?  เป็นเพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปและพวกเขาไม่สามารถจับหลักธรรมได้ พวกเขาบกพร่องในงานทั้งหมดนี้และไม่สามารถเรียนรู้วิธีทำงานนั้นได้  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้นำเช่นนี้ได้รับมอบหมายให้ดูแลคนห้าคนและถูกขอให้จัดสรรงานให้แก่คนห้าคนนี้โดยพิจารณาจากระดับการศึกษา ขีดความสามารถและจุดแข็ง และลักษณะนิสัยของพวกเขา  นี่เป็นภารกิจที่ทำได้ง่ายหรือไม่?  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  (ใช่)  ผู้นำและคนทำงานที่มีขีดความสามารถปานกลางจะจัดสรรงานได้ค่อนข้างแม่นยำหลังจากใช้เวลาสังเกตการณ์ คบค้าสมาคม และทำความรู้จักกับคนทั้งห้าคน  ผู้นำและคนทำงานที่มีขีดความสามารถต่ำจะคิดว่าคนห้าคนนั้นมากเกินไป เมื่อมีคนมากเกินไป พวกเขาก็จะสับสนและไม่รู้วิธีจัดสรรงานให้แก่พวกเขา และแม้ว่าพวกเขาจะจัดสรรงานให้ พวกเขาก็จะไม่รู้ในใจว่าพวกเขากำลังทำอย่างเหมาะสมหรือไม่  นี่คือในแง่ของบุคลากร  เมื่อเป็นเรื่องของการจัดการเรื่องต่างๆ ตัวอย่างเช่น หากพวกเขาจำเป็นต้องจัดการและแก้ไขเรื่องสองหรือสามเรื่องพร้อมกัน พวกเขาก็จะไม่รู้วิธีตัดสินและแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องเหล่านี้ และไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้ว่าปัญหาใดที่พวกเขาควรแก้ไขก่อน และปัญหาใดที่สามารถแก้ไขทีหลังได้โดยไม่เกิดความล่าช้า  กล่าวคือ พวกเขาไม่รู้วิธีชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย พวกเขาไม่รู้วิธีจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน และพวกเขาไม่รู้วิธีแก้ปัญหา  อย่างไรก็ดี เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้นำและคนทำงาน ไม่เข้าใจก็ต้องแสร้งทำเป็นเข้าใจ ไม่รู้ก็ต้องแสร้งทำเป็นรู้ และไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้นอกจากทนทำต่อไปและเทศนาคำสอนบางอย่างเพื่อถูไถไป และพูดคำที่ไพเราะสองสามคำและรีบสรุปเรื่องต่างๆ  พวกเขารู้ชัดเจนดีว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นแม่นยำหรือไม่ เป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่ สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาได้หรือไม่ แต่พวกเขาก็แค่ต้องการถูไถไป  พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาด้วยสิ่งที่พวกเขากำลังทำได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่รายงานปัญหาต่อเบื้องบน และดังนั้นพวกเขาก็ลงเอยด้วยการทำให้งานล่าช้าและถูกปลด  พวกเจ้าว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่หรอกหรือ?  เมื่อผู้นำและคนทำงานบางคนรายงานปัญหา พวกเขาจะเล่าเรื่องเก่าเก็บที่ไม่สำคัญทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน และหลังจากที่พวกเขาพูดอะไรมากมายแล้ว พวกเจ้าก็ยังต้องช่วยพวกเขาวิเคราะห์และตัดสินว่ามีปัญหาอะไรอยู่  พวกเขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าจะหยิบยกประเด็นปัญหาขึ้นมาอย่างไร และพวกเขาสามารถพูดได้เป็นชั่วโมงโดยไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าจุดสนใจและแก่นแท้ของประเด็นปัญหาคืออะไร  ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องผิวเผินและเป็นเพียงเรื่องไร้สาระมากมาย!  นี่ไม่ใช่กรณีที่ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปและพวกเขาเป็นคนสมองไม่เต็มเต็งหรอกหรือ?  คนที่มีขีดความสามารถจะเต็มใจฟังเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  คนที่พวกเขากำลังพูดด้วยเพียงแค่ต้องการรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันและการสำแดงของคนที่พวกเขากำลังรายงานนั้นเป็นอย่างไร และพวกเขาสับสนและไม่สามารถแก้ไขสภาวะใดได้  แต่คนเหล่านี้กลับพูดถึงแต่งานที่คนคนนั้นเคยทำในอดีต และพวกเขาไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของคนคนนั้น หรือบอกว่าความสับสนและปัญหาที่พวกเขาเองมีคืออะไร  พวกเขาพูดอะไรมากมาย และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกันแน่  แม้ว่าพวกเขาจะต้องการถามคำถาม พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน พวกเขาไม่รู้วิธีแสดงออกในลักษณะที่สามารถมีประสิทธิภาพและทำให้ผู้คนเข้าใจพวกเขาได้—พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการเรียบเรียงภาษา  นี่ไม่ใช่การสำแดงของการมีขีดความสามารถที่ต่ำอย่างยิ่งหรอกหรือ?  ผู้นำเทียมเท็จบางคนมีขีดความสามารถต่ำ และเมื่อพวกเขารายงานประเด็นปัญหา พวกเขาก็พูดเรื่องไร้สาระและไม่สามารถเข้าใจได้มากมาย แล้วพวกเขาก็คิดว่า “ฉันให้ข้อมูลแก่พวกคุณในปริมาณที่มากพอแล้วใช่ไหม?  ฉันยังบอกพวกคุณทุกอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบันเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกคุณบอกไม่ได้หรือว่าคำถามที่ฉันต้องการถามคืออะไร?”  ไม่ว่าพวกเจ้าจะถามอะไรพวกเขาหรือชี้นำพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรและไม่สามารถพูดถึงประเด็นสำคัญของเรื่องได้เลย  ไม่ใช่ว่าพวกเขาขาดคำที่จะแสดงออกหรือว่าพวกเขามีระดับการศึกษาต่ำ แต่เป็นเพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำและพวกเขาไม่มีสมอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้วิธีแสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้ จิตใจของพวกเขาสับสน และพวกเขาไม่สามารถอธิบายตนเองให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้  พวกเขามีใจแบกรับภาระอยู่บ้าง และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มตระหนักถึงประเด็นปัญหาบางอย่าง แต่พวกเขาไม่รู้วิธีแสดงออกถึงมัน พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าแก่นแท้ของประเด็นปัญหาคืออะไร และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่สามารถสรุปประเด็นปัญหาได้  คนที่ขีดความสามารถต่ำขนาดนี้จะทำงานได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  ไม่ได้ พวกเขาทำไม่ได้  แม้ว่าพวกเจ้าจะให้เวลาและโอกาสแก่พวกเขาและอนุญาตให้พวกเขารายงานและอธิบายปัญหา พวกเขาก็ทำไม่ได้ แล้วพวกเจ้าจะยังสามารถสนทนากับคนเช่นนี้ได้อีกหรือ?  พวกเขายังสามารถถูกใช้งานได้อีกหรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถถูกใช้งานได้?  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดให้ชัดเจน และพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งสัญชาตญาณพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ในการใช้ภาษาเพื่อแสดงความคิด แนวคิด และท่าทีของตน แล้วพวกเขาจะทำงานอะไรได้?  แม้ว่าพวกเขาอาจจะมีจุดแข็งอยู่บ้าง มีความกระตือรือร้นที่แท้จริง มีความรับผิดชอบอยู่บ้าง และมีหัวใจที่เที่ยงตรง แต่ขีดความสามารถของพวกเขาก็ต่ำเกินไป พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ไม่ว่าพวกเจ้าจะสอนพวกเขาอย่างไร และแม้ว่าพวกเจ้าจะสอนวิธีพูดแก่พวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามารถจับเคล็ดได้ และดังนั้นพวกเจ้าก็จะหงุดหงิดและโกรธ  เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาก็พูดจาวกวนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้พวกเจ้าสับสน พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรให้ชัดเจนได้ และสิ่งที่พวกเขาพูดก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระมากมาย  สิ่งที่น่าสมเพชที่สุดเกี่ยวกับพวกเขาก็คือพวกเขาไม่เข้าใจภาษามนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงหลับหูหลับตาทำไปเรื่อย พวกเขายังคงคิดว่าตนเองมีความสามารถ และพวกเขาก็แข็งขืนเมื่อพวกเจ้าตัดแต่งพวกเขา  พวกเขาจะทำงานนำได้ดีได้อย่างไร?  เมื่อขีดความสามารถของผู้นำหรือคนทำงานต่ำมากจนพวกเขาไม่มีความสามารถในการแสดงออกทางภาษา พวกเขายังสามารถมีความสามารถในงานได้อีกหรือ?  (ไม่ได้)  และการไม่มีความสามารถในงานของพวกเขานั้นหมายถึงอะไร?  หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถค้นพบความลำบากยากเย็นและปัญหาที่เผชิญในงานได้อย่างทันท่วงที และแน่นอนว่ามันหมายความว่าไม่ว่าประเด็นปัญหาใดจะเกิดขึ้นในงาน พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที และไม่สามารถรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขจากเบื้องบนได้อย่างทันท่วงที—นี่เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถทำได้  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนเช่นนี้ที่มีขีดความสามารถต่ำ งานนี้จึงยากอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา มันเหมือนกับการเข็นครกขึ้นภูเขา—การทำงานนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากสำหรับพวกเขา

บางคนกล่าวว่า “ข้าพระองค์รู้สึกแย่กับคนเหล่านั้น พวกเขาวิ่งวุ่นจัดการภารกิจต่างๆ มากมาย และพวกเขาก็ลงเอยด้วยการถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จเพราะขีดความสามารถที่ต่ำของพวกเขา แล้วนั่นหมายความว่าความทุกข์ที่พวกเขาสู้ทนมานั้นสูญเปล่าทั้งหมดหรือ?  นั่นไม่ใช่การปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรมหรอกหรือ?”  การปลดผู้นำเทียมเท็จหมายถึงการรับผิดชอบต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและต่องานของคริสตจักร แล้วจะเป็นการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรมได้อย่างไร?  หากพวกเจ้ายืนกรานที่จะให้ผู้นำเทียมเท็จทำหน้าที่ผู้นำต่อไป นั่นไม่ใช่การทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรอกหรือ?  พวกเจ้าจะบอกว่าการทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ใช่การปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?  โดยการปลดผู้นำเทียมเท็จ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้กำลังกล่าวโทษผู้นำเทียมเท็จนั้น และไม่ได้กำลังส่งผู้นำเทียมเท็จนั้นลงนรก แต่กลับเป็นการให้โอกาสคนคนนั้นได้บรรลุความรอด  พวกเขาจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่หากพวกเขายังคงเป็นผู้นำเทียมเท็จต่อไป?  จุดจบสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่พิจารณาประเด็นปัญหาในลักษณะนี้?  ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  การเป็นผู้นำใช่หนทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าเสียเมื่อไหร่?  หากไม่ได้เป็นผู้นำแล้วจะไม่มีหน้าที่อื่นให้ทำเลยหรือ?  สำหรับคนที่ไม่ใช่ผู้นำและมีขีดความสามารถต่ำแล้วจะไม่มีหนทางรอดเลยหรือ?  (ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น)  ถ้าเช่นนั้น เส้นทางแห่งการปฏิบัติคืออะไร?  สิ่งที่เรากำลังชำแหละอยู่ในขณะนี้คือการสำแดงและปัญหาที่มีอยู่ในผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ที่มีขีดความสามารถต่ำ เราไม่ได้กำลังกล่าวโทษหรือสาปแช่งพวกเขา เราเพียงแค่กำลังชำแหละพวกเขา  จุดประสงค์ของการชำแหละพวกเขาก็เพื่อให้คนประเภทนี้รู้จักและกำหนดทิศทางของตนเองได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้รู้จักประมาณตน และเพื่อให้เข้าใจอย่างแม่นยำว่าผู้นำและคนทำงานคืออะไร ผู้นำและคนทำงานควรทำงานอะไร แล้วเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับตนเองเพื่อดูว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่  หากขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำมากจริงๆ ต่ำมากจนพวกเจ้าไม่มีความสามารถในการแสดงออกทางภาษา หรือความสามารถในการแสดงความคิดและมุมมองของพวกเจ้า หรือความสามารถในการค้นพบปัญหา เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเจ้าไม่มีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำหรือคนทำงาน และพวกเจ้าไม่สามารถทำงานของผู้นำหรือคนทำงานได้  และเนื่องจากพวกเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ พวกเจ้าจึงต้องมีความตระหนักรู้ในตนเองเช่นนี้  บางคนกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ—แล้วไงล่ะ?  ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ดังนั้นฉันควรจะเป็นผู้นำ”  นี่คือหลักธรรมหรือ?  คนอื่นๆ กล่าวว่า “นอกเหนือจากการมีความเป็นมนุษย์ที่ดีแล้ว ฉันยังเต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์และจ่ายราคา ฉันสามารถเทศนาได้ ฉันมีรากฐานในความเชื่อของฉัน และฉันเคยถูกจำคุกเพราะความเชื่อในพระเจ้าของฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่นับเป็นต้นทุนสำหรับฉันที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือ?”  การที่คนคนหนึ่งต้องมีต้นทุนเพื่อที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานนั้นเป็นความจริงหรือ?  (ไม่ใช่)  สิ่งที่เรากำลังสนทนากันอยู่ตอนนี้คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และภายในหัวข้อนี้ เรากำลังพูดถึงประเด็นปัญหาเรื่องขีดความสามารถ  หากขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำและพวกเจ้าไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วความตระหนักรู้ในตนเองที่พวกเจ้าควรมีก็คือ “ฉันไม่มีขีดความสามารถนี้และฉันไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ ไม่ว่าฉันจะมีต้นทุนอะไร มันก็ไม่มีประโยชน์”  พวกเจ้าบอกว่าพวกเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ดี พวกเจ้าเชื่อถือได้ พวกเจ้ามีความตั้งใจที่จะสู้ทนความทุกข์ และพวกเจ้าเต็มใจที่จะจ่ายราคา—แล้วพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าใช้ผู้คนโดยให้ทุกคนได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ จัดสรรบทบาทให้เหมาะกับแต่ละคน และทำอย่างพอเหมาะพอดี  หากพวกเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ดีแต่ขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดีด้วยสิ้นสุดใจและสิ้นสุดกำลังของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะต้องเป็นผู้นำหรือคนทำงานจึงจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  ต่อให้พวกเจ้าจะเต็มใจที่จะแบกภาระ แต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถแบกภาระในลักษณะที่ผู้นำต้องทำได้ และพวกเจ้าไม่มีขีดความสามารถที่พวกเจ้าควรมีเพื่อที่จะเป็นผู้นำ และพวกเจ้าก็บกพร่องในเรื่องนั้น แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้?  อย่าบังคับตนเองหรือทำให้ตนเองลำบาก หากพวกเจ้าสามารถแบกได้ 25 กิโลกรัม ก็จงแบก 25 กิโลกรัม  อย่าพยายามอวดเก่งโดยการผลักดันตนเองเกินขีดจำกัด โดยกล่าวว่า “25 กิโลกรัมไม่พอ ฉันต้องการแบกมากกว่านี้ ฉันต้องการแบก 50 กิโลกรัม ฉันเต็มใจที่จะทำแม้ว่าฉันจะตายเพราะความเหนื่อยล้า!”  พวกเจ้าไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ แต่หากพวกเจ้ายังคงผลักดันตนเองเกินขีดจำกัดเพื่ออวดเก่ง แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่เหนื่อยล้า แต่พวกเจ้าจะทำให้งานคริสตจักรล่าช้า พวกเจ้าจะส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าและประสิทธิภาพของงาน และพวกเจ้าจะทำให้ความก้าวหน้าในชีวิตของผู้คนมากมายล่าช้า—นี่เป็นความรับผิดชอบที่พวกเจ้าไม่อาจแบกรับได้  เนื่องจากพวกเจ้ามีขีดความสามารถไม่เพียงพอ หากพวกเจ้ามีความตระหนักรู้ในตนเอง พวกเจ้าควรเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเองที่จะลาออกและเสนอชื่อใครบางคนที่มีขีดความสามารถดี ที่รักความจริง และที่มีความรับผิดชอบมากกว่าพวกเจ้าเพื่อที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  นี่จะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่ควรทำ และโดยการทำเช่นนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงจะเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์และสำนึกอย่างแท้จริง และเป็นคนที่เข้าใจและปฏิบัติความจริงอย่างแท้จริง  หากพวกเจ้าลาออกจากตำแหน่งเพราะพวกเจ้าไม่สามารถทำงานเป็นผู้นำได้ และพวกเจ้าก็เลือกหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกเจ้าและถวายความจงรักภักดีของพวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็เป็นคนที่ฉลาดเป็นพิเศษ  พวกเจ้าคิดอยู่เสมอว่า “แม้ว่าฉันจะมีขีดความสามารถต่ำ แต่ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเต็มใจที่จะแบกภาระ สู้ทนความทุกข์ และจ่ายราคา ฉันมีความตั้งใจ ฉันมีความทรหดอดทนมากกว่าพวกเจ้าทุกคนในทุกสิ่งที่ฉันทำ และฉันใจกว้างและไม่กลัวที่จะถูกตัดแต่งหรือถูกทดสอบ แม้ว่าขีดความสามารถของฉันจะต่ำไปหน่อย ฉันก็ยังสามารถเป็นผู้นำได้”  การมีขีดความสามารถต่ำไม่ใช่ปัญหา  นี่ไม่ได้หมายถึงการกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เป็นเพียงการจำแนกประเภทของพวกเจ้าและเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจอย่างชัดเจนว่าพวกเจ้าสามารถทำอะไรได้และพวกเจ้าเหมาะสมกับหน้าที่ประเภทใด  อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาในปัจจุบันก็คือขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำและพวกเจ้าไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้  แม้ว่าพวกเจ้าจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเจ้าก็ไม่สามารถทำงานนี้ได้ดี และทั้งหมดที่พวกเจ้าสามารถทำได้ก็คือการทำให้งานยุ่งเหยิง  หากพวกเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ดี หากพวกเจ้ามีมโนธรรมและสำนึก และพวกเจ้าเต็มใจที่จะแบกภาระและจ่ายราคา เช่นนั้นแล้วก็จะมีงานที่พวกเจ้าเหมาะสมที่จะทำและหน้าที่ที่พวกเจ้าควรทำ และพระนิเวศของพระเจ้าจะทำการจัดเตรียมที่สมเหตุสมผลสำหรับพวกเจ้า  การไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเป็นผู้นำนั้นเป็นไปตามข้อบังคับและหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ปฏิเสธสิทธิ์ของพวกเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่หรือสิทธิ์ของพวกเจ้าในการเชื่อและติดตามพระเจ้าเพียงเพราะพวกเจ้ามีขีดความสามารถต่ำอย่างเด็ดขาด  นี่เหมาะสมหรือไม่?  (ใช่ เหมาะสม)  จำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องสามัคคีธรรมในเรื่องนี้อย่างละเอียดมากขึ้น?  บางคนที่มีขีดความสามารถต่ำได้ยินเช่นนี้และใคร่ครวญว่า “อย่าสามัคคีธรรมในเรื่องนี้อีกเลย ข้าพระองค์รู้สึกละอายเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้ ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์มีขีดความสามารถต่ำ และข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้นำคริสตจักรหรือคนทำงานอีกต่อไป ข้าพระองค์จะเป็นเพียงหัวหน้าทีมหรือผู้ดูแล หรือไม่เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะทำงานจิปาถะ ทำอาหาร หรือทำความสะอาด อะไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าพระองค์จะแบกรับความยากลำบากในตำแหน่งของข้าพระองค์โดยไม่บ่น ยอมจำนนต่อการจัดเตรียมของพระนิเวศของพระเจ้า และยอมจำนนต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า การที่ข้าพระองค์มีขีดความสามารถต่ำนั้นเป็นโดยพระคุณของพระเจ้า และมีเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้าอยู่ในนั้น ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง”  หากพวกเจ้าสามารถมองสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้ได้ นั่นก็ดี และหมายความว่าพวกเจ้ามีความตระหนักรู้ในตนเองอยู่บ้าง  เราจะไม่สามัคคีธรรมในประเด็นปัญหานี้อย่างยืดยาว  โดยสรุป ในแง่ของผู้คนเหล่านี้ที่มีขีดความสามารถต่ำ เราเพียงแค่กำลังชำแหละปัญหาและเปิดโปงความจริงของข้อเท็จจริงเพื่อที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นจะมีท่าทีและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับคนเหล่านี้ และเพื่อที่คนเหล่านี้จะมีท่าทีและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องขีดความสามารถที่ต่ำของตนเอง และจากนั้นจะสามารถกำหนดทิศทางของตนเองได้อย่างแม่นยำ ค้นหาตำแหน่งและหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกเขา เพื่อให้ความพากเพียรในการจ่ายราคาและความตั้งใจที่จะสู้ทนความทุกข์ของพวกเขาได้รับการนำไปใช้อย่างสมเหตุสมผลและเกิดประโยชน์สูงสุด  สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการที่พวกเจ้าเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริง และไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพวกเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า

III. ผู้นำเทียมเท็จที่เกียจคร้านและหมกมุ่นอยู่กับความสะดวกสบาย

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมเกี่ยวกับผู้นำเทียมเท็จไปสองประเภท  ยังมีผู้นำเทียมเท็จอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งพวกเราได้พูดคุยถึงบ่อยครั้งระหว่างการสามัคคีธรรมในหัวข้อ “หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน”  คนประเภทนี้มีขีดความสามารถอยู่บ้าง พวกเขาไม่ใช่คนโง่ ในการทำงานก็มีหนทางและวิธีการ ทั้งยังมีแผนการสำหรับแก้ไขปัญหา และเมื่อได้รับมอบหมายงานชิ้นหนึ่ง พวกเขาก็สามารถปฏิบัติให้ลุล่วงได้ใกล้เคียงกับมาตรฐานที่ตั้งไว้  พวกเขาสามารถค้นพบปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในงานและยังสามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ด้วย เมื่อพวกเขาได้ยินปัญหาที่บางคนรายงาน หรือสังเกตเห็นพฤติกรรม การสำแดง คำพูด และการกระทำของบางคน ในใจของพวกเขาก็มีปฏิกิริยา ทั้งยังมีความเห็นและท่าทีเป็นของตนเอง  แน่นอนว่า หากคนเหล่านี้ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีสำนึกในภาระหน้าที่ ปัญหาทั้งหมดนี้ย่อมสามารถได้รับการแก้ไข  อย่างไรก็ตาม ในงานซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของคนประเภทที่เรากำลังสามัคคีธรรมถึงในวันนี้ ปัญหากลับไม่ได้รับการแก้ไข  เพราะเหตุใดกัน?  นั่นก็เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร  พวกเขาละโมบความสะดวกสบายและเกลียดชังการทำงานหนัก ทำงานเพียงผิวเผินสุกเอาเผากิน ชอบอยู่เฉยๆ และสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง ชอบชี้นิ้วสั่งให้คนอื่นทำ และเพียงแค่ขยับปากให้คำแนะนำบางอย่างแล้วก็ถือว่างานของตนเสร็จสิ้น  พวกเขาไม่ได้ใส่ใจงานที่เป็นแก่นสารใดๆ ของคริสตจักรหรืองานสำคัญที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาเลย—พวกเขาไม่มีความรู้สึกเป็นภาระนี้ และแม้ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะเน้นย้ำเรื่องเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ยังคงไม่ใส่ใจ  ตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสอบถามเกี่ยวกับงานผลิตภาพยนตร์หรืองานข้อเขียนของพระนิเวศของพระเจ้า และก็ไม่ต้องการที่จะตรวจสอบดูว่างานเหล่านี้คืบหน้าไปอย่างไรและได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง  พวกเขาเพียงแค่สอบถามโดยทางอ้อม และเมื่อรู้ว่าผู้คนกำลังยุ่งและทำงานนี้อยู่ พวกเขาก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป  แม้ว่าพวกเขารู้อยู่แก่ใจว่ามีปัญหาอยู่ในงาน พวกเขาก็ยังคงไม่ต้องการที่จะสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และก็ไม่สอบถามหรือตรวจสอบดูว่าผู้คนกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สอบถามหรือตรวจสอบเรื่องเหล่านี้?  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ ก็จะมีปัญหามากมายรอให้พวกเขาแก้ไข และนั่นจะน่ากังวลใจเกินไป  ชีวิตจะเหนื่อยล้าเกินไปมากหากพวกเขาต้องคอยแก้ไขปัญหาอยู่เสมอ!  หากพวกเขากังวลมากเกินไป อาหารก็จะไม่อร่อยอีกต่อไป และพวกเขาก็จะนอนหลับไม่สนิท เนื้อหนังของพวกเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า และแล้วชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องทุกข์ทรมาน  นั่นคือเหตุผลที่เมื่อพวกเขาเห็นปัญหา พวกเขาจะหลบเลี่ยงและเพิกเฉยต่อมันหากทำได้  คนประเภทนี้มีปัญหาอะไร?  (พวกเขาเกียจคร้านเกินไป)  จงบอกเราที ผู้ใดมีปัญหาที่ร้ายแรง ผู้คนที่เกียจคร้านหรือผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อย?  (ผู้คนที่เกียจคร้าน)  เหตุใดผู้คนที่เกียจคร้านจึงมีปัญหาที่ร้ายแรง?  (ผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยเป็นผู้นำหรือคนทำงานไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถสร้างประสิทธิผลได้บ้างเมื่อทำหน้าที่ที่อยู่ภายในความสามารถของตน  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่เกียจคร้านไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ต่อให้พวกเขามีขีดความสามารถ ขีดความสามารถนั้นก็ไม่มีผล)  ผู้คนที่เกียจคร้านไม่สามารถทำอะไรได้  กล่าวโดยสรุปในสองคำแล้ว พวกเขาคือคนไร้ประโยชน์ เป็นความพิการในลำดับที่สอง  ไม่ว่าขีดความสามารถของผู้คนที่เกียจคร้านจะดีเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่ผักชีโรยหน้า แม้ว่าพวกเขาจะมีขีดความสามารถที่ดี แต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์  พวกเขาเกียจคร้านเกินไป—พวกเขารู้ว่าตนพึงทำสิ่งใด แต่พวกเขาก็ไม่ทำ และต่อให้พวกเขารู้ว่ามีบางสิ่งที่เป็นปัญหา พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข และแม้ว่าพวกเขารู้ว่าตนควรทุกข์ทนกับความยากลำบากอันใดเพื่อให้งานมีประสิทธิผล พวกเขาก็ไม่เต็มใจสู้ทนความยากลำบากอันมีค่าเหล่านี้  พวกเขาจึงไม่สามารถได้รับความจริงใดๆ และพวกเขาไม่สามารถทำงานจริงแต่อย่างใด  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะสู้ทนความยากลำบากที่ผู้คนพึงสู้ทน พวกเขารู้จักเพียงที่จะหมกมุ่นในความสะดวกสบาย สุขสำราญกับช่วงเวลาอันชื่นบานและการพักผ่อนหย่อนใจ และสุขสำราญกับชีวิตที่เป็นอิสระและผ่อนคลาย  พวกเขาไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ผู้คนที่สู้ทนความยากลำบากไม่ได้ย่อมไม่คู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่  บรรดาผู้ที่ปรารถนาที่จะมีชีวิตเยี่ยงกาฝากอยู่เสมอย่อมเป็นคนที่ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก พวกเขาคือสัตว์เดรัจฉาน และคนเช่นนี้ไม่เหมาะแม้แต่จะทำงานใช้แรง  เนื่องจากพวกเขาสู้ทนความยากลำบากไม่ได้ แม้ในยามที่พวกเขาทำงานใช้แรง พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้ดี และหากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับความจริง ก็ยิ่งไม่มีหวังในเรื่องนี้  คนที่ทนทุกข์ไม่ได้และไม่รักความจริงเป็นคนไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำงานใช้แรงด้วยซ้ำไป  พวกเขาคือสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย  คนเช่นนี้ต้องถูกกำจัดออกไป แบบนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า

