หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (7)
ประการที่เจ็ด: จัดสรรและใช้ประโยชน์จากผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา เพื่อนำแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ภาคที่สอง)
ในการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้ว มีการเสวนาถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่เจ็ดของผู้นำและคนทำงาน ได้แก่ “จัดสรรและใช้ประโยชน์จากผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา เพื่อนำแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” พวกเราสามัคคีธรรมกันถึงหน้าที่รับผิดชอบนี้ในสามแง่มุมหลัก ทั้งสามแง่มุมนี้มีอะไรบ้าง? (แง่มุมหนึ่งคือการใช้ผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา อีกแง่มุมหนึ่งคือการใช้ผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของจุดแข็งของพวกเขา และอีกแง่มุมหนึ่งคือวิธีปฏิบัติต่อและใช้ประโยชน์จากคนมีลักษณะเฉพาะบางประการ) โดยพื้นฐานแล้วนี่คือทั้งสามแง่มุม เมื่อพิจารณาทั้งสามแง่มุมนี้แล้ว หลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการใช้ผู้คนนั้นเป็นไปเพื่อนำแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดใช่หรือไม่? (ใช่) หลักธรรมนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่? เป็นธรรมต่อผู้คนหรือไม่? (เป็นธรรม) ส่วนคนโง่ที่สติปัญญาบกพร่องนั้น พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย และไม่สามารถทำหน้าที่ได้แม้เพียงเล็กน้อย หากเจ้ามอบหมายงานให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นงานในด้านวิชาชีพ ด้านเทคนิค หรือในแง่ของการลงแรง พวกเขาก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ คนเช่นนี้จะนำมาใช้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด แม้แต่จะให้ทำงานรับใช้ก็ไม่ได้ นี่คือในแง่ของสติปัญญา ในแง่ของความเป็นมนุษย์นั้น สำหรับคนที่มีความเป็นมนุษย์ไม่ดีและเป็นคนชั่ว แม้พวกเขาจะสามารถทำงานบางอย่างและทำหน้าที่บางอย่างได้ แต่เพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาชั่วร้ายเกินไป พวกเขาย่อมจะก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวางในการทำหน้าที่ของตน นำไปสู่การได้ไม่คุ้มเสีย ไม่สามารถทำอะไรให้ดีได้ คนเช่นนี้ไม่เหมาะกับการทำหน้าที่และนำมาใช้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากมีคนที่มีจุดแข็งบางประการ ตราบใดที่พวกเขามีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขทั้งหมดที่จำเป็นต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า—บนพื้นฐานของการมีความเป็นมนุษย์ที่ได้มาตรฐาน—ก็อาจจะจัดสรรและใช้พวกเขาอย่างมีเหตุผลได้ ครั้งที่แล้ว พวกเรายังได้สามัคคีธรรมถึงวิธีปฏิบัติต่อและใช้ประโยชน์จากคนมีลักษณะเฉพาะบางประเภทด้วย ประเภทแรกคือคนจำพวกที่เหมือนยูดาส ซึ่งเป็นคนขลาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากความขลาดเป็นอย่างยิ่งของพวกเขาแล้ว ทันทีที่พวกเขาถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม ก็มีโอกาสเต็มร้อยที่พวกเขาจะกลายเป็นยูดาส หากพวกเขาได้รับมอบหมายงานสำคัญ เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น พวกเขาก็จะทรยศทุกสิ่ง คนเหล่านี้เป็นบุคคลอันตรายมิใช่หรือ? ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่คล้ายกับผู้ไม่เชื่อ ซึ่งพวกเราเรียกว่ามิตรสหายของคริสตจักร คนเหล่านี้ดูเหมือนจะเชื่ออยู่ในหัวใจว่ามีชายชราบนท้องฟ้า แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่ พระเจ้าอยู่ที่ไหน หรือว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่ของพระองค์แล้วจริงหรือไม่ มักจะสงสัยในการดำรงอยู่ของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้เชื่อและติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้น คนเช่นนี้จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ พวกเขาไม่เหมาะกับการทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า แม้แต่คนที่เชื่ออย่างแท้จริงก็ไม่จำเป็นว่าจะสามารถทำหน้าที่ของตนในลักษณะที่ได้มาตรฐาน ไม่ต้องพูดถึงผู้ไม่เชื่อหรือมิตรสหายของคริสตจักรเลย! คนอีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่ถูกปลดออก ซึ่งกลุ่มนี้ยังแบ่งออกเป็นหลากหลายกรณีอีกด้วย
เนื้อหาของการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้วถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่เจ็ดของผู้นำและคนทำงานนั้นโดยพื้นฐานแล้วครอบคลุมสามประเด็นหลักเหล่านี้ ประเด็นหนึ่งคือการใช้ผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา อีกประเด็นหนึ่งคือการใช้ผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผลบนพื้นฐานของจุดแข็งของพวกเขา และอีกประเด็นหนึ่งคือวิธีปฏิบัติต่อและใช้ประโยชน์จากคนมีลักษณะพิเศษบางประการ ทั้งสามประเด็นหลักนี้ได้รับการสามัคคีธรรมบนพื้นฐานของหลากหลายแง่มุมที่กล่าวถึงในหน้าที่รับผิดชอบประการที่เจ็ด และหลักธรรมทั้งหมดก็ได้รับการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนแล้ว บางคนกล่าวว่า “แม้ว่าหลักธรรมจะได้รับการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนแล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เจาะจงบางเรื่องและสถานการณ์เฉพาะบางอย่าง พวกเราก็ยังไม่รู้วิธีที่จะนำหลักธรรมเหล่านี้ไปใช้ ไม่รู้วิธีปฏิบัติต่อผู้คน หรือวิธีส่งเสริมและใช้คนแต่ละคน พวกเรายังคงสับสนอยู่เป็นส่วนใหญ่” ปัญหาเช่นนี้มีอยู่หรือไม่? (มี) ปัญหานี้ควรได้รับการแก้ไขอย่างไร? ข้อพิจารณาแรกในการส่งเสริมและใช้ผู้คนคือความจำเป็นของงานในพระนิเวศของพระเจ้า ข้อพิจารณาที่สองคือผลกระทบของการใช้คนคนหนึ่งต่องานในพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน หากความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งมีข้อบกพร่อง แต่การใช้เขามีประโยชน์มากกว่าโทษต่องานในพระนิเวศของพระเจ้า คนเช่นนั้นก็สามารถนำมาใช้ชั่วคราวได้จนกว่าจะพบคนที่เหมาะสมกว่า หากการใช้คนคนนี้ให้ผลที่เป็นโทษมากกว่าคุณ ได้ไม่คุ้มเสีย นำไปสู่ความเสียหายและความล้มเหลวในงานของคริสตจักรเท่านั้น คนเช่นนั้นก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเด็ดขาด ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้ที่เหมาะสม นี่คือหลักธรรมของการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียที่ต้องเข้าใจเป็นอันดับแรก และยังเป็นหลักธรรมสำหรับการใช้คนแบบชั่วคราวอีกด้วย เมื่อไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมได้และไม่ชัดเจนว่าใครอาจจะดีกว่ากัน เมื่อไม่ประจักษ์ชัดว่าใครเหมาะสมกับงานอย่างแท้จริงและทุกคนก็ดูธรรมดาเหมือนกัน เช่นนั้นแล้วควรทำอย่างไร? ทางเลือกเดียวคือหาคนที่ค่อนข้างมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมาสองคน นั่นคือคนที่เข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ เพื่อร่วมมือกันทำงาน ขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ของตน ควรมีการสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขามากขึ้น และควรสังเกตและทำความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขา ซึ่งจะทำให้สามารถตัดสินได้ว่าใครมีขีดความสามารถที่ค่อนข้างดีกว่ากัน ซึ่งจะทำให้การหาผู้ที่เหมาะสมง่ายขึ้น ไม่ว่าจะจัดแจงให้ใครทำหน้าที่ใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับขีดความสามารถ จุดแข็ง และลักษณะนิสัยของพวกเขา นี่เป็นสิ่งจำเป็น หากไม่สามารถมองแง่มุมเหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่งเหล่านี้และไม่เข้าใจว่าคนคนนั้นมีจุดแข็งอะไร ก็ควรจะมอบหมายหน้าที่ง่ายๆ ให้เขาก่อน หรือให้ทำงานลงแรงบางอย่าง หรือจัดแจงเตรียมการให้เขาไปสำรวจเพื่อหาคนรับข่าวประเสริฐสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ หลังจากช่วงทดลองงาน การติดตามและการสังเกตการณ์เพิ่มเติมจะทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ของเขาได้อย่างถูกต้องและง่ายต่อการตัดสินใจเลือกหน้าที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา หากขีดความสามารถของเขาต่ำเกินไปและขาดจุดแข็ง การมอบหมายงานที่ต้องใช้แรงกายบางอย่างก็เพียงพอแล้ว ผู้นำและคนทำงานต้องอาศัยแหล่งต่างๆ มาทำความเข้าใจผู้ดูแลงานสำคัญๆ ผู้อำนวยการข่าวประเสริฐ ผู้นำทีมทุกคน ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภาพยนตร์ และอื่นๆ และเฝ้าสังเกตและตรวจสอบผู้คนเหล่านี้ให้มากขึ้นเสียก่อน จึงจะมั่นใจในตัวพวกเขาได้ ด้วยการมอบหมายหน้าที่ให้ผู้คนอย่างรอบคอบเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะแน่ใจได้ว่าการจัดแจงต่างๆ เป็นไปอย่างเหมาะควร และผู้คนจะมีประสิทธิผลในหน้าที่ของตน บางคนกล่าวว่า “แม้กระทั่งผู้ไม่มีความเชื่อยังบอกว่า ‘ใช้คนอย่าสงสัย ถ้าสงสัยก็อย่าใช้’ พระนิเวศของพระเจ้าช่างระแวงถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? พวกเขาเป็นผู้เชื่อกันทุกคน จะเป็นคนไม่ดีได้ถึงขนาดไหน? พวกเขาล้วนเป็นคนดีไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมพระนิเวศของพระเจ้าต้องทำความเข้าใจพวกเขา กำกับดูแล และเฝ้าสังเกตพวกเขา?” คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่? มีปัญหาหรือไม่? (มี) การทำความเข้าใจใครสักคน เฝ้าสังเกตพวกเขาในเชิงลึก และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างใกล้ชิด ใช่การปฏิบัติตามหลักธรรมหรือไม่? เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมทุกประการ ปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใด? (หน้าที่รับผิดชอบประการที่สี่ของผู้นำและคนทำงาน ได้แก่ “คอยติดตามสภาวการณ์ของบรรดาผู้กำกับดูแลงานแต่ละประเภทกับบุคลากรที่รับผิดชอบงานสำคัญต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนหน้าที่หรือปลดพวกเขาอย่างทันท่วงทีตามความจำเป็น เพื่อป้องกันหรือบรรเทาความสูญเสียที่เกิดจากการใช้ผู้คนที่ไม่เหมาะสม และเพื่อรับประกันประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของงานอย่างราบรื่น”) นี่เป็นจุดอ้างอิงที่ดี แต่สาเหตุที่แท้จริงของการทำเช่นนี้คืออะไร? นี่เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม แม้ทุกวันนี้จะมีผู้คนมากมายทำหน้าที่ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง น้อยคนนักที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงขณะทำหน้าที่ของตน สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ยังคงไม่มีหลักธรรมในหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขายังคงไม่ใช่ผู้คนที่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาเพียงกล่าวอ้างเท่านั้นว่าพวกเขารักความจริง และเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริงและเต็มใจเพียรพยายามเพื่อความจริง แต่ก็ยังคงไม่รู้กันว่าความแน่วแน่ของพวกเขาจะคงอยู่นานเท่าใด ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีแนวโน้มที่จะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาเมื่อใดหรือในที่ใดก็ได้ พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกรับผิดชอบใดๆ ในหน้าที่ของตน มักจะทำตัวสุกเอาเผากิน กระทำการตามที่ตนปรารถนาและถึงกับไม่สามารถยอมรับการตัดแต่งได้ ทันทีที่พวกเขาคิดลบและอ่อนแอ พวกเขาก็โน้มเอียงที่จะทิ้งงานของตน—นี่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเป็นเรื่องปกติที่สุด นี่คือหนทางในการประพฤติตนของทุกคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และดังนั้น เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับความจริง พวกเขาจึงไม่น่าเชื่อถือและไม่น่าไว้วางใจ ที่ว่าพวกเขาไม่น่าไว้วางใจหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเมื่อพวกเขาเผชิญความลำบากยากเย็นหรือความถดถอย พวกเขามีแนวโน้มที่จะล้มลงและกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ ใครบางคนที่คิดลบและอ่อนแอบ่อยๆ คือคนที่น่าไว้วางใจหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน แต่ผู้คนที่เข้าใจความจริงย่อมต่างออกไป ผู้คนที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริงย่อมมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและหัวใจที่นบนอบพระเจ้า เฉพาะผู้คนที่มีหัวใจยำเกรงพระเจ้าเท่านั้นที่ไว้ใจได้ ผู้คนที่ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าย่อมไว้ใจไม่ได้ ควรรับมือผู้คนที่ไร้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอย่างไร? แน่นอนว่าพวกเขาควรได้รับความช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่เปี่ยมรัก เวลาที่พวกเขาทำหน้าที่ของตนก็ควรตามดูพวกเขามากขึ้น ช่วยเหลือและสอนพวกเขาให้มากขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะรับรองได้ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิผล และจุดมุ่งหมายของการทำเช่นนี้คืออะไร? จุดมุ่งหมายหลักคือการค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รองจากนี้คือเพื่อระบุชี้ปัญหาอย่างทันท่วงที เพื่อจัดเตรียมให้พวกเขา เกื้อหนุนพวกเขา หรือตัดแต่งพวกเขาอย่างทันท่วงที พลางแก้ไขความเบี่ยงเบนของพวกเขาให้ถูกต้อง ชดเชยจุดอ่อนและความขาดตกบกพร่องของพวกเขา นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้คน นี่ไม่มีความมุ่งร้ายอยู่เลย การกำกับดูแลผู้คน เฝ้าสังเกตพวกเขา และพยายามทำความเข้าใจพวกเขา—ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อช่วยพวกเขาให้เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า เพื่อทำให้พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามที่พระเจ้าทรงขอและตามหลักธรรม หยุดยั้งไม่ให้พวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางใดๆ และหยุดยั้งพวกเขาจากการทำงานที่เปล่าประโยชน์ จุดมุ่งหมายที่ทำเช่นนี้ล้วนเป็นเรื่องของการรับผิดชอบพวกเขาและรับผิดชอบงานในพระนิเวศของพระเจ้าทั้งสิ้น ไม่มีความมุ่งร้ายในการนี้ สมมติว่ามีคนกล่าวว่า “นี่คือหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คน นี่คือวิธีการที่พวกเขาใช้ ฉันต้องระวังตัวนับจากนี้ไป พระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเลย มีคนคอยจับตามองพวกเราอยู่เสมอ เป็นเรื่องยากที่จะทำหน้าที่!” คำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่? คนประเภทใดที่จะพูดเช่นนี้? (ผู้ไม่เชื่อ) ผู้ไม่เชื่อ คนไร้สาระ และคนที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ—พวกเขามีแนวโน้มที่จะพูดจาเหลวไหลโดยไม่เข้าใจความจริง ปัญหาในที่นี้คืออะไร? นี่ไม่ใช่คำพูดที่ตัดสินและกล่าวโทษงานของคริสตจักรหรอกหรือ? นี่ยังเป็นการตัดสินและกล่าวโทษความจริงและสิ่งที่เป็นบวกอีกด้วย ผู้ที่สามารถพูดเช่นนี้ได้ย่อมเป็นคนเลอะเลือนที่ไม่เข้าใจความจริงอย่างแน่นอน พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ไม่เชื่อที่ไม่รักความจริง
