หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (6)
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน รวมทั้งการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จกันต่อ ในการชุมนุมครั้งก่อน พวกเราสามัคคีธรรมประการที่หกของความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน อะไรคือเนื้อหาหลักของประการนี้? (ประการที่หกคือ “ส่งเสริมและบ่มเพาะผู้มีความสามารถพิเศษทุกรูปแบบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถมีโอกาสก้าวผ่านการฝึกฝนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”) ครั้งก่อนโดยหลักแล้วพวกเราสามัคคีธรรมหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน รวมทั้งเรื่องที่ว่าเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน พวกเรายังชำแหละปัญหาที่มีกับผู้นำเทียมเท็จเมื่อเป็นเรื่องของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ แล้วอะไรคือการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จภายในสองประการนี้? เหตุใดพวกเราจึงพูดว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ? โดยหลักแล้วมีสองแง่มุม แง่มุมหนึ่งก็คือผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจหลักธรรมสำหรับการส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้ผู้คนประเภทต่างๆ และพวกเขาก็ไม่แสวงหาหลักธรรมเหล่านี้ พวกเขาไม่รู้ว่าการมีขีดความสามารถแง่มุมใดที่มีความสำคัญ หรือการทำให้ได้ตามหลักเกณฑ์ใดที่มีความสำคัญในการที่ผู้คนจะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน ดังนั้น พวกเขาจึงใช้ผู้คนอย่างไม่แยกแยะตามพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง อีกประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงก็คือหลังจากส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้ผู้คนเหล่านี้แล้ว พวกเขาไม่ติดตามหรือตรวจสอบงานของตน และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทำได้ดีเพียงใด หรือพวกเขาทำงานจริงหรือไม่ หรือพวกเขาสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้หรือไม่ หรือลักษณะนิสัยของพวกเขาเป็นอย่างไร หรือหน้าที่ที่คนเหล่านี้ทำเหมาะสมกับพวกเขาหรือไม่ อีกทั้งพวกเขาไม่ใส่ใจว่าผู้คนที่พวกเขาส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้ทำได้ตามมาตรฐานและเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่—พวกเขาไม่เคยตรวจสอบสิ่งเหล่านี้เลย ผู้นำเทียมเท็จคิดว่านี่เป็นเพียงแค่กรณีของการส่งเสริมผู้คน เป็นการจัดแจงงานให้พวกเขา และไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากนั้น และจากนั้นหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาก็ลุล่วง นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จทำงานของตน อีกทั้งยังเป็นท่าทีและทัศนะขณะที่พวกเขาทำงานด้วย แล้วการสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จสองประการนี้สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ลุล่วงและไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้เมื่อเป็นเรื่องของการส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้ผู้คนได้หรือไม่? (สามารถพิสูจน์ได้) ผู้นำเทียมเท็จไม่ตรวจสอบงานหรือเฝ้าสังเกตผู้คนประเภทต่างๆ และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะเกิดละเอียดลออขึ้นมาเมื่อเป็นเรื่องของความจริงและหลักธรรม โดยเปรียบเทียบการสำแดงและสภาวะของผู้คนประเภทต่างๆ กับความจริงที่พวกเขาเข้าใจและหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด พวกเขายังไม่สามารถแยกแยะได้อีกด้วยว่าความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของผู้คนประเภทต่างๆ สอดคล้องกับหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดสำหรับการใช้ผู้คนหรือไม่ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พวกเขาจึงเลอะเลือนและฉาบฉวยเป็นพิเศษเมื่อเป็นเรื่องของการส่งเสริมและใช้ผู้คนรวมทั้งการจัดแจงงานให้ผู้คนเหล่านั้น และทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือทำอย่างขอไปทีและทำงานผิวเผินตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากผู้นำเทียมเท็จได้รับการร้องขอให้ใช้ผู้คนต่างประเภทอย่างสมเหตุผลและเหมาะเจาะตามความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา พวกเขาจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่? (ไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้) ตอนนี้ให้พวกเราลืมไปก่อนว่าขีดความสามารถของผู้นำเทียมเท็จเป็นอย่างไร แค่มองดูที่ท่าทีที่พวกเขามีต่องานรวมทั้งหนทางและวิธีการของพวกเขาสำหรับการทำงาน อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ทำงานจริงแม้แต่น้อย แต่จัดการกับกิจการงานทั่วไปและทำงานผิวเผินเล็กน้อยที่ทำให้พวกเขาเป็นจุดสนใจของผู้คนเท่านั้น และข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่ทำงานจัดเตรียมความจริงให้ผู้คนแม้แต่น้อย และไม่รู้วิธีใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา—ทั้งหมดนี้มากพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานจริงของคริสตจักรได้ แค่พิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง และไม่เข้าร่วมกับพี่น้องชายหญิงอย่างลึกซึ้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่แท้จริงแต่กลับปฏิบัติตนเหนือกว่าไปหมดและออกคำสั่งแทน ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรทุกแง่มุมได้ดีเพื่อที่จะส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนสำหรับพระนิเวศของพระเจ้า
ประการที่เจ็ด: จัดสรรและใช้ประโยชน์จากผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา เพื่อนำแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (ภาคที่หนึ่ง)
การใช้ผู้คนประเภทต่างๆ อย่างเหมาะเจาะตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา
ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีจัดแจงและใช้ผู้คนจำพวกต่างๆ ของพวกเจ้าเป็นอย่างไร? (พระนิเวศของพระเจ้ามีมาตรฐานต่างๆ ที่กำหนดสำหรับผู้คนหลากหลายจำพวกซึ่งได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ รวมทั้งผู้คนที่ควรได้รับการส่งเสริมและถูกใช้ตามหลักธรรมและมาตรฐานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการส่งเสริมผู้คน หากบางคนเหมาะที่จะเป็นผู้นำและคนทำงาน เช่นนั้นพวกเขาก็ควรได้รับการบ่มเพาะในฐานะผู้นำ คนทำงาน และหัวหน้างาน หากบางคนมีจุดแข็งเชิงวิชาชีพในสาขาเฉพาะ เช่นนั้นหน้าที่ที่พวกเขาทำก็ควรได้รับการจัดแจงตามจุดแข็งทางวิชาชีพของพวกเขา เพื่อที่จะได้จัดสรรและใช้ประโยชน์พวกเขาอย่างสมเหตุผล) มีใครมีอะไรจะเพิ่มเติมหรือไม่? (อีกสิ่งคือการประเมินวัดผู้คนตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หากความเป็นมนุษย์ของใครบางคนค่อนข้างดี และพวกเขาก็รักความจริง อีกทั้งพวกเขามีความสามารถในการทำความเข้าใจ เช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นผู้ที่อาจเหมาะสมจะได้รับการส่งเสริมและการบ่มเพาะ หากความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีลักษณะเฉลี่ยทั่วไป แต่พวกเขามีจุดแข็งและสามารถทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าและทำงานรับใช้ได้ เช่นนั้นคนประเภทนี้ย่อมสามารถได้รับการมอบหมายให้ทำหน้าที่ที่เหมาะสมตามจุดแข็งของพวกเขาได้เช่นกัน เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์พวกเขาได้ดีที่สุด หากพวกเขาเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างแย่และอาจเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน เช่นนั้นการให้พวกเขาทำหน้าที่ย่อมยุ่งยากเกินกว่าจะคุ้มค่า ดังนั้นการจัดแจงให้พวกเขาทำหน้าที่จึงไม่เหมาะสม) หากผู้คนถูกจำแนกความแตกต่างตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา เช่นนั้นตราบที่พวกเขาไม่ใช่คนชั่ว ไม่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน และสามารถทำหน้าที่ได้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการใช้ประโยชน์ผู้คน อีกประเภทที่ไม่สามารถใช้ได้นอกจากคนชั่วและวิญญาณชั่วก็คือพวกที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอ กล่าวคือ พวกที่ไม่สำเร็จลุล่วงสิ่งใดเลย ไม่สามารถทำสิ่งใดได้สำเร็จ ไม่สามารถเรียนรู้วิชาชีพ ไม่สามารถจัดการกับกิจการงานทั่วไปที่เรียบง่าย ไม่สามารถแม้แต่จะปฏิบัติงานที่ออกแรงกายได้สำเร็จ—คนที่มีสติปัญญาและความเป็นมนุษย์ไม่เพียงพอไม่อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้ ผู้คนแบบใดจัดอยู่ในหมวดหมู่ของผู้มีสติปัญญาไม่เพียงพอ? พวกที่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ซึ่งขาดพร่องความเข้าใจอันถ่องแท้ เข้าใจสิ่งทั้งหลายผิดอยู่เสมอ เข้าใจสิ่งทั้งหลายไปในทางที่ผิด และให้คำตอบที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำถาม และผู้คนจำพวกเดียวกับคนโง่หรือคนวิกลจริต—นี่ล้วนเป็นผู้คนที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอ แล้วก็มีคนที่ไร้เหตุผลอย่างที่สุดซึ่งเข้าใจสิ่งต่างๆ ผิดไปจากคนปกติทุกอย่าง—พวกเขายังมีปัญหาในเรื่องสติปัญญาอีกด้วย การมีสติปัญญาไม่เพียงพอนั้นรวมถึงการไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใดได้เลยหรือไม่? (ใช่ รวมถึงการนั้นด้วย) แล้วการไม่สามารถเรียนรู้วิธีเขียนบทความนั้นนับเป็นการมีสติปัญญาไม่เพียงพอหรือไม่? (ไม่ ไม่นับ) คนจำพวกนี้ไม่ถูกนับรวมด้วย ดูการเรียนรู้วิธีขับร้องและเต้นรำ การเรียนรู้ทักษะคอมพิวเตอร์ หรือการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเป็นตัวอย่าง การไม่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไม่นับเป็นการมีสติปัญญาไม่เพียงพอ แล้วการไร้ความสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งประเภทใดบ่งชี้ถึงการมีสติปัญญาไม่เพียงพอ? ตัวอย่างเช่น บางคนมีความรู้อยู่บ้าง แต่ไม่สามารถเรียนรู้วิธีเรียบเรียงภาษาของตนเมื่อสนทนากับผู้อื่น แล้วเมื่อคนประเภทนี้เชื่อในพระเจ้า พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมความจริง อธิษฐาน และสื่อสารกับผู้อื่นตามปกติได้หรือไม่? (ไม่ พวกเขาไม่สามารถทำได้) เมื่อพวกเขามีแนวคิดในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาหรือเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะหนึ่ง อีกทั้งต้องการเปิดใจและพูดคุยเรื่องแนวคิดดังกล่าวกับผู้คนและแสวงหาเส้นทางสู่วิธีแก้ปัญหา พวกเขาไตร่ตรองอยู่เป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนหรือจะแสดงตัวเองออกมาอย่างไร ทันทีที่พวกเขาพูด พวกเขากลายเป็นสับสนและพูดอย่างเลอะเลือน ปากของพวกเขาดูเหมือนไม่ยอมขยับตามคำสั่ง และความคิดของพวกเขาก็แตกกระสานซ่านเซ็น ตัวอย่างเช่น เจ้าบอกพวกเขาว่า “วันนี้อากาศดีและมีแดดออก” และพวกเขาก็จะตอบกลับว่า “เมื่อวานฝนตกและมีอุบัติเหตุทางรถยนต์บนถนนเส้นนั้น” พวกเขาพูดคนละเรื่องกับผู้ที่พวกเขาสนทนาด้วย คนประเภทนี้มีสติปัญญาไม่เพียงพอหรือไม่? (ใช่ พวกเขามีสติปัญญาไม่เพียงพอ) ตัวอย่างเช่น หากพวกเขาปวดหัวและเจ้าถามพวกเขาว่ามีปัญหาอะไร พวกเขาจะพูดว่าพวกเขารู้สึกอึดอัดหัวใจเล็กน้อย คำตอบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคำถามมิใช่หรือ? (ใช่ ไม่เกี่ยวข้อง) นี่เป็นการขาดพร่องสติปัญญามากเกินไป มีคนเช่นนี้มากมายเหลือเกิน พวกเจ้ายกตัวอย่างได้หรือไม่? (บางคนหลุดจากหัวข้อเสมอเวลาที่ตอบคำถาม พวกเขาแค่ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่คนอื่นถามพวกเขาได้) การหลุดจากหัวข้อบ่อยครั้งขณะพูดคุย—นี่คือสติปัญญาไม่เพียงพอ แล้วก็มีคนที่ล้มเหลวที่จะจำแนกความต่างระหว่างคนในกับคนนอกเวลาที่พวกเขาพูดคุย และบางครั้งก็ขายตัวเองเวลาที่พวกเขาพูดโดยไม่ทันได้รู้ตัว—นี่ก็คือสติปัญญาไม่เพียงพอเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายหญิงบางคนใช้ชีวิตอยู่กับสมาชิกครอบครัวที่ไม่เชื่อซึ่งถามพวกเขาว่า “พระเจ้าของพวกเธอตรัสบอกให้พวกเธอทำอะไร?” พวกเขาตอบกลับว่า “พระเจ้าที่พวกเราเชื่อถือทรงดีงามยิ่งนัก พระองค์ทรงสอนพวกเราให้เป็นคนซื่อสัตย์ และพวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้โกหกใคร และต้องพูดกับทุกคนอย่างซื่อสัตย์” ในทางผิวเผินนั้นฟังดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และทำให้ผู้ฟังของพวกเขามีภาพจำอันดีเกี่ยวกับผู้เชื่อและวางใจพวกเขา แต่เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือไม่? ผู้ไม่มีความเชื่อจะพูดอะไรเมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้? พวกเขาจะพูดว่า “ในเมื่อพระเจ้าของพวกเธอขอให้พวกเธอเป็นคนซื่อสัตย์ เช่นนั้นก็บอกพวกเราอย่างสัตย์จริงว่า คริสตจักรของพวกเธอมีเงินมากเท่าไร? ใครให้ของถวายมากที่สุด? ใครเป็นผู้นำของคริสตจักรของพวกคุณ? พวกคุณมีสถานที่ชุมนุมมากแค่ไหน?” เจ้าย่อมจะตกใจกับเรื่องที่ว่านั้นมิใช่หรือ? คนเช่นนี้ไม่โง่เขลาหรอกหรือ? เหตุใดเจ้าจึงพูดเรื่องการเป็นคนซื่อสัตย์กับมารและผู้ไม่มีความเชื่อ? ในข้อเท็จจริงจริงๆ นั้น ไม่จำเป็นว่าเจ้าต้องซื่อสัตย์ขนาดนั้นเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แล้วเจ้าไม่ได้กำลังขายตัวเองด้วยการเกิดเอาจริงเอาจังขึ้นมามากในเรื่องที่ว่านั้นกับผู้ไม่มีความเชื่อหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การขุดหลุมและวางกับดักให้ตัวเจ้าเองหรอกหรือ? เจ้าไม่ใช่คนโง่หรอกหรือ? เวลาที่เปิดหัวใจของเจ้าและพูดกับใครบางคนอย่างซื่อสัตย์ เจ้าต้องคิดคำนึงถึงว่าเจ้ากำลังพูดกับใคร—หากเป็นมารหรือซาตาน เจ้าสามารถบอกพวกเขาได้หรือไม่ว่าจริงๆ แล้วกำลังเกิดอะไรขึ้น? ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของคนเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นต้องปฏิบัติการเป็นคน “เฉลียวฉลาดเหมือนงู และไม่มีพิษมีภัยเหมือนนกพิราบ”—นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนมวลมนุษย์ พวกคนโง่ไม่รู้จักทำเช่นนี้ พวกเขารู้เพียงแค่ยึดมั่นในกฎข้อบังคับเท่านั้น และกล่าวสิ่งทั้งหลายดังเช่น “พวกเราซึ่งเป็นผู้เชื่อซื่อสัตย์มาก พวกเราไม่หลอกลวงใคร ดูพวกคุณซึ่งเป็นผู้ไม่มีความเชื่อสิ พวกคุณเต็มไปด้วยคำโกหก ในขณะที่พวกเราล้วนพูดอย่างซื่อสัตย์” และหลังจากพวกเขาพูดอย่างซื่อสัตย์ไปแล้ว ผู้คนก็ถือไพ่เหนือกว่ามาใช้เล่นงานพวกเขา นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจำแนกความต่างระหว่างคนนอกกับคนในไม่ออกหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การเป็นคนไม่ค่อยฉลาดหรอกหรือ? พวกเขาเข้าใจคำสอนบางอย่างแต่ไม่รู้วิธีนำคำสอนเหล่านั้นมาใช้ พวกเขาโห่ร้องคำขวัญบางอย่าง จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาเป็นฝ่ายวิญญาณจริงๆ และคิดว่าพวกเขาเข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริง อีกทั้งพวกเขาก็โอ้อวดไปทุกหนทุกแห่ง แต่ในท้ายที่สุดแล้วพวกซาตานและมารก็ฉวยประโยชน์จากเรื่องนี้และใช้เรื่องนี้เล่นงานพวกเขา นี่คือการมีสติปัญญาไม่เพียงพอ
พวกเราเพิ่งพูดถึงคนหลายประเภทที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอ ประเภทหนึ่งคือพวกที่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์และล้มเหลวที่จะเข้าใจและจับความเข้าใจประเด็นและใจความสำคัญของคำพูดของคนอื่น อีกประเภทคือคนโง่ซึ่งไม่สามารถสำเร็จลุล่วงสิ่งใดได้เลยและไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมหรือประเด็นที่เป็นกุญแจสำคัญไม่สำคัญว่าพวกเขาทำสิ่งนั้นอย่างไร อีกประเภทหนึ่งคือพวกที่มีทัศนะที่ดันทุรังและไร้เหตุผลอย่างที่สุดเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ยังมีอีกประเภทก็คือพวกที่ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใดได้เลยและไม่สามารถแม้แต่จะเรียนรู้วิธีพูดหรือสนทนาหรือวิธีแสดงความคิดและความคิดเห็นของตนอย่างชัดเจนเพื่อที่ผู้อื่นจะได้สามารถเข้าใจพวกเขา แม้พวกเขามีการศึกษาอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเรียบเรียงภาษาของตนในหัวหรือพูดได้อย่างชัดเจน และพวกเขาก็ไม่สามารถแสดงทัศนะที่ถูกต้องหรือสำเร็จลุล่วงสิ่งใดได้เลย นี่ล้วนเป็นคนที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอ ไม่สำคัญว่าพวกเขาเรียนรู้งานฝีมือหรือทักษะใด พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมและกฎเกณฑ์ต่างๆ อยู่เป็นนิตย์ ต่อให้บางครั้งพวกเขาทำงานฝีมือหรือใช้ทักษะได้ดี นั่นก็เป็นเรื่องบังเอิญ พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาทำเช่นนั้นให้ดีอย่างไร ครั้งถัดไปที่พวกเขาล้มเหลวที่จะทำเช่นนั้นให้ดี พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เช่นกัน พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใดหรือกลายเป็นช่ำชองในสิ่งนั้นได้เลย หากพวกเขาถูกขอให้เรียนรู้งานฝีมือหรือทักษะทางเทคนิค ไม่สำคัญว่าพวกเขาใช้เวลานานแค่ไหนในการเรียนรู้งานฝีมือหรือทักษะทางเทคนิคดังกล่าว พวกเขามีแต่จะเข้าใจได้เพียงทฤษฎีเท่านั้น พวกเขารับฟังคำเทศนามาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแต่ยังไม่เข้าใจความจริง หากพวกเขาได้รับการขอให้รับคำพูดเหล่านี้และคำกล่าวที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้ซึ่งพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมบ่อยครั้ง แล้วเปลี่ยนคำพูดและคำกล่าวเหล่านี้เป็นหลักธรรมและเส้นทางแห่งการปฏิบัติ พวกเขาจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ต่อให้พวกเขาทำงานจนตัวตาย และไม่ว่าพวกเขาจะได้รับการสอนอย่างไรก็ตาม นี่ยืนยันว่าคนเหล่านี้มีสติปัญญาไม่เพียงพอ บางคนสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เดียวกันจากการทำบางสิ่งเมื่ออายุ 50 หรือ 60 ปีดังเช่นที่พวกเขาเคยสัมฤทธิ์เมื่ออายุ 30 ปีไม่มีผิด โดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ แม้แต่น้อย พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้แม้แต่สิ่งเดียวสำเร็จในชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาอย่างไร้ค่า พวกเขาใส่ใจมากและทุ่มเทความพยายาม แต่พวกเขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้สิ่งใดอยู่ดี นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีสติปัญญาไม่เพียงพอ บนพื้นฐานของสิ่งที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้ว ขอบเขตของสิ่งที่ถือว่าเป็นการมีสติปัญญาไม่เพียงพอได้กว้างออกไปมากขึ้นมิใช่หรือ? พวกเจ้าเองจะนับว่ามีสติปัญญาไม่เพียงพอหรือไม่? (นับว่ามีสติปัญญาไม่เพียงพอ) อยู่ในระดับเล็กน้อยไม่ไกลไปจากนั้น เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น? คนส่วนใหญ่รับฟังคำเทศนามานานห้าปีแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไรหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร และบางคนรับฟังคำเทศนามานาน 10 ปี หรือแม้กระทั่ง 20 หรือ 30 ปีแล้วและยังคงไม่เข้าใจว่าความเป็นจริงความจริงคืออะไรอีกทั้งคำพูดและคำสอนคืออะไร ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยคำสอน และพวกเขาก็พ่นคำสอนเหล่านั้นอย่างเยี่ยมยอด—นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับสติปัญญาของพวกเขา พวกเรามาพักวางการทำความเข้าใจความจริงเอาไว้ก่อน สมมติว่าผู้คนแสดงให้เห็นถึงการสำแดงต่อไปนี้ต่อสิ่งภายนอกทั้งหลายและเรื่องทั้งหลายที่เป็นสามัญสำนึกในชีวิตมนุษย์ กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำบางสิ่งมานานกี่ปีแล้ว สถานการณ์ สภาวะ และการรับรู้ของพวกเขายังคงเป็นอย่างเดียวกับตอนที่พวกเขาเริ่มที่จะเรียนรู้เป็นครั้งแรก และไม่สำคัญว่าพวกเขาได้รับการชี้นำและสอนอย่างไร หรือพวกเขาปฏิบัติอย่างไร พวกเขายังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ นี่คือสติปัญญาไม่เพียงพอ