บางคนรับผิดชอบงานไร่นาและขยันขันแข็งเป็นพิเศษ  ในใจของพวกเขามีแผนการ และรู้ว่าต้องทำงานอะไรในแต่ละฤดู  เมื่อถึงเวลาไถพรวนดิน พวกเขาก็จะไปดูที่ดินแต่ละแปลง  พวกเขาเปรียบเทียบสิ่งที่วางแผนจะปลูกในแต่ละแปลงกับสภาพที่แท้จริงของแปลงนั้นๆ และดูว่าแผนของตนเหมาะสมหรือไม่และสอดคล้องกับสถานการณ์จริงหรือไม่  นอกจากนี้ พวกเขายังดูว่าปีนี้ดินเปียกหรือแห้งเพียงใด ต้องการปุ๋ยอะไร และเหมาะที่จะปลูกอะไร  เมื่อได้ดูและเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็จะรีบสอบถามทันทีว่ามีการเพาะกล้าไม้แล้วหรือไม่และเพาะไปจำนวนเท่าใด จากนั้นก็ไปที่เรือนกระจกเพื่อดูและตรวจสอบว่าคนที่เพาะกล้าไม้นั้นไว้ใจได้หรือไม่ หรือพวกเขาจะทำกล้าไม้เสียหายหรือไม่  หากคนเดียวไม่เพียงพอที่จะทำงานนี้ พวกเขาก็จะมอบหมายให้อีกคนหนึ่งร่วมมือด้วย และทั้งสองคนก็จะกำกับดูแลซึ่งกันและกัน  คนเกียจคร้านจะทำเช่นนี้หรือไม่?  ไม่ พวกเขาจะไม่ทำ  หากไม่มีใครกำกับดูแลและกระตุ้นพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ไปดูหน้างานด้วยตนเองอย่างเด็ดขาด หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่สอบถามความคืบหน้าของงานใดงานหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่ริเริ่มตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงของงานนั้นอย่างเด็ดขาด  สำหรับคนที่มีขีดความสามารถต่ำ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร พวกเขาก็จะทำด้วยตนเองเสมอ แต่พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเร่งด่วนและสำคัญกว่าอะไร และพวกเขาเพียงแค่ทำไปอย่างมืดบอด  ในขณะที่คนขี้เกียจเหล่านี้ฉลาดพอ และไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร พวกเขาก็ชอบเพียงแค่ขยับปากและสั่งให้คนอื่นทำงาน พวกเขาไม่เคยทำอะไรด้วยตนเอง และก็ไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้  พวกเขาคิดว่า “ฉันเพียงแค่โทรศัพท์หรือส่งข้อความไปถามคำถามบางอย่าง แค่นี้งานของฉันก็เสร็จแล้ว ปัญหาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว  นี่ช่วยให้ฉันไม่ต้องลำบากมาก!  ดูสิว่าขีดความสามารถของฉันในฐานะผู้นำเป็นอย่างไร  ฉันสามารถทำงานให้เสร็จได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ—นี่ก็เป็นการลุล่วงหน้าที่ของฉันมิใช่หรือ?  ฉันไม่ได้ละเลยหน้าที่ของฉัน  หากเบื้องบนถามฉันเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ฉันก็สามารถตอบได้อย่างคล่องแคล่วและอธิบายได้อย่างชัดเจน  การไปดูหน้างานจะมีประโยชน์อะไร?  ฉันจะต้องทนทุกข์กับความยากลำบาก และผิวของฉันก็จะคล้ำเพราะโดนแดด  ไม่จำเป็นต้องทำตามพิธีรีตองนั้น  ถ้าฉันสามารถหาทางเลี่ยงความลำบากได้ ฉันก็จะทำ  ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองลำบากขนาดนั้น”  พวกเขา “ฉลาด” พอไม่ใช่หรือ?  เมื่อคนประเภทนี้ทำงาน พวกเขาจะชำนาญเป็นพิเศษในการใช้เล่ห์เหลี่ยมและหาทางลัด และพวกเขาก็มีหนทางและวิธีการของตนเอง  พวกเขาไม่ทำอะไรด้วยตนเอง และก็ไม่เข้าร่วมในสิ่งใดเลย  พวกเขาเพียงแค่โทรศัพท์ไปถามคำถาม ทำไปตามขั้นตอน และทันทีที่วางสาย พวกเขาก็ไปนอนหรือไปนวดและเริ่มหมกมุ่นในเนื้อหนังของตน  คนประเภทนี้รู้วิธี “ทำงาน” จริงๆ พวกเขารู้วิธีหาโอกาสที่จะอยู่เฉยๆ จริงๆ และพวกเขาก็รู้วิธีทำไปตามขั้นตอนและหลอกลวงผู้คนจริงๆ!  การที่พวกเขามีขีดความสามารถเพียงเล็กน้อยนั้นจะมีประโยชน์อะไร?  พวกเขาก็เหมือนกับพวกเจ้าพนักงานในชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่พอมาถึงที่ทำงานก็เอาแต่ดื่มชาอ่านหนังสือพิมพ์ และก่อนจะเลิกงานก็เริ่มคิดแล้วว่าจะกินอะไร จะไปหาความบันเทิงที่ไหน—ชีวิตช่างสุขสบายสำหรับพวกเขาจริงๆ  นี่คือหลักการที่ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ยึดถือในการทำงานของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาไม่ทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ ไม่สู้ทนความเหนื่อยล้าใดๆ แต่ก็ยังคงทำตัวเป็นเจ้าพนักงานและสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง และพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถมองเห็นว่านี่เป็นปัญหา  นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ทำงาน พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารใดๆ และพวกเขาไม่ได้ไปที่หน้างานเพื่อติดตามและตรวจสอบงาน แล้วพวกเขาจะสามารถค้นพบปัญหาในงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งฝ่ายวิญญาณและผู้นำเทียมเท็จที่มีขีดความสามารถต่ำนั้นมีตาหามีแววไม่ มองไม่เห็นปัญหา แล้วคนไร้ค่าประเภทนี้เล่าเป็นอย่างไร?  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมในงานที่เป็นแก่นสาร และฉันไม่ได้ไปที่หน้างานเพื่อคลุกคลีกับคนที่ทำงานที่นั่น ดังนั้นหากมีปัญหาเกิดขึ้น พวกเจ้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าฉันมีตาหามีแววไม่  ฉันไม่ได้อยู่ที่หน้างานและฉันไม่ได้เห็นปัญหา แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับฉันหากมีปัญหาเกิดขึ้น?  เจ้าควรไปหาคนที่เกี่ยวข้อง”  คนพวกนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ มิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือออกคำสั่งและจัดคนให้เหมาะสม แค่นั้นแหละ แล้วหน้าที่ของพวกเขาก็ลุล่วงแล้ว และพวกเขาก็สามารถสุขสำราญกับเวลาว่างและความบันเทิงของตนได้อย่างไร้ยางอาย  ไม่ว่าในระดับล่างจะมีปัญหาอะไร พวกเขาก็ไม่สอบถาม และพวกเขาจะรีบจัดการปัญหาก็ต่อเมื่อมีคนรายงานเรื่องนั้นไปยังเบื้องบนเท่านั้น  ทั้งหมดที่พวกเขาสนใจทุกวันคือการสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง เดินเตร่ไปทั่วทุกแห่ง ทำทีเป็นตรวจสอบงาน แต่จริงๆ แล้วพวกเขาไม่เคยไปยังที่ที่มีปัญหาจริงๆ และพวกเขาไม่เคยตรวจสอบงานที่สำคัญ—นี่ก็เหมือนกับเจ้าพนักงานพรรคคอมมิวนิสต์ที่ทำเพียงแค่ความพยายามผิวเผินและทำงานแค่เอาหน้ามิใช่หรือ?  พวกเขารับปากอย่างดีว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่พวกเขาไม่ได้ติดตามหรือกำกับดูแล และแม้ว่าพวกเขาจะไปที่หน้างาน พวกเขาก็เพียงแค่ทำไปตามพิธีรีตอง  พวกเขาจะไม่ทำงานด้วยตนเองหรือแก้ไขปัญหาด้วยตนเองอย่างเด็ดขาด  พวกเขาคิดว่า “ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อทำสิ่งเหล่านี้  แค่มีคนอยู่ที่นั่นทำก็พอแล้ว  อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่ได้เงินอะไร ดังนั้นแค่ทำพอให้ผ่านไปก็พอแล้ว”  พวกเขาจะสามารถทำงานของตนได้ดีหรือไม่เมื่อพวกเขามีวิธีคิดเช่นนี้?  พวกเขามีแผนการเล็กๆ ในใจ คิดว่า “กินเท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น ทำไปวันๆ ให้มันจบไป”  แต่พวกเขาไม่เคยทำงานที่เจาะจง และไม่เคยมีใครเห็นพวกเขาที่หน้างานเลย  แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหน?  พวกเขากำลังสุขสำราญอยู่ในสถานที่ที่สวยงามและปลอดภัยที่พวกเขาสามารถกินดี ดื่มดี และนอนหลับสบาย พวกเขาใช้ชีวิตราวกับเป็นเจ้าชาย—อาบน้ำเป็นประจำ นวดเป็นประจำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นประจำ—และพวกเขาไม่ได้ทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ เลย  พวกเขาไม่เคยทบทวนตนเองว่าพวกเขาสามารถทำงานที่เป็นแก่นสารอะไรได้บ้าง สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นแก่นสารอะไรได้บ้าง มีส่วนช่วยในงานของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร และพวกเขามีคุณสมบัติอย่างไรที่จะสุขสำราญกับสิ่งดีๆ เหล่านี้ทั้งหมด—พวกเขาไม่เคยพิจารณาเรื่องใดๆ เหล่านี้เลย  คนเหล่านี้เป็นตัวอะไรกันแน่?  คนสารเลวเหล่านี้ไม่มีความตระหนักรู้ในตนเอง พวกเขาเป็นสิ่งที่ไร้ยางอาย และพวกเขาไม่สมควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานของคริสตจักร

ผู้นำเทียมเท็จทุกคนไม่เคยทำงานจริง  พวกเขาทำเหมือนบทบาทผู้นำของตนคือตำแหน่งบางอย่างของรัฐ สุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะ  และพวกเขาปฏิบัติต่อหน้าที่ที่พวกเขาพึงปฏิบัติและงานที่พวกเขาพึงทำในฐานะผู้นำเหมือนเป็นภาระ เหมือนเป็นสิ่งกวนใจ  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยการไม่ยอมรับงานของคริสตจักร กล่าวคือ หากพวกเขาถูกขอให้กำกับดูแลงานและเรียนรู้ถึงปัญหาที่มีอยู่ในงาน ซึ่งจำเป็นต้องติดตามและแก้ไข พวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความไม่สมัครใจ  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ นี่คืองานของพวกเขา  หากเจ้าไม่ทำงานนั้น และเจ้าไม่เต็มใจทำงานนั้น เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงอยากเป็นผู้นำหรือคนทำงานอยู่อีก?  เจ้าทำหน้าที่ของตนเพื่อที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ?  หากเจ้ากลายมาเป็นผู้นำเพื่อที่ว่าเจ้าจะสามารถดำรงตำแหน่งบางอย่างของรัฐ นั่นไม่น่าละอายไปหน่อยหรือ?  ผู้คนลักษณะนี้มีบุคลิกที่ต่ำต้อยที่สุด ไม่มีเกียรติ และไม่มีความละอาย  หากเจ้าอยากสุขสำราญกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง เจ้าก็ควรรีบกลับไปหาโลก ต่อสู้ แก่งแย่งและฉกฉวยเท่าที่เจ้าสามารถทำได้  และจะไม่มีใครก้าวก่ายกับเรื่องนั้น  พระนิเวศของพระเจ้าคือสถานที่ให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตนและนมัสการพระองค์ เป็นสถานที่ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด  นี่ไม่ใช่สถานที่ให้ใครก็ได้มาดื่มด่ำกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง และยิ่งไม่ใช่สถานที่ที่จะปล่อยให้ผู้คนใช้ชีวิตเหมือนเจ้าชายได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้จักละอาย พวกเขาหน้าด้านจนไม่มียางอาย ทั้งยังไร้เหตุผล!  ไม่ว่าได้รับมอบหมายงานจำเพาะใดมา ก็ไม่เคยเอาใจใส่จริงจัง ปัดออกไปจากความคิดเสีย ปากรับคำอย่างดีแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรให้เป็นรูปธรรม  นี่คือการขาดศีลธรรมมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่เพียงไม่ทำงานที่แท้จริง แต่ยังอยากกุมอำนาจไว้แต่ผู้เดียว—กุมอำนาจเหนือการเงิน บุคลากร และเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดไว้ในกำมือของตนเอง แถมยังให้ผู้คนต้องมารายงานต่อพวกเขาทุกวัน  ในเรื่องพรรค์นี้พวกเขากลับขยันขันแข็งเสียเหลือเกิน!  พอถึงคราวต้องรายงานผลงานต่อเบื้องบน ก็อ้างเอาผลงานทั้งหมดที่พี่น้องชายหญิงทุ่มเททำมาว่าเป็นของตนเอง เพื่อให้เบื้องบนเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขาทำงานได้ยอดเยี่ยม ทั้งที่ความจริงแล้วงานเหล่านั้นทำไปโดยคนอื่นทั้งสิ้น!  ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนที่ได้มาจากการประกาศข่าวประเสริฐ ใครบ้างที่ได้รับการส่งเสริมและกำลังถูกบ่มเพาะ ใครถูกปลดจากตำแหน่ง ใครถูกเอาตัวออกไป และอื่นๆ—งานจำเพาะเหล่านี้ไม่มีสักงานที่พวกเขาเป็นคนทำ แต่กลับมีหน้ามารายงาน  คนพวกนี้ช่างหน้าด้านจนไม่มียางอายมิใช่หรือ?  พวกเขากำลังหลอกลวงมิใช่หรือ?  คนเช่นนี้หลอกลวงและเจ้าเล่ห์โดยแท้!  พวกเขาคิดว่าตนเองฉลาด—นี่แหละที่เขาว่าการฉลาดแกมโกงจะนำภัยมาสู่ตนเอง และสุดท้ายพวกเขาก็เผยตนเองออกมาและถูกกำจัดออกไป!  ไม่ว่าผู้คนบางคนจะทำงานอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร พวกเขาก็ไร้ความสามารถในเรื่องนั้น พวกเขาไม่สามารถแบกรับ และไม่สามารถทำให้ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดๆ ที่บุคคลหนึ่งควรจะทำนั้นลุล่วง  พวกเขาไม่ใช่ขยะหรอกหรือ?  พวกเขายังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์อยู่อีกหรือ?  ยกเว้นพวกคนเขลา ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และผู้ที่ทุกข์ทนจากความบกพร่องทางร่างกายแล้ว คนที่ยังมีชีวิตนั้นมีผู้ใดบ้างที่ไม่ควรทำหน้าที่ของตนและทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วง?  