พระนิเวศของพระเจ้ากำกับดูแล เฝ้าสังเกต และพยายามทำความเข้าใจผู้คนที่ทำหน้าที่ พวกเจ้าสามารถยอมรับหลักธรรมข้อนี้แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่? (ได้) หากเจ้าสามารถยอมรับการกำกับดูแล สังเกตการณ์ และการพยายามทำความเข้าใจตัวเจ้าจากพระนิเวศของพระเจ้าได้ ย่อมเป็นเรื่องวิเศษ นี่ย่อมช่วยให้เจ้าทำหน้าที่ของตนลุล่วง สามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐาน และสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ นี่ย่อมช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อเจ้าโดยไม่มีข้อเสียแต่อย่างใด เมื่อเจ้าเข้าใจหลักธรรมข้อนี้แล้ว เจ้าก็ไม่ควรรู้สึกต้านทานหรือระแวดระวังการกำกับดูแลของผู้นำ คนทำงาน และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกต่อไปมิใช่หรือ? แม้บางครั้งจะมีคนพยายามทำความเข้าใจเจ้า เฝ้าสังเกตเจ้า และกำกับดูแลงานของเจ้า แต่นี่ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ตัวบุคคล เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะกิจทั้งหลายที่เป็นของเจ้าในตอนนี้ หน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ และงานใดๆ ที่เจ้าทำไม่ใช่กิจธุระส่วนตัวหรืองานส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเชื่อมโยงกับพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อมีใครสักคนใช้เวลากำกับดูแลหรือเฝ้าสังเกตเจ้าอยู่บ้าง หรือทำความเข้าใจเจ้าอย่างลึกซึ้ง พยายามเปิดใจคุยกับเจ้าและค้นหาว่าสภาวะของเจ้าในช่วงนี้เป็นเช่นใด แม้ท่าทีของพวกเขาจะแข็งกร้าวขึ้นบ้างในบางครั้ง และพวกเขาก็ตัดแต่ง บ่มวินัย และว่ากล่าวเจ้าบ้าง ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเพราะพวกเขามีท่าทีที่ละเอียดรอบคอบและรับผิดชอบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าไม่ควรมีความคิดหรือมีอารมณ์ที่เป็นลบในเรื่องนี้ หากเจ้าสามารถยอมรับได้เมื่อผู้อื่นกำกับดูแล เฝ้าสังเกต และพยายามเข้าใจเจ้า นั่นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าในหัวใจของเจ้า เจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หากเจ้าไม่ยอมรับการที่ผู้คนกำกับดูแล เฝ้าสังเกต และพยายามทำความเข้าใจเจ้า—หากเจ้าปฏิเสธที่จะยอมรับทั้งหมดนี้—เจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้หรือไม่? การพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้านั้นละเอียด ลึกซึ้ง และถูกต้องแม่นยำกว่ายามที่ผู้คนพยายามเข้าใจเจ้า ข้อกำหนดของพระเจ้าก็เจาะจง เข้มงวด และลงลึกยิ่งกว่า ถ้าเจ้าไม่สามารถยอมรับการกำกับดูแลจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ คำกล่าวอ้างของเจ้าที่ว่าเจ้าสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้ย่อมเป็นคำพูดที่ว่างเปล่ามิใช่หรือ? การที่เจ้าจะสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการตรวจสอบของพระเจ้าได้นั้น เจ้าต้องยอมรับการกำกับดูแลจากพระนิเวศของพระเจ้า ผู้นำและคนทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงเสียก่อน บางคนกล่าวว่า “ฉันมีสิทธิมนุษยชน ฉันมีอิสรภาพของฉัน ฉันมีวิธีการทำงานของฉัน การที่ต้องถูกกำกับดูแลและตรวจสอบในทุกสิ่งที่ฉันทำ การใช้ชีวิตแบบนี้ไม่น่าอึดอัดหรอกหรือ? สิทธิมนุษยชนของฉันอยู่ที่ไหน? อิสรภาพของฉันอยู่ที่ไหน?” คำพูดนี้ถูกต้องหรือไม่? สิทธิมนุษยชนและอิสรภาพเป็นความจริงหรือไม่? สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง สิทธิมนุษยชนและอิสรภาพเป็นเพียงวิธีการปฏิบัติต่อผู้คนในสังคมมนุษย์ที่ค่อนข้างมีอารยธรรมและก้าวหน้า แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าและความจริงอยู่เหนือทุกสิ่ง—ไม่สามารถนำมากล่าวในแง่เดียวกันกับ “สิทธิมนุษยชน” และ “อิสรภาพ” ได้ ดังนั้น ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทฤษฎีหรือความรู้อันสูงส่งของโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ แต่ขึ้นอยู่กับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ดังนั้น เมื่อบางคนกล่าวว่าพวกเขาต้องการสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพ นี่สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่? (ไม่สอดคล้อง) ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่สอดคล้องกับหลักธรรมของการทำหน้าที่ เจ้าอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า กำลังทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่ทำงานในสังคมเพื่อหาเงิน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่จำเป็นที่ใครจะต้องยืนหยัดเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของเจ้า สิ่งเช่นนั้นไม่จำเป็น คนส่วนใหญ่มีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและอิสรภาพหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นของความคิดและมุมมองของมนุษย์และไม่สามารถนำมากล่าวในแง่เดียวกันกับความจริงได้ แนวคิดเช่นนี้ใช้ไม่ได้ในพระนิเวศของพระเจ้า การที่ผู้นำกำกับดูแลงานของเจ้าเป็นสิ่งที่ดี ทำไมหรือ? เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขากำลังรับผิดชอบต่องานของคริสตจักร นี่คือหน้าที่ของพวกเขา ความรับผิดชอบของพวกเขา การที่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่มีความสามารถ เป็นผู้นำที่ดี หากเจ้าได้รับอิสรภาพและสิทธิมนุษยชนอย่างสมบูรณ์ และเจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ทำตามความปรารถนาของเจ้า และสุขสำราญกับอิสรภาพและประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ และไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรหรือทำอย่างไร ผู้นำก็ไม่ใส่ใจหรือกำกับดูแล ไม่เคยซักถามเจ้า ไม่ตรวจสอบงานของเจ้า ไม่พูดอะไรเมื่อพบปัญหา และทำได้เพียงแค่เอาใจหรือต่อรองกับเจ้า เขาจะเป็นผู้นำที่ดีหรือไม่? ไม่ใช่อย่างชัดเจน ผู้นำเช่นนั้นกำลังทำร้ายเจ้า เขาตามใจการทำชั่วของเจ้า ปล่อยให้เจ้าฝ่าฝืนหลักธรรมและทำตามใจชอบ—เขากำลังผลักเจ้าไปสู่หลุมไฟ นี่ไม่ใช่ผู้นำที่รับผิดชอบและได้มาตรฐาน ในทางกลับกัน หากผู้นำสามารถกำกับดูแลเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ระบุปัญหาในงานของเจ้าและตักเตือนหรือตำหนิและเปิดโปงเจ้าได้ทันท่วงที และแก้ไขและช่วยเหลือเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาที่ผิดๆ และความเบี่ยงเบนในการทำหน้าที่ของเจ้าได้อย่างทันท่วงที และภายใต้การกำกับดูแล การตำหนิ การจัดเตรียม และความช่วยเหลือของเขา ท่าทีที่ผิดๆ ของเจ้าต่องานของเจ้าก็เปลี่ยนแปลงไป เจ้าสามารถทิ้งมุมมองที่ไร้สาระบางอย่างได้ ความคิดของเจ้าเองและสิ่งที่เกิดจากความมุทะลุก็ค่อยๆ ลดลง และเจ้าสามารถยอมรับถ้อยแถลงและมุมมองที่ถูกต้องและสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงได้อย่างสงบ นี่ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเจ้าหรอกหรือ? ประโยชน์นั้นใหญ่หลวงอย่างแท้จริง
พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงานโดยใช้การกำกับดูแล การสังเกต และการทำความเข้าใจ อะไรคือพื้นฐานของการปฏิบัติต่อผู้คนด้วยวิธีนี้? เหตุใดจึงปฏิบัติต่อผู้คนในลักษณะนี้? นี่ไม่ใช่วิธีการและแนวทางที่เกิดจากหลักธรรมของการจงรักภักดี จริงจัง และรับผิดชอบต่องานของตนหรอกหรือ? (ใช่) หากผู้นำไม่เคยกำกับดูแล สังเกต หรือทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อผู้คนที่ตนรับผิดชอบในการทำหน้าที่ของพวกเขา จะสามารถถือว่าเขาเป็นผู้นำที่จงรักภักดีต่องานของตนได้หรือไม่? ไม่ได้อย่างชัดเจน ผู้นำ คนทำงาน และผู้ดูแลของพวกเจ้าเคยตรวจสอบงานของเจ้าหรือไม่? เคยสอบถามความคืบหน้าในงานของเจ้าหรือไม่? เคยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในงานของเจ้าหรือไม่? เคยแก้ไขข้อบกพร่องหรือความเบี่ยงเบนที่เห็นได้ชัดในงานของเจ้าหรือไม่? เคยให้ความช่วยเหลือ การจัดเตรียม การสนับสนุน หรือการตัดแต่งเกี่ยวกับการสำแดงและการเผยต่างๆ ของความเป็นมนุษย์ของเจ้าและการไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าหรือไม่? หากผู้นำไม่เพียงแต่ไม่เคยให้การชี้แนะสำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ธรรมดาๆ แต่ยังไม่เคยให้การสามัคคีธรรม ความช่วยเหลือ หรือการสนับสนุนสำหรับผู้ที่ทำงานที่สำคัญด้วย—ไม่ต้องพูดถึงการกำกับดูแล การสังเกต หรือการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง—หากปราศจากการสำแดงและการกระทำเหล่านี้ จะสามารถถือว่าผู้นำนี้เป็นผู้นำที่ทำงานที่เป็นรูปธรรมได้หรือไม่? เขาได้มาตรฐานในฐานะผู้นำหรือไม่? (ไม่ได้) บางคนกล่าวว่า “ผู้นำของพวกเราเพียงแค่จัดชุมนุมให้พวกเราสัปดาห์ละสองครั้ง สามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้าเล็กน้อย แล้วก็อ่านสามัคคีธรรมบางส่วนจากเบื้องบน และบางครั้งเขาก็สามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเข้าใจจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขา แต่เขาไม่เคยให้คำแนะนำ การจัดเตรียม หรือความช่วยเหลือใดๆ เกี่ยวกับสภาวะต่างๆ ของพวกเรา ตลอดจนความยุ่งยากที่พวกเราเผชิญขณะทำหน้าที่หรือในการเข้าสู่ชีวิตเลย” จะตัดสินผู้นำคนนี้ว่าอย่างไรดี? (เขาไม่ได้มาตรฐาน เขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ) หากผู้นำไม่ใส่ใจงานของตนเองหรือสภาวะต่างๆ ของผู้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน และไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตน เขาก็ไม่ได้มาตรฐานในฐานะผู้นำ เขาไม่กำกับดูแล สังเกต หรือพยายามทำความเข้าใจใครเลย ทุกครั้ง การสนทนาของเจ้ากับเขาก็เป็นไปทำนองนี้ “ตอนนี้คนคนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” “ฉันกำลังสังเกตเขาอยู่” “คุณสังเกตมานานแค่ไหนแล้ว? คุณคุ้นเคยกับเขาไหม?” “ฉันสังเกตเขามาหนึ่งหรือสองปีแล้ว ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขาสักเท่าไหร่” “แล้วคนนั้นล่ะ?” “ฉันยังไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับเขาสักเท่าไหร่ แต่เขาสามารถสู้ทนความยากลำบากในการทำหน้าที่ของตนได้ มีความตั้งใจแน่วแน่ และเต็มใจที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า” “นั่นเป็นเพียงผิวเผิน แล้วการไล่ตามเสาะหาความจริงของเขาล่ะ?” “ฉันต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยหรือ? งั้นฉันจะไปดูให้” หลังจากที่เขากล่าวว่าจะไปดูให้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอนานอีกเท่าใดจึงจะได้ผล เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ไม่น่าไว้วางใจในงานของเขา
ผู้นำคริสตจักรและผู้ดูแลของพวกเจ้ามีท่าทีที่รับผิดชอบต่องานของพวกเจ้าหรือไม่? พวกเขาเข้าใจและหยั่งถึงสภาวะต่างๆ ในการทำงานของพวกเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่? งานในด้านนี้ได้รับการจัดการอย่างถูกควรแล้วหรือไม่? (ไม่) ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่จัดการด้านนี้อย่างถูกควรเลย ไม่มีใครบรรลุถึงขั้นที่สัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของตน อีกทั้งจริงจังและรับผิดชอบต่องาน ถ้าเช่นนั้น การบรรลุสิ่งนี้ง่ายหรือไม่? ยากหรือไม่? ไม่ยาก เจ้าพอจะมีขีดความสามารถจริง เข้าใจทักษะในสายงานที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของเจ้าจริง และไม่ใช่คนนอกสายงานที่เจ้าทำอยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เพียงต้องยึดปฏิบัติตามวลีหนึ่ง แล้วเจ้าจะสามารถจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนได้ เป็นวลีใดหรือ? “จงใส่ใจ” ถ้าเจ้าใส่ใจสิ่งต่างๆ และใส่ใจผู้คน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถจงรักภักดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเจ้าได้ วลีนี้ปฏิบัติง่ายหรือไม่? เจ้าจะนำไปปฏิบัติได้อย่างไร? นี่ไม่ได้หมายถึงการใช้หูฟัง หรือใช้จิตใจคิด—นี่หมายถึงการใช้หัวใจของเจ้า ถ้าคนคนหนึ่งสามารถใช้หัวใจของตนได้จริง เช่นนั้นแล้วเมื่อดวงตาของพวกเขามองเห็นใครสักคนทำอะไรบางอย่าง กระทำการในหนทางบางอย่าง หรือมีการตอบสนองบางอย่างต่อบางสิ่ง หรือเมื่อหูของพวกเขาได้ยินความคิดเห็นหรือข้อโต้แย้งของบางคน ด้วยการใช้หัวใจของพวกเขาตรึกตรองและใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ ก็ย่อมเกิดแนวคิด ทัศนะ และท่าทีบางอย่างขึ้นในใจของพวกเขา แนวคิด ทัศนะ และท่าทีเหล่านี้จะทำให้พวกเขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง จำเพาะ และถูกต้องในตัวคนหรือเรื่องนั้นๆ พร้อมกันนั้นก็จะทำให้เกิดการตัดสินและหลักการที่เหมาะสมและถูกต้อง เฉพาะเมื่อคนคนหนึ่งมีการสำแดงเหล่านี้ในการใช้หัวใจของตนเท่านั้น จึงจะหมายความว่าพวกเขาจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน แต่ถ้าเจ้าไม่ใส่ใจในสิ่งต่างๆ ถ้าเจ้าขาดหัวใจสำหรับเรื่องนี้ ดวงตาของเจ้าก็จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่เจ้าเห็น และหูของเจ้าก็จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่เจ้าได้ยิน ดวงตาของเจ้าไม่เคยสังเกตผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ไม่สังเกตข้อมูลที่เจ้าพบเจอ ในใจของเจ้า เจ้าจะไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะเสียงและข้อโต้แย้งต่างๆ ที่เจ้าได้ยิน เจ้าจะไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะข้อมูลที่เจ้าได้ยินได้ นี่เปรียบเสมือนการตาบอดทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่ เมื่อใจของคนเราบอด ดวงตาของเขาก็บอดไปด้วย แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เกิดแนวคิด มุมมอง และท่าทีขึ้นมาจากการสังเกตสิ่งต่างๆ ด้วยดวงตาและรับข้อมูลด้วยหู? ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับการใส่ใจในสิ่งต่างๆ และการแสวงหาความจริง หากเจ้าใส่ใจในสิ่งต่างๆ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้รับข้อมูล ไม่ว่าจะเห็นหรือได้ยิน เจ้าก็จะสามารถเกิดมุมมองและได้รับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งหนึ่งได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ใส่ใจสิ่งต่างๆ ข้อมูลที่ได้รับมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ หากเจ้าไม่ใส่ใจที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะหรือมองให้ทะลุปรุโปร่ง เจ้าก็จะไม่ได้รับอะไรเลย กลายเป็นคนไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ คนที่ไม่มีประโยชน์หมายความว่าอย่างไร? หมายถึงคนที่ไม่ใส่ใจในการทำหน้าที่ของตน—เขามีตาและหู แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ คนไร้หัวใจจะไม่สัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของตน และจะไม่สามารถบรรลุถึงการมีท่าทีที่จริงจังและรับผิดชอบต่องานของตนได้
พระนิเวศของพระเจ้าใช้การกำกับดูแลผู้นำและคนทำงานทุกระดับ โดยสังเกตและทำความเข้าใจพวกเขาในระดับลึก โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงงานของคริสตจักรและชี้นำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าโดยเร็วที่สุด ดังนั้น การกำกับดูแลและสังเกตผู้นำและคนทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็นและต้องปฏิบัติด้วยวิธีนี้ ด้วยการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากพบว่าผู้นำและคนทำงานไม่ได้ทำงานจริงใดๆ และพวกเขาถูกจัดการและแก้ไขอย่างทันท่วงที นี่ก็เป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของงานของคริสตจักร การกำกับดูแลผู้นำและคนทำงานเป็นความรับผิดชอบของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และการทำเช่นนั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มที่ เนื่องจากผู้นำและคนทำงานมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม หากพวกเขาไม่ถูกกำกับดูแล นอกจากจะเป็นผลเสียต่อพวกเขาแล้ว ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่องานของคริสตจักรอีกด้วย ภายใต้สถานการณ์ใดที่ผู้นำและคนทำงานไม่จำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแลจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกต่อไป? คือเมื่อผู้นำและคนทำงานเข้าใจความจริงอย่างเต็มที่ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และกระทำการโดยมีหลักธรรม กลายเป็นคนที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมและถูกใช้โดยพระเจ้า ในกรณีเช่นนี้ การกำกับดูแลโดยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่เน้นย้ำเรื่องนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีการรับประกันหรือไม่ว่าคนที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าจะปราศจากข้อผิดพลาดและความเบี่ยงเบนโดยสิ้นเชิง? ไม่จำเป็นเสมอไป ดังนั้น การพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้ายังคงจำเป็น เช่นเดียวกับการกำกับดูแลโดยผู้ที่เข้าใจความจริง การปฏิบัตินี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มที่ เพราะมนุษย์ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การกำกับดูแลเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นให้ผู้นำและคนทำงานรับผิดชอบต่องานของตนและสัตย์ซื่อต่อหน้าที่ของตนได้ หากไม่มีการกำกับดูแล ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ก็จะกระทำการโดยพลการอย่างบุ่มบ่าม และมีท่าทีที่สุกเอาเผากิน—นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม หากเจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และพี่น้องชายหญิงรอบตัวเจ้ามักจะกำกับดูแลและสังเกตเจ้า พยายามทำความเข้าใจว่าเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ สำหรับเจ้าแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ดี หากพวกเขาค้นพบปัญหาเกี่ยวกับเจ้าและเจ้าสามารถแก้ไขได้โดยเร็วที่สุด นี่ก็เป็นประโยชน์ต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า หากพวกเขาค้นพบว่าเจ้าทำความชั่ว และเจ้าแสดงพฤติกรรมชั่วร้ายมากมายเป็นการส่วนตัว และไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแน่นอน พวกเขาก็จะเปิดโปงเจ้าและปลดเจ้าออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะขจัดเสี้ยนหนามสำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และยังช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงการลงโทษที่รุนแรงกว่าได้อีกด้วย การกำกับดูแลเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากเจ้าเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าต้องการการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าต้องการความช่วยเหลือของพวกเขา หากเจ้าเป็นคนชั่ว และเจ้ามีชนักติดหลัง เจ้าก็จะกลัวการถูกกำกับดูแลและพยายามหลีกเลี่ยง นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกคนที่ต่อต้านและรู้สึกรังเกียจต่อการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นมีเรื่องปิดบัง และไม่ใช่คนซื่อสัตย์อย่างแน่นอน ไม่มีใครกลัวการกำกับดูแลมากไปกว่าคนหลอกลวง แล้วผู้นำและคนทำงานควรมีท่าทีอย่างไรต่อการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร? ควรเป็นความคิดลบ การระแวดระวัง การต่อต้าน และความขุ่นเคือง หรือเป็นการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า และการยอมรับอย่างถ่อมใจ? (การยอมรับอย่างถ่อมใจ) การยอมรับอย่างถ่อมใจหมายถึงอะไร? หมายถึงการยอมรับทุกสิ่งจากพระเจ้า การไล่ตามเสาะหาความจริง การมีท่าทีที่ถูกต้อง และไม่ทำตามอารมณ์ชั่ววูบ หากใครบางคนค้นพบปัญหาเกี่ยวกับเจ้าจริงๆ และชี้ให้เจ้าเห็น ช่วยให้เจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะและเข้าใจมัน ช่วยเหลือเจ้าในการแก้ไขปัญหานี้ พวกเขาก็กำลังรับผิดชอบต่อเจ้า และรับผิดชอบต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร นี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ และเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ หากมีผู้ที่มองว่าการกำกับดูแลของคริสตจักรมีต้นกำเนิดมาจากซาตาน และจากเจตนาร้าย พวกเขาก็คือพวกมารและซาตาน ด้วยธรรมชาติเยี่ยงมารเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน หากใครบางคนรักความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาจะสามารถมองว่าสิ่งนี้ทำไปด้วยความรัก มาจากพระเจ้า และพวกเขาจะสามารถยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้าได้ พวกเขาจะไม่ทำตามอารมณ์ชั่ววูบหรือกระทำการโดยหุนหันพลันแล่นอย่างเด็ดขาด และยิ่งไปกว่านั้น การต่อต้าน การระแวดระวัง หรือความสงสัยก็จะไม่มีปรากฏในใจของพวกเขาเลย ท่าทีที่ถูกต้องที่สุดในการปฏิบัติต่อการกำกับดูแลของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคือสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ การกำกับดูแล การสังเกต หรือการแก้ไข—แม้กระทั่งการตัดแต่ง—ที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า เจ้าควรยอมรับจากพระเจ้า อย่าทำตามอารมณ์ชั่ววูบ การทำตามอารมณ์ชั่ววูบมาจากมารร้าย มาจากซาตาน ไม่ได้มาจากพระเจ้า และไม่ใช่ท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อความจริง