การคัดสรรและการใช้ประโยชน์จากผู้คนบนพื้นฐานที่ว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่นั้นเป็นไปตามหลักธรรม ดังนั้นจงบอกเราที พวกเราควรบ่มเพาะและใช้ประโยชน์จากคนที่มีความเป็นมนุษย์อ่อนด้อย มีสติปัญญาไม่เพียงพอ หรือมีงานของวิญญาณชั่วหรือไม่? นั่นย่อมจะใช้ไม่ได้อย่างแน่นนอนที่สุด นอกจากคนหลายประเภทเหล่านี้ที่ไม่ตรงกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการใช้ผู้คนแล้ว คนอื่นส่วนใหญ่สามารถถูกใช้ได้อย่างสมเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ของพวกเขา สำหรับพวกที่มีความเป็นมนุษย์ทั่วไป ซึ่งจะเรียกว่าแย่หรือดีก็ไม่ได้ทั้งนั้น พวกเขาสามารถเป็นได้แค่สมาชิกในทีมธรรมดาสามัญ สำหรับบรรดาผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีพอควร มีเหตุผลและมีมโนธรรมพอควร รักสิ่งที่เป็นบวก ซื่อตรงเป็นพิเศษ มีสำนึกของความยุติธรรม และสามารถปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า สามารถเน้นย้ำการบ่มเพาะและใช้คนเหล่านี้ได้ ในเรื่องที่ว่าจะบ่มเพาะและใช้พวกเขาเป็นผู้นำหรือหัวหน้าทีมหรือให้ทำงานบางอย่างที่สำคัญหรือไม่นั้น เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามรถและจุดแข็งของพวกเขา นี่เป็นการชั่งน้ำหนักวิธีใช้คนประเภทต่างๆ บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ของพวกเขา
การใช้คนประเภทต่างๆ อย่างสมเหตุผลบนพื้นฐานของจุดแข็งของพวกเขา
พวกเรามาพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้คนประเภทต่างๆ บนพื้นฐานของจุดแข็งของพวกเขากันเถิด นอกจากขีดความสามารถแล้ว บางคนยังมีทักษะเชิงวิชาชีพบางอย่างที่พวกเขามีความเป็นเลิศอีกด้วย คำว่า “จุดแข็ง” หมายถึงสิ่งใด? (การมีทักษะในสาขาเฉพาะทาง เช่น การสามารถแต่งเพลง เล่นเครื่องดนตรี หรือวาดภาพ) การเข้าใจทฤษฎีดนตรี ศิลปะ แล้วก็การเต้นรำกับการเขียนด้วย—นี่ล้วนเป็นจุดแข็ง การแสดงและการกำกับการแสดงเป็นจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับการผลิตภาพยนตร์ การแปลเป็นจุดแข็งทางภาษา และการผลิตวิดีโอและเทคนิคพิเศษก็เป็นจุดแข็งภายในสาขาเฉพาะทางเช่นกัน เมื่อพวกเราพูดถึงจุดแข็ง พวกเรากำลังหมายถึงทักษะเชิงวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานส่วนกลางของคริสตจักร บางคนมีความช่ำชองระดับพื้นฐานอยู่แล้ว และบางคนก็ศึกษาสิ่งเหล่านี้หลังจากมายังพระนิเวศของพระเจ้า หากคนคนหนึ่งมีความช่ำชองพื้นฐานแต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่ได้ตามมาตรฐาน และพวกเขาก็เป็นหนึ่งในพวกที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอ เป็นคนชั่ว หรือเป็นวิญญาณชั่ว เช่นนั้นย่อมใช้พวกเขาไม่ได้ หากความเป็นมนุษย์ของคนคนนี้ได้ตามมาตรฐานและเขามีจุดแข็งที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องการ เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถได้รับการส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้ประโยชน์ มอบหมายให้กับทีมที่เหมาะกับจุดแข็งของพวกเขา หรือซึ่งเกี่ยวข้องกับทักษะเชิงวิชาชีพที่พวกเขามีอยู่ และเริ่มทำงานได้ในทันที บางคนยังไม่มีจุดแข็งทางวิชาชีพ แต่เต็มใจที่จะเรียนรู้ และตามทันได้อย่างรวดเร็วจริงๆ หากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ตามมาตรฐาน เช่นนั้นพระนิเวศของพระเจ้าย่อมสามารถบ่มเพาะพวกเขาและสร้างภาวะให้พวกเขาเรียนรู้ได้ และผู้คนดังกล่าวย่อมสามารถถูกใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน สรุปก็คือ การมอบหมายหน้าที่มีพื้นฐานอยู่บนขีดความสามารถและจุดแข็งของผู้คน และตราบที่เป็นไปได้ คนที่มีจุดแข็งที่ต่างกันก็ควรได้รับการจัดแจงให้ทำงานในสาขาที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญ เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถนำจุดแข็งเหล่านี้มาปฏิบัติได้ หากจุดแข็งของพวกเขาไม่เป็นที่ต้องการโดยพระนิเวศของพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาสามารถได้รับการจัดแจงให้ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาสามารถทำได้ บนพื้นฐานของขีดความสามารถและความเป็นมนุษย์ของพวกเขา นี่เรียกว่าการใช้ผู้คนอย่างสมเหตุผล หากพระนิเวศของพระเจ้ายังคงมีความต้องการจุดแข็งของพวกเขา พวกเขาก็ควรได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ของตนในสาขานี้ต่อไป และไม่สามารถถูกโยกย้ายโดยตามอำเภอใจได้ นอกจากว่ามีคนมากเกินไปที่ทำงานในวิชาชีพนี้ ซึ่งในกรณีนี้จำนวนคนควรถูกลดลงตามสถานการณ์ด้วยการมอบหมายอีกครั้งให้พวกที่มีสมรรถภาพน้อยที่สุดในวิชาชีพของตนไปทำหน้าที่อื่นๆ นี่เรียกว่าการใช้ผู้คนอย่างสมเหตุผล
มีบุคคลเฉพาะชนิดที่ไม่มีทักษะพิเศษใดเลย—พวกเขาสามารถเขียนบทความได้เล็กน้อย ในยามที่พวกเขาขับร้อง พวกเขาสามารถรักษาท่วงทำนองของเพลงเอาไว้และเรียนรู้วิธีทำสิ่งใดก็ได้ แต่พวกเขาก็ไม่เก่งที่สุดในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาเก่งที่สุดในเรื่องใดหรือ? พวกเขามีขีดความสามารถเล็กน้อย พวกเขาค่อนข้างมีสำนึกของความยุติธรรม และพวกเขาพอมีตาอยู่บ้างที่จะมองเห็นวิธีตัดสินและทำประโยชน์จากผู้คน นอกจากนั้น ที่ชัดเจนที่สุดคือพวกเขามีทักษะด้านงานองค์กร หากเจ้ามอบกิจหรืองานให้บุคคลเช่นนั้น พวกเขาสามารถจัดระบบผู้คนให้ทำการนั้นได้ ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็มีความสามารถในการทำงาน กล่าวคือ หากเจ้ามอบงานให้พวกเขา พวกเขามีความสามารถที่จะทำงานนั้นให้ดีและเสร็จสิ้นงานนั้น พวกเขามีแผนการอยู่ในจิตใจ โดยมีขั้นตอนและโครงสร้าง พวกเขารู้วิธีใช้ผู้คน วิธีจัดสรรเวลา และว่าจะใช้ผู้ใดสำหรับกิจนี้ หากปรากฏปัญหาขึ้น พวกเขารู้วิธีเสวนาการแก้ปัญหากับทุกคน พวกเขารู้วิธีแก้ไขและทำให้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสมดุล คนเช่นนี้ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการทำงานเท่านั้น แต่พวกเขายังพูดได้ค่อนข้างดีอีกด้วย คำพูดของพวกเขาชัดเจนและเป็นระเบียบ และพวกเขาไม่ทำให้ผู้คนงุนงงสับสน เมื่อพวกเขามอบหมายงานแล้ว ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจนและรู้ในสิ่งที่แต่ละบุคคลควรทำ ทั้งนี้ ไม่มีผู้ใดที่อยู่เฉยๆ โดยไม่ถูกใช้งานและไม่มีการเผอเรอมองข้ามเรื่องงาน คำอธิบายของพวกเขาเกี่ยวกับรายละเอียดของงานก็ค่อนข้างชัดเจนและเป็นระเบียบด้วยเช่นกัน และสำหรับประเด็นปัญหาที่ซับซ้อนเป็นพิเศษนั้น พวกเขาเสนอการวิเคราะห์ สามัคคีธรรม และระบุรายละเอียดเพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจประเด็นปัญหานั้น รู้วิธีทำงานนั้น และรู้วิธีเดินหน้าต่อไป นอกจากนั้น พวกเขายังสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับว่าหนทางใดในการกระทำการที่อาจมีข้อตำหนิ วิธีการทำงานแบบใดจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ สิ่งใดที่ผู้คนควรใส่ใจในครรลองของการงานของพวกเขา และอื่นๆ กล่าวคือ พวกเขาคิดมากกว่าผู้อื่นก่อนที่พวกเขาเริ่มที่จะทำงาน—พวกเขาคิดในรายละเอียดมากกว่า อยู่กับความเป็นจริงมากกว่า และครอบคลุมมากกว่าผู้อื่น ในแง่มุมหนึ่งพวกเขามีสมอง และในอีกแง่มุมหนึ่งพวกเขามีวาทศิลป์ การมีสมองหมายความว่าพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างมีระบบระเบียบ ด้วยขั้นตอนทั้งหลายและเป็นไปตามแผนการ และด้วยความชัดเจนอย่างยิ่ง การมีวาทศิลป์หมายความว่าพวกเขาสามารถใช้ภาษาในการแสดงออกได้อย่างชัดเจนและเป็นที่เข้าใจได้ถึงความคิด แผนการ และการคิดคำนวณในจิตใจของพวกเขา และการที่พวกเขารู้วิธีพูดอย่างเรียบง่ายและกระชับ เพื่อให้ผู้ฟังของพวกเขาไม่งุนงงสับสน พวกเขาแสดงออกถึงตัวพวกเขาเองด้วยภาษาที่ชัดเจน ถูกต้องแม่นยำ สัตย์ซื่อ และเหมาะสมเป็นพิเศษ นี่เองคือสิ่งที่หมายถึงการมีวาทศิลป์ คนเช่นนี้เจ้าคารม พวกเขามีความสามารถในการทำงาน มีทักษะการจัดระเบียบ และนอกจากนั้นพวกเขามีสำนึกถึงความรับผิดชอบ และค่อนข้างมีสำนึกถึงความยุติธรรม พวกเขาไม่ใช่คนที่ชอบเอาใจผู้คนหรือผู้รักษาความสงบ เมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วเป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนต่องานของคริสตจักร หรือเห็นคนโง่และคนชั้นต่ำที่ไม่ใส่ใจกิจอันถูกควรของตนและกระทำการอย่างปลิ้นปล้อน พวกเขาก็โกรธขึ้นมา รู้สึกไม่พอใจ และพวกเขาก็สามารถแก้ไขและจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้ในทันที รวมทั้งปกป้องงานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า การมีสำนึกถึงความรับผิดชอบและสำนึกถึงความยุติธรรม—การสำแดงเหล่านี้ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของความเป็นมนุษย์ของคนจำพวกนี้หรอกหรือ? (ใช่) คนเช่นนี้อาจไม่เก่งในการเข้าสังคม หรืออาจไม่เก่งกาจในทักษะเชิงวิชาชีพเฉพาะใดๆ แต่หากพวกเขามีคุณลักษณะเฉพาะที่เราเพิ่งบรรยายไป พวกเขาย่อมสามารถได้รับการบ่มเพาะในฐานะผู้นำและคนทำงาน คุณลักษณะเฉพาะเหล่านี้ยังเป็นจุดแข็งของพวกเขาอีกด้วย กล่าวคือ พวกเขาเจ้าคารม มีความสามารถในการทำงาน มีทักษะการจัดระเบียบ และค่อนข้างมีสำนึกถึงความยุติธรรม การมีสำนึกถึงความยุติธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด คนชั่วและพวกศัตรูของพระคริสต์มีสำนึกถึงความยุติธรรมหรือไม่? (ไม่ พวกเขาไม่มีสำนึกถึงความยุติธรรม) พวกศัตรูของพระคริสต์มีธรรมชาติที่เลว การที่พวกเขาจะมีสำนึกถึงความยุติธรรมย่อมเป็นไปไม่ได้ อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือคนประเภทนี้มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง นี่เกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของพวกเขา จุดแข็งของคนประเภทนี้หมายถึงคุณลักษณะเฉพาะของความเป็นมนุษย์และความสามารถพิเศษเหล่านั้นที่เราเพิ่งกล่าวไป รวมทั้งมาตรฐานสามประการเกี่ยวกับการมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจความจริง การแบกรับภาระเพื่อคริสตจักร และการมีความสามารถในการทำงาน ผู้คนดังกล่าวสามารถได้รับการบ่มเพาะในฐานะผู้นำ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาใดเลย นอกจากการมีสมองและขีดความสามารถ ผู้นำต้องมีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง และมีทักษะการจัดระเบียบและความสามารถในการทำงานในหน้าที่ของตน ตลอดจนมีวาทศิลป์ บางคนมีขีดความสามารถดีมาก พวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ แต่เมื่อเป็นเรื่องของการสามัคคีธรรมในการชุมนุม สิ่งที่พวกเขาพยายามจะพูดก็สะเปะสะปะไปหมด พวกเขาขาดพร่องความสามารถในการเรียบเรียงภาษาของตนอย่างสิ้นเชิง และสิ่งที่พวกเขาพูดก็ปราศจากตรรกะโดยสิ้นเชิง ผู้คนดังกล่าวสามารถได้รับการบ่มเพาะในฐานะผู้นำได้หรือไม่? (ไม่ พวกเขาไม่สามารถ) บางคนก็แค่พูดคุยกับผู้คนจำนวนน้อยมากได้เท่านั้น พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสภาวะ ความคิดเห็น และความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับความจริง และพวกเขาก็สามารถสนับสนุน ช่วยเหลือ และจัดเตรียมให้ผู้อื่นได้ แต่เมื่ออยู่รอบๆ ผู้คนจำนวนมากขึ้นพวกเขาก็ไม่กล้าพูด และรู้สึกกลัว และอาจถึงขั้นประหม่าจนร้องไห้ ผู้คนดังกล่าวสามารถได้รับการบ่มเพาะหรือไม่? สำหรับคนประเภทที่มีความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอและขี้ขลาดพอควรและโน้มเอียงที่จะตื่นเวที หากพวกเขามีความเป็นมนุษย์ จุดแข็ง และความสามารถในการทำความเข้าใจที่จะเป็นผู้นำ พวกเขาย่อมสามารถได้รับการบ่มเพาะให้เป็นหัวหน้าทีมหรือผู้นำคริสตจักร อันดับแรกแค่บ่มเพาะและฝึกฝนพวกเขา หลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว พวกเขาย่อมจะได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกซึ่งทำให้มีความกล้าหาญมากขึ้นเล็กน้อย และไม่กลัวที่จะพูดหรือตื่นเวทีอีกต่อไป สรุปก็คือ เมื่อเป็นเรื่องของบรรดาผู้ที่มีคุณลักษณะเฉพาะของความเป็นมนุษย์และจุดแข็งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไป พวกเขาสามารถได้รับการบ่มเพาะให้กลายเป็นผู้นำได้ตราบที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ตามมาตรฐาน ดังที่พวกเราพูดไว้ครั้งก่อน การที่ใครบางคนจะได้รับการบ่มเพาะในฐานะผู้นำนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจความจริงทุกประการ สามารถนบนอบพระเจ้า มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน แน่นอนที่สุดว่าไม่จำเป็นต้องทำให้ได้ตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ หากใครบางคนมีขีดความสามารถบางอย่าง มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และสามารถยอมรับความจริง เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ นี่ไม่ใช่การใช้ผู้คนอย่างสมเหตุผลหรอกหรือ? (ใช่) เกณฑ์กำหนดที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุดก็คือความเป็นมนุษย์ของใครบางคนได้ตามมาตรฐานหรือไม่
บางคนที่ได้รับฟังสิ่งที่เราพูดไปแล้วรู้สึกว่าพวกเขาทำได้ตามเกณฑ์สำหรับการเป็นผู้นำแล้วและควรได้รับการส่งเสริม นี่พวกเขาเข้าใจผิดไปเองมิใช่หรือ? การเป็นผู้นำเป็นเรื่องเรียบง่ายเช่นนั้นหรือ? พวกเขาคิดว่า “ฉันมีระเบียบแบบแผนจริงๆ ฉันมีทักษะด้านองค์กร และฉันก็มีวาทศิลป์จนสามารถอธิบายแม้กระทั่งเรื่องที่ซับซ้อนที่สุดได้อย่างชัดเจน แล้วเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่ส่งเสริมฉัน? เหตุใดพี่น้องชายหญิงจึงไม่เลือกฉันให้เป็นผู้นำ? ทำไมผู้นำอาวุโสจึงมองไม่เห็นว่าฉันมีความสามารถพิเศษ?” อย่ากังวลไปเลย หากเจ้าทำได้ตามเกณฑ์สำหรับการเป็นผู้นำหรือคนทำงานจริงๆ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้รับการส่งเสริมและได้รับโอกาสที่จะฝึกฝนตัวเองในไม่ช้า สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือเจ้าต้องฝึกฝนตัวเองอย่างมากในการปฏิบัติความจริงและรับมือกับกิจทั้งหลายตามหลักธรรม รวมทั้งช่วยเหลือผู้อื่นและแก้ไขปัญหาจริงให้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างแข็งขัน เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเห็นว่าเจ้ามีขีดความสามารถดีและสามารถแก้ไขปัญหาจริงได้ พวกเขาย่อมจะรับรองเจ้าและลงคะแนนเสียงเลือกเจ้า หากเจ้าไม่ริเริ่มทำงานจริงบ้าง และแค่รอให้ถึงวันที่จู่ๆ เจ้าได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากเบื้องบนเป็นกรณีพิเศษ นั่นย่อมไม่มีวันที่จะเกิดขึ้น เจ้าต้องทำงานจริงบ้างเพื่อให้ทุกคนมองเห็นได้ ทันทีที่ทุกคนได้เห็นจุดแข็งของเจ้าด้วยตัวเองแล้วและรู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ควรได้รับการเลื่อนตำแหน่ง บ่มเพาะ และใช้งาน พวกเขาย่อมจะรับรองเจ้าและลงคะแนนเสียงเลือกเจ้าเป็นธรรมดา หากในขณะนี้เจ้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ แต่ไม่มีใครเลือกเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าก็ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งให้เจ้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ เจ้ายังไม่เป็นที่รับรู้ในสายตาของพี่น้องชายหญิง บางทีอาจจะเป็นความเป็นมนุษย์ของเจ้า บางทีอาจจะเป็นการไล่ตามเสาะหาของเจ้า หรือบางทีอาจจะเป็นจุดแข็งหรือขีดความสามารถของเจ้า หากพี่น้องชายหญิงไม่รับรู้หรือเห็นชอบแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะไม่เลือกเจ้าและไม่รับรองเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงต้องทำงานหนักต่อไป ไล่ตามเสาะหาและฝึกฝนตัวเองอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเจ้าเข้าใจความจริงอย่างจริงแท้และสามารถรับมือกับเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรม ผู้คนย่อมจะรับรองเจ้าและเลือกเจ้าเป็นธรรมดา นี่เป็นกรณีของสิ่งทั้งหลายที่ดำเนินไปตามครรลองเมื่อภาวะทั้งหลายเหมาะสม ไม่มีความจำเป็นต้องรอคอยการเป็นผู้นำอยู่เป็นนิตย์หรือคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา นี่เป็นความอยากอันเกินพอดี เจ้าควรมีหัวใจที่ธรรมดา เป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเรียนรู้ที่จะนบนอบและอดทน เจ้าไม่สามารถไล่ตามไขว่คว้าการเป็นผู้นำอย่างมืดบอด นั่นเป็นความทะเยอทะยาน และนี่ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง เจ้าไม่ควรมีความทะเยอทะยานและความอยากนี้ตลอดเวลา ต่อให้เจ้ามีขีดความสามารถจริงๆ เจ้าก็ต้องรอจนกระทั่งเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก่อนที่เจ้าจะสามารถรับใช้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงานได้อย่างเหมาะสม หากเจ้าไม่เข้าใจความจริงและไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริง เช่นนั้นต่อให้เจ้าได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าย่อมจะไม่สามารถทำงานจริงอันใดได้และจะต้องถูกปลดและถูกกำจัดออกไป ซึ่งเป็นบางสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากเจ้าคิดว่าตัวเองเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ มีความสามารถพิเศษ ขีดความสามารถ และความเป็นมนุษย์สำหรับการเป็นผู้นำ แต่พระนิเวศของพระเจ้ายังไม่ได้เลื่อนตำแหน่งให้เจ้าและพี่น้องชายหญิงก็ยังไม่ได้เลือกเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้อย่างไร? ในที่นี้มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่เจ้าสามารถเดินตามได้ เจ้าต้องรู้จักตัวเองอย่างถ้วนทั่ว จงดูว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของเจ้าหรือไม่ หรือการเผยบางแง่มุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าทำให้ผู้คนรังเกียจ หรือเป็นเพราะเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่น่าเชื่อถือสำหรับผู้อื่น หรือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไม่ได้ตามมาตรฐานหรือไม่ เจ้าต้องทบทวนสิ่งทั้งหมดนี้และดูว่าตรงไหนกันแน่ที่เจ้าขาดไป หลังจากเจ้าได้ทบทวนอยู่ชั่วระยะหนึ่งและพบว่าปัญหาของเจ้าอยู่ตรงไหน เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวในทันที รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเพียรพยายามที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงและเติบโต เพื่อที่เมื่อพวกที่อยู่รอบๆ ตัวเจ้าได้เห็นการนี้ พวกเขาจะได้พูดว่า “ทุกวันนี้เขาดีกว่าแต่ก่อนมาก เขาทำงานอย่างแข็งขันและจริงกับกับอาชีพการงานของตน และเขาก็มุ่งเน้นที่หลักธรรมความจริงเป็นพิเศษ เขาไม่ทำสิ่งทั้งหลายอย่างใจร้อนหรือสุกเอาเผากิน และเขาก็มีมโนธรรมและรับผิดชอบเกี่ยวกับงานของตนมากขึ้น เขาเคยชอบคุยโตเป็นครั้งคราว รวมทั้งอวดตนอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้เขาสงบเสงี่ยมลงมากและไม่ยกตนข่มท่านอีกแล้ว ต่อให้เขาสามารถทำอะไรได้สองสามอย่าง เขาก็ไม่อวดตัวในเรื่องนั้น และเมื่อเขาทำบางอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ทบทวนสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยกลัวว่าจะทำบางสิ่งผิดไป เขากระทำการอย่างระมัดระวังมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก และด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า—และเหนือสิ่งอื่นใด เขาสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาสองสามอย่างได้ เขาเติบโตขึ้นแล้วอย่างแท้จริง” พวกที่อยู่รอบๆ เจ้าซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้ามาแล้วสักพักหนึ่งย่อมพบว่าเจ้าก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตที่เห็นได้ชัดเจน ในชีวิตมนุษย์ของเจ้า การประพฤติปฏิบัติตนและการรับมือกับสิ่งทั้งหลายของเจ้า อีกทั้งในท่าทีที่เจ้ามีต่องาน และในการที่เจ้าปฏิบัติต่อหลักธรรมความจริงก็ไม่ต่างกัน เจ้าทุ่มเทความพยายามมากกว่าแต่ก่อน และเข้มงวดในคำพูดและการกระทำของเจ้า พี่น้องชายหญิงมองเห็นทั้งหมดนี้และใส่ใจอย่างจริงจัง เช่นนั้นบางทีเจ้าอาจจะสามารถเข้าชิงตำแหน่งในการคัดสรรครั้งหน้า และเจ้าก็อาจจะมีความหวังที่จะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ หากเจ้าสามารถทำหน้าที่ที่สำคัญบางอย่างได้อย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะได้รับพรจากพระเจ้า หากเจ้ามีภาระและมีสำนึกถึงความรับผิดชอบอย่างแท้จริง และปรารถนาที่จะแบกภาระ เช่นนั้นก็จงรีบฝึกฝนตนเอง จงมุ่งเน้นการปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรม ทันทีที่เจ้ามีประสบการณ์ชีวิตและสามารถเขียนบทความเกี่ยวกับคำพยานได้ เจ้าย่อมจะเติบโตแล้วอย่างแท้จริง และหากเจ้าสามารถเป็นพยานให้พระเจ้า เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างแน่นอน หากพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจกับเจ้า นั่นย่อมหมายความว่าพระเจ้าทรงพิจารณาเจ้าด้วยความโปรดปราน และเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงชี้นำเจ้า โอกาสของเจ้าย่อมจะมาถึงในไม่ช้า ตอนนี้เจ้าอาจมีภาระ แต่วุฒิภาวะของเจ้าไม่เพียงพอและประสบการณ์ชีวิตของเจ้าก็ตื้นเขินเกินไป ดังนั้นต่อให้เจ้ากลายเป็นผู้นำ เจ้าย่อมหมิ่นเหม่ที่จะล้มคะมำ เจ้าต้องไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต แก้ไขความอยากอันเกินพอดีของเจ้าเสียก่อน โดยเต็มใจที่จะเป็นผู้ติดตาม และมานบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง โดยไม่มีคำพูดพร่ำบ่นสำหรับสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงหรือทรงจัดการเตรียมการ เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะนี้ โอกาสของเจ้าย่อมจะมาถึง การที่เจ้าปรารถนาที่จะแบกรับภาระหนัก การที่เจ้ามีภาระนี้เป็นสิ่งที่ดี นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีหัวใจที่กระตือรือร้นซึ่งเสาะแสวงที่จะก้าวหน้าและเจ้าต้องการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและติดตามน้ำพระทัยของพระองค์ นี่ไม่ใช่ความทะเยอทะยาน แต่เป็นภาระที่แท้จริง นี่เป็นความรับผิดชอบของบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา เจ้าไม่มีแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวและไม่ได้ออกไปทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่เพื่อเป็นพยานให้พระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย—นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงอวยพรมากที่สุด และพระองค์จะทรงทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมให้แก่เจ้า ตอนนี้เจ้าก็แค่ใส่ใจการไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างถูกควรเสียก่อน จากนั้นจึงเขียนบทความเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์เพื่อเป็นพยานให้พระเจ้า หากคำพยานของเจ้าเป็นความจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริง คนที่อ่านคำพยานเหล่านี้ย่อมจะเลื่อมใสเจ้าและชอบเจ้า รวมทั้งเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับเจ้าและรับรองเจ้า แล้วโอกาสของเจ้าก็จะมาถึง ดังนั้นเจ้าต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมสรรพด้วยความจริงก่อนที่โอกาสจะมาถึง อันดับแรกจงมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง จากนั้นเจ้าจะมีคำพยานที่แท้จริงตามธรรมชาติ ผลลัพธ์ของหน้าที่ของเจ้าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะไม่สามารถซ่อนเร้นได้ต่อให้เจ้าต้องการที่จะซ่อนเร้นก็ตาม และพี่น้องชายหญิงรอบๆ เจ้าย่อมจะรับรองเจ้า นั่นเป็นเพราะไม่เพียงแค่พระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้นที่ต้องการคนที่มีความเป็นจริงความจริง แต่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ต้องการเช่นกัน ทุกคนชอบที่จะเข้าร่วมกับคนที่มีความเป็นจริงความจริง และทุกคนก็ชอบที่จะคบหาสมาคมกับเพื่อนๆ ที่มีความเป็นจริงความจริง หากเจ้ามีประสบการณ์ถึงระดับนี้ และทุกคนเห็นว่าเจ้ามีคำพยานที่แท้จริงและรับรู้ว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริง เจ้าย่อมจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นผู้นำได้ต่อให้เจ้าต้องการที่จะหลีกเลี่ยงก็ตาม และพี่น้องชายหญิงย่อมจะยืนกรานที่จะลงคะแนนเลือกเจ้า ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? เมื่อบุตรผู้หลงหายหันกลับและกลับคืนสู่พระเจ้า พระองค์ย่อมพอพระทัย ทรงมีความสุข และทรงได้รับความชูใจในพระหทัยของพระองค์ ในฐานะคนที่มีความเป็นจริงความจริง พระเจ้าจะไม่ทรงใช้เจ้าได้อย่างไร? นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการได้รับผู้คนจำนวนมากขึ้นที่สามารถเป็นพยานให้พระองค์ เพื่อทำให้ทุกคนที่รักพระองค์เพียบพร้อม และเพื่อสร้างกลุ่มคนที่มีหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงมีจุดหมายปลายทางในอนาคตที่ยิ่งใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า และจุดหมายปลายทางในอนาคตของบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าย่อมปราศจากขีดจำกัดอย่างแท้จริง ทุกคนควรเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า การมีภาระนี้เป็นสิ่งที่เป็นบวกอย่างแท้จริง อีกทั้งเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลควรมี แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจำเป็นจะต้องสามารถรับภาระหนักได้ ความแตกต่างที่ว่านี้มาจากไหน? ไม่ว่าจุดแข็งหรือความสามารถของเจ้าจะเป็นอย่างไร และเชาว์ปัญญาของเจ้าอาจสูงเพียงใดก็ตาม สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดก็คือการไล่ตามเสาะหาของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเดิน หากความเป็นมนุษย์ของเจ้าได้มาตรฐานและเจ้ามีขีดความสามารถบางอย่าง แต่เจ้าไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าเพียงแค่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีและมีสำนึกถึงภาระอยู่บ้าง เจ้าจะสามารถทำงานแห่งการนำของคริสตจักรได้ดีหรือไม่? เจ้ารับประกันหรือไม่ว่าเจ้าสามารถใช้ความจริงแก้ไขปัญหาได้? หากเจ้าไม่สามารถรับประกันเช่นนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ยังคงไม่มีสมรรถภาพในงานของเจ้า ต่อให้เจ้าได้รับคัดเลือกหรือได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำ เจ้าจะยังคงไม่สามารถทำงานนี้ได้ แล้วนั่นจะมีประโยชน์อะไร? แม้เรื่องนี้จะตอบสนองความทะนงตนของเจ้า แต่จะสร้างความเสียหายต่อพี่น้องชายหญิงและทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าออกไป หากเจ้าทำได้ตามเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง อีกทั้งเจ้าก็ยังมีคำพยานจากประสบการณ์อยู่บ้าง เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสามารถทำงานแห่งการนำได้ดีอย่างแน่นอน เพราะเจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์ เจ้าเป็นคนที่เข้าใจความจริง และสามารถแบกรับภาระหนักของการเป็นผู้นำคริสตจักรได้ การที่ความเป็นมนุษย์ของเจ้าได้มาตรฐานและเจ้ามีจุดแข็งบางอย่างด้วยนั้นเป็นแค่เกณฑ์พื้นฐานสำหรับการได้รับการเลื่อนตำแหน่ง บ่มเพาะ และใช้งานโดยพระนิเวศของพระเจ้า แต่เจ้าจะสามารถทำงานแห่งการนำได้หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีประสบการณ์จริงและความเป็นจริงความจริงหรือไม่—นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด บางคนเป็นคนที่ไร้ความผิดและไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขากลับเชื่อมาแค่สามถึงห้าปีและไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้คนดังกล่าวสามารถทำงานแห่งการนำของคริสตจักรให้ดีได้หรือไม่? เราเกรงว่าพวกเขาจะไม่มีสมรรถภาพในการทำงาน พวกเขาขาดอะไรไป? พวกเขาขาดประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและยังไม่ได้ทำความเข้าใจความจริง ต่อให้พวกเขาสามารถกล่าวคำพูดและคำสอนมากมาย การใช้ความจริงแก้ไขปัญหาก็ยังคงยากเกินไปสำหรับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงไม่มีสมรรถภาพในงานแห่งการนำและจำเป็นต้องฝึกฝนตัวเองต่อไปเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ลองดูตัวอย่างของคนที่ความเป็นมนุษย์ได้มาตรฐานและซื่อสัตย์พอควร ไม่ค่อยโกหกและหลอกลวง และทำหน้าที่ของตนโดยไม่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน แต่แย่ในการไล่ตามเสาะหาความจริง คนเช่นนี้จะสามารถได้รับการบ่มเพาะให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานได้หรือไม่? นี่ย่อมจะเป็นเรื่องยากมาก คนที่ทำได้ตามเกณฑ์สำหรับการเลื่อนตำแหน่ง บ่มเพาะ และใช้งาน แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง จะสามารถกลายเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่ หากได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน? เขาจะสามารถเริ่มไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่? หลังจากทำงานในฐานะผู้นำหรือคนทำงานเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง เขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่? นั่นย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ไม่สำคัญว่าคนคนหนึ่งทำได้ตามเกณฑ์ใด ตราบที่เขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เขาย่อมไม่สามารถได้รับคัดเลือกหรือได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานอย่างแน่นอนที่สุด หากคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถที่ได้มาตรฐาน และยังสามารถยอมรับความจริงและก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกด้วย เช่นนั้นเขาย่อมสามารถได้รับการเลื่อนตำแหน่ง บ่มเพาะ และใช้งาน และเช่นนั้นผลก็คือ พวกเขาจะได้รับโอกาสที่จะฝึกฝนตัวเอง เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเริ่มเข้าสู่เส้นทางสู่ความรอดและการทำให้เพียบพร้อม ดังนั้นไม่สำคัญว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะเลื่อนตำแหน่งใครให้เป็นผู้นำ คนทำงาน หรือหัวหน้างาน จุดประสงค์นั้นไม่ใช่เพื่อตอบสนองความอยากและความทะเยอทะยานส่วนตัวของเจ้า และไม่ใช่เพื่อลุล่วงความมุ่งมาดปรารถนาของเจ้า แต่เพื่อช่วยให้เจ้าสามารถเริ่มเข้าสู่เส้นทางแห่งความรอดและกลายเป็นคนที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อม
ส่วนพวกที่ค่อนข้างมีสติปัญญาไม่เพียงพอ พวกเขามีความเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดีและต้องการปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาขาดพร่องปัญญา ไม่รู้วิธีกระทำการตามหลักธรรม และไม่สามารถมองเรื่องอันใดออกเลย เมื่อถึงจุดหนึ่ง พวกเขาเผชิญกับการทดลองและตกไปอยู่ในการทดลองนั้น และผลก็คือ พวกเขาทรยศผลประโยชน์ของคริสตจักร ทรยศพี่น้องชายหญิง และนำความเสียหายมาสู่งานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราควรรับมือและปฏิบัติต่อคนประเภทนี้ที่เป็นคนโง่และมีสติปัญญาไม่เพียงพออย่างไร? เมื่อเป็นเรื่องของพวกคนโง่ดังกล่าวที่ขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและมีสติปัญญาไม่เพียงพอ พวกเขาทั้งหมดทุกคนควรถูกปลดและได้รับการมอบหมายใหม่ และไม่มีใครที่สามารถใช้ได้เลย หากมีการใช้ผู้คนดังกล่าว พวกเขาอาจนำความเดือดร้อนมาสู่งานของพระนิเวศของพระเจ้าได้ตลอดเวลา—มีบทเรียนเช่นนี้มากมายเหลือเกิน ทุกวันนี้มีคนมากมายที่ภายนอกนั้นมีสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้าง แต่พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความเป็นจริงความจริงอันใดได้เลย พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาแล้วหลายปีแต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ในสภาวะนี้ ควรมองรากเหง้าของปัญหานี้ให้เห็นชัดเจน นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับขีดความสามารถที่ด้อยเกินไปและการขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ผู้คนดังกล่าวจะไม่เปลี่ยนแปลงไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี อีกทั้งยังไม่มีความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัดเลยทั้งๆ ที่พวกเขารับฟังคำเทศนาทั้งหมดนั้นมาแล้ว สิ่งที่ทำได้มีเพียงการวางที่ทางให้พวกเขาอยู่ ให้ทำงานรับใช้ที่พวกเขาทำได้ไม่ว่าในหนทางที่ขาดแคลนแบบไหนก็ตาม นี่ใช่หนทางที่ดีในการจัดการกับพวกเขาหรือไม่? (หนทางนี้ดี) บางคนที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอและไม่มีกำลัง ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าแม้แต่น้อยแม้หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี อีกทั้งล้มเหลวที่จะเข้าใจคำเทศนาทั้งๆ ที่รับฟังคำเทศนามาเป็นเวลาหลายปี การแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าให้แก่ผู้คนดังกล่าวยังคงเป็นประโยชน์หรือไม่? (ไม่ ไม่เป็นประโยชน์) หนังสือพระวจนะของพระเจ้าไม่ควรแจกจ่ายให้แก่คนที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอ เพราะการทำเช่นนั้นย่อมไร้ผลและเทียบเสมอกับการสูญเปล่า และหนังสือดังกล่าวไม่ว่าเล่มใดที่ได้แจกจ่ายให้แก่พวกเขาไปแล้วควรถูกรวบรวมกลับคืนมาทันที นี่ไม่ใช่เพื่อตัดสิทธิ์ไม่ให้พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่เพราะสติปัญญาของพวกเขาไม่เพียงพอ ต่อให้ผู้คนดังกล่าวใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ นับประสาอะไรที่จะทำหน้าที่ ผู้คนดังกล่าวเป็นขยะมิใช่หรือ? พวกเจ้าควรที่จะรู้วิธีจัดการกับขยะ ภายนอกนั้นบางคนดูเหมือนค่อนข้างไร้เล่ห์มายา แต่สติปัญญาของพวกเขาแย่มากจนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำงานบ้านได้อย่างถูกควร และพวกเขาก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยุ่งเหยิง หากพวกเขาถูกขอให้ทำงานบ้าน พวกเขาจะทำบางสิ่งเสียหายอย่างแน่นอน ดังนั้นคนเช่นนี้ย่อมไม่สามารถใช้ได้ หากเจ้าขอให้พวกเขายกถังน้ำขึ้นมา พวกเขาก็จะชนขวดน้ำมันล้ม หากเจ้าขอให้พวกเขาล้างชาม พวกเขาจะทำจานแตก หากเจ้าขอให้พวกเขาทำอาหาร พวกเขาจะทำอาหารมากเกินไปหรือไม่ก็น้อยเกินไป หรือไม่ก็อาหารนั้นจะเค็มเกินไปหรือจืดชืดเกินไป พวกเขาทุ่มเทหัวใจให้กับเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรให้ดีได้เลย รวมทั้งปฏิบัติงานที่ต้องใช้แรงได้ไม่ดีด้วยซ้ำ ผู้คนดังกล่าวสามารถใช้ได้หรือไม่? (ไม่) แล้วหากไม่สามารถใช้พวกเขาได้ ควรขอให้พวกเขาทำสิ่งใด? นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เชื่อในพระเจ้าและพระนิเวศของพระเจ้าไม่ต้องการพวกเขาหรือไม่? ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แค่อย่าปล่อยให้พวกเขาทำหน้าที่ หากพวกเขาไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในขอบเขตของชีวิตมนุษย์ปกติอย่างถูกควร—รวมถึงสิ่งทั้งหลายตามสามัญสำนึกทั่วไปและเรื่องที่เป็นกิจวัตรในชีวิตประจำวัน—หรือพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า