แต่คนแบบนี้ก็กลับกลอกและอู้งานอยู่เสมอ และไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตน ความหมายโดยนัยคือพวกเขาไม่อยากเป็นมนุษย์ที่ถูกควร  พระเจ้าประทานโอกาสในการเป็นมนุษย์แก่พวกเขา และพระองค์ก็ประทานขีดความสามารถและพรสวรรค์แก่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของตน  พวกเขาไม่ทำอะไร แต่ก็อยากดื่มด่ำอยู่ในความสุขสำราญทุกครั้งที่มีโอกาส  บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์กระนั้นหรือ?  ไม่ว่าจะให้งานอะไรแก่พวกเขา—จะเป็นงานสำคัญหรือธรรมดา ยากหรือเรียบง่าย—พวกเขาก็สุกเอาเผากิน กลับกลอก และย่อหย่อนอยู่เสมอ  เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็พยายามผลักความรับผิดชอบในปัญหาเหล่านั้นไปให้ผู้อื่น ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร และอยากใช้ชีวิตเยี่ยงกาฝากของตนไปเรื่อยๆ  พวกเขาคือขยะที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ในสังคม มีผู้ใดไม่ต้องพึ่งพาตนเองในการหาเลี้ยงชีพ?  เมื่อบุคคลผู้หนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาต้องหาเลี้ยงตนเอง  บิดามารดาของพวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว  ต่อให้บิดามารดาของพวกเขาเต็มใจสนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สบายใจในเรื่องนี้  พวกเขาควรที่จะสามารถตระหนักรู้ว่าพ่อแม่เสร็จสิ้นภารกิจเลี้ยงดูพวกเขาไปแล้ว และพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และควรที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นเอกเทศ  นี่คือเหตุผลขั้นต่ำสุดที่ผู้ใหญ่พึงมีมิใช่หรือ?  หากใครบางคนมีเหตุผลอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมไม่อาจเกาะกินบิดามารดาของตนต่อไปได้ พวกเขาจะกลัวเสียงหัวเราะของผู้อื่น กลัวที่จะเสียหน้า  แล้วคนที่รักความสบายและเกลียดงานการนั้นมีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาต้องการบางสิ่งมาเปล่าๆ อยู่เสมอ ไม่เคยอยากลุล่วงความรับผิดชอบใด อยากให้ขนมหวานร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและตกใส่ปากตัวเองเท่านั้น พวกเขาอยากได้อาหารครบหมู่สามมื้อต่อวันอยู่ตลอดเวลา อยากให้มีคนคอยบริการพวกเขา อยากชื่นชมอาหารและเครื่องดื่มโดยไม่ต้องทำงานแม้แต่น้อย  นี่คือวิธีคิดของกาฝากมิใช่หรือ?  แล้วผู้คนที่เป็นกาฝากมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  พวกเขามีความซื่อตรงและศักดิ์ศรีหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี  พวกเขาล้วนเป็นคนไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ได้ เป็นสัตว์ป่าที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล  ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเหมาะที่จะคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า

สมมุติว่าคริสตจักรจัดสรรงานหนึ่งให้แก่เจ้า และเจ้าบอกว่า “ไม่ว่างานนี้จะเปิดโอกาสให้ฉันได้รับความสนใจหรือไม่ก็ตาม—ในเมื่อมอบหมายให้ฉันทำแล้ว ฉันก็จะทำให้ดีและแบกรับความรับผิดชอบนี้  ถ้าจัดแจงให้ฉันเป็นเจ้าภาพรับรอง ฉันก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อทำงานนี้ให้ดี ฉันจะดูแลพี่น้องชายหญิงเป็นอย่างดี และทำอย่างดีที่สุดให้แน่ใจว่าทุกคนปลอดภัย  ถ้าจัดแจงให้ฉันประกาศข่าวประเสริฐ ฉันก็จะนำความจริงติดตัวไปประกาศข่าวประเสริฐให้ดีด้วยความรัก และลุล่วงหน้าที่ของฉัน  ถ้าจัดแจงให้ฉันเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ฉันก็จะร่ำเรียนอย่างสุดจิตสุดใจ ขยันหมั่นเพียร และพยายามที่จะแตกฉานในภาษานั้นๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายในเวลาหนึ่งหรือสองปี เพื่อให้ตัวเองสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแก่ชาวต่างชาติได้  ถ้าขอให้ฉันเขียนบทความคำพยาน ฉันก็จะตั้งใจฝึกฝนตนเองให้เขียนได้ มองสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง และเรียนรู้เรื่องภาษา  แม้จะไม่สามารถเขียนบทความเป็นความเรียงที่สละสลวย แต่อย่างน้อยฉันก็จะสามารถสื่อสารคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้อย่างชัดเจน สามารถสามัคคีธรรมความจริงให้เป็นที่เข้าใจได้ และกล่าวคำพยานที่แท้จริงให้พระเจ้า ถึงขั้นที่ผู้คนได้รับความเจริญใจและได้ประโยชน์จากการอ่านบทความของฉัน  ไม่ว่าคริสตจักรมอบหมายงานอะไรให้ฉันก็ตาม ฉันก็จะทำงานนั้นด้วยหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี  ถ้ามีบางสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจหรือมีปัญหาเกิดขึ้น ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง แก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริง และทำงานนั้นให้ดี  ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะเป็นอะไรก็ตาม ฉันจะใช้ทุกสิ่งที่มีมาทำหน้าที่ให้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย  สิ่งใดก็ตามที่ฉันสัมฤทธิ์ได้ ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบที่ฉันควรแบกรับ และอย่างน้อยฉันก็จะไม่สวนทางกับมโนธรรมและเหตุผลของตนเอง หรือทำตัวสุกเอาเผากิน กลับกลอกและอู้งาน หรือปล่อยตัวตามสบายไปกับผลงานจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น  ฉันจะไม่ทำเรื่องที่ต่ำกว่ามาตรฐานทางมโนธรรม”  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุดสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และคนที่ทำหน้าที่ของตนเช่นนี้ก็อาจมีคุณสมบัติของคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลได้  อย่างน้อยเจ้าต้องชัดเจนในมโนธรรมเวลาทำหน้าที่ของเจ้า และอย่างน้อยเจ้าก็ต้องคู่ควรกับอาหารสามมื้อที่เจ้าได้รับในแต่ละวัน ไม่ใช่เอาแต่ได้  นี่เรียกว่าการมีสำนึกรับผิดชอบ  ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ต้องมีท่าทีเช่นนี้คือ “ในเมื่อฉันได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ ฉันก็ต้องจริงจังกับงาน ฉันต้องให้ความสนใจ และต้องใช้หัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมาทำงานให้ดี  ส่วนจะทำได้ดีจริงหรือไม่นั้น ฉันไม่อาจหาญให้คำรับรอง แต่ท่าทีของฉันก็คือฉันจะปฏิบัติงานให้ดีอย่างสุดความสามารถ และแน่นอนว่าฉันจะไม่สุกเอาเผากินในเรื่องงาน  ถ้างานเกิดปัญหา เช่นนั้นฉันก็ควรรับผิดชอบ และดูให้แน่ใจว่าฉันได้ถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นและทำหน้าที่ของตนอย่างดี”  นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง  พวกเจ้ามีท่าทีเช่นนี้กันหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีเสมอไป  ฉันจะทำเท่าที่ทำได้และผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน  ฉันไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้น หรือต้องทุกข์ทรมานกับความกังวลหากทำอะไรผิดพลาด และฉันไม่จำเป็นต้องรับความกดดันมากขนาดนั้น  การทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไร?  อย่างไรก็ตาม ฉันก็ทำงานอยู่เสมอและไม่ได้กินแรงใคร”  ทัศนคติเช่นนี้ต่อหน้าที่ของตนคือการไม่รับผิดชอบ  “ถ้าฉันอยากทำงาน ฉันก็จะทำบ้าง  ฉันจะทำเท่าที่ทำได้และผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน  ไม่จำเป็นต้องจริงจังกับมันขนาดนั้น”  คนเช่นนี้ไม่มีทัศนคติที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนและพวกเขาขาดสำนึกรับผิดชอบ  พวกเจ้าเป็นคนประเภทใด?  หากพวกเจ้าเป็นคนประเภทแรก พวกเจ้าก็เป็นคนที่มีสำนึกและมีความเป็นมนุษย์  หากพวกเจ้าเป็นคนประเภทที่สอง พวกเจ้าก็ไม่ต่างจากผู้นำเทียมเท็จประเภทที่เราเพิ่งชำแหละไป  พวกเจ้าเพียงแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่า  “ฉันจะหลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้าและความยากลำบากและสุขสำราญให้มากขึ้น  แม้ว่าวันหนึ่งฉันจะถูกปลด ฉันก็จะไม่สูญเสียอะไรเลย  อย่างน้อยฉันก็ได้สุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งมาสองสามวัน มันไม่ใช่การสูญเสียสำหรับฉัน  หากฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันก็จะทำตัวแบบนี้แหละ”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับวิธีคิดของคนประเภทนี้?  คนเช่นนี้เป็นผู้ไม่เชื่อที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย  หากเจ้ามีความรู้สึกรับผิดชอบอย่างแท้จริง นั่นก็แสดงว่าเจ้ามีมโนธรรมและสำนึก  ไม่ว่างานจะใหญ่หรือเล็กเพียงใด ไม่ว่าใครจะมอบหมายงานนั้นให้เจ้า ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า หรือผู้นำหรือคนทำงานของคริสตจักรมอบหมายให้เจ้า ทัศนคติของเจ้าควรเป็นดังนี้ “ในเมื่อหน้าที่นี้ได้ถูกมอบหมายให้แก่ฉันแล้ว นี่คือการยกชูและพระคุณของพระเจ้า  ฉันควรทำหน้าที่นี้ให้ดีตามหลักธรรมความจริง  แม้ว่าฉันจะมีขีดความสามารถปานกลาง แต่ฉันก็เต็มใจที่จะรับผิดชอบนี้และทุ่มเททั้งหมดที่มีเพื่อทำหน้าที่นี้ให้ดี  หากฉันทำงานได้ไม่ดี ฉันก็ควรรับผิดชอบ และหากฉันทำงานได้ดี นี่ก็ไม่ใช่ความดีความชอบของฉัน  นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ”  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าวิธีที่คนเราปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนเป็นเรื่องของหลักธรรม?  หากเจ้ามีความรู้สึกรับผิดชอบและเป็นคนที่รับผิดชอบอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถแบกรับงานของคริสตจักรและลุล่วงหน้าที่ที่เจ้าควรทำได้  หากเจ้ามองหน้าที่ของตนเป็นเรื่องเล็กน้อย ทัศนะของเจ้าเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าก็ไม่ถูกต้อง และทัศนคติของเจ้าต่อพระเจ้าและหน้าที่ของตนก็มีปัญหา  ทัศนะของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่คือการทำอย่างสุกเอาเผากินและเพียงแค่ทำไปวันๆ และไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าเต็มใจทำหรือไม่ เป็นสิ่งที่เจ้าถนัดหรือไม่ เจ้าก็มักจะเข้าหามันด้วยทัศนคติที่เพียงแค่ทำไปวันๆ ดังนั้นเจ้าจึงไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และเจ้าไม่สมควรที่จะทำงานของคริสตจักร  ยิ่งไปกว่านั้น หากจะพูดอย่างไม่เกรงใจ คนอย่างเจ้าก็คือพวกไร้ประโยชน์ ถูกกำหนดให้ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ และเป็นเพียงคนไร้ค่า  คนไร้ค่าเป็นคนประเภทใด?  คนเลอะเลือน คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่า  คนประเภทนี้ไม่รับผิดชอบในสิ่งที่พวกเขาทำ และก็ไม่จริงจังกับมัน พวกเขาทำทุกอย่างเละเทะ  พวกเขาไม่ใส่ใจคำพูดของเจ้าไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร  พวกเขาคิดว่า “ฉันจะใช้ชีวิตไปวันๆ แบบนี้ถ้าฉันต้องการ  จะพูดอะไรก็พูดไป!  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่และมีข้าวกิน นั่นก็ดีพอแล้ว  อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเป็นขอทาน  ถ้าวันหนึ่งฉันไม่มีอะไรกิน ฉันค่อยคิดถึงมันตอนนั้น  สวรรค์ย่อมมีทางออกให้มนุษย์เสมอ  คุณบอกว่าฉันไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก และฉันเป็นคนเลอะเลือน—แล้วอย่างไรเล่า?  ฉันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย  อย่างมากที่สุด ฉันก็แค่ขาดคุณประโยชน์ไปหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่การสูญเสียสำหรับฉัน  ตราบใดที่ฉันมีข้าวกิน ก็ไม่เป็นไรแล้ว”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับมุมมองนี้?  เราขอบอกพวกเจ้าว่า คนเลอะเลือนเช่นนี้ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่าล้วนถูกกำหนดให้ถูกกำจัดออกไป และไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถได้รับความรอดได้  ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแต่ไม่เคยยอมรับความจริงใดๆ และไม่มีคำพยานจากประสบการณ์จะถูกกำจัดออกไป  จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย  พวกขยะและพวกไร้ประโยชน์ล้วนเป็นพวกกินแรงคนอื่นและพวกเขาถูกกำหนดให้ถูกกำจัดออกไป  หากผู้นำและคนทำงานเป็นเพียงพวกกินแรงคนอื่น พวกเขาก็ยิ่งต้องถูกปลดและถูกกำจัดออกไป  คนเลอะเลือนเช่นนี้ยังต้องการเป็นผู้นำและคนทำงานอีก พวกเขาไม่คู่ควร!  พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารใดๆ เลย แต่กลับต้องการเป็นผู้นำ  พวกเขาช่างไร้ยางอายจริงๆ

