หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5)
ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมกันถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่ห้าของผู้นำและคนทำงาน ในระหว่างการสามัคคีธรรมถึงหัวข้อประการที่ห้านี้ พวกเราได้ชำแหละการสำแดงและการกระทำบางประการของผู้นำเทียมเท็จ และพวกเราก็ได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมในหัวข้อนี้แล้ว คราวนี้ พวกเราจะสามัคคีธรรมกันถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่หกและประการที่เจ็ดของผู้นำและคนทำงาน เนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงของสองประการนี้คืออะไร? (ประการที่หก: ส่งเสริมและบ่มเพาะผู้มีความสามารถพิเศษทุกรูปแบบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีโอกาสฝึกฝนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ประการที่เจ็ด: จัดสรรและใช้ประโยชน์จากผู้คนประเภทต่างๆ อย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และจุดแข็งของพวกเขา เพื่อนำแต่ละคนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด) เช่นนั้นแล้ว พวกเรามาชำแหละการกระทำและการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จในส่วนที่เกี่ยวกับสองประการนี้กัน สองประการนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งเสริม การบ่มเพาะ และการใช้ผู้คนทุกประเภทของคริสตจักร พวกเรามาสามัคคีธรรมกันก่อนถึงหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้มีความสามารถที่ผ่านคุณสมบัติทุกรูปแบบ ด้วยวิธีนี้ โดยพื้นฐานแล้ว พวกเจ้าก็จะพอเข้าใจหลักธรรมบางประการที่ผู้นำและคนทำงานควรยึดถือในการทำงานนี้ได้บ้างมิใช่หรือ? พวกเจ้าอาจคิดว่า “ในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเรามักจะข้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่บ่อยครั้ง พวกเราคุ้นเคยกับงานนี้ดีอยู่แล้วและมีประสบการณ์กับงานนี้มาบ้าง ดังนั้น ต่อให้พระองค์ไม่ได้ตรัสอะไรเพิ่มเติม พวกเราก็เข้าใจเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องสามัคคีธรรมเป็นการเฉพาะเจาะจงในเรื่องนี้อีกต่อไป” ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่? (พวกเราจำเป็นต้องให้พระองค์สามัคคีธรรมเรื่องนี้ พวกเรายังคงไม่เข้าใจหลักธรรมในเรื่องนี้ และยังมีผู้มีความสามารถบางคนที่พวกเรายังไม่รู้วิธีที่จะมีวิจารณญาณแยกแยะ) ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ยังคงสับสนอย่างมากเกี่ยวกับวิธีทำงานนี้ ยังอยู่ในช่วงคลำทาง และยังไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมที่แม่นยำได้ ดังนั้น พวกเราจึงยังคงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมในรายละเอียด
ประการที่หก: ส่งเสริมและบ่มเพาะผู้มีความสามารถพิเศษทุกรูปแบบที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีโอกาสฝึกฝนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ความสำคัญของการที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภท
เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภท? การส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภทนั้นเป็นไปเพื่อการมีส่วนร่วมในวิทยาศาสตร์ การศึกษา และวรรณกรรมหรือ? ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรจะรู้แล้วว่า เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ นั้น นี่ไม่ได้ทำไปเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงบางอย่างและสร้างปาฏิหาริย์ หรือเพื่อดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การพัฒนามนุษย์ และยิ่งไม่ใช่เพื่อวางแผนใดๆ สำหรับอนาคตของมวลมนุษย์ แล้วเหตุใดเล่า พระนิเวศของพระเจ้าจึงส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภท? พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่? (เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร) เพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร—นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง แล้วมีอะไรอีกบ้าง? (เพื่อให้ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถมีโอกาสที่จะฝึกฝน) ถูกต้อง คำตอบนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลและตรงประเด็น นั่นคือเพื่อให้ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจำนวนมากยิ่งขึ้นสามารถมีโอกาสที่จะฝึกฝน และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยเร็วที่สุด คำตอบทั้งสองที่พวกเจ้าเพิ่งให้มานั้นถูกต้องและแม่นยำ การที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภทนั้น ในแง่หนึ่งเกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรและพระราชกิจของพระเจ้า และในอีกแง่หนึ่งก็เกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาและการเข้าสู่ของแต่ละบุคคล นี่คือสองแง่มุมหลัก หากจะพูดให้เฉพาะเจาะจง ความสำคัญของการที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภทคืออะไร? โดยเฉพาะแล้ว ผู้คนที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะเหล่านี้ทำงานอะไรในคริสตจักร? เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะบุคคลใดให้เป็นหัวหน้าทีม ผู้กำกับดูแล หรือผู้นำหรือคนทำงานของคริสตจักร พวกเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานหรือ? (ไม่ใช่) พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนเพื่อให้พวกเขาสามารถรับผิดชอบโครงการหรืองานที่เฉพาะเจาะจงต่างๆ ภายในงานของคริสตจักรได้ เช่น งานข่าวประเสริฐ งานข้อเขียน งานผลิตภาพยนตร์ งานให้น้ำ ตลอดจนงานธุรการบางอย่าง เป็นต้น แล้วพวกเขาดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้อย่างไร? โดยการดำเนินงานต่างๆ ของคริสตจักรตามข้อกำหนดของพระเจ้า ตามหลักธรรมความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และตามการจัดเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงทำหน้าที่ของตนตามข้อกำหนดของพระเจ้าและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง เมื่อพิจารณาจากการที่ผู้คนเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้ดำเนินงาน จะเห็นได้ว่าไม่ใช่การมีตำแหน่งหรือสถานะของเจ้าพนักงานที่ทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้ดี แต่พวกเขาต้องมีขีดความสามารถบางอย่างเพื่อที่จะแบกรับงานที่เฉพาะเจาะจงได้ นั่นคือ เพื่อแบกรับสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้พวกเขาทำ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หน้าที่และพันธะที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ นี่คือความสำคัญและคำนิยามที่เฉพาะเจาะจงของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ ตามที่กล่าวไว้ในหน้าที่รับผิดชอบประการที่หกของผู้นำและคนทำงาน ดังนั้น ในการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน จุดมุ่งหมายของพระนิเวศของพระเจ้าคือการบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภทให้ทำงานต่างๆ ของคริสตจักรได้ดีตามข้อกำหนดของพระเจ้าและการจัดเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า นั่นคือเพื่อให้ผู้คนเหล่านี้สามารถแบกรับภารกิจที่เฉพาะเจาะจงต่างๆ ของคริสตจักรได้ ในขณะเดียวกัน พระนิเวศของพระเจ้าก็บ่มเพาะและฝึกฝนผู้คนเหล่านี้เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้วิธีใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง และปฏิบัติตามหลักธรรม นำพวกเขาไปสู่การปฏิบัติความจริงและดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และทำให้พวกเขาสามารถมีประสบการณ์และคำพยานที่แท้จริงได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถนำ ให้น้ำ และจัดเตรียมให้ผู้อื่นได้ และทำงานต่างๆ ของคริสตจักรได้ดี และในขณะเดียวกัน ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็สามารถนบนอบพระเจ้า เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า และลุล่วงหน้าที่ในการประกาศข่าวประเสริฐได้ วิธีการปฏิบัติสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภทนั้น ในแง่หนึ่งคือการนำผู้คนในการปฏิบัติและผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า การรู้จักตนเอง การทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ในอีกแง่หนึ่งคือเพื่อให้ผู้นำและคนทำงานใช้ประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของตนเองในเรื่องความจงรักภักดีและการนบนอบเพื่อนำและบ่มเพาะผู้คนในการลุล่วงหน้าที่ของตนและกล่าวคำพยานที่กึกก้องแด่พระเจ้า เหล่านี้คือสองเส้นทางหลักของการปฏิบัติสำหรับการบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ นี่คืองานที่เฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ และยังเป็นความสำคัญที่แท้จริงของการส่งเสริมและบ่มเพาะพวกเขาด้วย
เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับผู้คนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ ที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะ
๑. เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับผู้นำและคนทำงาน และผู้กำกับดูแลงานต่างๆ
“ผู้คนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ ที่คริสตจักรส่งเสริมและบ่มเพาะ” นั้นหมายถึงใครบ้าง? ครอบคลุมขอบเขตใดบ้าง? ประการแรกคือคนประเภทที่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลงานต่างๆ ได้ มาตรฐานที่จำเป็นสำหรับผู้กำกับดูแลงานต่างๆ คืออะไร? มีสามประการหลักๆ ประการแรก พวกเขาต้องมีความสามารถในการเข้าใจความจริง เฉพาะผู้ที่สามารถเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้โดยไม่บิดเบือนและสามารถสรุปอนุมานได้เท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่มีขีดความสามารถดี ผู้ที่มีขีดความสามารถดีอย่างน้อยที่สุดต้องมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างอิสระ ในกระบวนการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาต้องสามารถยอมรับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่งแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างอิสระ และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง สิ่งเจือปนจากเจตจำนงของตน ตลอดจนอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน—หากพวกเขาบรรลุมาตรฐานนี้ นั่นหมายความว่าพวกเขารู้วิธีผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และนี่คือการสำแดงของขีดความสามารถที่ดี ประการที่สอง พวกเขาต้องแบกรับภาระเพื่องานของคริสตจักร ผู้ที่แบกรับภาระอย่างแท้จริงไม่ใช่แค่มีความกระตือรือร้นเท่านั้น แต่พวกเขามีประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริง เข้าใจความจริงบางประการ และสามารถมองทะลุปัญหาบางอย่างได้ พวกเขามองเห็นว่าในงานของคริสตจักรและในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นมีความลำบากยากเย็นและปัญหามากมายที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข พวกเขามองเห็นสิ่งนี้ด้วยตาและกังวลในใจ—นี่คือความหมายของการแบกรับภาระเพื่องานของคริสตจักร หากใครบางคนมีเพียงขีดความสามารถที่ดีและสามารถเข้าใจความจริงได้ แต่พวกเขาเกียจคร้าน ละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง ไม่เต็มใจที่จะทำงานจริง และทำงานเพียงเล็กน้อยก็ต่อเมื่อเบื้องบนกำหนดเส้นตายให้พวกเขาทำงานให้เสร็จสิ้น เมื่อพวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำงานได้อีกต่อไป เช่นนั้นแล้ว นี่ก็คือคนที่ไม่แบกรับภาระ ผู้ที่ไม่แบกรับภาระคือคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่ไม่มีสำนึกถึงความยุติธรรม และคนไร้ค่าที่เอาแต่กินทั้งวันโดยไม่คิดอะไรอย่างจริงจัง ประการที่สาม พวกเขาต้องมีความสามารถในการทำงาน “ความสามารถในการทำงาน” หมายถึงอะไร? พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่เพียงแต่พวกเขาสามารถมอบหมายงานและให้คำแนะนำแก่ผู้คนได้เท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถระบุและแก้ไขปัญหาได้ด้วย—นี่คือความหมายของการมีความสามารถในการทำงาน นอกจากนี้ พวกเขายังต้องมีทักษะในการจัดระเบียบ ผู้ที่มีทักษะในการจัดระเบียบจะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการรวมผู้คน การจัดระเบียบและจัดการงาน และการแก้ไขปัญหา และเมื่อจัดการงานและแก้ไขปัญหา พวกเขาสามารถทำให้ผู้คนเชื่อมั่นอย่างหมดใจและทำให้พวกเขาเชื่อฟังได้—นี่คือความหมายของการมีทักษะในการจัดระเบียบ ผู้ที่มีความสามารถในการทำงานอย่างแท้จริงสามารถดำเนินงานที่เฉพาะเจาะจงที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาดโดยไม่ปล่อยปละละเลย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถทำงานต่างๆ ได้ดี เหล่านี้คือมาตรฐานสามประการของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการบ่มเพาะผู้นำและคนทำงาน หากใครบางคนตรงตามมาตรฐานสามประการนี้ พวกเขาก็คือบุคคลที่มีความสามารถซึ่งหาได้ยาก และควรได้รับการส่งเสริม บ่มเพาะ และฝึกฝนในทันที และหลังจากฝึกฝนไประยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็สามารถรับผิดชอบงานได้ ใครก็ตามที่มีขีดความสามารถ แบกรับภาระ และมีความสามารถในการทำงาน ย่อมไม่จำเป็นต้องให้ผู้คนคอยกังวล ดูแล และกระตุ้นเตือนในการทำงานของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขามีความกระตือรือร้น พวกเขารู้ว่างานใดควรทำเมื่อใด งานใดควรตรวจสอบและกำกับดูแล และงานใดจำเป็นต้องตรวจสอบหรือจับตามองอย่างใกล้ชิด พวกเขาทราบเรื่องเหล่านี้ดี คนเช่นนี้ค่อนข้างน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในการทำงานของพวกเขา และจะไม่มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง ก็จะเป็นปัญหาเล็กน้อยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวม และพระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับงานที่คนเหล่านี้ทำ เฉพาะผู้ที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองจริงๆ ในการทำงานเท่านั้นจึงจะมีความสามารถในการทำงานอย่างแท้จริง ส่วนผู้ที่ไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและต้องการให้ผู้อื่นคอยกังวล จับตามอง กำกับดูแล และแม้กระทั่งจับมือสอนอยู่เสมอ คือคนประเภทที่มีขีดความสามารถต่ำอย่างยิ่ง ผลงานของผู้ที่มีขีดความสามารถธรรมดาย่อมออกมาธรรมดาอย่างแน่นอน และคนเหล่านี้จำเป็นต้องมีผู้อื่นคอยจับตามองและกำกับดูแลก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำอะไรได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีขีดความสามารถดีสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองหลังจากได้รับการฝึกฝนไประยะหนึ่ง และทุกครั้งที่เบื้องบนให้คำแนะนำสำหรับงานและสามัคคีธรรมหลักธรรมบางประการ พวกเขาก็สามารถเข้าใจหลักธรรม ดำเนินงานตามหลักธรรมเหล่านั้น และโดยพื้นฐานแล้วสามารถดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องโดยไม่มีการเบี่ยงเบนหรือข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงเกินไป และสัมฤทธิ์ผลตามที่ควรจะเป็น—นี่คือความหมายของการมีความสามารถในการทำงาน ตัวอย่างเช่น พระนิเวศของพระเจ้าเรียกร้องให้มีการชำระคริสตจักรให้สะอาด และให้มีการระบุศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วและขับไล่ออกจากคริสตจักร และคนประเภทที่มีความสามารถในการทำงานโดยพื้นฐานแล้วจะไม่เบี่ยงเบนในขณะดำเนินงานนี้ เมื่อศัตรูของพระคริสต์ปรากฏตัวขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็ใช้เวลาประมาณครึ่งปีกว่าที่พวกเขาจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไป ในช่วงเวลานี้ ผู้ที่มีความสามารถในการทำงานสามารถระบุพวกเขาได้ สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อชำแหละการสำแดงของศัตรูของพระคริสต์ และช่วยให้พี่น้องชายหญิงมีวิจารณญาณแยกแยะในตัวพวกเขาและไม่ถูกชักพาให้หลงผิด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาสามารถลุกขึ้นมาเปิดโปงและขับไล่ศัตรูของพระคริสต์ร่วมกันได้ เมื่อศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่วปรากฏตัวขึ้นในขอบเขตงานของผู้ที่มีความสามารถในการทำงาน โดยพื้นฐานแล้วพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่จะไม่ถูกชักพาให้หลงผิดหรือได้รับอิทธิพล มีเพียงคนที่เลอะเลือนเล็กน้อยและผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำมากเท่านั้นที่ถูกชักพาให้หลงผิด และนี่เป็นปรากฏการณ์ปกติ ผู้ที่มีขีดความสามารถดีและมีความสามารถในการทำงานสามารถสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้ในงานของพวกเขาได้ และคนเช่นนี้คือผู้ที่ครอบครองความเป็นจริงความจริงและได้มาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงาน
ในบรรดาผู้คนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ ที่เราเพิ่งได้กล่าวถึงไป ประเภทแรกคือผู้ที่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลงานต่างๆ ได้ เงื่อนไขแรกสำหรับพวกเขาคือต้องมีความสามารถและขีดความสามารถในการเข้าใจความจริง นี่คือเงื่อนไขขั้นต่ำ เงื่อนไขที่สองคือพวกเขาต้องแบกรับภาระ—นี่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ บางคนเข้าใจความจริงได้เร็วกว่าคนทั่วไป มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มีขีดความสามารถดี มีความสามารถในการทำงาน และหลังจากฝึกฝนไประยะหนึ่งแล้ว ก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน แต่มีปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งกับคนเหล่านี้—คือพวกเขาไม่แบกรับภาระ พวกเขาชอบกิน ดื่ม สนุกสนาน และเที่ยวเตร่ไปทั่ว พวกเขาสนใจสิ่งเหล่านี้มาก แต่ถ้าขอให้พวกเขาทำงานที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างซึ่งต้องให้พวกเขาทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคา และยั้งใจตนเองบ้างเล็กน้อย พวกเขาก็จะรู้สึกหมดเรี่ยวแรง และอ้างว่าตนมีอาการเจ็บป่วยหรือความทุกข์ทรมานบางอย่าง และรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว พวกเขาไม่ยับยั้งชั่งใจและไร้วินัย สบายๆ ดื้อรั้น และเสเพล พวกเขากิน นอน และสนุกสนานเมื่อใดก็ตามที่ต้องการ และจะทำงานบ้างก็ต่อเมื่อมีอารมณ์อยากจะทำเท่านั้น หากงานนั้นยากหรือเหนื่อยสักหน่อย พวกเขาก็จะหมดความสนใจและไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป นี่คือการแบกรับภาระหรือไม่? (ไม่ใช่) คนที่เกียจคร้านและละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังไม่ใช่คนที่ควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ นอกจากนี้ยังมีบางคนที่ขีดความสามารถนั้นเกินพอสำหรับงาน แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่แบกรับภาระ ไม่ชอบรับผิดชอบ ไม่ชอบปัญหา และไม่ชอบกังวล พวกเขามองไม่เห็นงานที่ต้องทำ และแม้ว่าพวกเขาจะมองเห็น พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะดูแล คนประเภทนี้เป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน คนเราต้องแบกรับภาระจึงจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ การแบกรับภาระยังสามารถอธิบายได้ว่าเป็นการมีสำนึกรับผิดชอบ การมีสำนึกรับผิดชอบนั้นเกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์มากกว่า การแบกรับภาระเกี่ยวข้องกับมาตรฐานหนึ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้ในการประเมินผู้คน ผู้ที่แบกรับภาระพร้อมทั้งมีอีกสองสิ่งเพิ่มเติม—คือความสามารถและขีดความสามารถในการเข้าใจความจริง และความสามารถในการทำงาน—คือคนประเภทที่สามารถได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ และคนประเภทนี้สามารถเป็นผู้กำกับดูแลงานต่างๆ ได้ เหล่านี้คือมาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนให้เป็นผู้กำกับดูแลประเภทต่างๆ และผู้ที่ตรงตามมาตรฐานเหล่านี้คือผู้ที่เหมาะสมสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะ
๒. เงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับผู้คนที่มีความสามารถในสายงานต่างๆ ผู้มีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์
นอกจากคนประเภทที่สามารถเป็นผู้กำกับดูแลงานต่างๆ ได้แล้ว ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งที่สามารถได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะได้ คือผู้ที่มีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ หรือเชี่ยวชาญในทักษะทางวิชาชีพบางอย่าง มาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้สำหรับการบ่มเพาะคนเช่นนี้ให้เป็นหัวหน้าทีมคืออะไร? ประการแรก พิจารณาจากความเป็นมนุษย์ของพวกเขา—ตราบใดที่พวกเขาค่อนข้างรักในสิ่งที่เป็นบวกและไม่ใช่คนชั่ว นั่นก็เพียงพอแล้ว บางคนอาจถามว่า “เหตุใดจึงไม่กำหนดให้พวกเขาต้องเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเล่า?” เพราะหัวหน้าทีมไม่ใช่ผู้นำหรือคนทำงานของคริสตจักร และไม่ใช่ผู้ให้น้ำ และการกำหนดให้พวกเขาต้องตรงตามมาตรฐานของการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นจะเป็นการเรียกร้องที่มากเกินไป และคนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ สิ่งนี้ไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่ทำงานธุรการหรืองานที่เฉพาะเจาะจงทางวิชาชีพ หากกำหนดเช่นนั้น จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติ ดังนั้นจึงต้องลดมาตรฐานลง ตราบใดที่ผู้คนเข้าใจในสายงานของตนและสามารถแบกรับงานได้ และไม่ทำความชั่วหรือไม่ก่อให้เกิดการรบกวนใดๆ นั่นก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนเหล่านี้ ผู้มีความเชี่ยวชาญในทักษะและสายงานบางอย่างและมีจุดแข็งบางประการ หากพวกเขาจะดำเนินงานที่ต้องอาศัยความคุ้นเคยกับทักษะและเกี่ยวข้องกับสายงานของตนในพระนิเวศของพระเจ้า ตราบใดที่พวกเขาค่อนข้างไร้เล่ห์เหลี่ยมและซื่อตรงในแง่ของลักษณะนิสัย ไม่ชั่วร้าย ไม่บิดเบือนในการทำความเข้าใจ สามารถอดทนต่อความยากลำบาก และเต็มใจที่จะจ่ายราคา นั่นก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น เงื่อนไขแรกสำหรับการบ่มเพาะคนเช่นนี้ให้เป็นหัวหน้าทีมคือพวกเขาต้องค่อนข้างรักในสิ่งที่เป็นบวก และนอกจากนั้น พวกเขาต้องสามารถอดทนต่อความยากลำบากและจ่ายราคาได้ แล้วมีอะไรอีกบ้าง? (พวกเขาต้องมีลักษณะนิสัยที่ซื่อตรง ไม่ชั่วร้าย และไม่มีความเข้าใจที่บิดเบือน) ลักษณะนิสัยของพวกเขาต้องค่อนข้างซื่อตรง พวกเขาต้องไม่ใช่คนชั่ว และพวกเขาต้องไม่มีความเข้าใจที่บิดเบือน บางคนอาจถามว่า “แล้วความสามารถในการเข้าใจความจริงของพวกเขาสามารถถือว่าสูงได้หรือไม่? หลังจากได้ยินความจริงแล้ว พวกเขาสามารถตื่นรู้ถึงความเป็นจริงความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?” ไม่จำเป็นต้องกำหนดทั้งหมดนี้ การกำหนดให้คนเช่นนั้นไม่มีความเข้าใจที่บิดเบือนก็เพียงพอแล้ว เมื่อผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจที่บิดเบือนทำงานของตน ประโยชน์อย่างหนึ่งคือพวกเขาไม่น่าจะก่อให้เกิดการขัดขวางหรือทำสิ่งใดที่ไร้สาระ ตัวอย่างเช่น พระนิเวศของพระเจ้าได้สามัคคีธรรมครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับหลักธรรมเรื่องสีของเครื่องแต่งกายนักแสดง ซึ่งควรจะสง่างามและสุภาพ และมีสีสันมากกว่าที่จะเรียบๆ แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้รับแจ้ง ไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยิน ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ และไม่สามารถระบุหลักธรรมภายในข้อกำหนดเหล่านี้ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ และพวกเขาก็จบลงด้วยการเลือกเครื่องแต่งกายที่เป็นสีเทาทั้งหมด—นี่ไม่ใช่ความเข้าใจที่บิดเบือนหรอกหรือ? (ใช่) นี่คือความหมายของการมีความเข้าใจที่บิดเบือน การค่อนข้างรักในสิ่งที่เป็นบวกนั้นหมายถึงอะไรเป็นหลัก? (การสามารถยอมรับความจริงได้) ถูกต้อง นั่นหมายถึงการสามารถยอมรับถ้อยคำและสิ่งต่างๆ ที่สอดคล้องกับความจริง และสามารถยอมรับและนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าและความจริงทุกแง่มุมได้ โดยไม่คำนึงว่าคนเช่นนั้นจะสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติได้หรือไม่ อย่างน้อยที่สุด ในส่วนลึกแล้วพวกเขาต้องไม่ต่อต้านหรือรังเกียจสิ่งเหล่านั้น คนเช่นนี้คือคนดี และในภาษาพูดอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นคนดี ลักษณะของคนดีคืออะไร? พวกเขารู้สึกรังเกียจ ขยะแขยง และชิงชังต่อการกระทำชั่วที่ผู้ไม่มีความเชื่อชอบทำ ตลอดจนต่อกระแสชั่วที่ผู้ไม่มีความเชื่อปฏิบัติตาม ตัวอย่างเช่น กระแสของโลกที่ไม่เชื่อนั้นสนับสนุนกองกำลังชั่วร้าย และผู้หญิงจำนวนมากไล่ตามการแต่งงานกับคนรวยหรือการเป็นเมียน้อยของใครบางคน นี่ไม่ใช่ความชั่วร้ายหรอกหรือ? ผู้ที่รักความจริงพบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นที่น่ารังเกียจเป็นพิเศษ และบางคนกล่าวว่า “แม้ว่าฉันจะไม่สามารถหาใครแต่งงานด้วยได้ แม้ว่าฉันจะกำลังจะตายเพราะความยากจน ฉันก็จะไม่ทำตัวเหมือนคนเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาดูถูกและเหยียดหยามคนเช่นนั้น ลักษณะหนึ่งของคนดีคือพวกเขารู้สึกว่ากระแสชั่วนั้นน่ารังเกียจและน่าขยะแขยง และดูถูกผู้ที่ติดกับอยู่ในกระแสเช่นนั้น คนเหล่านี้ค่อนข้างซื่อตรง เมื่อกล่าวถึงการเชื่อในพระเจ้าและการเป็นคนดี การเดินในหนทางที่ถูกต้อง การนมัสการพระเจ้าและการหลีกหนีความชั่ว การหลีกหนีกระแสชั่ว และการหลีกหนีพฤติกรรมชั่วทั้งปวงในโลก ในส่วนลึกแล้วพวกเขารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่ดี โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะสามารถก้าวขึ้นมาบรรลุทั้งหมดนี้ได้หรือไม่ และโดยไม่คำนึงว่าความตั้งใจของพวกเขาที่จะเชื่อในพระเจ้าและเดินในหนทางที่ถูกต้องนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว ในส่วนลึกพวกเขาปรารถนาที่จะอยู่ในความสว่างและปรารถนาที่จะอยู่ในสถานที่ซึ่งความชอบธรรมมีอำนาจ คนที่ซื่อตรงเช่นนี้คือคนประเภทที่ค่อนข้างรักในสิ่งที่เป็นบวก ผู้ที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้าอย่างน้อยที่สุดต้องมีลักษณะนิสัยของความเป็นมนุษย์ที่ซื่อตรงและการรักในสิ่งที่เป็นบวก นี่เป็นมาตรฐานที่จำเป็นประการแรกสำหรับการส่งเสริมคนที่มีความสามารถประเภทที่มีทักษะทางวิชาชีพและจุดแข็งด้วย มาตรฐานที่สองก็คือ ผู้คนดังกล่าวต้องสามารถทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคาได้ นั่นคือ เมื่อมาถึงงานเพื่อส่วนรวมหรืองานที่พวกเขามีความรู้สึกแรงกล้าด้วย พวกเขาก็สามารถละวางความอยากได้อยากมีของตนเอง ละวางความยินดีทางเนื้อหนังหรือวิถีชีวิตที่สะดวกสบาย และแม้กระทั่งละทิ้งความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในภายภาคหน้าของตนเอง ที่มากกว่านั้นก็คือ ความยากลำบากเล็กน้อยหรือการรู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา ตราบเท่าที่พวกเขากำลังทำบางสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้องและเปี่ยมความหมาย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมละทิ้งความยินดีและผลประโยชน์ทางเนื้อหนังอย่างเปรมปรีดิ์—หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีปณิธานและความปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ผู้คนบางคนพูดว่า “บางครั้งบุคคลนั้นยังคงละโมบในสิ่งชูใจทางเนื้อหนัง กล่าวคือ บางครั้งพวกเขาก็ต้องการนอนตื่นสาย หรือกินอาหารที่ดี และบางครั้งพวกเขาก็ต้องการออกไปเตร็ดเตร่หรือเที่ยวเล่นไปเรื่อย—แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาสามารถทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคาได้ เพียงแต่ว่าบางครั้งอารมณ์ของพวกเขานำทางพวกเขาไปสู่ความคิดเช่นนั้น นี่จะถูกพิจารณาว่าเป็นปัญหาหรือไม่?” ไม่เลย การเรียกร้องให้พวกเขาละวางความยินดีทางเนื้อหนังโดยสิ้นเชิง ยกเว้นในรูปการณ์แวดล้อมพิเศษแล้ว ย่อมจะเป็นการขอมากเกินไป โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเจ้ามอบงานให้ผู้คนดังกล่าวทำ ไม่ว่านั่นจะเป็นงานใหญ่หรือไม่ และไม่ว่านั่นจะเป็นบางสิ่งที่พวกเขาชอบทำหรือไม่ และไม่ว่างานนั้นลำบากยากเย็นเพียงใด หรือพวกเขาต้องสู้ทนความทุกข์ยากมากขนาดไหน หรือพวกเขาต้องจ่ายราคาอะไร ตราบเท่าที่เจ้ามอบหมายงานนั้นให้พวกเขา ก็รับประกันได้ว่าพวกเขาจะทำงานนั้นจนสุดความสามารถโดยไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องจับตาดูพวกเขาหรือกำกับดูแลพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ผู้คนดังกล่าวสามารถที่จะทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคา และนี่คือการสำแดงของคนดีอีกอย่างหนึ่ง การสามารถทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคาหมายความว่าอย่างไร? การสามารถอดทนต่อความยากลำบากและจ่ายราคานั้นหมายถึงอะไร? นั่นหมายถึงการเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วน ทุ่มเทและใส่ใจอย่างยิ่ง และเต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคาทุกอย่างเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงอย่างถูกควร คนเช่นนี้ เมื่อเป็นเรื่องของการทำงานให้เสร็จ พวกเขารักษาสัญญาและน่าเชื่อถือ ไม่เหมือนคนที่ตะกละและเกียจคร้าน รักความสบายและเกลียดการลงแรง และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ก่อนสิ่งอื่นใด คนเหล่านั้นผิดสัญญา พูดเท็จอยู่เสมอเพื่อหลอกลวงและเกลี้ยกล่อมผู้อื่น และไม่ลังเลที่จะโกหกและสาบานเท็จเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน—พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนเหล่านั้นให้รอด พระเจ้าทรงชอบคนที่ซื่อสัตย์ เฉพาะคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่รักษาสัญญาและจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน และเฉพาะผู้ที่สามารถอดทนต่อความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าได้ การสามารถอดทนต่อความยากลำบากและจ่ายราคาคือลักษณะนิสัยและการสำแดงประการที่สองที่คนเราควรมีเพื่อที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า มาตรฐานประการที่สามคือไม่มีความเข้าใจที่บิดเบือน นั่นคือ หลังจากฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็สามารถรู้ว่าพระวจนะอ้างถึงอะไร พวกเขาสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าตรัส และความเข้าใจของพวกเขาไม่เบี่ยงเบนหรือไร้สาระ ตัวอย่างเช่น หากเจ้าพูดถึงสีน้ำเงิน พวกเขาจะไม่ตีความผิดว่าเป็นสีดำ และหากเจ้าพูดถึงสีเทา พวกเขาจะไม่ตีความผิดว่าเป็นสีม่วง นี่คือขั้นต่ำสุด แม้ว่าบางครั้งความเข้าใจของพวกเขาจะบิดเบือนไปบ้าง เมื่อผู้อื่นชี้แนะ พวกเขาก็สามารถยอมรับได้ และหากพวกเขาเห็นว่าคนอื่นมีความเข้าใจที่ถ่องแท้กว่าตนเอง พวกเขาก็สามารถยอมรับโดยง่าย—คนประเภทนี้มีความเข้าใจที่ถ่องแท้ ประการที่สี่ พวกเขาต้องไม่ใช่คนชั่ว นี่เข้าใจง่ายหรือไม่? การไม่ใช่คนชั่วหมายถึงการต้องทำสิ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย นั่นคือหลังจากล้มเหลวในการบรรลุสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าขอให้พวกเขาทำ หรือได้ละเมิดหลักธรรมและทำสิ่งผิดพลาด คนเช่นนี้ต้องสามารถยอมรับและนบนอบเมื่อถูกตัดแต่ง โดยไม่มีการต่อต้านและไม่แพร่กระจายความคิดลบหรือมโนคติอันหลงผิด นอกจากนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในกลุ่มใด พวกเขาก็สามารถเข้ากับคนส่วนใหญ่ได้และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างปรองดอง แม้ว่าใครบางคนจะทำร้ายพวกเขาด้วยการพูดสิ่งที่ไม่น่าฟัง พวกเขาก็สามารถอดทนได้โดยไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย และหากใครรังแกพวกเขา พวกเขาก็ไม่ตอบโต้ความชั่วด้วยความชั่ว แต่กลับใช้วิธีที่ชาญฉลาดในการรักษาระยะห่างและหลีกเลี่ยง แม้ว่าคนเช่นนี้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็เป็นคนค่อนข้างไร้เล่ห์เหลี่ยมและไม่ทำความชั่ว และหากใครล่วงเกินพวกเขา พวกเขาก็ไม่แก้แค้นหรือทรมานอีกฝ่าย หรือกดขี่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น คนเช่นนี้ไม่พยายามสร้างอาณาจักรอิสระของตนเอง กระทำการต่อต้านพระนิเวศของพระเจ้า แพร่กระจายมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พยายามตัดสินพระองค์ หรือทำสิ่งใดๆ ที่เป็นการขัดขวางหรือก่อให้เกิดการรบกวน สี่ประการข้างต้นนี้คือเกณฑ์พื้นฐานสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถผู้มีจุดแข็งบางประการและเข้าใจทักษะทางวิชาชีพบางอย่าง ตราบใดที่พวกเขาตรงตามเกณฑ์ทั้งสี่นี้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็สามารถแบกรับหน้าที่บางอย่างและปฏิบัติงานบางอย่างในลักษณะที่ถูกควรได้
บางคนอาจถามว่า “เหตุใดหลักเกณฑ์ที่คนมีความสามารถพิเศษควรจะมีคุณสมบัติตรงตามเพื่อจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ จึงไม่รวมถึงการเข้าใจความจริง การมีความเป็นจริงความจริง การสามารถที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เหตุใดจึงไม่รวมถึงการสามารถที่จะรู้จักพระเจ้า การสามารถที่จะนบนอบพระเจ้า การจงรักภักดีต่อพระเจ้า และการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานเล่า? สิ่งเหล่านี้ตกหล่นไปหรือเปล่า?” จงบอกเราที หากใครสักคนเข้าใจความจริงและได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว ทั้งยังสามารถนบนอบพระเจ้า จงรักภักดีต่อพระเจ้า มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ยิ่งกว่านั้นยังรู้จักพระเจ้า ไม่ต่อต้านพระองค์ และเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐานแล้ว พวกเขายังจำเป็นต้องรับการบ่มเพาะอีกหรือ? หากพวกเขาบรรลุทั้งหมดนี้อย่างแท้จริงแล้ว นั่นไม่ถือว่าเป็นผลสำเร็จของการบ่มเพาะแล้วหรอกหรือ? (ใช่) ด้วยเหตุนี้ ข้อกำหนดสำหรับผู้มีความสามารถที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจึงไม่ได้รวมหลักเกณฑ์เหล่านี้ไว้ เพราะว่าผู้ที่เราจะส่งเสริมและบ่มเพาะนั้น คัดเลือกมาจากหมู่มนุษย์ผู้ไม่เข้าใจความจริงและเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านี้ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการส่งเสริมและบ่มเพาะ จะมีความเป็นจริงความจริงอยู่แล้ว หรือจะนบนอบพระเจ้าได้อย่างเต็มที่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่าพวกเขายิ่งห่างไกลจากการรู้จักพระเจ้าและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หลักเกณฑ์สำคัญที่สุดที่คนมีความสามารถพิเศษทุกประเภทควรมีคุณสมบัติตรงตามเพื่อจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ ก็คือหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึงไป—สิ่งเหล่านี้แหละคือหลักเกณฑ์ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงและเจาะจงที่สุด ผู้นำเทียมเท็จบางคนกล่าวว่า “ที่นี่พวกเราไม่มีคนมีความสามารถพิเศษสักคนที่จะส่งเสริมและบ่มเพาะได้เลย คนนั้นก็ไม่เข้าใจความจริง คนนี้ก็ทำอะไรโดยไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า อีกคนก็รับการตัดแต่งไม่ได้ คนโน้นก็ไม่มีความจงรักภักดี…” และอื่นๆ สารพัดจะยกข้อบกพร่องขึ้นมา คำพูดเหล่านี้ของผู้นำเทียมเท็จบอกเป็นนัยว่าอะไร? ราวกับว่าคนเหล่านั้นไม่อาจได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะได้ ก็เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง ไม่ได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และยังไม่มีความเป็นจริงความจริง เป็นต้น ส่วนตัวผู้นำเองที่ได้เป็นผู้นำนั้น ก็เพราะพวกเขามีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่บ้างแล้วและมีความเป็นจริงความจริงแล้วนั่นเอง นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้หมายความหรอกหรือ? ในสายตาของพวกเขา ไม่มีใครดีเท่าตน และไม่มีใครอื่นนอกจากตนเองที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำ นี่แหละคืออุปนิสัยอันโอหังของผู้นำเทียมเท็จ เมื่อเป็นเรื่องการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนโดยพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน
III. คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับบุคลากรงานธุรการ
เราเพิ่งกล่าวถึงคนสองประเภทที่พระนิเวศของพระเจ้ามุ่งเน้นที่จะบ่มเพาะ ประเภทหนึ่งคือผู้ที่สามารถเป็นผู้นำและคนทำงานได้ และอีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่สามารถดำเนินงานทางวิชาชีพต่างๆ ได้ ยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง พวกเขาไม่อาจกล่าวได้ว่ามีจุดแข็งหรือทักษะทางวิชาชีพเป็นพิเศษ งานของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีขั้นสูงใดๆ กล่าวคือ คนเหล่านี้ปฏิบัติงานธุรการบางอย่างในคริสตจักร พวกเขาจัดการกับเรื่องบางอย่างที่อยู่นอกเหนือจากงานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักร พวกเขาคือคนประเภทที่ดำเนินงานธุรการ ข้อกำหนดหลักของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับคนเช่นนี้คืออะไร? ข้อกำหนดที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ ไม่ช่วยเหลือคนภายนอกหากการนั้นต้องทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเสียผลประโยชน์ และไม่ขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อประจบสอพลอซาตาน มีเพียงเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการสื่อสาร เป็นหัวกะทิของสังคม หรือผู้มีความสามารถพิเศษ พวกเขาควรจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้เมื่อจัดการกิจการภายนอกให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า ผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้ารวมถึงอะไรบ้าง? เงินทอง วัตถุสิ่งของ ชื่อเสียงของพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักร และความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง—แต่ละแง่มุมเหล่านี้สำคัญมาก ใครก็ตามที่สามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ย่อมมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และซื่อตรงอย่างเพียงพอ และเป็นผู้ที่เต็มใจปฏิบัติความจริง บางคนไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ และกล่าวว่า “มีคนหนึ่งที่มีความเป็นมนุษย์ที่ชั่วร้าย แต่พวกเขาสามารถปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้” นั่นเป็นไปได้หรือ? (ไม่ได้) คนชั่วจะสามารถปกป้องงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาสามารถปกป้องได้เพียงผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น ดังนั้น หากใครบางคนสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง พวกเขาย่อมมีลักษณะนิสัยและความเป็นมนุษย์ที่ดีอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่อาจผิดพลาดได้ หากใครบางคนช่วยเหลือคนภายนอกโดยแลกกับความสูญเสียของพระนิเวศของพระเจ้าเมื่อทำสิ่งต่างๆ ให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า และทรยศต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศ และไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความสูญเสียในเรื่องเงินและวัตถุอย่างใหญ่หลวงแก่พระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรด้วย พวกเขาเป็นคนดีหรือไม่? คนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอนที่สุด พวกเขาไม่สนใจว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะประสบความสูญเสียทางวัตถุและการเงินมากเพียงใด สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการได้ประโยชน์แก่ตนเองและประจบสอพลอผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาไม่เพียงแต่ส่งของขวัญให้ผู้ไม่มีความเชื่อเท่านั้น แต่ยังยอมอ่อนข้อให้พวกเขาอยู่ตลอดเวลาระหว่างการเจรจาต่อรอง—พวกเขาไม่เคยคิดที่จะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย กระนั้น พวกเขาก็ยังโกหกพระนิเวศของพระเจ้า โดยกล่าวว่าพวกเขาทำงานสำเร็จลุล่วงอย่างไร และปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร—ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว งานของคริสตจักรได้ประสบความสูญเสียไปแล้ว และพระนิเวศของพระเจ้าก็ถูกผู้ไม่มีความเชื่อฉวยประโยชน์อย่างมาก หากในทุกๆ ด้าน คนผู้หนึ่งสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้เมื่อจัดการเรื่องภายนอก คนผู้นี้เป็นคนดีหรือไม่? (ใช่) ดังนั้น หากคนประเภทนี้ไม่สามารถทำงานอื่นใดในพระนิเวศของพระเจ้าได้ และเหมาะสมกับงานธุรการประเภทนี้เท่านั้น พระนิเวศของพระเจ้าควรส่งเสริมพวกเขาหรือไม่? (ควร) นอกเหนือจากการมีความสามารถในการทำงาน และสามารถดำเนินงานของตนตามหลักการที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดแล้ว พวกเขายังสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงได้มาตรฐาน และคนเช่นนี้ควรได้รับการส่งเสริม ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่สร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอ ผู้ที่สร้างความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอ และผู้ที่สร้างผลกระทบและผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่อชื่อเสียงของพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรอยู่เสมอ—คนเช่นนี้ไม่ควรได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะ หากพวกเขาได้รับการส่งเสริมและใช้งานแล้ว ก็ต้องปลดพวกเขาออกโดยเร็ว ยังมีบางคนที่มักจะประสบปัญหาอยู่เสมอขณะทำงาน เช่น ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถ ทำให้งานที่พวกเขาจัดการอยู่ยุ่งเหยิง หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่การร้องเรียนอยู่เสมอ และหากมีข้อบกพร่องใดๆ พวกเขาก็ไม่รู้วิธีแก้ไข คนเช่นนี้ปัญญาทึบ และยังเป็นผู้นำมาซึ่งความโชคร้าย และเป็นคนที่ดีแต่ผลาญอีกด้วย หากคนประเภทนี้ได้เป็นหัวหน้าทีม ผู้ดูแล ผู้นำ หรือคนทำงาน ไม่เพียงแต่จะต้องปลดพวกเขาออกโดยเร็วเท่านั้น แต่ยังต้องเอาพวกเขาออกไปจากคริสตจักรด้วย ทั้งนี้เพราะคนประเภทนี้เป็นต้นเหตุของหายนะและเป็นผู้นำมาซึ่งความโชคร้าย ตราบใดที่มีคนเหล่านี้หนึ่งหรือสองคนอยู่ในคริสตจักร ก็จะไม่มีสันติสุขในคริสตจักรได้เลย คนเช่นนี้ดูเหมือนจะมีวิญญาณชั่วอยู่ในตัว หรือมีโรคระบาด ใครก็ตามที่สัมผัสกับพวกเขาจะประสบเคราะห์ร้าย ดังนั้นคนประเภทนี้จึงควรถูกกำจัดให้สิ้นซากโดยไม่ชักช้า แม้แต่ลักษณะใบหน้าของคนเหล่านี้ก็ผิดปกติไปหมด เต็มไปด้วยลักษณะที่เจ้าเล่ห์หรือเหมือนมาร หรือน่าเกลียดน่าชังอย่างยิ่ง และใครก็ตามที่สัมผัสกับพวกเขาจะรู้สึกราวกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น คนประเภทนี้ต้องถูกปลดออกและเอาตัวออกไป และเมื่อนั้นเท่านั้นสิ่งต่างๆ จึงจะดำเนินไปด้วยดีสำหรับคริสตจักรได้ การส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนต่างๆ ในคริสตจักรจำเป็นต้องยึดมั่นในหลักธรรมและใช้วิจารณญาณ เพื่อที่จะกระทำการตามหลักธรรม ในบรรดาคนประเภทต่างๆ ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะนั้น มีทั้งผู้ที่รับใช้เป็นผู้นำและคนทำงานของคริสตจักร ผู้ที่รับผิดชอบงานวิชาชีพต่างๆ ในคริสตจักร และยังมีผู้ที่จัดการงานธุรการให้แก่คริสตจักรด้วย คุณสมบัติต่างๆ ที่คนที่มีความสามารถหลายประเภทเหล่านี้ควรมีก็ได้มีการสามัคคีธรรมอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อพวกเจ้าเข้าใจหลักธรรมในการเลือกตั้งผู้นำและคนทำงาน และวิธีส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนอย่างชัดเจนแล้ว งานทั้งหมดของคริสตจักรก็จะเข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง
บางคนอาจถามว่า “ทำไมคนที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะจึงถูกเรียกว่า ‘คนที่มีความสามารถ’?” คนที่มีความสามารถที่พวกเราพูดถึงในที่นี้หมายถึงผู้ที่อยู่ในข่ายจะได้รับการส่งเสริมและการบ่มเพาะ สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่ต่างกันก็ย่อมมีข้อกำหนดที่ต่างกันไป และเนื่องจากพวกเขายังอยู่ในช่วงของการส่งเสริมและบ่มเพาะ ดังนั้น การที่คนที่ถูกเรียกว่าผู้มีความสามารถเหล่านี้สามารถเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึงไปนั้นก็นับว่าดีพอแล้ว การจะคาดหวังให้คนเหล่านี้มีความเป็นจริงความจริง สามารถนบนอบและจงรักภักดี ทั้งยังยำเกรงพระเจ้าได้แล้ว ถือเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ดังนั้น คนที่มีความสามารถที่พวกเราพูดถึงจึงเป็นเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติและความซื่อตรงบางอย่างซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี อีกทั้งมีขีดความสามารถที่จะเข้าใจความจริง—เพียงเท่านี้พวกเขาก็ถือว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมแล้ว นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว และก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้บรรลุการนบนอบต่อพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงแล้วหลังจากยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ และเรื่องทำนองนี้ แน่นอนว่า คำว่า “คนที่มีความสามารถ” ไม่ได้หมายถึงพวกที่จบมหาวิทยาลัยหรือปริญญาเอก หรือคนที่มีภูมิหลังครอบครัวดีมีสิทธิพิเศษหรือมีสถานะทางสังคมสูงส่ง หรือคนที่มีความสามารถหรือพรสวรรค์พิเศษ—คำนี้ไม่ได้หมายถึงคนเหล่านี้ เนื่องจากพวกเขาจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ คนบางส่วนที่จะปฏิบัติงานทางวิชาชีพอาจไม่เคยทำงานในสายอาชีพนั้นหรือเรียนรู้มาก่อน แต่ตราบใดที่พวกเขาเป็นไปตามหลักเกณฑ์หลายประการสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะ ทั้งยังเต็มใจและมีแววที่จะเรียนรู้วิชาชีพเฉพาะอย่างได้ดี พระนิเวศของพระเจ้าก็สามารถส่งเสริมและบ่มเพาะพวกเขาได้ ที่เรากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? นี่ไม่ได้หมายความว่าคนผู้หนึ่งจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีพรสวรรค์ในวิชาชีพนั้นๆ มาแต่กำเนิด แต่ทว่า หากพวกเขามีความตั้งใจที่จะเรียนรู้และมีคุณสมบัติพร้อม หรือแม้ว่าพวกเขาจะมีเพียงพื้นฐานบางอย่างในวิชาชีพนี้ พวกเขาก็สามารถได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะได้—นี่คือหลักธรรม การสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ที่ควรมีในคนที่มีความสามารถประเภทต่างๆ ซึ่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องการจะส่งเสริมและบ่มเพาะ ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้
จุดมุ่งหมายของพระนิเวศของพระเจ้าในการส่งเสริมและบ่มเพาะคนที่มีความสามารถทุกประเภท
ลำดับถัดไป พวกเราจะสามัคคีธรรมว่าเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงส่งเสริมและบ่มเพาะคนที่มีความสามารถทุกประเภท บางคนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้และคิดว่า “พระนิเวศของพระเจ้าเพียงแค่ส่งเสริมและใช้งานคนที่มีความสามารถต่างๆ ไปเลยก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงจำเป็นต้องบ่มเพาะและฝึกฝนพวกเขาเป็นระยะเวลาหนึ่งด้วยเล่า?” พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่? พวกเรามาพูดถึงคนประเภทที่ได้เป็นผู้นำและคนทำงานกันก่อน เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงส่งเสริมและบ่มเพาะผู้ที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจ ผู้ที่แบกรับภาระเพื่อคริสตจักร และผู้ที่มีความสามารถในการทำงาน? นั่นเป็นเพราะแม้ว่าพวกเขาจะมีคุณสมบัติและขีดความสามารถที่ผ่านเกณฑ์ แต่พวกเขาก็ยังขาดประสบการณ์จริงและไม่เข้าใจความจริง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริงเพื่อที่จะทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนเป็นระยะเวลาหนึ่งพร้อมกับการชี้แนะ และจะสามารถใช้งานอย่างเป็นทางการได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาเชี่ยวชาญหลักธรรมในการทำหน้าที่ของตนและมีประสบการณ์จริงแล้วเท่านั้น หากพวกเขาเป็นเหมือนพี่น้องชายหญิงทั่วไปในคริสตจักร คือกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ฟังคำเทศนา ดำเนินชีวิตคริสตจักร และฝึกฝนการทำหน้าที่ แล้วรอจนกว่าชีวิตของพวกเขาจะเติบโตจึงค่อยส่งเสริมและบ่มเพาะ เช่นนั้นแล้ว ความก้าวหน้าของพวกเขาก็จะช้าเกินไป หากเป็นเช่นนั้น จะต้องใช้เวลากี่ปีพวกเขาจึงจะเหมาะที่พระเจ้าจะทรงใช้? นี่จะไม่ส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรหรอกหรือ? ดังนั้น ตราบใดที่ใครบางคนมีความสามารถในการทำความเข้าใจความจริง มีความสามารถในการทำงาน และมีสำนึกในภาระหน้าที่ พวกเขาก็ควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ ให้พวกเขาได้ฝึกฝนการทำหน้าที่ของผู้นำหรือคนทำงาน และมอบภาระให้พวกเขา ด้านหนึ่งคือเพื่อให้พวกเขาได้ใช้จุดแข็งของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุด อีกด้านหนึ่งคือเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์พิเศษ ก็จำเป็นต้องสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็น บางครั้งพวกเขาก็ต้องถูกตัดแต่ง และหากจำเป็น ก็ต้องถูกบ่มวินัย ต้องผ่านบททดสอบและการถลุงมากมาย และทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างมาก มีเพียงการผ่านการฝึกฝนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถมีความก้าวหน้าที่แท้จริง และจะเข้าใจความจริงและเชี่ยวชาญหลักธรรมได้ทีละขั้นๆ จากนั้นก็จะสามารถแบกรับงานของผู้นำและคนทำงานได้โดยเร็วที่สุด การบ่มเพาะและฝึกฝนผู้นำและคนทำงานในหนทางนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและรวดเร็วกว่า ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากกว่า เพราะผู้นำและคนทำงานที่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงสามารถให้น้ำและจัดเตรียมให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้โดยตรง เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะใครบางคนให้เป็นผู้นำ ก็เท่ากับว่ามอบภาระให้พวกเขามากขึ้นเพื่อฝึกฝนพวกเขา เพื่อทำให้พวกเขาพึ่งพาพระเจ้า และเพื่อทำให้พวกเขามุ่งมั่นต่อความจริง มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่วุฒิภาวะของพวกเขาจะเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุด ยิ่งภาระที่มอบให้พวกเขาสูงเท่าไร ก็ยิ่งสร้างแรงกดดันให้พวกเขามากขึ้นเท่านั้น และยิ่งบีบให้พวกเขาต้องแสวงหาความจริงและพึ่งพาพระเจ้า ท้ายที่สุด พวกเขาจะสามารถทำงานของตนได้อย่างถูกควรและทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และดังนั้นก็จะก้าวเข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้องของการได้รับความรอดและได้รับการทำให้เพียบพร้อม—นี่คือผลที่สัมฤทธิ์ได้เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน หากไม่ได้ทำงานที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้ พวกเขาก็จะไม่รู้ว่าตนเองขาดอะไร ไม่รู้ว่าจะทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้อย่างไร และไม่รู้ว่าการมีความเป็นจริงความจริงหมายความว่าอย่างไร การทำงานที่เฉพาะเจาะจงจึงช่วยให้พวกเขาค้นพบข้อบกพร่องของตน และมองเห็นว่านอกจากพรสวรรค์แล้ว พวกเขาก็ปราศจากความเป็นจริงความจริงโดยสิ้นเชิง การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเขาสัมผัสได้ว่าตนเองยากจนและน่าสมเพชเพียงใด ทำให้พวกเขาตระหนักว่าหากไม่พึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาความจริง พวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานใดๆ ได้เลย ทั้งยังทำให้พวกเขาได้รู้จักตนเองอย่างแท้จริงและมองเห็นอย่างชัดเจนว่าหากไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเหมาะที่พระเจ้าจะทรงใช้ ทั้งหมดนี้คือผลที่ต้องสัมฤทธิ์ให้ได้เมื่อผู้นำและคนทำงานได้รับการบ่มเพาะและฝึกฝน ผู้คนจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างหนักแน่นมั่นคง รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวในการประพฤติตน รับประกันได้ว่าจะไม่โอ้อวดตนเองอีกต่อไปเมื่อทำงานของตน ยืนหยัดเทิดทูนพระเจ้าและเป็นพยานให้พระเจ้าในการทำหน้าที่ของตน และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทีละขั้นๆ ได้ก็โดยการมีความเข้าใจในแง่มุมเหล่านี้เท่านั้น เมื่อใครบางคนได้รับส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็จะได้เรียนรู้วิธีมีวิจารณญาณแยกแยะสภาวะของผู้คนที่แตกต่างกัน ฝึกฝนการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้คนที่แตกต่างกัน ตลอดจนสนับสนุนและจัดเตรียมให้แก่คนประเภทต่างๆ และนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องฝึกฝนการแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นต่างๆ ที่ประสบระหว่างการทำงาน เรียนรู้วิธีแยกแยะและจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ คนชั่ว และผู้ไม่เชื่อประเภทต่างๆ และทำงานชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ ในหนทางนี้ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาจะมีประสบการณ์กับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายมากขึ้น และมีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้มากขึ้น ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ฝึกฝนตนเองมิใช่หรือ? ยิ่งมีโอกาสในการฝึกฝนมากเท่าใด ประสบการณ์ของผู้คนก็ยิ่งมากมายขึ้นเท่านั้น ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเขาก็ยิ่งกว้างขวางขึ้น และพวกเขาก็จะเติบโตเร็วขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากผู้คนไม่ได้ทำงานผู้นำ พวกเขาก็จะเผชิญและผ่านเพียงการดำรงอยู่ส่วนตัวและประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น และจะรับรู้ได้เพียงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามส่วนตัวและสภาวะต่างๆ ส่วนตัวเท่านั้น—ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับตนเองเท่านั้น แต่เมื่อพวกเขาได้เป็นผู้นำแล้ว พวกเขาก็จะเผชิญกับผู้คนมากขึ้น เหตุการณ์มากขึ้น และสภาพแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้พวกเขามักจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาหลักธรรมความจริง สำหรับพวกเขาแล้ว ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ย่อมกลายเป็นภาระในใจของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว และแน่นอนว่ายังสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยอย่างยิ่งต่อการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของพวกเขาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น คนที่มีขีดความสามารถ แบกรับภาระ และมีความสามารถในการทำงาน จะเข้าสู่ได้ช้าในฐานะผู้เชื่อธรรมดา แต่จะเข้าสู่ได้เร็วกว่าในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน สำหรับผู้คนแล้ว การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วหรือช้าจึงเป็นสิ่งที่ดี? (เร็วเป็นสิ่งที่ดี) ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่มีขีดความสามารถ แบกรับภาระ และมีความสามารถในการทำงาน พระนิเวศของพระเจ้าจึงส่งเสริมคนเช่นนี้เป็นกรณีพิเศษ เว้นแต่ว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ได้มุ่งมั่นต่อความจริง ซึ่งในกรณีนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่บังคับพวกเขา ตราบใดที่บุคคลหนึ่งมีรากฐานความเชื่อในพระเจ้า ตรงตามหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการทรงใช้จากพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะส่งเสริมและบ่มเพาะพวกเขา ให้โอกาสพวกเขาในการฝึกฝนการเป็นผู้นำหรือคนทำงาน ทำให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานของคริสตจักร เรียนรู้ที่จะมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คน เรียนรู้ที่จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ทั้งหมดในคริสตจักร และเรียนรู้ที่จะดำเนินงานต่างๆ ตามการจัดแจงเตรียมการงาน ในช่วงเวลาของการถูกฝึกฝน หากผู้คนสามารถยอมรับความจริงและยอมรับการถูกตัดแต่ง สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า สามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อคนทุกประเภทและแยกแยะและจัดการกับคนทุกประเภทตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง และลุถึงความเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงได้—สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เชื่อธรรมดาไม่สามารถมีประสบการณ์หรือได้รับ ดังนั้น จากมุมมองนี้ การที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะใครบางคนเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา หรือเป็นความยากลำบากที่ถูกบังคับให้ทำ? ย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา แน่นอนว่า เมื่อบางคนเพิ่งได้รับการส่งเสริม พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตนควรทำงานใดหรือทำอย่างไร และรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง นี่เป็นเรื่องปกติ ใครเล่าจะเกิดมาสามารถทำได้ทุกอย่าง? หากเจ้าสามารถทำได้ทุกอย่าง เจ้าก็ย่อมเป็นคนที่โอหังและทะนงตนที่สุดอย่างแน่นอน และจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร—ในกรณีนั้น เจ้าจะยังสามารถยอมรับความจริงได้อีกหรือ? หากเจ้าสามารถทำได้ทุกอย่าง เจ้าจะยังพึ่งพาพระเจ้าและยำเกรงพระองค์อีกหรือ? เจ้าจะยังแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาความเสื่อมทรามของตนเองอีกหรือ? เจ้าย่อมไม่ทำอย่างแน่นอน ในทางตรงกันข้าม เจ้าจะโอหังและทะนงตนและเดินในเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ เจ้าจะต่อสู้เพื่ออำนาจและสถานะและไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เจ้าจะชักพาให้หลงผิดและหลอกผู้คนให้ติดกับ และขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร—ในกรณีนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจะยังสามารถใช้เจ้าได้อีกหรือ? หากเจ้ารู้ว่าตนมีข้อบกพร่องมากมาย เจ้าก็ควรเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังและนบนอบ และทำงานต่างๆ ให้ดีตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า การทำเช่นนี้จะช่วยให้เจ้าค่อยๆ ไปถึงจุดที่สามารถทำหน้าที่ของตนในหนทางที่ได้มาตรฐาน แต่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำสิ่งที่ง่ายดายอย่างการเชื่อฟังและนบนอบได้ ดังนั้น พวกเขาก็ไม่ควรโทษพระนิเวศของพระเจ้าที่ไม่ส่งเสริมและบ่มเพาะพวกเขา ในเมื่อเจ้าไม่สามารถเชื่อฟังได้ ในเมื่อแม้แต่การเชื่อฟังก็ยังเกินกำลังของเจ้า พระนิเวศของพระเจ้าจะกล้าส่งเสริมและบ่มเพาะเจ้าได้อย่างไร? (ไม่กล้า) แล้วเหตุใดจึงไม่กล้า? การใช้คนเช่นเจ้านั้นมีความเสี่ยงสูง สร้างความยุ่งยากใหญ่หลวง และน่ากังวลใจอย่างยิ่ง! เพราะหากพระนิเวศของพระเจ้าใช้เจ้าเมื่อใด เจ้าก็อาจควบคุมผู้คนไว้ในมือ และนำพวกเขาไปสู่เส้นทางแห่งความเลวร้าย—นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดจึงเสี่ยงนัก หากเจ้าถูกใช้งาน เจ้าก็อาจกระทำการผิดอย่างบ้าบิ่นและทำให้งานยุ่งเหยิงโดยสิ้นเชิง และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะต้องปลดเจ้าและเก็บกวาดความเละเทะทั้งหมดให้เจ้า—นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดจึงยุ่งยากเกินไป และหากเจ้าถูกใช้งาน เจ้าก็จะไม่รู้วิธีทำงานใดๆ และจะไม่มีผลใดๆ เลยในแง่ของงานของเจ้า ในงานทั้งหมดที่เจ้าทำ เจ้าจะต้องได้รับการกระตุ้นเตือน กำกับดูแล และติดตามผลจากเบื้องบน ผู้ซึ่งจะต้องเข้ามาแทรกแซงในทุกเรื่อง—แล้วเหตุใดจึงควรใช้เจ้าเล่า? เจ้าน่ากังวลเกินไป! คนประเภทนี้ไม่สามารถใช้งานได้อย่างเด็ดขาด ต่อให้พวกเขาจะได้รับการบ่มเพาะ ก็จะเปล่าประโยชน์ และยังจะก่อให้เกิดความยุ่งยากมากมายและส่งผลกระทบต่อการบ่มเพาะผู้อื่นด้วย เช่นนี้แล้วก็จะได้ไม่คุ้มเสียไม่ใช่หรือ? (ใช่)
บางคนเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาเพราะพวกเขาไม่เคยได้รับการส่งเสริมหรือใช้งานจากพระนิเวศของพระเจ้า และกล่าวว่า “ทำไมเบื้องบนไม่เคยสังเกตเห็นฉันเลย? ทำไมพระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยส่งเสริมและบ่มเพาะฉันเลย? มันไม่ยุติธรรม!” ก็ เจ้าควรชั่งใจดูก่อนว่าเจ้าสามารถเชื่อฟังได้หรือไม่ และเจ้าสามารถนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่ ประการที่สอง เจ้าควรชั่งใจดูว่าเจ้าตรงตามหลักเกณฑ์สามข้อที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้สำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนให้เป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่—นั่นคือ มีความสามารถในการเข้าใจความจริง มีภาระ และมีความสามารถในการทำงาน หากเจ้าตรงตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าย่อมจะมีโอกาสได้รับการส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้งาน การที่พระนิเวศของพระเจ้าจะส่งเสริมเจ้านั้น ย่อมมีข้อกำหนดสำหรับเจ้า และข้อกำหนดเหล่านี้คืออะไร? เจ้าต้องปฏิบัติตามหลักธรรมและข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า ต้องทำตามที่ถูกร้องขอ และทำในลักษณะที่ถูกร้องขอ ซึ่งเป็นการบ่มเพาะให้เจ้าเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมก่อน เรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงและนบนอบความจริง และเรียนรู้ที่จะร่วมมือกันอย่างสอดคล้อง ในระหว่างช่วงเวลาที่เจ้าได้รับการบ่มเพาะ บางครั้งพระนิเวศของพระเจ้าจะตัดแต่งเจ้า บางคราวก็จะตำหนิเจ้าอย่างรุนแรง บางทีก็จะสอบถามความคืบหน้าของงานของเจ้า บางเวลาก็จะถามเจ้าว่างานดำเนินไปอย่างไรกันแน่ และจะตรวจสอบงานของเจ้า และในบางโอกาสก็จะทดสอบว่ามุมมองของเจ้าต่อเรื่องบางอย่างนั้นเป็นเช่นไร จุดประสงค์ของการทดสอบเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าลำบาก แต่เพื่อทำให้เจ้าเข้าใจว่าในเรื่องเหล่านี้ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร และทัศนะและหลักธรรมที่เจ้าควรยึดถือคืออะไร พระนิเวศของพระเจ้าทำเช่นนี้เพื่อฝึกฝนและฝึกปฏิบัติเจ้า และอะไรคือเป้าหมายและจุดประสงค์ของการฝึกฝนผู้คน? ก็คือเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริง จุดประสงค์ของการเข้าใจความจริงก็เพื่อให้ผู้คนสามารถนบนอบความจริงและปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่อรักษาที่ทางของตนและลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี และในกระบวนการทำหน้าที่ของตน ก็เพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงต่างๆ และสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พระนิเวศของพระเจ้าฝึกฝนผู้นำและคนทำงานในลักษณะนี้ ตราบใดที่ผู้นำและคนทำงานเข้าใจความจริง ก็ย่อมมีความหวังว่าพวกเขาจะสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้เข้าใจความจริงได้ ผู้นำและคนทำงานเข้าใจความจริงมากเท่าใด ผู้คนที่พวกเขาเป็นผู้นำก็มีความหวังที่จะเข้าใจความจริงได้มากเท่านั้น เมื่อผู้นำและคนทำงานเข้าใจหลักธรรมความจริงในงานของตน ผู้ที่พวกเขาเป็นผู้นำก็สามารถเข้าใจหลักธรรมและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในงานของตนได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานที่เข้ารับการฝึกฝนจึงต้องมีขีดความสามารถที่ดีกว่าคนอื่นๆ พวกเขาถูกทำให้สามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงก่อนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก่อน จากนั้นพวกเขาก็นำผู้คนอีกมากให้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและเข้าใจหลักธรรมความจริง เจ้าคิดอย่างไรกับแนวทางเช่นนี้? (ดี) คนเช่นนี้อาจจะไม่ได้มีการศึกษาสูงหรือมีวาทศิลป์ หรือเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีหรือสถานการณ์ปัจจุบันและการเมืองมากนัก พวกเขาอาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญในวิชาชีพบางอย่างด้วยซ้ำ แต่พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้ และหลังจากได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็สามารถปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นได้ และสามารถค้นพบหลักธรรมความจริงได้ และสามารถนำผู้คนอีกมากให้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าและยึดมั่นในหลักธรรมความจริงได้ นี่คือคนที่เราหมายถึงเมื่อเราพูดถึงคนที่มีความสามารถประเภทที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้รับใช้ในฐานะผู้นำ นี่เป็นเรื่องกลวงหรือไม่? (ไม่) บางคนอาจจะถามว่า “คุณพูดถึงผู้มีความสามารถ เช่นนั้นแล้วพวกเขาคือหัวกะทิของสังคมใช่หรือไม่? พวกเขาต้องเคยดำเนินธุรกิจบางประเภท หรือเป็นซีอีโอหรือผู้ประกอบการบางประเภทในสังคมใช่หรือไม่? พวกเขาเป็นรัฐบุรุษที่มีพื้นเพทางการเมือง หรือผู้มีความสามารถทางธุรกิจ หรือผู้มีความสามารถในแวดวงศิลปะและวรรณกรรมใช่หรือไม่? พวกเขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษใช่หรือไม่?” ผู้มีความสามารถที่กล่าวถึงในพระนิเวศของพระเจ้านั้นแตกต่างจากผู้มีความสามารถเหล่านั้นในโลก คำว่า “ผู้มีความสามารถ” ที่เราพูดถึงนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายถึงการสามารถเข้าใจความจริงได้ และสามารถนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ รู้จักแยกแยะคนประเภทต่างๆ รู้วิธีแก้ไขสภาวะและความยากลำบากต่างๆ ที่ผู้คนพบเจอ มีมุมมองและทัศนะที่ถูกต้องเมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหาต่างๆ และมีมุมมองและทัศนะที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ควรมี ไม่ได้หมายถึงผู้ที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หรือคนหน้าซื่อใจคด หรือผู้ที่พูดจาโอ้อวดและกล่าวสุนทรพจน์ที่เลื่อนลอย แต่หมายถึงผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง นี่คือความหมายของคำว่า “ผู้มีความสามารถ” นี่เป็นเรื่องกลวงหรือไม่? (ไม่) หลักเกณฑ์เหล่านี้ที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้สำหรับคนที่มีความสามารถประเภทนี้ที่พระนิเวศส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำและคนทำงานนั้นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากหรอกหรือ? (ใช่) สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง! ผู้ที่เข้าข่ายเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูง แต่พวกเขาต้องมีขีดความสามารถที่จะเข้าใจความจริงเป็นอย่างน้อยที่สุด บางคนอาจจะพูดว่า “ถ้าพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูง เช่นนั้นแล้วพวกเขาไม่รู้หนังสือก็ได้ใช่หรือไม่?” การอ่านพระวจนะของพระเจ้าย่อมเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการศึกษาอยู่บ้าง พวกเขาจำเป็นต้องเข้าใจตัวอักษร แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูง ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมในพระนิเวศของพระเจ้านั้นรวมถึงผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ดังนั้นจึงไม่มีข้อจำกัดในเรื่องระดับการศึกษา นอกจากนี้ ยังไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสถานะทางสังคมอีกด้วย ตั้งแต่ชาวนาและปัญญาชน ไปจนถึงนักธุรกิจและแม่บ้าน—คนทุกประเภทล้วนเป็นที่ต้อนรับ นอกจากจะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องระดับการศึกษาและสถานะทางสังคมแล้ว หลักเกณฑ์ที่กำหนดก็คือเงื่อนไขหลายข้อที่ได้กล่าวไปนั้น นั่นสมเหตุสมผลหรือไม่? (ใช่) สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง! ตอนนี้เจ้าเข้าใจมากขึ้นอีกนิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราหมายถึงเมื่อกล่าวว่า “ผู้มีความสามารถที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะ” แล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ผู้คนที่ตรงตามหลักเกณฑ์หลายข้อเหล่านี้ คือ สามารถเข้าใจความจริงได้ แบกรับภาระ และมีความสามารถในการทำงาน คือผู้ที่พระนิเวศของพระเจ้าจะพิจารณาส่งเสริมและบ่มเพาะ หากพวกเขาตรงตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ พวกเขาก็มีคุณสมบัติเหมาะสม ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น การศึกษา พื้นเพครอบครัว สถานะทางสังคม รูปลักษณ์ภายนอก และอื่นๆ ข้อกำหนดก็ไม่ได้สูงนัก นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนให้เป็นผู้นำและคนทำงาน
พวกเราเพิ่งได้สนทนากันถึงหลักเกณฑ์หลายประการที่ผู้มีความสามารถพิเศษทางทักษะหรือวิชาชีพควรมี เพื่อที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ ได้แก่ พวกเขาควรรักสิ่งที่เป็นบวกและสามารถยอมรับความจริงได้ มีความเข้าใจที่ไม่บิดเบือน สามารถทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี ทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคาโดยไม่พร่ำบ่น และอย่างน้อยที่สุดก็ไม่ทำชั่ว—หลักเกณฑ์หลายประการเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนเหล่านี้ แล้วอะไรคือจุดมุ่งหมายของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนเหล่านี้? จุดประสงค์ก็เช่นเดียวกัน คือเพื่อให้เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเหล่านี้ประสบปัญหาขณะปฏิบัติหน้าที่และทำงานที่เฉพาะเจาะจง พวกเขาก็จะสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และกระทำการตามหลักธรรมได้ ในกระบวนการแห่งการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ พวกเขาจะได้รับการฝึกฝนและปรับให้เข้าที่เข้าทางโดยไม่รู้ตัว พวกเขาปฏิบัติการปล่อยวางเจตนาของตนเอง แก้ไขมุมมองที่ผิดและผิดเพี้ยนของตนเกี่ยวกับชาวโลก ปล่อยวางความคิดที่ไม่ประสาบางอย่าง ตลอดจนปล่อยวางอคติ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝันเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าและสิ่งอื่นๆ ที่คล้ายกัน แน่นอนว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กระบวนการแห่งการปฏิบัตินี้มีขึ้นเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้ทีละน้อย เรียนรู้ที่จะนบนอบ และเรียนรู้ที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงต่างๆ ในกระบวนการแห่งการเรียนรู้นี้ พวกเขาจะค่อยๆ เชี่ยวชาญในหลักธรรมความจริง แล้วจะรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร การปฏิบัติความจริงหมายความว่าอย่างไร และการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราหมายความว่าอย่างไร และในที่สุด พวกเขาก็จะเข้าใจทีละน้อยว่าตนควรทำอย่างไรเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้ได้มาตรฐาน และวิธีที่ผู้เชื่อควรประพฤติปฏิบัติตนเป็นเช่นใด และอื่นๆ—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนค่อยๆ เข้าสู่หลังจากที่พวกเขาได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ กระบวนการแห่งการเข้าสู่ทีละน้อยของผู้คนก็คือกระบวนการแห่งการถูกบ่มเพาะ และแท้จริงแล้ว กระบวนการแห่งการถูกบ่มเพาะก็คือกระบวนการที่ผู้คนปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั่นเอง แต่ถ้าเจ้าไม่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ และเป็นเพียงผู้เชื่อธรรมดาที่เข้าชุมนุม อ่านพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง หรือเรียนรู้บทเพลงนมัสการ การเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ย่อมหมายความว่าเจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างแท้จริง ดังนั้นเจ้าจึงห่างไกลอย่างยิ่งจากการทำหน้าที่ให้ได้มาตรฐาน แม้แต่หลักธรรมใดที่ควรยึดในการทำหน้าที่ของตน เจ้าก็ยังไม่ชัดเจน และพูดได้เพียงคำสอนและคำขวัญบางอย่างเท่านั้น เพราะฉะนั้น เจ้าจึงยังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าก็เชื่องช้า ในทำนองเดียวกัน จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนเหล่านี้ที่มีส่วนร่วมในงานด้านวิชาชีพก็เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงได้ดีขึ้นและถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น บรรดาผู้ที่สามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้—เหล่านี้คือผู้คนที่มีความสามารถพิเศษซึ่งได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทนี้หมายถึงอะไร? หมายถึงบรรดาผู้ที่—บนพื้นฐานของการรักสิ่งที่เป็นบวก สามารถทนทุกข์กับความยากลำบากและจ่ายราคาได้ มีความเข้าใจที่ไม่บิดเบือน และไม่ใช่คนชั่ว—ได้บรรลุความเข้าใจในหลักธรรมความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทั้งยังสามารถนบนอบพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง นี่คือผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทที่สองที่เราพูดถึง ข้อกำหนดสำหรับพวกเขาก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วยเช่นกัน คือเจาะจงเพียงพอ และไม่เป็นนามธรรม แล้วผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทนี้จำเป็นต้องเป็นหัวกะทิของสังคม มีประสบการณ์ทางสังคม มีคุณวุฒิทางการศึกษาบางอย่าง และมีสถานะทางสังคมบางอย่างหรือไม่? (ไม่) พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยกำหนดให้ผู้คนต้องมีสถานะทางสังคม ชื่อเสียง คุณวุฒิทางการศึกษา หรือความรู้ระดับสูง—สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกกำหนดไว้เลย เมื่อส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้ดูที่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา กล่าวคือ ไม่ได้ดูว่าพวกเขาอัปลักษณ์หรือน่าดึงดูดเพียงใด นอกเหนือจากการไม่ส่งเสริมคนประเภทที่ดูเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ หรือผู้ที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวหรือชั่วร้ายแล้ว หลักเกณฑ์อื่นๆ ก็คือหลักเกณฑ์ที่เราเพิ่งกล่าวถึงไป—เหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุด เมื่อผู้ไม่มีความเชื่อจะส่งเสริมใครสักคน พวกเขาจะดูที่รูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันดับแรก กล่าวคือผู้ชายต้องหล่อเหลาดูภูมิฐานดุจขุนนาง ส่วนผู้หญิงก็ต้องสวยสดงดงามราวนางฟ้า นอกจากนี้ พวกเขายังเปรียบเทียบคุณวุฒิทางการศึกษา สถานะทางสังคม ภูมิหลังครอบครัว และเล่ห์เหลี่ยมของผู้คนอีกด้วย หากเจ้ามีคุณวุฒิทางการศึกษาสูงแต่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม นั่นก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน เจ้าจะไม่มีวันได้รับการส่งเสริมและจะไม่มีใครเห็นคุณค่าของเจ้าเลย หากเจ้ามีคุณวุฒิทางการศึกษาสูงและมีความสามารถพิเศษที่แท้จริง แต่หน้าตาไม่ได้ดูดีเป็นพิเศษ ทั้งยังตัวเตี้ย และไม่รู้จักวิธีประจบประแจงหรือเข้าใกล้ผู้บังคับบัญชาของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะตราบเท่าที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ และจะไม่มีใครค้นพบเจ้าเลย เพราะฉะนั้น ผู้ไม่มีความเชื่อจึงมีคำกล่าวนี้ที่ว่า “มีม้าฝีเท้าเร็วอยู่มากมาย แต่มีคนน้อยนักที่ดูออก” สิ่งนี้เป็นจริงในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ ไม่เป็นจริง) แล้วคำกล่าวที่ว่า “ทองแท้ย่อมส่องประกายในที่สุด” เล่า เป็นจริงหรือไม่? ใช้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) ผู้คนที่เยาะเย้ยถากถางและไม่ยอมใครมักจะพูดเช่นนี้ การอยากจะส่องประกายอยู่เสมอ—นี่คือความทะเยอทะยานของมนุษย์ ผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ใช่ทองคำ พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา การส่งเสริมและบ่มเพาะที่เราพูดถึงเป็นเพียงความจริงบางส่วนเท่านั้น แท้จริงแล้ว นี่หมายถึงการได้รับการยกชูจากพระเจ้า เจ้าซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เป็นทองคำต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้สร้างหรือ? เจ้าเป็นเพียงแค่ผงคลี เจ้าไม่ใช่แม้แต่ทองแดงหรือเหล็ก เหตุใดเราจึงกล่าวว่าเจ้าเป็นผงคลีแทนที่จะเป็นทองคำ? เพราะไม่มีสิ่งใดในตัวผู้คนที่น่าชื่นชมเลย บางคนอาจถามว่า “สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นขัดแย้งกันมิใช่หรือ? พระองค์เพิ่งตรัสมิใช่หรือว่าใครบางคนสามารถได้รับการส่งเสริมได้หากพวกเขาตรงตามหลักเกณฑ์ของการรักสิ่งที่เป็นบวก?” ในฐานะบุคคล เจ้าไม่ควรรักสิ่งที่เป็นบวกหรอกหรือ? หากเจ้ารักสิ่งที่เป็นบวกสักสองสามอย่าง นั่นทำให้เจ้าเป็นทองคำแล้วหรือ? นั่นทำให้เจ้าส่องประกายแล้วหรือ? หากเจ้ารักสิ่งที่เป็นบวกสองสามอย่าง นั่นหมายความว่าเจ้ามีความจริงแล้วหรือ? การมีความจริงเท่านั้นจึงจะทำให้คนเราส่องประกายได้ หากเจ้าไม่มีความจริง จะกล่าวได้อย่างไรว่าเจ้าส่องประกาย? ความจริงก็คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่เข้าใจความจริงใดๆ เลย การมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง และมีความสามารถและขีดความสามารถในการเข้าใจความจริงอยู่บ้าง ไม่ได้หมายความว่าคนเรามีความจริงโดยธรรมชาติ ผู้คนไม่ได้มีความจริง และแม้ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะซื่อตรงหรือใจดี สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงคุณสมบัติที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีเท่านั้น ฉะนั้น อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องการส่องประกายเลย แล้วเมื่อใดเล่าที่คนเราจะสามารถส่องประกายได้เล็กน้อย? เมื่อพวกเขาสามารถเอ่ยวาจาของโยบได้ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามของพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) นั่นแหละคือเมื่อพวกเขาสามารถกล่าวได้ว่าตนส่องประกายได้เล็กน้อยและดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง เมื่อเจ้าสามารถใช้ความเป็นจริงความจริงที่เจ้าครอบครองและใช้ความจริงที่เจ้าเข้าใจเพื่อจัดเตรียมให้ เกื้อหนุน และนำผู้อื่น ซึ่งโดยผ่านทางนั้น พวกเขาสามารถถูกนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง นบนอบพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าได้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถส่องประกายได้เล็กน้อย
ผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ ที่ได้รับการบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ได้มีพรสวรรค์อย่างเหนือธรรมชาติ พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่เสื่อมทราม ตราบใดที่พวกเขาสามารถยอมรับความจริง เชื่อฟังและนบนอบ และมีขีดความสามารถบางอย่าง พระนิเวศของพระเจ้าก็จะยกเว้นเป็นพิเศษโดยการส่งเสริมและบ่มเพาะพวกเขา การที่เรากล่าวถึงการยกเว้นเป็นพิเศษเพื่อส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนนั้น แท้จริงแล้วคือการได้รับการยกชูจากพระเจ้า เป็นการให้โอกาสเจ้าได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับการทรงนำของพระองค์ ตลอดจนยอมรับการที่พระองค์ทรงบ่มเพาะและฝึกฝนเจ้า เพื่อที่ว่าในช่วงเวลานี้เจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้โดยเร็วที่สุด สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทำหน้าที่ของตนในหนทางที่ได้มาตรฐาน และดำเนินชีวิตในสภาพเสมือนมนุษย์ นี่คือความหมายของคำว่า “ผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ” ในพระนิเวศของพระเจ้า คนเช่นนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่เข้าใจความจริงและมีความเป็นจริงความจริง สามารถทำหน้าที่ของตนอย่างใส่ใจและมีความรับผิดชอบ มีความจริงใจอยู่บ้างและสามารถจ่ายราคาได้เล็กน้อย และไม่กระทำการอย่างบุ่มบ่ามตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน การที่พระนิเวศของพระเจ้ายกเว้นเป็นพิเศษโดยการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่ตรงตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ และฝึกฝนพวกเขาขึ้นมานั้นเหมาะสมหรือไม่? เป็นประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่? เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้คน! เช่นเดียวกับผู้เชื่อคนอื่นๆ บรรดาผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะก็เชื่อในพระเจ้า อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฟังคำเทศนา และทำหน้าที่ของตน แต่เมื่อเทียบกับผู้เชื่อคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาจะเติบโตเร็วกว่าและได้รับมากกว่า พวกเจ้าอยากจะได้รับมากขึ้น หรือได้รับเพียงเล็กน้อย? (ได้รับมากขึ้น) คนส่วนใหญ่มีความปรารถนานี้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขารักสิ่งที่เป็นบวก บางครั้งเราก็สามัคคีธรรมกับบางทีมเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตามไปฟัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อความจริง เต็มใจที่จะเข้าใจความจริงมากขึ้น และเต็มใจที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงด้วย ในตอนแรก เราสามัคคีธรรมกับบางคนและพวกเขาก็เฉยเมยอย่างยิ่ง เราพูดอยู่นานแต่พวกเขาก็ไม่ตอบสนอง หรือแม้แต่ไม่แสดงรอยยิ้มแม้เพียงเล็กน้อย หลังจากที่เราได้ติดต่อกับพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งหรือสองปี คนส่วนใหญ่ก็มีการแสดงออกทางสีหน้าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นและมีการตอบสนอง และเมื่อเวลาผ่านไปการตอบสนองของพวกเขาก็ค่อนข้างเร็วขึ้น นั่นคือ พวกเขาเปลี่ยนจากคนตายมาเป็นคนเป็น และจิตวิญญาณของพวกเขาก็ตื่นขึ้น สิ่งนี้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไร? หากผู้คนไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขารักสิ่งที่เป็นบวกมากเพียงใด หรือฉลาดหรือมีหัวคิดเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นคนตาย บางคนเริ่มต้นด้วยการเป็นคนโง่และหัวทึบ ไม่มีใครในโลกภายนอกเห็นคุณค่าของพวกเขา ไม่ได้เรียนมาสูงและมีวิสัยทัศน์ที่ไม่กว้างไกลนัก แต่หลังจากที่พวกเขามาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็สามารถเข้าใจความจริงมากมายและมองเห็นหลายสิ่งอย่างชัดเจน และแล้วก็ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์ และด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นคนเป็น คำว่า “คนเป็น” หมายความว่าอย่างไร? ไม่ใช่เรื่องที่ว่าร่างกายของเจ้ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว หรือร่างกายของเจ้าสามารถเคลื่อนไหวหรือหายใจได้หรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ว่าจิตวิญญาณของเจ้ามีสำนึกและไวต่อพระวจนะของพระเจ้าและความจริงหรือไม่ คนเป็นจะตอบสนองต่อความจริงและต่อพระวจนะของพระเจ้า หลังจากได้ยินพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็มีสำนึก มีเส้นทาง มีแผนการ และมีเป้าหมาย คนตายไม่มีการสำแดงเหล่านี้ ดังนั้น หากพระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะใครสักคน บุคคลนี้ก็จะได้รับค่อนข้างมากกว่า แล้วผู้คนที่ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์เหล่านี้และไม่ได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะจะสามารถได้รับอย่างเพียงพอได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างรวดเร็วได้อย่างไร? พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติและได้รับประสบการณ์จากพระวจนะของพระเจ้า บรรลุความเข้าใจในความจริงมากมาย และยังสามารถประยุกต์ใช้ความจริงเพื่อแยกแยะผู้คนและแก้ไขปัญหาได้—เมื่อนั้นพวกเขาก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้
บางคนกล่าวว่า “ในเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษทุกประเภท และเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้โดยเร็วที่สุด นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้คนที่ไม่มีความสามารถพิเศษไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรอกหรือ?” การกล่าวเช่นนั้นถูกต้องหรือไม่? (ไม่ ไม่ถูกต้อง) ดังนั้น หลังจากที่สามัคคีธรรมในหัวข้อนี้แล้ว สิ่งนี้ทำให้บางคนตื่นเต้นขณะที่ทำให้คนอื่นๆ ท้อแท้และผิดหวังหรือไม่? คนเราควรมองเรื่องนี้ในหนทางนี้ กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะไม่ควรภาคภูมิใจ เจ้าไม่มีสิ่งใดน่าโอ้อวด นี่คือพระคุณและพรจากพระเจ้า เมื่อพระเจ้าประทานให้เจ้ามากขึ้น พระองค์ก็ทรงขอให้เจ้ามอบตัวของเจ้าเองมากขึ้นด้วย หากพระนิเวศของพระเจ้ายกเว้นเป็นพิเศษโดยการส่งเสริมและบ่มเพาะเจ้า นั่นหมายความว่าเจ้าจำเป็นต้องจ่ายราคาที่สูงขึ้น หากเจ้าสามารถทนทุกข์กับความยากลำบากนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าเจ้าก็จะได้รับมากขึ้น หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับความยากลำบากนี้” เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่ได้รับความจริง และไม่ได้รับพรจากพระเจ้า บางคนกล่าวว่า “ฉันอยากจะได้รับสิ่งเหล่านั้นแต่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ยกเว้นเป็นพิเศษโดยการส่งเสริมและบ่มเพาะฉัน ฉันไม่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์” ไม่สำคัญหากเจ้าไม่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ ตราบใดที่เจ้าแสวงหาความจริงและมุ่งมั่นอย่างหนักไปสู่ความจริง พระเจ้าก็จะไม่ทรงปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่ยุติธรรม ผู้คนเหล่านี้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะสามารถเพียงแค่เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วขึ้นเพราะขีดความสามารถของพวกเขาและเพราะเงื่อนไขต่างๆ ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่ได้เร็วนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ สิ่งนี้เป็นเพียงแค่หมายความว่าพวกเขาสามารถได้รับเร็วมากขึ้นเล็กน้อย และสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วขึ้นเล็กน้อย บรรดาผู้ที่ไม่ได้รับการส่งเสริมจะล้าหลังพวกเขาอยู่เล็กน้อย แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ การที่ใครสักคนจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการแสวงหาของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงได้รวดเร็วยิ่งขึ้นและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในระหว่างกระบวนการบ่มเพาะ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงเป็นการถูกต้องที่จะส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่ถูกพบว่ามีขีดความสามารถที่ดีและรักความจริง หากใครสักคนสามารถพบเจอผู้คนเหล่านี้และส่งเสริมและบ่มเพาะพวกเขาโดยไม่อิจฉาพวกเขาหรือฉุดพวกเขาลง แต่กลับให้การดูแลพวกเขา ก็ถือว่าพวกเขากำลังคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในทางตรงกันข้าม หากบางคนอิจฉาและกังวลว่าผู้คนเหล่านี้ดีกว่าพวกเขาและเหนือกว่าพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงกีดกันและฉุดพวกเขาลง นี่เป็นการทำชั่วอย่างชัดเจนและเป็นสิ่งที่เหล่าศัตรูของพระคริสต์มักจะทำ มีเพียงคนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถเล่นงานและกีดกันพี่น้องชายหญิงได้
ความเข้าใจและท่าทีที่คนเราควรมีในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนโดยพระนิเวศของพระเจ้า
สิ่งที่พวกเราเพิ่งได้สามัคคีธรรมกันไปคือจุดมุ่งหมายของพระนิเวศของพระเจ้าในการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภท ไม่ว่างานประเภทใดที่บรรดาผู้ที่ถูกเลือกเพื่อการส่งเสริมและบ่มเพาะทำ—ไม่ว่าจะเป็นงานด้านเทคนิค งานธรรมดา หรือกิจการทั่วไปของคริสตจักร—โดยสรุปแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และเพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐานโดยเร็วที่สุดเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า—นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากผู้คน และแน่นอนว่า นี่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับงานของคริสตจักรด้วย ตอนนี้เจ้าเข้าใจนัยสำคัญของการที่พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถทุกประเภทแล้วหรือไม่? ยังมีความเข้าใจผิดใดๆ อยู่หรือไม่? (ไม่มี) บางคนกล่าวว่า “ตอนนี้บุคคลนี้ได้รับการส่งเสริมเป็นผู้นำแล้ว และมีสถานะแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป” การกล่าวเช่นนี้ถูกหรือผิด? (ผิด) คนอื่นๆ อาจกล่าวว่า “บรรดาผู้ที่กลายเป็นผู้นำมีสถานะ แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งปีนสูงเท่าไร ก็ยิ่งตกหนักเท่านั้น!” การกล่าวเช่นนี้ถูกหรือผิด? เห็นได้ชัดว่าผิด คำกล่าวที่ว่า “ยิ่งปีนสูงเท่าไร ก็ยิ่งตกหนักเท่านั้น” หมายถึงคนประเภทใด? หมายถึงผู้คนที่มีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี หมายถึงเหล่าศัตรูของพระคริสต์ เมื่อบรรดาผู้ที่เสาะหาความจริงกลายเป็นผู้นำ นั่นไม่ใช่การปีนสูง—นั่นคือการที่พระเจ้าทรงยกพวกเขาขึ้นเป็นกรณีพิเศษ และเป็นพรจากพระเจ้าที่ทรงฝากภาระนี้ไว้กับพวกเขาและทรงอนุญาตให้พวกเขาทำงานในตำแหน่งผู้นำ “ยิ่งปีนสูงเท่าไร ก็ยิ่งตกหนักเท่านั้น” เป็นข้อสรุปที่ผู้ไม่มีความเชื่อสรุปขึ้นมา และอธิบายถึงผลที่ตามมาของการที่ผู้ไม่มีความเชื่อเสาะหาอาชีพในแวดวงข้าราชการ ผู้ไม่เชื่อเหล่านั้นไม่มีวิจารณญาณและนำคำกล่าวนี้มาใช้กับบุคคลที่เป็นบวก ซึ่งเป็นความผิดพลาดร้ายแรง คนอื่นๆ อาจกล่าวว่า “เขาเกิดในพื้นที่ชนบท และตอนนี้เขากลายเป็นผู้นำคริสตจักรแล้ว—เป็นหงส์ทะยานฟ้าจากจุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อย” การกล่าวเช่นนี้ถูกหรือผิด? เหล่านี้คือวาจาเยี่ยงมารของผู้ไม่มีความเชื่อและไม่สามารถนำมาใช้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ ในพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าทรงอวยพรบรรดาผู้ที่เสาะหาความจริง บรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่มีจิตใจดี และบรรดาผู้ที่พิทักษ์รักษางานของพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อผู้คนเหล่านี้เข้าใจความจริงและได้รับวุฒิภาวะบางอย่างแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะได้รับการส่งเสริมเพื่อการบ่มเพาะและการฝึกฝน เพื่อมาแทนที่บรรดาผู้ที่เป็นผู้นำเทียมเท็จและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ ในพระนิเวศของพระเจ้า บุคคลที่เป็นบวกที่ได้ผ่านบททดสอบและการทดสอบมากมายและผู้ที่ได้พิทักษ์รักษางานของพระนิเวศของพระเจ้ามาอย่างสม่ำเสมอคือผู้คนที่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า และคงจะไม่เหมาะสมที่จะใช้วาจาเยี่ยงมารของผู้ไม่มีความเชื่อมาอธิบายผู้คนเหล่านี้ เพราะฉะนั้น บรรดาผู้ที่ใช้วาจาเยี่ยงมารของผู้ไม่มีความเชื่อมาอธิบายเรื่องราวในพระนิเวศของพระเจ้าและแสดงมุมมองของตนเองอยู่เสมอคือผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงและผู้ที่มีมุมมองที่วิปลาสต่อสิ่งต่างๆ มุมมองของพวกเขาต่อสิ่งต่างๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย และยังคงเป็นมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อ และพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้รับความจริงใดๆ เลย และยังคงไม่สามารถมองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าได้—ดังนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้จึงเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ เวลาที่ใครสักคนได้รับการส่งเสริมให้ทำหน้าที่ผู้นำหรือคนทำงาน หรือได้รับการบ่มเพาะให้เป็นผู้ดูแลงานด้านเทคนิคบางอย่าง นี่ก็เป็นเพียงการที่พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบภาระให้พวกเขาทำเท่านั้น เป็นพระบัญชา ความรับผิดชอบ และแน่นอนว่าเป็นหน้าที่พิเศษ เป็นโอกาสพิเศษและเป็นการยกชูเป็นข้อยกเว้น—สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรน่าสรรเสริญ เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าให้การส่งเสริมและบ่มเพาะใครบางคน นี่ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้มีตำแหน่งหรือสถานะพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้พวกเขาสามารถสุขสำราญกับการปฏิบัติและเอื้อประโยชน์ให้เป็นพิเศษ ในทางกลับกัน หลังจากที่พระนิเวศของพระเจ้าเชิดชูพวกเขาเป็นพิเศษแล้ว พวกเขาย่อมมีภาวะอันดีเยี่ยมที่จะได้รับการฝึกฝนจากพระนิเวศของพระเจ้า ฝึกทำงานสำคัญบางอย่างของคริสตจักร และพร้อมกันนั้นพระนิเวศของพระเจ้าก็จะกำหนดมาตรฐานสำหรับคนคนนี้ให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างมาก เมื่อคนคนหนึ่งได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะในพระนิเวศของพระเจ้า ย่อมหมายความว่าพวกเขาจะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่เข้มงวดและการกำกับดูแลอันเคร่งครัด พระนิเวศของพระเจ้าจะตรวจสอบ กำกับดูแล และผลักดันงานที่พวกเขาทำอย่างเข้มงวด และจะทำความเข้าใจและให้ความสนใจในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา จากมุมมองเหล่านี้ ผู้คนที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากพระนิเวศของพระเจ้าจะสุขสำราญกับการปฏิบัติที่เป็นพิเศษ สถานะพิเศษ และตำแหน่งที่เป็นพิเศษหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะสุขสำราญกับตำแหน่งพิเศษใดๆ สำหรับผู้คนที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะแล้ว ถ้าพวกเขารู้สึกว่าตนมีต้นทุนซึ่งก็คือผลจากการทำหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิผลอยู่บ้าง ด้วยเหตุนั้นจึงเฉื่อยชาและเลิกไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะมีอันตรายเวลาเผชิญบททดสอบและความทุกข์ร้อน ถ้าผู้คนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะไม่สามารถตั้งมั่นได้ บ้างก็บอกว่า “ถ้าใครได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีตำแหน่ง ต่อให้พวกเขาไม่ใช่หนึ่งในบรรดาบุตรหัวปี อย่างน้อยพวกเขาก็มีความหวังที่จะกลายเป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้า ฉันไม่เคยได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะเลย ดังนั้นฉันย่อมไม่มีความหวังที่จะกลายเป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?” การคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง การที่จะได้เป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้านั้น เจ้าต้องมีประสบการณ์ชีวิต และต้องเป็นคนที่นบนอบพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำ คนทำงาน หรือผู้ติดตามทั่วไปก็ตาม ทุกคนที่มีความเป็นจริงความจริงย่อมเป็นประชากรคนหนึ่งของพระเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงความจริง เจ้าก็เป็นคนออกแรงทำงานอยู่ดี อันที่จริง ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะไม่มีความพิเศษใดๆ เลย สิ่งเดียวที่แตกต่างจากคนอื่นๆ คือการมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยกว่า มีโอกาสที่เอื้ออำนวยกว่า และมีเงื่อนไขที่ดีกว่าในการทำงานที่เฉพาะเจาะจงซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง แม้ว่างานส่วนใหญ่ที่เจ้าทำจะเกี่ยวข้องกับวิชาชีพเฉพาะอย่าง แต่หากไม่มีหลักธรรมความจริงมากำกับและตรวจสอบ เช่นนั้นแล้วหน้าที่ที่เจ้าทำก็จะไม่สอดคล้องกับหลักธรรม และจะกลายเป็นเพียงการลงแรงเท่านั้น และเจ้าจะไม่ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าอย่างแน่นอน ข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าต่อคนมีความสามารถประเภทต่างๆ ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะคืออะไร? เพื่อที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องเป็นคนที่มีมโนธรรมและมีเหตุผล เป็นผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ เป็นผู้ที่จงรักภักดีในการทำหน้าที่ และเป็นผู้ที่สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ และอย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องสามารถยอมรับและนบนอบได้เมื่อเผชิญการถูกตัดแต่ง ผลลัพธ์ที่ต้องบรรลุโดยผู้คนที่ผ่านการบ่มเพาะและฝึกฝนจากพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ใช่ว่าพวกเขาสามารถเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้านาย หรือเป็นผู้นำฝูงได้ และไม่ใช่ว่าพวกเขาสามารถให้คำปรึกษาแก่ผู้คนเกี่ยวกับแนวความคิดของพวกเขาได้ และแน่นอนว่ายิ่งไม่ใช่ว่าพวกเขามีทักษะทางวิชาชีพที่ดีขึ้นหรือมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น หรือมีชื่อเสียงมากขึ้น หรือว่าพวกเขาสามารถถูกกล่าวถึงในระดับเดียวกับผู้ที่มีชื่อเสียงในโลกในด้านทักษะทางวิชาชีพหรือความสำเร็จทางการเมืองได้ แต่ผลลัพธ์ที่ต้องบรรลุคือการที่พวกเขาเข้าใจความจริงและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และการที่พวกเขาเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ขณะที่พวกเขาฝึกฝน พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและจับหลักธรรมความจริงได้ และรู้จักดียิ่งขึ้นว่าความเชื่อในพระเจ้าคืออะไรและจะติดตามพระเจ้าได้อย่างไร—นี่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงในการบรรลุความเพียบพร้อม นี่คือผลลัพธ์และมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้าปรารถนาที่จะบรรลุในการส่งเสริมและบ่มเพาะคนมีความสามารถทุกประเภท และยังเป็นการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและใช้งานด้วย
บางคนทำหน้าที่ของตนอย่างมีความรับผิดชอบค่อนข้างมากและได้รับการเห็นชอบจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการบ่มเพาะโดยคริสตจักรให้กลายเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หลังจากที่ได้รับสถานะแล้ว พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนโดดเด่นกว่าคนหมู่มากและคิดว่า “เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงเลือกฉัน? มิใช่เพราะฉันดีกว่าพวกเธอทุกคนหรอกหรือ?” นี่ฟังดูเหมือนสิ่งที่เด็กจะพูดมิใช่หรือ? มันช่างไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ น่าหัวร่อ และไร้เดียงสา อันที่จริง เจ้าไม่ได้ดีกว่าคนอื่นๆ แม้เพียงเล็กน้อย นี่เป็นเพียงแค่ว่าเจ้ามีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ ปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ดี หรือทำให้การมอบหมายนี้สำเร็จลงได้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อใครบางคนได้รับเลือกจากพี่น้องชายหญิงให้เป็นผู้นำ หรือได้รับการส่งเสริมโดยพระนิเวศของพระเจ้าให้ทำงานบางชิ้นหรือปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีสถานะหรือตำแหน่งพิเศษ หรือว่าความจริงทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจนั้นลึกซึ้งกว่าและมีจำนวนมากกว่าความจริงทั้งหลายของผู้คนอื่นๆ—นับประสาอะไรที่จะหมายความว่าบุคคลนี้สามารถนบนอบพระเจ้าและจะไม่ทรยศพระองค์ แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความเช่นกันว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าและเป็นใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้า ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขายังไม่ได้บรรลุสิ่งใดที่กล่าวมานี้เลย การส่งเสริมและการบ่มเพาะก็เป็นเพียงแค่การส่งเสริมและการบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมา และไม่ได้เทียบเท่ากับว่าพวกเขาได้รับการลิขิตไว้ล่วงหน้าและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าแล้ว การส่งเสริมและการบ่มเพาะของพวกเขาแค่หมายความว่าพวกเขาได้รับการส่งเสริมแล้ว และรอการบ่มเพาะอยู่ และจุดจบสุดท้ายของการบ่มเพาะนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลผู้นี้ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และสามารถเลือกเส้นทางที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ เมื่อใครบางคนในคริสตจักรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็แค่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะในความหมายที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้มาตรฐานและมีความสามารถในฐานะผู้นำ ว่าพวกเขาสามารถเข้ารับภาระหน้าที่ของงานตำแหน่งผู้นำได้แล้ว และสามารถทำงานได้จริง—นั่นไม่ใช่กรณีเช่นนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และพวกเขาก็ยกย่องคนที่ได้รับการส่งเสริมไปตามความคิดฝันของตน นี่คือความผิดพลาด ไม่ว่าจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมเหล่านั้นมีความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่? ไม่จำเป็น พวกเขาสามารถทำตามการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าให้เกิดผลได้หรือไม่? ไม่จำเป็น พวกเขามีสำนึกรับผิดชอบหรือไม่? พวกเขาจงรักภักดีหรือไม่? พวกเขาสามารถนบนอบหรือไม่? เวลาเผชิญปัญหา พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงหรือไม่? ไม่มีผู้ใดรู้ทั้งหมดนี้ ผู้คนเหล่านี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? แล้วหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของพวกเขายิ่งใหญ่เพียงใดกันแน่? เวลาทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาหลีกเลี่ยงการทำตามเจตจำนงของตนเองได้หรือไม่? พวกเขาสามารถแสวงหาพระเจ้าหรือไม่? ระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติงานตำแหน่งผู้นำ พวกเขาสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ เพื่อแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาสามารถนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงหรือไม่? แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถทำเรื่องดังกล่าวได้ พวกเขายังไม่ได้รับการฝึกฝนและพวกเขายังไม่มีประสบการณ์มากพอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือสาเหตุที่การส่งเสริมและบ่มเพาะใครบางคนไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงแล้ว อีกทั้งไม่ใช่การกล่าวว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่ของตนในแบบที่ได้มาตรฐานแล้ว ดังนั้น จุดมุ่งหมายและนัยสำคัญของการส่งเสริมและการบ่มเพาะใครบางคนคือสิ่งใด? นั่นก็คือ คนคนนี้ได้รับการส่งเสริมในฐานะปัจเจกบุคคลเพื่อให้พวกเขาปฏิบัติ และเพื่อให้พวกเขาได้รับการให้น้ำและการฝึกฝนเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริง และหลักธรรม วิถีทาง และวิธีการในการทำสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกันและแก้ไขปัญหานานา ตลอดจนวิธีจัดการรับมือสภาพแวดล้อมและผู้คนนานาชนิดที่พวกเขาพบพานโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และในหนทางที่อารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อตัดสินบนพื้นฐานของประเด็นเหล่านี้ ผู้คนที่มีความสามารถพิเศษซึ่งได้รับการส่งเสริมและการบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า สามารถพอที่จะเข้ารับภาระงานของตนและทำหน้าที่ของตนให้ดีได้ในระหว่างช่วงเวลาของการส่งเสริมและการบ่มเพาะ หรือก่อนการส่งเสริมและการบ่มเพาะ? แน่นอนว่าไม่ ด้วยเหตุนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนเหล่านี้จะได้รับประสบการณ์กับการตัดแต่ง การพิพากษาและการตีสอน การเปิดโปง และแม้กระทั่งการถูกปลดในระหว่างช่วงเวลาของการบ่มเพาะ การนี้เป็นปกติ นี่คือการฝึกฝนและการบ่มเพาะ ผู้คนต้องไม่มีความคาดหวังที่สูงหรือข้อเรียกร้องที่เกินความจริงใดๆ ต่อบรรดาผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและการบ่มเพาะ นั่นย่อมจะไม่สมเหตุสมผล และไม่เป็นธรรมต่อพวกเขา พวกเจ้าสามารถกำกับดูแลงานของพวกเขา หากพวกเจ้าพบเจอปัญหาหรือสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมในครรลองแห่งการทำงานของพวกเขา เจ้าก็สามารถหยิบยกประเด็นปัญหานั้นมาแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้ สิ่งที่พวกเจ้าไม่ควรทำคือตัดสิน กล่าวโทษ โจมตี หรือกีดกันพวกเขาออกไป เพราะพวกเขาเพิ่งจะยังอยู่ในช่วงเวลาของการบ่มเพาะ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นผู้คนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว นับประสาอะไรที่จะเป็นผู้คนที่สมบูรณ์แบบ หรือผู้คนที่ครองความเป็นจริงความจริง พวกเขาเพียงแค่อยู่ในช่วงเวลาของการฝึกฝนเหมือนกับพวกเจ้า ความแตกต่างก็คือ พวกเขาเข้ารับการงานและความรับผิดชอบที่มากกว่าผู้คนธรรมดา พวกเขามีความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่จะทำงานมากขึ้น พวกเขาต้องจ่ายราคาที่มากขึ้น ทนทุกข์กับความยากลำบากมากขึ้น ทุ่มเทแรงใจมากขึ้น แก้ไขปัญหามากขึ้น ทนยอมรับการว่ากล่าวจากผู้คนจำนวนมากขึ้น และแน่นอนว่าพวกเขาต้องใช้ความมานะพยายามมากขึ้นด้วย และเมื่อเทียบกับคนธรรมดาที่ทำหน้าที่ของตน—พวกเขาต้องนอนน้อยกว่าผู้คนปกติเล็กน้อย สำราญกับสิ่งดีๆ น้อยกว่าผู้คนปกติเล็กน้อย และไม่เข้าร่วมในการนินทามากนัก นี่คือสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับพวกเขา นอกไปจากนี้แล้ว พวกเขาก็เป็นอย่างเดียวกับใครคนอื่น เราพูดเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด? เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาต้องมีท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้คนที่มีความสามารถพิเศษนานาประเภทที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ข้อเรียกร้องที่พวกเขามีต่อผู้คนเหล่านี้ต้องไม่แข็งกร้าว และแน่นอนว่าความคิดเห็นที่พวกเขามีต่อผู้คนเหล่านี้ต้องไม่หลุดจากความเป็นจริงเช่นกัน การเลื่อมใสและยกย่องพวกเขาเกินควรย่อมเบาปัญญา การมีข้อเรียกร้องที่เกรี้ยวกราดกับพวกเขาเกินไปก็ไร้มนุษยธรรมและไม่อยู่กับความเป็นจริง ดังนั้น วิธีปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีเหตุผลที่สุดย่อมเป็นเช่นใด? คือการมองพวกเขาในฐานะคนธรรมดา สามัคคีธรรมกับพวกเขา เรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกัน และเติมเต็มกันและกันเมื่อเจ้าจำเป็นต้องแสวงหาใครสักคนเพื่อถามปัญหา นอกจากนี้ยังเป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่จะต้องกำกับดูแลผู้นำและคนทำงานเพื่อดูว่าพวกเขากำลังทำงานจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถใช้ความจริงแก้ปัญหาได้หรือไม่ เหล่านี้คือมาตรฐานและหลักธรรมสำหรับประเมินวัดว่าผู้นำหรือคนทำงานได้มาตรฐานหรือไม่ หากผู้นำหรือคนทำงานสามารถจัดการและแก้ปัญหาทั่วไปได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีความสามารถพอ แต่หากพวกเขาไม่สามารถรับมือและแก้ไขปัญหาธรรมดาได้ พวกเขาก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และต้องถูกปลดจากตำแหน่งของพวกเขาโดยเร็ว ต้องมีการเลือกคนอื่น และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องไม่ล่าช้า การทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าเป็นการทำร้ายตนเองและผู้อื่น นั่นไม่เป็นการดีสำหรับผู้ใดเลย
บางคนได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากคริสตจักร ได้รับโอกาสอันดีที่จะฝึกฝน นี่เป็นสิ่งที่ดีงาม อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับการยกชูและได้รับพระคุณจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาควรทำหน้าที่ของตนอย่างไรต่อจากนั้น? หลักธรรมข้อแรกที่พวกเขาควรปฏิบัติตามก็คือการทำความเข้าใจความจริง—เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาก็ต้องแสวงหาความจริง และหลังจากแสวงหาด้วยตนเองแล้ว ถ้าพวกเขายังคงไม่เข้าใจ พวกเขาก็สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงมาสามัคคีธรรมและแสวงหาด้วย ซึ่งจะทำให้แก้ปัญหาได้เร็วขึ้นและทันเวลามากขึ้น ถ้าเจ้ามุ่งแต่จะใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเองให้มากขึ้น และใช้เวลาใคร่ครวญพระวจนะเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อที่จะสัมฤทธิ์การเข้าใจความจริงและแก้ปัญหา นี่ย่อมช้าเกินไป ดังคำกล่าวที่ว่า “การรักษาที่เชื่องช้าแก้ไขความจำเป็นเร่งด่วนไม่ได้” เมื่อเป็นเรื่องของความจริง หากเจ้าอยากก้าวหน้าโดยเร็ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องเรียนรู้ว่าจะร่วมมือกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียวได้อย่างไร จะตั้งคำถามให้มากขึ้นได้อย่างไร และต้องแสวงหาให้มากขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นชีวิตของเจ้าจึงจะเติบโตอย่างรวดเร็ว และเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที โดยไม่มีการประวิงเวลาในด้านใดด้านหนึ่ง เนื่องจากเจ้าเพิ่งได้รับการส่งเสริมและยังอยู่ในช่วงเวลาของการทดสอบ ไม่เข้าใจความจริงหรือมีความเป็นจริงความจริงอย่างแท้จริง—เนื่องจากเจ้ายังขาดวุฒิภาวะเช่นนี้—จงอย่าคิดว่าการเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริงแล้ว ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย นี่เป็นเพียงเพราะเจ้าสำนึกในภาระที่เจ้ามีต่องานและมีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำ เจ้าจึงถูกเลือกให้ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ เจ้าควรมีเหตุผลตามนี้ หากหลังจากได้รับการส่งเสริมและได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว เจ้าก็เริ่มแสดงท่าทีตามสถานะของตน และเชื่อว่าตนเป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเป็นจริงความจริงอยู่กับตัว—และหากไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะมีปัญหาใด เจ้าก็แสร้งทำเป็นว่าตนเข้าใจและเป็นคนฝ่ายวิญญาณ—การกระทำเช่นนี้ก็โง่เขลายิ่งนัก และเป็นการกระทำที่ไม่ต่างจากพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด เจ้าต้องพูดและกระทำการตามตรง เมื่อไม่เข้าใจ ก็สามารถถามผู้อื่นหรือแสวงหาสามัคคีธรรมจากเบื้องบนได้—เรื่องเหล่านี้ไม่มีอะไรน่าละอายเลย ต่อให้เจ้าไม่ถาม เบื้องบนก็ยังคงรู้ถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า และย่อมรู้ว่าเจ้าปราศจากความเป็นจริงความจริง การแสวงหาและการสามัคคีธรรมคือสิ่งที่เจ้าพึงกระทำ นี่คือสำนึกที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติพึงมี และเป็นหลักธรรมที่ผู้นำและคนทำงานต้องยึดถือปฏิบัติ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย หากเจ้าคิดว่าเมื่อได้เป็นผู้นำแล้ว การไม่เข้าใจหลักธรรม หรือการต้องคอยถามคนอื่นหรือเบื้องบนอยู่เสมอนั้นน่าอับอาย และกลัวว่าคนอื่นจะดูถูกเอา แล้วเจ้าก็เลยวางท่า แสร้งทำเป็นว่าตนเข้าใจทุกอย่าง รู้ทุกอย่าง มีความสามารถในการทำงาน สามารถปฏิบัติงานคริสตจักรได้ทุกอย่าง และไม่ต้องการให้ใครมาเตือนหรือสามัคคีธรรมด้วย หรือให้ใครมาจัดเตรียมให้หรือเกื้อหนุน การกระทำเช่นนั้นย่อมอันตราย และเจ้าก็โอหังและคิดว่าตนเองถูกเกินไป ทั้งยังไร้ซึ่งเหตุผลอย่างยิ่ง ไม่รู้จักประมาณตนแม้แต่น้อย—นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นคนเลอะเลือนหรอกหรือ? อันที่จริงแล้ว คนเช่นนี้ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะถูกปลดและกำจัดออกไป ดังนั้น ผู้นำหรือคนทำงานทุกคนที่เพิ่งได้รับการส่งเสริมควรชัดเจนว่าตนไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาควรมีความตระหนักรู้ในตนเองเช่นนี้ การที่ตอนนี้เจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงานไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงแต่งตั้งเจ้า แต่เป็นเพราะเจ้าได้รับการส่งเสริมจากผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ หรือได้รับการเลือกตั้งจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริงความจริงและวุฒิภาวะที่แท้จริง เมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ เจ้าก็จะมีเหตุผลอยู่บ้าง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ผู้นำและคนทำงานต้องมี ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ถ้าเช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าควรทำงานอย่างไรกันแน่? พวกเจ้าควรนำการประสานงานที่สอดคล้องต้องกันมาปฏิบัติอย่างไร? พวกเจ้าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเมื่อใดก็ตามที่ประสบกับปัญหาเหล่านั้นอย่างไร? เรื่องเหล่านี้ต้องทำความเข้าใจให้ได้ หากมีการเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมา ก็จงรีบแสวงหาความจริงและแก้ไขโดยเร็วที่สุด หากไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันเวลาและส่งผลกระทบต่องานของเจ้า นี่ก็คือปัญหา หากเจ้าไม่คุ้นเคยกับวิชาชีพหนึ่ง เจ้าก็ควรเรียนรู้โดยไม่ชักช้าเช่นกัน เพราะหน้าที่บางอย่างเกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิชาชีพ หากเจ้าเข้าใจแต่ความจริงโดยไม่เข้าใจความรู้ทางวิชาชีพใดๆ เลย การทำงานของเจ้าก็จะส่งผลกระทบต่อผลของงานด้วยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องเข้าใจและรอบรู้ความรู้พื้นฐานทางวิชาชีพบ้าง เพื่อที่เจ้าจะสามารถติดตามและชี้นำงานของผู้คนได้อย่างมีประสิทธิผล หากเจ้าเชี่ยวชาญเฉพาะในวิชาชีพแต่ไม่เข้าใจความจริง การทำงานของเจ้าก็จะมีข้อบกพร่องเช่นเดียวกัน ดังนั้นเจ้าจึงจำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงและประสานงานกับผู้ที่เข้าใจความจริงเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควร เพียงเพราะเจ้ามีความเชี่ยวชาญในทักษะทางวิชาชีพหรือความรู้ในสาขาใดสาขาหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้ ดังนั้นการแสวงหาสามัคคีธรรมกับผู้ที่เข้าใจความจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น—นี่คือหลักธรรมที่พวกเจ้าควรยึดถือปฏิบัติ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม จงอย่าแสร้งทำเป็นอันขาด เจ้าอยู่ในช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนและบ่มเพาะ และเจ้าก็มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ทั้งยังไม่เข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย จงบอกเราทีว่า พระเจ้าทรงรู้เรื่องเหล่านี้หรือไม่? (รู้) ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่ดูโง่เขลาหรอกหรือถ้าเจ้าแสร้งทำ? พวกเจ้าอยากเป็นคนโง่เขลาหรือไม่? (ไม่ ไม่อยาก) ถ้าพวกเจ้าไม่อยากเป็นคนโง่เขลา เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าควรเป็นคนแบบใด? จงเป็นคนที่มีเหตุผล เป็นคนที่สามารถแสวงหาความจริงอย่างถ่อมใจและสามารถยอมรับความจริงได้ จงอย่าแสร้งทำ จงอย่าเป็นพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียงความรู้ทางวิชาชีพบางอย่างเท่านั้น ไม่ใช่หลักธรรมความจริง เจ้าต้องหาวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทางวิชาชีพของเจ้าอย่างเหมาะสม และนำความรู้และการเรียนรู้ที่เจ้าได้มาไปใช้บนพื้นฐานของการเข้าใจหลักธรรมความจริง นี่ไม่ใช่หลักธรรมหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เส้นทางแห่งการปฏิบัติหรอกหรือ? เมื่อเจ้าเรียนรู้ที่จะทำเช่นนี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางให้เดินตาม และเจ้าจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม จงอย่าดื้อรั้น และจงอย่าแสร้งทำ การดื้อรั้นและการแสร้งทำไม่ใช่วิธีการกระทำที่มีเหตุผล แต่กลับเป็นการกระทำที่โง่เขลาที่สุด ผู้คนที่ดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนคือคนที่โง่เขลาที่สุด มีเพียงผู้ที่แสวงหาความจริงและจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมความจริงเท่านั้นที่เป็นคนที่ฉลาดที่สุด
โดยผ่านสามัคคีธรรมนี้ ตอนนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษทุกประเภทโดยพระนิเวศของพระเจ้าแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) เมื่อมีมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้อย่างถูกต้องได้หรือไม่? พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อจุดแข็งของพวกเขา ตลอดจนข้อบกพร่องและความขาดตกบกพร่องที่พวกเขามีในด้านความเป็นมนุษย์ งาน วิชาชีพ และแง่มุมอื่นๆ อีกหลากหลายอย่างถูกต้อง—ทั้งหมดนี้ต้องได้รับการปฏิบัติต่ออย่างถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือผู้ที่มีความสามารถพิเศษในวิชาชีพต่างๆ พวกเจ้าทุกคนก็ล้วนเป็นคนธรรมดา เป็นผู้ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และไม่มีผู้ใดในพวกเจ้าที่เข้าใจความจริง ดังนั้น จึงไม่ควรมีผู้ใดในพวกเจ้าที่อำพรางตนหรือซ่อนเร้นตนเอง แต่ควรเรียนรู้ที่จะเปิดใจในการสามัคคีธรรม หากไม่เข้าใจ ก็จงยอมรับว่าไม่เข้าใจ หากทำบางสิ่งไม่เป็น ก็จงยอมรับว่าทำไม่เป็น ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือความยุ่งยากใดเกิดขึ้น ทุกคนควรสามัคคีธรรมและแสวงหาความจริงร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไข ต่อเบื้องหน้าความจริง ทุกคนก็เปรียบเสมือนทารก เป็นผู้ที่ยากจนข้นแค้นและน่าสมเพช และไม่มีอะไรเลยโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ผู้คนต้องทำคือการนบนอบเบื้องหน้าความจริง มีหัวใจที่ถ่อมและปรารถนาที่จะแสวงหาและยอมรับความจริง แล้วจึงปฏิบัติความจริงและบรรลุการนบนอบพระเจ้า โดยการทำเช่นนี้ ผู้คนจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของพระวจนะของพระเจ้าได้ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนและในชีวิตจริงของพวกเขา ต่อหน้าความจริง ทุกคนย่อมเสมอภาค ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะไม่ได้เก่งกว่าผู้อื่นมากนัก ทุกคนมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ผู้ที่ไม่ได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะก็ควรไล่ตามเสาะหาความจริงขณะทำหน้าที่ของตนเช่นกัน ไม่มีผู้ใดอาจตัดสิทธิ์ของผู้อื่นในการไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้คนบางคนกระตือรือร้นในการไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่า และมีขีดความสามารถอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ นี่เป็นไปตามความจำเป็นของงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงมีหลักปฏิบัติเช่นนั้นในการส่งเสริมและใช้ผู้คน? เนื่องจากมีความแตกต่างกันในขีดความสามารถและคุณลักษณะของผู้คน แต่ละคนจึงเลือกเส้นทางที่แตกต่าง การนี้ย่อมนำไปสู่จุดจบที่แตกต่างในความเชื่อที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า ผู้ที่แสวงหาความจริงย่อมได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นประชากรแห่งราชอาณาจักร ส่วนผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงแต่ประการใด ไม่จงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตน ย่อมถูกกำจัดออกไป พระนิเวศของพระเจ้าบ่มเพาะและใช้ผู้คนโดยดูว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ และพวกเขาจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนหรือไม่ มีความแตกต่างในลำดับชั้นของผู้คนที่หลากหลายในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? ในเวลานี้ยังไม่มีลำดับชั้นในเรื่องของตำแหน่ง คุณค่า สถานะ หรือตำแหน่งของผู้คนที่หลากหลายนั้น อย่างน้อยก็ไม่มีความแตกต่างระหว่างลำดับขั้น ตำแหน่ง คุณค่า หรือสถานะของผู้คนที่หลากหลายในระหว่างช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดและนำพวกเขา สิ่งที่แตกต่างมีแต่เพียงการแบ่งงานและบทบาทหน้าที่ที่ปฏิบัติกันเท่านั้น แน่นอนว่าในระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้คนบางคนได้รับการยกเว้นให้ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะให้ทำงานที่พิเศษบางอย่าง ขณะที่ผู้คนบางคนไม่ได้รับโอกาสเช่นนั้นเนื่องจากเหตุผลต่างๆ อาทิ ปัญหาเกี่ยวกับขีดความสามารถหรือสภาพแวดล้อมในครอบครัวของพวกเขา แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงช่วยผู้ที่ไม่ได้รับโอกาสเช่นนั้นให้รอดกระนั้นหรือ? หาเป็นเช่นนั้นไม่ คุณค่าและตำแหน่งของพวกเขาต่ำกว่าผู้อื่นหรือ? ไม่เลย ต่อหน้าความจริง ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนมีโอกาสไล่ตามเสาะหาและได้รับความจริง และพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรมและสมเหตุสมผล เมื่อใดเล่าที่จะมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดในตำแหน่ง คุณค่า และสถานะของผู้คน? ก็ต่อเมื่อผู้คนมาถึงปลายทางของตน และพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง และในที่สุดก็มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับท่าทีและมุมมองที่แต่ละคนได้แสดงออกในกระบวนการไล่ตามเสาะหาความรอดและขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน ตลอดจนการสำแดงและท่าทีต่างๆ ที่พวกเขามีต่อพระเจ้า—นั่นคือ เมื่อมีบันทึกที่สมบูรณ์ในสมุดบันทึกของพระเจ้า—ในเวลานั้น เนื่องจากจุดจบและบั้นปลายของผู้คนจะแตกต่างกันไป จึงจะมีความแตกต่างในคุณค่า ตำแหน่ง และสถานะของพวกเขาด้วย เมื่อนั้นเท่านั้นที่สิ่งทั้งหมดเหล่านี้จะสามารถถูกมองเห็นและยืนยันได้อย่างคร่าวๆ ในขณะที่ตอนนี้ทุกคนยังเหมือนกันอยู่ พวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่? พวกเจ้าตั้งตารอวันนั้นหรือไม่? พวกเจ้าทั้งตั้งตารอและหวาดกลัวในเวลาเดียวกันใช่หรือไม่? สิ่งที่พวกเจ้าตั้งตารอก็คือในวันนั้น ในที่สุดก็จะมีผลลัพธ์ และในที่สุดพวกเจ้าก็ได้มาถึงวันนั้นแม้จะมีความยุ่งยากทั้งปวง และสิ่งที่พวกเจ้าหวาดกลัวก็คือพวกเจ้าจะไม่ได้เดินบนเส้นทางอย่างถูกควร และจะล้มลงกลางทางและล้มเหลว และจุดจบสุดท้ายจะไม่เป็นที่น่าพอใจ เลวร้ายกว่าที่พวกเจ้าจินตนาการและคาดหวัง—นั่นจะน่าเศร้า น่าเจ็บปวด และน่าผิดหวังเพียงใด! อย่าคิดไปไกลขนาดนั้น การคิดไปไกลขนาดนั้นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง จงมองดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าก่อน จงเดินบนเส้นทางใต้เท้าของเจ้าอย่างถูกควร จงทำงานในมือให้ดี และจงลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบที่พระเจ้าได้ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งและสำคัญที่สุด จงเข้าใจความจริงและหลักธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าที่ควรจะเข้าใจในตอนนี้ และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นจนกว่าจะกระจ่างแจ้ง—เพื่อให้เจ้าได้คิดใคร่ครวญในใจ และรู้ได้อย่างชัดเจนและถูกต้องแม่นยำว่าหลักธรรมในทุกสิ่งที่เจ้าทำคืออะไร—และจงทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่ละเมิดหลักธรรม หรือเบี่ยงเบนไปจากหลักธรรม หรือก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน หรือทำสิ่งใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าสู่ในตอนนี้ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องพูดถึงสิ่งใดที่อยู่ไกลออกไป และก็ไม่จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องถามหรือคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเช่นกัน การคิดไปไกลขนาดนั้นไร้ประโยชน์—นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรคิด บางคนอาจถามว่า “ทำไมพวกเราไม่ควรคิดถึงเรื่องนั้นล่ะ? ตอนนี้สถานการณ์ความวิบัติใหญ่หลวงขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่เวลาที่พวกเราควรคิดถึงเรื่องเช่นนั้นหรอกหรือ?” ถึงเวลาแล้วหรือ? การที่ความวิบัติใหญ่หลวงนั้นส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ความจริงของเจ้าหรือไม่? (ไม่ ไม่ส่งผลกระทบ) สถานการณ์ความวิบัติใหญ่หลวงขนาดนี้ แต่เมื่อใดกันที่เราเคยจัดชุมนุมหรือเทศนาโดยเฉพาะเกี่ยวกับความวิบัติ? เราไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องความวิบัติ เราเพียงแต่พูดถึงความจริงอยู่เสมอ เพื่อให้พวกเจ้าสามารถเข้าใจความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจวิธีทำหน้าที่ของตนให้ดีและวิธีเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ทุกวันนี้ บางคนไม่แม้แต่จะเข้าใจว่าความเป็นจริงความจริงคืออะไรและคำสอนคืออะไร พวกเขาก็แค่พูดพล่ามคำพูดและคำสอนเดิมๆ ไม่กี่คำและพูดจาไร้สาระทุกวัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว เราเป็นห่วงพวกเขา แต่พวกเขาไม่เป็นห่วงตัวเอง พวกเขายังคงคิดถึงเรื่องไกลตัวเหล่านั้นในอนาคต—การคิดถึงเรื่องเหล่านั้นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง
จุดมุ่งหมายของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษทุกประเภทไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นคนที่กระตือรือร้น และไม่ใช่เพื่อวางแผนให้พวกเขาเป็นเสาหลักสักอย่างหนึ่งในอนาคต แต่เพื่อให้บางคนที่เมื่อเทียบกันแล้ว ไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่าและมีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ มีโอกาสที่จะได้ฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและภายใต้เงื่อนไขที่เอื้ออำนวยมากกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนควรบรรลุโดยการเชื่อในพระเจ้าหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนควรได้รับโดยการเชื่อในพระเจ้าหรอกหรือ? เพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง สิ่งสำคัญที่พวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาในตอนนี้คืออะไร? พวกเจ้ามีแผนการหรือขั้นตอนในการทำเช่นนั้นหรือไม่? เราจะบอกเคล็ดลับที่เรียบง่าย ง่ายดาย และรวดเร็วให้พวกเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือ การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือการปฏิบัติความจริงนั่นเอง เพื่อที่จะปฏิบัติความจริง จำเป็นต้องจัดการกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนเราเสียก่อน จุดเริ่มต้นที่รวดเร็วที่สุดในการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนเราคืออะไร? สำหรับพวกเจ้าแล้ว วิธีที่เรียบง่าย รวดเร็ว และไม่ยุ่งยากที่สุดคือการแก้ไขปัญหาการทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินเสียก่อน โดยแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าไปทีละขั้นตอน พวกเจ้าอาจต้องใช้เวลานานเท่าใดในการแก้ไขปัญหานี้? พวกเจ้ามีแผนการหรือไม่? คนส่วนใหญ่ไม่มีแผนการ พวกเขาเพียงแต่คิดคำนวณอยู่ในใจ โดยไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมืออย่างเป็นทางการเมื่อใด แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าตนทำอย่างสุกเอาเผากิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ลงมือแก้ไขและไม่มีทางแก้ไขที่เจาะจงใดๆ การเกียจคร้านในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา และไม่พิถีพิถัน และไม่รับผิดชอบ และไม่ใส่ใจอย่างจริงจัง—ทั้งหมดนี้คือการสำแดงของการทำอย่างสุกเอาเผากิน ขั้นตอนแรกคือการแก้ไขปัญหาการทำอย่างสุกเอาเผากิน ขั้นตอนที่สองคือการแก้ไขปัญหาการกระทำตามเจตจำนงของตนเอง ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น การพูดไม่ซื่อสัตย์เป็นครั้งคราว หรือการเผยอุปนิสัยที่หลอกลวงหรือโอหัง ก็อย่าเพิ่งไปใส่ใจกับเรื่องเหล่านั้นในตอนนี้ การจัดการกับการทำอย่างสุกเอาเผากินและการกระทำตามเจตจำนงของตนเองเสียก่อนนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีประสิทธิผลมากกว่ามิใช่หรือ? ปัญหาทั้งสองนี้ไม่ใช่ปัญหาที่สังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดหรอกหรือ? ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไขได้ง่ายหรอกหรือ? (ใช่) เจ้ารู้ตัวหรือไม่เมื่อเจ้ากำลังทำอย่างสุกเอาเผากิน? เจ้ารู้ตัวหรือไม่เมื่อเจ้ากำลังคิดที่จะเกียจคร้าน? เจ้ารู้ตัวหรือไม่เมื่อเจ้ากำลังคิดที่จะเล่นเล่ห์เหลี่ยมหรือเจ้าเล่ห์และรับใช้ตนเองผ่านเล่ห์เหลี่ยม? (รู้) ถ้ารู้ตัว ก็แก้ไขได้ง่าย จงเริ่มด้วยการแก้ไขปัญหาที่เจ้าสามารถตรวจจับได้ง่ายและที่เจ้ารู้ตัวอยู่ภายในใจ การทำหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินเป็นปัญหาที่ชัดเจนและพบได้บ่อยมาก แต่ก็เป็นปัญหาที่รับมือยากซึ่งแก้ไขได้ยากจริงๆ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ คนเราต้องเรียนรู้ที่จะมีมโนธรรม เข้มงวด พิถีพิถัน และรับผิดชอบ และทำอย่างมั่นคง นั่นคือโดยการก้าวไปทีละก้าว คนเราต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี จนกว่าจะพอใจกับวิธีที่ตนได้ปฏิบัติ หากคนเราไม่เข้าใจความจริง พวกเขาควรแสวงหาหลักธรรม และกระทำตามหลักธรรมและตามข้อกำหนดของพระเจ้า พวกเขาควรเต็มใจใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้ดี และไม่เคยทำอย่างสุกเอาเผากินเลย โดยการปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้น คนเราจึงจะรู้สึกสงบในใจได้ โดยที่มโนธรรมของตนไม่ตำหนิ การทำอย่างสุกเอาเผากินแก้ไขได้ง่ายหรือไม่? ตราบใดที่เจ้ามีมโนธรรมและเหตุผล เจ้าก็สามารถแก้ไขได้ ก่อนอื่น เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังเริ่มทำหน้าที่ของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์ทำอย่างสุกเอาเผากิน ข้าพระองค์ทูลขอให้พระองค์ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์และตำหนิข้าพระองค์ในใจ ข้าพระองค์ทูลขอให้พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ให้ทำหน้าที่ให้ดีและไม่ทำอย่างสุกเอาเผากินด้วย” จงปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันและดูว่าจะใช้เวลานานเท่าใดกว่าปัญหาการทำอย่างสุกเอาเผากินของเจ้าจะได้รับการแก้ไข กว่าสภาวะการทำอย่างสุกเอาเผากินของเจ้าจะลดน้อยลง กว่าสิ่งเจือปนในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจะน้อยลง และกว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงของเจ้าจะดีขึ้นและประสิทธิภาพของเจ้าจะเพิ่มขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า การปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ทำอย่างสุกเอาเผากิน—นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้โดยอาศัยตนเองหรือไม่? เมื่อเจ้ากำลังทำอย่างสุกเอาเผากิน เจ้าสามารถควบคุมมันได้หรือไม่? (ไม่ใช่เรื่องง่าย) ถ้าเช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว หากเจ้าควบคุมสิ่งนี้ได้ยากจริงๆ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็มีปัญหาใหญ่หลวงแล้ว! แล้วมีสิ่งใดบ้างที่พวกเจ้าสามารถทำได้โดยไม่ทำอย่างสุกเอาเผากิน? บางคนพิถีพิถันเรื่องการกินมาก หากมื้ออาหารไม่ถูกปาก พวกเขาก็จะอารมณ์ไม่ดีไปทั้งวัน ผู้หญิงบางคนชอบแต่งตัวและแต่งหน้า ไม่ยอมให้เส้นผมแม้แต่เส้นเดียวหลุดรอดสายตาไปได้ บางคนเก่งเรื่องการทำธุรกิจ พวกเขาคำนวณอย่างรอบคอบทุกบาททุกสตางค์ หากพวกเจ้ากระทำด้วยท่าทีที่มีมโนธรรมเช่นนี้ พวกเจ้าก็สามารถหลีกเลี่ยงการทำอย่างสุกเอาเผากินได้ ก่อนอื่น จงแก้ไขปัญหาการทำอย่างสุกเอาเผากิน แล้วจึงแก้ไขปัญหาการกระทำตามเจตจำนงของตนเอง การกระทำตามเจตจำนงของตนเองเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้คนสามารถตรวจจับได้ง่ายในตนเอง ด้วยการทบทวนตนเองเล็กน้อย คนเราจะสามารถตระหนักได้ว่าตนกระทำตามเจตจำนงของตนเอง ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง ปัญหาที่ผู้คนสามารถตระหนักได้นั้นแก้ไขได้ง่าย จงตั้งใจแก้ไขปัญหาทั้งสองนี้ก่อน หนึ่งคือปัญหาการทำอย่างสุกเอาเผากิน และอีกหนึ่งคือการกระทำตามเจตจำนงของตนเอง จงมุ่งมั่นภายในหนึ่งหรือสองปีที่จะบรรลุผลลัพธ์ ที่จะไม่ทำอย่างสุกเอาเผากิน หรือกระทำตามเจตจำนงของตนเอง หรือมีสิ่งเจือปนจากเจตจำนงของตนในทุกสิ่งที่พวกเจ้าทำ เมื่อปัญหาทั้งสองนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว พวกเจ้าก็จะไม่ห่างไกลจากการปฏิบัติหน้าที่ให้ได้มาตรฐาน และหากพวกเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ยังห่างไกลจากการนบนอบพระเจ้าหรือการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์—พวกเจ้ายังไม่ได้แม้แต่จะเริ่มเรื่องนี้เลยโดยสิ้นเชิง
พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และจุดมุ่งหมายของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมประเภทต่างๆ ตลอดจนความเข้าใจและมุมมองที่คนเราควรมีเกี่ยวกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ โดยพระนิเวศของพระเจ้า อีกประการหนึ่งคือท่าทีและแนวทางที่คนเราควรมีต่อผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ ที่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ เหล่านี้คือประเด็นบางประการที่ควรสามัคคีธรรมในรายการที่หก ดังนั้น ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับรายการที่หก ให้พวกเรามาเปิดโปงและชำแหละว่าผู้นำเทียมเท็จดำเนินงานส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ อย่างไร นี่คือเนื้อหาหลักที่พวกเราจะสามัคคีธรรมกันในครั้งนี้
ท่าทีและการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จเกี่ยวกับกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษทุกประเภท
ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริงและไม่แสวงหาความจริง ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของงานสำคัญในการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประเภทในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ทำอย่างลวกๆ ทำให้เละเทะไปหมด และไม่สามารถทำได้ตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าเลย เพราะพวกเขาไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ นับประสาอะไรกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมประเภทต่างๆ และพวกเขาก็ไม่เข้าใจความสำคัญของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมประเภทต่างๆ ด้วย จึงเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะทำงานนี้ให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามหลักธรรม ผู้คน “ที่มีความสามารถพิเศษ” ประเภทต่างๆ ที่ผู้นำเทียมเท็จบ่มเพาะในระหว่างการทำงานของพวกเขานั้นผสมปนเปอย่างเห็นได้ชัด แทนที่จะส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ผู้นำเทียมเท็จกลับส่งเสริมผู้ที่ไม่ควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะเลยให้มารับใช้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน และปล่อยให้ผู้คนเหล่านี้อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตและผลาญของถวายของพระเจ้า ผู้นำเทียมเท็จทุกคนทำเช่นนี้ ทำให้บางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีสำนึกถึงความยุติธรรมถูกเหยียบย่ำและไม่ได้รับการส่งเสริมและใช้งาน ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่ไร้ประโยชน์กลับกลายเป็นผู้ที่เรียกว่ามีความสามารถพิเศษในสายตาของผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ และได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะจากพวกเขา แล้วการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จเมื่อทำงานนี้คืออะไร? ตัวอย่างเช่น เนื่องจากความจำเป็นของงาน พระนิเวศของพระเจ้าต้องหาคนมาจัดการเรื่องภายนอก แล้วควรหาคนแบบไหน? เราเพิ่งระบุหลักเกณฑ์ไปหลายข้อ กล่าวคือ มีความสามารถในการทำงาน สามารถทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด และสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ ผู้นำเทียมเท็จรู้หลักธรรมเหล่านี้หรือไม่? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ แล้วพวกเขาหาคนมาจัดการเรื่องภายนอกได้อย่างไร? พวกเขาคิดในใจว่า “ใครจะจัดการเรื่องภายนอกได้? มีพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่หัวไวและมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็ว เป็นคนพูดเก่งและรู้จักวิธีปฏิบัติต่อผู้คน ดวงตาของเธอกลอกไปมาอย่างคิดคำนวณเมื่อเธอพูด และคนทั่วไปก็เดาใจเธอไม่ออก เธออาจจะไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำคริสตจักรนัก แต่เธอจะเก่งมากในการจัดการเรื่องภายนอก ดังนั้นฉันจะเลือกเธอ เพียงแต่ว่าระดับการศึกษาของเธอค่อนข้างต่ำ ฉันกังวลว่าผู้ไม่มีความเชื่อจะดูถูกเธอ ดังนั้นฉันจะหาบัณฑิตมหาวิทยาลัย—ที่เคยเป็นประธานสภานักศึกษา—มาประสานงานกับเธอ คนนี้ค่อนข้างฉลาดแต่มีประสบการณ์ในสังคมค่อนข้างน้อยและเห็นโลกมาค่อนข้างน้อย ดังนั้นเธอจึงสามารถเรียนรู้จากคู่ของเธอได้ ในสองคนนี้ คนหนึ่งมีการศึกษาต่ำและอีกคนมีการศึกษาสูง คนหนึ่งมีประสบการณ์ในสังคมและอีกคนไม่มี—พวกเขาเหมาะที่จะประสานงานกันมิใช่หรือ?” คนหนึ่งพูดจาฉะฉานและชัดเจน หัวไว และเป็นคนเด่นในสังคมอย่างมาก ทุกครั้งที่เธอมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาก็ดูไม่ออกว่าเธอเป็นผู้เชื่อ อีกคนหนึ่งมีการศึกษาสูงและมีสถานะทางสังคม ทุกครั้งที่เธอมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาก็ไม่ดูถูกเธอ พวกเจ้าคิดอย่างไรกับหลักธรรมสองข้อนี้ที่ผู้นำเทียมเท็จใช้เลือกคน? ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่าตราบใดที่ใครบางคนมีพรสวรรค์ในการพูด หัวไว และมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็ว พวกเขาก็สามารถจัดการเรื่องทั่วไปให้พระนิเวศของพระเจ้าได้ นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมในการเลือกคนหรือไม่? (ไม่) ไม่เหมาะสมอย่างไร? (คนเช่นนี้มักจะฉลาดแกมโกง แม้ว่าพวกเขาจะสามารถใช้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกกับผู้อื่นได้ และรู้จักวิธีปฏิบัติต่อผู้คน แต่พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้) ถูกต้อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าบุคคลจะจัดการเรื่องใดให้พระนิเวศของพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องซื่อตรงและสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ การมีลิ้นเป็นเงินเป็นทองและสามารถพูดให้คนตายฟื้นได้หมายความว่าพวกเขาสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่? การเป็นคนหัวไว พูดจาฉะฉานและชัดเจนหมายความว่าพวกเขาสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่? (ไม่ ไม่ได้หมายความเช่นนั้น) แม้ว่าพวกเขาจะสาบานก็ไร้ประโยชน์ และก็ไร้ประโยชน์เช่นกันหากเจ้าจะเรียกร้องจากพวกเขา—พวกเขาต้องมีลักษณะนิสัยเช่นนั้น แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่ตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ พวกเขาเพียงแต่มองว่าใครมีประสบการณ์ในสังคม ใครมีไหวพริบ หัวไว พูดจาฉะฉานและชัดเจน ใครรู้จักวิธีแสดงให้เข้ากับสถานการณ์ และใครเป็นเหมือนกิ้งก่าและคนเด่นในสังคม พวกเขาคิดว่าคนเช่นนี้สามารถจัดการเรื่องทั่วไปในพระนิเวศของพระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดหรอกหรือ? นี่คือความผิดพลาดในแง่ของหลักธรรมและมาตรฐานในการเลือกคน ความจริงก็คือคนประเภทนี้มีลิ้นเป็นเงินเป็นทองอย่างที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะจัดการกับใคร ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดล้วนเป็นเรื่องโกหก และพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าจะสาบานกี่ครั้งก็ตาม เมื่อทำสิ่งต่างๆ พวกเขาปกป้องแต่ผลประโยชน์ของตนเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับอันตราย พวกเขาจะปกป้องตนเองก่อนเป็นอันดับแรก และไม่เคยพิจารณาถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตราบใดที่พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ไม่มีความเชื่อ นั่นก็เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว ส่วนผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าจะเสียหายหรือไม่ พวกเขาก็ไม่สนใจ ทั้งความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคำนึงถึง และพวกเขาก็ไม่สนใจว่าพระนามของพระเจ้าจะถูกลบหลู่หรือไม่ พวกเขาเพียงแต่ดูแลตนเองเท่านั้น ผู้นำเทียมเท็จมองคนประเภทนี้ไม่ออกและคิดว่าพวกเขาเหมาะสมที่สุดที่จะจัดการเรื่องภายนอกให้พระนิเวศของพระเจ้า นี่ไม่ใช่ความโง่เขลาหรอกหรือ? พวกเขาขายผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่แม้แต่จะรู้และยังมอบหมายงานสำคัญให้พวกเขา และพึ่งพาพวกเขาในทุกเรื่อง นี่ไม่ใช่ความโง่เขลาที่สุดหรอกหรือ? คนที่พูดจาฉะฉาน ชัดเจน และหัวไวเป็นคนที่มีเจตนาซื่อตรงหรือไม่? หากเจ้าไม่เคยข้องเกี่ยวกับพวกเขาหรือสังเกตพวกเขาอย่างละเอียด เจ้าก็จะไม่รู้ เมื่อเจ้าข้องเกี่ยวและจัดการเรื่องต่างๆ กับพวกเขา ก็จงดูว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาทำหรือไม่ สิ่งนี้สามารถทดสอบได้จากเหตุการณ์เดียว ตัวอย่างเช่น เจ้ากำลังย้ายของ เมื่อพวกเขาเห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็จะไม่ช่วยเจ้า ต่อเมื่อเจ้าทำงานเสร็จแล้ว พวกเขาจึงจะเข้ามาและพูดว่า “งานหนักขนาดนี้จะให้คุณทำคนเดียวได้อย่างไร? ถ้าคุณบอกสักคำ ฉันก็จะช่วยคุณ ไม่ว่าฉันจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม คุณดูเหนื่อยมาก เดี๋ยวฉันจะทำอาหารให้คุณ วันนี้คุณไม่ต้องทำแล้ว” หลังจากพูดเช่นนั้น พวกเขาก็หายไป เจ้าเหนื่อยมากแต่ก็ยังต้องทำอาหาร แล้วเมื่อเจ้าทำอาหารเสร็จ พวกเขาก็มากินและยังพูดอีกว่า “ทำไมคุณไม่เรียกฉันตอนที่คุณกำลังจะเริ่มทำอาหารล่ะ? คุณเหนื่อยขนาดนี้แล้วยังจะทำอาหารให้ฉันอีก—มันจะถูกได้อย่างไร? ในเมื่อคุณทำเสร็จแล้ว ฉันก็จะกินเลยแล้วกัน มื้อหน้าฉันจะทำเอง และถ้ามีงานอะไรที่ต้องทำในอนาคตก็เรียกฉันได้เลย” เหตุการณ์เดียวนี้ก็เพียงพอที่จะมองทะลุพวกเขาได้แล้ว พวกเขามีลิ้นที่คล่องแคล่วมาก หัวไว และรู้ว่าต้องพูดอะไร พวกเขารู้จักวิธีแสดงให้เข้ากับสถานการณ์ และทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือพูดแต่สิ่งดีๆ โดยไม่เคยทำงานจริงเลย คนเช่นนี้น่าเชื่อถือหรือไม่? หากเจ้าขอให้พวกเขาจัดการเรื่องทั่วไปของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาสามารถปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศได้หรือไม่? พวกเขาสามารถรักษาชื่อเสียงของคริสตจักรและปกป้องความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิงได้หรือไม่? (ไม่ได้) ทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าและผลประโยชน์ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกหรือไม่? ห่างไกลจากนั้นมาก สายตาและจิตใจของผู้นำเทียมเท็จมืดบอดต่อปัญหาที่ตรวจจับได้ง่ายเช่นนี้ พวกเขาเพียงแต่ดูคนไม่เป็นเท่านั้น ในทางกลับกัน พวกเขาสามารถพูดได้แต่ถ้อยคำพูดและคำสอนเท่านั้น ใครเป็นที่รักของพระเจ้าและใครไม่เป็นที่รักของพระเจ้า ใครรักความจริงและใครไม่รักความจริง การมีรากฐานในการเชื่อในพระเจ้าหมายความว่าอย่างไรและคนประเภทใดไม่มีรากฐาน คนประเภทใดที่จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่และคนประเภทใดที่ไม่จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่—พวกเขาพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างมีเหตุผลและมีตรรกะ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจจริงๆ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าและคำสอนเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาถูกขอให้มีวิจารณญาณแยกแยะผู้คน สายตาและจิตใจของพวกเขาก็มืดบอด พวกเขาเพียงแต่ดูคนไม่เป็นเท่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิสัมพันธ์กับคนประเภทนี้นานแค่ไหน พวกเขาก็ยังมองไม่ออก และยังมอบหมายงานสำคัญให้พวกเขาอีกด้วย
การที่ผู้นำเทียมเท็จใช้คนผิดก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชิงชังอยู่แล้ว แต่พวกเขายังซ้ำเติมความผิดนี้ด้วยการกระทำที่น่าชิงชังยิ่งกว่า ตัวอย่างเช่น ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งใช้คนผิด คนคนนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ดูแลเลยแม้แต่น้อยและไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ของพระนิเวศของพระเจ้าที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ยังดึงดันที่จะใช้เขาและไม่เคยตรวจสอบงานของคนคนนี้เลย โดยเชื่อว่า “เมื่อใช้คนแล้วต้องไม่สงสัย เมื่อสงสัยแล้วต้องไม่ใช้ ในเมื่อฉันเลือกคุณและส่งเสริมคุณแล้ว คุณก็ย่อมทำงานนี้ได้ดี ดังนั้นจงลงมือทำไปตามที่คุณเห็นสมควรเถิด ไม่ว่าคุณจะทำอะไรฉันก็จะหนุนหลังเอง ใครหน้าไหนมาคัดค้านก็ไร้ประโยชน์!” พวกเขาใช้คนผิดแล้ว แต่ก็ยังปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นดำเนินไปจนถึงที่สุด—นี่คือระดับความเชื่อมั่นในตนเองของพวกเขา ผู้นำเทียมเท็จล้วนมืดบอด พวกเขาไม่สามารถมองเห็นปัญหาใดๆ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นคนชั่วหรือผู้ไม่เชื่อ และไม่ว่าใครจะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่เคยรับรู้เลย หนำซ้ำยังมอบหมายงานสำคัญให้คนเลอะเลือนอีกด้วย ผู้นำเทียมเท็จให้ความไว้วางใจอย่างยิ่งต่อใครก็ตามที่พวกเขาส่งเสริม และมอบหมายงานสำคัญให้พวกเขาอย่างไม่ไตร่ตรอง ผลที่ตามมาก็คือ คนเหล่านั้นทำให้งานของคริสตจักรเกิดความสูญเสีย ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า ถึงกระนั้น ผู้นำเทียมเท็จก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อเบื้องบนถามพวกเขาว่า “คนที่คุณส่งเสริมนั้นทำงานเป็นอย่างไรบ้าง? เขาเหมาะที่จะปฏิบัติงานนี้หรือไม่? เขากำลังปกป้องงานของคริสตจักรและผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? ในยามคับขัน เขาจะปกป้องตนเอง หรือจะปกป้องงานของคริสตจักร?” ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ตอบว่า “เขาสาบานแล้วว่าจะปกป้องงานของคริสตจักร อีกอย่าง เขาก็เชื่อในพระเจ้ามา 20 ปีแล้ว เขาจะปกป้องตนเองและทรยศผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างไร? เขาน่าจะปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า” เบื้องบนจึงตอบกลับไปว่า “ที่เจ้าพูดนั้นถูกต้องแค่ไหน? เจ้าได้ตรวจสอบงานของเขาแล้วหรือยัง?” ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ตอบว่า “ฉันยังไม่ได้ตรวจสอบงานของเขา แต่ฉันได้กำชับเขาแล้วว่าอย่าปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และต้องปกป้องงานของคริสตจักร ซึ่งเขาก็รับปากต่อฉันแล้ว” การที่เขารับปากกับเจ้ามีประโยชน์อันใดเล่า? แม้แต่คำสาบานที่ปฏิญาณไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เขายังทำไม่ได้เลย เจ้าคิดว่าเพียงเพราะเขารับปากกับเจ้า ก็จะเชื่อถือได้แล้วหรือ? เขาจะทำตามที่สัญญาได้อย่างแน่นอนกระนั้นหรือ? ในเมื่อเจ้ายังไม่ได้ตรวจสอบงานของเขา แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนที่ปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า? เหตุใดเจ้าจึงเชื่อมั่นในตนเองถึงเพียงนั้น? ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้มิใช่พวกคนพาลหรอกหรือ? เพียงแค่ใช้คนผิด พวกเขาก็ได้ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงแล้ว จากนั้นก็ยังซ้ำเติมความผิดของตนโดยไม่เคยไต่ถาม ไม่เคยตรวจสอบ หรือไม่เคยตรวจทานงานของคนคนนี้ ไม่มีการกำกับดูแลหรือสังเกตการณ์ใดๆ ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการปล่อยปละละเลยให้คนคนนี้กระทำการอย่างตามอำเภอใจและทำผิดต่อไปเรื่อยๆ นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน เมื่อใดก็ตามที่งานส่วนใดขาดคน ผู้นำเทียมเท็จก็จะจัดหาใครสักคนมารับผิดชอบอย่างขอไปทีแล้วเรื่องก็จบไป พวกเขาไม่เคยตรวจสอบงาน หรือลงพื้นที่จริงเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนคนนั้น สังเกตการณ์เขา และพยายามทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น ในบางแห่งสภาพแวดล้อมอาจไม่เอื้ออำนวยต่อการพบปะและใช้เวลากับคนคนนั้น แต่เจ้าก็ต้องสอบถามเกี่ยวกับงานของเขา และสอบถามทางอ้อมเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำไปแล้ว และทำอย่างไร—เจ้าสามารถถามพี่น้องชายหญิง หรือคนที่ใกล้ชิดกับเขาได้ นี่เป็นสิ่งที่ทำได้มิใช่หรือ? แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่แม้แต่จะคิดที่จะถามไถ่ใดๆ นั่นคือระดับความมั่นใจในตนเองของพวกเขา ในงานของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่จัดชุมนุมและเทศนาคำสอน และเมื่องานได้รับการจัดสรรหลังการชุมนุมแล้ว พวกเขาก็ไม่ทำอะไรอีกเลย ไม่มีการติดตามหรือตรวจสอบดูว่าคนที่พวกเขาเลือกนั้นสามารถทำงานจริงได้หรือไม่ ในตอนแรก เจ้าไม่เข้าใจคนคนนั้น แต่จากขีดความสามารถ การสำแดงภายนอก และความกระตือรือร้นของเขา เจ้าก็รู้สึกว่าเขาเหมาะกับงานนี้และจึงใช้เขา—นี่ไม่มีอะไรผิด เพราะไม่มีใครรู้ว่าผู้คนจะกลายเป็นอย่างไรในภายหลัง แต่หลังจากที่ส่งเสริมเขาแล้ว เจ้าไม่ควรติดตามและตรวจสอบดูหรอกหรือว่าเขาทำงานจริงหรือไม่ ทำงานอย่างไร และเขาทำอย่างสุกเอาเผากิน เหลวไหล หรืออู้งานหรือไม่? นี่คืองานที่เจ้าควรทำอย่างแท้จริง แต่เจ้ากลับไม่ทำเลยแม้แต่น้อย ไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าคือผู้นำเทียมเท็จ และเจ้าสมควรถูกปลดและถูกกำจัดออกไป
ผู้นำเทียมเท็จทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง กล่าวคือหลังจากที่พวกเขาส่งเสริมผู้คนแล้ว พวกเขาก็เพียงอธิบายงานให้ฟัง พูดพล่ามคำสอนเล็กน้อย กล่าวให้กำลังใจสองสามคำแล้วก็ถือว่าจบสิ้น โดยไม่เคยติดตามหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานที่เจาะจงเลย ถ้าเจ้าบอกว่าเจ้ามีขีดความสามารถต่ำและขาดความเข้าใจในผู้คน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถติดตามและตรวจสอบดูได้ว่างานที่เจาะจงนั้นดำเนินไปอย่างไร ซึ่งจะทำให้เจ้าสามารถคุมสถานการณ์ได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ติดตามและตรวจสอบดูว่างานดำเนินไปอย่างไรเลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างการพิมพ์หนังสือซึ่งเป็นงานที่เจาะจงชิ้นหนึ่ง ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งมอบหมายให้ใครบางคนรับผิดชอบงานนี้ แต่กลับไม่เคยตรวจสอบเลยแม้แต่ครั้งเดียวในรอบครึ่งปี ผลก็คือ หลังจากผ่านไปหกเดือน หนังสือที่พิมพ์ออกมาทั้งหมดกลับกลายเป็นของมีตำหนิ—ช่างเป็นสภาพที่เละเทะโกลาหลสิ้นดี! นี่แหละคือธาตุแท้ของผู้นำเทียมเท็จ—คือการไม่ทำงานที่เจาะจงใดๆ เลย หากจะจัดการให้มีการพิมพ์หนังสือ ควรทำอย่างไร? ก่อนอื่นต้องจัดหาผู้รับผิดชอบที่เหมาะสม จากนั้นจึงกำกับดูแลและตรวจสอบดูว่าพวกเขาทำงานได้ดีเพียงใด และพวกเขาอาจจะทำให้งานพังหรือไม่ เจ้าต้องกำกับดูแลและติดตามงาน และแก้ไขปัญหาโดยตรงทันทีที่พบเจอ—มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าความรับผิดชอบของตนเป็นเพียงการพูดพล่ามคำสอนใส่ผู้คน และทำให้พวกเขาเข้าใจคำสอน ตราบใดที่ผู้คนเข้าใจคำสอนแล้ว ปัญหาก็จะสามารถแก้ไขได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับการพูดพล่ามคำสอนและตะโกนคำขวัญเท่านั้น และไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานที่เจาะจงใดๆ สำหรับผู้นำเทียมเท็จแล้ว พวกเขาคิดว่าไม่ใช่ธุระกงการของตนที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานที่เจาะจง แต่นั่นควรเป็นเรื่องของคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา แล้วพวกเขาทำอะไรกันเล่า? พวกเขาทำเพียงบัญชาการสถานการณ์โดยรวมจากที่สูงและกลายเป็นเจ้าพนักงานที่ไร้ประสิทธิภาพไป ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร พวกเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง หลังจากที่บอกหลักธรรมแก่ผู้คนแล้ว หากถูกถามเกี่ยวกับประเด็นรายละเอียดหรือเส้นทางที่เจาะจง พวกเขาก็จะพูดว่า “งานที่เจาะจงนั้นขึ้นอยู่กับพวกคุณ ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้” ดังนั้น พวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาทำงานกันอย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าผู้ดูแลมีความสามารถและเหมาะสมกับงานหรือไม่ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ พวกเขารับผิดชอบในการทำหน้าที่ของตนหรือไม่ พวกเขาทำอย่างสุกเอาเผากินหรือทำเรื่องแย่ๆ อย่างควบคุมไม่ได้หรือไม่ หรือมีงานล่าช้าหรือไม่ และอื่นๆ—ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยรับรู้เรื่องใดๆ เหล่านี้เลย พวกเขาเพียงแต่เดินเตร็ดเตร่ไปมาราวกับเจ้าพนักงานนั่งโต๊ะในโลกที่ไม่มีความเชื่อ ไม่ทำงานจริงใดๆ ทั้งสิ้น ในคริสตจักรที่พวกเขาทำงาน ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้เลยเมื่อผู้ดูแลบางคนทำงานจนหยุดชะงัก หรือเมื่อบางคนกำลังสร้างอาณาจักรอิสระของตนเอง หรือเมื่อบางคนไม่ใส่ใจหน้าที่ที่ถูกควรของตนแต่กลับใช้เวลาไปกับการกินดื่มและสนุกสนาน และพวกเขายังถึงกับเพิกเฉยไม่ใส่ใจเมื่อผู้ดูแลบางคนมีขีดความสามารถที่ต่ำมาก มีความเข้าใจที่บิดเบือน และไม่สามารถทำงานได้เลย ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า เป็นผู้นำแต่ในนาม และไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารของผู้นำเลยแม้แต่น้อย เมื่อมองจากภายนอก ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ดูเหมือนจะประพฤติตัวดีทีเดียว พวกเขาจัดหาผู้ดูแลสำหรับงานแต่ละอย่าง เรียกประชุมคนเหล่านี้เป็นครั้งคราว และใช้เวลาที่เหลืออยู่ในที่แห่งเดียวเพื่อเฝ้าเดี่ยวฝ่ายวิญญาณ อธิษฐาน อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฟังคำเทศนา เรียนรู้บทเพลงนมัสการ และเขียนคำเทศนาของตนเอง มีผู้นำเทียมเท็จบางคนที่ไม่แม้แต่จะออกจากห้องของตนตลอดทั้งสัปดาห์ ยังมีผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากการจัดชุมนุมออนไลน์ โดยไม่เคยไปยังสถานที่ทำงานเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ พี่น้องชายหญิงไม่ได้พบหน้าพวกเขาเป็นเวลานาน และไม่รู้เลยว่าประสบการณ์ชีวิตหรือวุฒิภาวะของผู้นำเทียมเท็จเป็นอย่างไร ในระหว่างการชุมนุม ผู้นำเทียมเท็จจัดการเพียงงานธุรการบางอย่าง แต่สำหรับเรื่องที่ว่าผู้ดูแลแต่ละคนกำลังทำอะไรโดยเฉพาะ คนที่พวกเขาส่งเสริมและบ่มเพาะนั้นเหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมายหรือไม่ ทัศนคติของคนเหล่านี้ในการทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างไร พวกเขาใส่ใจและถี่ถ้วนในการทำงานหรือไม่ พวกเขาคิดลบและทำอย่างสุกเอาเผากินหรือไม่ คนเหล่านี้กำลังเดินตามหนทางที่ถูกต้องหรือไม่ หรือพวกเขาเป็นคนที่ถูกต้องหรือไม่—ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยสนใจหรือสอบถามเกี่ยวกับเรื่องใดๆ เหล่านี้ และไม่ต้องการที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ด้วย ธรรมชาติของปัญหานี้ร้ายแรงมิใช่หรือ? (ใช่)
พระนิเวศของพระเจ้าต้องการผู้คนที่มีความสามารถพิเศษบางคนที่เข้าใจสาขาวิชาชีพและมีทักษะบางอย่าง และจะบ่มเพาะผู้คนเหล่านี้ให้ศึกษาวิชาชีพเหล่านั้นเพื่อที่พวกเขาจะสามารถทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้ พวกเจ้าคิดว่าผู้นำเทียมเท็จหาคนแบบไหน? พวกเขารวบรวมคนหนุ่มสาวทั้งหมดที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยและติดตามพ่อแม่ของตนมาเชื่อในพระเจ้า แล้วก็มองว่าใครพูดจาฉะฉานและใครชอบเป็นจุดสนใจ จากนั้นก็พูดกับพวกเขาว่า “พระนิเวศของพระเจ้าต้องการบ่มเพาะพวกคุณ พวกคุณคือกองหนุนและเป็นพลังใหม่” แล้วพวกเขาก็มอบหมายให้คนเหล่านี้ทำหน้าที่ ในความเป็นจริงแล้ว คนเหล่านี้ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใดๆ มาก่อน ขาดประสบการณ์หลากหลายประเภท และไม่เข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับโปรดปรานและชื่นชอบพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มบ่มเพาะคนเหล่านี้ พวกเขามอบหมายหน้าที่ให้ตามความถนัดว่าเหมาะที่จะเรียนรู้อะไร บางคนได้รับมอบหมายให้ทำงานข้อเขียน บางคนให้ผลิตภาพยนตร์ บางคนให้ทำวีดิทัศน์ และบางคนให้เป็นนักแสดง สำหรับผู้นำเทียมเท็จแล้ว ตราบใดที่คนเหล่านี้มีหน้าที่ให้ทำ นั่นก็เพียงพอแล้ว ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยตรวจสอบว่าคนเหล่านี้รักความจริงหรือไม่ หรือพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ ทั้งยังไม่เคยทำความเข้าใจว่าคนเหล่านี้กำลังไล่ตามเสาะหาสิ่งใดหรือเป้าหมายของพวกเขาคืออะไร ท้ายที่สุดแล้ว เกิดอะไรขึ้น? คนเหล่านั้นบางคนถูกกำจัดออกไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาเสเพลและไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไล่ตามกระแสโลกีย์ ใช้เวลาไปกับการแต่งตัวและเที่ยวเกาะแกะผู้อื่น ทั้งยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ใดๆ หรือไม่มีมารยาทเลยแม้แต่น้อย—เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาไม่ใส่ใจงานที่ถูกควรของตนขณะปฏิบัติหน้าที่ และทำทุกอย่างอย่างสุกเอาเผากิน แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับมองไม่เห็นสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย ผู้นำเทียมเท็จมืดบอดมิใช่หรือ? (ใช่) อะไรเป็นสาเหตุของอาการมืดบอดนี้? ไม่ใช่เพราะผู้นำเทียมเท็จใจบอดหรอกหรือ? ตาบอดและใจบอดคือลักษณะสองประการของผู้นำเทียมเท็จ แม้ว่าดวงตาของพวกเขาจะเปิดกว้าง แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดหรือมองทะลุใครได้เลย—นั่นคือ ตาของพวกเขาบอดสนิท ในใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีวิจารณญาณหรือมุมมองต่อใครหรือสิ่งใด และไม่ว่าพวกเขาจะเห็นอะไร ก็ไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดี ไม่มีท่าที ไม่มีความคิดเห็น และไม่มีคำนิยามใดๆ—นี่คือกรณีที่ร้ายแรงของการใจบอด ผู้นำเทียมเท็จล้วนเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและฟังคำเทศนาบ่อยครั้ง แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถระบุตัวผู้ไม่เชื่อเหล่านั้นได้? นี่เป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่าผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถที่ย่ำแย่มาก พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ และไม่ว่าพวกเขาจะได้ยินความจริงมากเพียงใด ก็ไร้ผล และไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้นเลย พวกเขาตาบอดและใจบอด และไม่สามารถมีวิจารณญาณในตัวผู้คนได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาจะเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานในคริสตจักรได้อย่างไร? พวกเขาเชื่อว่าคนพูดเก่งคือผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ คนที่ร้องเพลงและเต้นรำได้ก็เป็นผู้คนที่มีความสามารถพิเศษเช่นกัน พอเห็นคนที่สวมแว่นตาหรือคนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัย ก็คิดว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ และเมื่อเห็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคม คนที่ร่ำรวย คนที่รู้วิธีทำธุรกิจและใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง และคนที่ทำงานสำคัญบางอย่างในสังคม ผู้นำเทียมเท็จก็คิดว่าคนเหล่านี้คือผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ พวกเขาเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าควรบ่มเพาะคนประเภทนี้ พวกเขาไม่ได้ดูที่คุณลักษณะของผู้คนเหล่านี้ หรือว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีรากฐานหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่ได้ดูที่ทัศนคติที่คนเหล่านี้มีต่อพระเจ้าและความจริง พวกเขามองเพียงสถานะทางสังคมและภูมิหลังของผู้คนเท่านั้น การที่ผู้นำเทียมเท็จมองผู้คนและสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้ ช่างน่าขันสิ้นดีมิใช่หรือ? ผู้นำเทียมเท็จมองผู้คนและสิ่งต่างๆ ในลักษณะเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ—มุมมองของพวกเขาคือมุมมองที่ผู้ไม่มีความเชื่อมีต่อสิ่งต่างๆ นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่คนที่รักและเข้าใจความจริง และพวกเขาขาดวิจารณญาณโดยสิ้นเชิง พวกเขาช่างตื้นเขินอย่างยิ่งมิใช่หรือ? พวกเขาตาบอดอย่างแท้จริง—บอดสนิท
ในอดีต เราเคยพบผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งที่พูดคุยและหัวเราะเมื่อเราสนทนากับเขา แต่ทันทีที่เราถามเขาเกี่ยวกับงาน เขาก็จ้องมองไปยังที่ว่างเปล่าด้วยท่าทีที่มึนชาและโง่เขลา และไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดที่เราพูดกับเขาเลย คนคนนี้มีขีดความสามารถที่ต่ำเกินกว่าจะใช้งานได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่เข้าใจสิ่งใดที่เราบอกเขาและไม่สามารถทำตามได้ ไม่ว่าเราจะพูดคุยกับเขาเรื่องอะไร เขาก็เอาแต่พูดว่า “ข้าพระองค์จัดชุมนุมแล้ว และข้าพระองค์ก็ได้ตรวจสอบงานเมื่อสองสามวันก่อน” เราจึงพูดว่า “เจ้าไม่มีงานอื่นทำนอกจากจัดชุมนุมหรือ? มีงานมากมายที่ต้องทำในคริสตจักร ทำไมเจ้าไม่หางานอื่นทำล่ะ?” เขาตอบว่า “การเป็นผู้นำหรือคนทำงานไม่ใช่แค่การจัดชุมนุมหรอกหรือ? ไม่มีอะไรอื่นให้ทำนอกจากการจัดชุมนุม ข้าพระองค์ไม่รู้วิธีทำอย่างอื่น!” นี่แสดงให้เห็นว่าเขาถูกกำหนดให้เป็นผู้นำเทียมเท็จเมื่อเขารับตำแหน่งนั้น และเขาไม่สามารถทำงานจริงใดๆ ได้ เพราะขีดความสามารถของเขาย่ำแย่อย่างที่สุด! ขีดความสามารถที่ย่ำแย่อย่างที่สุดนำไปสู่การตาบอดและใจบอด ตาบอดหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ว่าบุคคลจะเห็นอะไร พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นปัญหาที่เจาะจงได้ ดังนั้นตาของพวกเขาจึงมีไว้ก็เหมือนไม่มี แล้วใจบอดหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บุคคลก็ไม่รับรู้และไม่เข้าใจปัญหาในนั้น และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ว่าแก่นแท้ของปัญหาอยู่ที่ใด—นี่คือความหมายของการใจบอด หากบุคคลใจบอดแล้ว พวกเขาก็จบสิ้นโดยสิ้นเชิง ผู้นำเทียมเท็จตาบอดและใจบอดในลักษณะนี้ พวกเจ้าจะบอกว่าผู้นำเทียมเท็จรู้สึกไม่พอใจเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้หรือไม่? พวกเขาคิดว่า “ตาของฉันก็โตดี แต่พระองค์กลับบอกว่าฉันตาบอด และฉันก็มีเจตนาดีในใจ แต่พระองค์กลับบอกว่าฉันใจบอด—คำนิยามของพระองค์ไม่แม่นยำเป็นพิเศษเลยใช่ไหม? ทำไมไม่เรียกฉันว่าผู้นำเทียมเท็จไปเลยล่ะ? ทำไมต้องเสริมว่าฉันตาบอดและใจบอดด้วย?” ถ้าเราไม่ใช้ถ้อยคำเช่นนั้น เมื่อพิจารณาจากขีดความสามารถของผู้นำเทียมเท็จแล้ว พวกเขาจะตระหนักได้หรือไม่ว่าตนมีขีดความสามารถต่ำ? (ไม่ได้ พวกเขาทำไม่ได้) การบอกว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ตาบอดและใจบอดไม่ได้อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างถึงแก่นหรอกหรือ? ตัวอย่างเช่น สมมติว่าศัตรูของพระคริสต์กำลังสร้างอาณาจักรอิสระของตนเองในคริสตจักร แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับพูดว่า “คนคนนี้มีความสามารถมาก พวกเขาเคยเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย และพวกเขาพูดจาชัดเจน เป็นระบบระเบียบ และฉะฉานเรียบเรียงอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ตื่นเวที ไม่ว่าผู้ชมจะมากแค่ไหนก็ตาม” เห็นได้ชัดเจนว่าคนที่พวกเขาพูดถึงคือฟาริสีที่กำลังสร้างอาณาจักรอิสระของตนเอง แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงยกย่องพวกเขา นั่นไม่ใช่การตาบอดหรอกหรือ? (ใช่) หากใครบางคนร้องเพลงเพี้ยนแล้วเจ้าไม่ได้ยิน จะถือว่านั่นเป็นการตาบอดได้หรือไม่? (ไม่ได้) นั่นเป็นปัญหาทางวิชาชีพ ไม่ใช่ปัญหาทางขีดความสามารถ แต่หลังจากที่ได้ฟังความจริงมากมายแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ยังไม่สามารถมีวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์ได้ ไม่สามารถบอกได้ว่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นดีหรือไม่ดี ไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้ที่เหมาะสมจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ ไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้ไม่เชื่อหรือเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่ และไม่สามารถบอกได้ว่าใครจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนหรือไม่—แล้วพวกเขาได้รับอะไรจากการฟังคำเทศนามาตลอดหลายปีนี้? พวกเขาไม่ได้รับความจริงใดๆ เลย ซึ่งหมายความว่าพวกเขาเป็นคนโง่ที่ตาบอด นี่คือระดับความมืดบอดของผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาเชื่อว่างานหลักของผู้นำคือการสามารถเทศนาได้ และเทศนาได้สองหรือสามชั่วโมง และตราบใดที่พวกเขาสามารถพูดคำพูดและคำสอน ตะโกนคำขวัญ และปลุกเร้าผู้คนได้ พวกเขาก็ได้มาตรฐานในฐานะผู้นำ สามารถแบกรับงานได้ มีความเป็นจริงความจริง และพระเจ้าก็พอพระทัยในพวกเขา นี่มันตรรกะแบบไหนกันแน่? เพราะผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริงและมีขีดความสามารถที่ต่ำเกินไป ทั้งยังตาบอดและใจบอด พวกเขาจึงไม่มีความสามารถที่จะมีวิจารณญาณในตัวผู้คนประเภทต่างๆ ได้อย่างสิ้นเชิง และไม่สามารถมองทะลุผู้คนประเภทต่างๆ ได้ แล้วพวกเขาจะสามารถใช้ผู้คนประเภทต่างๆ อย่างสมเหตุสมผลได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขามีเพียงกลยุทธ์เดียวคือ ผู้ที่เคยเป็นครูจะได้รับมอบหมายให้เทศนา ผู้ที่เคยทำการค้าต่างประเทศจะได้รับมอบหมายให้จัดการงานธุรการ ผู้ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้จะได้รับมอบหมายให้เป็นนักแปล และใครก็ตามที่พูดจาฉะฉานและใจคอหนักแน่นจะได้รับมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐ ผู้ที่ขี้อายจะได้รับมอบหมายให้เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ที่บ้าน ผู้ที่กล้าหาญและรักการแสดงจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักแสดง และผู้ที่ต้องการเป็นใหญ่เป็นโตจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำหรือผู้อำนวยการ นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จใช้ผู้คน โดยไม่มีหลักธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
ภายในขอบเขตงานที่ผู้นำเทียมเท็จรับผิดชอบ บ่อยครั้งมีบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงและตรงตามหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะแต่กลับถูกสกัดกั้นไว้ บางคนในจำนวนนี้ประกาศข่าวประเสริฐ และบางคนได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เจ้าภาพรับรอง ความจริงก็คือพวกเขาทุกคนมีขีดความสามารถ เข้าใจความจริงบางอย่าง และคู่ควรที่จะได้รับการบ่มเพาะให้เป็นผู้นำและคนทำงาน เพียงแต่พวกเขาไม่ชอบอวดตนหรือเป็นจุดสนใจ แต่ถึงกระนั้น ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่เคยใส่ใจคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ข้องเกี่ยวกับคนเหล่านี้หรือสอบถามเกี่ยวกับพวกเขา และไม่เคยคิดที่จะบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาให้ความสำคัญกับการหลอกคนที่ประจบสอพลอพวกเขาให้ติดกับเท่านั้น เพื่อสนองความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตนเอง ผลก็คือ คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงไม่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ ในขณะที่คนที่ชอบเป็นจุดสนใจ คนที่พูดจาฉะฉาน คนที่รู้วิธีประจบประแจง และคนที่ชื่นชอบชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—พวกเขาทุกคนกลับได้รับการส่งเสริม และแม้แต่คนที่เคยเป็นเจ้าพนักงาน ซีอีโอบริษัท หรือที่เคยศึกษาการจัดการองค์กรในสังคมภายนอกก็ยังได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่ หรือเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นคือผู้ที่ได้รับการส่งเสริมและใช้งานภายในขอบเขตงานที่ผู้นำเทียมเท็จรับผิดชอบ นี่เป็นการใช้ผู้คนตามหลักธรรมหรือไม่? การที่ผู้นำเทียมเท็จส่งเสริมแต่คนเช่นนี้ จะต่างอะไรกับสังคมของผู้ไม่มีความเชื่อเล่า? ในช่วงเวลาที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน คนที่สามารถทำงานให้ลุล่วงได้จริงเมื่อปฏิบัติหน้าที่ คนที่มีสำนึกถึงความยุติธรรม และคนที่รักความจริงและสิ่งที่เป็นบวก—พวกเขาไม่ได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะ และเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะได้รับโอกาสในการฝึกฝน ในทางกลับกัน คนที่พูดจาฉะฉาน คนที่รักการอวดตนและรู้วิธีประจบประแจง ตลอดจนคนที่ชื่นชอบชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ กลับเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ คนเหล่านั้นดูเหมือนจะฉลาดพอตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่มีความสามารถในการจับใจความ มีขีดความสามารถที่ย่ำแย่มากและมีความเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย พวกเขาไม่แบกรับภาระที่แท้จริงต่องานของตน และไม่คู่ควรที่จะได้รับการบ่มเพาะเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้กลับเป็นผู้ที่ครอบครองตำแหน่งผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร ผลลัพธ์ก็คือ งานของคริสตจักรจำนวนมากไม่สามารถเริ่มต้นได้อย่างราบรื่นอย่างทันท่วงที หรือมีความคืบหน้าที่เชื่องช้า และการจัดเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าก็ใช้เวลานานเกินไปกว่าจะนำไปปฏิบัติได้ นี่คือผลกระทบและผลพวงที่การใช้คนอย่างไม่ถูกควรของผู้นำเทียมเท็จนำมาสู่งานของคริสตจักร
ผู้นำเทียมเท็จส่วนใหญ่มีขีดความสามารถต่ำ แม้ว่าภายนอกจะดูพูดจาฉะฉาน แต่พวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้เลยแม้แต่น้อย ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเขาตาบอดและใจบอด ไม่สามารถมองทะลุเรื่องใดๆ และไม่เข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเองก็เป็นปัญหาที่ร้ายแรงถึงชีวิตแล้ว พวกเขายังมีปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้นอีก กล่าวคือเมื่อพวกเขาเข้าใจและเชี่ยวชาญคำพูดและคำสอนสองสามอย่างและสามารถตะโกนคำขวัญสองสามคำได้ พวกเขาก็คิดว่าตนมีความเป็นจริงความจริง ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไรและเลือกใครมาใช้งาน พวกเขาก็ไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง ไม่สามัคคีธรรมกับผู้อื่น และยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ยึดมั่นในการจัดเตรียมงานและหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขามั่นใจในตนเองมาก พวกเขาเชื่อเสมอว่าความคิดของตนถูกต้องและทำทุกอย่างตามที่ตนต้องการ ผลก็คือ เมื่อพวกเขาเผชิญกับความยุ่งยากหรือรูปการณ์ที่ไม่ปกติบางอย่าง พวกเขาก็ทำอะไรไม่ถูก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามักจะเชื่ออย่างผิดๆ ว่า ในเมื่อพวกเขาทำงานในพระนิเวศของพระเจ้ามาหลายปีและมีประสบการณ์เพียงพอในการรับใช้เป็นผู้นำที่นั่น พวกเขาก็รู้วิธีที่จะทำให้งานของคริสตจักรดำเนินไปและพัฒนาได้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่รู้วิธีทำงานใดๆ เลยโดยสิ้นเชิง พวกเขาทำงานของคริสตจักรตามอำเภอใจ โดยทำตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ตามประสบการณ์และกิจวัตรของตนเอง และตามข้อบังคับของตนเอง สิ่งนี้ทำให้งานต่างๆ ของคริสตจักรเละเทะและโกลาหล และขัดขวางไม่ให้เกิดผลลัพธ์ที่แท้จริงใดๆ หากมีคนสองสามคนในทีมที่เข้าใจความจริงและสามารถทำงานจริงได้บ้าง พวกเขาก็สามารถรักษาสภาพปกติในงานของทีมนั้นไว้ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้นำเทียมเท็จของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เหตุผลที่งานสามารถทำได้ดีก็เพราะมีคนดีสองสามคนในทีมที่สามารถทำงานจริงได้บ้างและรักษางานให้ดำเนินต่อไปได้ ไม่ได้หมายความว่าผู้นำเทียมเท็จของพวกเขาได้ทำงานจริง ไม่มีงานชิ้นใดที่สามารถทำได้หากไม่มีคนดีเช่นนี้สองสามคนคอยรับผิดชอบ ผู้นำเทียมเท็จเพียงแค่ไม่สามารถทำงานของตนได้ และพวกเขาไม่มีบทบาทหน้าที่ใดๆ เลยทั้งสิ้น เหตุใดผู้นำเทียมเท็จจึงทำงานของคริสตจักรจนเละเทะ? ประการแรก ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ และพวกเขาไม่แสวงหาวิธีแก้ไขปัญหา ส่งผลให้ปัญหาสะสมและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ประการที่สอง ผู้นำเทียมเท็จนั้นมืดบอด และพวกเขาไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่มีความสามารถพิเศษได้ พวกเขาไม่สามารถปรับเปลี่ยนบุคลากรผู้ดูแลทีมได้อย่างเหมาะสม ซึ่งส่งผลให้งานบางอย่างไม่มีผู้รับผิดชอบที่เหมาะสม ทำให้งานหยุดชะงัก ประการที่สาม ผู้นำเทียมเท็จทำตัวเหมือนเจ้าพนักงานมากเกินไป พวกเขาไม่กำกับดูแลหรือชี้นำงาน และเมื่อมีจุดอ่อนในงาน พวกเขาก็ไม่เข้าร่วมอย่างกระตือรือร้นหรือให้คำแนะนำในรายละเอียดของงาน ตัวอย่างเช่น ในงานชิ้นหนึ่ง มีคนหลายคนที่ปฏิบัติงานเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่มีรากฐานมากนัก พวกเขาไม่เข้าใจความจริง ไม่คุ้นเคยกับสายงานนั้นมากนัก และยังไม่เข้าใจหลักธรรมของงานดีพอ ผู้นำเทียมเท็จซึ่งมืดบอด ไม่สามารถมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาเชื่อว่าเป็นการดีแล้วตราบใดที่มีคนทำงานอยู่ ไม่สำคัญว่าจะทำได้ดีหรือแย่ พวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีจุดอ่อนในงานของคริสตจักร พวกเขาควรติดตาม ตรวจสอบ และให้การชี้นำ พวกเขาควรเข้าร่วมแก้ไขปัญหาเป็นการส่วนตัวและสนับสนุนผู้ที่ทำหน้าที่ของตนจนกว่าพวกเขาจะเข้าใจความจริง สามารถปฏิบัติตามหลักธรรม และเข้าสู่หนทางที่ถูกต้อง เมื่อถึงจุดนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานในลักษณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีคนทำงานอยู่ พวกเขาก็ไม่ใส่ใจอีกต่อไป พวกเขาไม่สอบถาม ไม่ว่างานจะดำเนินไปอย่างไร เมื่อมีจุดอ่อนในงาน หรือมีผู้ดูแลที่มีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาก็ไม่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานเป็นการส่วนตัว และพวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในงานด้วยตนเอง และเมื่อผู้ดูแลสามารถแบกรับงานได้ ผู้นำเทียมเท็จก็ยิ่งไม่ตรวจสอบหรือให้การชี้นำเป็นการส่วนตัว พวกเขาเพียงแค่ทำตัวสบายๆ และแม้ว่าจะมีคนรายงานปัญหา พวกเขาก็ไม่สอบถาม—พวกเขาคิดว่าไม่จำเป็น ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานที่เจาะจงใดๆ เหล่านี้เลย โดยสรุปแล้ว ผู้นำเทียมเท็จคือพวกเสื่อมทรามที่ไม่ทำงานจริงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเชื่อว่าสำหรับงานใดๆ ก็ตาม ตราบใดที่มีคนรับผิดชอบและทุกคนพร้อมที่จะรับงาน เรื่องต่างๆ ก็เรียบร้อยดีแล้ว พวกเขาคิดว่าทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือจัดชุมนุมเป็นครั้งคราว และสอบถามหากมีปัญหาเกิดขึ้น ขณะที่ทำงานในลักษณะนี้ ผู้นำเทียมเท็จก็ยังเชื่อว่าตนกำลังทำงานได้ดีและค่อนข้างพอใจในตนเอง พวกเขาคิดว่า “ไม่มีปัญหากับงานชิ้นใดเลย บุคลากรทั้งหมดได้รับการจัดสรรอย่างสมบูรณ์ และผู้ดูแลก็เข้าที่แล้ว ฉันช่างเก่งงานนี้เสียนี่กระไร ช่างมีความสามารถพิเศษจริงๆ!” นี่ไม่ใช่ความไร้ยางอายหรอกหรือ? พวกเขาตาบอดและใจบอดถึงขนาดที่ไม่สามารถมองเห็นงานใดๆ ที่ต้องทำและไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ได้ ในบางแห่ง งานได้หยุดชะงักลงแล้ว แต่พวกเขากลับยังคงพึงพอใจอยู่ตรงนั้น โดยคิดว่า “พี่น้องชายหญิงล้วนเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขาล้วนเป็นเลือดใหม่ พวกเขาจัดการกับหน้าที่ของตนเหมือนมนุษย์พลังสูง พวกเขาสามารถทำงานได้ดีอย่างแน่นอน” ในความเป็นจริงแล้ว คนหนุ่มสาวเหล่านี้เป็นมือใหม่ ไม่มีความเข้าใจในทักษะทางวิชาชีพใดๆ พวกเขาต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับการทำงาน อาจกล่าวได้ว่าพวกเขายังไม่รู้วิธีทำงานเลย บางคนอาจเข้าใจเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และพวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรม และเมื่อพวกเขาทำงานเสร็จแล้ว ก็ต้องมีการแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือแม้กระทั่งทำใหม่บ่อยครั้ง ยังมีคนหนุ่มสาวบางคนที่ไม่ได้รับการฝึกฝนและไม่เคยมีประสบการณ์ถูกตัดแต่ง พวกเขามีนิสัยถ่อยและเกียจคร้านอย่างยิ่ง และละโมบในความสะดวกสบาย พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และเมื่อพวกเขาทนทุกข์เล็กน้อย พวกเขาก็บ่นไม่หยุด ส่วนใหญ่เป็นพวกเสื่อมทรามที่ทำอย่างสุกเอาเผากินซึ่งละโมบความสะดวกสบาย กับคนหนุ่มสาวประเภทนี้ เจ้าต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับความจริงบ่อยครั้งอย่างแน่นอน และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าต้องตัดแต่งพวกเขาด้วย คนหนุ่มสาวเหล่านี้ต้องมีคนคอยรับผิดชอบและดูแลพวกเขา ต้องมีผู้นำหรือคนทำงานคอยรับผิดชอบงานของพวกเขาเป็นการส่วนตัวและให้การกำกับดูแลและชี้นำเป็นการส่วนตัว เมื่อนั้นเท่านั้นงานของพวกเขาจึงอาจจะเกิดผลบ้างเล็กน้อย หากผู้นำหรือคนทำงานออกจากสถานที่ทำงานและไม่ใส่ใจงานหรือไม่สอบถามเกี่ยวกับงาน คนเหล่านี้ก็จะแตกกระจัดกระจาย และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็จะไม่เกิดผลใดๆ เลย แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ พวกเขาเห็นทุกคนเป็นพี่น้องชายหญิง เป็นคนที่เชื่อฟังและนบนอบ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความมั่นใจในตัวพวกเขาสูง และมอบหมายงานให้พวกเขาแล้วก็ไม่ใส่ใจอีกต่อไป—นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุดของการตาบอดและใจบอดของผู้นำเทียมเท็จ ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริงเลยแม้แต่น้อย ไม่สามารถมองเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างชัดเจน และไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ได้ แต่ก็ยังคิดว่าตนกำลังทำได้ดีอยู่ พวกเขาใช้เวลาทั้งวันคิดถึงเรื่องอะไร? พวกเขาคิดถึงวิธีที่จะทำตัวเหมือนเจ้าพนักงานและสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะ ผู้นำเทียมเท็จก็เหมือนกับคนที่ไร้หัวใจและไม่รู้จักคิด ไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่ทำงานจริง แต่กลับรอให้พระนิเวศของพระเจ้ายกย่องและส่งเสริมพวกเขา แท้จริงแล้ว พวกเขานั้นไม่รู้จักความละอาย
ผู้นำเทียมเท็จทำงานของตนไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง และไม่มีส่วนใดที่น่าชมเชยเลย ในภาพรวม พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมได้ นับประสาอะไรกับหลักธรรมในรายละเอียดของงานที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น บางคนมีความสามารถทางวิชาชีพที่เก่งกาจแต่มีความเป็นมนุษย์ที่ย่ำแย่มาก ในขณะที่คนอื่นไม่มีปัญหาในแง่ของความเป็นมนุษย์ แต่กลับมีขีดความสามารถและความสามารถทางวิชาชีพที่ย่ำแย่ เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าจะใช้และจัดสรรคนเหล่านี้อย่างสมเหตุสมผลได้อย่างไร ผู้นำเทียมเท็จยิ่งไม่รู้เรื่องที่เจาะจงและมีรายละเอียดเหล่านี้เข้าไปใหญ่ ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำเทียมเท็จถูกถามว่าพวกเขาพบใครที่มีขีดความสามารถค่อนข้างดีที่สามารถบ่มเพาะได้หรือไม่ พวกเขาก็จะตอบว่ายังไม่พบใครเลย ผู้นำเทียมเท็จมืดบอดถึงเพียงนั้น—แล้วพวกเขาจะพบใครได้อย่างไร? หากคุณถามพวกเขาว่าพี่น้องหญิงคนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร พวกเขาก็จะบอกว่าเธออยากได้ความสุขสบายทางเนื้อหนัง หากถามพวกเขาว่าพี่น้องชายคนนั้นคนนี้เป็นอย่างไร พวกเขาก็จะบอกว่าเขามักจะคิดลบ หากถามพวกเขาเกี่ยวกับคนอื่นอีก พวกเขาก็จะบอกคุณว่าคนคนนั้นเชื่อในพระเจ้ามาไม่นานและขาดรากฐาน ในสายตาของพวกเขา ไม่มีใครได้มาตรฐานเลย พวกเขามองแต่ความผิดพลาด ข้อบกพร่อง และการกระทำผิดของผู้อื่น พวกเขาดูไม่ออกเลยว่าบุคคลใดสอดคล้องกับหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะ หรือเป็นผู้ที่เหมาะสมจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะหรือไม่ พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเหมาะสมสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะอย่างแท้จริง แต่กลับรีบเร่งส่งเสริมบรรดาผู้ที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดและหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างกระตือรือร้นและรวดเร็ว พวกเขาส่งเสริมบรรดาผู้หญิงร่ำรวย ผู้ชายมั่งคั่ง และลูกเศรษฐีในคริสตจักร ตลอดจนบรรดาผู้ที่เคยเป็นเจ้าคนนายคนในโลกภายนอก บรรดาผู้ที่พูดจาฉะฉาน และบรรดาผู้ที่รู้วิธีโกงและต้มตุ๋น—ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาส่งเสริมใครก็ตามที่มีชื่อเสียงและโดดเด่นในโลกภายนอก และใครก็ตามที่ชอบเป็นจุดสนใจ พวกเขาเชื่อว่าคนเหล่านี้เป็นผู้คนที่มีความสามารถพิเศษเพียงกลุ่มเดียว และมองไม่เห็นหรือส่งเสริมแม้แต่คนเดียวที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจอย่างแท้จริงและสามารถยอมรับความจริงได้ สำหรับผู้นำเทียมเท็จแล้ว การจัดหาผู้ที่มีความสามารถพิเศษที่ผ่านการรับรองอย่างแท้จริงแม้เพียงคนเดียวให้แก่พระนิเวศของพระเจ้านั้น ยากยิ่งกว่าการเข็นครกขึ้นภูเขาเสียอีก ตัวอย่างเช่น สมมติว่าปัจจุบันพระนิเวศของพระเจ้าต้องการผู้คนที่มีความสามารถพิเศษสำหรับงานข้อเขียน—มีบุคคลประเภทนี้คนหนึ่งในคริสตจักรที่ผู้นำเทียมเท็จรับผิดชอบอยู่ แต่ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นกลับไม่เสนอชื่อบุคคลนี้ เมื่อถูกถามว่าเหตุใดจึงไม่ส่งเสริมหรือบ่มเพาะบุคคลนั้น พวกเขาก็ตอบว่า “คนคนนั้นเคยล่วงประเวณีสองครั้งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้ทำอีกเลยตั้งแต่แต่งงาน ฉันไม่รู้ว่าควรจะส่งเสริมเขาหรือไม่” นี่มันคำพูดอะไรกัน? เจ้าสามารถรับประกันได้หรือว่าบรรดาคนร่ำรวยและมีอำนาจที่เจ้าส่งเสริมนั้นไม่เคยล่วงประเวณี? คนเหล่านั้นไม่ได้ทำยิ่งกว่านั้นอีกหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมองไม่เห็นเล่า? ผู้นำเทียมเท็จแสร้งทำเป็นเคร่งศาสนาอย่างยิ่ง ทำทีเป็นว่าพวกเขารู้หลักธรรมบางอย่าง และหาข้ออ้างมาแก้ตัวเพื่อที่จะไม่ส่งเสริมผู้ที่ควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ ในสายตาของพวกเขา ทุกคนล้วนด้อยกว่าตน ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? บรรดา “ผู้สูงศักดิ์” และ “ผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ” ที่ผู้นำเทียมเท็จส่งเสริมนั้นได้ยืนหยัดมั่นคงหรือไม่? เราไม่ได้กำลังบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนไม่ดีอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่พวกเรากำลังเปิดโปงเป็นหลักก็คือ หลักธรรมของผู้นำเทียมเท็จในการปฏิบัตต่อผู้คนคือใช้มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เป็นเครื่องวัด แทนที่จะใช้ความจริง และหลักธรรมของพวกเขาในการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนคือการยึดถือมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และความชอบพอของตนเอง ซึ่งเป็นมุมมองของผู้ไม่มีความเชื่อทั้งสิ้น แทนที่จะใช้มาตรฐานที่กำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเครื่องวัด เหตุใดผู้นำเทียมเท็จจึงสามารถทำเช่นนี้ได้? เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาจึงสามารถส่งเสริมผู้ที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย มุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะพวกเขา และปล่อยให้พวกเขาดำรงตำแหน่งงานที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า นี่คืองานที่ผู้นำเทียมเท็จทำ จงดูผู้นำเทียมเท็จรอบตัวคุณเถิด นี่ไม่ใช่วิธีที่พวกเขาทำงานและปฏิบัติต่อผู้คนหรอกหรือ?
มีมุมมองหนึ่งที่มักจะเผยออกมาในตัวผู้นำเทียมเท็จคือ พวกเขาคิดว่าบรรดาผู้ที่มีความรู้ บรรดาผู้ที่มีสถานะ และบรรดาผู้ที่เคยเป็นเจ้าคนนายคนในโลกภายนอกล้วนเป็นผู้คนที่มีความสามารถพิเศษ และคนเช่นนี้ควรได้รับการบ่มเพาะและใช้งานโดยพระนิเวศของพระเจ้าหลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเคารพนับถือและบูชาคนเหล่านั้นอย่างแท้จริง—ถึงกับปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนญาติสนิทและสมาชิกในครอบครัวของตน เมื่อพวกเขาแนะนำคนเหล่านี้ให้ผู้อื่น ก็มักจะพูดถึงว่าในโลกภายนอก พวกเขาเคยเป็นเจ้านายของบริษัทใด หรือเป็นผู้นำของหน่วยงานรัฐบาลใด หรือเป็นบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับใด หรือเป็นผู้อำนวยการในกรมตำรวจ หรือไม่ก็พูดถึงว่าคนเหล่านั้นร่ำรวยเพียงใด ผู้นำเทียมเท็จให้ความสำคัญกับคนเช่นนี้เป็นพิเศษ พวกเจ้าว่าอย่างไร ผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถหรือไม่? นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาแสร้งทำเป็นเคร่งศาสนาและมองไม่ทะลุถึงสิ่งต่างๆ หรอกหรือ? ผู้นำเทียมเท็จคิดว่าในเมื่อคนเหล่านี้เป็นผู้คนที่มีความสามารถพิเศษในสังคม พระนิเวศของพระเจ้าก็ควรบ่มเพาะพวกเขาและให้พวกเขามีบทบาทสำคัญเมื่อพวกเขามาที่นี่ มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่? สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่? หากคนเหล่านี้ไม่รักความจริงเลยแม้แต่น้อย และปราศจากมโนธรรมและเหตุผล พระนิเวศของพระเจ้าจะสามารถบ่มเพาะและให้พวกเขามีบทบาทสำคัญได้หรือ? พวกเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับการบ่มเพาะ การที่พวกเขาเคยเป็นผู้คนที่มีความสามารถพิเศษในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่มีความสามารถพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้า แต่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้รักการเป็นเจ้าคนนายคน และบูชาคนอื่นที่เคยเป็นเจ้าคนนายคนเป็นพิเศษ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นคนที่เคยเป็นเจ้าคนนายคนหรือมีสถานะในโลกภายนอก พวกเขาก็จะค้อมหัวประจบประแจงและทำตัวต่ำต้อยราวกับทาสต่อหน้านาย พวกเขาอยากจะเรียกคนเหล่านั้นว่าพ่อหรือแม่ หรือพี่สาวหรือพี่ชายอย่างยิ่ง และยังปรารถนาที่จะให้คนเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานในคริสตจักรอีกด้วย จงบอกเราเถิด คนเหล่านี้เป็นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? การที่พวกเขามีสถานะเล็กน้อยและมีชื่อเสียงอยู่บ้างในโลกภายนอกหมายความว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะรับใช้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือ? หากพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่โอหังและทะนงตน พวกเขาสมควรที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? การส่งเสริมผู้คนโดยมุ่งเน้นเพียงสถานะและชื่อเสียง และเพิกเฉยต่อคุณลักษณะของพวกเขานั้นสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่? ผู้นำเทียมเท็จรู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงโปรดปรานคนประเภทใด และพระองค์ทรงส่งเสริมและใช้งานคนประเภทใด? การจัดเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้เน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ผู้คนจะต้องได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะตามมาตรฐานสามประการคือ ประการแรก พวกเขาต้องมีความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผล ประการที่สอง พวกเขาต้องเป็นคนที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้ และประการที่สาม พวกเขาต้องมีขีดความสามารถในระดับหนึ่งและมีความสามารถในการทำงาน เฉพาะผู้ที่ตรงตามมาตรฐานสามประการนี้เท่านั้นที่สามารถได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ และมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้สมัครและเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ ลำพังแค่ขีดความสามารถและความสามารถพิเศษนั้นย่อมไม่เพียงพออย่างสิ้นเชิง คุณลักษณะต้องมาก่อน และประการที่สอง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสามารถยอมรับความจริงได้—สองประการนี้คือมาตรฐานที่สำคัญที่สุด หากคนชั่วที่ไม่รักความจริงได้รับการส่งเสริม ผลที่ตามมาย่อมเป็นหายนะ ดังนั้นผู้ที่ขาดความเป็นมนุษย์จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับการส่งเสริมอย่างเด็ดขาด แต่ผู้นำเทียมเท็จเพิกเฉยต่อข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อเลือกและใช้คน พวกเขามักจะมุ่งเน้นไปที่ว่าบุคคลนั้นมีสถานะในสังคมหรือไม่ ภูมิหลังและตำแหน่งของพวกเขาเป็นอย่างไร ได้รับการศึกษาระระดับสูงหรือไม่ และชื่อเสียงของพวกเขาในสังคมสูงส่งเพียงใด—สิ่งเหล่านี้คือแง่มุมที่พวกเขามุ่งเน้นเมื่อส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน นี่สอดคล้องกับหลักธรรมที่กำหนดโดยพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? นี่สอดคล้องกับความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? บรรดาผู้ที่มีสถานะในสังคมคือใครกัน? อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้ที่ต่อสู้เพื่ออำนาจและสถานะโดยไม่เลือกวิธีการ และพวกเขาจัดอยู่ในพวกของซาตาน หากพวกเขาใช้อำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า พระนิเวศของพระเจ้าจะยังคงเป็นคริสตจักรของพระเจ้าอยู่หรือไม่? เป้าหมายของผู้นำเทียมเท็จในการส่งเสริมผู้ที่เป็นของซาตานให้มาเป็นผู้นำคืออะไร? การกระทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าในการบ่มเพาะและใช้งานผู้คนหรือไม่? นี่ไม่ใช่การก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักรอย่างโจ่งแจ้งหรอกหรือ? การส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนอย่างไม่มีหลักธรรมโดยผู้นำเทียมเท็จคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนต่องานของคริสตจักรมากที่สุด และเป็นหนทางที่ต่อต้านพระเจ้า
ผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถที่ย่ำแย่มากและไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนามากเพียงใดหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ หรือเข้าใจความจริง และไม่ว่าพวกเขาจะเทศนาคำสอนมานานกี่ปี พวกเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ตนกำลังพูด เป็นเพียงคำพูดเหลวไหลที่ไร้สาระและจับต้นชนปลายไม่ถูก! พวกเขาจำและเทศนาคำสอนได้เล็กน้อย ก็เลยคิดว่าตนมีความเป็นจริงความจริง แต่ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำเกี่ยวข้องกับความจริงเลย—คนเหล่านี้คือพวกฟาริสีแบบดั้งเดิม เมื่อมองจากภายนอก ดูเหมือนว่าพวกเขามักจะเทศนาให้ผู้คนฟัง และพูดสิ่งที่ฟังดูดี ราวกับว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่สิ่งที่พวกเขาทำนั้นตรงกันข้ามและขัดแย้งกับความจริง พวกเขายังอ้างว่าตนกำลังรับใช้พระเจ้าและทำงานของคริสตจักร ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าอย่างที่สุด ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยส่งเสริมผู้คนที่มีความสามารถพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาเพิกเฉยและทำเป็นมองไม่เห็นคนค่อนข้างซื่อสัตย์ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง แต่พวกเขากลับส่งเสริมและบ่มเพาะบรรดาผู้ที่ประจบสอพลอ บรรดาผู้ที่เจ้าเล่ห์และหลอกลวง และบรรดาผู้ที่มีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีให้มารับงานในคริสตจักร ผลก็คือ เมื่อคนเหล่านั้นทำงานไประยะหนึ่ง งานต่างๆ ของคริสตจักรก็หยุดชะงักและแทบจะเข้าสู่สภาวะอัมพาต และดังนั้นงานของคริสตจักรจึงถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ คนประเภทที่ผู้นำเทียมเท็จเป็นนั้นน่าชิงชังมิใช่หรือ? พวกเขาควรถูกปลดหรือไม่? พวกเขาต้องถูกปลด! การล่าช้าแต่ละวันส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรไปทั้งวัน ผู้นำเทียมเท็จบางคน แม้จะรู้ว่าตนไม่สามารถทำงานจริงได้ ก็ไม่เต็มใจที่จะลาออกโดยสมัครใจ และยังคงหมกมุ่นอยู่กับผลประโยชน์ทางสถานะ และถึงกับยอมสร้างผลเสียต่องานของคริสตจักร คนเหล่านี้มีเหตุผลแม้แต่น้อยนิดหรือไม่? ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจ หรือความสามารถพิเศษที่แท้จริงและความรู้ที่แท้จริงใดๆ และไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งยังละโมบผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง—พวกเขาเป็นคนที่หน้าหนาไร้ยางอาย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไม่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะอย่างเด็ดขาด หากเจ้าคิดว่าขีดความสามารถของเจ้าแย่มาก และเจ้าไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดี ทั้งยังไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร อย่าตามใจความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของเจ้า และอย่ามัวคิดว่าจะไต่เต้าไปเป็นเจ้าคนนายคนในคริสตจักร—เป็นผู้นำคริสตจักร—ได้อย่างไร การเป็นผู้นำนั้นไม่ง่ายเลย หากเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์และไม่รักความจริง ทันทีที่เจ้าได้เป็นผู้นำ เจ้าก็จะเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือผู้นำเทียมเท็จ ทั้งศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จต่างก็เป็นคนที่ปราศจากมโนธรรมและเหตุผล และเป็นคนที่สามารถทำชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักรได้ จริงอยู่ที่ศัตรูของพระคริสต์คือหมู่มารและเหล่าซาตาน แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ใช่คนดีเช่นกัน อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็เป็นคนที่หน้าด้านไร้ยางอาย ปราศจากมโนธรรมและเหตุผล การเป็นผู้นำเทียมเท็จและถูกปลดนั้นมีอะไรน่าภาคภูมิใจหรือ? มันน่าละอาย เป็นมลทิน และไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจเลยอย่างสิ้นเชิง หากเจ้ามีสำนึกในภาระต่องานของคริสตจักร และปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมในงานนั้น นี่เป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าต้องทบทวนว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่ สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ สามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่ และสามารถดำเนินงานของคริสตจักรอย่างถูกควรตามการจัดเตรียมงานได้หรือไม่ หากเจ้าตรงตามหลักเกณฑ์เหล่านี้ เจ้าก็อาจลงสมัครเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ สิ่งที่เราหมายถึงโดยการกล่าวเช่นนี้ก็คือ อย่างน้อยที่สุด ผู้คนต้องมีความตระหนักรู้ในตนเอง ก่อนอื่นจงดูว่าเจ้าสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะในตัวผู้คนได้หรือไม่ สามารถเข้าใจความจริงและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้หรือไม่ หากเจ้าตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ เจ้าก็เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าไม่สามารถประเมินตนเองได้ เจ้าสามารถถามคนรอบข้างที่คุ้นเคยกับเจ้าหรือใกล้ชิดกับเจ้าได้ หากพวกเขาทุกคนบอกว่าเจ้ามีขีดความสามารถไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้นำ และเพียงแค่ทำงานปัจจุบันของเจ้าให้ดีก็ยอดเยี่ยมแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรรีบมารู้จักตนเอง ในเมื่อเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ ก็อย่ามัวแต่อยากเป็นผู้นำ—เพียงแค่ทำสิ่งที่ตนทำได้ ทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นรูปธรรมและมั่นคง เพื่อที่เจ้าจะสามารถมีจิตใจที่สงบสุขได้ นี่ก็ดีเช่นกัน และหากเจ้าสามารถเป็นผู้นำได้ หากเจ้ามีขีดความสามารถและความสามารถพิเศษเช่นนั้นอย่างแท้จริง หากเจ้ามีความสามารถในการทำงาน และมีสำนึกในภาระหน้าที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนประเภทที่มีความสามารถพิเศษที่พระนิเวศของพระเจ้าขาดแคลนอย่างแท้จริง และเจ้าจะได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะอย่างแน่นอน แต่ทุกสิ่งย่อมมีเวลาของพระเจ้า ความปรารถนานี้—ความปรารถนาที่จะได้รับการส่งเสริม—ไม่ใช่ความทะเยอทะยาน แต่เจ้าต้องมีขีดความสามารถ และตรงตามหลักเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำแต่ยังคงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอยากเป็นผู้นำ หรืออยากรับงานที่สำคัญบางอย่าง หรืออยากรับผิดชอบงานโดยรวม หรืออยากทำบางสิ่งที่ทำให้เจ้าโดดเด่น เช่นนั้นแล้วเราขอบอกเจ้าว่า นี่คือความทะเยอทะยาน ความทะเยอทะยานสามารถนำมาซึ่งหายนะได้ ดังนั้นเจ้าควรระวังมัน ผู้คนทุกคนมีความปรารถนาที่จะก้าวหน้าและทุกคนเต็มใจที่จะพยายามมุ่งไปสู่ความจริง ซึ่งไม่ใช่ปัญหา บางคนมีขีดความสามารถ ตรงตามหลักเกณฑ์สำหรับการเป็นผู้นำ และสามารถพยายามมุ่งไปสู่ความจริงได้ และนี่เป็นสิ่งที่ดี คนอื่นไม่มีขีดความสามารถ ดังนั้นพวกเขาควรยึดมั่นในหน้าที่ของตนเอง ปฏิบัติหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างถูกควร และทำตามหลักธรรม และตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นดีกว่า ปลอดภัยกว่า และเป็นจริงมากกว่า
บรรดาผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำและคนทำงานหรือได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะไม่ควรคิดฝันเฟื่อง โดยรู้สึกว่า “พี่น้องชายหญิงเลือกฉันจากคนมากมาย พระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมฉัน ดังนั้นฉันจึงมีความสามารถพิเศษอยู่บ้าง และดีกว่าคนธรรมดา เพชรแท้ย่อมเปล่งประกายในท้ายที่สุด” การคิดเช่นนี้ดีหรือไม่? นี่ไม่ใช่การเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมาหรอกหรือ? (ใช่) การได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะเป็นสิ่งที่ดีและเป็นโอกาสที่ดี แต่เจ้าจะสามารถเดินบนเส้นทางนี้ได้ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเข้าหาโอกาสนี้อย่างไรและสามารถให้คุณค่ากับมันได้หรือไม่ พระเจ้าประทานโอกาสนี้แก่เจ้าแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าดีกว่าใครจริงๆ อาจเป็นได้ว่าขีดความสามารถของเจ้าดีกว่าคนอื่นเล็กน้อยหรือเจ้ามีพรสวรรค์บางอย่าง แต่ยากที่จะบอกได้ว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าเป็นอย่างไรและเจ้ามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่—เพราะอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของทุกคนเหมือนกัน และเจ้าก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามด้วย หากเจ้าสามารถตระหนักถึงสิ่งนี้ได้ เจ้าก็จะสามารถเข้าหาการได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะโดยพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง เจ้าไม่ควรถือว่าตนเองเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ หรือคิดว่าตนมีความเป็นจริงความจริง เป็นเพียงแค่ว่าเจ้ามีขีดความสามารถอยู่บ้างและยังสามารถพยายามมุ่งไปสู่ความจริงได้ ดังนั้นเจ้าจึงได้รับโอกาสให้ฝึกฝนตนเอง นี่เป็นช่วงทดลองงาน และยังไม่แน่นอนว่าเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่าเจ้าคู่ควรที่จะได้รับการบ่มเพาะหรือไม่ ยากที่จะบอกได้ว่าเจ้าจะสามารถยืนหยัดมั่นคงได้หรือไม่หลังจากที่ได้รับบททดลองในช่วงเวลานี้ อาจเป็นได้ว่าเจ้าจะถูกเก็บไว้เพื่อรับการบ่มเพาะต่อไป หรืออาจเป็นได้ว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป—ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าพยายามมากเพียงใด นี่คือทั้งหมดที่เกี่ยวกับการส่งเสริมผู้คนให้เป็นผู้นำและคนทำงาน และเจ้าควรเข้าใจสิ่งนั้น การที่เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษนั้นไร้ประโยชน์ หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่ส่งเสริมเจ้าและบ่มเพาะเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เต็มใจที่จะได้รับการใช้งานโดยพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ หากเจ้าพูดว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช้งานฉัน ฉันจะออกไปสู่สังคม” เช่นนั้นแล้วก็จงออกไปสู่สังคมและลองดูสิ ดูว่าใครจะส่งเสริมเจ้า และดูว่าเจ้าสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้บ้าง สิ่งที่เราหมายถึงโดยการกล่าวเช่นนี้ก็คือการบอกพวกเจ้าว่า พวกเจ้าต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องและเข้าหาการส่งเสริมและบ่มเพาะของพวกเจ้าโดยพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้อง บรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำหรือปานกลางและไม่สามารถตรงตามมาตรฐานที่กำหนดสำหรับการส่งเสริมและบ่มเพาะในพระนิเวศของพระเจ้าได้นั้น เพียงแค่ต้องลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างนบนอบและมั่นคงเท่านั้น ตราบใดที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตสิ้นสุดใจ พระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่ยุติธรรม ดังนั้น อย่าต่อสู้แย่งชิงเรื่องการส่งเสริมและบ่มเพาะ แต่ก็อย่าปฏิเสธเช่นกัน เพียงแค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ในแง่หนึ่ง เจ้าต้องเชื่อฟังการจัดแจงของพระนิเวศของพระเจ้า และในอีกแง่หนึ่ง เจ้าต้องมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า—นี่คือหนทางที่ถูกต้อง การทำเช่นนี้ง่ายหรือไม่? (ใช่ ง่าย) การที่คนที่มีขีดความสามารถต่ำเป็นผู้นำนั้นมีประโยชน์อะไรหรือไม่? ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและถูกกำจัดออกไป พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้? มันจะเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องการหรือไม่? (ไม่) เจ้าจะถูกตีตราว่าเป็น “ผู้นำเทียมเท็จ” และไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด ผู้คนก็จะพูดว่า “คนคนนี้เคยเป็นผู้นำเทียมเท็จ” นั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ไม่ดี? มันไม่ใช่สิ่งที่ดี และไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจ ผู้คนต้องมีความเข้าใจและทัศนคติที่ถูกต้องต่อการส่งเสริมและบ่มเพาะ ในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาต้องแสวงหาความจริง และไม่ทำตามเจตจำนงของตนเอง หรือมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี หากเจ้าคิดว่าเจ้ามีขีดความสามารถที่ดีแต่พระนิเวศของพระเจ้าไม่เคยส่งเสริมเจ้า และไม่มีแผนที่จะบ่มเพาะเจ้า เช่นนั้นแล้วก็อย่าท้อแท้หรือเริ่มพร่ำบ่น เพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเสาะหาความจริงและพยายามก้าวไปข้างหน้า เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะอยู่บ้างและสามารถทำงานจริงได้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะเลือกเจ้าให้เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ และหากเจ้าคิดว่าเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ และเจ้าไม่มีโอกาสที่จะได้รับการส่งเสริมหรือบ่มเพาะ และเป็นไปไม่ได้ที่ความทะเยอทะยานของเจ้าจะสำเร็จ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ? นี่จะคุ้มครองเจ้า! ในเมื่อเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ หากเจ้าพบเจอกลุ่มคนเลอะเลือนที่มืดบอดซึ่งเลือกเจ้าให้เป็นผู้นำของพวกเขา นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้าถูกจับไปย่างบนกองไฟหรอกหรือ? เจ้าไม่สามารถทำงานใดๆ ได้ และตาและใจของเจ้าก็มืดบอด ทุกสิ่งที่เจ้าทำคือการขัดขวาง ทุกย่างก้าวของเจ้าคือการทำชั่ว สู้ทำหน้าที่ปัจจุบันของเจ้าให้ดีเสียยังดีกว่า อย่างน้อยเจ้าก็จะไม่ต้องอับอายขายหน้า และมันก็ดีกว่าการเป็นผู้นำเทียมเท็จแล้วถูกคนนินทาว่าร้ายลับหลัง ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าต้องรู้จักประมาณตน มีความตระหนักรู้ในตนเองอยู่บ้าง หากเจ้าทำได้ เจ้าก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการเดินบนเส้นทางที่ผิดและทำผิดพลาดร้ายแรงได้
พวกเจ้าปรารถนาที่จะเป็นผู้นำเทียมเท็จ หรือผู้ติดตามธรรมดา? (ผู้ติดตามธรรมดา) หากพี่น้องชายหญิงออกเสียงเลือกเจ้า จงลองดูสักตั้ง บางทีทัศนะที่พวกเขามองเจ้าอาจจะถูกต้องแม่นยำกว่าความรู้สึกที่เจ้ามีต่อตัวเจ้าเอง หากพี่น้องชายหญิงคิดว่าเจ้าสามารถทำการนั้นได้ เจ้าก็ควรทำงานนั้นอย่างสุดความสามารถของเจ้า หากเจ้าพยายามอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ แต่ยังคงล้มเหลวในงานของเจ้า และหัวใจของเจ้าก็ร้อนรนกระวนกระวาย จนเจ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ และเจ้าไม่รู้วิธีทำการนั้นอย่างถูกต้องเหมาะสม เช่นนั้นแล้วก็จงหยุดเป็นผู้นำหรือคนทำงาน—การนั้นหนักหนาเกินไปสำหรับเจ้า หากเจ้าดำเนินการต่อไป เจ้าย่อมมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จ ดังนั้นเจ้าจึงควรเขียนจดหมายลาออกโดยไม่รอช้า โดยแจ้งว่า “เพราะข้าพเจ้ามีขีดความสามารถอ่อนด้อย และไม่สามารถทำงานจริง หากข้าพเจ้าเป็นผู้นำต่อไป ไม่นานข้าพเจ้าก็จะลงเอยด้วยการเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าพระเจ้าจึงขอลาออก และสละตำแหน่งนี้ด้วยความเต็มใจ” นี่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ทรงปัญญาที่สุด นี่คือสิ่งที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำ กล่าวคือ เป็นสิ่งที่มีเหตุผล และดีกว่าการยึดครองตำแหน่งและการเป็นผู้นำเทียมเท็จ หากเจ้ารู้อย่างดีทีเดียวว่าเจ้ามีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไร้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำได้ แต่ไม่สามารถทำใจสละสถานะ และพูดกับตัวเองว่า “เหตุใดเล่าฉันจึงไม่สามารถทำการนี้? ใครสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ฉันได้บ้าง? จะดีแค่ไหนถ้าฉันจะรักษาสถานะผู้นำของฉันไว้โดยมีคนอื่นคอยวางแผนและวางกลยุทธ์ให้ฉันทั้งหมด! ตอนนี้ยังไม่มีใครที่เหมาะสมจะมาแทนที่ฉันได้ ดังนั้นฉันก็เป็นผู้นำต่อไปและดื่มด่ำกับความสุขสบายของตำแหน่งนี้ไปวันๆ แม้ว่าฉันจะทำงานไม่ได้ ฉันก็ยังเป็นผู้นำ และการเป็นผู้นำก็ดีกว่าการเป็นพี่น้องชายหญิงธรรมดา ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ปลดฉันและพี่น้องชายหญิงไม่ถอดถอนฉัน ฉันก็จะไม่ลาออก” นี่เหมาะสมหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่เหมาะสม? (มันไร้เหตุผล ถ้าข้าพระองค์ทำงานจริงไม่ได้แล้วยังไม่ลาออก ก็มีแต่จะหน่วงเหนี่ยวงานของคริสตจักร) การกระทำเช่นนี้ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า—มันทำร้ายผู้อื่น และทำร้ายตัวเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเป็นผู้นำหมายความว่าอย่างไร? มันหมายความว่าเจ้ามีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนมากมาย และการนำของเจ้าก็มีความสัมพันธ์โดยตรงกับวิธีที่พวกเขาจะเดินบนเส้นทางเบื้องหน้า หากเจ้านำได้ดีและนำพวกเขาไปสู่หนทางที่ถูกต้อง พวกเขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่หนทางที่ถูกต้องได้ หากเจ้านำทางได้แย่ และนำพวกเขาไปสู่ความล้มเหลว และพวกเขากลายเป็นฟาริสีเช่นเจ้า เช่นนั้นแล้วบาปของเจ้าก็ใหญ่หลวง! และหลังจากที่เจ้ากระทำบาปใหญ่หลวงนี้ นั่นจะเป็นปลายทางของการนั้นหรือไม่? พระเจ้าจะทรงบันทึกการนั้นไว้! เจ้ารู้อย่างดีทีเดียวว่าขีดความสามารถของเจ้าอ่อนด้อย ว่าเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จ และไร้ความสามารถที่จะทำงานได้จริง กระนั้นเจ้าก็ไม่ยอมรับความผิดของตนเองและลาออก แต่เกาะติดตำแหน่งของเจ้าอย่างไม่เกรงกลัว และไม่สละตำแหน่งนี้ให้ใครคนอื่น นี่เป็นบาป และพระเจ้าจะทรงลงบัญชีไว้ และการที่พระองค์ทรงลงบัญชีไว้ดีหรือแย่สำหรับเจ้าในอนาคต? เจ้าย่อมจะเดือดร้อน! เราจะบอกความจริงอันซื่อสัตย์แก่เจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงลงบัญชีสิ่งดังกล่าวไว้สำหรับทุกบุคคล และทุกรายการย่อมถูกจดบันทึกอย่างชัดเจน หากบางสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งนักจะเกิดขึ้นบนเส้นทางสู่ความรอดของเจ้า เช่นนั้นแล้วผลกระทบต่อเจ้าก็คงจะมหาศาล! ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม จงอย่าเดินบนเส้นทางนี้ และจงอย่าเป็นบุคคลประเภทนี้
เราได้สามัคคีธรรมกันอย่างคร่าวๆ เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติและการสำแดงบางอย่างของผู้นำเทียมเท็จในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ โดยสรุปแล้ว คนประเภทที่เป็นผู้นำเทียมเท็จนั้นไม่ทำงานจริง และไม่สามารถทำงานจริงได้ ขีดความสามารถของพวกเขาย่ำแย่ ตาและใจของพวกเขามืดบอด พวกเขาไม่สามารถค้นพบปัญหาได้ และมองไม่ทะลุผู้คนประเภทต่างๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแบกรับงานที่สำคัญของการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษประเภทต่างๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางที่จะทำงานของคริสตจักรได้ดี และจะก่อให้เกิดความยุ่งยากมากมายแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้แล้ว ก็เป็นที่ชัดเจนว่าผู้นำเทียมเท็จไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำคริสตจักร ยังมีผู้นำเทียมเท็จคนอื่นที่ไม่ทำงานที่เจาะจงของคริสตจักรและไม่ติดต่อกับผู้ดูแลของงานที่เจาะจง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าผู้คนที่มีความสามารถพิเศษคนใดสามารถทำงานอะไรได้ เหมาะสมกับงานอะไร หรือการทำงานของพวกเขาสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนที่มีความสามารถพิเศษได้ แล้วคนเช่นนี้จะทำงานของคริสตจักรให้ดีได้อย่างไร? เหตุผลหลักที่ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานจริงได้ก็คือขีดความสามารถของพวกเขาย่ำแย่ พวกเขาไม่มีความเข้าใจในสิ่งใดและไม่รู้ว่างานจริงคืออะไร ซึ่งนำไปสู่การำทำให้งานของคริสตจักรอยู่ในสภาวะที่หยุดนิ่งหรือเป็นอัมพาตบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระนิเวศของพระเจ้าได้เน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องชำระคนชั่วและผู้ไม่เชื่อออกไป และปลดผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ เหตุใดจึงต้องชำระคนชั่วและผู้ไม่เชื่อต่างๆ ออกไป? เพราะหลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี คนเหล่านี้ก็ยังไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย และได้มาถึงจุดที่พวกเขาหมดหวังที่จะได้รับความรอดแล้ว และเหตุใดจึงต้องปลดผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จทั้งหมด? เพราะพวกเขาไม่ทำงานจริง และไม่เคยส่งเสริมหรือบ่มเพาะบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับเอาแต่ใช้ความพยายามไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งนี้ทำให้งานของคริสตจักรตกอยู่ในความโกลาหลและเป็นอัมพาต ปล่อยให้ปัญหาที่มีอยู่คาราคาซังและไม่ได้รับการแก้ไข และยังทำให้การเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรช้าลงอีกด้วย หากผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จเหล่านี้ทั้งหมดถูกปลด และหากคนชั่วและผู้ไม่เชื่อที่ก่อกวนคริสตจักรเหล่านี้ทั้งหมดถูกชำระออกไป งานของคริสตจักรก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยธรรมชาติ ชีวิตของคริสตจักรก็จะดีขึ้นมากโดยธรรมชาติ และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนได้อย่างปกติ และเข้าสู่หนทางที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้าได้ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จะทอดพระเนตรเห็น
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021