นั่นคือทั้งหมดที่พวกเราจะเพิ่มเติมและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่เจ็ดของผู้นำและคนทำงาน แล้วนี่หมายความว่าหน้าที่รับผิดชอบนี้ได้รับการสามัคคีธรรมอย่างครบถ้วนแล้วโดยไม่มีเนื้อหาที่เจาะจงเพิ่มเติมอีกหรือไม่? ไม่ใช่ ทุกหน้าที่รับผิดชอบยังคงมีเนื้อหาที่เจาะจงและมีรายละเอียดอีกมาก สิ่งที่เราสามัคคีธรรมไปนั้นเป็นหลักธรรมที่ครอบคลุม ส่วนที่เหลือ วิธีการนำรายละเอียดที่เจาะจงไปปฏิบัติ และการปฏิบัติและประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของพวกเจ้าเองผ่านประสบการณ์ หากพวกเจ้ายังคงมองไม่ทะลุหลักธรรมเหล่านี้หรือไม่รู้วิธีประยุกต์ใช้ ก็จงแสวงหาและสามัคคีธรรมร่วมกัน หากการสามัคคีธรรมร่วมกันยังคงไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ ก็จงสอบถามผู้ที่อยู่ระดับสูงกว่าเจ้า กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับคนประเภทใดหรือการตัดสินใจว่าจะส่งเสริมและใช้ใคร ทั้งหมดต้องยึดมั่นในหลักธรรม สำหรับคนที่มีความสามารถบางคน ในสถานการณ์ที่ไม่มีใครสามารถมองทะลุหรือเข้าใจพวกเขาได้อย่างเต็มที่ ก็สามารถส่งเสริมและใช้พวกเขาในเบื้องต้นได้ตามความจำเป็นของงานของคริสตจักร—อย่าทำให้งานล่าช้า และอย่าทำให้การบ่มเพาะคนล่าช้า นี่คือกุญแจสำคัญ บางคนถามว่า “จะทำอย่างไรถ้าพวกเขาทำงานพังหลังจากถูกนำมาใช้แล้ว? ใครจะรับผิดชอบ?” เมื่อเจ้าใช้ใครสักคน เหมือนกับว่าเจ้าวางเขาไว้บนเกาะร้างโดยไม่มีทางที่ใครจะติดต่อเขาได้หรือ? จริงๆ แล้วไม่มีคนอื่นอีกมากรอบตัวเขาที่ทำงานที่เจาะจงอยู่หรือ? มีวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ทั้งหมด กล่าวคือ การกำกับดูแล การสังเกต และการทำความเข้าใจพวกเขา และหากเงื่อนไขเอื้ออำนวย ก็ผ่านการติดต่ออย่างใกล้ชิด การติดต่ออย่างใกล้ชิดหมายความว่าอย่างไรกันแน่? หมายถึงการทำงานร่วมกับพวกเขา กระบวนการทำงานคือกระบวนการทำความเข้าใจพวกเขา เจ้าจะไม่ค่อยๆ เข้าใจเขาผ่านการติดต่อแบบนี้หรอกหรือ? หากเจ้ามีโอกาสที่จะติดต่อแต่ไม่ทำ และเพียงแค่โทรศัพท์ไปถามคำถามสองสามข้อแล้วก็ปล่อยไว้เช่นนั้น ย่อมไม่มีทางเข้าใจพวกเขาได้ เจ้าต้องติดต่อกับคนที่เจ้าสามารถติดต่อได้เพื่อแก้ไขปัญหา ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องไม่เกียจคร้านในงานของตน แล้วถ้าเจ้าต้องการสังเกตและทำความเข้าใจใครสักคน เจ้าควรทำอย่างไร? (โดยการติดต่อกับเขา) ใช่ไหม? กุญแจสำคัญคือการใส่ใจ! ข้อมูลที่พวกเจ้าสามารถเก็บไว้ในใจได้นั้นเปรียบได้กับลิงหักข้าวโพด—หักไปเรื่อยๆ ทำหล่นไปเรื่อยๆ และในท้ายที่สุด ก็เหลือข้าวโพดเพียงฝักเดียว ทำให้ความพยายามทั้งหมดไร้ประโยชน์ เมื่อฟังคำเทศนาจบ พวกเจ้าจำเนื้อหาที่สามัคคีธรรมไปก่อนหน้านี้ไม่ได้ นี่เป็นเพราะเหตุใด? (พวกเราไม่ใส่ใจ) โดยปกติแล้วพวกเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติความจริง ดังนั้นใจของพวกเจ้าจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ เกี่ยวกับวิธีที่จะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง วิธีที่จะรู้จักตนเอง และวิธีที่จะมองให้ทะลุแก่นแท้ของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ด้วยความจริง พวกเจ้าไม่มีการเข้าสู่ใดๆ เลย ดังนั้นเรื่องเหล่านี้จึงไม่มีพื้นฐานในใจของพวกเจ้า สำหรับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง พวกเจ้ามักจะรู้สึกสับสนอยู่เสมอ ตอนนี้ พวกเจ้ายังคงเข้าร่วมการชุมนุมทุกสัปดาห์เพื่อฟังคำเทศนา ถ้าพวกเจ้าไม่ฟังคำเทศนา ความเชื่ออันน้อยนิดในพระเจ้าภายในใจของพวกเจ้าจะไม่จางหายไป หายไปทีละน้อยหรอกหรือ? นี่เป็นสัญญาณอันตราย! พวกเจ้าจะใส่ใจได้หรือไม่? เราได้บอกรายละเอียดทั้งหมดแก่พวกเจ้าแล้ว หากเจ้ามีใจอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถทำได้ หากเจ้าไม่มีใจ ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไร เจ้าก็จะไม่เข้าใจ นั่นคือทั้งหมดสำหรับการสามัคคีธรรมของพวกเราในหัวข้อนี้
ประการที่แปด: รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที (ภาคที่หนึ่ง)
ผู้นำและคนทำงานต้องระบุและแก้ไขความลำบากยากเย็นอย่างทันท่วงที
วันนี้ พวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที” และในแง่นี้ พวกเราจะเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบข้อนี้ การรายงานและการแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที—นี่เป็นส่วนหนึ่งของงานและหน้าที่ของผู้นำและคนทำงานมิใช่หรือ? (ใช่) เป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้นำและคนทำงานจะต้องเผชิญกับปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนบางอย่างในงานของตน หรือพบเจอกับความลำบากยากเย็นที่อยู่นอกขอบเขตงานของคริสตจักร หรือพบเจอกับกรณีพิเศษที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง จนไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร หรืออาจเป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถที่ย่ำแย่ จึงไม่สามารถจับหลักธรรมได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และต้องพบเจอกับความสับสนและความลำบากยากเย็นที่แก้ไขได้ยากบางอย่างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความสับสนและความยุ่ลำบากยากเย็นเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาการใช้บุคลากร ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงาน ปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก ปัญหาที่เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน การขัดขวางและการก่อกวนที่เกิดจากคนชั่ว ตลอดจนปัญหาการชำระออกไปหรือการขับไล่ผู้คน และอื่นๆ สำหรับปัญหาทั้งหมดนี้ พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดและข้อบังคับที่เจาะจง หรือมีคำสั่งสอนด้วยวาจาบางอย่าง นอกเหนือจากข้อบังคับที่เจาะจงเหล่านี้แล้ว ก็ย่อมต้องมีกรณีพิเศษบางอย่างที่ไม่ได้กล่าวถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในส่วนที่เกี่ยวกับกรณีพิเศษเหล่านี้ ผู้นำบางคนสามารถจัดการได้โดยยึดมั่นในหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด เช่น การปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า การรับประกันความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง และการรักษางานของคริสตจักรให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น—และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังทำได้ดีมากอีกด้วย—ในขณะที่ผู้นำบางคนกลับทำไม่ได้ แล้วควรทำอย่างไรกับปัญหาที่จัดการไม่ได้? ผู้นำและคนทำงานบางคนทำงานอย่างสับสน ไม่สามารถระบุปัญหาได้ และแม้ว่าพวกเขาจะระบุได้ พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาเพียงแต่ทำไปอย่างสุกเอาเผากินโดยไม่แสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบน เพียงแค่บอกกับพี่น้องชายหญิงว่า “แก้ไขกันเองเถอะ จงพึ่งพาพระเจ้าและมองดูพระเจ้าเพื่อหาทางแก้ไข” แล้วพวกเขาก็ถือว่าเรื่องจบ ไม่ว่าจะมีปัญหาสะสมอยู่มากเพียงใด พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่รายงานขึ้นไปเบื้องบนหรือแสวงหาหนทางแก้ไข อาจเป็นเพราะกลัวว่าเบื้องบนจะมองทะลุตัวตนของพวกเขาและพวกเขาจะเสียหน้า นอกจากนี้ยังมีผู้นำและคนทำงานบางคนที่ไม่เคยรายงานปัญหาต่อเบื้องบนเลย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าทำไม การรายงานขึ้นไปเบื้องบนไม่จำเป็นต้องหมายถึงการรายงานโดยตรงต่อเบื้องบน เราสามารถรายงานต่อผู้นำของเขตหรือภาคก่อนได้อย่างแน่นอน และหากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าก็สามารถขอให้ผู้นำและคนทำงานรายงานโดยตรงต่อเบื้องบนได้ หากเจ้าขอให้ผู้นำหรือคนทำงานรายงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งต่อเบื้องบน โดยชี้แจงสถานการณ์ให้ชัดเจน พวกเขาจะสามารถเก็บเรื่องไว้และเพิกเฉยต่อเรื่องนั้นได้หรือ? คนเช่นนั้นมีน้อยมาก แม้ว่าจะมีผู้นำเช่นนั้นอยู่จริง เจ้าก็ยังสามารถชี้แจงเรื่องนั้นกับผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ เพื่อเปิดโปงผู้ที่เก็บงำปัญหาและไม่รายงานได้ หากผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ เหล่านี้ยังคงไม่รายงานเรื่องนั้น ก็ยังมีหนทางสุดท้ายอีกหนึ่งทางคือ เจ้าสามารถเขียนจดหมายโดยตรงไปยังเว็บไซต์ของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้ส่งต่อไปยังเบื้องบนได้ ซึ่งจะช่วยให้แน่ใจได้ว่าปัญหาจะถูกรายงานไปยังเบื้องบน ทั้งนี้เป็นเพราะเบื้องบนเคยจัดการกับจดหมายเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง และต่อมาพวกเขาก็มอบหมายให้ผู้นำและคนทำงานจัดการเรื่องนั้นโดยตรง ในความเป็นจริงแล้ว มีช่องทางในการรายงานปัญหาขึ้นไปเบื้องบนหลายช่องทาง การปฏิบัตินั้นง่ายดาย ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นต้องการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริงหรือไม่เท่านั้นเอง แม้ว่าเจ้าจะไม่ไว้วางใจผู้นำหรือคนทำงานคนใดคนหนึ่ง เจ้าก็ควรเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมและเบื้องบนดำเนินงานตามหลักธรรมความจริง หากเจ้าไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และเจ้าไม่เชื่อว่าความจริงครอบครองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จได้ ผู้คนจำนวนมากไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่เชื่อว่าความจริงครอบครองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขามักจะคิดอยู่เสมอว่าเจ้าพนักงานในโลกต่างก็ปกป้องกันและกัน และพระนิเวศของพระเจ้าก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าคือความจริงและความชอบธรรม ดังนั้น คนเช่นนี้จึงสามารถถูกเรียกว่าเป็นผู้ไม่เชื่อได้ อย่างไรก็ตาม มีคนส่วนน้อยที่สามารถรายงานปัญหาตามความเป็นจริงได้ คนเช่นนี้อาจถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาร้ายแรงเมื่อพวกเขาพบเจอเท่านั้น พวกเขายังไม่รายงานขึ้นไปเบื้องบนอีกด้วย พวกเขาเริ่มรู้สึกถึงความร้ายแรงของปัญหาก็ต่อเมื่อเบื้องบนเข้ามาตรวจสอบแล้วเท่านั้น นี่ทำให้เรื่องต่างๆ ล่าช้า ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นพี่น้องชายหญิงธรรมดา หรือเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพบเจอปัญหาที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขได้และเกี่ยวข้องกับหลักธรรมที่ใหญ่กว่าของงาน เจ้าควรรายงานขึ้นไปเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขอย่างทันท่วงที หากเจ้าพบเจอกับความสับสนหรือความลำบากยากเย็นแต่ไม่แก้ไข งานบางอย่างก็จะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ จะต้องถูกพักไว้และหยุดลง สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของงานของคริสตจักร ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ที่สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อความคืบหน้าของงาน ปัญหาเหล่านั้นจะต้องถูกค้นพบและแก้ไขอย่างทันท่วงที หากปัญหาแก้ไขได้ไม่ง่าย เจ้าต้องหาผู้ที่เข้าใจความจริงและผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้น แล้วร่วมกันพิจารณาและแก้ไขปัญหานั้น ปัญหาประเภทนี้จะล่าช้าไม่ได้! ทุกวันที่เจ้าล่าช้าในการแก้ไขปัญหา ก็คือการทำให้งานคืบหน้าช้าลงไปหนึ่งวัน นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเรื่องของคนคนเดียว แต่ส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร ตลอดจนวิธีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตน ดังนั้น เมื่อเจ้าพบเจอกับความสับสนหรือความลำบากยากเย็นประเภทนี้ จะต้องแก้ไขโดยทันที จะล่าช้าไม่ได้ หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้จริงๆ ก็จงรีบรายงานต่อเบื้องบน พวกเขาจะเข้ามาแก้ไขโดยตรง หรือบอกหนทางแก่เจ้า หากผู้นำหรือคนทำงานไม่สามารถจัดการกับปัญหาประเภทนี้ได้ ทั้งยังเก็บงำปัญหาไว้แทนที่จะรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขจากพวกเขา ผู้นำเช่นนั้นก็ตาบอด เป็นพวกปัญญานิ่ม และไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง พวกเขาควรถูกปลดและถูกถอดออกจากตำแหน่ง หากพวกเขาไม่ถูกถอดออกจากตำแหน่ง งานของคริสตจักรก็จะไม่สามารถก้าวหน้าไปได้ และจะต้องพังพินาศในมือของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ จึงต้องจัดการเรื่องนี้โดยทันที