ผู้นำและคนทำงานบางคนหลังจากที่ถูกปลดจากตำแหน่งแล้วก็กล่าวว่า “การไม่ได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานนี่ดีจริงๆ  ฉันไม่ต้องกังวลหรือลำบากใจมากขนาดนั้น  การเป็นพี่น้องชายหญิงธรรมดานี่วิเศษมาก  ฉันจะไปหาเรื่องใส่ตัวกับเรื่องนั้นทำไม?  ฉันไม่ได้มีขีดความสามารถเพื่อที่จะมาทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าซะหน่อย”  คนอื่นพูดกับพวกเขาว่า “แล้วคุณจะทำอะไรต่อจากนี้ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว?”  พวกเขาตอบว่า “ฉันทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่เหนื่อยเกินไปและไม่ต้องใช้ความพยายามมาก—อะไรที่แค่เดินไปเดินมาดูรอบๆ หรือนั่งคุยหรือดูคอมพิวเตอร์ และไม่ต้องใช้เวลานานมากหรือต้องทนทุกข์ทางกายก็ใช้ได้แล้ว”  นี่เป็นคำพูดประเภทใด?  หากพวกเจ้าค้นพบว่าผู้นำหรือคนทำงานที่พวกเจ้าเลือกมาเป็นตัวอะไรแบบนี้ พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไรในใจ?  พวกเจ้าจะไม่รู้สึกเสียใจมากหรือ?  (ใช่)  แล้วพวกเจ้าจะมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  เจ้าจะกล่าวว่า “เดิมทีฉันเห็นว่าคุณมีขีดความสามารถอยู่บ้างและฉันต้องการที่จะส่งเสริมและบ่มเพาะคุณ และให้โอกาสคุณ เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจความจริงมากขึ้นอีกหน่อย  ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าคุณจะไร้ค่าสิ้นดี  ฉันเสียใจที่ตอนนั้นฉันถือว่าคุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าแท้จริงแล้วคุณไม่ใช่มนุษย์  คุณต่ำช้ายิ่งกว่าหมูหรือสุนัขเสียอีก คุณมันเป็นขยะ  คุณไม่สมควรที่จะนุ่งห่มหนังมนุษย์นี้ และคุณไม่คู่ควรที่จะเป็นมนุษย์!”  คำพูดเหล่านี้ฟังดูไม่น่าพอใจหรือไม่?  (ไม่)  สำหรับพวกเจ้าแล้วมันไม่ได้ฟังดูไม่น่าพอใจ แต่สำหรับขยะประเภทนี้แล้วมันฟังดูไม่น่าพอใจอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ขยะเช่นนี้มีหัวใจหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วพวกเขาจะบอกได้หรือไม่ว่าใครกำลังพูดดีหรือไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขา?  เมื่อคนที่ไม่มีหัวใจเผชิญกับเรื่องใดๆ พวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนทัศนคติในการใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่าของตน  พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไรตราบใดที่พวกเขาเองได้ประโยชน์และกำไรและรู้สึกสบาย  ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่สนใจ  คำพูดติดปากของพวกเขาคือ “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ไม่ว่าเจ้าจะมองฉันหรือประเมินฉันอย่างไร หรือเจ้าจะจัดประเภทหรือจัดการฉันอย่างไร ฉันไม่สนใจ!”  คนเหล่านี้เป็นเพียงขยะมิใช่หรือ?  ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ และพวกเขาไม่ได้ใส่ใจ  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ใส่ใจ?  พวกเขาเป็นเพียงพวกขี้เกียจสันหลังยาว และพวกเขาไม่มีหัวใจ  คนที่ไม่มีหัวใจย่อมไม่มีศักดิ์ศรีหรือความซื่อตรง พวกเขาไม่สนใจอะไรที่เจ้าพูด และไม่ว่าเจ้าจะพูดกับพวกเขาอย่างเข้มงวดเพียงใด ก็ไม่ระคายเคืองใจพวกเขาเลย  มีเพียงผู้ที่มีศักดิ์ศรี ความซื่อตรง และสำนึกเท่านั้นที่จะเจ็บปวดและรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขากำลังถูกทิ่มแทงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น  พวกเขาจะกล่าวว่า “นั่นเป็นวิธีการประพฤติตนที่ต่ำต้อย มันทำให้คนอื่นดูถูกฉัน และฉันสูญเสียศักดิ์ศรีของฉันไป ดังนั้นฉันจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีกต่อไป  ฉันต้องการกู้ศักดิ์ศรีของฉันคืนมาและไม่ทำให้คนอื่นดูถูกฉัน  ฉันจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อกู้เกียรติของฉันคืนมา และฉันจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและสนองพระเจ้า”  พวกเขามีความรู้สึกเมื่อเป็นเรื่องของคำพูดที่ทำร้ายศักดิ์ศรีของพวกเขาและแทงใจดำของพวกเขา ตรงที่อ่อนไหว—คนเหล่านี้คือคนที่มีหัวใจ  เมื่อผู้ที่มีความรู้สึกและมีศักดิ์ศรีได้ยินถ้อยแถลงที่ถูกต้องและเห็นสิ่งที่เป็นบวกและแยกแยะระหว่างสิ่งที่ถูกและผิดได้ พวกเขาก็มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเขามีศักดิ์ศรี และพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นดูถูกพวกเขา  พวกขี้เกียจสันหลังยาวและคนไร้ค่าเหล่านั้นไม่มีศักดิ์ศรี ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรกับพวกเขา ไม่ว่าถ้อยแถลงของเจ้าจะถูกต้องหรือแม่นยำหรือสอดคล้องกับความจริงเพียงใด หรือถ้อยแถลงของเจ้าจะเป็นสิ่งที่เป็นบวกมากเพียงใด มันก็ไม่มีผลต่อคนเหล่านี้และจะไม่ทำให้พวกเขาหวั่นไหวแม้แต่น้อย  คนที่ไม่มีศักดิ์ศรีย่อมไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยต่อสิ่งที่เป็นบวกใดๆ ต่อคำตัดสินใดๆ หรือต่อการเปิดโปงใดๆ และพวกเขาก็ไม่มีท่าทีที่ถูกต้องต่อการที่จะเลือกเส้นทางชีวิตแบบใด  นั่นคือเหตุผลที่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรกับพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะเปิดโปงหรือระบุลักษณะพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับอย่างเด็ดขาด และพวกเขาไม่สนใจ  ดังนั้น การประกาศความจริงและให้คำเทศนาแก่คนเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือไม่?  การตัดแต่งพวกเขามีประโยชน์หรือไม่?  การพิพากษาและตีสอนพวกเขามีประโยชน์หรือไม่?  ไม่มี!  คนเช่นนี้เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์  พวกเขาใช้ชีวิตไปวันๆ และพวกเขาจัดอยู่ในประเภทของเดรัจฉาน—หากจะพูดให้แม่นยำ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์  พวกเขาไม่สมควรที่จะได้ยินพระวจนะของพระเจ้า  หากพวกไร้ค่า ปรสิตเหล่านี้ ได้มาเป็นผู้นำคริสตจักร พวกเขาจะสามารถค้นพบปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักรได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยิบยกปัญหาขึ้นมา พวกเขาจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่?  พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้เช่นกันอย่างแน่นอน  พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ แล้วพวกเขาจะทำงานแห่งการนำได้อย่างไร?  นั่นเป็นเรื่องที่คิดไม่ออกเลย!  ในฐานะผู้นำและคนทำงาน อย่างน้อยที่สุดคนเราก็ต้องสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในงานของคริสตจักรและปัญหาที่มีอยู่กับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้  หากพวกเขาฝึกฝนอยู่ระยะหนึ่งและมีประสบการณ์บ้าง และพวกเขายังสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงบางอย่างและพูดคุยเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์บางอย่างได้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถมีความสามารถในงานแห่งการนำได้ทีละน้อย  หากพวกเขาไม่สามารถค้นพบหรือแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถทำงานแห่งการนำได้ พวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จ และพวกเขาควรถูกปลด และควรมีการเลือกตั้งผู้นำใหม่

ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำต้องเข้าใจความจริงบ้างเป็นอย่างน้อยและมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่บ้าง  หากพวกเขาไม่มีประสบการณ์เลย  พวกเขาย่อมไม่เข้าใจความจริงเลยอย่างแน่นอน  บางคนที่ทำหน้าที่ผู้นำเก่งเรื่องการเทศนาคำพูดและคำสอน  และพวกเขาสามารถได้รับการเห็นชอบและคำยกย่องจากคนส่วนใหญ่  แม้ว่าเมื่อมองอย่างผิวเผิน  ผู้นำเทียมเท็จจะสามารถตอบคำถามได้  แต่พวกเขาก็ไม่สามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงได้  ทั้งหมดที่พวกเขาเทศนาก็คือทฤษฎีที่ว่างเปล่า  และไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย  เมื่อผู้คนได้ฟังคำเทศนาของพวกเขา  พวกเขาก็รู้สึกว่าคำเทศนานั้นตรงกับรสนิยมของตน  และผู้ที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะก็เห็นชอบกับคำเทศนานั้นอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ดี  หลังจากนั้น  พวกเขาก็ยังคงไม่มีหนทางปฏิบัติและหาหลักธรรมของการปฏิบัติไม่พบ  แล้วนี่จะถือว่าแก้ไขปัญหาใดๆ ได้แล้วหรือ?  นี่ไม่ใช่การที่พวกเขาสุกเอาเผากินหรอกหรือ?  การพยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้จะถือว่าเป็นการทำงานที่เป็นแก่นสารได้หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง แต่พวกเขารู้วิธีทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ  สิ่งแรกที่พวกเขาทำทันทีที่ได้เป็นผู้นำคืออะไร?  ก็คือการซื้อใจผู้คน  พวกเขาใช้แนวทาง “เจ้าหน้าที่คนใหม่ๆ ย่อมกระตือรือร้นที่จะสร้างความประทับใจ” กล่าวคือ ก่อนอื่นพวกเขาทำบางสิ่งเพื่อประจบเอาใจผู้คน และจัดการบางสิ่งที่ทำให้สวัสดิภาพในแต่ละวันของผู้คนดีขึ้น  เริ่มแรกพวกเขาพยายามทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจ แสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาเข้ากันได้กับมวลชน เพื่อให้ทุกคนยกย่องพวกเขาและพูดว่า “ผู้นำคนนี้ปฏิบัติตัวต่อพวกเราเหมือนพ่อแม่เลย!”  จากนั้นพวกเขาก็เข้าควบคุมอย่างเป็นทางการ  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่และตำแหน่งของพวกเขาก็มั่นคงแล้ว และแล้วพวกเขาก็เริ่มสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ ราวกับเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้อยู่แล้ว  คติพจน์ของพวกเขาคือ “ชีวิตคือการกินดีและแต่งตัวสวยเท่านั้น” “ชีวิตนี้สั้น ดังนั้นควรสุขสำราญกับชีวิตเมื่อยังทำได้” และ “จงดื่มเหล้าองุ่นของวันนี้ในวันนี้ และจงกังวลถึงพรุ่งนี้ในวันพรุ่งนี้เถิด”  พวกเขาสุขสำราญกับแต่ละวันที่มาถึง พวกเขาสนุกในขณะที่ทำได้ และพวกเขาไม่คิดถึงอนาคต และยิ่งไม่คำนึงว่าผู้นำควรลุล่วงความรับผิดชอบอันใดและพวกเขาควรทำหน้าที่ใดบ้าง  พวกเขาประกาศวาจาและคำสอนไม่กี่คำและทำกิจไม่กี่อย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์เป็นกิจวัตร—พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงแต่อย่างใด  พวกเขาไม่ขุดคุ้ยปัญหาที่แท้จริงในคริสตจักรและแก้ปัญหาเหล่านั้นให้หมดสิ้น  แล้วการพวกเขาทำกิจอย่างผิวเผินเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด?  นี่ไม่หลอกลวงหรอกหรือ?  จะสามารถไว้วางใจมอบกิจสำคัญให้ผู้นำเทียมเท็จแบบนี้ได้หรือ?  พวกเขาเป็นไปตามหลักธรรมและเงื่อนไขของพระนิเวศของพระเจ้าในการคัดสรรผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกรับผิดชอบใดๆ แต่ก็ยังคงปรารถนาที่จะครองตำแหน่งที่เป็นทางการบางอย่าง เป็นผู้นำในคริสตจักร—เหตุใดพวกเขาจึงไร้ยางอายขนาดนี้?  ส่วนบางคนที่มีสำนึกรับผิดชอบ ถ้าพวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย ก็ไม่อาจเป็นผู้นำได้—นั่นยังไม่รวมถึงคนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีสำนึกรับผิดชอบอะไรเลย พวกนี้ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำเข้าไปใหญ่  ผู้นำเทียมเท็จที่ไม่รู้จักพอและสันหลังยาวเช่นนี้เกียจคร้านเพียงใด?  แม้แต่เวลาที่พวกเขาค้นพบประเด็นปัญหาและตระหนักรู้ว่านี่คือประเด็นปัญหา พวกเขาก็ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจังและไม่สนใจประเด็นปัญหานั้น  พวกเขาไร้ความรับผิดชอบเหลือเกิน!  แม้พวกเขาจะเป็นคนพูดเก่งและดูเหมือนมีขีดความสามารถอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ในงานของคริสตจักรได้ ทำให้การทำงานหยุดชะงัก ปัญหาทั้งหลายกองสุมขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ผู้นำเหล่านี้ก็ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น และดึงดันที่จะดำเนินงานที่ผิวเผินบางอย่างต่อไปตามกิจวัตร  แล้วผลสุดท้ายจะเป็นเช่นใด?  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิงและทำผิดพลาดซ้ำๆ จนเสียงานมิใช่หรือ?  พวกเขาก่อให้เกิดความวุ่นวายและการขาดความเป็นเอกภาพในคริสตจักรมิใช่หรือ?  นี่คือจุดจบที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้  ในสถานการณ์เช่นนี้  ผู้นำเทียมเท็จจะทำรายงานถึงเบื้องบนหรือไม่?  ไม่ทำอย่างแน่นอน  หากมีใครบางคนในคริสตจักรต้องการรายงานปัญหาของผู้นำเทียมเท็จต่อเบื้องบน  พวกเขาจะยินยอมต่อเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเขาจะกดขี่และปิดกั้นบุคคลนั้นอย่างแน่นอนที่สุด  พวกเขาจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดรายงานปัญหาต่อเบื้องบน  และจะควบคุม  กดขี่  และโดดเดี่ยวผู้ใดก็ตามที่ทำเช่นนั้น  จงบอกเราทีว่า  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ช่างต่ำช้าถึงเพียงนี้มิใช่หรือ?  ไม่ว่าพวกเขาจะทำร้ายงานของคริสตจักรไปมากเพียงใด  พวกเขาก็ยังคงไม่อนุญาตให้เบื้องบนรู้เรื่องนี้  และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแก้ไขปัญหาเลย  ทั้งหมดที่พวกเขาสนใจคือการสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งของตนและปกป้องความถือตัวและความหยิ่งจองหองของตนเอง—คนเช่นนี้ช่างต่ำช้าและไร้ยางอายอย่างที่สุด!  พวกเขาปราศจากมโนธรรมและปราศจากความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  เมื่อเบื้องบนสอบถามเกี่ยวกับงาน  พวกเขาก็กล่าวเป็นมั่นเหมาะว่าไม่มีปัญหา  พูดจากลิ้งกลอกและหลอกให้เบื้องบนหลงเชื่อ—ในการทำเช่นนี้  พวกเขาไม่ได้กำลังหลอกลวงเบื้องบนและปิดบังผู้ใต้บังคับบัญชาหรอกหรือ?  