แม้บางคนไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีหรือความสามารถพิเศษใดๆ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะสามารถได้รับการบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถทำงานบ้านบางอย่างได้ ตัวอย่างเช่น การให้อาหารเป็ดไก่ การให้อาหารสุกร และการเลี้ยงแกะเป็นงานที่พวกเขาสามารถทำได้ดี หากเจ้าให้งานที่เรียบง่ายแก่พวกเขา พวกเขาย่อมสามารถทำงานนั้นได้ดีตราบที่พวกเขาทุ่มเทหัวใจให้กับงานนั้น และด้วยเหตุนี้ผู้คนดังกล่าวจึงสามารถทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้ แม้นี่จะเป็นงานบ้านงานเดียวที่เรียบง่าย แต่พวกเขาสามารถทุ่มเทหัวใจให้กับงานนี้และลุล่วงความรับผิดชอบได้ และพวกเขาก็ยังสามารถสร้างข้อกำหนดให้ตนเองตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงได้เช่นกัน ไม่สำคัญว่างานบ้านนั้นใหญ่หรือเล็ก หรืองานนั้นสำคัญหรือไม่สำคัญ เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว พวกเขาสามารถทำงานเดี่ยวงานนั้นที่มอบหมายให้พวกเขาได้ดี ไม่เพียงแค่พวกเขาสามารถให้อาหารพวกไก่ได้ดีจนกระทั่งพวกมันออกไข่ตามปกติเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถปกป้องพวกไก่ไม่ให้ถูกสุนัขจิ้งจอกคาบไปอีกด้วย หากพวกเขาได้ยินสุนัขจิ้งจอกหอน พวกเขาจะบอกหัวหน้างานของตนทันที เพียรพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเหตุร้ายใดๆ ในการปฏิบัติการงานและงานที่พระนิเวศของพระเจ้าวางใจมอบหมายให้พวกเขา หากพวกเขาทำงานเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมค่อนข้างทุ่มเทอุทิศ และนี่นับว่าเป็นการสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนและทำงานให้ดี ด้วยสิ่งที่เหลืออยู่—ชีวิตส่วนตัวของพวกเขา รวมทั้งวิธีที่พวกเขาประพฤติตนและจัดการกับสิ่งทั้งหลาย—พวกเขาห่างไกลอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่รู้วิธีมีปฏิสัมพันธ์และสนทนากับผู้อื่น และไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมสภาวะของตนกับผู้อื่น และบางครั้งก็ฉุนเฉียว นี่นับว่าเป็นปัญหาหรือไม่? การไม่ใช้พวกเขาเพราะประเด็นปัญหาเหล่านี้เป็นการดีหรือไม่? (ไม่ นั่นไม่เป็นการดี) บางคนมีสุขอนามัยส่วนบุคคลที่แย่ พวกเขาไม่สระผมเป็นเวลาอย่างน้อยสิบวันและโดยทั่วไปแล้วพวกเขามีกลิ่นไม่ดี ผู้อื่นทำเสียงดังเวลาที่กินและดื่มในขณะที่พวกที่อยู่รอบๆ พวกเขากำลังพักผ่อน และก็เสียงดังในเวลาอื่นด้วย เช่น เวลาเดิน ปิดประตู และพูดคุย—พวกเขาไม่มีการศึกษาและไม่มีมารยาท ผู้คนดังกล่าวควรได้รับการปฏิบัติอย่างไร? ทุกคนต้องทำความเข้าใจ ช่วยเหลือ และสนับสนุนพวกเขาด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก สามัคคีธรรมกับพวกเขาว่าความเป็นมนุษย์ที่ปกติเป็นอย่างไร และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงทีละน้อย เนื่องจากพวกเจ้าอยู่ด้วยกันทุกคน พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ผู้คนดังกล่าวสามารถใช้ได้ตราบที่พวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างถูกควร รวมทั้งเข้ารับงาน และไม่ทำสิ่งใดที่เป็นเหตุให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน บางคนฉลาดหลักแหลมกว่า มีขีดความสามารถดี และทำงานอย่างขะมักเขม้น และพวกเขาสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนและทำงานที่มอบหมายให้ตนได้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถได้รับการบ่มเพาะและใช้งาน แต่บางคนมีขีดความสามารถด้อยเหลือเกินจนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำงานเดียวให้ดีได้ พวกเขาก็แค่จัดการกับการให้อาหารพวกไก่ไปเท่านั้น แต่หากพวกเขาต้องให้อาหารพวกเป็ดและห่านด้วย พวกเขาย่อมจะรับมือไม่ไหวและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการทำงานนี้ให้ดี แต่ขีดความสามารถของพวกเขาด้อยเกินไป สมองของพวกเขามีขีดจำกัด พวกเขารู้แต่เพียงว่าจะทำงานหนึ่งอย่างไรเท่านั้น และหากพวกเขาได้รับมอบให้ทำอีกหนึ่งงาน พวกเขาย่อมไม่เหลือกำลังสมองที่จะทำ พวกเขาไม่รู้ว่าจะวางแผนอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงทำให้สิ่งทั้งหลายยุ่งเหยิง ผู้คนดังกล่าวเหมาะสมสำหรับการทำงานไปทีละอย่างเท่านั้น จงอย่ามอบงานให้พวกเขาทีละหลายๆ งาน เพราะพวกเขาจะไม่สามารถรับงานเหล่านั้นได้ จงอย่าคิดว่าหากพวกเขาสามารถทำงานบ้านหนึ่งอย่างได้ดี พวกเขาย่อมสามารถทำงานบ้านสองหรือสามอย่างได้อย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ และเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของพวกเขา จงปล่อยให้พวกเขาพยายามทำงานบ้านสองอย่างก่อน หากพวกเขามีขีดความสามารถดีและสามารถรับงานนั้นได้ เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถจัดแจงให้พวกเขาในหนทางนี้ได้ หากพวกเขาไม่สามารถทำงานบ้านสองอย่างให้ดีพร้อมกันได้ และทำให้ยุ่งเหยิง นั่นหมายความว่าเรื่องนี้เลยพ้นขีดความสามารถของพวกเขา ดังนั้นเจ้าจึงต้องเอางานบ้านที่สองคืนมาจากพวกเขาทันที นี่เป็นเพราะผ่านทางการเฝ้าสังเกตและช่วงทดลองงาน เจ้าค้นพบว่าพวกเขาเหมาะสมสำหรับการทำงานไปทีละอย่างเท่านั้น แทนที่จะทำงานที่ซับซ้อนหลายอย่าง และพวกเขาไม่มีขีดความสามารถสำหรับเรื่องนี้ บางคนค่อนข้างฉลาดหลักแหลมและมีขีดความสามารถค่อนข้างดี และหากเจ้ามอบงานหลายอย่างให้พวกเขาทำ พวกเขาย่อมสามารถทำงานเหล่านั้นให้ดีได้ ตัวอย่างเช่น หากเจ้าขอให้พวกเขาทำอาหาร ให้อาหารพวกไก่ และจัดการกับสวนผัก พวกเขาสามารถจัดเตรียมอาหารได้ตรงเวลาทุกวันในขณะที่จัดการกับสวนผักในช่วงเวลาเสริม ให้น้ำและกำจัดวัชพืชในสวนในทันที และให้อาหารพวกไก่ตรงเวลา บางคนอาจพูดว่า “ในเมื่อพวกเขามีขีดความสามารถนี้ ก็ปล่อยให้พวกเขาเข้ารับงานของคริสตจักรและเป็นผู้นำคริสตจักรด้วยสิ” นั่นจะเป็นการดีหรือไม่? แม้พวกเขาสามารถเข้ารับงานที่ต้องใช้แรงบางอย่างและงานบ้านทั่วไป เมื่อเป็นเรื่องของการเป็นผู้นำคริสตจักร การนั้นพึงต้องมีการประเมินผลแยกต่างหาก นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถประเมินวัดได้บนพื้นฐานของการที่พวกเขาทำงานในบริเวณภายนอกบ้านที่เรียบง่ายเหล่านี้ นั่นเป็นเพราะการเป็นผู้นำคริสตจักรไม่ใช่งานบ้านที่ต้องใช้แรง เรื่องนี้ต้องประเมินวัดด้วยหลักธรรมเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม หากคนคนนี้มีขีดความสามารถและความสามารถพิเศษที่จะเป็นผู้นำคริสตจักร และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาดีพอควร การที่เจ้าจะมอบหมายให้พวกเขาทำงานในบริเวณภายนอกบ้านย่อมจะเป็นเรื่องไม่เหมาะสม นั่นเรียกว่าการใช้ผู้คนอย่างไม่เหมาะสม อย่างมากที่สุด ผู้นำคริสตจักรสามารถทำงานบ้านที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเสริมขึ้นมาได้อีกหนึ่งอย่าง และใส่ใจทำเรื่องนี้มากขึ้นเล็กน้อยเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาไม่ยุ่ง—นี่จะไม่ทำให้พวกเขาเหนื่อยล้ามาก เมื่อเป็นเรื่องกิจวัตรยิบย่อยที่ไม่สลักสำคัญและงานที่ต้องใช้แรงเหล่านี้ ผู้คนสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้ มีใครบ้างไหมที่สามารถรับเอาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ได้? มีใครบ้างไหมที่มีขีดความสามารถดังกล่าว? (ไม่มี) อาจเป็นว่าขีดความสามารถและความสามารถของพวกเขาเพียงพอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะมีไม่มากพอ และนั่นก็คือพลัง ผู้คนหมดเรี่ยวแรงได้ พลังของพวกเขามีขีดจำกัด และจำนวนงานที่พวกเขาสามารถเข้ารับก็มีขีดจำกัดด้วย คนที่มีพลังสูงอาจสามารถทำงานได้ถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน ในขณะที่คนที่มีพลังโดยเฉลี่ยทั่วไปสามารถทำงานตามปกติเป็นเวลาแปดชั่วโมง และคนที่มีพลังต่ำสามารถทำงานได้แค่สี่หรือห้าชั่วโมง ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะใช้คนคนหนึ่งให้ทำงานบ้าน งานผู้นำคริสตจักร หรืองานที่เกี่ยวข้องกับทักษะเชิงวิชาชีพ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งที่พวกเขาเหมาะสมด้วยมากที่สุด และหลังจากมอบหมายงานที่เหมาะสมที่สุดให้พวกเขาแล้ว หากพวกเขาไม่สามารถทำงานนั้นได้ จงมอบหมายอย่างอื่นให้พวกเขา หากเจ้าไม่มอบหมายงานให้พวกเขาตามสิ่งที่พวกเขาเหมาะสมที่จะทำมากที่สุด นี่ย่อมเป็นความผิดพลาดในหนทางที่เจ้าใช้ผู้คน สำหรับคนเหล่านั้นที่ไม่สามารถได้รับความสำคัญก่อนอื่นสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง การบ่มเพาะ และการใช้งาน ต่อให้พวกเขาถูกขอให้ทำงานบ้าน พวกเขาต้องได้รับการมอบหมายให้ทำงานบ้านเหล่านี้บนพื้นฐานของขีดความสามารถและความสามารถของพวกเขา ในเวลาเดียวกันกับที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายงานหนึ่งของพวกเขาให้ดี หากพวกเขายังคงสามารถทำงานของพวกเขาได้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถถูกขอให้ทำงานบ้านอื่นๆ เสริมอีกสองสามอย่างได้ ตราบที่การทำงานดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่องานหลักของพวกเขา บางคนมีความแข็งแกร่งทางกายภาพและสามารถทำงานบ้านสามอย่างติดต่อกันได้ตามลำดับ หลังจากเสร็จสิ้นงานบ้านหนึ่งอย่าง พวกเขายังคงมีพลังเหลือ และส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ว่าง แต่ผู้นำเทียมเท็จตามืดบอดและไม่รู้วิธีจัดสรรงาน และไม่ได้ตระหนักว่านี่เป็นปัญหา ดังนั้นพวกเขาจึงมอบหมายให้คนเหล่านี้ทำงานบ้านหนึ่งอย่างเท่านั้น ซึ่งเป็นความผิดพลาด
เราเพิ่งพูดถึงคนที่มีสติปัญญาไม่เพียงพอซึ่งไม่มีทักษะพิเศษและสามารถทำได้เพียงทุ่มเทแรงงานเท่านั้น ยังมีคนที่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยบางอย่างและไม่สามารถแม้แต่จะทุ่มเทแรงงาน และเกิดปวดหัว ปวดท้อง หรือปวดหลังเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำสิ่งอันใดที่ต้องใช้แรงแม้เพียงเล็กน้อยอีกด้วย หากคนประเภทนี้เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ ควรทำสิ่งใดเกี่ยวกับการมอบหมายหน้าที่ให้พวกเขา? คนเราต้องดูที่แง่มุมต่างๆ เช่น สภาวะเกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขารวมทั้งความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถของพวกเขาด้วย เพื่อจะได้สืบเสาะให้แน่ใจว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ใดในพระนิเวศของพระเจ้า หากสุขภาพของพวกเขาแย่มากจนพวกเขาไม่สามารถทำงานบ้านใดๆ ได้ และต้องพักหลังจากทำงานอยู่ชั่วระยะหนึ่ง และต้องการใครสักคนมาใส่ใจพวกเขาอีกด้วย หากพวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างถูกควรด้วยตัวเองและต้องจับคู่กับคนที่สามารถดูแลพวกเขาได้ เช่นนั้นนั่นย่อมไม่คุ้มค่าแม้แต่น้อย ผู้คนดังกล่าวไม่เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ ดังนั้นจงปล่อยให้พวกเขากลับบ้านไปพักฟื้น ไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใดก็ตาม จงอย่าใช้คนที่ล้มป่วยหนักขนาดที่ว่าเพียงลมกระโชกก็อาจพัดพวกเขาให้ล้มลงได้ หากสุขภาพของพวกเขาไม่แย่เกินไปและเป็นแค่ว่าหากพวกเขากินอะไรผิดสำแดงก็จะปวดท้อง หรือหากพวกเขาใช้สมองมากเกินไปก็จะปวดหัว พวกเขาจึงทำงานได้น้อยกว่าบุคคลปกติทั่วไปสามหรือสี่ชั่วโมงเพียงเท่านั้น หรือทำงานได้ครึ่งหนึ่งของบุคคลปกติทั่วไป เช่นนั้นผู้คนดังกล่าวก็ยังคงสามารถถูกใช้งานได้ตราบที่พวกเขาทำได้ตามอีกเกณฑ์หนึ่ง เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเองว่า “สุขภาพของฉันแย่เกินกว่าที่จะทนกับความยากลำบากนี้ ฉันต้องการกลับบ้านไปพักฟื้น เมื่อฉันฟื้นตัว ฉันจะกลับมาทำหน้าที่ของฉัน” จากนั้นก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้นโดยไม่ล่าช้า และไม่พยายามให้คำปรึกษาพวกเขาเกี่ยวกับวิธีคิดของพวกเขา ต่อให้เจ้าทำเช่นนั้นก็ไม่มีผลอันใด มีคำกล่าวว่า “บางสิ่งที่กระทำไปอย่างฝืนใจย่อมจะไม่สร้างผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ” ความเชื่อ ความตั้งใจแน่วแน่ และการไล่ตามเสาะหาของทุกคนแตกต่างกัน บางคนอาจพูดว่า “ไม่ใช่เพียงแค่ว่าบางครั้งพวกเขารู้สึกไม่ค่อยดีเล็กน้อยและมีพลังต่ำเล็กน้อยหรอกหรือ? ผู้คนอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีหากพวกเขากินอะไรผิดสำแดง แต่หลังจากผ่านไปสองวันพวกเขาย่อมจะไม่เป็นไร มีความจำเป็นอันใดหรือไม่ที่พวกเขาจะต้องกลับบ้านไปพักฟื้น? อาการปวดหัวและอาการวิเวียนของพวกเขาจะไม่หายไปหลังจากนอนหลับสบายคืนหนึ่งหรอกหรือ? เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถทำงานตามปกติได้ไม่ใช่หรือ? นี่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรือ?” นี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเจ้า แต่บางคนแตกต่างจากผู้อื่นในแง่ของระดับที่พวกเขาทะนุถนอมเนื้อหนังของตน และบางคนมีปัญหาสุขภาพอย่างแท้จริง ในกรณีดังกล่าว หากพวกเขายื่นคำร้องขอกลับบ้านไปพักผ่อนและพักฟื้น คริสตจักรควรเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ไม่สร้างข้อเรียกร้องกับพวกเขา ไม่ทำสิ่งทั้งหลายให้ยากลำบากสำหรับพวกเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่พยายามที่จะให้คำปรึกษาแก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีคิดของพวกเขา ผู้นำเทียมเท็จบางคนทำงานกับผู้คนดังกล่าวอยู่เป็นนิตย์ โดยพูดว่า “มองดูขอบเขตที่พระราชกิจของพระเจ้าไปถึงในตอนนี้สิ ความวิบัติใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ พระจันทร์สีเลือดสี่ดวงปรากฏขึ้นแล้ว และตอนนี้โรคระบาดก็แพร่กระจายไปทั่วจนกระทั่งผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีหนทางที่จะมีชีวิตรอด! คุณอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ทำหน้าที่ของคุณและชื่นชมกับพระคุณของพระเจ้า—คุณจะไม่ได้สัมผัสภัยอันตรายและคุณยังสามารถได้รับความจริงและชีวิตอีกด้วย—นั่นเป็นพรอันยิ่งใหญ่มาก! ปัญหาเล็กน้อยที่คุณมีนี้ไม่สำคัญอะไร คุณต้องเอาชนะปัญหานี้และอธิษฐานถึงพระเจ้า พระเจ้าจะทรงรักษาคุณอย่างแน่นอน แค่อ่านพระวจนะของพระเจ้า เรียนรู้เพลงสรรเสริญอีกสักสองสามเพลง แล้วความเจ็บไข้ได้ป่วยของคุณย่อมจะดีขึ้นตามธรรมชาติหากคุณไม่ครุ่นคิดถึงมัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘การอาศัยอยู่ในอาการป่วยก็คือการเจ็บป่วย’? ตอนนี้คุณอาศัยอยู่ในอาการป่วย หากคุณคอยคิดถึงการเจ็บป่วยเรื่อยไป เช่นนั้นอาการป่วยย่อมจะกลายเป็นร้ายแรง หากคุณไม่คิดถึงมัน เช่นนั้นความเจ็บไข้ได้ป่วยของคุณย่อมจะปลาสนาการไปมิใช่หรือ? แบบนั้น คุณจะเติบโตในความเชื่อและคุณจะไม่ต้องการกลับบ้านไปพักผ่อน การที่คุณกลับบ้านไปพักผ่อนนั้นเรียกว่าการละโมบความสุขสบายทางเนื้อหนัง” จงอย่าพยายามให้คำปรึกษาแก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีคิดของพวกเขา การทำเช่นนั้นเป็นเรื่องโง่เขลา พวกเขาไม่แม้แต่จะสามารถบากบั่นให้ผ่านพ้นความไม่สบายชั่วคราวเล็กน้อยและแค่ต้องการกลับบ้านไปพักผ่อนเท่านั้น และไม่สามารถแม้แต่จะผ่านพ้นความลำบากยากเย็นเล็กน้อยไปได้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ ในอันที่จริงทั้งหมดแล้ว คนประเภทนี้ไม่มีเจตนาที่จะทำหน้าที่ของตนในระยะยาว พวกเขาไม่ทำหน้าที่ดังกล่าวด้วยความจริงใจอันใด ไม่เต็มใจที่จะยอมลำบาก และตอนนี้ในที่สุดแล้วพวกเขาก็สบโอกาสและมีข้ออ้างที่จะหลบไปพักอย่างเต็มที่ ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขากำลังชื่นบานที่พวกเขาฉลาดหลักแหลมมากและความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้มาถึงในเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม จงอย่ารบเร้าให้พวกเขาอยู่ต่อ พวกเขาจะเกลียดชังใครก็ตามที่พยายามรบเร้าให้พวกเขาอยู่ต่อ และพวกเขาก็จะสาปแช่งใครก็ตามที่พยายามให้คำปรึกษาแก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีคิดของพวกเขา เจ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอกหรือ? แน่นอนว่าบางคนป่วยจริงๆ และป่วยมาเป็นเวลานานแล้ว และกลัวว่าหากพวกเขาฝืนต่อไป ชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย พวกเขาไม่ต้องการที่จะนำความเดือดร้อนอันใดมาสู่พระนิเวศของพระเจ้าหรือส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคนอื่น พวกเขารู้สึกว่าทันทีที่สุขภาพของพวกเขาไม่เป็นไปตามที่คาด พวกเขาจะต้องพึ่งพาพี่น้องชายหญิงให้ดูแลพวกเขา และพวกเขาก็รู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับการทำให้พระนิเวศของพระเจ้าต้องดูแลพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นฝ่ายขอลาหยุดด้วยปัญญา สถานการณ์นี้ควรจัดการอย่างไร? ด้วยการให้พวกเขากลับบ้านไปพักเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในทำนองเดียวกันนั่นเอง พระนิเวศของพระเจ้าไม่กลัวความเดือดร้อน แต่แค่ไม่ต้องการที่จะบังคับสิ่งทั้งหลายกับผู้คนโดยขัดต่อเจตจำนงของพวกเขา นอกจากนี้ ผู้คนล้วนมีความลำบากยากเย็นที่แท้จริงและเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง ผู้คนที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนังล้วนเจ็บป่วย และความเจ็บไข้ได้ป่วยของเนื้อหนังก็เป็นปัญหาที่มีอยู่ในความเป็นจริง—พวกเราเคารพข้อเท็จจริงเหล่านั้น บางคนไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างจริงแท้เนื่องจากสุขภาพที่ป่วยหนัก และหากพวกเขาต้องการให้พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมความสะดวกสบายให้พวกเขา หรือพวกเขาต้องการให้พี่น้องชายหญิงจัดเตรียมยาหรือเสนอข้อแนะนำในการรักษาบางอย่าง พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะยินดีที่จะจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ หากพวกเขาไม่ต้องการรบกวนพระนิเวศของพระเจ้าและพวกเขามีเงินทอง วิถีทาง และหนทางที่จะไปรักษาความเจ็บไข้ได้ป่วยของพวกเขา นั่นก็ไม่เป็นไรเช่นกัน โดยสรุปแล้ว หากเป็นเพราะสุขภาพของพวกเขาไม่อำนวยให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าต่อไปหรือได้รับการบ่มเพาะจากพระนิเวศของพระเจ้าต่อไป เช่นนั้นพวกเขาย่อมสามารถยื่นคำขอที่สามารถอธิบายได้ และพระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะยอมรับคำขอนั้นในทันที ไม่มีใครควรให้คำปรึกษาแก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีคิดของพวกเขาหรือเรียกร้องจากพวกเขา เนื่องจากการทำเช่นนั้นย่อมจะไม่ถูกต้องเหมาะสมและปราศจากความมีเหตุผล นี่คือการจัดการเตรียมการที่ทำขึ้นสำหรับคนประเภทนี้
วิธีปฏิบัติต่อคนที่มีลักษณะเฉพาะบางประการ
I. วิธีปฏิบัติต่อคนที่ไม่ใส่ใจงานที่ถูกควรของตน
บางคนมีความเป็นมนุษย์ที่พอใช้ได้ พวกเขามีจุดแข็งและหัวดี พูดจาเป็นปกติ พวกเขามักจะมองโลกในแง่ดีและกระตือรือร้นในการทำหน้าที่ของตนมาก แต่พวกเขามีข้อบกพร่องอย่างหนึ่งคือเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ขณะที่ติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ในคริสตจักร พวกเขากลับคิดถึงครอบครัวและญาติพี่น้องของตนอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็นึกถึงการกินอาหารอร่อยๆ ที่บ้านเกิดเสมอ และการไม่ได้กินก็ทำให้พวกเขาทรมาน ซึ่งส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่ชอบอยู่ตามลำพังในที่ของตนเองและมีพื้นที่ส่วนตัว เมื่ออยู่กับพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็รู้สึกว่าจังหวะการทำงานนั้นเร็วเกินไปและตนไม่มีพื้นที่ใช้ชีวิตส่วนตัว พวกเขารู้สึกกดดันอยู่เสมอ และรู้สึกว่าถูกควบคุมและอึดอัดเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่กับพี่น้องชายหญิง พวกเขาอยากทำอะไรตามใจชอบและมีเสรีภาพที่จะตามใจตนเองตลอดเวลา พวกเขาไม่ต้องการทำหน้าที่ร่วมกับคนอื่นๆ และคิดถึงการกลับบ้านอยู่เสมอ พวกเขามักจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าการทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่น่าพึงพอใจ แม้ว่าพี่น้องชายหญิงจะเข้ากับคนง่ายและไม่มีใครรังแกพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าการปฏิบัติตามตารางเวลาทำงานและพักผ่อนนั้นค่อนข้างยากลำบาก—พอตอนเช้าทุกคนตื่นนอน พวกเขาก็อยากจะนอนต่อ แต่ก็รู้สึกละอายใจที่จะทำเช่นนั้น และในตอนกลางคืนเมื่อคนอื่นๆ เข้านอนพักผ่อนกันหมดแล้ว พวกเขาก็ยังไม่อยากนอนและอยากจะทำในสิ่งที่ตนสนใจอยู่เสมอ บางครั้งมีบางอย่างที่พวกเขาอยากกินเป็นพิเศษ แต่ในโรงอาหารไม่มี พวกเขาก็ลำบากใจเกินกว่าจะร้องขอ บางครั้งพวกเขาอยากจะออกไปเดินเล่น แต่ไม่มีใครคนอื่นเอ่ยปากชวน พวกเขาจึงไม่กล้าทำตามใจตนเอง พวกเขามักจะระมัดระวังและรอบคอบเสมอ กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะ ถูกดูแคลน หรือถูกว่าทำตัวเป็นเด็ก หากทำหน้าที่ได้ไม่ดี บางครั้งก็ลงเอยด้วยการถูกตัดแต่ง พวกเขารู้สึกเหมือนใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างหวาดหวั่น เหมือนกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายและไม่มีความสุขเลย พวกเขาคิดว่า “จำได้ว่าตอนอยู่บ้าน ฉันเป็นลูกรักของครอบครัว มีเสรีและไม่ถูกควบคุม เหมือนเทวดาตัวน้อยๆ ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร! ตอนนี้ฉันมาทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า ทำไมตัวตนเดิมของฉันถึงได้หายไปหมด? ฉันไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไปแล้ว” ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนี้อีก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับผู้นำ และเผยแพร่ความคิดเหล่านี้ให้กับคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา คิดถึงบ้านอยู่เสมอ และแอบร้องไห้บนเตียงในตอนกลางคืน ควรทำอย่างไรกับคนประเภทนี้? ใครก็ตามที่รับรู้เรื่องนี้ก็ควรรีบรายงานโดยไม่ชักช้า ผู้นำควรตรวจสอบให้แน่ใจทันทีว่าเรื่องนั้นเป็นจริงหรือไม่ และหากเป็นจริง ก็สามารถอนุญาตให้คนคนนั้นกลับบ้านได้ พวกเขาได้กินดีอยู่ดีและได้รับการดูแลในพระนิเวศของพระเจ้า แต่ก็ยังไม่เต็มใจทำหน้าที่ เอาแต่อารมณ์เสีย รู้สึกคับข้องใจและไม่มีความสุข เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จงส่งพวกเขากลับไปโดยเร็วที่สุด คนจำพวกนี้ไม่ได้มีอารมณ์เช่นนี้เพียงชั่วคราวแล้วจะคิดทบทวนจนแก้ไขได้เอง—สถานการณ์ของพวกเขาไม่ใช่แบบนั้น บางคนมีเจตจำนงส่วนตนที่แน่วแน่ในการทำหน้าที่ของตน และแม้ว่าพวกเขาจะคิดถึงบ้าน แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่เป็นปัญหาประเภทใด และสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขได้ ในกรณีของคนเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องปล่อยพวกเขาไปหรือกังวลเกี่ยวกับพวกเขา สถานการณ์ที่พวกเรากำลังพูดถึงคือคนอายุสามสิบกว่าปีแล้วแต่ยังทำตัวเหมือนเด็ก ไม่เคยเติบโต และไม่เคยมีความมั่นคง พวกเขาทำแต่สิ่งที่ถูกสั่งให้ทำเท่านั้น และเมื่อไม่มีอะไรให้ทำ พวกเขาก็จะคิดถึงแต่เรื่องสนุกและพูดคุยเรื่องไร้สาระ และไม่เคยต้องการใส่ใจงานที่ถูกควรของตนเลย ผู้ไม่มีความเชื่อพูดถึงการตั้งตัวได้เมื่ออายุ 30 ปี การตั้งตัวได้หมายถึงการใส่ใจในงานที่ถูกควรของตน สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานและเลี้ยงดูตนเองได้ รู้จักทำในสิ่งที่ถูกควร ใช้เวลาสนุกสนานน้อยลง และไม่ปล่อยให้งานการของตนล่าช้า คำว่า “ทำตัวเหมือนเด็ก” หมายความว่าอย่างไร? หมายถึงการไม่สามารถแบกรับงานที่ถูกควรใดๆ ได้ ต้องการปล่อยจิตใจให้ล่องลอยอยู่เสมอ อยากจะออกไปเดินเล่น เตร็ดเตร่ ทำตัวเหลวไหล กินขนม ดูละคร พูดคุยเรื่องไร้สาระ เล่นเกม และท่องอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาเรื่องราวแปลกประหลาด หมายถึงการไม่เคยมีใจที่จะเข้าร่วมการชุมนุม พอมีการชุมนุมก็อยากจะนอนเสมอ พอรู้สึกง่วงก็อยากจะหลับทันที และพอรู้สึกหิวก็อยากจะกินทันที เป็นคนเอาแต่ใจและไม่ใส่ใจงานที่ถูกควร คนเช่นนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีความเป็นมนุษย์ที่เลว เพียงแต่พวกเขาไม่เคยเติบโตและยังคงขาดความเป็นผู้ใหญ่อยู่เสมอ พวกเขาเป็นเช่นนี้เมื่ออายุ 30 ปี และยังคงเป็นเช่นนี้เมื่ออายุ 40 ปี พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากพวกเขาร้องขอที่จะจากไปและไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป ควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร? พระนิเวศของพระเจ้าไม่รั้งพวกเขาไว้ เจ้าควรตอบสนองพวกเขาทันที—ปล่อยให้พวกเขาจากไปในทันทีและกลับไปอยู่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ พร้อมกำชับพวกเขาว่าอย่าพูดเป็นอันขาดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า คนที่ไม่ใส่ใจงานที่ถูกควรของตนจะสามารถได้รับความจริงหรือ? หากเจ้าคาดหวังว่าพวกเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในด้านความเป็นมนุษย์และหันมาใส่ใจงานที่ถูกควรของตนผ่านการทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า สามารถแบกรับงานสำคัญได้ จากนั้นก็เข้าใจและปฏิบัติความจริงและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ เจ้าก็อย่าได้คาดหวังเช่นนั้นเป็นอันขาด เจ้าจะพบคนเช่นนี้ในทุกกลุ่ม ผู้ไม่มีความเชื่อตั้งฉายาให้กับคนจำพวกนี้ว่า “เด็กโข่ง” คนเช่นนี้สามารถมีอายุถึง 60 ปีได้โดยไม่เคยใส่ใจงานที่ถูกควรเลย พวกเขาพูดจาและจัดการสิ่งต่างๆ อย่างไม่เหมาะสม เอาแต่หัวเราะล้อเล่นและกระโดดโลดเต้นอยู่เสมอ ไม่ทำอะไรอย่างจริงจัง และตั้งใจที่จะสนุกสนานเป็นพิเศษ พระนิเวศของพระเจ้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากคนเช่นนี้ได้
พวกเจ้าคิดว่า “เด็กโข่ง” เหล่านี้เป็นคนไม่ดีหรือไม่? พวกเขาเป็นคนชั่วหรือเปล่า? (ไม่ใช่) บางคนก็ไม่ใช่คนชั่ว พวกเขาค่อนข้างซื่อๆ และไม่ได้เลวร้ายอะไร บางคนถึงกับใจดีและเต็มใจช่วยเหลือผู้อื่น แต่พวกเขาทุกคนมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง—คือเป็นคนเอาแต่ใจ รักสนุก และไม่เอาการเอางาน ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้หญิงคนหนึ่งหลังจากแต่งงานแล้ว เธอไม่เรียนรู้ที่จะทำงานบ้านใดๆ เลย เธอจะทำอาหารก็ต่อเมื่ออารมณ์ดี แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็จะไม่ทำ—ต้องคอยเอาอกเอาใจเธออยู่ตลอดเวลา หากใครอยากให้เธอทำอะไร ก็ต้องมาต่อรองกับเธอ แถมยังต้องมีคนคอยดูแลอีกด้วย เธอชอบแต่งตัวสวยๆ อยู่เสมอเพื่อที่จะได้ออกไปเดินเที่ยวซื้อของ ซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง และไปเสริมสวย พอกลับถึงบ้าน เธอก็ไม่ทำงานบ้านแม้แต่อย่างเดียว เอาแต่อยากจะเล่นไพ่และไพ่นกกระจอก หากเจ้าถามเธอว่ากะหล่ำปลีหนึ่งกิโลกรัมราคาเท่าไร เธอก็ไม่รู้ หากเจ้าถามว่าพรุ่งนี้จะกินอะไร เธอก็ไม่รู้อีกเช่นกัน และถ้าขอให้เธอทำอาหารอะไรสักอย่าง เธอก็ทำจนเละเทะไปหมด แล้วเรื่องอะไรล่ะที่เธอเชี่ยวชาญที่สุด? เรื่องที่เธอเชี่ยวชาญที่สุดก็คือการรู้ว่าร้านอาหารร้านไหนอร่อยที่สุด ร้านไหนมีเสื้อผ้าที่ทันสมัยที่สุด และร้านไหนขายเครื่องสำอางที่ทั้งราคาไม่แพงและใช้ดี แต่เรื่องอื่นๆ เช่น การใช้ชีวิตประจำวัน หรือทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์ปกติ เธอกลับไม่เข้าใจและไม่คิดจะเรียนรู้เลย ที่เธอไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะเธอมีขีดความสามารถไม่เพียงพอหรือ? ไม่ใช่เช่นนั้นเลย เมื่อดูจากสิ่งที่เธอเชี่ยวชาญแล้ว เธอก็มีขีดความสามารถ แต่เธอแค่ไม่เอาการเอางานเท่านั้นเอง ตราบใดที่เธอมีเงินในมือ เธอก็จะออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไปซื้อเครื่องสำอางและเสื้อผ้า หากที่บ้านขาดหม้อกระทะแล้วถูกขอให้ไปซื้อ เธอก็จะพูดว่า “ข้างนอกมีของอร่อยขายตั้งเยอะแยะ จะให้ซื้อของพวกนั้นไปทำไม?” หากเครื่องดูดฝุ่นที่บ้านเสีย แล้วถูกขอให้ซื้อเสื้อผ้าน้อยลงหนึ่งชิ้นเพื่อเก็บเงินไปซื้อเครื่องใหม่ เธอก็จะพูดว่า “ในอนาคตถ้าฉันหาเงินได้ ก็แค่จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาด ไม่เห็นต้องซื้อเครื่องดูดฝุ่นเลย” โดยปกติแล้ว ถ้าเธอไม่ได้เล่นเกมหรือไพ่นกกระจอก เธอก็จะไปซื้อเสื้อผ้าตามแฟชั่น และไม่เคยทำความสะอาดบ้านเลย นี่คือการไม่เอาการเอางานมิใช่หรือ? แล้วก็ยังมีผู้ชายบางคนที่พอหาเงินได้ปุ๊บ ก็นำไปซื้อรถหรือเล่นการพนันจนหมด หากมีอะไรในบ้านพัง พวกเขาก็ไม่ซ่อม พวกเขาไม่ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ในบ้านของพวกเขา ตู้เย็นก็ไม่ทำงาน เครื่องซักผ้าก็เสีย ท่อระบายน้ำก็อุดตัน พอฝนตกหลังคาก็รั่ว และพวกเขาปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้นเป็นเวลานานโดยไม่ซ่อมแซม พวกเจ้าคิดอย่างไรกับผู้ชายประเภทนี้? พวกเขาไม่เอาการเอางาน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง พระนิเวศของพระเจ้าไม่สามารถใช้คนประเภทที่เอาแต่ใจตัวเองมากเกินไปและไม่เอาการเอางานได้
บางคนไม่เอาการเอางานในหน้าที่พ่อแม่ของตน และละเลยการดูแลเอาใจใส่ลูกๆ ผลก็คือ ลูกๆ ของพวกเขาต้องถูกน้ำร้อนลวกหรือมีรอยฟกช้ำถลอก เด็กบางคนก็จมูกหัก บางคนก้นไปนาบกับเตาจนไหม้ และบางคนก็ดื่มน้ำร้อนจนลวกคอ คนจำพวกนี้ไม่ใส่ใจในสิ่งที่พวกเขาทำ และไม่สามารถทำอะไรให้ดีได้เลย พวกเขาไม่เอาการเอางาน เอาแต่ทำตัวเหลวไหล เป็นคนเอาแต่ใจและรักสนุก และไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบที่มนุษย์คนหนึ่งควรมีได้ ในฐานะพ่อแม่ พวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงได้และขาดความเอาใจใส่ แล้วคนเช่นนี้จะสามารถแบกรับความรับผิดชอบที่คนปกติควรมีได้หรือเมื่อมาทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า? ไม่ได้ ไม่ได้อย่างเด็ดขาด คนที่ไม่เอาการเอางานนั้นจะนำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ หากพวกเขาบอกว่าไม่ต้องการทำหน้าที่อีกต่อไปและขอกลับบ้าน ก็จงปล่อยพวกเขาไปทันที ไม่มีใครควรไปรบเร้าหรือคะยั้นคะยอให้พวกเขาอยู่ต่อ เพราะนี่เป็นปัญหาที่มาจากธรรมชาติของพวกเขา ไม่ใช่การสำแดงออกเพียงชั่วครั้งชั่วคราว คนเหล่านี้เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเมื่อพวกเขาเข้ามาทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการทำหน้าที่และติดตามพระเจ้าจะเหมือนกับการได้ไปอยู่ในสวนเอเดน หรือเหมือนได้อยู่ในดินแดนคานาอันอันอุดมสมบูรณ์ ชีวิตที่พวกเขาวาดฝันไว้นั้นช่างสวยงาม มีของดีๆ ให้กินดื่มตลอดทั้งวัน มีอิสระเสรี และไม่ต้องทำงานอะไรเลย พวกเขาต้องการใช้ชีวิตที่สุขสบายไร้กังวล แต่กลับกลายเป็นว่ามันแตกต่างจากที่จินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง คนเหล่านี้ได้สัมผัสมาเพียงพอแล้ว และรู้สึกว่าที่นี่น่าเบื่อและจืดชืด จึงอยากจะจากไป ดังนั้นจงปล่อยพวกเขาไปโดยไม่ชักช้า พระนิเวศของพระเจ้าไม่รั้งคนเหล่านี้ไว้ พระนิเวศของพระเจ้าไม่บังคับใคร และพวกเจ้าก็ไม่ควรทำเช่นกัน นี่คือการปฏิบัติความจริงและกระทำการตามหลักธรรม เจ้าต้องทำสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง ต้องเป็นคนที่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นคนฉลาด—อย่าเป็นคนเลอะเลือน หรือเป็นคนที่ชอบเอาใจใครต่อใครอย่างไม่แยกแยะ จงจัดการกับคนประเภทที่ไม่เอาการเอางานด้วยวิธีนี้—การทำเช่นนี้จะถือว่าไร้ความรักหรือไม่ได้ให้โอกาสผู้คนกลับใจได้หรือไม่? (ไม่ได้ ไม่สามารถถือว่าเช่นนั้นได้) พระเจ้าทรงยุติธรรมต่อทุกคน และพระนิเวศของพระเจ้ามีสิทธิ์ที่จะส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้เจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน และร้องขอที่จะออกจากคริสตจักร นั่นคือทางเลือกอิสระของเจ้า ดังนั้นคริสตจักรควรยอมรับคำร้องขอของเจ้า และจะไม่บังคับเจ้าอย่างเด็ดขาด นี่สอดคล้องกับศีลธรรม สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ และแน่นอนว่าสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงเป็นพิเศษ นี่เป็นแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมอย่างยิ่ง! หากใครทำหน้าที่ไประยะหนึ่งแล้วรู้สึกว่ามันเหนื่อยและยากลำบาก และไม่พอใจที่จะทำอีกต่อไป จนอยากจะละทิ้งหน้าที่และเลิกเชื่อในพระเจ้า วันนี้เราจะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เจ้าในเรื่องนี้ นั่นก็คือพระนิเวศของพระเจ้าจะยอมรับ และจะไม่บังคับให้เจ้าอยู่ต่อ หรือทำให้เจ้าลำบากใจเป็นอันขาด เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต้องตัดสินใจลำบาก และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือรู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพระนิเวศของพระเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเจ้าเช่นกัน นอกจากนี้ หากเจ้าต้องการจากไป พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่กล่าวโทษเจ้าหรือขวางทางเจ้า เพราะนี่คือเส้นทางที่เจ้าได้เลือกเอง และพระนิเวศของพระเจ้าทำได้เพียงตอบสนองความต้องการของเจ้าเท่านั้น นี่เป็นแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมหรือไม่? (เหมาะสม)
เราเพิ่งระบุสถานการณ์หลายอย่างที่ผู้คนไม่เอาการเอางาน พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่บังคับคนเหล่านี้ หากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่หรือมีปัญหาความยุ่งยากส่วนตัวและร้องขอที่จะไม่ทำหน้าที่อีกต่อไป พระนิเวศของพระเจ้าก็จะยอมรับ จะไม่ใช้พวกเขาอีกต่อไป และจะไม่ให้พวกเขาทำหน้าที่ นี่คือวิธีจัดการกับคนเช่นนี้ และเป็นแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมอย่างที่สุด
II. วิธีปฏิบัติต่อคนจำพวกยูดาส
มีบางคนที่ขี้ขลาดอย่างยิ่ง และเมื่อใดก็ตามที่ได้ยินว่าพี่น้องชายหรือหญิงถูกจับกุม พวกเขาก็จะกลัวอย่างสุดขีดว่าจะถูกจับกุมเสียเอง เห็นได้ชัดว่าหากพวกเขาถูกจับกุมขึ้นมาจริงๆ ก็มีความเสี่ยงที่พวกเขาจะขายคริสตจักร ควรจัดการกับคนเช่นนี้อย่างไร? คนเหล่านี้เหมาะที่จะทำหน้าที่สำคัญๆ หรือไม่? (ไม่ ไม่เหมาะ) บางคนอาจพูดว่า “ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาเองจะไม่กลายเป็นยูดาส?” ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าตนเองจะไม่มีวันกลายเป็นยูดาสหากถูกทรมานอย่างแสนสาหัส แล้วเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่ใช้คนขี้ขลาดที่อาจกลายเป็นยูดาส? เพราะคนที่ขี้ขลาดอย่างเห็นได้ชัดอาจถูกจับกุมและทำการทรยศได้ทุกเมื่อ หากใช้คนเช่นนี้ทำหน้าที่สำคัญ ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะเกิดความผิดพลาดร้ายแรง นี่คือหลักธรรมที่ต้องเข้าใจเมื่อคัดเลือกและใช้ผู้คนในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภยันตรายของจีนแผ่นดินใหญ่ ในที่นี้มีสถานการณ์พิเศษอย่างหนึ่งคือ บางคนถูกทรมานอย่างรุนแรงและยาวนานจนเป็นอันตรายถึงชีวิต และในที่สุด พวกเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงกลายเป็นยูดาสเพราะความอ่อนแอและทรยศในเรื่องที่ไม่สำคัญบางอย่าง ไม่มีใครสามารถมองทะลุคนเช่นนี้ได้ และคนเหล่านี้ยังคงสามารถใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็ยังมีอีกพวกหนึ่งที่เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองแล้วก่อนที่จะถูกจับกุมเสียอีก พวกเขาได้คิดอย่างหนักและยาวนานว่าจะทำอย่างไรให้ได้รับการปล่อยตัวทันทีหลังจากถูกจับกุมโดยไม่ต้องผ่านการทรมานใดๆ—หนึ่งคือหลีกเลี่ยงการทรมาน สองคือหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินลงโทษ และสามคือหลีกเลี่ยงการติดคุก นี่คือวิธีคิดของพวกเขา พวกเขาไม่มีความตั้งใจแน่วแน่ว่ายอมทนทุกข์หรือถูกจำคุกดีกว่าที่จะกลายเป็นยูดาส พวกเขาอาจทำการทรยศได้แม้จะไม่ถูกทรมานด้วยซ้ำ แล้วจะกล่าวได้หรือไม่ว่าพวกเขาเป็นยูดาสแล้วก่อนที่จะถูกจับกุมและจำคุกเสียอีก? (ได้) นี่แหละคือยูดาสตัวจริง คริสตจักรกล้าใช้คนประเภทนี้หรือไม่? (ไม่กล้า) หากสามารถมองออกได้ ก็ต้องไม่บ่มเพาะและใช้พวกเขาอย่างเด็ดขาด คนเหล่านี้มักจะสำแดงตัวออกมาอย่างไร? พวกเขาขี้ขลาดอย่างยิ่ง ทันทีที่มีอะไรผิดพลาด พวกเขาก็จะรีบปัดความรับผิดชอบในโอกาสแรก และเมื่อใดก็ตามที่เผชิญกับความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะละทิ้งหน้าที่และหนีไป ทุกครั้งที่ได้ยินว่าสถานการณ์เริ่มอันตราย พวกเขาก็จะหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อซ่อนตัว ไม่มีใครสามารถหาพวกเขาพบ และพวกเขาจะไม่ติดต่อกับใครเลย การเก็บตัวเงียบเป็นสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีเป็นพิเศษ พวกเขาไม่สนใจว่างานของคริสตจักรจะประสบปัญหาความยุ่งยากเพียงใด และสามารถละทิ้งงานที่สำคัญทุกอย่างได้ พวกเขามองว่าความปลอดภัยของตนเองสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเผชิญกับอันตราย พวกเขาจะผลักให้คนอื่นไปเสี่ยงแทนเสมอเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น ในขณะที่ตัวเองเอาตัวรอด ไม่ว่าพวกเขาจะทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายมากเพียงใด พวกเขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าและสมควรแล้วเพื่อความปลอดภัยของตนเอง นอกจากนี้ เมื่อเผชิญกับอันตราย พวกเขาก็ไม่รีบมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน และไม่รีบจัดการย้ายพี่น้องชายหญิงหรือทรัพย์สินของคริสตจักรที่อาจตกอยู่ในอันตราย แต่พวกเขาจะคิดอย่างหนักก่อนว่าจะหนีอย่างไร จะซ่อนตัวอย่างไร และจะรอดพ้นจากอันตรายได้อย่างไร พวกเขายังมีแผนการหลบหนีที่คิดไว้อย่างดีแล้ว—ว่าจะขายใครก่อนหากถูกจับกุม จะทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทรมาน จะทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินจำคุก และจะหลีกเลี่ยงความทุกข์ลำบากได้อย่างไร เมื่อใดก็ตามที่เผชิญกับความทุกข์ลำบากบางอย่าง พวกเขาก็กลัวจนแทบสิ้นสติและไม่มีความเชื่อแม้แต่น้อยนิดเดียว คนประเภทนี้ไม่เป็นอันตรายหรอกหรือ? หากพวกเขาถูกขอให้ทำงานที่เต็มไปด้วยภยันตราย พวกเขาก็จะบ่นไม่หยุดหย่อน หวาดกลัว และคิดถึงแต่เรื่องหนีอยู่ตลอดเวลา และไม่เต็มใจที่จะทำ คนจำพวกนี้แสดงสัญญาณของการเป็นยูดาสแล้วแม้กระทั่งก่อนที่จะถูกจับกุม เมื่อพวกเขาถูกจับกุม ก็แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพวกเขาจะขายคริสตจักร ในการทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขากระตือรือร้นอย่างยิ่งในทุกสิ่งที่ทำให้ตนเองได้หน้าโดยไม่ต้องเสี่ยง แต่พอเป็นเรื่องของการรับความเสี่ยง พวกเขาก็จะถอยหนี และหากเจ้าขอให้พวกเขาทำอะไรที่เสี่ยง พวกเขาก็จะไม่ทำ พวกเขาแค่จะไม่รับผิดชอบ เมื่อได้ยินว่าที่ใดมีอันตราย เช่น พญานาคใหญ่สีแดงกำลังดำเนินการจับกุม หรือผู้เชื่อบางคนถูกจับได้ พวกเขาก็จะหยุดเข้าร่วมการชุมนุม หยุดติดต่อกับพี่น้องชายหญิง และไม่มีใครสามารถหาพวกเขาพบได้ พวกเขาจะปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อข่าวลือซาลงและทุกอย่างเรียบร้อยดี คนประเภทนี้เชื่อถือได้หรือไม่? พวกเขาสามารถทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่? (ไม่ได้) ทำไมถึงไม่ได้? พวกเขาไม่มีแม้แต่ความตั้งใจแน่วแน่หรือความปรารถนาที่จะไม่เป็นยูดาส พวกเขาเป็นแค่คนขี้ขลาดตาขาว ใจเสาะ และไร้ค่า คนจำพวกนี้มีลักษณะเฉพาะที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถและจุดแข็งอะไร หากพระนิเวศของพระเจ้าใช้พวกเขา พวกเขาก็จะไม่มีวันอุทิศตนอย่างสุดใจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า การที่พวกเขาไม่ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้านั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำได้หรือ? ไม่ใช่เช่นนั้น แม้ว่าพวกเขามีความสามารถนี้ พวกเขาก็จะไม่ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาคือยูดาสโดยแท้ เมื่อใดก็ตามที่ต้องติดต่อกับผู้ไม่มีความเชื่อในระหว่างการทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็จะรักษาสัมพันธภาพที่ปรองดองกับพวกเขาและดูแลให้ผู้ไม่มีความเชื่อยังคงให้ความนับถือ เคารพ และชื่นชมพวกเขาอย่างสูง แล้วอะไรคือราคาที่จ่ายไปเพื่อให้พวกเขาได้มาซึ่งทั้งหมดนี้? คือการขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อแลกกับเกียรติยศและผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา คนประเภทนี้ขี้ขลาดเป็นพิเศษแม้กระทั่งก่อนที่จะถูกจับกุม และหลังจากถูกจับกุมแล้วก็แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะทำการทรยศ พระนิเวศของพระเจ้าไม่สามารถใช้คนเช่นนี้—พวกยูดาสเหล่านี้—ได้อย่างเด็ดขาด และต้องกำจัดพวกเขาออกไปโดยเร็วที่สุด
สำหรับคนจำพวกยูดาสนั้น แม้ภายนอกจะดูไม่เหมือนคนชั่ว แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นคนทุจริตอย่างที่สุดและมีลักษณะนิสัยเยี่ยงปีศาจ ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ ทั้งยังไม่รู้สึกว่าการสร้างความเสียหายให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นสิ่งที่น่าละอายที่สุด เลวที่สุด และมุ่งร้ายที่สุด พวกเขาอยากเสนอหน้าเมื่อเป็นเรื่องที่ทำให้ตนได้หน้าได้ตา แต่พอเป็นเรื่องที่เสี่ยงหรือจัดการยาก พวกเขากลับปล่อยให้คนอื่นรับผิดชอบและเข้าจัดการแทน นี่เป็นคนลักษณะใดกัน? เป็นคนทุจริตอย่างที่สุดมิใช่หรือ? บางคนซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งในการทำเช่นนั้น พวกเขาควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศและต้องให้เป็นธรรมและสมเหตุสมผล ทว่าคนจำพวกยูดาสไม่เพียงแต่ไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ตรงกันข้าม พวกเขากลับช่วยผู้ไม่มีความเชื่อจนพระนิเวศของพระเจ้าเสียประโยชน์ พวกเขาสนองความต้องการของผู้ไม่มีความเชื่อทุกครั้งที่มีโอกาส และยอมให้ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายหากนั่นช่วยให้ได้ประจบสอพลอผู้ไม่มีความเชื่อ นี่คือการกินบนเรือนขี้บนหลังคา เป็นการกระทำที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง! นี่ไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่น่ารังเกียจหรอกหรือ? ก็ไม่ได้ดีไปกว่ายูดาสที่ขายองค์พระผู้เป็นเจ้าและมิตรสหายของตนสักเท่าไร ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะมอบหมายให้ทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศเลย เมื่อถูกขอให้ซื้อของ พวกเขาก็ไม่เคยไปสืบเสาะเพื่อเปรียบเทียบราคา คุณภาพ และบริการหลังการขายจากหลายๆ ที่ แล้วนำมาชั่งน้ำหนักอย่างรอบคอบและตรวจสอบให้ดี เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก ทั้งยังช่วยประหยัดเงินให้พระนิเวศของพระเจ้า และปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศไม่ให้เสียหาย—พวกเขาไม่เคยทำเช่นนั้นเลย หากพี่น้องชายหญิงคนใดเสนอแนะว่าควรไปสืบเสาะดูก่อน พวกเขาก็จะพูดว่า “ไม่ต้องไปสืบเสาะหรอกน่า คนขายบอกแล้วว่าของของเขาดีที่สุด” เมื่อพี่น้องชายหญิงถามว่า “แล้วคุณต่อรองราคากับเขาได้ไหมล่ะ?” พวกเขาก็ตอบว่า “จะต่อรองไปทำไม? เขาก็บอกราคามาแล้ว ถ้าเราไปต่อรองอีกก็ขายขี้หน้าเขาแย่สิ มันจะดูเหมือนว่าเราไม่มีเงิน พระนิเวศของพระเจ้าร่ำรวยไม่ใช่หรือไง?” ไม่ว่าของจะราคาเท่าไรหรือคุณภาพเป็นอย่างไร ตราบใดที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม พวกเขาก็จะให้คนไปซื้อทันที และใครที่ซื้อช้าก็จะถูกวิจารณ์ ตำหนิ หรือกระทั่งถูกกล่าวโทษ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธพวกเขาซึ่งๆ หน้า และไม่มีใครกล้าเสนอความเห็นใดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงใหญ่ๆ หรือธุระเล็กน้อยของพระนิเวศ หลักธรรมของพวกเขาคืออะไร? “พระนิเวศของพระเจ้ามีหน้าที่จ่ายเงินก็พอ ส่วนผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าจะเสียหายหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันทำงานแบบนี้แหละ ฉันต้องสร้างสัมพันธ์อันดีกับผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้น ฉันจะเพียงแต่คล้อยตามไป ฉันจะไม่จัดการเรื่องต่างๆ ตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า จะใช้ฉันก็ใช้ ไม่ใช้ก็แล้วแต่—นี่แหละตัวฉัน!” นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของมารหรอกหรือ? คนเช่นนี้คือผู้ไม่มีความเชื่อและผู้ไม่เชื่อ จะใช้พวกเขาจัดการกิจธุระให้พระนิเวศของพระเจ้าได้หรือ? คนประเภทนี้อาจมีการศึกษา เก่งกาจ และมีความสามารถภายนอกอยู่บ้าง พูดจาเก่ง และจัดการธุรกิจบางอย่างได้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องใดให้พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็จะทำอย่างบุ่มบ่ามและตามอำเภอใจเสมอ จนสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศ พวกเขายังหลอกลวงพระนิเวศของพระเจ้าและปิดบังสถานะที่แท้จริงของกิจธุระอยู่ตลอดเวลา และเมื่อทำเรื่องพังแล้ว พระนิเวศของพระเจ้าก็ต้องจัดหาคนมาเก็บกวาดสิ่งที่พวกเขาทำเละเทะไว้อีก นี่คือตัวอย่างชัดๆ ของการสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเพื่อขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า มันต่างอะไรกับการที่ยูดาสขายองค์พระผู้เป็นเจ้าและมิตรสหายของตน? เมื่อใช้คนประเภทนี้ทำหน้าที่ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ทำงานรับใช้พระนิเวศของพระเจ้า แต่กลับกลายเป็นตัวผลาญทรัพย์และตัวซวย พวกเขาไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นคนรับใช้ เป็นพวกเสื่อมทรามโดยแท้! คนเช่นนี้คือข้ารับใช้ของซาตานและลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างแท้จริง และเมื่อถูกเผยตัวแล้ว ก็ควรถูกเอาตัวออกไปและกำจัดทิ้งทันที ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าและสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า แค่ความรับผิดชอบในการปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศยังทำไม่ได้ แล้วจะยังมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่อีกหรือ? พวกเขาเลวยิ่งกว่าสุนัขเฝ้ายามเสียอีก
คนจำพวกยูดาสนั้นไม่ได้มีคำว่า “ยูดาส” แปะอยู่บนหน้าผาก แต่การกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาก็มีธรรมชาติเดียวกันกับของยูดาสไม่ผิดเพี้ยน และพวกเจ้าต้องไม่ใช้คนประเภทนี้เลย เราพูดว่า “อย่าได้ใช้” นั้นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าต้องไม่ไว้วางใจมอบหมายเรื่องสำคัญให้พวกเขาโดยเด็ดขาด หากเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ก็พอจะใช้พวกเขาเป็นการชั่วคราวได้ แต่คนประเภทนี้ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการใช้ผู้คนอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเกิดมาเป็นยูดาส และโดยสันดานแล้วก็เป็นคนชั่วร้าย สรุปสั้นๆ ก็คือ คนเหล่านี้เป็นตัวอันตรายและห้ามใช้โดยเด็ดขาด ยิ่งพวกเจ้าใช้คนประเภทนี้นานเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกไม่สบายใจและยิ่งมีภัยตามมาในภายหลังมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น หากพวกเจ้ามองทะลุแล้วว่าพวกเขาคือคนจำพวกยูดาส ก็จงอย่าใช้พวกเขาโดยเด็ดขาด—นี่คือความจริงแท้ การทำเช่นนี้ต่อพวกเขาเหมาะสมหรือไม่? บางคนอาจพูดว่า “การทำแบบนี้ต่อพวกเขามันไร้ความรัก พวกเขายังไม่ได้ขายใครเลย จะเป็นยูดาสได้อย่างไร?” ต้องรอให้พวกเขาขายใครก่อนหรืออย่างไร? ยูดาสสำแดงตนออกมาอย่างไร? มีลางบอกเหตุใดๆ ก่อนที่เขาจะขายองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่? (มี เขาขโมยเงินจากถุงเงินขององค์พระเยซูเจ้า) คนที่ขายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เป็นประจำนั้นมีธรรมชาติเดียวกันกับยูดาสที่ขโมยเงินจากถุงเงิน คนเช่นนี้พอถูกจับกุมก็จะทรยศทันที และยอมมอบทุกสิ่งที่ตนรู้ให้แก่ซาตานโดยไม่ปิดบังอะไรไว้เลย คนประเภทนี้มีแก่นแท้ของยูดาส แก่นแท้ของพวกเขาถูกเผยและเปิดโปงอย่างชัดเจนแล้ว หากพวกเจ้ายังดึงดันจะใช้พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวไม่ใช่หรือ? นี่ไม่ใช่การจงใจทำร้ายพระนิเวศของพระเจ้าหรอกหรือ? บางคนถึงกับพูดอย่างเปิดเผยว่า “ถ้าใครมาตัดแต่งฉัน หรือทำอะไรที่ขัดผลประโยชน์หรือทำลายเรื่องดีๆ ของฉันที่กำลังดำเนินอยู่นี้ คนนั้นได้เจอดีแน่!” คนประเภทนี้ยิ่งชัดเลยว่ามีแก่นแท้ของยูดาส เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนโจ่งแจ้ง พวกเขาป่าวประกาศด้วยตัวเองว่าเป็นยูดาส ดังนั้นคนประเภทนี้จึงใช้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
III. วิธีปฏิบัติต่อมิตรสหายของคริสตจักร
ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งซึ่งจะเรียกว่าดีหรือชั่วก็ไม่ได้ และเป็นผู้เชื่อแต่ในนามเท่านั้น หากพวกเจ้าขอให้พวกเขาทำอะไรเป็นครั้งคราว พวกเขาก็ทำได้ แต่จะไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างกระตือรือร้นหากพวกเจ้าไม่ได้จัดแจงให้ เมื่อใดที่ว่างก็จะเข้าชุมนุม แต่ในเวลาส่วนตัวนั้น ก็ไม่รู้ว่าพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เรียนรู้บทเพลงนมัสการ หรืออธิษฐานหรือไม่ อย่างไรก็ดี พวกเขาค่อนข้างเป็นมิตรต่อพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักร คำว่าค่อนข้างเป็นมิตรหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าหากพี่น้องชายหญิงขอให้ทำอะไร พวกเขาก็จะตกลงทำ เพื่อเห็นแก่การเป็นผู้เชื่อร่วมกัน พวกเขาสามารถช่วยทำบางสิ่งให้ลุล่วงได้เท่าที่สามารถทำได้ แต่หากถูกขอให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจหรือจ่ายราคาบางอย่าง พวกเขาก็จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด หากพี่น้องชายหญิงคนใดมีเรื่องลำบากและต้องการให้ช่วย เช่น ช่วยดูแลบ้านหรือทำอาหารให้เป็นครั้งคราว หรือช่วยงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ—หรือหากคนนั้นรู้ภาษาต่างประเทศและช่วยพี่น้องชายหญิงอ่านจดหมายได้—พวกเขาก็พอจะช่วยเหลือเรื่องประเภทนี้ได้และค่อนข้างเป็นมิตร ปกติแล้วพวกเขาเข้ากับคนอื่นได้ดีและไม่ถือสาใคร แต่ไม่เข้าชุมนุมเป็นประจำและไม่เคยขอทำหน้าที่ นับประสาอะไรกับการรับงานที่สำคัญหรือกระทั่งงานที่อันตราย หากพวกเจ้าขอให้พวกเขาทำงานที่อันตราย พวกเขาก็จะปฏิเสธพวกเจ้าอย่างแน่นอน โดยกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าเพื่อหวังความสงบสุข แล้วจะให้ไปทำงานอันตรายได้อย่างไร? นั่นไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ? ฉันไม่ทำเด็ดขาด!” แต่หากพี่น้องชายหญิงหรือคริสตจักรขอให้ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาก็พอจะช่วยออกแรงได้บ้างตามประสาเพื่อน การออกแรงช่วยเหลือเช่นนี้ไม่เรียกว่าการทำหน้าที่ ยิ่งไม่เรียกว่าการทำตามหลักธรรมความจริง และนับประสาอะไรที่จะเรียกว่าการปฏิบัติความจริง มันเป็นเพียงการที่พวกเขามีทัศนคติที่ดีต่อผู้เชื่อในพระเจ้าและค่อนข้างเป็นมิตร และพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยหากมีใครต้องการความช่วยเหลือ คนประเภทนี้เรียกว่าอะไร? พระนิเวศของพระเจ้าเรียกพวกเขาว่ามิตรสหายของคริสตจักร แล้วควรปฏิบัติต่อคนจำพวกมิตรสหายของคริสตจักรอย่างไร? หากพวกเขามีขีดความสามารถและจุดแข็งบางอย่างและสามารถช่วยคริสตจักรจัดการเรื่องภายนอกได้ พวกเขาก็ถือเป็นคนรับใช้และเป็นมิตรสหายของคริสตจักรเช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนประเภทนี้ไม่นับว่าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ยอมรับพวกเขา และหากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา พระเจ้าจะทรงยอมรับพวกเขาในฐานะผู้เชื่อได้หรือ? (ไม่ได้) ดังนั้น อย่าได้ขอให้คนประเภทนี้เข้าร่วมในกลุ่มคนที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาโดยเด็ดขาด มีบางคนพูดว่า “บางคนตอนที่เริ่มเชื่อใหม่ๆ ก็มีความเชื่อน้อยและแค่อยากเป็นมิตรสหายของคริสตจักร พวกเขาไม่เข้าใจหลายเรื่องเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า แล้วจะเต็มใจทำหน้าที่ได้อย่างไร? จะเต็มใจสละตนอย่างสุดใจได้อย่างไรกัน?” เราไม่ได้กำลังพูดถึงคนที่เชื่อในพระเจ้ามาสามถึงห้าเดือนหรือหนึ่งปี แต่กำลังพูดถึงคนที่เชื่อแต่ในนามมานานกว่าสามปี หรือแม้กระทั่งห้าหรือสิบปี ไม่ว่าคนเช่นนี้จะยอมรับด้วยปากมากเพียงใดว่าพระเจ้าคือพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวและคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือคริสตจักรที่แท้จริง ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง จากพื้นฐานของการสำแดงต่างๆ และรูปแบบความเชื่อของคนประเภทนี้ เราจึงเรียกพวกเขาว่ามิตรสหายของคริสตจักร อย่าปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นพี่น้องชายหญิง—พวกเขาไม่ใช่พี่น้องชายหญิง อย่าให้คนเช่นนี้เข้าร่วมคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา และอย่าให้พวกเขาเข้าร่วมในกลุ่มคนที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้คนเช่นนี้ บางคนอาจพูดว่า “พระองค์ทรงมีอคติต่อคนประเภทนี้หรือ? แม้ภายนอกพวกเขาอาจดูครึ่งๆ กลางๆ แต่ข้างในพวกเขาทุ่มเทมากนะ” เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้เชื่อที่จริงใจจะเชื่อในพระเจ้ามาห้าหรือสิบปีแล้วยังคงครึ่งๆ กลางๆ พฤติกรรมของคนประเภทนี้ได้เผยให้เห็นอย่างเต็มที่แล้วว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นคนที่อยู่นอกพระวจนะของพระเจ้า และเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ หากพวกเจ้ายังคงเรียกพวกเขาว่าพี่น้องชายหญิง และยังพูดว่าพวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม นั่นก็เป็นเพราะมโนคติอันหลงผิดและความรู้สึกของพวกเจ้าเอง
เราควรปฏิบัติต่อคนจำพวกมิตรสหายของคริสตจักรอย่างไร? พวกเขาเป็นคนใจดีและเต็มใจช่วยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากจำเป็นต้องใช้พวกเขา พวกเจ้าก็สามารถให้โอกาสพวกเขาจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ หากพวกเขาทำอะไรได้ ก็ปล่อยให้พวกเขาทำ ส่วนเรื่องที่พวกเขาทำได้ไม่ดีและอาจถึงขั้นทำพัง ก็อย่าได้มอบหมายงานเช่นนั้นให้พวกเขาโดยเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหา—พวกเจ้าอย่าได้เกรงใจเพราะเห็นว่าพวกเขามีเจตนาดี พวกเขาไม่เข้าใจความจริง และก็ไม่เข้าใจหลักธรรมเช่นกัน หากมีเรื่องภายนอกที่พวกเขาสามารถจัดการได้ ก็ปล่อยให้พวกเขาทำไป แต่จงอย่าปล่อยให้พวกเขาจัดการเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรโดยเด็ดขาด—ในกรณีเช่นนั้น ควรปฏิเสธเจตนาดีและความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นของพวกเขา เมื่อพวกเจ้าพบเจอคนประเภทนี้ ก็แค่ติดต่อกับพวกเขาอย่างผิวเผินก็พอ อย่าไปจริงจังกับพวกเขา เหตุใดจึงไม่ควรจริงจังกับพวกเขา? เพราะพวกเขาเป็นเพียงมิตรสหายของคริสตจักร ไม่ใช่พี่น้องชายหญิงเลยแม้แต่น้อย คนเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการใช้ผู้คนหรือไม่? (ไม่สอดคล้อง) ดังนั้น หากคนประเภทนี้ไม่เข้าชุมนุม ไม่ฟังคำเทศนา หรือไม่ทำหน้าที่ ก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียกพวกเขา หากพวกเขาไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่อธิษฐาน หากพวกเขาไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงเมื่อเกิดเรื่องขึ้น และไม่เต็มใจที่จะข้องเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิง ก็ไม่จำเป็นต้องสนับสนุนหรือช่วยเหลือพวกเขา ห้าคำ—อย่าไปใส่ใจพวกเขา อย่าไปจริงจังกับคนจำพวกมิตรสหายของคริสตจักรและผู้ไม่เชื่อ และอย่าไปใส่ใจพวกเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง และไม่จำเป็นต้องไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ เหตุใดจึงไม่ไถ่ถาม? จะไถ่ถามคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราไปเพื่ออะไร? มันเกินความจำเป็นมิใช่หรือ? พวกเจ้าอยากจะไปใส่ใจคนประเภทนี้หรือ? บางทีพวกเจ้าอาจชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและอยากจะแสดงความห่วงใย พลางสงสัยว่า “ตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? แต่งงานหรือยัง? สบายดีไหม? ทำงานอะไรอยู่?” ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าเลย จะไปห่วงใยเรื่องนั้นให้ได้อะไรขึ้นมา? อย่าไปใส่ใจพวกเขา และอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาด้วย บางคนชอบวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เห็นไหมล่ะ? พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าดีๆ เลยใช้ชีวิตอย่างหดหู่และเหนื่อยล้าทุกวัน ดูเหนื่อยและอ่อนเพลียตลอดเวลา” หรือ “เห็นไหมล่ะ? พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าดีๆ เลยไม่มีสันติสุข ที่บ้านก็เกิดเรื่องร้ายขึ้นอีกแล้ว” ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระและไม่จำเป็น พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างไรและเดินบนเส้นทางไหนก็ไม่ใช่ธุระของพวกเจ้า อย่าได้เอ่ยถึงพวกเขาเลย พวกเจ้ากับพวกเขาเดินคนละเส้นทางกัน พวกเจ้าสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจและทำหน้าที่เต็มเวลา เพียงต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อบรรลุความรอด และไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสอะไร พวกเจ้าก็ต้องการทำอย่างดีที่สุดเพื่อสนองพระทัยพระองค์ แต่คนเหล่านั้นไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจเลย เมื่อพวกเจ้าเห็นครรลองที่ชั่วร้าย พวกเจ้ารู้สึกขยะแขยงและรังเกียจมัน และรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในโลกนี้ไม่มีความสุข มีเพียงการเชื่อในพระเจ้าเท่านั้นที่จะพบความสุขได้ ในขณะที่พวกเขาตรงกันข้ามกับพวกเจ้าอย่างสิ้นเชิง นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้อยู่บนเส้นทางเดียวกับพวกเจ้า หลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในการจัดการคนประเภทนี้คือ หากพวกเขาเต็มใจจะช่วย พระนิเวศของพระเจ้าก็สามารถให้โอกาสพวกเขาได้ตราบใดที่ไม่มีผลเสียตามมา หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พวกเขาเลยแต่พวกเขายังเต็มใจจะช่วย ก็เป็นการดีที่สุดที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ—อย่าสร้างปัญหาให้ตัวเอง ผู้เชื่อสามัคคีธรรมความจริงทุกวันและยอมรับการถูกตัดแต่ง แต่ก็ยังทำอะไรแบบสุกเอาเผากินได้ แล้วมิตรสหายของคริสตจักรที่ไม่ได้อะไรตอบแทนจะจัดการเรื่องต่างๆ อย่างถูกควรได้อย่างไรกัน? (ไม่ได้) จงบอกเราทีว่า นี่เป็นการมองคนในแง่ร้ายเกินไปหรือ? เป็นการมองคนในแง่ลบเกินไปหรือ? (ไม่ใช่) นี่คือการพูดตามข้อเท็จจริง ตามแก่นแท้ของผู้คน อย่าไม่รู้ความ อย่าไร้หัวคิด และอย่าทำอะไรโง่เขลา ผู้เชื่อยังต้องผ่านการตัดแต่ง การพิพากษาและการตีสอน การบ่มวินัยอย่างรุนแรง การสั่งสอน และการเปิดโปงก่อนที่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาจะสามารถสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าทีละเล็กทีละน้อยได้ สหายของคริสตจักรหรือผู้ไม่มีความเชื่อไม่ยอมรับความจริงใดๆ เลย และคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น แล้วการที่พวกเขาจัดการกิจธุระให้พระนิเวศของพระเจ้าหรือให้พี่น้องชายหญิงจะมีผลดีอะไรได้เล่า? ไม่มีทางเป็นไปได้เลย การไม่ใส่ใจคนประเภทนี้เหมาะสมที่สุดแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) คำว่า “ไม่ใส่ใจพวกเขา” นั้นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ถือว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อ พวกเขาจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ แต่งานและกิจธุระของพระนิเวศของพระเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาทั้งสิ้น พวกเขาเต็มใจจะช่วย แต่เราต้องชั่งน้ำหนักและประเมินก่อนว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะทำหรือไม่ และหากไม่เหมาะสม เราก็ไม่สามารถให้โอกาสนี้แก่พวกเขาได้ จงบอกเราทีว่า การทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่? เรามีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติต่อคนเช่นนี้หรือไม่? มีสิทธิ์อย่างเต็มที่
IV. วิธีปฏิบัติต่อคนที่เคยถูกปลด
ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งคือคนที่เคยถูกปลด เราควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร? ไม่ว่าคนเหล่านี้จะถูกปลดเพราะไม่สามารถทำงานจริงได้และถูกจัดว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ หรือเพราะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และถูกจัดว่าเป็นคนจำพวกศัตรูของพระคริสต์ ก็จำเป็นต้องจัดสรรและจัดแจงงานอื่นให้พวกเขาอย่างสมเหตุผล หากพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ทำเรื่องชั่วมามากมาย ก็แน่นอนว่าควรถูกขับไล่ หากไม่ได้ทำเรื่องชั่วมามากมาย แต่มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์และถูกระบุลักษณะว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ ตราบใดที่พวกเขายังสามารถทำงานรับใช้เล็กๆ น้อยๆ ได้โดยไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน ก็ไม่จำเป็นต้องขับไล่พวกเขา—ปล่อยให้พวกเขาทำงานรับใช้ต่อไปและให้โอกาสกลับใจ สำหรับผู้นำเทียมเท็จที่ถูกปลด ให้จัดแจงงานที่แตกต่างออกไปตามจุดแข็งและหน้าที่ที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา แต่ไม่อนุญาตให้รับใช้เป็นผู้นำคริสตจักรอีกต่อไป ส่วนผู้นำและคนทำงานที่ถูกปลดเพราะขีดความสามารถย่ำแย่มากและไม่สามารถทำงานใดๆ ได้ ก็ให้จัดแจงงานที่แตกต่างออกไปตามจุดแข็งและหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกเขาเช่นกัน แต่คนเหล่านี้ไม่สามารถได้รับการส่งเสริมเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้อีกต่อไป เหตุใดจึงไม่ได้? เพราะพวกเขาถูกทดลองใช้และถูกเผยออกมาแล้ว และเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของคนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ หากไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ แล้วจะทำหน้าที่อื่นไม่ได้เลยหรือ? ก็ไม่แน่เสมอไป ขีดความสามารถที่ย่ำแย่ทำให้พวกเขาไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ แต่ก็สามารถทำหน้าที่อื่นได้ หลังจากคนเช่นนี้ถูกปลด พวกเขาก็สามารถทำอะไรก็ได้ที่เหมาะสมกับตน ไม่ควรริบสิทธิ์ในการทำหน้าที่ของพวกเขาไป เมื่อวุฒิภาวะของพวกเขาเติบโตขึ้นในอนาคตก็ยังสามารถนำมาใช้อีกครั้งได้ บางคนถูกปลดเพราะยังหนุ่มและไร้ประสบการณ์ชีวิต ทั้งยังขาดประสบการณ์การทำงาน จึงไม่สามารถแบกรับงานได้และถูกปลดในที่สุด ในการปลดคนประเภทนี้ ก็พอมีช่องให้ผ่อนปรนได้ หากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ตามมาตรฐานและขีดความสามารถก็เพียงพอ ก็สามารถให้พวกเขาทำงานในตำแหน่งที่ลดลงมาหรือทำงานอื่นที่เหมาะสมกับพวกเขาได้ เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว และมีความคุ้นเคยและประสบการณ์กับงานของคริสตจักรอยู่บ้าง คนเช่นนี้ก็ยังสามารถได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะอีกครั้งได้ตามขีดความสามารถของพวกเขา หากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ตามมาตรฐานแต่ขีดความสามารถย่ำแย่มาก ก็ไม่มีคุณค่าใดๆ ที่จะบ่มเพาะพวกเขาเลย และจะบ่มเพาะหรือเก็บไว้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ในบรรดาผู้ที่ถูกปลด มีคนอยู่สองประเภทที่จะไม่สามารถได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะอีกเป็นอันขาด ประเภทหนึ่งคือศัตรูของพระคริสต์ และอีกประเภทคือผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไป แล้วก็มีบางคนที่ไม่ถูกนับว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ แต่เป็นเพียงผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ไม่ดี เห็นแก่ตัวและหลอกลวง และบางคนในบรรดาคนเหล่านี้ก็เกียจคร้าน อยากได้ความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง และไม่สามารถสู้ทนความทุกข์ยากได้ แม้ว่าคนเช่นนี้จะมีขีดความสามารถดีเลิศ พวกเขาก็ไม่สามารถได้รับการส่งเสริมอีก หากพวกเขามีขีดความสามารถอยู่บ้าง ก็จงให้พวกเขาทำอะไรก็ตามที่พวกเขาสามารถทำได้ ตราบใดที่มีการจัดแจงที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนั้น กล่าวโดยสรุปก็คือ อย่าส่งเสริมพวกเขาให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน นอกเหนือจากการมีขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานแล้ว ผู้นำและคนทำงานยังต้องเข้าใจความจริง มีภาระต่อคริสตจักร สามารถทำงานหนักและสู้ทนความทุกข์ทรมานได้ ทั้งยังต้องเป็นคนขยันและไม่เกียจคร้าน นอกจากนี้ พวกเขาต้องเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์และซื่อตรง พวกเจ้าต้องไม่เลือกคนที่หลอกลวงเป็นอันขาด ผู้ที่คดโกงและหลอกลวงเกินไปมักจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกับพี่น้องชายหญิง กับผู้นำระดับสูงกว่า และกับพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอ พวกเขาเอาแต่คิดแผนการที่คดในข้องอในกระดูกอยู่ทั้งวัน การข้องเกี่ยวกับคนเช่นนี้จำเป็นต้องคอยเดาความคิดที่แท้จริงของพวกเขาอยู่เสมอ ต้องคอยสอบถามว่าช่วงนี้พวกเขาทำอะไรกันแน่ และต้องจับตาดูพวกเขาอยู่ตลอดเวลา การใช้พวกเขาช่างเหนื่อยและน่ากังวลเกินไป หากคนประเภทนี้ได้รับการส่งเสริมให้ทำหน้าที่ แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจหลักคำสอนเล็กน้อย พวกเขาก็จะไม่ปฏิบัติ และพวกเขาจะคาดหวังผลประโยชน์และข้อได้เปรียบจากทุกงานที่พวกเขาทำ การใช้คนเช่นนี้น่ากังวลและยุ่งยากเกินไป ดังนั้นจึงไม่สามารถส่งเสริมคนเช่นนี้ได้ เพราะฉะนั้น สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำเกินควร ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ไม่ดี ผู้ที่เกียจคร้าน อยากได้ความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง และไม่สามารถทนความทุกข์ยากได้ และผู้ที่คดโกงและหลอกลวงอย่างยิ่ง—เมื่อคนประเภทนี้ถูกเผยและถูกปลดหลังจากที่ถูกนำมาใช้แล้ว ก็อย่าส่งเสริมพวกเขาเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่มองพวกเขาออกแล้วก็อย่าใช้พวกเขาอย่างไม่ถูกต้องอีก บางคนอาจกล่าวว่า “คนคนนี้เคยถูกระบุลักษณะว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์มาก่อน พวกเราสังเกตเห็นว่าเขาประพฤติตัวดีมาระยะหนึ่งแล้ว เขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงได้เป็นปกติและไม่ตีกรอบผู้อื่นอีกต่อไป จะส่งเสริมเขาได้หรือไม่?” อย่าเพิ่งรีบร้อน—ทันทีที่เขาได้รับการส่งเสริมและได้สถานะ ธรรมชาติที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ของเขาก็จะถูกเปิดโปงออกมา คนอื่นๆ อาจกล่าวว่า “เมื่อก่อนขีดความสามารถของคนคนนี้ต่ำมาก เมื่อถูกขอให้ดูแลงานของคนสองคน เขาก็ไม่รู้วิธีจัดสรรงาน และถ้ามีสองเรื่องเกิดขึ้นพร้อมกัน เขาก็ไม่รู้วิธีจัดการอย่างสมเหตุสมผล ตอนนี้เขาอายุมากขึ้นแล้ว ก็น่าจะทำเรื่องพวกนี้ได้ดีขึ้นใช่ไหม?” คำกล่าวอ้างนี้ฟังขึ้นหรือไม่? (ไม่ ไม่ขึ้น) เมื่อมีสองเรื่องเกิดขึ้นพร้อมกัน คนคนนั้นก็จะสับสนและไม่รู้วิธีจัดการ พวกเขามองใครหรือเรื่องอะไรไม่ทะลุเลย ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำมากจนไร้ความสามารถในการทำงานหรือความสามารถในการทำความเข้าใจ คนเช่นนี้ไม่สามารถได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้นำอีกเป็นอันขาด นี่ไม่ใช่เรื่องของอายุ ผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำก็จะยังคงมีขีดความสามารถต่ำเมื่ออายุแปดสิบปี มันไม่เหมือนที่ผู้คนจินตนาการว่าเมื่อใครบางคนอายุมากขึ้นและมีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจทุกสิ่งได้—มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาเพียงแต่จะมีประสบการณ์ชีวิตบางอย่าง แต่ประสบการณ์ชีวิตไม่ได้เท่ากับขีดความสามารถ ไม่ว่าคนเราจะผ่านประสบการณ์มากี่เรื่องหรือได้เรียนรู้บทเรียนมามากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าขีดความสามารถของพวกเขาจะดีขึ้น
หากความเป็นมนุษย์ของใครบางคนเห็นแก่ตัวเกินไป หลอกลวงเกินไป และชั่วร้ายเกินไป ทั้งยังเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว และคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น คนประเภทนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? พวกเขาถูกปลดด้วยเหตุผลเหล่านี้ ตอนนี้สิบปีผ่านไปและพวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมาย—แล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะไม่เห็นแก่ตัว คดโกง และหลอกลวงอีกต่อไปแล้วหรือ? ให้เราบอกเจ้าเถิดว่า คนประเภทนี้จะไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาจะเป็นคนแบบเดิมในอีก 20 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากเจ้าพบพวกเขาอีกครั้งในอีก 20 ปีข้างหน้าและถามพวกเขาว่ายังคงเห็นแก่ตัวและหลอกลวงเหมือนเดิมหรือไม่ พวกเขาจะยอมรับด้วยตัวเอง เหตุใดผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ไม่ดีจึงไม่เปลี่ยนแปลง? พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? สมมติว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงได้ อะไรจะต้องเป็นพื้นฐานและเงื่อนไขเพื่อให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น? พวกเขาต้องสามารถยอมรับความจริงได้ ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ไม่ดีไม่ยอมรับความจริง และภายในใจพวกเขาก็ดูหมิ่น รังเกียจเดียดฉันท์ เยาะเย้ย และเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งที่เป็นบวก—พวกเขาแค่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็อย่าส่งเสริมพวกเขา เพราะพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เป็นไปได้ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะลื่นเป็นปลาไหลเก่งขึ้น และพูดจาไพเราะน่าฟังและหลอกลวงผู้อื่นได้เก่งขึ้นด้วยซ้ำ แต่หากเจ้าคบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้และสังเกตการกระทำของพวกเขา เจ้าจะค้นพบความจริงอย่างหนึ่ง นั่นก็คือพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าหลังจากผ่านไปหลายปีและพวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมายและปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้ามานานขนาดนี้ พวกเขาควรจะเปลี่ยนแปลงแล้ว—เจ้าคิดผิด! พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ทำไม? พวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมายและอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย แต่พวกเขาไม่ยอมรับหรือปฏิบัติแม้แต่ประโยคเดียว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อยนิด เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง เมื่อคนเช่นนี้ถูกเผยและถูกปลดแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้อีก และหากเจ้าใช้พวกเขา เจ้าก็กำลังทำร้ายพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิง หากเจ้าไม่แน่ใจ ก็เพียงแค่สังเกตว่าพวกเขาประพฤติตนอย่างไร และดูว่าพวกเขาปกป้องผลประโยชน์ของใครเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ทำให้ผลประโยชน์ของตนเองขัดแย้งกับผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะไม่สละผลประโยชน์ของตนเองและทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเด็ดขาด เมื่อมองจากแง่นี้ พวกเขาก็ไม่น่าไว้วางใจ และพวกเขาไม่สมควรได้รับการส่งเสริมและถูกนำมาใช้โดยพระนิเวศของพระเจ้า นั่นคือเหตุผลที่คนเช่นนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ถูกนำมาใช้ คนที่ไม่ได้ยอมรับความจริงจะยังเปลี่ยนแปลงได้อีกหรือ? เป็นไปไม่ได้ และนั่นเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ
สำหรับคนที่เกียจคร้าน อยากได้ความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง และไม่สามารถสู้ทนความทุกข์ยากแม้เพียงเล็กน้อยได้ พวกเขายิ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในช่วงเวลาที่พวกเขาเป็นผู้นำ พวกเขาไม่ทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ เลย พวกเขาไม่สู้ทนแม้กระทั่งความทุกข์ยากที่พี่น้องชายหญิงธรรมดาสามารถสู้ทนได้ ในการทำหน้าที่ พวกเขาเพียงแค่ทำอย่างสุกเอาเผากิน—จัดประชุมและเทศนาหลักคำสอนบางอย่าง แล้วก็ไปนอนเพื่อดูแลตัวเองอย่างดี หากตอนกลางคืนพวกเขาเข้านอนช้าไปบ้าง พวกเขาก็จะยังคงหลับสนิทในตอนเช้าขณะที่พี่น้องชายหญิงกำลังลุกจากที่นอน พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเหนื่อยแม้เพียงเล็กน้อย หรือยุ่งแม้เพียงเล็กน้อย หรือสู้ทนความทุกข์ยากแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาไม่จ่ายราคาใดๆ และไม่ทำงานที่เป็นจริงใดๆ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ทันทีที่เห็นของกินของดื่มดีๆ ก็จะดีใจจนลืมตัว ไม่ไปไหนอีก เพียงแค่อยู่ที่นั่นเพื่อกิน ดื่ม และสุขสำราญ โดยไม่ทำงานใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาไม่ฟังเมื่อถูกตัดแต่งโดยเบื้องบน และไม่ยอมรับการเตือนและการเปิดโปงจากพี่น้องชายหญิง พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่สบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่จ่ายราคาใดๆ และไม่ลุล่วงความรับผิดชอบหรือทำหน้าที่ของตน และดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ คนเช่นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ? คนประเภทนี้เกียจคร้านเกินไป อยากได้ความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็นในตอนนี้ และนี่คือสิ่งที่พวกเขาจะเป็นในอนาคต บางคนอาจกล่าวว่า “คนคนนั้นเปลี่ยนแปลงแล้ว เขาพยายามอย่างมากในงานของเขามาพักหนึ่งแล้ว” อย่าเพิ่งรีบร้อน หากเจ้าส่งเสริมพวกเขาให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็จะกลับไปออกลายเดิม—นั่นแหละคือตัวตนของพวกเขา พวกเขาเหมือนกับนักพนัน ที่เมื่อเงินหมด ก็จะยังคงเล่นการพนันต่อไปแม้ว่าจะต้องยืมเงิน ขายบ้าน หรือแม้กระทั่งขายภรรยาและลูกๆ ของตน หากช่วงนี้พวกเขาไม่ได้เล่นการพนัน อาจเป็นเพราะบ่อนปิดและไม่มีที่ให้เล่น หรือเพราะเพื่อนนักพนันของพวกเขาทั้งหมดถูกจับและไม่มีใครให้เล่นด้วยอีกต่อไป หรือเพราะพวกเขาขายของทุกอย่างที่ขายได้และไม่มีเงินเหลือให้เล่นการพนันแล้ว ทันทีที่พวกเขามีเงินในมือ พวกเขาก็จะเริ่มเล่นการพนันอีกครั้งและไม่สามารถเลิกได้—นั่นแหละคือตัวตนของพวกเขา ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่เกียจคร้านและอยากได้ความสะดวกสบายทางเนื้อหนังก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน ทันทีที่พวกเขาได้สถานะบางอย่าง พวกเขาก็จะกลับคืนสู่ร่างเดิมทันที และธาตุแท้ของพวกเขาก็จะถูกเปิดโปงออกมา เมื่อพวกเขาไม่มีสถานะ ก็ไม่มีใครยกย่องพวกเขาและไม่มีใครคอยรับใช้พวกเขา และหากพวกเขาไม่ทำอะไรเลย พวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไป เพราะคริสตจักรไม่เลี้ยงดูคนเกียจคร้าน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจำใจทำบางสิ่งบางอย่าง พวกเขาทำงานแตกต่างจากคนอื่น คนอื่นทำงานอย่างกระตือรือร้น ในขณะที่พวกเขาทำอย่างไม่เต็มใจ แม้ว่าภายนอกจะไม่มีความแตกต่าง แต่ในแก่นแท้แล้วมีความแตกต่าง เมื่อคนอื่นมีสถานะ พวกเขาก็ทำในสิ่งที่ควรทำและสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้ แต่ทันทีที่คนเหล่านี้มีสถานะ พวกเขาก็จะฉวยโอกาสที่จะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับผลประโยชน์จากสถานะของตนและไม่ทำงานใดๆ และแก่นแท้ธรรมชาติของความเกียจคร้านและการละโมบในความสะดวกสบายของพวกเขาก็จะถูกเปิดโปงออกมาด้วยเหตุนี้ ดังนั้น คนประเภทนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ และทันทีที่พวกเขาถูกเผยและถูกปลด คนเช่นนี้ก็ไม่ควรได้รับการส่งเสริมและนำมาใช้ประโยชน์อีกเป็นอันขาด—นี่คือหลักธรรม
เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่มีสถานการณ์แตกต่างกันไป เหล่านี้คือหลักธรรมสำหรับการส่งเสริมและนำพวกเขามาใช้ประโยชน์ มาตรฐานขั้นต่ำคือพวกเขาสามารถออกแรงทำงานและทำงานรับใช้ในพระนิเวศของพระเจ้าได้โดยไม่ก่อให้เกิดการก่อกวน ในกรณีเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้ หากพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำนี้ ไม่ว่าความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขาจะเป็นเช่นไร พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ และคนประเภทนี้ควรถูกกำจัดออกจากแถวของผู้ที่ทำหน้าที่ หากความเป็นมนุษย์ของบุคคลใดมีเจตนาร้ายและเทียบเท่ากับของศัตรูของพระคริสต์ เมื่อได้รับการยืนยันแล้วว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่มีวันนำพวกเขามาใช้ประโยชน์ และจะไม่ส่งเสริมหรือบ่มเพาะพวกเขา บางคนอาจกล่าวว่า “จะให้พวกเขาทำงานรับใช้ได้หรือไม่?” มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากการทำงานรับใช้ของพวกเขาอาจส่งผลกระทบในทางลบและนำผลที่ตามมาอันไม่พึงประสงค์มาสู่พระนิเวศของพระเจ้า พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ให้โอกาสพวกเขาทำงานรับใช้แม้แต่น้อย หากพวกเขารู้ว่าตนเองเป็นคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกขับไล่ แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะทำงานรับใช้ และจะทำสิ่งต่างๆ ตามที่คริสตจักรจัดเตรียมให้พวกเขาทำ และสามารถทำงานรับใช้อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวโดยไม่ทำลายผลประโยชน์ใดๆ ของพระนิเวศของพระเจ้า ในกรณีนั้นก็สามารถเก็บพวกเขาไว้ได้ หากพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำงานรับใช้ได้อย่างถูกควร และการรับใช้ของพวกเขาก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสได้ทำงานรับใช้ด้วยซ้ำ และแม้ว่าพวกเขาจะทำงานรับใช้ พระนิเวศของพระเจ้าก็ยังคงจะไม่นำพวกเขามาใช้ประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติหรือไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์สำหรับการทำงานรับใช้ด้วยซ้ำ ดังนั้นคนประเภทนี้จึงไม่ควรกลับมา—ปล่อยให้พวกเขาไปที่ไหนก็ได้ที่พวกเขาต้องการ บางคนอาจกล่าวว่า “ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้ฉัน ฉันก็จะประกาศข่าวประเสริฐด้วยตัวเอง และฉันจะมอบคนที่ฉันได้มาจากการประกาศข่าวประเสริฐให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า” นั่นจะใช้ได้หรือไม่? (ได้) บางคนอาจกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่ใช้คนคนนั้นแม้แต่จะทำงานรับใช้ แล้วพวกเขาควรจะมอบคนที่พวกเขาได้มาจากการประกาศข่าวประเสริฐให้แก่พวกเจ้าบนพื้นฐานอะไร? พวกเขาควรจะประกาศข่าวประเสริฐให้แก่พวกเจ้าบนพื้นฐานอะไร?” พระนิเวศของพระเจ้าไม่นำพวกเขามาใช้ประโยชน์เนื่องจากหลายแง่มุม ประการหนึ่งคือพวกเขาไม่สอดคล้องกับหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการใช้ผู้คน อีกประการหนึ่งคือพระนิเวศของพระเจ้าไม่กล้าใช้คนประเภทนี้ เพราะเมื่อพวกเขาถูกนำมาใช้แล้ว ก็จะเกิดปัญหาไม่สิ้นสุด แล้วเราจะอธิบายเรื่องที่พวกเขาเต็มใจที่จะประกาศข่าวประเสริฐนี้ได้อย่างไร? สิ่งที่พวกเขาเป็นพยานยืนยันในการประกาศข่าวประเสริฐคือพระเจ้า และเป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจึงสามารถได้ผู้คนมา แม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะได้มาจากการประกาศข่าวประเสริฐของคนคนนั้น แต่นี่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นความดีความชอบของพวกเขาแต่อย่างใด อย่างดีที่สุด นี่ก็เป็นเพียงการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาในฐานะบุคคลหนึ่ง ไม่ว่าเจ้าจะเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่ว หรือว่าเจ้าจะถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ การลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าในฐานะบุคคลหนึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ ทำไมเราถึงกล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ? เจ้าได้รับความจริงมากมายจากพระเจ้า และนี่ก็เป็นโลหิตจากพระหทัยของพระเจ้าด้วย พระนิเวศของพระเจ้าได้ให้น้ำเจ้าและจัดเตรียมให้เจ้ามานานหลายปี แต่พระเจ้าทรงเรียกร้องอะไรจากเจ้าหรือไม่? ไม่ หนังสือต่างๆ ทั้งหมดที่พระนิเวศของพระเจ้าแจกจ่ายนั้นฟรี ไม่มีใครต้องเสียเงินแม้แต่สตางค์เดียว ในทำนองเดียวกัน หนทางที่แท้จริงแห่งชีวิตนิรันดร์และพระวจนะแห่งชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คนนั้นก็ฟรี และคำเทศนาและการสามัคคีธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าก็ล้วนให้ผู้คนฟังได้ฟรี ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนธรรมดาหรือเป็นสมาชิกของกลุ่มพิเศษ เจ้าก็ได้รับความจริงมากมายจากพระเจ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ถูกควรอย่างแน่นอนที่เจ้าควรจะถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าและข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ผู้คนและนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มิใช่หรือ? พระเจ้าได้ประทานความจริงทั้งหมดแก่มวลมนุษย์ ใครเล่าจะสามารถตอบแทนความรักอันยิ่งใหญ่นี้ได้? พระคุณของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า และพระชนม์ชีพของพระเจ้านั้นประเมินค่ามิได้ และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถตอบแทนได้! ชีวิตของมนุษย์มีค่าขนาดนั้นเชียวหรือ? มันจะมีค่าเท่ากับความจริงได้หรือ? ดังนั้น ไม่มีใครสามารถตอบแทนความรักและพระคุณของพระเจ้าได้ และนั่นรวมถึงผู้ที่ถูกเอาตัวออกไป ถูกขับไล่ และถูกกำจัดโดยคริสตจักรด้วย—พวกเขาไม่ใช่ข้อยกเว้น ตราบใดที่เจ้ามีมโนธรรม เหตุผล และความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร เจ้าก็ควรลุล่วงพันธะของเจ้าที่จะถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานยืนยันถึงพระราชกิจของพระองค์ นี่คือความรับผิดชอบที่ผู้คนมิอาจปัดได้ ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจะประกาศพระวจนะของพระเจ้าและข่าวประเสริฐของพระองค์แก่ผู้คนกี่คน หรือได้ผู้คนมากี่คน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะชมเชยเจ้าได้ พระเจ้าได้ทรงแสดงความจริงมากมาย แต่เจ้าก็ไม่ฟังหรือยอมรับ การทำงานรับใช้เล็กน้อยและประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้อื่นเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำอย่างแน่นอน มิใช่หรือ? เมื่อพิจารณาว่าเจ้ามาถึงจุดนี้ในวันนี้แล้ว เจ้าไม่ควรกลับใจหรือ? เจ้าไม่ควรมองหาโอกาสที่จะตอบแทนความรักของพระเจ้าหรือ? เจ้าควรทำอย่างยิ่ง! พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎการปกครอง และการเอาผู้คนออกไป การขับไล่พวกเขา และการกำจัดพวกเขาเป็นสิ่งที่ทำตามกฎการปกครองและตามข้อกำหนดของพระเจ้า—การทำสิ่งเหล่านี้ถูกต้องแล้ว บางคนอาจกล่าวว่า “มันค่อนข้างน่าอายที่จะยอมรับคนที่ได้มาจากการประกาศข่าวประเสริฐของผู้ที่ถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่เข้ามาในคริสตจักร” ในความเป็นจริง นี่คือหน้าที่ที่ผู้คนควรทำ และไม่มีอะไรน่าอาย ผู้คนล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แม้ว่าเจ้าจะถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ ถูกกล่าวโทษว่าเป็นคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ หรือเจ้าเป็นเป้าหมายที่จะถูกกำจัด เจ้าก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างมิใช่หรือ? เมื่อเจ้าถูกเอาตัวออกไปแล้ว พระเจ้าจะไม่ใช่พระเจ้าของเจ้าอีกต่อไปหรือ? พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสแก่เจ้าและสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้เจ้าจะถูกลบล้างไปในคราวเดียวหรือ? สิ่งเหล่านี้จะหยุดดำรงอยู่หรือไม่? สิ่งเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ เพียงแต่เจ้าไม่ได้ทะนุถนอมสิ่งเหล่านี้ ผู้คนที่กลับใจใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าใครจะทำให้พวกเขากลับใจใหม่ ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและควรยอมมอบตนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง ดังนั้น หากคนเหล่านี้ที่ถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่เต็มใจที่จะประกาศข่าวประเสริฐ พวกเราก็จะไม่ยับยั้งพวกเขา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะประกาศอย่างไร หลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการใช้ผู้คนและกฎการปกครองของพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และนี่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย
ในบรรดาคนหลายประเภทเหล่านี้ที่ถูกปลด คนส่วนใหญ่ไม่น่าจะกลับใจอย่างแท้จริงและต้องไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์อีก มีเพียงช่องทางที่จะส่งเสริมและใช้ผู้ที่ถูกปลดหรือมีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพราะพวกเขาขาดประสบการณ์การทำงานและดังนั้นจึงไม่สามารถทำงานของตนได้เป็นการชั่วคราว คนประเภทนี้มีขีดความสามารถเพียงพอและไม่มีปัญหาใหญ่หลวงกับความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่มีข้อบกพร่องเล็กน้อย ข้อเสีย หรือนิสัยที่ไม่ดีที่สืบทอดมาจากครอบครัว—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย หากพระนิเวศของพระเจ้าต้องการพวกเขา พวกเขาก็สามารถได้รับการส่งเสริมและนำมาใช้ประโยชน์อีกครั้งในเวลาที่เหมาะสม นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะพวกเขาไม่ใช่คนชั่วและพวกเขาจะไม่กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ ขีดความสามารถของพวกเขานั้นเพียงพอ เพียงแต่พวกเขาทำงานมาไม่นานและไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความสามารถที่จะทำงาน ซึ่งไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง หากพวกเขาถูกปลดด้วยเหตุผลเหล่านี้ พวกเขาก็มีช่องทางที่จะพัฒนาในอนาคตและพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตราบใดที่ใครบางคนมีความสามารถในการทำงาน มีขีดความสามารถ และความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้มาตรฐาน ในช่วงเวลาที่พวกเขาผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน คนประเภทนี้จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะเติบโตในการเข้าสู่ชีวิต จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่สอดคล้องกันในอุปนิสัยของพวกเขา และจะมีความก้าวหน้าบางอย่างในการเข้าใจความจริงของพวกเขา ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม หน้าที่ที่พวกเขาทำ และความตั้งใจแน่วแน่ส่วนตัวของพวกเขา พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงและเติบโตในระดับที่แตกต่างกันไป ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าคนประเภทนี้มีไว้เพื่อรอการส่งเสริมและนำมาใช้ประโยชน์ โดยทั่วไปแล้ว เหล่านี้คือหลักธรรมสำหรับการส่งเสริมและนำคนหลายประเภทที่เคยถูกปลดก่อนหน้านี้มาใช้ประโยชน์อีกครั้ง
หน้าที่รับผิดชอบประการที่เจ็ดของผู้นำและคนทำงานคือ “จัดสรรและใช้คนประเภทต่างๆ อย่างสมเหตุสมผล โดยพิจารณาจากความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา เพื่อให้แต่ละคนได้ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ในการสามัคคีธรรมของเราที่เพิ่งจบไป ความหมายของการนำผู้คนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้รับการอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว ตราบใดที่มีคุณค่าแม้เพียงเล็กน้อยในการบ่มเพาะใครสักคน และหากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้มาตรฐาน พระนิเวศของพระเจ้าก็จะให้โอกาสพวกเขา ตราบใดที่ใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงและรักสิ่งที่เป็นบวก พระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่หมดหวังในตัวพวกเขาหรือกำจัดพวกเขาง่ายๆ เช่นนั้น ตราบใดที่ความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถของเจ้าเป็นไปตามมาตรฐานที่เราได้เพิ่งสามัคคีธรรมไป พระนิเวศของพระเจ้าจะมีที่ให้เจ้าทำหน้าที่อย่างแน่นอน และจะนำเจ้ามาใช้ประโยชน์อย่างสมเหตุสมผลอย่างแน่นอน และให้พื้นที่เพียงพอแก่เจ้าเพื่อใช้ความสามารถของเจ้าให้เกิดประโยชน์ กล่าวโดยสรุป หากเจ้ามีจุดแข็งและความเชี่ยวชาญในวิชาชีพบางอย่างที่จำเป็นต่องานของคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าจะให้เจ้าทำหน้าที่ที่เหมาะสมอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่มีความตั้งใจแน่วแน่หรือเจตจำนงและไม่ต้องการที่จะมุ่งมั่นไปข้างหน้า ก็จงทำอะไรก็ตามที่เจ้าสามารถทำได้ ทำหน้าที่บางอย่างที่อยู่ในความสามารถของเจ้าที่จะทำได้ และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หากเจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่ และเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าต้องการที่จะเข้าใจและได้รับความจริงมากขึ้น และเริ่มต้นบนเส้นทางสู่ความรอดโดยเร็วที่สุด และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะคำนึงถึงภาระของพระเจ้า เต็มใจที่จะแบกรับภาระหนักในพระนิเวศของพระเจ้า ทนทุกข์กับความยากลำบากมากกว่าผู้อื่น สละตนเองมากกว่าและละทิ้งมากกว่าผู้อื่น” และหากเจ้าเหมาะสมในทุกด้าน แต่ยังไม่มีใครแนะนำเจ้า เจ้าก็สามารถเสนอตัวเองได้เช่นกัน นั่นไม่สมเหตุสมผลหรือ? โดยสรุปแล้ว เหล่านี้คือหลักธรรมทั้งหมดของพระนิเวศของพระเจ้าในการใช้คนทุกประเภท โดยมีเป้าหมายไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการทำให้ผู้คนสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ อะไรคือการสำแดงของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง? คือการเข้าใจความจริง การเข้าใจหลักธรรมความจริงเมื่อทำงานต่างๆ ทั้งหมด และสามารถปฏิบัติความจริงที่สอดคล้องกันได้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกประเภทในชีวิตประจำวัน แทนที่จะสับสนและทำอะไรไม่ถูกเมื่อใดก็ตามที่มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า—นี่คือเป้าหมาย เมื่อเป้าหมายนี้ถูกกำหนดไว้แล้ว พวกเจ้าก็ควรไล่ตามเสาะหาไปสู่เป้าหมายนั้น!
การสามัคคีธรรมของเราในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่เจ็ดของผู้นำและคนทำงานสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ บางคนอาจกล่าวว่า “พระองค์ยังสามัคคีธรรมไม่จบ พระองค์ยังไม่ได้เปิดโปงผู้นำเทียมเท็จในส่วนที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้” เราขอบอกว่าไม่จำเป็นต้องเปิดโปงพวกเขา ในแง่หนึ่ง ผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถทำงานที่เป็นจริงได้ ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาปราศจากมโนธรรมและเหตุผล ไม่แบกรับภาระ ไม่ใส่ใจในงานของตนเลย และไม่สามารถแม้แต่จะทำเรื่องง่ายๆ บางอย่างได้ดี เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญกับปัญหาที่ซับซ้อน หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะได้เลย และยิ่งไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเปิดโปงพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะถูกเปิดโปง พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ และมันจะเป็นการเสียน้ำลายเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น การพูดถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปนั้นน่าสะอิดสะเอียนและทำให้ผู้คนโกรธแค้นอยู่ข้างใน การมอบหมายงานที่สำคัญเช่นนี้ให้แก่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เป็นความผิดพลาดในการใช้ผู้คน การที่ไม่สามารถทำงานของตนได้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไร้ค่าอยู่แล้ว และหากพวกเขาถูกเปิดโปงและชำแหละ พวกเขาก็จะรู้สึกทุกข์ใจยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นจงให้ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้นำคำพูดไปเทียบกับตัวเองและตรวจสอบปัญหาของตนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากเจ้าสามารถค้นพบปัญหาของเจ้าได้ ก็จงดูว่าเจ้าจะสามารถปรับปรุงในอนาคตได้หรือไม่ หากเจ้าไม่สามารถค้นพบได้ เจ้าก็ต้องตรวจสอบต่อไป และเจ้ายังสามารถขอให้คนรอบข้างช่วยวิเคราะห์และหาทางแก้ไขให้เจ้าได้อีกด้วย หากคนอื่นได้สามัคคีธรรมกับเจ้าแล้วและเจ้าได้ใส่ใจกับสามัคคีธรรมนั้นแต่ก็ยังไม่สามารถค้นพบปัญหาของตนเองได้ และยังไม่รู้วิธีที่จะตระหนักรู้หรือแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแท้จริงและควรถูกกำจัด
6 มีนาคม ค.ศ. 2021