งานผลิตภาพยนตร์ก็เป็นงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้าเช่นกัน ฝ่ายผลิตภาพยนตร์มักจะพบเจอปัญหาที่ทุกคนมีข้อโต้แย้งกันเรื่องบทภาพยนตร์ ตัวอย่างเช่น ผู้กำกับเชื่อว่าบทภาพยนตร์แตกต่างหรือเบี่ยงเบนไปจากชีวิตจริงและจะดูไม่สมจริงเมื่อถ่ายทำออกมา จึงต้องการแก้ไขบท อย่างไรก็ตาม คนเขียนบทไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง โดยเชื่อว่าบทภาพยนตร์เขียนขึ้นอย่างสมเหตุสมผลแล้วและเรียกร้องให้ผู้กำกับถ่ายทำตามบทภาพยนตร์ นักแสดงก็มีข้อคัดค้านของตนเองเช่นกัน โดยไม่เห็นด้วยกับทั้งคนเขียนบทและผู้กำกับ นักแสดงคนหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าผู้กำกับยืนกรานที่จะถ่ายทำแบบนั้น ฉันก็จะไม่แสดง!” คนเขียนบทกล่าวว่า “ถ้าผู้กำกับเปลี่ยนบทภาพยนตร์ เมื่อเกิดปัญหาใดๆ ขึ้นมาพวกคุณทุกคนจะต้องรับผิดชอบ!” ผู้กำกับกล่าวว่า “ถ้าฉันถูกบังคับให้ถ่ายทำตามที่บทกำหนดและเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา พระนิเวศของพระเจ้าจะให้ฉันรับผิดชอบ ถ้าคุณต้องการให้ฉันถ่ายทำ ก็ต้องถ่ายทำตามความคิดของฉัน ถ้าไม่ ฉันก็จะไม่กำกับ” ตอนนี้ ทั้งสามฝ่ายต่างก็อยู่ในภาวะที่หาทางออกไม่ได้ใช่หรือไม่? เห็นได้ชัดว่างานไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ นี่ไม่ใช่ความสับสนที่เกิดขึ้นหรอกหรือ? แล้วใครกันแน่ที่ถูกต้อง? ทุกคนต่างก็มีทฤษฎีของตนเอง มีข้อโต้แย้งของตนเอง และไม่มีใครยอมประนีประนอม เมื่อทั้งสามฝ่ายอยู่ในภาวะที่หาทางออกไม่ได้เช่นนี้ อะไรคือสิ่งที่ได้รับความเสียหาย? (งานของพระนิเวศของพระเจ้า) งานของพระนิเวศของพระเจ้าถูกขัดขวางและได้รับความเสียหาย พวกเจ้าเคยรู้สึกร้อนใจและเป็นกังวลเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่? ถ้าไม่ นั่นก็พิสูจน์ว่าพวกเจ้าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง เมื่อเกิดความสับสนและภาวะชะงักงันเช่นนี้ขึ้น บางคนก็ร้อนใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ พลางคิดว่า “ควรทำอย่างไรดี? การโต้เถียงและยืนกรานแบบนี้ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าในการถ่ายทำหรอกหรือ? มันทำให้ล่าช้ามาหลายวันแล้วและจะผัดวันประกันพรุ่งอีกไม่ได้แล้ว เราจะแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่นและงานไม่ล่าช้าได้อย่างไร? เราควรหันไปหาใครเพื่อแก้ไขปัญหานี้?” หากเจ้ามีหัวใจ เจ้าควรแสวงหาทางแก้ไขจากผู้นำ และหากผู้นำไม่สามารถแก้ไขได้ เจ้าก็ควรรีบรายงานต่อเบื้องบน หากเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าควรทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วถ้าเจ้าไม่ร้อนใจล่ะ? เจ้าอาจจะใคร่ครวญเรื่องนี้ พลางคิดว่า “พวกเขาต่างหากที่ผิด ฉันจะยึดมั่นในมุมมองของฉัน—ดูซิว่าพวกเขาจะทำอะไรฉันได้ กินข้าวเสร็จแล้วงีบสักพักดีกว่า อย่างไรเสียตอนบ่ายก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว” ขาของเจ้าก็เริ่มหนักอึ้ง ศีรษะก็เริ่มมึนงง หัวใจก็หมดเรี่ยวแรง แล้วเจ้าก็เฉื่อยชาลง มีความลำบากยากเย็นกองอยู่เป็นภูเขาเลากา แต่เจ้ากลับไม่ใส่ใจและเฉื่อยชา จึงไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้ ทำไมถึงไม่มีทาง? เพราะเจ้าขาดแรงผลักดันและความปรารถนาที่จะแก้ไขมัน เจ้าจึงคิดหาทางแก้ไขไม่ได้ เจ้าคิดกับตัวเองว่า “นานๆ ทีจะเกิดความลำบากยากเย็นจนงานต้องหยุดชะงัก ถือโอกาสนี้พักสักสองสามวันผ่อนคลายสักหน่อยดีกว่า จะเหนื่อยตลอดเวลาไปทำไม? ถ้าฉันพักตอนนี้ ก็ไม่มีใครว่าอะไรได้ อย่างไรเสีย ฉันไม่ได้อู้งานหรือขาดความรับผิดชอบต่องานของฉัน ฉันอยากจะรับผิดชอบ แต่พวกเรามีอุปสรรคนี้ขัดขวาง—ใครจะมาแก้ไขล่ะ? ถ้าไม่แก้ไขรื่องนี้พวกเราจะถ่ายทำได้อย่างไร? หากมีความลำบากยากเย็นที่ทำให้เราถ่ายทำไม่ได้ เราก็ควรจะพักไม่ใช่หรือ?” เมื่อมีปัญหาใหญ่หลวงเช่นนี้อยู่ตรงหน้าเจ้า ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที? หากปัญหายังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีปัญหาใดสามารถแก้ไขได้ งานจะสามารถก้าวหน้าต่อไปได้หรือไม่? สิ่งนี้จะทำให้เกิดความล่าช้าอย่างนับไม่ถ้วน ความคืบหน้าของงานมีแต่จะเดินไปข้างหน้า ถอยหลังไม่ได้ ดังนั้น เมื่อรู้ว่าปัญหานี้ก่อให้เกิดความลำบากยากเย็น เจ้าก็ไม่ควรผัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไป เจ้าต้องแก้ไขมันอย่างรวดเร็ว เมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ก็จงรีบแก้ไขปัญหาถัดไปเมื่อมันเกิดขึ้น พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่เสียเวลาเพื่อให้งานสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นและเสร็จสิ้นตามกำหนดเวลา อย่างนี้ดีหรือไม่? (ดี) ผู้ที่มีหัวใจจะเผชิญกับความสับสนและความลำบากยากเย็นด้วยท่าทีเช่นนี้ พวกเขาไม่เสียเวลา ไม่หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง และไม่อยากได้ความสุขสบายทางเนื้อหนัง ในทางกลับกัน ผู้ที่ไม่มีหัวใจจะฉวยโอกาสจากช่องโหว่ พวกเขาจะหาข้ออ้างและมองหาโอกาสที่จะได้พัก ทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้า ปราศจากความรู้สึกเร่งด่วนหรือร้อนใจใดๆ ทั้งยังขาดความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทนทุกข์หรือจ่ายราคาอีกด้วย แล้วในที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น? เมื่อเผชิญกับความสับสนหรือความลำบากยากเย็น ทุกคนก็พบว่าตนเองอยู่ในภาวะที่หาทางออกไม่ได้เป็นเวลาหลายวัน ทั้งผู้กำกับ นักแสดง และคนเขียนบทต่างก็ไม่รายงานปัญหา ในขณะเดียวกัน ผู้นำก็ตาบอดและไม่สามารถรับรู้ได้ว่านี่เป็นปัญหา แม้ว่าพวกเขาจะรับรู้ว่าเป็นปัญหาแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง พวกเขาก็ไม่รายงานขึ้นไปเบื้องบน กว่าเรื่องจะถูกรายงานขึ้นไปทีละขั้นจนถึงเบื้องบน ก็ผ่านไปสิบวันหรือครึ่งเดือนแล้ว ในช่วงสิบวันถึงครึ่งเดือนนี้ทำอะไรกันอยู่? มีใครทำหน้าที่ของตนหรือไม่? ไม่เลย พวกเขากำลังผลาญเวลาไปกับการกินดื่มและสนุกสนานรื่นเริง! นี่ไม่ใช่การเอาเปรียบผู้อื่นหรอกหรือ? หัวหน้างานทุกคนที่ไม่สามารถแสวงหาทางแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่พบเจอในงานของตนได้อย่างทันท่วงทีนั้นเป็นเพียงพวกที่เอาเปรียบผู้อื่น ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย คนประเภทนี้เรียกสั้นๆ ว่า “พวกคนเกียจคร้าน” ทำไมถึงเรียกว่า “พวกคนเกียจคร้าน”? เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าหาหน้าที่ของตนด้วยท่าทีที่จริงจัง มีความรับผิดชอบ เข้มงวด หรือกระตือรือร้น แต่กลับทำอย่างสุกเอาเผากิน คิดลบ และอู้งาน เฝ้าหวังว่าจะเกิดความลำบากยากเย็นหรือภาวะชะงักงันบางอย่างขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้มีข้ออ้างในการวางมือและหยุดงาน
ผู้นำและคนทำงานไม่เพียงแต่ควรแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่พบเจอในงานอย่างทันท่วงทีเท่านั้น แต่ยังควรตรวจสอบและระบุปัญหาเหล่านี้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย ทำไมจึงควรทำเช่นนี้? มีเป้าหมายเพียงข้อเดียวในการทำเช่นนั้นคือ เพื่อพิทักษ์รักษาพระราชกิจของพระเจ้าและงานของพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อให้แน่ใจว่างานทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและเสร็จสิ้นอย่างประสบความสำเร็จภายในกรอบเวลาทำงานปกติ เพื่อให้แน่ใจว่างานจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ต้องแก้ไขปัญหาอะไรบ้าง? ก่อนอื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำจัดอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางใดๆ ที่รบกวนงานของคริสตจักรออกไปให้หมดสิ้น เพื่อควบคุมผู้ไม่เชื่อและคนชั่วไม่ให้พวกเขาก่อปัญหา นอกจากนี้ หัวหน้างานแต่ละอย่างและพี่น้องชายหญิงจะต้องได้รับการชี้แนะให้เข้าใจความจริงและค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติ เพื่อเรียนรู้ที่จะร่วมมือกันอย่างปรองดองและกำกับดูแลซึ่งกันและกัน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรับประกันความสำเร็จของงานได้ ไม่ว่าจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นหรือความสับสนใดๆ หากผู้นำและหัวหน้างานไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาก็ควรรายงานปัญหาต่อเบื้องบนอย่างรวดเร็วและแสวงหาทางแก้ไข ผู้นำและหัวหน้างานควรให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเป็นอันดับแรกเสมอไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม โดยจัดการกับทั้งปัญหาทางเทคนิคและปัญหาด้านหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับงาน ตลอดจนความลำบากยากเย็นต่างๆ ที่ผู้คนพบเจอในแง่ของการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นได้ เจ้าก็จะไม่สามารถทำงานของตนได้ดี ดังนั้น เมื่อเจ้าพบเจอกับความลำบากยากเย็นหรือความสับสนที่ไม่ปกติซึ่งเจ้าไม่สามารถแก้ไข เจ้าก็ควรรายงานต่อเบื้องบนทันที อย่าเสียเวลา เนื่องจากการล่าช้าสามถึงห้าวันอาจทำให้เกิดความสูญเสียต่องานได้ และหากล่าช้าไปครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน ความสูญเสียก็จะใหญ่หลวงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดก็ตาม จะต้องจัดการตามหลักธรรมความจริง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ห้ามใช้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์มาแก้ไขปัญหาเป็นอันขาด อย่าทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นไม่มีอะไรเลย หรือเพียงแค่ตำหนิทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาแล้วปลอบพวกเขาด้วยของหวาน เอาแต่เจรจาต่อรองและเกลี้ยกล่อมพวกเขาอยู่เสมอ เพราะกลัวว่าปัญหาจะบานปลาย สิ่งนี้นำไปสู่การที่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขที่ต้นตอ ซึ่งทิ้งปัญหาที่ค้างคาไว้เบื้องหลัง นี่ไม่ใช่วิธีการแบบประนีประนอมหรอกหรือ? หากเจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้ใช้หนทางแก้ไขของมนุษย์ทั้งหมดแล้วสำหรับปัญหาใดปัญหาหนึ่งและไม่สามารถแก้ไขได้อย่างแท้จริง และเจ้าไม่สามารถหาหลักธรรมสำหรับปัญหาทางเทคนิคภายในงานได้เลย เจ้าก็ควรรีบรายงานปัญหาเหล่านี้ต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขโดยไม่ต้องรอหรือผัดวันประกันพรุ่ง ปัญหาใดๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ควรรายงานต่อเบื้องบนโดยทันทีเพื่อแสวงหาทางแก้ไข หลักธรรมนี้เป็นอย่างไรบ้าง? (ดี)
ฝ่ายผลิตภาพยนตร์และฝ่ายเขียนบทมักจะเกิดภาวะที่หาทางออกไม่ได้เรื่องปัญหาการถ่ายทำหรือไม่? แต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนเอง และไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ เอาแต่ต่อล้อต่อเถียงกันอยู่เสมอ ผู้นำสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้เมื่อมันเกิดขึ้นได้หรือไม่? (บางครั้งก็ทำได้) พวกเจ้าเคยพบเจอสถานการณ์ที่ผู้นำแก้ไขปัญหาบางอย่างผ่านการสามัคคีธรรม และมันฟังดูสมเหตุสมผลและมีหลักการทางทฤษฎีที่หนักแน่น แต่พวกเจ้าก็ยังไม่แน่ใจว่ามันสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริงหรือไม่? (เคย) พวกเจ้าจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร? (บางครั้งพวกเราก็จะแสวงหาจากเบื้องบน) นั่นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง พวกเจ้าเคยอยู่ในสถานการณ์ที่ตนตัดสินใจไม่สอบถามเกี่ยวกับปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพราะเห็นว่าพี่น้องชายที่ทำงานเบื้องบนค่อนข้างยุ่ง และคิดว่าไม่เป็นไรตราบใดที่เรื่องนั้นถูกต้องตามทฤษฎี แล้วก็ตัดสินใจถ่ายทำไปก่อนโดยไม่คำนึงว่าจะสอดคล้องกับความจริงหรือไม่? (พวกเราเคยมีปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอดีต มันทำให้พวกเราต้องทำใหม่และก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนต่องาน) สถานการณ์นั้นร้ายแรง! ปัญหาจำนวนมากที่ฝ่ายผลิตภาพยนตร์พบเจอ ท้ายที่สุดแล้วแท้จริงก็เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายเขียนบท ตัวอย่างเช่น หากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าที่ยืดยาวไร้สาระสองชั่วโมงครึ่ง คนเขียนบทต้องรับผิดชอบเป็นหลัก แล้วความรับผิดชอบของผู้กำกับล่ะ? หากบทภาพยนตร์เป็นเรื่องที่ยืดยาวไร้สาระ ผู้กำกับควรจะมองออกหรือไม่? ตามทฤษฎีแล้ว พวกเขาควรมองออก อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับยังคงสามารถใช้เวลาหลายเดือนและใช้กำลังคน ทรัพยากรวัสดุ และงบประมาณจำนวนมากเพื่อถ่ายทำให้เสร็จสิ้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้ นี่เป็นปัญหาประเภทใด? ในฐานะผู้กำกับ ความรับผิดชอบของพวกเจ้าคืออะไร? เมื่อได้รับบทภาพยนตร์มาแล้ว พวกเจ้าควรคิดว่า “บทภาพยนตร์นี้ยาวและมีเนื้อหาค่อนข้างเข้มข้น แต่ขาดแก่นกลาง ขาดแก่นเรื่อง โครงสร้างทั้งหมดไร้วิญญาณ บทภาพยนตร์นี้ไม่สามารถถ่ายทำได้ ต้องส่งคืนให้คนเขียนบทแก้ไขใหม่” พวกเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่? พวกเจ้าเคยส่งคืนบทภาพยนตร์หรือไม่? (ไม่เคย) เป็นเพราะพวกเจ้ามองไม่เห็นปัญหา หรือเพราะพวกเจ้าไม่กล้าส่งคืน? หรือพวกเจ้ากลัวว่าจะมีคนตัดสินพวกเจ้าว่า “พวกเขาให้บทที่เสร็จแล้วนี่แก่คุณ แล้วคุณก็ปฏิเสธด้วยคำพูดเพียงคำเดียว และส่งบทกลับไป—คุณช่างโอหังเกินไปแล้วไม่ใช่หรือ?” พวกเจ้ากลัวอะไรกันแน่? พวกเจ้าเห็นปัญหาแล้ว ทำไมไม่ส่งคืนบทภาพยนตร์ให้คนเขียนบทล่ะ? (พวกเราไม่รับผิดชอบต่องานผลิตภาพยนตร์ของพวกเรา) สำหรับฝ่ายผลิตภาพยนตร์แล้ว นอกจากผู้นำคริสตจักร ผู้กำกับควรทำหน้าที่เป็นหัวหน้างาน เป็นผู้ที่ตัดสินใจและมีสิทธิ์ขาด ในเมื่อเจ้าเป็นผู้กำกับ เจ้าก็ควรรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ดำเนินการกลั่นกรองบทภาพยนตร์อย่างถูกควรตั้งแต่วินาทีที่เจ้าได้รับมันมา สมมติว่าเจ้าได้รับบทภาพยนตร์มาและทบทวนมันตั้งแต่ต้นจนจบ พบว่าเนื้อหาค่อนข้างดี มีแก่นกลางและแก่นเรื่อง โครงเรื่องดำเนินไปรอบๆ แกนเรื่องหลัก และบทภาพยนตร์โดยรวมดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใหญ่—มันดูดี น่าถ่ายทำ ดังนั้นจึงสามารถยอมรับบทภาพยนตร์นี้ได้ อย่างไรก็ตาม หากบทภาพยนตร์ยาว เล่าเรื่องราวของบุคคลหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีจุดสนใจหรือแก่นเรื่องที่โดดเด่น ทำให้ไม่ชัดเจนว่าบทภาพยนตร์ต้องการแสดงออกอะไร ต้องการให้เกิดผลอะไรในตัวผู้ชม หรือแนวคิดหลักและความหมายฝ่ายวิญญาณคืออะไร—โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ยืดยาวไร้สาระ เป็นบทภาพยนตร์ที่สับสน—บทภาพยนตร์นี้จะสามารถยอมรับได้หรือไม่? ผู้กำกับควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้? พวกเขาต้องส่งคืนบทภาพยนตร์และให้คำแนะนำเพื่อให้คนเขียนบทแก้ไขใหม่ คนจากฝ่ายเขียนบทอาจคัดค้านว่า “นี่ไม่ยุติธรรม! พวกเขาเป็นใครถึงมาตรวจสอบบทภาพยนตร์ที่เราเขียน? ทำไมพวกเขาถึงมีสิทธิ์ตัดสิน? พระนิเวศของพระเจ้าควรปฏิบัติต่อผู้คนอย่างยุติธรรมและสมเหตุสมผล!” แล้วควรทำอย่างไร? หากผู้กำกับสามารถระบุปัญหาในบทภาพยนตร์ได้ พวกเขาไม่ควรรีบร้อนตัดสินใจแต่ควรสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับผู้นำคริสตจักรและสมาชิกในฝ่ายผลิตภาพยนตร์ก่อน หากทุกคน จากประสบการณ์การถ่ายทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและความเข้าใจในบทภาพยนตร์ เห็นพ้องต้องกันว่าบทภาพยนตร์ไม่ได้มาตรฐาน และเชื่อว่าการถ่ายทำไม่เพียงแต่จะทำให้งานผลิตภาพยนตร์ล่าช้าแต่ยังสิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคล วัสดุ และงบประมาณทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง และไม่มีใครสามารถรับผิดชอบเช่นนั้นได้ ก็ควรส่งคืนบทภาพยนตร์นี้ บทภาพยนตร์ที่ยืดยาวไร้สาระจะต้องไม่ถูกถ่ายทำอย่างเด็ดขาด นี่คือหลักธรรม หากทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกันเกี่ยวกับบทภาพยนตร์นี้ ฝ่ายเขียนบทก็ควรยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขและแก้ไขบทภาพยนตร์ตามคำแนะนำจากฝ่ายผลิตภาพยนตร์ หากยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ สมาชิกและผู้นำจากทั้งสองฝ่ายสามารถถกปัญหาร่วมกันเพื่อดูว่าข้อโต้แย้งของใครสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง หากภาวะที่หาทางออกไม่ได้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีข้อสรุป ก็ควรใช้หนทางสุดท้าย ซึ่งก็คือหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงานที่สามัคคีธรรมกันในวันนี้คือ “รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที” ปัญหาที่หาทางออกไม่ได้และไม่สามารถแก้ไขได้เรียกว่าความสับสนและความลำบากยากเย็น แต่ละฝ่ายคิดว่าเหตุผลของตนถูกต้อง และไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้ การกลับไปกลับมาเช่นนี้ทำให้ปัญหาสับสนยิ่งขึ้น ทำให้ความเข้าใจของทุกคนเกี่ยวกับที่มาที่ไปของปัญหาและทิศทางที่จะดำเนินต่อไปนั้นคลุมเครือ ณ จุดนี้ ผู้นำและคนทำงานควรรับผิดชอบของตนในการรายงานและแสวงหาทางแก้ไขปัญหาและความสับสนเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในงานอย่างทันท่วงที พยายามแก้ไขให้ทันท่วงทีเพื่อป้องกันไม่ให้มันเป็นอุปสรรคต่อความคืบหน้าของงาน และยิ่งไปกว่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มันสะสมต่อไปอีก การรายงานและแสวงหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างทันท่วงที—นี่ไม่ใช่การทำงานหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การแสดงท่าทีที่จริงจังและมีความรับผิดชอบต่องานหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การใส่ใจในการทำหน้าที่ของตนหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่ความจงรักภักดีหรอกหรือ? (ใช่) นี่คือการมีความจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน
ผู้นำและคนทำงานที่รับผิดชอบงานต้องสังเกตและแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในงานอย่างทันท่วงที เนื่องจากการทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรับประกันความคืบหน้าของงานที่ราบรื่นได้ ผู้นำและคนทำงานทุกคนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ล้วนขาดความเป็นจริงความจริงและเป็นผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ ใครก็ตามที่ค้นพบปัญหาแต่ล้มเหลวในการแก้ไข กลับหลีกเลี่ยงหรือปกปิดปัญหา เป็นพวกไร้ค่าที่เอาแต่บ่อนทำลายงาน ปัญหาที่มีข้อโต้แย้งจะต้องได้รับการแก้ไขผ่านการสามัคคีธรรมและการถกปัญหา หากสิ่งเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้องแต่กลับทำให้สถานการณ์ยิ่งคลุมเครือซับซ้อน ผู้นำหลักก็ควรรับผิดชอบจัดการเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว เสนอแนวทางแก้ไขและวิธีการอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งสังเกตการณ์ ทำความเข้าใจ และตัดสินอย่างทันท่วงทีเพื่อดูว่าผลลัพธ์ของสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เมื่อข้อโต้แย้งยังคงมีอยู่เกี่ยวกับปัญหาบางอย่างและไม่สามารถตัดสินชี้ขาดได้ ก็ต้องรีบรายงานปัญหาต่อเบื้องบนเพื่อแสวงหาทางแก้ไข แทนที่จะพยายามประนีประนอม รอคอย หรือผัดวันประกันพรุ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแทนที่จะเพิกเฉยต่อปัญหา นี่คือวิธีที่ผู้นำและคนทำงานปัจจุบันของพวกเจ้าทำงานหรือไม่? พวกเขาควรติดตามและผลักดันความคืบหน้าของงานอย่างทันท่วงที และในขณะเดียวกันก็ระบุความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในงานพร้อมทั้งไม่มองข้ามปัญหาเล็กน้อยต่างๆ ด้วย เมื่อระบุปัญหาสำคัญได้แล้ว ผู้นำและคนทำงานหลักควรอยู่ร่วมเพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ทำความเข้าใจที่มาที่ไปอย่างถูกต้อง เหตุผลที่ปัญหาเกิดขึ้น และมุมมองของผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ควรมีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรม ถกปัญหา และแม้กระทั่งโต้แย้งปัญหาเหล่านี้ นี่เป็นสิ่งจำเป็น การมีส่วนร่วมเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เนื่องจากมันช่วยให้เจ้าตัดสินและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในงานได้ หากเจ้าเพียงแค่ฟังโดยไม่มีส่วนร่วม เอาแต่ยืนกอดอกดูอยู่ข้างๆ และทำตัวเหมือนคนที่นั่งฟังในชั้นเรียน คิดว่าปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในงานไม่เกี่ยวกับเจ้าและไม่มีมุมมองหรือท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนั้น เจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างชัดเจน เมื่อเจ้ามีส่วนร่วม เจ้าจะรู้ในรายละเอียดว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นในงาน อะไรเป็นสาเหตุ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ไหน และเป็นเพราะมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนหรือความไม่เพียงพอทางเทคนิคและวิชาชีพ—ทั้งหมดนี้จะต้องถูกทำให้กระจ่างเพื่อที่จะจัดการและแก้ไขปัญหาได้อย่างยุติธรรม เมื่อเจ้ามีส่วนร่วมในงานนี้และค้นพบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากฝีมือมนุษย์หรือเกิดจากเจตนาของใครก็ตาม แต่เจ้ากลับพบว่าเป็นการยากที่จะระบุแก่นแท้ของปัญหาและไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร โดยทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันเป็นเวลานาน หรือเมื่อทุกคนได้ทุ่มเทหัวใจและความพยายามให้กับปัญหาแล้วแต่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ และไม่สามารถหาหลักธรรมหรือหาทิศทางได้ ทำให้งานหยุดชะงัก และยังกลัวว่าการทำต่อไปจะทำให้เกิดข้อผิดพลาด การขัดขวาง และผลเสียเพิ่มเติมอีก แล้วเจ้าควรทำอย่างไร? สิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำที่สุดไม่ใช่การหารือมาตรการรับมือหรือแนวทางแก้ไขกับทุกคน แต่เป็นการรายงานปัญหาต่อเบื้องบนโดยเร็วที่สุด ผู้นำและคนทำงานควรสรุปและบันทึกปัญหาในงานและรายงานต่อเบื้องบนโดยทันทีโดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง รอคอย หรือมีใจคิดพึ่งพาโชค โดยคิดว่าการนอนหลับหนึ่งคืนอาจนำมาซึ่งแรงบันดาลใจหรือความกระจ่างแจ้งอย่างกะทันหัน—ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากและไม่น่าจะเกิดขึ้น ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือการรายงานปัญหาต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไขโดยทันทีและโดยเร็วที่สุด นี่คือการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง
ความสับสนและความลำบากยากเย็นที่ผู้นำและคนทำงานมักจะเผชิญในงานของตน
I. ความสับสน
จากเนื้อหาที่พวกเราเพิ่งอภิปรายกันไป พวกเรามาสรุปกันว่าแท้จริงแล้วคำว่า “ความสับสน” และ “ความลำบากยากเย็น” หมายถึงอะไร สองคำนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ก่อนอื่น เราจะอธิบายคำว่า “ความสับสน” ความสับสนคือเมื่อเจ้ามองไม่ทะลุเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เจ้าไม่รู้ว่าจะตัดสินหรือมีวิจารณญาณแยกแยะอย่างไรให้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือถูกต้องแม่นยำ แม้ว่าเจ้าจะพอมองทะลุได้บ้าง เจ้าก็ไม่แน่ใจว่ามุมมองของเจ้าถูกต้องหรือไม่ เจ้าไม่รู้ว่าจะจัดการหรือแก้ไขเรื่องนั้นอย่างไร และเป็นการยากสำหรับเจ้าที่จะสรุปเกี่ยวกับเรื่องนั้น กล่าวโดยสรุปคือ เจ้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นและไม่สามารถตัดสินใจได้ หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อยและไม่มีใครแก้ไขปัญหาให้ ปัญหานั้นก็จะกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ นี่ไม่ใช่การเผชิญกับความท้าทายที่ยากลำบากหรอกหรือ? เมื่อเผชิญกับปัญหาเช่นนี้ ผู้นำและคนทำงานควรรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาจากเบื้องบนเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น พวกเจ้าเผชิญกับความสับสนบ่อยครั้งหรือไม่? (ใช่) การเผชิญกับความสับสนเป็นประจำนั้นก็เป็นปัญหาในตัวเอง สมมติว่าเจ้ากำลังเผชิญกับปัญหาและเจ้าไม่รู้วิธีที่เหมาะสมในการจัดการกับมัน มีคนเสนอแนวทางแก้ไขหนึ่งซึ่งเจ้าคิดว่าสมเหตุสมผล ในขณะที่อีกคนหนึ่งเสนอแนวทางแก้ไขที่แตกต่างออกไปซึ่งเจ้าก็คิดว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน และหากเจ้าไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแนวทางแก้ไขใดเหมาะสมกว่า โดยที่ความคิดเห็นของทุกคนแตกต่างกันไปและไม่มีใครเข้าใจถึงต้นตอหรือแก่นแท้ของปัญหา ความผิดพลาดก็ย่อมต้องปรากฏในการแก้ไขปัญหานั้นอย่างแน่นอน ดังนั้น ในการแก้ไขปัญหา การกำหนดต้นตอและแก่นแท้ของปัญหานั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง หากผู้นำและคนทำงานไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ ล้มเหลวในการเข้าใจแก่นแท้ของปัญหา และไม่สามารถสรุปได้อย่างถูกต้อง พวกเขาต้องรายงานปัญหาต่อเบื้องบนโดยทันทีและแสวงหาทางแก้ไขจากพวกเขา นี่เป็นสิ่งจำเป็นและไม่ใช่การตีโพยตีพาย ปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขสามารถนำไปสู่ผลที่ตามมาร้ายแรงและส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักร—เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ หากเจ้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวอยู่เสมอว่าเบื้องบนอาจมองทะลุความสามารถที่แท้จริงของเจ้า หรือว่าพวกเขาอาจปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ของเจ้าหรือปลดเจ้าออกเมื่อพวกเขามองทะลุว่าเจ้าไม่สามารถทำงานจริงได้ และดังนั้นเจ้าจึงไม่กล้ารายงานปัญหา สิ่งนี้สามารถทำให้เรื่องต่างๆ ล่าช้าได้ง่าย หากเจ้าพบเจอกับความสับสนที่เจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่กลับไม่รายงานต่อเบื้องบน เมื่อสิ่งนี้ก่อให้เกิดผลที่ตามมาร้ายแรงและเบื้องบนให้เจ้ารับผิดชอบ เจ้าก็จะเจอกับปัญหาใหญ่หลวง นี่ไม่ใช่การโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองหรอกหรือ? เมื่อเผชิญกับความสับสนเช่นนี้ หากผู้นำและคนทำงานไม่รับผิดชอบและเพียงแค่พูดคำสอนบางอย่างและใช้ข้อบังคับบางอย่างเพื่อจัดการกับปัญหาอย่างสุกเอาเผากิน ปัญหานั้นก็จะยังคงไม่ได้รับการแก้ไขและทุกอย่างก็จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ งานก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงเมื่อความสับสนไม่ได้รับการแก้ไข มันทำให้เกิดความล่าช้าได้ง่ายมาก
เมื่อเกิดความสับสนงุนงงขึ้น ผู้นำและคนทำงานบางคนสามารถรู้สึกได้ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ขณะที่ผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ กลับไม่สามารถตรวจพบปัญหาได้—คนกลุ่มหลังนี้มีขีดความสามารถที่ย่ำแย่เกินไป ทั้งยังด้านชาและหัวทึบ พวกเขาขาดความไวต่อปัญหาใดๆ ไม่ว่าความสับสนงุนงงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าจะใหญ่หลวงเพียงใด สิ่งที่พวกเขาแสดงออกก็คือความด้านชาและหัวทึบ พวกเขาเพิกเฉยต่อประเด็นปัญหานั้นและพยายามที่จะเลี่ยงปัญหา—นี่คือผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ลงมือทำงานจริง ส่วนผู้นำและคนทำงานที่มีขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานในระดับหนึ่ง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมตระหนักได้ว่า “นี่เป็นปัญหา ฉันต้องจดบันทึกไว้ เบื้องบนไม่เคยกล่าวถึงประเด็นปัญหาประเภทนี้มาก่อน และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเผชิญกับมัน แล้วหลักธรรมในการจัดการสถานการณ์ประเภทนี้คืออะไรกันแน่? ควรจะแก้ไขประเด็นปัญหาที่เจาะจงนี้อย่างไร? ดูเหมือนว่าฉันมีความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจแต่ยังไม่ชัดเจน และฉันก็มีท่าทีต่อเรื่องเช่นนี้อยู่บ้าง แต่การมีแค่ท่าทีนั้นไม่เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา พวกเราต้องนำเรื่องนี้ออกมาให้ทุกคนได้สามัคคีธรรมและหารือกัน” หลังจากสามัคคีธรรมและหารือกันรอบหนึ่งแล้ว หากพวกเขายังคงไม่รู้ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร โดยไม่มีแผนการปฏิบัติที่แม่นยำเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหานั้น และความสับสนงุนงงยังคงอยู่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ต้องแสวงหาทางแก้ไขจากเบื้องบน ณ จุดนี้ เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่จะต้องจดประเด็นที่น่าสับสนในปัญหานั้นไว้ เพื่อว่าเมื่อถึงเวลา พวกเขาจะสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาที่ทำให้สับสนนั้นคืออะไรกันแน่ และสิ่งที่กำลังแสวงหาคืออะไรกันแน่ นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานพึงกระทำ
II. ความลำบากยากเย็น
ก. ความลำบากยากเย็นคืออะไร
ลำดับถัดไป เรามาดูคำว่า “ความลำบากยากเย็น” กัน ตามมุมมองของความหมายตรงตัวแล้ว ความลำบากยากเย็นนั้นรุนแรงกว่าความสับสนงุนงง แล้วความลำบากยากเย็นหมายถึงอะไรกันแน่? ใครสักคนอธิบายที (พระเจ้า ความเข้าใจของเราคือความลำบากยากเย็นเป็นปัญหาจริงที่ได้เผชิญ ซึ่งคนเราได้พยายามแก้ไขแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความลำบากยากเย็น) (ขอเสริมประเด็นหนึ่ง บางครั้งคนเราอาจเผชิญกับปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนมากบางอย่างที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน ซึ่งทุกคนขาดประสบการณ์ สับสนมึนงงไปหมด และไม่มีความคิดเห็นหรือแนวคิดใดๆ—นี่เป็นปัญหาประเภทที่ท้าทายมาก) ปัญหาที่ท้าทายมากเรียกว่าความลำบากยากเย็น ใช่หรือไม่? คำอธิบายที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุดเกี่ยวกับความลำบากยากเย็นก็คือ ปัญหาเหล่านั้นเป็นปัญหาที่มีอยู่จริง ยกตัวอย่างเช่น ขีดความสามารถของบุคคล ทักษะทางวิชาชีพ ความเจ็บป่วยทางร่างกาย ตลอดจนประเด็นปัญหาด้านสภาพแวดล้อมและเวลา และอื่นๆ ปัญหาที่มีอยู่จริงเหล่านี้เรียกว่าความลำบากยากเย็น อย่างไรก็ตาม ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงานซึ่งเรากำลังสามัคคีธรรมกันอยู่นี้ กล่าวไว้ว่าพวกเขาต้องรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนงุนงงและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานโดยทันที ในที่นี้ ความลำบากยากเย็นที่กล่าวถึงไม่ใช่ปัญหาที่มีอยู่จริงตามคำนิยามกว้างๆ เหล่านั้น แต่เป็นประเด็นปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนเป็นพิเศษที่เผชิญในงานซึ่งไม่สามารถจัดการได้ ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาประเภทใด? เป็นกิจการภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงใดโดยเฉพาะ แม้ว่าประเด็นปัญหาเหล่านี้จะไม่ได้เกี่ยวพันกับหลักธรรมความจริง แต่ก็ซับซ้อนกว่าปัญหาทั่วไป ซับซ้อนกว่าอย่างไร? ตัวอย่างเช่น ปัญหาเหล่านั้นเกี่ยวพันกับข้อบังคับทางกฎหมายและของรัฐบาล หรือเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้คนบางคนภายในคริสตจักร และอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือความลำบากยากเย็นที่ผู้นำและคนทำงานเผชิญในงานของตน ยกตัวอย่างเช่น ในการเชื่อในพระเจ้าในต่างแดน ไม่ว่าคนเราจะอาศัยอยู่ในประเทศใด งานคริสตจักรทั้งหมดและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะต้องสอดคล้องกับข้อบังคับของรัฐบาลท้องถิ่น และต้องอาศัยความเข้าใจในกฎหมายและนโยบายของท้องถิ่น เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันกับการติดต่อกับโลกภายนอกและการจัดการกับกิจการภายนอก จึงค่อนข้างซับซ้อนกว่าเมื่อเทียบกับประเด็นปัญหาบุคลากรภายในคริสตจักร ความซับซ้อนอยู่ที่ใด? ไม่ใช่เรื่องง่ายเพียงแค่บอกผู้คนในคริสตจักรให้นบนอบพระเจ้า เชื่อฟัง ปฏิบัติความจริง ทำหน้าที่อย่างจงรักภักดี และเข้าใจความจริงและจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรม—เพียงแค่พูดสิ่งเหล่านี้อย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่กลับต้องอาศัยความเข้าใจในทุกแง่มุมของกฎหมาย นโยบาย และข้อบังคับของประเทศนั้นๆ ตลอดจนขนบธรรมเนียมและธรรมเนียมปฏิบัติในท้องถิ่น และอื่นๆ มีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้องในกิจการภายนอกเหล่านี้ และเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดประเด็นปัญหาที่ไม่คาดคิดหรือปัญหาที่ยากจะรับมือโดยใช้หลักธรรมของคริสตจักร และการเกิดขึ้นของประเด็นปัญหาเหล่านี้ประกอบกันเป็นความลำบากยากเย็น ตัวอย่างเช่น ภายในคริสตจักร หากบางคนทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน ประเด็นปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้โดยการสามัคคีธรรมความจริง การตัดแต่ง หรือการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุน แต่ภายนอกนั้น เจ้าสามารถใช้หลักธรรมและวิธีการเหล่านี้จัดการเรื่องต่างๆ ได้หรือไม่? แนวทางนี้สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้หรือไม่? (ไม่ได้) แล้วควรทำอย่างไร? ต้องใช้วิธีการที่ฉลาดบางอย่างเพื่อจัดการและตอบสนองต่อประเด็นปัญหาดังกล่าว ในกระบวนการจัดการกับกิจการภายนอกเหล่านี้ พระนิเวศของพระเจ้าก็ได้วางหลักธรรมบางอย่างไว้เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ความลำบากยากเย็นทุกชนิดก็ยังคงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะโลกนี้ สังคมนี้ และมวลมนุษยชาตินี้มืดมนและซับซ้อนเกินไป และเพราะการก่อกวนของกองกำลังชั่วร้ายของพญานาคใหญ่สีแดง เมื่อจัดการกับกิจการภายนอกเหล่านี้ ก็จะเกิดความลำบากยากเย็นที่ไม่คาดคิดและเพิ่มเติมขึ้นมาบางอย่าง เมื่อความลำบากยากเย็นเหล่านี้เกิดขึ้น หากพวกเจ้าได้รับเพียงหลักธรรมง่ายๆ ข้อหนึ่ง โดยกล่าวว่า “จงนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ทุกสิ่งล้วนได้รับการจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า จงเพิกเฉยต่อปัญหานั้นเสีย” สิ่งนี้จะสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาได้หรือไม่? (ไม่ได้) หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสภาพแวดล้อมที่พี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ของตน และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขา จะถูกก่อกวน คุกคาม และทำลาย นี่ไม่ได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของความลำบากยากเย็นหรอกหรือ? แล้วควรทำอย่างไร? จะสามารถรับมือด้วยความมุทะลุได้หรือไม่? เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ บางคนกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะสามารถแก้ไขด้วยวิธีการทางกฎหมายได้หรือไม่?” หลายสิ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกฎหมาย ตัวอย่างเช่น ในสถานที่ที่พญานาคใหญ่สีแดงเข้ามายุ่งเกี่ยวและแทรกแซง กฎหมายจะสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาได้หรือไม่? กฎหมายไม่มีผลใดๆ ที่นั่น ในหลายสถานที่ อำนาจของมนุษย์มักจะอยู่เหนือกฎหมาย ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าจะแก้ไขปัญหาได้โดยอาศัยกฎหมาย การใช้วิธีการของมนุษย์หรือความมุทะลุเพื่อแก้ไขปัญหาก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน ผู้นำและคนทำงานควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้? บรรดาผู้ที่รู้เพียงวิธีพูดพล่ามได้แต่คำพูดและคำสอนจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่เมื่อมันเกิดขึ้น? ประเด็นปัญหาเหล่านี้ยุ่งยากเป็นพิเศษมิใช่หรือ? เจ้าคิดว่าการจ้างทนายและไปศาลเพื่อแก้ไขปัญหาจะได้ผลหรือไม่? คนเหล่านั้นเข้าใจความจริงหรือไม่? ไม่มีที่ใดในโลกนี้สำหรับให้เหตุผล แม้แต่ผู้พิพากษาในประเทศที่ยึดถือกฎหมายก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายเสมอไป แต่กลับปรับเปลี่ยนคำตัดสินของตนตามแต่ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้อง ปราศจากความยุติธรรม ในโลกนี้ ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ผู้คนอาศัยกำลังบังคับ อาศัยอำนาจ เพื่อหนุนคำพูดของตน แล้วเราที่เชื่อในพระเจ้าควรพึ่งพาสิ่งใด? เราควรปฏิบัติต่อผู้คนและจัดการเรื่องต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้า ตามความจริง แต่ทุกสิ่งจะสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับเราในโลกนี้ได้หรือไม่หากเราพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าและความจริง? ไม่ได้ ไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ นี่ต้องอาศัยสติปัญญา ดังนั้น เมื่อผู้นำและคนทำงานเผชิญกับประเด็นปัญหาดังกล่าว หากพวกเขารู้สึกว่าเรื่องนั้นสำคัญอย่างยิ่ง และกลัวว่าพวกเขาอาจจัดการอย่างไม่เหมาะสมและนำปัญหามาสู่พระนิเวศของพระเจ้า ก่อให้เกิดผลกระทบหรือผลที่ตามมาอันไม่พึงประสงค์ เช่นนั้นแล้วประเด็นปัญหาดังกล่าวก็คือความลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขา เมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาต้องรายงานต่อเบื้องบนโดยทันทีและแสวงหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหา นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ
ข. มุมมองและท่าทีที่ถูกต้องซึ่งคนเราพึงมีเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น
สิ่งที่เราต้องอธิบายแก่พวกเจ้าในที่นี้ไม่ได้มุ่งตรงไปที่ผู้นำและคนทำงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกคนที่อยู่ที่นี่ด้วย—นี่เป็นหลักธรรมที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำงานของคริสตจักร ปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือประกาศข่าวประเสริฐอยู่ที่ใด ย่อมมีอุปสรรคขวากหนามอยู่เสมอ แม้แต่พระราชกิจของพระเจ้าเองก็ยังเต็มไปด้วยความลำบากยากเย็น—พวกเจ้าทุกคนสังเกตเห็นข้อเท็จจริงนี้หรือไม่? แม้ว่าพวกเจ้าอาจไม่รู้หรือไม่เข้าใจรายละเอียดอย่างชัดเจน แต่พวกเจ้าทุกคนก็ตระหนักถึงรูปการณ์โดยรวม การเผยแผ่งานข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น และพวกเจ้าทุกคนควรเตรียมใจให้พร้อมและตระหนักถึงเรื่องนี้ เมื่อข้อเท็จจริงที่ตั้งมั่นนี้วางอยู่ตรงหน้าแล้ว เราควรมีท่าทีต่อเรื่องเหล่านี้อย่างไรจึงจะถูกควรที่สุด สมเหตุสมผลที่สุด และถูกต้องที่สุด? การขี้ขลาดและหวาดกลัวอยู่ภายในนั้นถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) ในเมื่อการขี้ขลาดและหวาดกลัวไม่ถูกต้อง แล้วการมีท่าทีและมุมมองว่าเจ้าไม่กลัวทั้งฟ้าและดิน เป็นศัตรูกับทั้งโลก ต่อต้านทั้งโลกจนถึงที่สุด และทวนกระแสน้ำนั้นถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) นี่คือความมีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือความมุทะลุ? มุมมองที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ล้วนเป็นการสะท้อนของความมุทะลุ ไม่ใช่ความเชื่อที่จริงแท้ ถ้าเช่นนั้น มุมมองและท่าทีแบบใดจึงจะถูกต้อง? ให้เราแจกแจงให้พวกเจ้าฟังสองสามข้อ นี่คือมุมมองแรกที่ผู้คนควรมี นั่นคือไม่ว่าจะในต่างแดนหรือในประเทศจีน การสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างสุดใจและทำหน้าที่ของตนเป็นภารกิจที่ชอบธรรมที่สุดในบรรดามวลมนุษยชาติทั้งปวงตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การทำหน้าที่ของเรานั้นเปิดเผยและโปร่งใส ไม่ใช่เรื่องลับๆ ล่อๆ เพราะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้คือภารกิจที่ชอบธรรมที่สุดในบรรดามวลมนุษยชาติ คำว่า “ชอบธรรม” นี้หมายถึงอะไร? หมายถึงความจริง หมายถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า หมายถึงการจัดการเตรียมการและพระบัญชาของพระผู้สร้าง เหนือล้ำกว่าศีลธรรม จริยธรรม และกฎหมายของมนุษย์โดยสิ้นเชิง และเป็นภารกิจที่ดำเนินไปภายใต้การทรงนำและการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้าง นี่ไม่ใช่มุมมองที่ถูกต้องที่สุดหรอกหรือ? ประการหนึ่ง มุมมองนี้เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริง อีกประการหนึ่ง นี่ก็เป็นการตระหนักรู้ที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับหน้าที่ที่คนเราทำ นี่คือมุมมองที่สองที่ผู้คนควรมี นั่นคือพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่งและทุกเหตุการณ์ ทุกสิ่ง รวมถึงบรรดาผู้ปกครองของโลกและอำนาจใดๆ ศาสนา องค์กร และชาติพันธุ์ใดๆ ในโลก ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองและควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า—ไม่มีผู้ใดที่ชะตากรรมของตนจะถูกควบคุมโดยตนเอง พวกเราก็ไม่มีข้อยกเว้น ชะตากรรมของพวกเราอยู่ภายใต้การปกครองและควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนทิศทางว่าพวกเราจะไปที่ใดและอยู่ที่ใด และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนอนาคตและบั้นปลายของพวกเราได้ ดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “พระทัยพระราชาเหมือนธารน้ำในพระหัตถ์พระยาห์เวห์ พระเจ้าจะทรงชักนำไปทางไหนก็ตามแต่จะโปรด” (สุภาษิต 21:1) แล้วชะตากรรมของพวกเราที่เป็นมนุษย์ผู้ต่ำต้อยจะยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด! การปกครองและระบบของผู้ปกครองประเทศที่พวกเราอาศัยอยู่ ตลอดจนสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นภัยคุกคาม เป็นปฏิปักษ์ หรือเป็นมิตรต่อพวกเรา—ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และพวกเราไม่มีสิ่งใดต้องกังวลหรือเป็นห่วง นี่คือมุมมองที่ผู้คนควรยึดถือและความตระหนักที่พวกเขาควรมี ตลอดจนความจริงที่พวกเขาควรมีและเข้าใจ และนี่คือมุมมองที่สาม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นมุมมองที่สำคัญที่สุดด้วย นั่นคือไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่ใด ในประเทศใด และไม่ว่าความสามารถหรือขีดความสามารถของเราจะเป็นเช่นไร เราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมวลสิ่งมีชีวิตทรงสร้างผู้ต่ำต้อย ความรับผิดชอบและหน้าที่เพียงอย่างเดียวที่เราควรลุล่วงคือการนบนอบอธิปไตย การจัดเตรียม และการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้าง ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก มันง่ายเช่นนั้นเอง แม้ว่าปัจจุบันเราจะอยู่ในประเทศที่เสรีและสภาพแวดล้อมที่เสรี แต่หากวันหนึ่งพระเจ้าทรงยกกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ขึ้นมาเพื่อข่มเหงและทำร้ายพวกเรา พวกเราก็ไม่ควรมีคำพร่ำบ่นใดๆ ทั้งสิ้น เหตุใดพวกเราจึงไม่ควรมีคำพร่ำบ่น? เพราะพวกเราเตรียมพร้อมมานานแล้ว พันธะ ความรับผิดชอบ และหน้าที่ของพวกเราคือการนบนอบทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง การนบนอบนี้คือความจริงใช่หรือไม่? เป็นท่าทีที่ผู้คนควรมีใช่หรือไม่? (ใช่) หากวันหนึ่ง มวลมนุษยชาติทั้งปวงและสภาพแวดล้อมทั้งหมดหันมาต่อต้านพวกเรา และพวกเราเผชิญกับความตาย เราควรมีคำพร่ำบ่นหรือไม่? (ไม่ควร) บางคนกล่าวว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงนำเรามาต่างแดนเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทนทุกข์กับการข่มเหงอันโหดร้ายของซาตานอีกต่อไปหรอกหรือ? ไม่ใช่เพื่อที่เราจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างอิสระและสูดอากาศแห่งเสรีภาพหรอกหรือ? แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงยังคงตั้งพระทัยให้เราเผชิญกับความตาย?” คำพูดเหล่านี้ไม่ถูกต้อง การนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้าเป็นท่าทีหนึ่ง เป็นท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อพระเจ้า ต่ออธิปไตยของพระเจ้า เป็นท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมี
ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้คนควรตระหนัก นั่นคือแม้ว่าในต่างแดนจะค่อนข้างมั่นคงและเสรี แต่ก็ยังยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกคุกคามจากพญานาคใหญ่สีแดงอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเผชิญกับการคุกคามของพญานาคใหญ่สีแดง บางคนก็กังวลว่า “อำนาจของพญานาคใหญ่สีแดงนั้นใหญ่หลวงนัก มันสามารถติดสินบนบุคคลสำคัญทั่วโลกให้รับใช้มัน ทำงานแทนมันได้ ดังนั้น แม้ว่าพวกเราจะหนีมาต่างแดน พวกเราก็ยังคงตกอยู่ในอันตราย ยังคงอยู่ในภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัว! พวกเราจะทำอะไรได้บ้าง?” แต่ละครั้งที่ได้ยินข่าวเหล่านี้ บางคนก็กังวลและหวาดกลัว อยากจะประนีประนอม อยากจะหนี ไม่รู้ว่าควรจะไปซ่อนตัวที่ใด เมื่อใดก็ตามที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ บางคนก็คิดว่า “โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก แต่กลับไม่มีที่สำหรับฉัน! ภายใต้อำนาจของพญานาคใหญ่สีแดง ฉันทนทุกข์กับการข่มเหงของมัน และแม้จะอยู่นอกขอบเขตสิทธิอำนาจของมัน เหตุใดฉันจึงยังคงถูกมันก่อกวน? อำนาจของพญานาคใหญ่สีแดงนั้นใหญ่หลวงนัก แม้ว่าฉันจะหนีไปจนสุดขอบโลก เหตุใดมันจึงยังคงตามหาฉันพบ?” ผู้คนอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวและไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไร นี่เป็นการแสดงออกของการมีความเชื่อหรือไม่? ปัญหาในที่นี้คืออะไร? (ขาดความเชื่อในพระเจ้า) เป็นเพียงการขาดความเชื่อในพระเจ้าเท่านั้นหรือ? ลึกๆ แล้วพวกเจ้ารู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่นหรือไม่? เจ้ารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และการทำหน้าที่ของตนในคริสตจักรเป็นเรื่องลับๆ ล่อๆ เหมือนเป็นขโมยหรือไม่? เจ้ารู้สึกด้อยกว่าคนในโลกศาสนาบ้างหรือไม่? “ดูอำนาจของพวกเขาสิ พวกเขามีศิษยาภิบาลที่เป็นทางการและมีอาสนวิหารใหญ่ที่รัฐยอมรับ มันช่างหรูหรานัก! พวกเขามีคณะนักร้องประสานเสียงและกิจการต่างๆ ในหลายประเทศ แต่ดูเราสิ ถูกรังแกอยู่เสมอ เผชิญกับการถูกขับไล่ไสส่งทุกที่ที่เราไป—เหตุใดเราจึงแตกต่างจากพวกเขา? เหตุใดเราจึงไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ได้ไม่ว่าจะไปที่ใด? เหตุใดเราจึงต้องใช้ชีวิตอย่างน่าสังเวชเช่นนี้? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมีการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบทั้งหมดนั้นทางออนไลน์อีกด้วย เหตุใดคริสตจักรอื่นจึงไม่ต้องทนกับเรื่องนี้ เหตุใดเราจึงต้องทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ? ผู้เชื่อในพระเจ้าคนอื่นๆ ประกาศความเชื่อในศาสนาคริสต์ของตนอย่างเปิดเผยไม่ว่าจะไปที่ใด แต่เราผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กลับไม่กล้าพูดอย่างเปิดเผย เพราะกลัวว่าคนชั่วอาจจะรายงานเราแล้วเราก็จะถูกจับกุม” เมื่อเร็วๆ นี้ เราได้ยินมาว่ามีบุคคลหนึ่งอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ถามคำถามสองสามข้อกับพี่น้องชายหญิงบางคน เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่กำลังสอบสวนพวกเขา พวกเขาก็เกิดความกลัวและเปิดเผยทุกสิ่งที่ตนรู้ ตอบทุกคำถามที่ถูกถาม การที่พวกเขาทำเช่นนี้มีปัญหาอะไร? เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า—เหตุใดเจ้าจึงควรกลัวเจ้าหน้าที่? หากเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ผิดกฎหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องกลัว หากเจ้ามีความจริง เหตุใดจึงต้องกลัวหมู่มารและซาตาน? เจ้าคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องหรือ? เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้ทำสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่? แล้วเหตุใดเจ้าจึงกลัวเจ้าหน้าที่? คนเช่นนี้ไม่ใช่คนโง่เขลาและเบาปัญญาหรอกหรือ? บางคนทนทุกข์กับการถูกตามล่าและข่มเหงอย่างหนักในแผ่นดินใหญ่ หลังจากมาต่างแดนแล้ว พวกเขารู้สึกผิดกับการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? พวกเขารู้สึกเสื่อมเสียเกียรติจากการข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงหรือไม่? พวกเขารู้สึกละอายที่จะเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษและเสียเกียรติเพราะถูกบังคับให้หนีมาต่างแดนเพื่อเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนหรือไม่? พวกเขาเห็นระบอบการปกครองเยี่ยงซาตานและโลกศาสนาปฏิบัติต่อพระเจ้าและคริสตจักรอย่างเป็นปฏิปักษ์ และรู้สึกด้อยกว่า หรืออาจจะน่าอัปยศยิ่งกว่าการก่ออาชญากรรมเสียอีกหรือไม่? พวกเจ้ามีความรู้สึกเหล่านี้หรือไม่? (ไม่มี) พวกเจ้าอาจจะส่ายหน้าเพียงภายนอก ไม่ต้องการที่จะมีความคิดและความรู้สึกเหล่านี้ แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์จริง แนวคิดของบุคคล พฤติกรรมของพวกเขา และการกระทำโดยไม่รู้ตัวที่พวกเขาทำ ย่อมเปิดโปงแง่มุมที่ลึกที่สุดและซ่อนเร้นที่สุดในใจของพวกเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่เกิดอะไรขึ้น? หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ เหตุใดเจ้าจึงกลัว? คนที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายจะกลัวตำรวจหรือไม่? พวกเขาจะกลัวผู้พิพากษาหรือไม่? ไม่ มีเพียงผู้ที่ทำผิดกฎหมายเท่านั้นที่กลัวตำรวจที่สุด และมีเพียงคนจีนที่คุ้นเคยกับการถูกตำรวจกดขี่เท่านั้นที่กลัวพวกเขาที่สุด เพราะตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นไร้กฎหมายและทำทุกอย่างตามใจชอบ ดังนั้น เมื่อคนจีนมาถึงต่างแดนครั้งแรก เพียงแค่เห็นตำรวจก็ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวแล้ว นี่เป็นผลมาจากการถูกทำให้หวาดกลัวโดยการปกครองของพญานาคใหญ่สีแดง เป็นสิ่งที่ถูกเผยออกมาในจิตใต้สำนึกของพวกเขา ในประเทศตะวันตก สถานะของเจ้านั้นถูกกฎหมาย เจ้ามีสิทธิในการอยู่อาศัย เจ้าไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ และเจ้าก็ไม่ได้โจมตีรัฐบาล และเจ้าไม่ได้ก่ออาชญากรรมใดๆ ไม่ว่าความเชื่อของเจ้าจะก่อให้เกิดความขัดแย้งมากเพียงใดในโลกศาสนา ข้อเท็จจริงหนึ่งยังคงแน่นอน นั่นคือความเชื่อของเจ้านั้นได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ถูกกฎหมายและเป็นเสรี และนี่คือสิทธิมนุษยชนอันชอบธรรมของเจ้า เจ้าไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นหากมีคนอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและสอบสวนเจ้าว่า “คุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่? แสดงบัตรประจำตัวของคุณมา! คุณมาจากไหน? คุณอายุเท่าไหร่? คุณเป็นผู้เชื่อมากี่ปีแล้ว? คุณอาศัยอยู่ที่ไหน? บอกที่อยู่ของคุณมา!” เจ้าจะตอบอย่างไร? สำหรับคำถามแรก “คุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่?” เจ้าจะตอบว่าอย่างไร? (ใช่) เหตุใดพวกเจ้าจึงจะตอบว่า “ใช่”? นี่เป็นไปตามข้อเท็จจริงหรือ? หรือนี่เป็นความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะพลเมือง ที่เจ้าต้องตอบว่า “ใช่” หากถูกถาม? หรือพระเจ้าได้ทรงสั่งเจ้าให้ตอบว่า “ใช่”? อะไรคือพื้นฐานของพวกเจ้า? สำหรับสิ่งที่สองที่พวกเขาถาม “แสดงบัตรประจำตัวของคุณมา!” พวกเจ้าจะแสดงหรือไม่? (ไม่) และคำถามที่สาม “คุณอาศัยอยู่ที่ไหน? จดที่อยู่ของคุณลงไป” เจ้าจะจดหรือไม่? (ไม่จด) คำถามที่สี่ “คุณเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว? ใครแนะนำคุณให้รู้จักความเชื่อนี้? เหตุใดคุณจึงเชื่อ? คุณอยู่ต่างประเทศมากี่ปีแล้ว?” เจ้าจะตอบคำถามเหล่านี้หรือไม่? (ไม่ตอบ) คำถามที่ห้า “คุณกำลังทำหน้าที่อะไรอยู่ที่นี่? ใครคือผู้นำของคุณ?” เจ้าจะตอบสนองต่อคำถามนี้หรือไม่? (ไม่ตอบ) ทำไมไม่ตอบ? (ข้าพระองค์ไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องบอกพวกเขา) ถ้าเช่นนั้น กลับมาที่คำถามแรก หากถูกถามว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่ พวกเจ้าทุกคนต่างก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าจะตอบว่า “ใช่” การตอบเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? (เพราะความเชื่อเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล ตำรวจไม่มีอำนาจที่จะแทรกแซง ดังนั้น ข้าพระองค์จึงมีสิทธิ์ที่จะไม่บอกพวกเขา) แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกพวกเขา? (เพราะข้าพระองค์ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่าเหตุใดพวกเขาจึงสอบสวนข้าพระองค์ พวกเขากำลังทำเช่นนั้นในฐานะใด และการสอบสวนของพวกเขานั้นถูกกฎหมายหรือไม่ หากวัตถุประสงค์และตัวตนของพวกเขาไม่ชัดเจน ข้าพระองค์ก็ไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องตอบคำถามของพวกเขา) คำพูดนี้ถูกต้อง ในตอนแรก พวกเจ้าทุกคนต่างก็ระบุว่าจะตอบว่า “ใช่” แต่เมื่อเราถามต่อไป พวกเจ้าก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าคำตอบของตนนั้นไม่ถูกต้อง พวกเจ้าได้มองเห็นหรือไม่ว่าปัญหาอยู่ที่ใด? ในเรื่องนี้ นี่คือความเข้าใจที่พวกเจ้าควรมี นั่นคือพวกเราไม่ได้ละเมิดกฎหมายใดๆ โดยการเชื่อในพระเจ้า พวกเราไม่ใช่ผู้กระทำความผิด พวกเรามีสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของเรา ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะสามารถสอบสวนหรือซักถามพวกเราได้ตามอำเภอใจ ไม่ใช่กรณีที่ว่าใครก็ตามที่ถามคำถามเรา เราจะต้องตอบตามความจริง เราไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องทำเช่นนี้ คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ใช่) เป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นใคร จะมาสอบสวนพวกเราตามอำเภอใจ พวกเราต้องเข้าใจกฎหมายและเรียนรู้วิธีใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองตนเอง นี่คือสติปัญญาที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรมี แล้วเจ้าควรทำอย่างไรหากเจ้าเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต? หากมีคนถามเจ้าว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่ เจ้าจะตอบสนองอย่างไร เจ้าจะจัดการอย่างไร? สิ่งแรกที่เจ้าพูดคือ “คุณเป็นใคร? คุณมีสิทธิ์อะไรมาถามฉันเช่นนี้? เรารู้จักกันหรือ?” หากพวกเขาบอกว่าเป็นพนักงานของหน่วยงานรัฐบาลบางแห่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรขอให้พวกเขาแสดงบัตรประจำตัว หากพวกเขาไม่แสดงบัตรประจำตัว เจ้าก็พูดว่า “คุณไม่มีสิทธิ์มาซักถามฉัน และฉันก็ไม่มีภาระผูกพันใดๆ ที่จะต้องตอบคุณ มีเจ้าหน้าที่ทางการมากมาย ฉันต้องตอบพวกเขาทุกคนเลยหรือ? รัฐบาลมีคนที่ได้รับมอบหมายให้จัดการงานบางอย่าง—คุณเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้จริงๆ หรือ? แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้รับผิดชอบ ฉันก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แล้วเหตุใดฉันจึงควรตอบคุณ? เหตุใดฉันจึงควรบอกทุกอย่างแก่คุณ? หากคุณคิดว่าฉันทำอะไรผิดและทำผิดกฎหมาย คุณก็สามารถแสดงหลักฐานได้ แต่หากคุณต้องการให้ฉันตอบคำถามใดๆ ของคุณ ให้ไปคุยกับทนายของฉัน ฉันไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องตอบคุณ และคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะถาม!” วิธีการตอบสนองเช่นนี้เป็นอย่างไร? มันสื่อถึงศักดิ์ศรีหรือไม่? (ใช่) แล้วการตอบสนองของพวกเจ้าแสดงให้เห็นอะไร? มันสื่อถึงศักดิ์ศรีหรือไม่? (ไม่) การตอบสนองในแบบของพวกเจ้านั้นแสดงถึงความไม่รู้กฎหมาย เจ้าเพียงแค่ตอบทุกอย่างที่คนอื่นถาม แล้วสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น? เจ้ากลายเป็นยูดาส พวกเจ้าสามารถตอบอย่างขาดความยั้งคิดได้ และนี่คือเหตุผลหนึ่ง นั่นคือผู้คนในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงได้รับการปลูกฝังและล้างสมองให้คิดว่าผู้เชื่อในพระเจ้านั้นโง่เขลา เป็นชนชั้นล่าง และถูกรัฐข่มเหง ในประเทศนี้พวกเขาควรใช้ชีวิตโดยปราศจากสิทธิมนุษยชนหรือศักดิ์ศรี ดังนั้นผู้เชื่อจึงจัดตนเองให้อยู่ในสถานะที่ต่ำกว่า หลังจากมาถึงประเทศตะวันตก พวกเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เช่น สิทธิมนุษยชนคืออะไร ศักดิ์ศรีคืออะไร หรือพันธะของพลเมืองคืออะไร ดังนั้น เมื่อมีคนถามว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ เจ้าก็รีบยอมรับด้วยความกลัว บอกพวกเขาทุกอย่างที่เจ้ารู้ และไม่แสดงวุฒิภาวะใดๆ เลย ใครเป็นสาเหตุของทั้งหมดนี้? เป็นการปลูกฝังและการปกครองของพญานาคใหญ่สีแดงที่เป็นสาเหตุ ลึกๆ ในจิตใต้สำนึกของทุกคนในแผ่นดินใหญ่ มีแนวคิดว่าเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้าแล้ว เจ้าก็อยู่ในสถานะที่ต่ำที่สุดในสังคมนี้ ในหมู่มวลมนุษยชาติ เจ้าจะถูกตัดขาดจากสังคมและมวลมนุษยชาติ ดังนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงขาดศักดิ์ศรี สิทธิมนุษยชน และความตระหนักในการคุ้มครองตนเอง พวกเขาโง่เขลา ไร้เดียงสา และขาดความเข้าใจ ปล่อยให้ผู้อื่นรังแกและบงการพวกเขาตามอำเภอใจ นี่คือแนวคิดของพวกเจ้า ไม่ต้องพูดถึงการตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าเพื่อพระเจ้าเลย เจ้ากลับขายพระองค์ได้ทุกเมื่อ กลายเป็นยูดาสได้ทุกเมื่อ แล้วเจ้าจะสามารถกระทำอย่างมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร? เจ้าควรเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าที่ถามคำถามเจ้าอย่างไร? ก่อนอื่น จงถามว่าพวกเขาเป็นใคร แล้วขอให้พวกเขาแสดงบัตรประจำตัว นี่คือกระบวนการทางกฎหมายที่ถูกควร ในประเทศตะวันตก ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ทางการอื่นๆ เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสาธารณชนในฐานะตัวแทนที่ทำงานในนามของทางการ จะแสดงบัตรประจำตัวของตนก่อนเสมอ หลังจากตรวจสอบยืนยันตัวตนของพวกเขาตามบัตรประจำตัวแล้ว เจ้าจึงตัดสินใจว่าจะตอบคำถามของพวกเขาอย่างไร หรือจะจัดการกับข้อเรียกร้องของพวกเขาที่มีต่อเจ้าอย่างไร แน่นอนว่า ในเรื่องนี้ เจ้ามีช่องทางในการเลือกอย่างแน่นอน เจ้ามีอิสระในการตัดสินใจอย่างสมบูรณ์ เจ้าไม่ใช่หุ่นเชิด แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนจีนและเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่เจ้าก็เป็นสมาชิกที่ถูกกฎหมายและได้รับการยอมรับของประเทศที่เจ้าอาศัยอยู่เช่นกัน อย่าลืมว่าเจ้ามีอิสระในการตัดสินใจ เจ้าไม่ใช่ทาสหรือนักโทษของประเทศใดๆ เจ้าคือผู้ที่สามารถได้รับประโยชน์จากกฎหมาย สิทธิมนุษยชน และระบบของประเทศนี้
จากเนื้อหาที่เราได้สามัคคีธรรมไป พวกเจ้าควรเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นกะทันหันและเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างไร? นี่คือประเด็นที่สี่ที่เราจะสามัคคีธรรมกัน—อย่าขี้ขลาด บางคนถามว่า “การไม่ขี้ขลาดหมายถึงการทำตัวบ้าบิ่นอย่างนั้นหรือ?” ไม่ใช่เลย การไม่ขี้ขลาดหมายถึงการไม่กลัวอำนาจใดๆ เพราะพวกเราไม่ใช่อาชญากร ไม่ใช่ทาส แต่คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้ทรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี คือมวลมนุษย์ทรงสร้างผู้ทรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง แนวทางสำหรับเรื่องนี้ สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคืออย่าขี้ขลาด นอกจากนั้น จงพิทักษ์รักษาหน้าที่ของตนและสภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่อย่างกระตือรือร้น และจงเผชิญหน้ากับทุกสภาพแวดล้อม ตลอดจนถ้อยแถลง การกระทำ และสิ่งอื่นๆ จากอำนาจต่างๆ ที่มุ่งเป้ามาที่พวกเราด้วยท่าทีเชิงรุกด้วย การเผชิญหน้าอย่างกระตือรือร้นและไม่ขี้ขลาด—พวกเจ้าคิดว่าท่าทีเช่นนี้เป็นอย่างไร? (ดี) การใช้ชีวิตเช่นนี้จึงจะมีเกียรติมีศักดิ์ศรี สมกับเป็นมนุษย์ ไม่ใช่การมีชีวิตอยู่อย่างน่าอดสูเพียงเพื่อเอาตัวรอด พวกเรามาต่างประเทศเพื่อทำหน้าที่ของตน ไม่ใช่เพื่อหาเลี้ยงปากท้องหรือหาเลี้ยงชีพไปวันๆ พวกเราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้สร้างปัญหาให้แก่ประเทศใด และย่อมไม่ใช่ทาสของประเทศใดอย่างแน่นอน พวกเรากำลังทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายโดยสมบูรณ์
ในสี่ประเด็นที่เราเพิ่งอภิปรายกันไปนั้น แต่ละประเด็นล้วนสำคัญอย่างยิ่ง ประเด็นแรกคืออะไร? (ไม่ว่าจะอยู่ในต่างประเทศหรือในประเทศจีน การที่คนเราสามารถสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างสุดใจและทำหน้าที่ของตน ถือเป็นภารกิจที่ชอบธรรมที่สุดในบรรดามวลมนุษยชาตินับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การทำหน้าที่ของพวกเรานั้นเปิดเผยและชอบธรรม ไม่ใช่การลักลอบทำ เพราะสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ตอนนี้นั้นเป็นภารกิจที่ชอบธรรมที่สุดในบรรดามวลมนุษยชาติ) และประเด็นที่สองล่ะ? (พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่งและทุกเหตุการณ์ ทุกสรรพสิ่งรวมถึงเหล่าผู้ปกครองของโลกและอำนาจใดๆ ในโลกล้วนอยู่ภายใต้การปกครองและการควบคุมในพระหัตถ์ของพระเจ้า—ไม่มีผู้ใดควบคุมชะตาของตนเองได้ พวกเราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ชะตากรรมของพวกเราอยู่ภายใต้การปกครองและควบคุมในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนทิศทางว่าพวกเราจะไปที่ไหนและพวกเราจะอยู่ที่ไหน การปกครองและระบอบของผู้ปกครองในประเทศที่พวกเราอาศัยอยู่เป็นเช่นไร สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของประเทศนี้เป็นเช่นไร และสิ่งเหล่านั้นจะเป็นภัยคุกคาม เป็นปฏิปักษ์ หรือเป็นมิตรต่อพวกเราหรือไม่—ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า พวกเราจึงไม่มีอะไรต้องกังวลหรือเป็นห่วง) ประเด็นที่สามคืออะไร? (ไม่ว่าพวกเราจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่าความสามารถหรือขีดความสามารถของพวกเราจะเป็นเช่นไร พวกเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งในมวลสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอันเล็กน้อยไร้ความสำคัญ ความรับผิดชอบและหน้าที่เพียงอย่างเดียวที่พวกเราควรลุล่วงคือการนบนอบต่ออธิปไตย การจัดเการตรียมการ และการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้าง แม้ว่าปัจจุบันพวกเราจะอยู่ในประเทศเสรี แต่หากวันหนึ่งพระเจ้าทรงยกชูกองกำลังที่เป็นปรปักษ์มาข่มเหงและทำร้ายพวกเรา พวกเราก็ไม่ควรมีคำพร่ำบ่นใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะพันธะ ความรับผิดชอบ และหน้าที่ของพวกเราคือการนบนอบต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียง) ประเด็นที่สี่คือการเผชิญหน้ากับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายภายนอกทั้งหมดอย่างกระตือรือร้น โดยไม่ขลาดกลัว สี่ประเด็นนี้คือท่าทีและความเข้าใจที่ทุกคนที่ทำหน้าที่ของตนควรมี และยังเป็นความจริงที่ทุกคนที่ทำหน้าที่ของตนควรเข้าใจอีกด้วย แม้ว่าสี่ประเด็นนี้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงานที่สามัคคีธรรมกันในวันนี้มากนัก แต่ในเมื่อเรากำลังพูดถึงความลำบากยากเย็นในงาน ก็จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ ไม่ได้พูดไปโดยเปล่าประโยชน์
ค. หลักธรรมที่ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น
ผู้นำและคนทำงานบางคนเมื่อเผชิญกับปัญหาในกิจการภายนอกที่ค่อนข้างจัดการได้ยาก ก็จะจนปัญญา ไม่สามารถมองทะลุถึงต้นตอของปัญหา และไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร พวกเขาเพียงแค่เพิกเฉย ส่งผลให้เรื่องนั้นล่าช้าออกไป นี่เป็นปัญหาอะไร? นี่คือผู้นำเทียมเท็จที่ไม่สามารถปฏิบัติงานและทำให้เกิดความล่าช้าอยู่เสมอ ผู้นำเทียมเท็จขาดสำนึกของคนปกติ ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้ ทำไมพวกเขาจึงไม่รายงานต่อเบื้องบน? หากเจ้ารายงานปัญหาต่อเบื้องบน เราก็สามารถเผชิญหน้ากับมันร่วมกันได้ และในที่สุดปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข มีบางเรื่องที่พวกเจ้ามองไม่ออก เราจะช่วยพวกเจ้าวิเคราะห์เรื่องเหล่านั้นเอง ตราบใดที่พวกเราไม่ละเมิดกฎหมายหรือข้อบังคับของรัฐบาล ก็ไม่มีปัญหาใดที่ใหญ่เกินกว่าจะเอาชนะได้ สำหรับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง พวกเราจะแก้ไขกันเอง ส่วนปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย พวกเราสามารถขอคำแนะนำทางกฎหมายเพื่อขอความช่วยเหลือและแก้ไขผ่านช่องทางกฎหมายได้ ไม่ว่ากองกำลังชั่วร้ายใดๆ จะจงใจก่อกวนและบ่อนทำลายงานของพระนิเวศของพระเจ้า จงจำไว้หนึ่งสิ่งคือ ตราบใดที่พวกเราไม่ทำผิดกฎหมายหรือละเมิดข้อบังคับของรัฐบาล ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรพวกเราได้ ทั้งนี้เป็นเพราะประเทศในต่างแดนส่วนใหญ่เป็นประเทศประชาธิปไตยและปกครองด้วยกฎหมาย แม้ว่ากองกำลังชั่วร้ายจะกระทำการขัดต่อกฎหมาย พวกมันก็กลัวการถูกเปิดโปงและบทลงโทษทางกฎหมายเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริง ไม่ว่ามือมืดของพญานาคใหญ่สีแดงจะก่อกวนและบ่อนทำลายงานของพระนิเวศของพระเจ้า คุกคามชีวิตปกติของพวกเรา หรือจ้างวานใครให้ทำเรื่องเลวร้ายอย่างไรก็ตาม พวกเราต้องถ่ายรูปและทำวิดีโอที่เป็นของจริง บันทึกข้อมูลอย่างจริงจังและถูกต้อง และจดบันทึกเวลา สถานที่ และผู้ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเราจะแก้ปัญหาผ่านช่องทางกฎหมาย และพวกเราไม่จำเป็นต้องกลัวมัน แม้ว่าการปราบปรามของพญานาคใหญ่สีแดงจะบ้าคลั่งเพียงใด พวกเราก็ไม่กลัวมันเพราะพระเจ้าทรงเกื้อหนุนพวกเราอยู่ และวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงส่งความวิบัติมาทำลายมัน พระเจ้าจะทรงจัดการตอบแทนการกระทำของมันโดยตรง โดยที่พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย บางครั้งพวกเจ้ามองไม่ทะลุปัญหาบางอย่าง ในกรณีนั้น พวกเจ้าควรรายงานขึ้นไปเบื้องบนอย่างรวดเร็ว แล้วเบื้องบนจะชี้ทางให้พวกเจ้า ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กและเรื่องเล็กก็ได้รับการแก้ไข ในความเป็นจริง สำหรับปัญหาหลายอย่าง พวกเจ้าไม่รู้วิธีวิเคราะห์และไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของมันได้ จึงคิดว่าสถานการณ์นั้นสำคัญและร้ายแรง แต่หลังจากการวิเคราะห์จากเบื้องบนแล้ว พวกเจ้าจะตระหนักว่าโดยพื้นฐานแล้วมันไม่มีอะไรเลย ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัวและไม่ใช่เรื่องสำคัญ—เพียงแค่วางตัวไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แล้วผ่านไปสักพักเรื่องก็จะคลี่คลายไปเอง การก่อกวนของกองกำลังชั่วร้ายไม่สามารถสร้างความวุ่นวายใหญ่โตได้ พวกมันกลัวการถูกเปิดโปงต่อสาธารณชนมากที่สุด ดังนั้นพวกมันจึงไม่กล้าล้ำเส้น หากมีพวกปัญญานิ่มสักสองสามคนกล้าล้ำเส้น พวกเราก็สามารถแก้ไขตามกฎหมายได้ โดยใช้มาตรการทางกฎหมาย นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานทุกคนควรมองให้ทะลุ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับสถานการณ์ใด เจ้าจะต้องไม่ทำตัวสับสนหรือโง่เขลาเป็นอันขาด หากเจ้ามองสถานการณ์ไม่ออกหรือไม่สามารถจัดการ เจ้าควรรายงานขึ้นไปเบื้องบนทันทีและให้เบื้องบนให้คำแนะนำและกลยุทธ์แก่เจ้า สิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริงเพียงอย่างเดียวคือการที่ผู้นำเทียมเท็จมองปัญหาไม่ออกหรือรับมือไม่ได้ แต่กลับไม่รายงานหรือแจ้งให้เบื้องบนทราบ พวกเขารอจนกระทั่งสถานการณ์บานปลายและทำให้งานล่าช้าแล้วจึงค่อยรายงานขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้สูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหาไป เช่นเดียวกับคนที่เป็นมะเร็งแต่ไม่ตรวจหรือรักษาให้ทันท่วงที เพิ่งจะไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาก็เมื่อถึงระยะสุดท้ายแล้ว แต่ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปและทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น ดังนั้น ผู้นำเทียมเท็จจึงเป็นพวกที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะทำให้เรื่องต่างๆ ในงานของพวกเขาล่าช้า ผู้นำเทียมเท็จนั้นสติปัญญาบกพร่อง พวกเขาเป็นคนพาล ทั้งไม่รับผิดชอบและไม่ปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้า ทำไมจึงกล่าวว่าผู้นำเทียมเท็จเป็นพวกเดนมนุษย์ เป็นตัวซวย เป็นคนโง่ที่ขาดเหตุผลที่สุด? นั่นคือเหตุผล ผู้นำเทียมเท็จคนใดก็ตามที่มีขีดความสามารถย่ำแย่ถึงขนาดที่ไม่สามารถแม้แต่จะจัดการกับเรื่องภายนอกได้ควรถูกปลดและกำจัดออกไปทันที และไม่ควรถูกใช้งานอีก เพื่อป้องกันไม่ให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าออกไปอีก งานของผู้นำเทียมเท็จเป็นอุปสรรคมากที่สุด บ่อยครั้งเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ก็ยังสามารถแก้ไขได้ผ่านการปรึกษาหารือกับทุกคนอย่างทันท่วงที สิ่งที่น่ากังวลเพียงอย่างเดียวคือผู้นำเทียมเท็จที่รับผิดชอบนั้นสติปัญญาบกพร่อง พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง แต่กลับไม่หารือกับกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจหรือไม่รายงานต่อเบื้องบน และพวกเขาก็มีท่าทีเพิกเฉย ปกปิดและซุกปัญหาไว้ใต้พรม—นี่คือสิ่งที่ทำให้เรื่องต่างๆ ล่าช้ามากที่สุด หากปัญหาถูกปล่อยให้ล่าช้าและสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ก็อาจนำไปสู่การเสียโอกาสการเป็นฝ่ายรุกในการจัดการกับปัญหา ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายรับ นี่พิสูจน์ให้เห็นอะไร? บางเรื่องไม่สามารถล่าช้าและต้องจัดการโดยทันทีในโอกาสแรก อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ ดังนั้นบุคคลที่มีขีดความสามารถต่ำตมจึงไม่ควรเป็นผู้นำอย่างเด็ดขาด ผู้นำเทียมเท็จรู้เพียงแค่การพูดวาจาและคำสอนบางอย่างและไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงใดๆ พวกเขาทำได้เพียงแค่ทำร้ายผู้คนหรือทำให้เกิดความล่าช้าเท่านั้น มีเพียงการปลดผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้และเลือกบุคคลที่พร้อมแบกรับภาระและมีสำนึกรับผิดชอบมาเป็นผู้นำและคนทำงานเท่านั้น งานของคริสตจักรจึงจะสามารถคืบหน้าไปอย่างปกติได้ ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาใด ตราบใดที่เจ้าสามารถแสวงหาความจริง ก็ย่อมมีหนทางแก้ไขเสมอ เรื่องภายนอกและการก่อกวนที่เกิดจากพญานาคใหญ่สีแดงสามารถแก้ไขได้ผ่านช่องทางกฎหมายเมื่อจำเป็น นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ตราบใดที่พวกเราไม่ทำผิดกฎหมายหรือละเมิดข้อบังคับของรัฐบาล ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรพวกเราได้ และด้วยความเชื่อมั่นนี้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวการก่อกวนใดๆ จากซาตานหรือพวกมารเลย