ปัญหาเกี่ยวกับงานของคริสตจักรยังคงกองพะเนินขึ้นเรื่อยๆ  และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง  แต่พวกเขาก็ไม่ได้รายงานปัญหาเหล่านี้ต่อเบื้องบนเช่นกัน  ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้  พวกเขาทำราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ  พวกเขาลุ่มหลงในความสะดวกสบายเหมือนเดิม  พวกเขาเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยทั้งวันและใช้ชีวิตไปวันๆ  และพวกเขาก็ไม่ได้วิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย  และเมื่อปัญหาถูกเปิดโปงและเบื้องบนสืบสวนเรื่องนี้  พวกเขาก็ยังคงกล่าวว่า  “ฉันได้จัดให้ผู้คนทำงานนี้แล้ว  ฉันได้ลุล่วงความรับผิดชอบของฉันแล้ว  หากงานทำได้ไม่ดี  นั่นก็เป็นความผิดของคนอื่น  มันเกี่ยวข้องอะไรกับฉันด้วยล่ะ?”  ด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้  พวกเขาก็ปัดความรับผิดชอบของตนออกไปโดยสิ้นเชิง  ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ในเรื่องนี้เลย  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ทบทวนตนเอง  พวกเขายังรู้สึกว่าตนเองมีความชอบธรรมและกล่าวอย่างสบายใจว่า  “อย่างไรก็ตาม  ฉันก็ไม่ได้เกียจคร้านในหน้าที่ของฉัน  ไม่ได้กินแรงใคร  หากเบื้องบนไม่ปลดฉัน  ฉันก็จะทำหน้าที่ผู้นำต่อไป  หากฉันยื่นใบลาออก  ฉันก็จะทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ?  ฉันก็จะแสดงความไม่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนเองมิใช่หรือ?”  ถ้าเจ้าจะตัดแต่งพวกเขา  พวกเขาก็จะสามารถยกเหตุผลมากมายมาโต้แย้งเจ้าได้  พวกเขาจะไม่กล่าวว่าพวกเขารับผิดชอบต่อเรื่องนี้  พวกเขาจะไม่กล่าวว่าความรับผิดชอบของพวกเขาคืออะไร  และพวกเขาจะไม่ทบทวนว่าการที่พวกเขาไม่แก้ไขปัญหาและไม่ทำงานที่เป็นแก่นสารนั้นมีธรรมชาติเป็นอย่างไร  คนเช่นนี้น่าชิงชังถึงเพียงนี้มิใช่หรือ?  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมาเป็นเวลานานโดยไม่มีความสำนึกผิดในใจแม้แต่น้อย—พวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?  พวกเขายังมีมโนธรรมหรือสำนึกเหลืออยู่บ้างแม้แต่น้อยหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า  “ไม่ควรเลือกคนเช่นนี้มาเป็นผู้นำ”  ตามทฤษฎีแล้วก็เป็นเช่นนี้  อย่างไรก็ดี  มีคนเช่นนี้อยู่บ้างจริงๆ ในหมู่ผู้นำและคนทำงานที่ได้รับเลือก  นี่คือข้อเท็จจริง  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรขาดวิจารณญาณแยกแยะ  และยังเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ชอบคนที่ชอบเอาใจผู้คน  และผลที่ตามมาก็คือได้เลือกผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จบางคน  ดังนั้น  ก่อนการเลือกตั้งในคริสตจักร  จะต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมในการเลือกผู้นำและคนทำงานให้มากขึ้น  เช่นเดียวกับหลักธรรมในการมีวิจารณญาณแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จด้วย  การทำเช่นนี้จะรับประกันได้ว่าจะมีผู้คนลงคะแนนเสียงตามหลักธรรมมากขึ้น  โดยการทำเช่นนี้เท่านั้น  การเลือกตั้งในคริสตจักรจึงจะเกิดผลดีได้

จงบอกเราทีว่า  คนเกียจคร้านที่ต่ำช้าและไร้ยางอายเช่นนี้จะสามารถทำงานของคริสตจักรได้ดีในฐานะผู้นำและคนทำงานได้หรือ?  พวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักรหรือความลำบากยากเย็นที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าเช่นนั้น  พวกเจ้าควรทำอย่างไรเมื่อพวกเจ้าเผชิญกับผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้?  สมมติว่ามีคนกล่าวว่า  “ขีดความสามารถของพวกเราต่ำและพวกเราขาดวิจารณญาณแยกแยะ  ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้หากพวกเราเผชิญกับผู้นำเทียมเท็จ”  การกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในคริสตจักรที่มีขีดความสามารถต่ำและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะใช่หรือไม่?  อย่างน้อยต้องมีหลายคนที่ค่อนข้างเข้าใจความจริง  ดังนั้น  หากมีคนพบผู้นำเทียมเท็จที่ไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารหรือแก้ไขปัญหาใดๆ ได้  พวกเขาก็ควรสามัคคีธรรมกับผู้ที่เข้าใจความจริงและขอให้พวกเขาใช้วิจารณญาณแยกแยะและตัดสิน  การทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?  (ใช่  เหมาะสม)  เหตุใดจึงเหมาะสม?  ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากผู้นำคริสตจักรไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้?  ใครจะเป็นผู้เสียหาย?  จะใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรหรือไม่?  หากผู้นำเทียมเท็จควบคุมคริสตจักรเป็นเวลาสามหรือห้าปี  แล้วความเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงของผู้คนจำนวนเท่าใดจะได้รับผลกระทบ?  การบรรลุความรอดของพระเจ้าของผู้คนจำนวนเท่าใดจะล่าช้าออกไป?  ผลที่ตามมาเหล่านี้ร้ายแรงจนสุดจะคาดคิด  ดังนั้น  เมื่อพบว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารและไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้  นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน  และพวกเขาควรเปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จนั้นทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้งานล่าช้า  ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการที่ผู้นำคริสตจักรไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารก็คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หากไม่มีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนใดเปิดโปงหรือรายงานพวกเขา  และพวกเขาทั้งหมดก็เพียงแต่ไม่แยแสต่อการทำเช่นนี้  เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความหวังสำหรับคริสตจักรนั้น  สมมติว่าในใจของพวกเจ้า  พวกเจ้าเก็บงำความคิดที่จะไม่รับผิดชอบอยู่เสมอว่า  “อย่างไรก็ตาม  คุณก็เป็นผู้นำ  คุณไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้  แต่คุณก็ไม่รายงานปัญหาต่อเบื้องบน—หากสิ่งนี้ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า  เบื้องบนก็จะให้คุณรับผิดชอบ  มันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราด้วยล่ะ?  การที่พวกเราจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีประโยชน์อะไร?  พวกเราไม่ใช่ผู้ที่รับผิดชอบ  ความรับผิดชอบนี้อยู่ที่คุณ”  หากพวกเจ้าเก็บงำมโนคติอันหลงผิดนี้ไว้ในใจเสมอ  สิ่งนี้จะไม่ทำให้เรื่องต่างๆ ล่าช้าหรอกหรือ?  สิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง  การเข้าสู่ความเป็นจริง  และการบรรลุความรอดของพระเจ้าของพวกเจ้าหรอกหรือ?  หากไม่มีใครในคริสตจักรรับผิดชอบ  ก็ยากที่จะกล่าวว่าคริสตจักรนี้จะสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าและได้รับพรจากพระเจ้าได้หรือไม่  และยิ่งยากที่จะกล่าวว่าจะมีผู้คนจำนวนเท่าใดที่จะบรรลุความรอดในคริสตจักรนี้  หากทุกคนในคริสตจักรนี้คิดเช่นนี้และมีทัศนะเช่นนี้  เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความหวังสำหรับคริสตจักรนี้อย่างแน่นอน  ฝ่ายผลิตภาพยนตร์ไม่มีปัญหานี้อยู่ในขณะนี้หรอกหรือ?  ผู้นำบางคนของพวกเจ้าไม่จัดการปัญหาหรือรายงานปัญหา—พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  พวกเจ้าสามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้หรือไม่?  ผู้นำเหล่านี้ไม่แก้ไขปัญหาให้พวกเจ้า—พวกเจ้าไม่ค้นพบว่านี่เป็นปัญหาหรอกหรือ?  พวกเจ้ามีความสุขกับเรื่องนี้จริงๆ หรือ?  “ผู้นำของพวกเราไม่ได้รายงานปัญหานี้และปัญหานี้ก็ไม่สามารถแก้ไขได้  ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่ดีสำหรับพวกเราที่จะได้พักผ่อน  ยอดเยี่ยมไปเลย!  ยิ่งไปกว่านั้น  เบื้องบนก็ไม่ได้สอบถามเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวเมื่อเร็วๆ นี้  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่พวกเราจะต้องรายงานปัญหาเช่นกัน  ทำไมพวกเราจะไม่พยายามหาเวลาว่างให้ตัวเองสักหน่อยเล่า?  พวกเราต้องถ่ายทำภาพยนตร์ให้เร็วขนาดนั้นและถ่ายทำให้เสร็จตรงเวลาด้วยหรือ?  ความคืบหน้าที่พวกเรากำลังทำอยู่นี้ก็ดีแล้ว!  ถ้าพวกเราถ่ายทำไม่เสร็จแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ?  พวกเราจะถูกกล่าวโทษเพราะเรื่องนี้หรือไง?”  นี่คือท่าทีของพวกเจ้าใช่หรือไม่?  พวกเจ้าคิดว่าไม่มีตารางเวลาที่เข้มงวดเช่นนั้นสำหรับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นพวกเจ้าจึงสามารถยืดเวลาออกไปได้อย่างไม่มีกำหนด  และตราบใดที่เบื้องบนไม่สอบถามหรือตรวจสอบเรื่องนี้  ก็ไม่จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องกังวลหรือรู้สึกกดดันใดๆ  และพวกเจ้าก็เพียงแค่แก้ไขปัญหาใดๆ ที่พวกเจ้าสามารถแก้ไขได้  และปล่อยผ่านปัญหาใดๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ไปใช่หรือไม่?  นี่คือมุมมองของพวกเจ้าใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าเช่นนั้น  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รายงานปัญหาเมื่อพวกเจ้ามีปัญหา?  เป็นเพราะผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ควบคุมพวกเจ้าอยู่  หรือเป็นเพราะพวกเขาแอบให้ยาที่ทำให้มึนงงแก่พวกเจ้า  ซึ่งทำให้พวกเจ้าเพ้อคลั่งและพูดไม่ได้?  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  เมื่อมีปัญหาอยู่  พวกเจ้ารู้เรื่องเหล่านั้นหรือไม่?  ถ้าพวกเจ้ากล่าวว่าพวกเจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านั้น  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็กำลังโกหก  หากพวกเจ้ารู้เรื่องเหล่านั้นแต่ไม่รายงาน  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็กำลังละเลยและบกพร่องต่อความรับผิดชอบของตนอย่างรุนแรง  และพวกเจ้าก็ไม่มีความจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนเลยแม้แต่น้อย  แม้ว่าเจ้าจะทำงานในโลกเพื่อหาเงิน  เจ้าก็ยังต้องทำตัวให้สมกับค่าจ้างอันน้อยนิดของเจ้า  ไม่ต้องพูดถึงว่า  วันนี้เจ้ากำลังกินอาหารแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความรอดขณะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  และโดยการทำเช่นนั้น  เจ้ากำลังปูทางและเตรียมพร้อมสำหรับบั้นปลายของเจ้าเอง  เจ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ได้ทำเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  และยิ่งไม่ใช่เพื่อเรา—เจ้ากำลังทำเพื่อตัวเจ้าเอง  หากจะพูดให้ไพเราะ  ผู้คนกำลังทำหน้าที่ของตนเพื่อบรรลุความรอด  แต่หากจะพูดให้แม่นยำ  พวกเขากำลังทำเพื่อตนเองที่จะได้รับพรและมีบั้นปลายที่ดี  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน  อย่าโง่เขลา  เจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของเจ้าเพื่อคนอื่นหรือเพื่อพ่อแม่ของเจ้า  และไม่ได้ทำเพื่อสร้างชื่อเสียงให้บรรพบุรุษหรือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของเจ้า—เจ้ากำลังทำเพื่อตัวเจ้าเอง  พระเจ้าทรงสร้างเจ้า  และนับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงสร้างโลก  พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าเจ้าจะเกิดในยุคสุดท้าย  พระองค์ทรงนำเจ้ามายังพระนิเวศของพระองค์  พระองค์ทรงให้เจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์  พระองค์ทรงให้เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระองค์ทุกวันและได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิต  และพระองค์ทรงให้โอกาสเจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้าได้  นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่จะบรรลุความรอด  และยังเป็นโอกาสเดียวของเจ้าอีกด้วย  หากในขณะที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้า  เจ้าทำลายโอกาสนี้  เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะได้รับการลงโทษหรือร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเจ้าตกอยู่ในความวิบัติในท้ายที่สุด  ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะเจ้าทำตัวเอง  และเจ้าก็สมควรได้รับมัน!  มันจะเป็นความผิดของเจ้าเอง  ไม่จำเป็นที่คนอื่นจะต้องแบกรับความรับผิดชอบของเจ้า  และไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบของคนอื่น  มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถรับผิดชอบต่อเส้นทางที่เจ้าเดินและทุกสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้  และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถแบกรับผลที่ตามมาในท้ายที่สุดได้  สิ่งที่เราสามารถทำได้คือทำให้พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เราควรพูดและบอกพวกเจ้า  และปูทางให้พวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะได้เริ่มต้นบนเส้นทางแห่งความรอด  เราได้อธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว  ดังนั้นพวกเจ้าจะลงมือปฏิบัติให้เฉพาะเจาะจงอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเอง  เราไม่สนใจเรื่องของพวกเจ้า  เราเพียงปฏิบัติงานที่อยู่ในส่วนของเรา  และเราไม่ทำงานใดๆ เกินกว่านี้  การที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าเพื่อเห็นแก่บั้นปลายของเจ้าเองนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  ถ้าเจ้ากล่าวว่า  “มีปัญหามากมาย  แต่ผู้นำของฉันไม่ได้รายงานปัญหาเหล่านั้น  ดังนั้นฉันก็จะไม่รายงานเช่นกัน”  เช่นนั้นแล้วนั่นไม่ใช่ความโง่เขลาหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่การคิดเห็นแก่ตัวหรอกหรือ?  ความรับผิดชอบของเจ้าคืออะไรเมื่อเจ้าเห็นปัญหา?  ความรับผิดชอบของเจ้าคือการเรียกทุกคนมารวมกันและสงบใจลงเพื่อแสวงหาและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับปัญหานั้น  เพื่อดูว่าปัญหาเกิดขึ้นในด้านใด  และเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา  หากหลังจากหารือกันแล้ว  พบสาเหตุที่แท้จริง  แต่พวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง  พวกเจ้าก็ควรรายงานต่อเบื้องบนทันที  ใครควรเป็นผู้รายงาน?  เจ้าควรเสนอตัวเองและกล่าวว่า  “ฉันจะรายงานเอง  ถ้าไม่ได้ผล  เช่นนั้นแล้วพวกเราก็สามารถเลือกตัวแทนสองสามคนและรายงานร่วมกันได้”  บางคนกล่าวว่า  “พวกเราไม่มีผู้นำหรือ?”  เจ้าตอบว่า  “เขาไม่ใช่ผู้นำ!  เขาไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย  เขาเป็นเพียงเดรัจฉานในร่างมนุษย์  และเขาควรถูกเตะไปให้พ้นทางและถูกปลด!  เขาไม่ได้รายงานปัญหา  ดังนั้นพวกเราควรรายงานด้วยตนเอง—นี่คือความรับผิดชอบของพวกเรา  เมื่อพวกเราได้ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเราแล้วเท่านั้น  พระเจ้าจึงจะทรงปฏิบัติต่อพวกเราในฐานะมนุษย์  หากพวกเรารู้อย่างชัดเจนว่าความรับผิดชอบของพวกเราคืออะไรแต่พวกเราไม่ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านั้น  เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ไม่สมควรที่จะเป็นมนุษย์  และไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงมองว่าพวกเราเป็นเช่นนั้น”  หากพระเจ้าไม่ทรงมองว่าเจ้าเป็นมนุษย์  สิ่งนี้บอกเป็นนัยว่าพระองค์ทรงมองว่าเจ้าเป็นอะไร?  มันบอกเป็นนัยว่าพระองค์ทรงมองว่าเจ้าเป็นหมูหรือสุนัข  แล้วพระเจ้าจะยังคงช่วยเจ้าให้รอดหรือไม่?  ไม่มีทาง  ดังนั้น  หากเจ้าไม่ได้มีบั้นปลายที่ดี  เจ้าก็ไม่ได้ทำตัวเองหรอกหรือ?  และเจ้าก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของเจ้าไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?  มันขึ้นอยู่กับเจ้าที่จะเลือกเส้นทางของเจ้า  และมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าที่จะเดินบนเส้นทางนั้นเช่นกัน  ไม่ว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางใด  หรือผลที่ตามมาในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร  เจ้าคือผู้ที่แบกรับความรับผิดชอบ  ไม่มีใครจะรับผิดชอบต่อเส้นทางที่เจ้าเดินและผลที่ตามมานั้น

ถ้าในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเจ้ากลับเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังเที่ยวหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวสารพัดเพื่อปัดความรับผิดชอบ ปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก็ไม่ลงมือแก้ไข ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่รายงานต่อเบื้องบน ทำประหนึ่งว่าปัญหาเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้าเลย แบบนี้เรียกว่าการละเลยหน้าที่ไม่ใช่หรือ?  การปฏิบัติต่องานของคริสตจักรเช่นนี้ฉลาดหรือโง่เขลา?  (โง่เขลา)  ผู้นำและคนทำงานเยี่ยงนี้เป็นพวกกลับกลอกไม่ใช่หรือ?  พวกเขาคือคนไร้ซึ่งจิตสำนึกรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  พอประสบปัญหาก็เพิกเฉย—คนเช่นนี้เป็นพวกไม่เอาใจใส่ไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์หรอกหรือ?  คนเจ้าเล่ห์นั่นแหละคือคนที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง!  เจ้าต้องเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าต้องมีสำนึกรับผิดชอบเมื่อเจ้าเผชิญหน้าปัญหา และเจ้าต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่ทำได้และแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา  แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่เป็นคนเจ้าเล่ห์  หากเจ้าสนใจแต่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เจ้าก็จะถูกกล่าวโทษเพราะพฤติกรรมเยี่ยงนี้แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ นับประสาอะไรกับในพระนิเวศของพระเจ้า!  พฤติกรรมนี้แน่นอนว่าย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษและสาปแช่ง และย่อมถูกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรชังและไม่ยอมรับ  พระเจ้าโปรดคนที่ซื่อสัตย์ และพระองค์ทรงชังคนหลอกลวงและกลับกลอก  หากเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์และประพฤติตนในลักษณะที่กลับกลอก พระเจ้าย่อมจะทรงชังเจ้ามิใช่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าจะปล่อยให้เจ้าพ้นผิดได้โดยง่ายกระนั้นหรือ?  ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องรับผิดชอบ  พระเจ้าโปรดคนที่ซื่อสัตย์และไม่โปรดคนเจ้าเล่ห์  ทุกคนควรเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน เลิกเลอะเลือนและเลิกทำสิ่งที่เขลา  การไม่รู้ความเพียงชั่วคราวนั้นสามารถอภัยให้ได้ แต่หากบุคคลหนึ่งไม่ยอมรับความจริงเลย เช่นนั้นพวกเขาก็ดื้อรั้นเกินไป  บุคคลที่ซื่อสัตย์ย่อมจะสามารถรับผิดชอบ  พวกเขาไม่คำนึงถึงผลกำไรและขาดทุนของตนเอง พวกเขาพิทักษ์งานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาใจดีมีเมตตาและมีหัวใจที่ซื่อสัตย์เหมือนน้ำใสในชามซึ่งมองปราดเดียวคนเราก็สามารถเห็นก้นชามได้  และการกระทำของพวกเขายังมีความโปร่งใสอีกด้วย  คนหลอกลวงประพฤติตนในลักษณะที่กลับกลอกอยู่เสมอ ทำการเสแสร้ง ปกปิด และเก็บซ่อนสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และห่อหุ้มตนเองอย่างมิดชิดจนน่าเหลือเชื่อ  ไม่มีผู้ใดสามารถมองคนประเภทนี้ออก  ผู้คนไม่สามารถรู้ทันความคิดในใจเจ้าได้ แต่พระเจ้าสามารถทรงพินิจพิเคราะห์สิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ ว่าเจ้าเป็นสิ่งที่กลับกลอก ว่าเจ้าไม่เคยยอมรับความจริง หลอกลวงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์พระองค์ย่อมจะไม่โปรดเจ้า และพระองค์ย่อมจะทรงชังและทรงทอดทิ้งเจ้า  คนทั้งปวงที่เจริญรุ่งเรืองในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ  และบรรดาผู้ที่พูดจาคล่องแคล่วและมีไหวพริบปฏิภาณนั้นเป็นคนประเภทใด?  เรื่องนี้ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  แก่นแท้ของพวกเขาคืออะไร?  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นคนที่มีจิตใจซับซ้อนอย่างยิ่ง  พวกเขาทั้งหมดหลอกลวงและเจ้าเล่ห์อย่างที่สุด  พวกเขาเป็นมารและซาตานตนหนึ่งอย่างแท้จริง  พระเจ้าจะทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดได้หรือ?  พระเจ้าไม่ทรงชิงชังสิ่งใดมากไปกว่าพวกมาร—ผู้คนที่หลอกลวงและเจ้าเล่ห์—และพระองค์จะไม่ทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าต้องไม่เป็นคนประเภทนี้อย่างเด็ดขาด  บรรดาผู้ที่คอยสังเกตการณ์และระแวดระวังอยู่เสมอเมื่อพวกเขาพูด  ผู้ที่รู้จักพลิกแพลงและเล่นละครตบตาให้เข้ากับสถานการณ์เมื่อพวกเขาจัดการเรื่องต่างๆ—เราขอบอกเจ้าว่า  พระเจ้าทรงชิงชังคนเช่นนี้ที่สุด  คนเช่นนี้เกินกว่าจะช่วยให้รอดได้  ในส่วนที่เกี่ยวกับคนทั้งปวงที่จัดอยู่ในประเภทของคนที่หลอกลวงและเจ้าเล่ห์  ไม่ว่าคำพูดของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด  ทั้งหมดนั้นก็เป็นคำพูดเยี่ยงมารที่หลอกลวง  ยิ่งคำพูดของพวกเขาฟังดูดีเท่าใด  คนเหล่านี้ก็ยิ่งเป็นพวกมารและซาตานมากขึ้นเท่านั้น  นี่คือคนประเภทที่พระเจ้าทรงชิงชังที่สุดอย่างแท้จริง  นี่ถูกต้องอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะว่าอย่างไร  คนที่หลอกลวง  คนที่มักจะโกหก  และคนที่พูดจาคล่องแคล่วสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ท่าทีของพระเจ้าต่อคนที่หลอกลวงและเจ้าเล่ห์คืออะไร?  พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา  พระองค์ทรงเมินพวกเขาและไม่ทรงใส่ใจพวกเขา  พระองค์ทรงมองว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับสัตว์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า  คนเช่นนี้เป็นเพียงการสวมหนังมนุษย์และในแก่นแท้แล้วพวกเขาคือพวกมารและซาตาน  พวกเขาคือซากศพเดินได้  และพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอดอย่างแน่นอน  ถ้าเช่นนั้น  สภาวะของคนเหล่านี้ในขณะนี้เป็นอย่างไร?  มีความมืดในใจของพวกเขา  พวกเขาขาดความเชื่อที่แท้จริง  และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา  พวกเขาก็ไม่เคยได้รับความรู้แจ้งหรือความกระจ่างเลย  เมื่อเผชิญกับความวิบัติและความทุกข์ลำบาก  พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้า  แต่พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับพวกเขา  และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้อย่างแท้จริงในใจของพวกเขา  เพื่อที่จะได้รับพร  พวกเขาพยายามที่จะแสดงออกอย่างดี  แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้  เพราะพวกเขาปราศจากมโนธรรมและเหตุผล  พวกเขาไม่สามารถเป็นคนดีได้แม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม  แม้ว่าพวกเขาจะต้องการหยุดทำสิ่งที่ไม่ดี  พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  มันจะไม่ได้ผล  พวกเขาจะสามารถรู้จักตนเองได้หรือไม่หลังจากที่พวกเขาถูกส่งไปและถูกกำจัดออกไป?  แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาสมควรได้รับสิ่งนี้  แต่พวกเขาก็จะไม่ยอมรับเรื่องนี้กับใคร  และแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนสามารถทำหน้าที่ได้บ้าง  พวกเขาก็ยังคงทำตัวหลบเลี่ยง  และงานของพวกเขาก็จะไม่เกิดผลที่ชัดเจนใดๆ  ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจะว่าอย่างไร  คนเหล่านี้สามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกและพวกเขาไม่ได้รักความจริง  พระเจ้าไม่ได้ทรงช่วยคนเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายประเภทนี้ให้รอด  มีความหวังอะไรในการเชื่อในพระเจ้าสำหรับคนเช่นนี้?  ความเชื่อของพวกเขาปราศจากความสำคัญไปแล้ว  และพวกเขาย่อมไม่ได้รับอะไรจากมันเลย  หากตลอดความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  ผู้คนไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อเป็นเวลากี่ปี  มันก็จะไม่มีผลใดๆ  แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อจนถึงที่สุด  พวกเขาก็จะไม่ได้รับอะไรเลย  เพื่อที่จะได้รับพระเจ้า  ผู้คนต้องได้รับความจริง  ต่อเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง  ปฏิบัติความจริง  และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วเท่านั้น  พวกเขาจึงจะได้รับความจริงและบรรลุความรอดของพระเจ้า  และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการยอมรับและพรจากพระเจ้า  และนี่เท่านั้นคือการได้รับพระเจ้า  หากผู้คนต้องการได้รับความจริง  เช่นนั้นแล้วขั้นตอนแรกที่พวกเขาควรทำคือการเรียนรู้ที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตน  นั่นคือ  พวกเขาควรทำหน้าที่ของตนให้ดี—นี่คือสิ่งที่พื้นฐานที่สุด  ผู้คนต้องไม่เรียนรู้จากผู้นำเทียมเท็จอย่างเด็ดขาด  ที่เพียงเทศนาคำพูดและคำสอนและไม่ทำงานที่เป็นแก่นสาร  ไม่รับผิดชอบต่อสิ่งใดที่พวกเขาทำ  ทำทุกอย่างอย่างสุกเอาเผากิน  และลงเอยด้วยการถูกกำจัดออกไป  การทำหน้าที่ของคนเราไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  ผู้คนถูกเผยให้เห็นมากที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  และพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนโดยอาศัยการปฏิบัติที่สม่ำเสมอของพวกเขาขณะทำหน้าที่ของตน  การที่ใครบางคนทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดีนั้นหมายความว่าอะไร?  มันหมายความว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงหรือไม่กลับใจอย่างแท้จริง  และถูกพระเจ้ากำจัดออกไป  เมื่อผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จถูกปลด  สิ่งนี้แสดงถึงอะไร?  นี่คือท่าทีของพระนิเวศของพระเจ้าต่อคนเช่นนี้  และแน่นอนว่า  มันยังแสดงถึงท่าทีของพระเจ้าต่อคนเช่นนี้ด้วย  ถ้าเช่นนั้น  ท่าทีของพระเจ้าต่อคนไร้ค่าเช่นนี้คืออะไร?  พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา  กล่าวโทษพวกเขา  และกำจัดพวกเขาออกไป  ถ้าเช่นนั้น  พวกเจ้ายังคงต้องการที่จะลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งและเป็นผู้นำเทียมเท็จอยู่อีกหรือ?