บัดนี้ ปัญหาของผู้นำเทียมเท็จจะต้องถูกชำแหละและทำความเข้าใจ นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติงานของคริสตจักรให้ดี! เรามาสามัคคีธรรมกันว่าเหตุใดผู้นำเทียมเท็จเมื่อเผชิญกับปัญหาที่ตนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง จึงยังคงไม่รายงานต่อเบื้องบน พวกเราควรมองเรื่องนี้อย่างไร? พวกเจ้าทุกคนสามารถวิเคราะห์เรื่องนี้และได้รับประโยชน์จากการทำเช่นนั้นได้ ปัญหาของการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ปฏิบัติงานจริงนั้นร้ายแรงอยู่แล้ว แต่ยังมีปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อคริสตจักรเผชิญกับการก่อกวนจากคนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จไม่เพียงแต่ไม่จัดการ ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือพวกเขายังล้มเหลวในการรายงานต่อเบื้องบนอีกด้วย ปล่อยให้คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักรตามอำเภอใจ—พวกเขาเพียงแค่เฝ้าดูอย่างปลอดภัยอยู่ข้างสนาม ไม่ล่วงเกินผู้ใด ไม่ว่างานของคริสตจักรจะถูกก่อกวนถึงระดับใด ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ใส่ใจ นี่เป็นปัญหาอะไร? ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ช่างไร้ศีลธรรมเกินไปแล้วมิใช่หรือ? เพียงแค่ข้อเท็จจริงนี้ข้อเดียวก็เพียงพอที่จะขับไล่ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้แล้ว การที่ผู้นำเทียมเท็จปล่อยให้คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักรได้อย่างอิสระนั้นเทียบเท่ากับการส่งมอบคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้แก่คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ เป็นการทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังให้แก่คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ สิ่งนี้นำความสูญเสียอันใหญ่หลวงมาสู่งานของคริสตจักร! เพียงแค่ประเด็นนี้ประเด็นเดียว คำถามจึงไม่ใช่ว่าควรปลดผู้นำเทียมเท็จหรือไม่ แต่เป็นว่าควรชำระพวกเขาออกไปหรือไม่ เรื่องใดมีธรรมชาติที่ร้ายแรงกว่ากัน ระหว่างการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ปฏิบัติงานจริง หรือการที่ผู้นำเทียมเท็จปล่อยให้คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักร? การไม่ปฏิบัติงานจริงสามารถส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและความคืบหน้าของงานคริสตจักร ซึ่งนี่ก็ทำให้เรื่องสำคัญต่างๆ ล่าช้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้นำเทียมเท็จปล่อยให้คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนคริสตจักรตามอำเภอใจ โดยไม่แสวงหาทางแก้ไขหรือรายงานต่อเบื้องบน ผลที่ตามมาก็จะกลายเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่างน้อยที่สุด ชีวิตคริสตจักรก็จะถูกคนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ทำให้โกลาหลและไร้ระเบียบโดยสิ้นเชิง และนอกจากนี้ งานของคริสตจักรก็จะถูกทำให้เสียหายและเป็นอัมพาต นี่ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเผยแผ่งานข่าวประเสริฐหรอกหรือ? ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงอย่างแท้จริง! ดังนั้น หากผู้นำเทียมเท็จทำความผิดพลาดนี้ พวกเขาจะต้องถูกขับไล่ ผู้นำและคนทำงานจำนวนมากมักจะมีความคิดและมโนคติอันหลงผิดที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับการรายงานปัญหาต่อเบื้องบนเสมอ บางคนกล่าวว่า “แม้จะรายงานปัญหาต่อเบื้องบนก็อาจจะแก้ไขไม่ได้” นี่เป็นคำพูดที่เหลวไหลสิ้นดี! เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ว่า “อาจจะแก้ไจไม่ได้”? เพียงเพราะเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ ไม่ได้หมายความว่าเบื้องบนจะทำไม่ได้ หากเบื้องบนให้หนทางแก่เจ้า โดยพื้นฐานในความเป็นจริงปัญหาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว หากเบื้องบนไม่ให้หนทาง เจ้าก็จะไม่มีหนทางใดเลย เจ้ามองไม่ทะลุแม้กระทั่งปัญหาเล็กน้อยนี้ เจ้าช่างโอหังและคิดว่าตนเองถูกเกินไปแล้ว! บางคนก็กล่าวว่า “เมื่อพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็นหรือปัญหา พวกเราต้องใคร่ครวญสักสองสามวันก่อน และจะรายงานก็ต่อเมื่อพวกเราหาทางแก้ไขไม่ได้จริงๆ เท่านั้น” อาจจะฟังดูเหมือนว่าคนที่พูดเช่นนี้มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่การใคร่ครวญสองสามวันนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความล่าช้ามิใช่หรือ? เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการใคร่ครวญสองสามวันจะแก้ไขปัญหาได้? เจ้าจะรับประกันได้หรือไม่ว่านั่นจะไม่ทำให้เกิดความล่าช้าไปกว่าเดิม? คนอื่นๆ กล่าวว่า “ถ้าพวกเรารายงานปัญหาทันที เบื้องบนจะไม่คิดว่าพวกเรามองไม่ทะลุแม้กระทั่งปัญหาเล็กน้อยนี้หรอกหรือ? พวกเขาจะไม่เรียกพวกเราว่าโง่เขลาและไม่รู้เรื่องแล้วตัดแต่งพวกเราหรอกหรือ?” พวกเขาคิดผิดที่พูดเช่นนี้—ไม่ว่าเจ้าจะรายงานปัญหาหรือไม่ก็ตาม คุณภาพขีดความสามารถของเจ้านั้นก็ปรากฏชัดอยู่แล้ว เบื้องบนรู้ทั้งหมด เจ้าคิดว่าเบื้องบนจะยกย่องเจ้าหากเจ้าไม่รายงานปัญหาบางอย่างอย่างนั้นหรือ? หากเจ้ารายงานปัญหา และมันยังไม่ได้ทำให้เรื่องสำคัญต่างๆ ล่าช้า พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ให้เจ้ารับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่รายงานและมันนำไปสู่ความล่าช้า เจ้าจะต้องรับผิดชอบโดยตรง และเจ้าจะถูกปลดทันที และจะไม่ได้ถูกใช้อีกเลย ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะมองว่าเจ้าเป็นคนไม่รู้เรื่อง โง่เขลา สติปัญญาไม่สมประกอบ และจิตใจไม่ปกติ และพวกเขาจะเกลียดชังเจ้าและดูหมิ่นเจ้าตลอดไป บรรดาผู้ที่กลัวอยู่เสมอว่าจะถูกตัดแต่งหรือถูกเบื้องบนดูแคลนเพราะการรายงานปัญหา เป็นพวกที่มีขีดความสามารถย่ำแย่และโง่เขลาที่สุด พวกเขาจะต้องถูกปลด และจะไม่ถูกใช้อีกเลย มีขีดความสามารถที่ย่ำแย่เช่นนี้แล้วยังจะรักษาหน้าตาอีก—นี่ไม่ใช่การไร้ยางอายอย่างที่สุดหรอกหรือ? จงบอกเราทีว่า ผู้นำเทียมเท็จที่ไม่เพียงแต่ปฏิบัติงานได้ไม่ดีแต่ยังทำให้เรื่องสำคัญต่างๆ ล่าช้าอีกด้วยนั้นน่ารังเกียจมิใช่หรือ? พวกเขาควรถูกปลดหรือไม่? (ควร) หากเผชิญกับปัญหาใหญ่และพวกเขาสามารถรายงานได้ทันท่วงทีโดยไม่ทำให้เกิดความล่าช้าหรือผลตามมาที่ร้ายแรง ควรมองผู้นำเช่นนี้อย่างไร? อย่างน้อยพวกเขาก็ถือว่ามีสำนึกและสามารถปกป้องงานของคริสตจักรได้ ผู้นำเช่นนี้ควรถูกใช้งานต่อไปหรือไม่? ควร มีเพียงผู้นำที่สติปัญญาบกพร่องที่สุดเท่านั้นที่จะไม่ยอมรายงานปัญหาเพราะกลัวว่าจะถูกตัดแต่ง ในอนาคตยังสามารถใช้งานผู้นำเช่นนี้ได้หรือไม่? เราคิดว่าพวกเขาไม่สามารถถูกใช้งานได้อีกต่อไปเพราะการใช้งานพวกเขาก่อให้เกิดความล่าช้ามากเกินไป มาถึงตอนนี้ พวกเจ้าทุกคนควรมองทะลุปัญหาประเภทนี้ได้แล้วใช่หรือไม่? เมื่อเจ้าพบเจอปัญหาที่เจ้าไม่สามารถจัดการได้ จงรีบรายงานและสามัคคีธรรมเพื่อหาทางแก้ไขกับกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจ หากกลุ่มผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่สามารถจัดการได้ จงรายงานต่อเบื้องบนทันที อย่ากังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ การสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตัวอย่างที่เพิ่งกล่าวถึงนั้นเกิดขึ้นในทุกคริสตจักร ซึ่งความลำบากยากเย็นและปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับความลำบากยากเย็นภายในบางอย่างของคริสตจักรแล้ว ปัญหาภายนอกเหล่านี้เกี่ยวข้องกับผลที่ตามมาที่ร้ายแรงกว่า ดังนั้น เมื่อเทียบกันแล้วความยากของปัญหาภายนอกจึงค่อนข้างมากกว่าความยากของปัญหาภายในของคริสตจักร หากพวกเจ้าเผชิญกับปัญหาภายนอก พวกเจ้าควรแก้ไขอย่างรวดเร็วผ่านการปรึกษาหารือหรือรายงานต่อเบื้องบน นี่เป็นสิ่งจำเป็น การปฏิบัติด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรับประกันความคืบหน้าตามปกติของงานคริสตจักรและรับประกันได้ว่าการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะไม่ถูกขัดขวาง นั่นคือทั้งหมดสำหรับการสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับหลักธรรมในการจัดการกับปัญหาภายนอกของคริสตจักร
ในแต่ละคริสตจักรมีบางคนที่มีขีดความสามารถย่ำแย่ และพวกเขามักจะเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการทำหน้าที่ของตน ไม่สามารถค้นพบหลักธรรมของการปฏิบัติได้ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาอย่างไร เพียงแค่ใช้ข้อบังคับอย่างมืดบอดโดยไม่มีประสิทธิผลที่แท้จริงใดๆ ในกรณีเช่นนี้ การมอบหมายหน้าที่ของคนเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการปรับเปลี่ยน การปรับเปลี่ยนนี้คือการโยกย้ายตำแหน่งบุคลากร ตัวอย่างเช่น มีคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานที่สำคัญ แต่เขามีปัญหาบางอย่างในงานของตนซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมกับเขาอย่างไร เจ้ามองไม่ทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหาหรือว่าคนคนนี้ยังสามารถใช้การได้หรือไม่ และการสังเกตการณ์หรือการสามัคคีธรรมเพิ่มเติมก็ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใดๆ เช่นกัน แม้ว่าคนคนนี้จะไม่ได้ทำให้งานล่าช้ามากเกินไป แต่ปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งก็ไม่เคยได้รับการแก้ไข ซึ่งทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ เจ้าควรทำอย่างไรเมื่อเผชิญกับเรื่องนี้? นี่เป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง เจ้าควรนำเรื่องนี้เข้าสู่การชุมนุมของผู้นำและคนทำงานเพื่อการสามัคคีธรรม การชำแหละ และการวิเคราะห์ หากในที่สุดสามารถบรรลุฉันทามติได้ ปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข หากการปฏิบัติด้วยวิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เมื่อปัญหายืดเยื้อออกไป ปัญหานั้นจะสามารถทำให้เรื่องสำคัญต่างๆ ล่าช้าได้หรือไม่? หากสามารถ เจ้าก็ควรรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด กล่าวโดยสรุปคือ ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับความสับสนหรือความลำบากยากเย็นใดๆ ในงานของเจ้า ตราบใดที่เรื่องนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการทำหน้าที่ของตนหรือขัดขวางความคืบหน้าตามปกติของงานคริสตจักร ปัญหานั้นก็ควรได้รับการแก้ไขโดยทันที หากเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง เจ้าควรแสวงหาคนสองสามคนที่เข้าใจความจริงเพื่อแก้ไขร่วมกับเจ้า หากแม้แต่วิธีนี้ยังไม่ได้ผล เจ้าก็ต้องนำเสนอปัญหานั้นและรายงานต่อเบื้องบนเพื่อแสวงหาทางแก้ไข นี่คือความรับผิดชอบและพันธะของผู้นำและคนทำงาน ผู้นำและคนทำงานต้องจัดการกับความลำบากยากเย็นหรือความสับสนใดๆ ที่พวกเขาเผชิญอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่เทศนาวาจาและคำสอนบางอย่างตามสบาย ตะโกนคำขวัญเพื่อปลุกเร้าพี่น้องชายหญิง หรือตัดแต่งพวกเขาแล้วก็ถือว่าจบเรื่องหลังจากค้นพบปัญหาหรือความลำบากยากเย็น บางครั้งการพูดวาจาและคำสอนอาจแก้ไขปัญหาผิวเผินบางอย่างได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับต้นตอ อุปนิสัยอันเสื่อมทราม และมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คนจะต้องได้รับการแก้ไขผ่านการสามัคคีธรรมความจริงโดยอิงตามพระวจนะของพระเจ้า นอกจากนี้ยังมีความลำบากยากเย็นส่วนตัวของผู้คน ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิชาชีพที่จำเป็นต่อการทำหน้าที่ ปัญหาในเชิงปฏิบัติเหล่านี้ทั้งหมดล้วนต้องการการแก้ไขโดยผู้นำและคนทำงาน ในบรรดาปัญหาเหล่านี้ ความสับสนและความลำบากยากเย็นใดๆ ที่ผู้นำและคนทำงานไม่สามารถแก้ไขได้ สามารถนำเข้าสู่การชุมนุมของผู้นำและคนทำงานเพื่อการชำแหละ การวิเคราะห์ และการแก้ไข หรือพวกเขาสามารถรายงานโดยตรงต่อเบื้องบนเพื่อแสวงหาความจริงเพื่อการแก้ไขได้ นี่เรียกว่าการปฏิบัติงานจริง และโดยการฝึกฝนที่จะปฏิบัติงานจริงด้วยวิธีนี้เท่านั้น วุฒิภาวะของคนเราจึงจะเติบโตขึ้นและคนเราจึงจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี ผู้นำและคนทำงาน ตราบใดที่พวกเขามีสำนึกรับผิดชอบ ก็จะระบุปัญหาได้ทุกที่ทุกเวลา และมีปัญหาที่พวกเขาควรแก้ไขทุกวัน ตัวอย่างเช่น เราเพิ่งกล่าวถึงเหตุการณ์หนึ่งที่มีคนถามว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่ และพวกเจ้าทุกคนก็งุนงง ในตอนแรก ทุกคนระบุว่าจะตอบว่า “ใช่” แต่ต่อมาบางคนก็กล่าวว่านั่นไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง และคนอื่นๆ ก็กล่าวว่าพวกเขาไม่รู้ มีคำตอบทุกรูปแบบ ในท้ายที่สุด ผู้นำและคนทำงานก็งุนงงเช่นกัน โดยคิดว่า “การตอบว่า ‘ไม่’ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเป็นการปฏิเสธพระเจ้าต่อหน้าผู้อื่น และจากนั้นพระเจ้าก็จะไม่ยอมรับพวกเรา—แต่ผลที่ตามมาของการตอบว่า ‘ใช่’ เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเป็นอย่างไร? ทางเลือกใดก็ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง” ผู้นำและคนทำงานไม่รู้วิธีแก้ไขปัญหานี้และไม่สามารถตัดสินใจได้ ดังนั้น เมื่อพี่น้องชายหญิงเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีกครั้ง พวกเขาก็จะยังคงขาดมุมมองและท่าทีที่ถูกต้อง และปัญหาก็จะยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งหมายความว่าผู้นำและคนทำงานไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตน—พวกเขาได้ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของตน การไม่ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของตนเป็นปัญหาของความสามารถและของขีดความสามารถ แต่เมื่อปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าควรทำอย่างไรหากเจ้ารู้ว่ามันยังไม่ได้รับการแก้ไข? เจ้าไม่ควรเพิกเฉยหรือซุกซ่อนเรื่องไว้เพื่อให้เรื่องซาลงไป ปล่อยให้ทุกคนทำตามอำเภอใจและทำตามที่พวกเขารู้สึก แต่เจ้าต้องรายงานต่อเบื้องบน แสวงหาการกระทำและเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เหมาะสมที่จะดำเนินในสถานการณ์เช่นนั้น ในท้ายที่สุด ควรทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าในสถานการณ์เหล่านี้คืออะไร หลักธรรมใดที่ผู้คนควรรักษาไว้ และท่าทีและจุดยืนใดที่พวกเขาควรยึดถือ จากนั้น เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีกครั้งในอนาคต พวกเขาก็จะเข้าใจหลักธรรมความจริงและมีเส้นทางแห่งการปฏิบัติ ด้วยวิธีนี้ ผู้นำและคนทำงานจึงจะลุล่วงความรับผิดชอบของตน แล้วทำไมพวกเจ้าทุกคนถึงตอบในตอนแรกว่าจะตอบว่า “ใช่” เมื่อถูกถามว่าพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่? มีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้คือ ผู้นำและคนทำงานไม่เคยสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหาเช่นนี้เลย พวกเขาถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ทุกคนมีความเข้าใจของตนเอง ที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้ตามที่ตนชอบและปฏิบัติได้ตามที่ตนเห็นสมควร ดังนั้น เมื่อพวกเจ้าถูกถามคำถามนี้ จึงมีคำตอบทุกรูปแบบ แล้วตอนนี้พวกเจ้าได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหรือยัง? เจ้าควรทำอย่างไรหากมีคนถามเจ้าว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่? อย่างแรก ถามว่าพวกเขาเป็นใคร อย่างที่สอง ขอให้พวกเขาแสดงบัตรประจำตัว หากพวกเขาถามข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ของเจ้า ก็ไม่ต้องให้คำตอบ แม้ว่าพวกเขาจะแสดงบัตรประจำตัว ก็อย่าบอกพวกเขา เพราะนี่คือความเป็นส่วนตัวของเจ้า เจ้าเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้ว ใครเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐแก่เจ้า เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนที่ไหนบ้าง ความเชื่อของเจ้าแรงกล้าเพียงใด เจ้าเลือกเส้นทางในอนาคตของเจ้าอย่างไร เจ้าไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริงอย่างไร—เรื่องเหล่านี้มีค่าเกินกว่าที่พวกเราจะเปิดเผยแก่คนแปลกหน้าคนใดตามสบาย พวกเขาไม่มีสิทธิ์สอบถามเกี่ยวกับข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้ หากผู้นำและคนทำงานไม่สามารถแก้ไขปัญหาเช่นนี้ได้ พวกเขาควรรายงานต่อเบื้องบนโดยทันทีเพื่อแสวงหาทางแก้ไขและขอวิธีตอบสนองที่เหมาะสม เบื้องบนจะไม่ล้อเลียนเจ้า อย่างมากที่สุด พวกเขาก็จะกล่าวว่าเจ้าโง่เขลาเกินไป อย่างไรก็ตาม การสามารถแก้ไขปัญหาได้คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
วันนี้ ว่าด้วยเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงาน—การรายงานและการแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที—เราได้สามัคคีธรรมเป็นหลักว่าอะไรคือความสับสนและความลำบากยากเย็น ตลอดจนวิธีที่ผู้นำและคนทำงานควรจัดการและแก้ไขปัญหาเหล่านี้เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับมัน และแนวทางในการรับมือเรื่องเหล่านี้ ส่วนการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จเมื่อพวกเขาเผชิญกับปัญหาเหล่านี้คืออะไรนั้น เราจะเก็บส่วนนั้นไว้ในการสามัคคีธรรมครั้งต่อไป
27 มีนาคม ค.ศ. 2021