หลังจากที่ผู้คนมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว  อะไรคือสิ่งที่เจ็บปวดและน่าปั่นป่วนใจที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับพวกเขาได้?  เรื่องที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการได้รู้ว่าพวกเขาถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่  และพวกเขาถูกพระเจ้าเผยให้เห็นและกำจัดออกไป—นี่คือสิ่งที่เจ็บปวดและน่าเศร้าโศกที่สุด  และไม่มีใครต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาหลังจากที่พวกเขามาเชื่อในพระเจ้า  ถ้าเช่นนั้น  ผู้คนจะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาได้อย่างไร?  อย่างน้อยที่สุด  พวกเขาต้องกระทำตามมโนธรรมของตน  นั่นคือ  พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนก่อน  พวกเขาต้องไม่สุกเอาเผากินอย่างเด็ดขาด  และพวกเขาต้องไม่ทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาล่าช้า  ในเมื่อเจ้าเป็นบุคคล  เจ้าก็ควรใคร่ครวญว่าความรับผิดชอบของบุคคลคืออะไร  ความรับผิดชอบที่ผู้ไม่มีความเชื่อให้คุณค่ามากที่สุด  เช่น  การกตัญญู  การเลี้ยงดูพ่อแม่ของเจ้า  และการสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลของเจ้า  ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง  สิ่งเหล่านี้ล้วนว่างเปล่าและปราศจากความหมายที่เป็นแก่นสาร  ความรับผิดชอบขั้นต่ำที่สุดที่บุคคลควรลุล่วงคืออะไร?  สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดคือการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีในขณะนี้อย่างไร  การพอใจเพียงแค่กับการทำไปตามขั้นตอนไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  และการสามารถพูดได้เพียงคำพูดและคำสอนก็ไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  การปฏิบัติความจริงและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมเท่านั้นคือการลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  ต่อเมื่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าเกิดผล  และเป็นประโยชน์ต่อผู้คนแล้วเท่านั้น  เจ้าจึงจะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างแท้จริง  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังทำหน้าที่ใด เฉพาะเมื่อเจ้ายืนกรานที่จะกระทำตามหลักธรรมความจริงในสรรพสิ่งเท่านั้น เจ้าจึงจะได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างแท้จริง  การทำงานอย่างขอไปทีตามหนทางที่มนุษย์ทำสิ่งทั้งหลาย เป็นการสุกเอาเผากิน การยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเท่านั้นที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม  และเมื่อเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของตน นี่ไม่ใช่การสำแดงความจงรักภักดีหรอกหรือ?  นี่คือการสำแดงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักพักดี  เฉพาะเมื่อเจ้ามีสำนึกแห่งความรับผิดชอบนี้ ปณิธานกับความปรารถนานี้ และการสำแดงความจงรักภักดีต่อหน้าที่นี้ที่ยวเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่ของเจ้าเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงมองเจ้าด้วยความโปรดปรานและความเห็นชอบในตัวเจ้า  หากเจ้าไม่มีแม้แต่สำนึกแห่งความรับผิดชอบนี้ พระเจ้าก็จะทรงปฏิบัติต่อเจ้าประหนึ่งคนเกียจคร้าน คนหัวทึบ และจะทรงดูหมิ่นเจ้า  จากมุมมองของมนุษย์ นั่นหมายถึงการไม่เคารพเจ้า ไม่ถือจริงจังกับเจ้า และดูแคลนเจ้า  มันก็เหมือนกับว่า  หากเจ้าได้ติดต่อกับใครบางคนมาระยะหนึ่งแล้ว  และเจ้าเห็นพวกเขาพูดจาเลื่อนลอย  และพูดจาเพ้อฝันไปเรื่อย  และเจ้าสังเกตว่าพวกเขาชอบโอ้อวดและพูดจาใหญ่โต  และพวกเขาไม่น่าเชื่อถือ—เจ้าจะเคารพพวกเขาหรือไม่?  เจ้าจะกล้ามอบหมายงานใดๆ ให้พวกเขาหรือไม่?  บางทีพวกเขาอาจจะทำให้งานที่เจ้ามอบหมายให้พวกเขาล่าช้าเนื่องจากเหตุผลบางอย่าง  และดังนั้นเจ้าก็จะไม่กล้ามอบหมายอะไรให้คนเช่นนั้น  เจ้าจะรังเกียจพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ  และเจ้าจะเสียใจที่เคยคบค้าสมาคมกับพวกเขา  เจ้าจะรู้สึกโล่งใจที่เจ้าไม่ได้มอบหมายอะไรให้พวกเขา  และเจ้าจะคิดว่าถ้าเจ้าได้ทำเช่นนั้น  เจ้าก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต  สมมติว่าเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับใครบางคน  และผ่านการสนทนาและการติดต่อกับพวกเขา  เจ้าเห็นว่าไม่เพียงแต่พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี  แต่พวกเขายังมีสำนึกรับผิดชอบด้วย  และเมื่อเจ้ามอบหมายงานให้พวกเขา  แม้ว่าเจ้าจะเพียงแค่พูดอะไรบางอย่างกับพวกเขาอย่างไม่เป็นทางการ  พวกเขาก็จดจำมันไว้ในใจ  และพวกเขาคิดหาวิธีที่จะจัดการงานนั้นให้ดีเพื่อสนองเจ้า  และหากพวกเขาจัดการงานที่เจ้ามอบให้พวกเขาได้ไม่ดี  พวกเขาก็รู้สึกอับอายที่จะพบเจ้าในภายหลัง—นี่คือคนที่มีสำนึกรับผิดชอบ  ตราบใดที่พวกเขาได้รับคำสั่งหรือได้รับมอบหมายบางสิ่ง—ไม่ว่าจะโดยผู้นำ  คนทำงาน  หรือเบื้องบนก็ตาม—ผู้คนที่มีสำนึกรับผิดชอบจะคิดเสมอว่า  “ในเมื่อพวกเขาเห็นความสำคัญของฉันถึงเพียงนี้  ฉันต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีและไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง”  เจ้าจะไม่รู้สึกสบายใจที่จะมอบหมายงานให้คนเช่นนี้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลหรอกหรือ?  คนที่เจ้าสามารถมอบหมายงานให้ได้นั้นย่อมเป็นคนที่เจ้ามองในทางที่ดีและไว้วางใจอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หากพวกเขาได้จัดการงานหลายอย่างให้เจ้าและปฏิบัติงานทั้งหมดอย่างมีมโนธรรมยิ่ง  และเป็นไปตามข้อกำหนดของเจ้าอย่างสมบูรณ์  เจ้าก็จะคิดว่าพวกเขาน่าไว้วางใจ  ในใจของเจ้า  เจ้าจะชื่นชมและให้เกียรติพวกเขาอย่างแท้จริง  ผู้คนเต็มใจที่จะคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้  ไม่ต้องพูดถึงพระเจ้าเลย  พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงเต็มพระทัยที่จะมอบหมายงานของคริสตจักรและหน้าที่ที่มนุษย์มีพันธะต้องทำให้แก่คนที่ไม่น่าไว้วางใจหรือไม่?  (ไม่  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น)  เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายงานชิ้นหนึ่งของคริสตจักรให้ใครบางคน  ความคาดหวังของพระเจ้าต่อพวกเขาคืออะไร?  ประการแรก  พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเขาจะขยันหมั่นเพียรและรับผิดชอบ  ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่องานชิ้นนี้เหมือนเป็นเรื่องใหญ่และจัดการตามนั้น  และทำมันให้ดี  ประการที่สอง  พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ควรค่าแก่ความไว้วางใจ  ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด  และไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  สำนึกรับผิดชอบของพวกเขาก็ไม่สั่นคลอน  และความซื่อตรงของพวกเขาก็ยืนหยัดต่อการทดสอบได้  หากพวกเขาเป็นคนที่น่าไว้วางใจ  พระเจ้าก็จะทรงวางพระทัย  และพระองค์จะไม่ทรงกำกับดูแลหรือติดตามเรื่องนี้อีกต่อไป  นี่เป็นเพราะในพระทัยของพระองค์  พระองค์ทรงไว้วางพระทัยพวกเขา  และพวกเขาย่อมจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างแน่นอนโดยไม่มีอะไรผิดพลาด  เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายงานให้ใครบางคน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงหวังไว้หรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  ถ้าเช่นนั้น  เมื่อเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว  เจ้าก็ควรจะรู้ในใจของเจ้าว่าจะกระทำอย่างไรเพื่อที่จะเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า  จะทำอย่างไรจึงจะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้าและได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้า  หากเจ้าสามารถมองเห็นการสำแดงและพฤติกรรมของเจ้าเอง  และท่าทีที่เจ้าใช้ปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าได้อย่างชัดเจน  หากเจ้ามีความตระหนักรู้ในตนเอง  และเจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นอะไร  เช่นนั้นแล้วมันจะไม่ไร้เหตุผลหรอกหรือที่เจ้าจะเรียกร้องให้พระเจ้าทรงมองเจ้าในทางที่ดี  ทรงแสดงพระคุณแก่เจ้า  หรือทรงปฏิบัติต่อเจ้าเป็นพิเศษ?  (ใช่  ไร้เหตุผล)  แม้แต่เจ้าเองก็ยังคิดถึงตัวเองน้อยมาก  แม้แต่เจ้าก็ยังดูถูกตัวเอง  แต่เจ้ากลับเรียกร้องให้พระเจ้าทรงมองเจ้าด้วยความโปรดปราน—นี่ไม่สมเหตุสมผล  ดังนั้น  หากเจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงมองเจ้าในทางที่ดี  เจ้าก็ควรทำตัวเองให้น่าไว้วางใจในสายตาของคนอื่นเป็นอย่างน้อย  หากเจ้าต้องการให้คนอื่นไว้วางใจเจ้า  มองเจ้าในทางที่ดี  ยกย่องเจ้า  เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องมีเกียรติ  มีสำนึกรับผิดชอบ  รักษาสัจจะ  และน่าไว้วางใจ  ยิ่งไปกว่านั้น  เจ้าต้องมาเป็นผู้ที่ขยันหมั่นเพียร  รับผิดชอบ  และจงรักภักดีต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะลุล่วงข้อกำหนดของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าโดยแก่นแท้แล้ว  แล้วก็จะมีความหวังที่เจ้าจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่  จะมี)  การบรรลุสิ่งนี้ยากหรือไม่?  (ไม่)  แม้แต่ผู้คนก็ยังต้องการหาคนที่น่าเชื่อถือมาจัดการงานและคบค้าสมาคมด้วย  ดังนั้นมันจะเกินไปหรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงขอให้ผู้คนทำหน้าที่ของตนให้ดี  และที่พระองค์จะทรงมีข้อกำหนดเล็กๆ น้อยๆ นี้ต่อพวกเขา?  (ไม่  ไม่เกินไป)  ไม่เกินไปเลยแม้แต่น้อย  นี่ไม่ใช่การทำให้ผู้คนลำบาก  แต่กลับเป็นสิ่งที่ถูกควรอย่างยิ่ง  เพียงแต่ผู้คนไม่มีใจที่จะทำเช่นนี้  พวกเขาไม่ใคร่ครวญถึงพระดำริของพระเจ้าหรือไม่ซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการเรียกร้องต่อพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  โดยกล่าวว่า  “พระองค์ต้องอวยพรข้าพระองค์!  พระองค์ต้องแสดงพระคุณแก่ข้าพระองค์!  พระองค์ต้องทรงนำข้าพระองค์!”  ถ้าเช่นนั้น  สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่คืออะไร?  เจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้าตามมโนธรรมและสำนึกของเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  เจ้าสามารถขยันหมั่นเพียร  รับผิดชอบ  และจงรักภักดีอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  นี่คือเงื่อนไขขั้นต่ำสุดที่เจ้าต้องเป็นไปตามเพื่อให้พระเจ้าทรงมองเจ้าด้วยความโปรดปราน  ผู้คนควรจะพากเพียรไปในทิศทางนี้ไม่ใช่หรือ?  ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า  เจ้าก็ต้องมุ่งมั่นไปสู่ความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้า—ผู้คนควรจะพากเพียรไปในทิศทางนี้  ผู้คนต้องพากเพียรในทิศทางที่ถูกต้อง  ด้วยวิธีนั้น  การแสวงหาที่จะสนองพระเจ้าของพวกเขาก็จะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป

ในใจของผู้นำเทียมเท็จ  พวกเขามีแนวคิดเรื่องการสนองพระทัยพระเจ้าในการที่พวกเขาเชื่อในพระองค์หรือไม่?  พวกเขามีท่าทีใดๆ หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  พวกเขามีเพียงท่าทีของการใช้ชีวิตไปวันๆ  และพวกเขาก็ปฏิบัติต่อพระเจ้าในแบบเดียวกัน  ในลักษณะที่ไม่เคารพยำเกรงและเหยียดหยามอย่างไม่น่าเชื่อ  ท่าทีประเภทนี้เป็นการนำความอัปยศมาสู่พระองค์และลบหลู่พระองค์อย่างร้ายแรง  และพระเจ้าทรงชิงชังการนี้  พระเจ้าประทานชีวิตและทุกสิ่งที่บุคคลพึงมีแก่พวกเขา  แต่ท่าทีของพวกเขาต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  ต่อการจัดการเตรียมการที่พระเจ้าทรงมีให้ชีวิตของพวกเขา  ต่อพระบัญชาและพระราชกิจของพระเจ้า  และต่อหน้าที่ของพวกเขาเอง  กลับเป็นท่าทีของการดูถูกและเหยียดหยาม  “เหยียดหยาม” หมายความว่าอะไร?  มันหมายถึงการต้องการใช้ชีวิตไปวันๆ  และไม่ใส่ใจอะไรอย่างจริงจัง  พระเจ้าทรงชิงชังท่าทีของพวกเขาเช่นนี้อย่างที่สุด  และนั่นคือเหตุผลที่พระองค์จะไม่ทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดอย่างแน่นอน  สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจในที่นี้คืออะไร?  คือพวกเจ้าต้องไม่เป็นคนประเภทนี้  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำหรือไม่  หรือว่าเจ้ามีความทะเยอทะยานและความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นผู้นำหรือไม่  เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะประพฤติปฏิบัติตนก่อน  และต้องไม่เป็นคนเกียจคร้าน  คนเสเพล  หรือคนเลวทรามอย่างเด็ดขาด  ในการประพฤติปฏิบัติของเจ้า  เจ้าต้องมีท่าทีที่เที่ยงตรง  มีเกียรติ  และมีสำนึกรับผิดชอบ—นี่คือขั้นต่ำที่สุด  บนรากฐานนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าและทำให้พระบัญชาของพระองค์สำเร็จลุล่วงได้  หากเจ้าไม่มีแม้แต่รากฐานเล็กน้อยนี้  เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดถึง

3 เมษายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (7)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (9)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger