หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)

ประการที่ห้า: คงไว้ซึ่งการทำความเข้าใจและความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานะและความคืบหน้าของงานแต่ละงาน และสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขความเบี่ยงเบน และแก้ไขข้อบกพร่องในงานได้อย่างทันท่วงทีเพื่อที่งานนั้นจะได้คืบหน้าไปอย่างราบรื่น

สามัคคีธรรมของวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่ห้าของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “คงไว้ซึ่งการทำความเข้าใจและความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานะและความคืบหน้าของงานแต่ละงาน และสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขความเบี่ยงเบน และแก้ไขข้อบกพร่องในงานได้อย่างทันท่วงทีเพื่อที่งานนั้นจะได้คืบหน้าไปอย่างราบรื่น”  เราจะมุ่งเน้นหน้าที่รับผิดชอบนี้เพื่อชำแหละการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จ เพื่อพิจารณาว่าผู้นำเทียมเท็จได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในงานนี้หรือไม่ และพวกเขายึดมั่นในหน้าที่และปฏิบัติงานได้ดีเพียงใด

ผู้นำเทียมเท็จหมกมุ่นอยู่กับความสะดวกสบายและไม่ลงลึกถึงระดับปฏิบัติงานเพื่อความเข้าใจในงานนั้น

หน้าที่รับผิดชอบประการที่ห้าของผู้นำและคนทำงานได้กล่าวถึงการ “คงไว้ซึ่งการทำความเข้าใจและความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานะและความคืบหน้าของงานแต่ละงาน” เป็นอันดับแรก  คำว่า “สถานะของงานแต่ละงาน” นั้นหมายถึงอะไร?  หมายถึงสภาวะปัจจุบันของงานงานหนึ่งว่าเป็นอย่างไร  ในที่นี้ ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจสิ่งใด?  ตัวอย่างเช่น บุคลากรกำลังทำงานที่เฉพาะเจาะจงอะไรอยู่ พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับกิจกรรมใด กิจกรรมเหล่านี้จำเป็นหรือไม่ เป็นงานหลักและสำคัญหรือไม่ บุคลากรเหล่านี้มีประสิทธิภาพเพียงใด งานกำลังคืบหน้าไปอย่างราบรื่นหรือไม่ จำนวนบุคลากรเหมาะสมกับปริมาณงานหรือไม่ ทุกคนได้รับมอบหมายงานอย่างเต็มที่หรือไม่ มีกรณีใดที่บุคลากรมากเกินไปสำหรับงานบางอย่างหรือไม่—กล่าวคือมีบุคลากรล้นงาน และคนส่วนใหญ่ก็ว่างงาน—หรือกรณีที่ปริมาณงานมากเกินไปแต่บุคลากรน้อยเกินไป และผู้กำกับดูแลงานก็ไม่อาจสั่งการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานต่ำและความคืบหน้าล่าช้า  ทั้งหมดนี้คือสถานการณ์ที่ผู้นำและคนทำงานควรมีความเข้าใจ  นอกจากนี้ ระหว่างการปฏิบัติงานแต่ละงาน มีใครก่อให้เกิดการรบกวนหรือทำลายงานนั้นอยู่หรือไม่ มีใครขัดขวางความคืบหน้าหรือบ่อนทำลายหรือไม่ มีการแทรกแซงหรือการทำแบบสุกเอาเผากินเกิดขึ้นหรือไม่—เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจเช่นกัน  แล้วพวกเขาจะความเข้าใจปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร?  ผู้นำบางคนอาจจะโทรศัพท์ไปสอบถามเป็นครั้งคราวว่า “ตอนนี้พวกคุณกำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า?”  เมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบว่ายุ่งมาก พวกเขาก็อาจจะกล่าวตอบว่า “ดีแล้ว ตราบใดที่พวกคุณยุ่งอยู่ ฉันก็สบายใจ”  พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับวิธีการทำงานเช่นนี้?  พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับคำถามนี้?  นี่เป็นคำถามที่สำคัญและจำเป็นต้องถามหรือไม่?  นี่คือลักษณะเฉพาะของงานของผู้นำเทียมเท็จ—พวกเขาก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น  พวกเขาพอใจกับการทำงานผิวเผินเพียงเล็กน้อยเพื่อให้มโนธรรมของตนผ่อนคลายลงบ้าง แต่ไม่ได้มุ่งเน้นการทำงานจริงจัง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการลงไปยังระดับปฏิบัติงานในแต่ละฝ่าย เพื่อทำความเข้าใจสถานะปัจจุบันของงาน  ตัวอย่างเช่น การจัดสรรบุคลากรเหมาะสมหรือไม่ งานกำลังดำเนินไปอย่างไร มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่—ปัญหาที่แท้จริงเหล่านี้ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ไถ่ถาม แต่กลับไปหาที่ลับตาคนเพื่อกิน ดื่ม และหาความสุขสำราญให้กับตัวเองโดยไม่ต้องทนแดดร้อนหรือลมแรง  พวกเขาเพียงแค่ส่งจดหมายหรือให้คนไปสอบถามแทนเป็นครั้งคราว โดยคิดว่านี่ถือเป็นการทำงานของตนแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น พี่น้องชายหญิงอาจจะไม่ได้เห็นหน้าพวกเขาเป็นเวลาสิบวันหรือครึ่งเดือน  เมื่อถูกถามว่า “ผู้นำของพวกคุณกำลังยุ่งอยู่กับอะไร?  พวกเขากำลังทำงานที่เป็นรูปธรรมหรือเปล่า?  พวกเขากำลังให้การชี้แนะและแก้ไขปัญหาให้พวกคุณอยู่หรือไม่?”  พี่น้องชายหญิงก็ตอบว่า “อย่าให้พูดเลย พวกเราไม่เห็นผู้นำของเรามาเป็นเดือนแล้ว  ตั้งแต่การชุมนุมครั้งล่าสุดที่เขาจัดให้พวกเรา เขาก็ไม่เคยมาอีกเลย และตอนนี้พวกเราก็มีปัญหามากมายโดยไม่มีใครช่วยแก้ไข  ไม่มีทางอื่นแล้ว ผู้กำกับดูแลกลุ่มของพวกเราและพี่น้องชายหญิงจึงต้องมารวมตัวกันอธิษฐานและแสวงหาหลักธรรม เพื่อหารือและร่วมมือกันทำงาน  ผู้นำที่นี่ไม่ทำอะไรเลย ตอนนี้พวกเราก็เหมือนไม่มีผู้นำ”  ผู้นำคนนี้ทำงานของตนได้ดีเพียงใด?  เบื้องบนถามผู้นำคนนี้ว่า “หลังจากภาพยนตร์เรื่องล่าสุดเสร็จสิ้นลง คุณได้รับบทใหม่บ้างไหม?  ตอนนี้คุณกำลังถ่ายทำอะไรอยู่?  งานคืบหน้าไปอย่างไรบ้าง?”  ผู้นำตอบว่า “ฉันไม่ทราบ  หลังจากภาพยนตร์เรื่องล่าสุด ฉันได้มีการชุมนุมกับพวกเขาหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นพวกเขาก็มีกำลังใจดี ไม่คิดลบ และไม่มีความยากลำบากใดๆ  พวกเรายังไม่ได้พบกันอีกเลยตั้งแต่นั้นมา  ถ้าคุณอยากทราบสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขา ฉันสามารถโทรศัพท์ไปสอบถามให้คุณได้นะ”  “ทำไมคุณถึงไม่โทรศัพท์ไปทำความเข้าใจสถานการณ์ให้เร็วกว่านี้?”  “เพราะฉันยุ่งมาก ต้องเข้าร่วมการชุมนุมทุกแห่ง  ยังไม่ถึงวาระของพวกเขา  ฉันจะสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ก็ต่อเมื่อมีการชุมนุมกับพวกเขาในครั้งต่อไป”  นี่คือท่าทีของพวกเขาต่องานของคริสตจักร  เบื้องบนจึงกล่าวว่า “คุณไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบันหรือปัญหาที่มีอยู่ในงานผลิตภาพยนตร์ แล้วความคืบหน้าของงานข่าวประเสริฐล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?  งานข่าวประเสริฐของประเทศใดเผยแผ่ได้ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุด?  ผู้คนในประเทศใดมีขีดความสามารถค่อนข้างดีและเข้าใจได้เร็ว?  ประเทศใดมีชีวิตคริสตจักรที่ดีขึ้น?”  “อ้อ ฉันมัวแต่มุ่งเน้นกับการชุมนุม จึงลืมสอบถามเรื่องเหล่านี้ไป”  “ถ้าเช่นนั้น ในฝ่ายข่าวประเสริฐ มีกี่คนที่สามารถเป็นพยานยืนยันได้?  มีกี่คนที่กำลังได้รับการบ่มเพาะให้เป็นพยานยืนยัน?  ใครเป็นผู้รับผิดชอบและติดตามงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรในแต่ละประเทศ?  ใครเป็นผู้ให้น้ำและเลี้ยงดู?  สมาชิกคริสตจักรใหม่จากประเทศต่างๆ ได้เริ่มใช้ชีวิตคริสตจักรแล้วหรือยัง?  มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาได้รับการแก้ไขโดยสิ้นเชิงแล้วหรือยัง?  มีกี่คนที่หยั่งรากตนเองในหนทางที่แท้จริงแล้ว และไม่ถูกคนในศาสนาชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป?  หลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหนึ่งหรือสองปี มีกี่คนที่สามารถทำหน้าที่ของตนได้?  คุณเข้าใจและตระหนักรู้เรื่องเหล่านี้หรือไม่?  เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในงาน ใครสามารถแก้ไขได้?  ในฝ่ายข่าวประเสริฐ กลุ่มใดหรือบุคคลใดบ้างที่รับผิดชอบงานของตนและมีผลลัพธ์ที่แท้จริง คุณรู้หรือไม่?”  “ฉันไม่ทราบ  ถ้าคุณอยากทราบ ฉันจะสอบถามให้นะ  ถ้าคุณไม่รีบร้อน ฉันจะสอบถามเมื่อมีเวลา  ฉันยังยุ่งอยู่เลย!”  ผู้นำคนนี้ได้ทำงานที่เป็นรูปธรรมบ้างหรือไม่?  (ไม่ได้ทำ)  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่ทราบ” กับทุกสิ่ง พวกเขาจะสอบถามเรื่องต่างๆ ก็ต่อเมื่อถูกซักถามเท่านั้น แล้วพวกเขากำลังยุ่งอยู่กับอะไร?  ไม่ว่าพวกเขาจะไปร่วมการชุมนุมหรือตรวจสอบงานกับฝ่ายใด พวกเขาก็ไม่สามารถระบุปัญหาในงานนั้นได้ และไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  หากเจ้าไม่สามารถมองทะลุสภาวะและลักษณะนิสัยของผู้คนต่างๆ ได้ในทันที อย่างน้อยเจ้าก็ควรติดตาม เข้าใจ และตระหนักรู้ปัญหาที่มีอยู่ในงานนั้น ว่ากำลังดำเนินงานอะไรอยู่ และคืบหน้าไปถึงขั้นตอนใดแล้วมิใช่หรือ?  อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จกลับทำไม่ได้แม้เพียงเท่านี้  พวกเขามืดบอดมิใช่หรือ?  แม้ว่าพวกเขาจะไปยังฝ่ายต่างๆ ภายในคริสตจักรเพื่อติดตามและตรวจสอบงาน พวกเขาก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงเลย ไม่สามารถระบุปัญหาสำคัญได้ และต่อให้พวกเขามองเห็นปัญหาบางอย่าง พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้

มีฝ่ายผลิตภาพยนตร์ฝ่ายหนึ่งกำลังเตรียมถ่ายทำภาพยนตร์ที่ท้าทายความสามารถอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นภาพยนตร์ประเภทที่พวกเขาไม่เคยถ่ายทำมาก่อน  ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมที่พวกเขาจะรับบทภาพยนตร์เรื่องนี้ หรือความสามารถของผู้กำกับและทีมงานทั้งหมดที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ—ผู้นำของพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์เหล่านี้เลย  ผู้นำเพียงแต่กล่าวว่า “พวกคุณได้รับบทภาพยนตร์ใหม่แล้ว  เช่นนั้นก็ลงมือถ่ายทำเถิด ฉันจะสนับสนุนและติดตามงานของพวกคุณ  ขอให้พวกคุณทำให้ดีที่สุด เมื่อเกิดความยากลำบากขึ้นก็จงอธิษฐานถึงพระเจ้าและแก้ไขตามพระวจนะของพระองค์”  แล้วผู้นำก็จากไป  ผู้นำคนนี้ไม่สามารถมองเห็นหรือระบุถึงความยากลำบากใดๆ ที่มีอยู่ได้เลย แล้วแบบนี้จะทำงานให้ดีได้หรือ?  หลังจากที่ฝ่ายผลิตภาพยนตร์ได้รับบทภาพยนตร์นี้แล้ว ทั้งผู้กำกับและสมาชิกในทีมก็มักจะวิเคราะห์โครงเรื่อง หารือกันเรื่องเครื่องแต่งกายและการจัดองค์ประกอบภาพอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่มีแนวคิดว่าจะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างไร พวกเขาจึงไม่สามารถเริ่มการผลิตอย่างเป็นทางการได้  นี่คือสภาวะในปัจจุบันไม่ใช่หรือ?  สิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่มีอยู่ไม่ใช่หรือ?  ปัญหาเหล่านี้คือปัญหาผู้นำควรแก้ไขไม่ใช่หรือ?  ผู้นำใช้เวลาแต่ละวันไปกับการชุมนุม แต่หลังจากมีการชุมนุมกันอยู่หลายวัน ปัญหาที่แท้จริงก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข และการถ่ายทำก็ยังคงไม่สามารถดำเนินไปได้ตามปกติ  ผู้นำคนนี้มีบทบาทอะไรบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาทำได้เพียงตะโกนคำขวัญเพื่อปลุกใจว่า “พวกเราจะนิ่งดูดายไม่ได้ พวกเราจะเอารัดเอาเปรียบพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้!”  พวกเขายังถึงกับสั่งสอนผู้คนว่า “พวกคุณไม่มีมโนธรรม เอารัดเอาเปรียบพระนิเวศของพระเจ้าโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย—พวกคุณไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ?”  หลังจากที่พวกเขากล่าวเช่นนี้ มโนธรรมของทุกคนก็รู้สึกถูกตำหนิอยู่บ้างว่า  “ใช่เลย งานคืบหน้าไปช้าเหลือเกิน และพวกเราก็ยังคงกินอาหารสามมื้อต่อวันเช่นนี้—นี่มันไม่ใช่การกินอยู่อย่างเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?  พวกเรายังไม่ได้ทำงานอะไรจริงจังเลย  แล้วใครจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในงานพวกนี้ล่ะ?  พวกเราแก้ปัญหาไม่ได้ พอไปถามผู้นำ ผู้นำก็ได้แต่บอกให้พวกเราอธิษฐานอย่างจริงจัง อ่านพระวจนะของพระเจ้า และร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว โดยไม่ได้สามัคคีธรรมเลยว่าควรจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร”  ผู้นำจัดการชุมนุมที่นั่นทุกวัน แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงแก้ไขไม่ได้  เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อของบางคนก็เริ่มเย็นชาลง และสภาวะของพวกเขาก็กลายเป็นท้อแท้ เพราะพวกเขามองไม่เห็นหนทางข้างหน้าและไม่รู้ว่าจะดำเนินการถ่ายทำต่อไปได้อย่างไร  พวกเขาฝากความหวังสุดท้ายไว้ที่ผู้นำ หวังว่าผู้นำจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้บ้าง แต่อนิจจา ผู้นำคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด ไม่เรียนรู้สายงานนั้น ทั้งไม่สามัคคีธรรม หารือ หรือแสวงหากับผู้ที่เข้าใจงานนั้นเลย  พวกเขามักจะถือหนังสือพระวจนะของพระเจ้าแล้วกล่าวว่า “ฉันกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ  ฉันกำลังเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริง  อย่ามารบกวนฉัน ฉันยุ่งอยู่!”  ในที่สุด ปัญหาก็ยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้งานตกอยู่ในสภาวะกึ่งอัมพาต แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงคิดว่าตนทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม  นั่นเป็นเพราะเหตุใด?  พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อตนได้จัดการชุมนุม ได้สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของงาน ได้ระบุปัญหา ได้แบ่งปันพระวจนะของพระเจ้า ได้ชี้ให้เห็นสภาวะของผู้คน และทุกคนก็ได้เปรียบเทียบตนเองกับสภาวะเหล่านี้และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ดีแล้ว ดังนั้น หน้าที่รับผิดชอบของตนในฐานะผู้นำก็ได้ลุล่วงแล้ว และพวกเขาได้ทำทุกอย่างที่สามารถคาดหวังจากพวกเขาได้แล้ว—หากไม่สามารถจัดการงานเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ดี นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผู้นำต้องกังวล  นี่เป็นผู้นำประเภทใดกัน?  งานของคริสตจักรได้ตกอยู่ในสภาวะกึ่งอัมพาตแล้ว แต่พวกเขากลับไม่รู้สึกวิตกกังวลหรือเดือดเนื้อร้อนใจเลยแม้แต่น้อย  หากเบื้องบนไม่ไต่ถามหรือเร่งรัด พวกเขาก็จะปล่อยให้เรื่องคาราคาซังต่อไป ไม่เคยเอ่ยถึงเลยว่าเบื้องล่างเกิดอะไรขึ้นบ้าง และไม่แก้ไขปัญหาใดๆ  ผู้นำเช่นนี้ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบในความเป็นผู้นำของตนแล้วหรือยัง?  (ยัง)  แล้วพวกเขาพูดคุยอะไรกันทั้งวันในการชุมนุม?  พวกเขาเอาแต่พูดจาเหลวไหลไร้สาระ ประกาศแต่คำสอนและตะโกนคำขวัญ  ผู้นำไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในงาน ไม่แก้ไขสภาวะที่เป็นลบและสุกเอาเผากินของผู้คน และไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาในงานของผู้คนตามหลักธรรมความจริงได้อย่างไร  ผลก็คือ โครงการทั้งหมดหยุดชะงักและไม่ปรากฏความคืบหน้าใดๆ เป็นเวลานาน  แต่ผู้นำกลับไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย  นี่ไม่ใช่การสำแดงของผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริงหรอกหรือ?  แก่นแท้ของการสำแดงเช่นนี้ของผู้นำเทียมเท็จคืออะไร?  นี่ไม่ใช่การละเลยหน้าที่รับผิดชอบอย่างร้ายแรงหรอกหรือ?  การละเลยงานของตนอย่างร้ายแรง การไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน—นี่คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จทำอย่างแท้จริง  เจ้าอยู่ที่หน้างานเพียงเพื่อทำพอเป็นพิธี ไม่ได้แก้ไขปัญหาที่แท้จริง  เจ้าอยู่ที่หน้างานเพียงเพื่อหลอกลวงผู้คน หากไม่ได้ทำงานจริงอะไรเลย ต่อให้เจ้าจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลาก็จะไม่ทำให้เกิดผลสำเร็จอันใด  ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในงานและในแง่มุมของความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง บางปัญหาเจ้าสามารถแก้ไขได้แต่ก็ไม่ทำ—นี่ก็ถือเป็นการละเลยหน้าที่รับผิดชอบอย่างร้ายแรงแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังมืดบอดทั้งดวงตาและจิตใจ บางครั้งเมื่อเจ้าพบปัญหา เจ้าก็ไม่อาจมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาเหล่านั้น  เจ้าแก้ไขไม่ได้ แต่ก็แสร้งทำเป็นสามารถรับมือได้ ทั้งๆ ที่แทบจะไปต่อไม่ไหวแต่ก็ยังปฏิเสธที่จะสามัคคีธรรมหรือปรึกษาหารือกับผู้ที่เข้าใจความจริง ทั้งยังไม่รายงานหรือแสวงหาจากเบื้องบนอีกด้วย  นี่เป็นเพราะเหตุใด?  เจ้ากลัวถูกตัดแต่งหรือ?  กลัวว่าเบื้องบนจะรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าแล้วปลดเจ้าออกหรือ?  นี่คือการมุ่งเน้นสถานะโดยไม่ค้ำจุนงานของพระนิเวศของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อยไม่ใช่หรือ?  ด้วยความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ เจ้าจะทำหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร?

ไม่สำคัญว่าผู้นำหรือคนทำงานจะทำงานสำคัญใด และธรรมชาติของงานนี้คือสิ่งใด ลำดับความสำคัญข้อแรกก็คือการเข้าใจและรู้ซึ้งว่างานดำเนินไปอย่างไร  พวกเขาต้องอยู่ที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อติดตามผลสิ่งทั้งหลายและถามคำถาม โดยรับข้อมูลโดยตรงด้วยตัวเอง  พวกเขาต้องไม่เพียงแค่พึ่งพาคำบอกเล่าหรือรับฟังรายงานจากผู้อื่นเท่านั้น  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องเฝ้าสังเกตด้วยตาของตัวเองถึงสถานการณ์ของบุคลากรและงานกำลังคืบหน้าไปอย่างไร และเข้าใจว่ามีความลำบากยากเย็นใดบ้าง มีด้านใดบ้างหรือไม่ที่ไม่ลงรอยกันกับข้อพึงประสงค์จากเบื้องบน ว่ามีการล่วงละเมิดหลักธรรมหรือไม่ ว่ามีการก่อกวนหรือการขัดขวางอันใดหรือไม่ ว่ามีการขาดพร่องในอุปกรณ์ที่จำเป็นหรือวัสดุในการให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องในส่วนของงานอย่างมืออาชีพหรือไม่—พวกเขาต้องจัดการทั้งหมดนี้ให้อยู่หมัด ไม่สำคัญว่าพวกเขารับฟังรายงานกี่ฉบับ หรือพวกเขารวบรวมข้อมูลจากคำบอกเล่ามาได้มากเพียงใด ทั้งสองอย่างนี้ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าการไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง  จะถูกต้องแม่นยำและพึ่งพาได้มากกว่าหากพวกเขาได้เห็นสิ่งทั้งหลายด้วยตาของตัวเอง ทันทีที่พวกเขาคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้ในทุกแง่มุม พวกเขาย่อมจะรู้เป็นอย่างดีถึงสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนและแม่นยำว่าใครมีขีดความสามารถดีและควรค่าแก่การบ่มเพาะ เพราะสิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถบ่มเพาะและใช้คนได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งหากผู้นำและคนทำงานจะปฏิบัติงานของตนให้ดี ผู้นำและคนทำงานควรมีแนวทางและหลักธรรมในการบ่มเพาะและฝึกฝนผู้ที่มีขีดความสามารถดี นอกจากนี้ พวกเขาควรมีความเข้าใจและตระหนักรู้ถึงปัญหาและความยากลำบากประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในงานของคริสตจักร และรู้วิธีการแก้ไข ทั้งยังควรมีความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของตนเองว่างานควรจะก้าวหน้าไปอย่างไร หรืออนาคตของงานจะเป็นเช่นไร หากพวกเขาสามารถพูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้อย่างกระจ่างแจ้งแม้จะหลับตา โดยปราศจากข้อสงสัยหรือความกังวลใดๆ แล้ว งานก็จะดำเนินไปได้โดยง่ายดายยิ่งขึ้น และโดยการทำงานในลักษณะนี้ ผู้นำก็ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาต้องตระหนักรู้เป็นอย่างดีถึงวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นในงาน และต้องหมั่นใคร่ครวญเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ เมื่อเผชิญกับความยากลำบาก ก็ต้องสามัคคีธรรมและปรึกษาหารือเรื่องเหล่านี้กับทุกคน พร้อมทั้งแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา การลงมือทำงานจริงโดยที่เท้าทั้งสองข้างเหยียบอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงเช่นนี้ จะไม่มีความยากลำบากใดที่แก้ไขไม่ได้เลย ผู้นำเทียมเท็จรู้หรือไม่ว่าจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร?  (ไม่รู้)  ผู้นำเทียมเท็จรู้เพียงวิธีเสแสร้งและหลอกลวงผู้คน ทำทีว่าเข้าใจในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้แม้แต่น้อย และเอาแต่สาละวนอยู่กับเรื่องไร้ประโยชน์ เมื่อถูกถามว่ากำลังยุ่งอยู่กับอะไร พวกเขาก็จะตอบว่า “ที่พักของพวกเราขาดเบาะรองนั่งไปสองสามอัน และฝ่ายผลิตภาพยนตร์ก็ขาดผ้าสำหรับทำเครื่องแต่งกาย ฉันก็เลยไปซื้อมาให้ อีกครั้งหนึ่งห้องครัวก็หมดวัตถุดิบทำอาหาร คนทำครัวก็ปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ฉันเลยต้องออกไปซื้อของมาให้ แล้วก็ถือโอกาสซื้อแป้งสาลีมาด้วยสองสามถุง เรื่องทั้งหมดนี้ฉันต้องจัดการเอง” พวกเขายุ่งมากจริงๆ พวกเขาไม่ได้กำลังละเลยหน้าที่ที่แท้จริงของตนอยู่หรือ?  พวกเขาไม่ใส่ใจหรือแบกรับภาระใดๆ เลยแม้แต่น้อยเมื่องานนั้นอยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของตนในฐานะผู้นำ คิดแต่จะทำแบบขอไปทีให้ผ่านไป ปัญหาที่ว่าขีดความสามารถของตนเองนั้นค่อนข้างแย่ และการที่พวกเขามืดบอดทั้งดวงตาและจิตใจก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว แต่พวกเขากลับยังคงไม่แบกรับภาระใดๆ และยังหมกมุ่นอยู่กับความสะดวกสบาย โดยมักจะใช้เวลาหลายวันอยู่ในสถานที่อันสุขสบายแห่งใดแห่งหนึ่ง เมื่อมีใครมีปัญหาและตามหาพวกเขาเพื่อขอทางแก้ไข ก็จะพบว่าพวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่ พวกเขาบริหารจัดการเวลาของตนเอง สัปดาห์นี้ ก็จัดการชุมนุมให้ฝ่ายหนึ่งในช่วงเช้า พอช่วงบ่ายก็พักผ่อน จากนั้นในช่วงเย็น ก็เรียกประชุมผู้ที่รับผิดชอบงานธุรการทั่วไปเพื่อหารือเรื่องต่างๆ พอถึงสัปดาห์ถัดไป ก็จัดการชุมนุมให้กับผู้ที่รับผิดชอบงานภายนอก ถามไถ่อย่างขอไปทีว่า “มีเรื่องยากลำบากอะไรไหม?  ช่วงนี้พวกคุณได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบ้างหรือเปล่า?  เวลาติดต่อกับผู้ไม่มีความเชื่อ พวกคุณถูกบีบคั้นหรือรบกวนบ้างไหม?”  และหลังจากถามคำถามเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ถือว่าจบงาน ในชั่วพริบตาเดียว เดือนหนึ่งก็ผ่านพ้นไป แล้วพวกเขาได้ทำงานอะไรไปบ้าง?  แม้ว่าพวกเขาจะจัดการชุมนุมให้แต่ละฝ่ายหมุนเวียนกันไป แต่พวกเขากลับไม่รู้เรื่องสถานการณ์การทำงานของฝ่ายใดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้เรียนรู้หรือสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนั้น และยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานหรือให้การชี้นำงานในแต่ละฝ่ายเลย พวกเขามิได้มีส่วนร่วม ติดตาม หรือให้การชี้นำใดๆ เกี่ยวกับงาน แต่กระนั้นก็มีบางสิ่งที่พวกเขาทำอย่างตรงต่อเวลาเสมอ นั่นคือการกินอาหารตรงเวลา นอนตรงเวลา และจัดการชุมนุมตรงเวลา ชีวิตของพวกเขาค่อนข้างเป็นระเบียบ พวกเขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี แต่ผลการปฏิบัติงานของพวกเขากลับไม่ได้มาตรฐาน

ผู้นำบางคนไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานเลยแม้แต่น้อย พวกเขามิได้ทำงานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักร แต่กลับมุ่งเน้นเพียงงานธุรการทั่วไปอันไร้ความสำคัญ พวกเขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการจัดการเรื่องครัว โดยจะถามอยู่เสมอว่า “วันนี้พวกเราจะกินอะไรกันดี?  มีไข่เหลือไหม?  เนื้อยังเหลืออีกเท่าไหร่?  ถ้าไม่มีแล้ว ฉันจะออกไปซื้อมาเพิ่มให้” พวกเขามองว่างานครัวนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด ถึงขนาดที่ไม่มีธุระอะไรก็ยังเดินเตร่เข้าไปในครัว คิดแต่จะกินปลาให้มากขึ้น กินเนื้อให้มากขึ้น ได้สุขสำราญมากขึ้น กินอาหารอย่างสบายใจโดยไม่รู้สึกกระดากอายแม้แต่น้อย ในขณะที่คนในแต่ละทีมต่างก็ยุ่งอยู่กับการทำงาน มุ่งมั่นทำหน้าที่ของตนให้ดี ผู้นำเหล่านี้กลับให้ความสำคัญเพียงแค่การกินดีอยู่ดี ใช้ชีวิตที่สุขสบายอย่างมาก นับตั้งแต่ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่เคยใส่ใจงานของคริสตจักรและหลีกเลี่ยงการทำงานหนักใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขายังรู้จักบำรุงบำเรอตัวเองจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอีกด้วย ในแต่ละวันพวกเขาทำอะไรกันบ้าง?  พวกเขาวุ่นวายอยู่กับงานธุรการทั่วไปบ้าง เรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยบ้าง แต่ไม่เคยทำงานที่แท้จริงใดๆ ให้ลุล่วงไปด้วยดี หรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงได้เลยแม้แต่ปัญหาเดียว กระนั้นพวกเขากลับไม่รู้สึกสำนึกผิดในหัวใจแม้แต่น้อย ผู้นำเทียมเท็จทุกคนล้วนไม่ทำงานที่เป็นหัวใจสำคัญของคริสตจักร และไม่เคยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงใดๆ เลย หลังจากที่พวกเขาได้เป็นผู้นำ พวกเขาก็คิดในใจว่า “ฉันแค่หาคนมาสักสองสามคนให้ทำงานที่เฉพาะเจาะจงก็พอแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องลงมือทำเอง” พวกเขาเชื่อว่าเมื่อได้จัดหาผู้กำกับดูแลงานสำหรับงานแต่ละส่วนแล้ว ตนเองก็ไม่มีอะไรต้องทำอีกต่อไป พวกเขาถือว่านี่แหละคือการทำงานในฐานะผู้นำ และบัดนี้พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเสวยสุขจากผลประโยชน์ทางสถานะของตนแล้ว พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในงานที่แท้จริงใดๆ ไม่เคยติดตามหรือให้การชี้นำ และไม่ได้ดำเนินการสอบสวนหรือค้นคว้าเพื่อแก้ไขปัญหาเลย พวกเขาลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำแล้วหรือ?  งานของคริสตจักรจะดำเนินไปได้ด้วยดีด้วยวิธีนี้ได้อย่างไร?  เมื่อเบื้องบนสอบถามพวกเขาว่างานดำเนินไปถึงไหนแล้ว พวกเขาก็ตอบว่า “งานของคริสตจักรเป็นปกติทุกอย่าง งานแต่ละส่วนก็มีผู้กำกับดูแลงานคอยจัดการอยู่แล้ว” หากถูกซักถามเพิ่มเติมว่ามีปัญหาใดๆ ในงานหรือไม่ พวกเขาก็ตอบว่า “ฉันไม่รู้สิ แต่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ!” นี่คือท่าทีของผู้นำเทียมเท็จต่องานของพวกเขา ในฐานะผู้นำ เจ้ากลับแสดงความไม่รับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงต่องานที่ได้มอบหมายให้เจ้า งานทั้งหมดถูกผลักภาระไปให้ผู้อื่น โดยที่เจ้าไม่ได้มีการติดตาม สอบถาม หรือให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาใดๆ จากฝั่งของเจ้าเลย—เจ้าเพียงแค่นั่งสั่งการอยู่เฉยๆ เหมือนเจ้านายที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง เจ้ากำลังละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตนอยู่มิใช่หรือ?  เจ้ากำลังทำตัวเหมือนข้าราชการผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่แตะต้องงานอยู่มิใช่หรือ?  ไม่ทำงานที่เฉพาะเจาะจงใดๆ ไม่ติดตามงาน ไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง—ผู้นำเช่นนี้เป็นเพียงหุ่นไล่กาประดับฉากเท่านั้นมิใช่หรือ?  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จมิใช่หรือ?  นี่แหละคือธาตุแท้ของผู้นำเทียมเท็จ งานของผู้นำเทียมเท็จก็เป็นเพียงการขยับปากสั่งการ โดยที่ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือติดตามงานอย่างแท้จริง ทั้งยังไม่เคยคิดจะค้นหาหรือระบุปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายในงานอีกด้วย แม้เมื่อพบเห็นปัญหาแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดจะแก้ไข พวกเขาเพียงแค่ทำตัวเป็นเจ้านายที่ไม่ต้องลงมือทำงาน โดยคิดเอาเองว่านั่นถือเป็นการทำงานแล้ว และถึงกระนั้น การเป็นผู้นำในลักษณะนี้ก็ไม่ได้ทำให้ความสงบสุขในใจของพวกเขาสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในทุกๆ วัน และยังคงมีหน้ามีตาร่าเริงอยู่ตลอดเวลา เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขายังคงยิ้มออกมาได้?  เราได้ค้นพบความจริงอย่างหนึ่งคือ คนประเภทนี้ช่างไร้ยางอายอย่างที่สุด พวกเขาไม่ได้ทำงานที่แท้จริงใดๆ ในฐานะผู้นำเลย พวกเขาเพียงแค่จัดหาคนสองสามคนมาทำงานแล้วก็ถือว่าจบเรื่อง เจ้าจะไม่มีวันเห็นพวกเขาปรากฏตัวในที่ทำงานเลย พวกเขาไม่เคยรับรู้ถึงความคืบหน้าหรือผลลัพธ์ของงานของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็ยังคงหลงคิดว่าตนเองนั้นมีความสามารถและเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำอย่างยิ่ง นี่แหละคือธาตุแท้ของผู้นำเทียมเท็จ ที่ไม่ได้ทำงานที่แท้จริงใดๆ เลยทั้งสิ้น ผู้นำเทียมเท็จไม่มีภาระใดๆ ต่องานของคริสตจักร พวกเขาไม่เคยรู้สึกกังวลหรือร้อนใจไม่ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายเพียงใด พวกเขาพอใจกับการทำเพียงงานธุรการทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ปักใจเชื่อว่าตนเองได้ทำงานที่แท้จริงแล้ว ไม่ว่าเบื้องบนจะเปิดโปงพฤติกรรมของผู้นำเทียมเท็จอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกเจ็บร้อนในใจ ทั้งยังไม่เห็นตนเองในการเปิดโปงนั้น พวกเขาไม่มีการทบทวนตนเองหรือการกลับใจใดๆ เลยแม้แต่น้อย คนเช่นนี้ปราศจากมโนธรรมและเหตุผลโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริงจะสามารถปฏิบัติต่องานของคริสตจักรเช่นนี้ได้หรือ?  ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้อย่างแน่นอนที่สุด

โดยทั่วไปแล้ว คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง เมื่อได้ยินการเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จและลองนำตนเองเข้าไปเทียบเคียงดู ก็จะมองเห็นไม่มากก็น้อยว่ามีบางอย่างในตนที่ละม้ายคล้ายคลึงกับคำพรรณนาเหล่านั้น ใบหน้าของพวกเขาจะร้อนผ่าว เกิดอาการกระสับกระส่าย ในใจจะรู้สึกไม่สงบ รู้สึกติดค้างพระเจ้า และจะตั้งปณิธานในใจอย่างเงียบๆ ว่า “เมื่อก่อนนี้ ฉันมัวแต่หลงระเริงอยู่กับความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง ทำงานก็ไม่ดี ไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน ไม่ได้ทำงานที่แท้จริงอะไรเลย พอถูกถามอะไรก็ตอบไม่ได้สักอย่าง แถมยังคิดจะหลบเลี่ยงและเสแสร้งอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าถ้าคนอื่นล่วงรู้ธาตุแท้ของฉันแล้ว ชื่อเสียงและสถานะของฉันจะหมดสิ้นไป ตำแหน่งผู้นำที่ฉันเป็นอยู่ก็คงจะรักษาไว้ไม่ได้ มาบัดนี้เองฉันถึงได้เห็นว่าการกระทำเช่นนั้นมันน่าละอายสิ้นดีและจะทำต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ฉันต้องเอาจริงเอาจังกับการลงมือทำเสียที ต้องทุ่มเทความพยายามให้มากกว่านี้อีกสักนิด ถ้าฉันยังคงทำไม่ดีต่อไปอีก มันก็เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้—มโนธรรมของฉันจะฟ้องผิดเอา!” ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ยังพอมีความเป็นมนุษย์และมโนธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดมโนธรรมของพวกเขาก็ยังคงรับรู้ได้ หลังจากได้ยินการเปิดโปงของเรา พวกเขาก็เห็นภาพตัวเองซ้อนทับอยู่ในถ้อยคำเหล่านั้นและรู้สึกเป็นทุกข์ พวกเขาทบทวนว่า “ตัวฉันนี้ไม่ได้ทำงานที่แท้จริงอะไรเลยจริงๆ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงใดๆ ได้เลย ฉันไม่คู่ควรกับพระบัญชาของพระเจ้าหรือตำแหน่งผู้นำนี้เลย แล้วฉันควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?  ฉันต้องชดเชยแก้ไข นับจากนี้ไป ฉันต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในงานที่เฉพาะเจาะจงทุกอย่าง ต้องเลิกหลบเลี่ยง ต้องเลิกเสแสร้ง และจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สุดกำลังความสามารถของฉัน พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์จิตใจและความคิดในส่วนลึกที่สุดของผู้คน พระเจ้าทรงทราบดีว่าใครเป็นอย่างไร ไม่ว่าฉันจะทำได้ดีหรือแย่ การทำอย่างสุดหัวใจนั้นสำคัญที่สุด หากฉันทำไม่ได้แม้เพียงเท่านี้ จะยังเรียกตัวเองว่าเป็นมนุษย์ได้อยู่อีกหรือ?”  การที่สามารถทบทวนตนเองในลักษณะนี้ได้ นั่นเรียกว่าการมีมโนธรรม ส่วนคนไร้มโนธรรมนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเปิดโปงพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่สะทกสะท้านหน้าไม่แดงใจไม่สั่น พวกเขาก็แค่ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการต่อไป แม้ว่าพวกเขาจะเห็นตนเองในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดโปง พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเฉยเมยกับเรื่องนั้น พวกเขาคิดว่า “ก็ไม่ใช่ว่าฉันถูกเอ่ยชื่อออกมาสักหน่อยนี่นา แล้วฉันจะกลัวอะไรไปทำไม?  ขีดความสามารถของฉันก็ดี ฉันก็มีความสามารถ พระนิเวศของพระเจ้าจะขาดฉันไปได้อย่างไร!  แล้วมันจะทำไมกันถ้าฉันไม่ได้ทำงานที่แท้จริงอะไรเลย?  ฉันไม่ได้ทำเอง แต่ฉันก็หาคนอื่นมาทำแทน ดังนั้นงานมันก็ยังสำเร็จอยู่ดีไม่ใช่หรือ?  อย่างไรก็ตาม ทุกงานที่คุณขอให้ฉันทำ ฉันก็จัดการให้คุณจนแล้วเสร็จ ไม่ว่าฉันจะมอบหมายให้ใครเป็นคนทำก็ตาม ขีดความสามารถของฉันดี ฉันจึงทำงานอย่างชาญฉลาด ในอนาคต ฉันก็จะยังคงทำตัวเหลาะแหละและเสพสุขกับชีวิตตามที่ฉันต้องการต่อไป” ไม่ว่าเราจะชำแหละหรือเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จว่าไม่ทำงานที่แท้จริงอย่างไร คนเหล่านั้นก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่รับรู้อะไรเลยทั้งสิ้น—“ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง ใครจะมองฉันอย่างไรก็ตามแต่ใจพวกเขา—ฉันก็จะไม่ทำอยู่วันยังค่ำ!” ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้มีมโนธรรมบ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่เราได้สามัคคีธรรมกันเรื่องการเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จ และทุกครั้งที่เราเปิดโปงคนเช่นนี้ คนที่มีมโนธรรมอยู่บ้างก็จะรู้สึกร้อนรนราวกับนั่งอยู่บนหนาม รู้สึกไม่สบายใจที่ทำงานของตนได้ไม่ดี และจะตั้งปณิธานในใจอย่างเงียบๆ ว่าจะรีบกลับตัวกลับใจและเปลี่ยนแปลงตนเองโดยเร็ว ในขณะเดียวกัน คนที่ไร้มโนธรรมก็ช่างหน้าหนาใจดำอย่างยิ่ง พวกเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะสามัคคีธรรมอย่างไร พวกเขาก็แค่ดำเนินชีวิตไปวันๆ ตามปกติ เพลิดเพลินกับชีวิตตามที่ตนเองต้องการ เมื่อเจ้าถามพวกเขาว่า “บางคนก็รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ บางคนก็รับผิดชอบงานแปล และคนอื่นๆ ก็รับผิดชอบงานผลิตภาพยนตร์—แล้วคุณน่ะรับผิดชอบงานที่เฉพาะเจาะจงอะไร?” พวกเขาก็ตอบว่า “แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำงานที่เฉพาะเจาะจงอะไรเลย แต่ฉันก็ดูแลภาพรวมทั้งหมด ฉันเป็นคนจัดการชุมนุมให้พวกเขาเอง” หากเจ้าถามพวกเขาต่อไปอีกว่า “แล้วคุณจัดการชุมนุมเดือนละกี่ครั้งกัน?” พวกเขาก็จะตอบว่า “อย่างน้อยที่สุดก็มีการชุมนุมใหญ่เดือนละครั้ง และมีการชุมนุมเล็กทุกๆ สองสัปดาห์” และเมื่อเจ้าถามพวกเขาอีกว่า “นอกจากการจัดการชุมนุมแล้ว คุณได้ทำงานที่เฉพาะเจาะจงอะไรอีกบ้าง?” พวกเขาก็จะตอบว่า “แค่การชุมนุมก็ทำให้ฉันยุ่งจะแย่อยู่แล้ว จะให้ฉันไปทำงานที่เฉพาะเจาะจงอะไรได้อีกล่ะ?  อีกอย่าง ขอบเขตงานที่ฉันดูแลมันก็กว้างขนาดนี้ ฉันไม่มีเวลาพอจะไปทำงานที่เฉพาะเจาะจงหรอกน่า” ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กลับรู้สึกว่าตนเองนั้นพูดถูกทุกอย่าง—พวกเขาช่างเป็นผู้นำที่มั่นคงและหนักแน่นเสียจริงๆ!  ไม่ว่าพวกเขาจะถูกเปิดโปงและตัดแต่งอย่างไร พวกเขาก็ไม่เคยรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย หากเป็นเราที่ต้องทำงานที่เฉพาะเจาะจงสักอย่าง เช่น ทำอาหารให้คนห้าคน แต่เรากลับทำอาหารได้เพียงพอสำหรับสี่คนเท่านั้น เราก็จะรู้สึกไม่สบายใจที่ทำได้ไม่เพียงพอ และเราจะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถเลี้ยงดูทุกคนให้อิ่มท้องได้ จากนั้นเราก็จะครุ่นคิดหาวิธีแก้ไขปรับปรุง ทำให้แน่ใจว่าจะคำนวณปริมาณให้ถูกต้องในครั้งต่อไปเพื่อให้ทุกคนได้กินอิ่ม และหากมีใครบอกว่าอาหารที่ทำนั้นเค็มเกินไป เราก็จะรู้สึกไม่ดีเช่นกัน เราจะถามไถ่ว่าอาหารจานไหนที่เค็มเกินไป จากนั้นก็จะถามคนอื่นๆ ว่าการปรุงรสนั้นใช้ได้หรือไม่ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะปรุงอาหารให้ถูกปากทุกคนได้ แต่เราก็ยังต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำในส่วนของเราให้ดีที่สุด นี่แหละที่เรียกว่าการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน และนี่คือเหตุผลที่ผู้คนควรจะมี เจ้าต้องลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนอยู่เสมอ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เจ้าต้องมีส่วนร่วมด้วยตนเอง หากมีใครเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป—ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม—และเจ้าได้ฟังแล้วรู้สึกว่าตนเองนั้นผิดพลาดและรู้สึกไม่ดีขึ้นมา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องแก้ไขปรับปรุงตนเองและตั้งใจทำงานในอนาคตให้ดีขึ้น ทำงานให้ดีแม้ว่าจะต้องทนความยากลำบากอยู่บ้างก็ตาม แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องทนรับความยากลำบากใดๆ เลยทั้งสิ้น หลังจากได้ยินข้อเท็จจริงเหล่านี้เกี่ยวกับการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย ยังคงเพลิดเพลินกับการกินอาหาร นอนหลับอย่างเป็นสุข และใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ด้วยอารมณ์ที่มีความสุขเหมือนเดิมทุกวัน โดยปราศจากความรู้สึกว่าต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งใดๆ บนบ่า หรือความรู้สึกผิดแม้แต่น้อยในใจ คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใดกันแน่?  คนเช่นนี้มีปัญหากับอุปนิสัยของตน พวกเขาขาดมโนธรรม ปราศจากเหตุผล และมีอุปนิสัยที่ต่ำช้า แม้ว่าจะได้เปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จมาเป็นเวลานานแล้ว—ทั้งจากมุมมองเชิงบวก โดยการจัดหาให้และสามัคคีธรรม และจากมุมมองเชิงลบ โดยการเปิดโปงและชำแหละพวกเขา—ผู้นำเทียมเท็จส่วนหนึ่งก็ยังคงไม่สามารถรับรู้ถึงปัญหาของตนเองได้ ทั้งยังไม่เคยคิดที่จะทบทวนตนเองและกลับใจเลยแม้แต่น้อย หากไม่มีการกำกับดูแลและเร่งรัดจากเบื้องบน พวกเขาก็จะยังคงทำตัวเหลาะแหละทำงานไปวันๆ เท่าที่จะทำได้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้ดีขึ้นเลยทั้งสิ้น ไม่ว่าฉันจะเปิดโปงพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงนั่งนิ่งเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลย นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาหน้าด้านหน้าทนเกินไปหรอกหรือ?  คนประเภทนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานเลยแม้แต่น้อย พวกเขามีอุปนิสัยที่ต่ำทรามอย่างยิ่งยวด ถึงขนาดที่ไม่รู้จักแม้แต่ความละอายใจเลยด้วยซ้ำ!  สำหรับคนปกติทั่วไปแล้ว อย่าว่าแต่จะถูกเปิดโปงอย่างเจาะจงเลย แม้เพียงแค่ได้ยินใครสักคนพูดถึงข้อบกพร่อง จุดอ่อน หรือสิ่งใดก็ตามที่ไม่เหมาะสมหรือขัดต่อหลักธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไป—พวกเขาก็จะรู้สึกทนไม่ได้แล้ว และจะรู้สึกไม่สบายใจและอับอายขายหน้า และจะครุ่นคิดหาวิธีเปลี่ยนแปลงและแก้ไขตนเอง ในขณะเดียวกัน ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กลับทำงานจนเกิดความเสียหายไปทั่ว แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่รู้สึกกังวลหรือร้อนใจใดๆ ไม่ว่าพวกเขาจะถูกเปิดโปงอย่างไรก็ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรเลย—พวกเขายังสามารถหาที่หลบเร้นเพื่อแสวงหาความเกียจคร้านและความสบาย และไม่เคยมีใครได้เห็นแม้แต่เงาของพวกเขาเลย พวกเขาช่างไร้ยางอายอย่างแท้จริง!

อย่างน้อยที่สุด ผู้นำคริสตจักรก็ต้องมีมโนธรรมและมีเหตุผล ทั้งยังต้องเข้าใจความจริงอยู่บ้าง—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะรู้สึกถึงภาระได้  การรู้สึกถึงภาระนั้นมีการสำแดงอย่างไร?  หากพวกเขาเห็นบางคนกำลังคิดลบ บางคนมีความเข้าใจที่บิดเบือน บางคนกำลังผลาญทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้า บางคนทำงานของตนอย่างสุกเอาเผากิน บางคนไม่เอาใจใส่งานที่ถูกควรเมื่อทำหน้าที่ของตน บางคนเอาแต่พูดจาฟังดูสูงส่งแต่ไม่ทำงานจริง… การพบว่าในคริสตจักรมีปัญหามากมายเหลือเกินที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข การเห็นงานมากมายยังไม่แล้วเสร็จ ย่อมทำให้พวกเขาเกิดสำนึกในภาระหน้าที่ขึ้นมา  นับตั้งแต่ได้มาเป็นผู้นำ ก็รู้สึกราวกับมีไฟที่คอยเผาผลาญอยู่ภายในใจพวกเขาตลอดเวลา หากพวกเขาค้นพบปัญหาและไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาก็จะเริ่มกังวลและกระวนกระวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ  ระหว่างการชุมนุม เมื่อบางคนรายงานปัญหาในงานของตนที่ผู้นำมองไม่ทะลุและแก้ไขในทันทีไม่ได้ ผู้นำก็จะไม่ยอมแพ้ พวกเขารู้สึกว่าตนต้องแก้ไขปัญหานี้ให้จงได้  หลังจากอธิษฐานและแสวงหา และครุ่นคิดอยู่สองวัน เมื่อรู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรแล้ว พวกเขาก็รีบจัดการปัญหานั้นทันที  หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว พวกเขาก็ตรวจสอบงานชิ้นอื่นๆ ทันที และค้นพบปัญหาอีกอย่างหนึ่งว่า มีคนเกี่ยวข้องกับงานชิ้นหนึ่งมากเกินไปซึ่งจำเป็นต้องลดจำนวนบุคลากรลง  จากนั้นพวกเขาก็เรียกชุมนุมอย่างรวดเร็ว ทำความเข้าใจสถานการณ์ให้กระจ่างแจ้ง ลดจำนวนบุคลากร และวางแผนจัดการเตรียมการอย่างสมเหตุสมผล และด้วยเหตุนี้ปัญหาก็ได้รับการแก้ไข  ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังตรวจสอบงานใด ผู้นำที่มีภาระจะสามารถระบุปัญหาได้เสมอ  สำหรับปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิชาชีพ หรือที่ขัดต่อหลักธรรม พวกเขาก็จะสามารถระบุ สอบถาม และทำความเข้าใจปัญหาเหล่านั้นได้ และเมื่อพบปัญหา พวกเขาก็แก้ไขในทันที  ผู้นำและคนทำงานที่ชาญฉลาดย่อมมุ่งแก้ไขเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักร ความรู้ทางวิชาชีพ และหลักธรรมความจริงเท่านั้น  พวกเขาจะไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมในชีวิตประจำวัน  พวกเขาจะดูแลทุกแง่มุมของงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐซึ่งเป็นพระบัญชาของพระเจ้า  พวกเขาจะสอบถามและตรวจสอบทุกปัญหาที่พวกเขาสามารถรับรู้หรือค้นพบได้  หากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองในขณะนั้น พวกเขาก็จะรวมกลุ่มกับผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ สามัคคีธรรมกับพวกเขา แสวงหาหลักธรรมความจริง และคิดหาวิธีแก้ไข  หากพวกเขาประสบปัญหาใหญ่ที่แก้ไขไม่ได้จริงๆ พวกเขาก็จะแสวงหาจากเบื้องบนทันที และให้เบื้องบนเป็นผู้จัดการและแก้ไข  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้คือคนที่มีหลักธรรมในการกระทำของตน  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร ตราบใดที่พวกเขาได้เห็นแล้ว พวกเขาก็จะไม่ปล่อยผ่านไป พวกเขายืนกรานที่จะทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้วจึงแก้ไขไปทีละปัญหา  แม้ว่าจะแก้ไขได้ไม่หมดจดนัก ก็สามารถมั่นใจได้ว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก  นี่คือการทำหน้าที่ของตนด้วยสุดจิตสุดใจ สุดกำลัง และสุดความคิด เป็นการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์  ส่วนผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จเหล่านั้นที่ไม่ทำงานจริงหรือไม่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงย่อมไม่สามารถมองเห็นปัญหาที่อยู่ตรงหน้าและไม่รู้ว่าควรทำงานอะไรบ้าง  ตราบใดที่พวกเขาเห็นว่าพี่น้องชายหญิงกำลังสาละวนอยู่กับการทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่านี่คือผลงานที่แท้จริงของตน พวกเขาคิดว่างานทุกด้านล้วนเป็นไปด้วยดีทีเดียว และไม่มีอะไรมากนักที่พวกเขาต้องลงมือทำเป็นการส่วนตัวหรือมีปัญหาใดๆ ที่พวกเขาต้องแก้ไข ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งเน้นแต่การเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งของตน  พวกเขาอยากจะอวดตนและโอ้อวดตัวเองท่ามกลางพี่น้องชายหญิงเสมอ  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอพี่น้องชายหญิง พวกเขาก็จะกล่าวว่า “จงเป็นผู้เชื่อที่ดี ทำหน้าที่ของตนให้ดี อย่าทำอย่างขอไปที  ถ้าคุณดื้อด้านหรือก่อปัญหา ฉันจะปลดคุณซะ!”  พวกเขารู้เพียงแต่จะอ้างสถานะของตนและสั่งสอนผู้คน  ระหว่างการชุมนุม พวกเขามักจะสอบถามว่ามีปัญหาอะไรในงานบ้าง และถามว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามีความลำบากยากเย็นอะไรหรือไม่เสมอ แต่เมื่อคนอื่นแจกแจงปัญหาและความลำบากยากเย็นของตนออกมา พวกเขากลับแก้ไขไม่ได้  ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังคงมีความสุข และยังคงดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่รู้สึกผิดใดๆ เลย  หากพี่น้องชายหญิงไม่ได้หยิบยกความลำบากยากเย็นหรือปัญหาใดๆ ขึ้นมา พวกเขาก็รู้สึกว่าตนทำงานได้ดีมาก และเกิดความลำพองใจ  พวกเขาคิดว่าการสอบถามเรื่องงานคืองานที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำ และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นและเบื้องบนสืบสาวความรับผิดชอบมาถึงพวกเขา พวกเขากลับตะลึงงัน  คนอื่นนำความลำบากยากเย็นและปัญหาของงานมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขาแล้ว แต่พวกเขายังคงพร่ำบ่นว่าทำไมคนเหล่านั้นไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  พวกเขาไม่แก้ไขปัญหาที่แท้จริงด้วยตนเอง กลับปัดความรับผิดชอบไปให้ผู้กำกับดูแลงานที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ตำหนิผู้ที่ทำงานเฉพาะอย่างรุนแรง  การตำหนินี้ช่วยให้พวกเขาระบายบรรเทาความโกรธ และพวกเขายังเชื่ออย่างไม่ละอายใจว่าตนกำลังทำงานจริง  พวกเขาไม่เคยรู้สึกกังวลหรือกระวนกระวายใจที่ไม่สามารถค้นพบหรือแก้ไขปัญหาได้เลย และไม่เคยกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเรื่องนี้—พวกเขาไม่เคยต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเช่นนี้เลย

ทุกครั้งที่เราไปเยี่ยมคริสตจักรฟาร์ม เราแก้ไขปัญหาบางอย่าง  แต่ละครั้งที่เราไปนั้น ไม่ใช่เพราะเราพบประเด็นปัญหาเฉพาะเจาะจงบางอย่างให้จัดการ แต่เป็นเพราะพอมีเวลาว่าง ให้ไปตระเวนดูว่างานของฝ่ายต่างๆ ในคริสตจักรเป็นอย่างไรบ้าง และสภาวะของผู้คนในแต่ละทีมเป็นอย่างไร  ฉันเรียกผู้กำกับดูแลงานมาสนทนา สอบถามว่าช่วงเวลานั้นพวกเขาได้ทำงานอะไรไปบ้าง และมีปัญหาอะไรบ้าง ให้พวกเขาหยิบยกประเด็นปัญหาบางส่วนขึ้นมา แล้วฉันก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้  เมื่อสามัคคีธรรมกับพวกเขา ฉันก็สามารถค้นพบปัญหาใหม่ๆ ด้วย  ปัญหาประเภทหนึ่งคือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิธีทำงานของผู้นำและคนทำงาน ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือปัญหาในงานภายใต้ขอบเขตความรับผิดชอบของพวกเขา  นอกจากนี้ เรายังช่วยและชี้แนะพวกเขาเกี่ยวกับวิธีทำงานที่เฉพาะเจาะจง วิธีนำงานไปปฏิบัติจริง จะทำงานอะไร จากนั้นก็จะติดตามผลในครั้งต่อไป โดยถามพวกเขาว่างานที่มอบหมายไปครั้งที่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง  การกำกับดูแล การกระตุ้นเตือน และการติดตามผลเช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็น  แม้ว่าการนี้ไม่ได้ทำไปด้วยการป่าวประกาศและป่าวร้องมากมาย โดยใช้เครื่องขยายเสียงประกาศเรื่องใดๆ ก็ตาม แต่งานและภารกิจที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้ก็ได้รับการสื่อสารและนำไปปฏิบัติจริงผ่านผู้นำและคนทำงานบางส่วนที่สามารถทำงานจริง  ด้วยเหตุนี้ งานของแต่ละทีมจึงเป็นระเบียบและคืบหน้า ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น และผลลัพธ์ก็ดีขึ้น  ในที่สุดแล้ว ทุกคนในแต่ละทีมสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของตน รู้ว่าตนควรทำสิ่งใดและทำอย่างไร  อย่างน้อยที่สุด ทุกคนก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อันสมควรของตน พวกเขาทุกคนมีภารกิจเฉพาะหน้า และสิ่งที่พวกเขาทำก็เป็นไปตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งยังสามารถทำไปตามหลักธรรมด้วย  นี่เป็นการสัมฤทธิ์ผลสำเร็จบ้างไม่ใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จรู้วิธีทำงานในหนทางนี้หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จจะพิจารณาว่า “อ้อ เบื้องบนดำเนินงานแบบนี้นี่เอง เรียกบางคนมารวมกันเพื่อพูดคุย ทุกคนจดบันทึกลงสมุดเล็กๆ  และพอจดเสร็จ งานของเบื้องบนก็เสร็จสิ้น  ถ้านี่คือวิธีที่เบื้องบนดำเนินงาน พวกเราก็จะทำแบบเดียวกัน”  ด้วยเหตุนี้ ผู้นำเทียมเท็จจึงเลียนแบบในลักษณะนี้  พวกเขาลอกเลียนรูปลักษณ์ภายนอก แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขากลับไม่ได้ทำงานจริงใดๆ เลยแม้แต่น้อย ไม่ได้นำภารกิจใดๆ ที่พวกเขาถูกขอให้ทำไปปฏิบัติจริง เพียงแค่ปล่อยเวลาให้เสียไปกับการพูดคุยเรื่องไร้สาระ  บางครั้ง เราก็แวะไปที่แปลงผักและโรงเรือนต่างๆ เพื่อตรวจดูว่าต้นกล้าเจริญงอกงามดีหรือไม่ หรือเพื่อหาคำตอบว่าในช่วงฤดูหนาวสามารถปลูกพืชในโรงเรือนได้กี่รอบ และควรรดน้ำบ่อยเพียงใด  งานเหล่านี้ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการปลูกผักทั้งสิ้น และตราบใดที่คนเราตั้งใจทำอย่างจริงจัง ก็ย่อมสามารถทำได้สำเร็จ  แล้วผู้นำเทียมเท็จนั้นแสดงความจอมปลอมของตนออกมาในด้านใดเป็นหลักเล่า?  สิ่งที่ปรากฏชัดเจนที่สุดก็คือการไม่ทำงานจริง พวกเขาเพียงแค่ทำงานบางอย่างเพื่อให้ตนเองดูดี แล้วก็ถือว่าเสร็จ จากนั้นก็เริ่มสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะของตน  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานประเภทนี้มากเพียงใด นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังดำเนินงานจริงอยู่หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จส่วนใหญ่เข้าใจความจริงไม่ถ่องแท้ เพียงเข้าใจวาจาและคำสอนบางประการเท่านั้น ซึ่งทำให้ยากอย่างยิ่งที่จะทำงานจริงให้ดี  ผู้นำเทียมเท็จบางส่วนถึงกับไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานธุรการได้ด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีขีดความสามารถต่ำและขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ไม่มีคุณค่าใดๆ ในการบ่มเพาะพวกเขาเลยอย่างสิ้นเชิง  ผู้นำเทียมเท็จบางคนมีขีดความสามารถต่ำ แต่พวกเขาก็ไม่ทำงานจริง และลุ่มหลงในความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง  ผู้คนที่ลุ่มหลงในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังก็ไม่ต่างจากสุกรมากนัก  สุกรใช้วันเวลาไปกับการนอนและการกิน  พวกมันไม่ทำอะไรเลย  อย่างไรก็ดี หลังจากทำงานหนักมาทั้งปีเพื่อขุนเลี้ยงพวกมัน พอทั้งครอบครัวได้กินเนื้อของพวกมันตอนสิ้นปี ก็อาจพูดได้ว่าพวกมันได้ทำการรับใช้แล้ว  ถ้าเลี้ยงผู้นำเทียมเท็จไว้อย่างสุกร กินดื่มสามมื้อในแต่ละวันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนอ้วนท้วนและแข็งแรง แต่พวกเขากลับไม่ทำงานจริงใดๆ และเป็นคนดีแต่ผลาญ การเก็บพวกเขาเอาไว้ย่อมเปล่าประโยชน์มิใช่หรือ?  เคยมีประโยชน์อะไรหรือไม่?  พวกเขาเป็นได้แค่ตัวประกอบเสริมความเด่นและควรถูกกำจัดออกไป  การเลี้ยงสุกรย่อมดีกว่าการเลี้ยงผู้นำเทียมเท็จจริงๆ  ผู้นำเทียมเท็จอาจมีตำแหน่งเป็น “ผู้นำ” พวกเขาอาจดำรงตำแหน่งนี้ และกินดีวันละสามมื้อ สุขสำราญกับพระคุณอันมากหลายของพระเจ้า พอสิ้นปีก็อ้วนท้วนและผุดผ่องจากการกินทั้งหมด—แต่แล้วงานล่ะ?  จงดูทั้งหมดที่ทำสำเร็จลุล่วงในงานของเจ้าในปีนี้ว่าปีนี้เจ้าได้ผลลัพธ์ของงานด้านใดบ้างแล้วหรือยัง?  เจ้าทำงานจริงใดบ้าง?  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ขอให้เจ้าทำงานทุกชิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เจ้าต้องทำงานสำคัญให้ดี—ตัวอย่างเช่น งานข่าวประเสริฐ หรืองานผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน และอื่นๆ  ทั้งหมดนี้ต้องเกิดผล  ภายใต้รูปการณ์ที่ปกติ งานส่วนใหญ่ควรให้ผลลัพธ์และผลสัมฤทธิ์บ้างหลังจากผ่านไปสามถึงห้าเดือน ถ้าไม่มีผลสำเร็จหลังผ่านไปหนึ่งปี เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นปัญหาร้ายแรง  ภายในขอบเขตความรับผิดชอบของเจ้า งานใดเกิดผลมากที่สุด?  งานใดที่เจ้ายอมลำบากมากที่สุดและทนทุกข์ที่สุดสำหรับตลอดทั้งปี?  นำเสนอผลสัมฤทธิ์นี้ และทบทวนว่าเจ้ามีผลสัมฤทธิ์ที่ทรงคุณค่าจากการสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้ามาครบปีบ้างหรือไม่  เจ้าควรมีสำนึกที่ชัดเจนในเรื่องนี้ในหัวใจของเจ้า  ขณะที่เจ้ากินอาหารจากพระนิเวศของพระเจ้าและสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เจ้าทำสิ่งใดอยู่?  เจ้าสัมฤทธิ์สิ่งใดบ้างหรือยัง?  หากเจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์สิ่งใด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เพียงแค่เหลาะแหละไปวันๆ เจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแท้จริง  ผู้นำเช่นนี้สมควรถูกปลดและกำจัดออกไปหรือไม่?  (สมควร)  เมื่อพวกเจ้าเผชิญหน้ากับผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ พวกเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะได้หรือไม่?  พวกเจ้ามองออกหรือไม่ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ เพียงแค่ทำตัวเหลาะแหละเพื่อที่จะได้กินฟรีไปวันๆ?  พวกเขาากินจนปากมันแผล็บ แต่กลับไม่เคยแสดงท่าทีวิตกกังวลเรื่องงานเลย ไม่มีส่วนร่วมหรือไถ่ถามเกี่ยวกับงานที่เฉพาะเจาะจงใดๆ  ต่อให้พวกเขาไถ่ถาม นั่นก็เพราะมีเหตุผล พวกเขาทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อถูกเบื้องบนกดดันเรื่องผลลัพธ์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน  พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับการหาความเพลิดเพลินอยู่เสมอ มักจะดูภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์  พวกเขามอบหมายงานให้คนอื่นทำ และขณะที่ทุกคนกำลังหัวหมุนอยู่กับการทำหน้าที่ของตน พวกเขากลับพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์  หากเกิดปัญหาขึ้นและเจ้าพยายามตามหาตัวพวกเขาเพื่อสะสางปัญหา ก็จะพบว่าพวกเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่พอถึงเวลาอาหาร พวกเขากลับไม่เคยมาสายแม้สักครั้ง และหลังจากกินเสร็จ ขณะที่คนอื่นๆ กลับไปทำงานต่อ พวกเขาก็จะหลบไปพักผ่อนเพิ่มอีก  หากเจ้าเอ่ยถามพวกเขาว่า “ทำไมคุณถึงไม่ออกไปตรวจดูงานบ้างล่ะ?  ทุกคนกำลังรอแนวทางจากคุณ ให้คุณมาจัดแจงเตรียมงานอยู่นะ!”  พวกเขาก็จะพูดว่า “จะรอฉันทำไมกัน?  พวกคุณทุกคนทำได้ พวกคุณทุกคนรู้วิธีทำ—ถึงฉันไม่อยู่มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?  ฉันพักสักเดี๋ยวไม่ได้หรือ?”  “นั่นมันพักผ่อนตรงไหน?  คุณกำลังดูหนังอยู่ชัดๆ!”  “ฉันกำลังเรียนรู้ทักษะทางวิชาชีพต่างหาก ฉันกำลังศึกษาว่าเขาถ่ายทำภาพยนตร์กันอย่างไร”  พวกเขาถึงกับหาข้ออ้าง  พวกเขาดูภาพยนตร์เรื่องแล้วเรื่องเล่า และเมื่อทุกคนพักผ่อนในยามค่ำคืน พวกเขาก็พักผ่อนเช่นกัน  ในแต่ละวัน พวกเขาก็แค่เหลวไหลเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แต่จะไปถึงจุดไหนกันเล่า?  ทุกคนต่างก็เอือมระอาพวกเขา พวกเขาทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด และท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครใส่ใจพวกเขาอีก  จงบอกเราที หากผู้นำประเภทนี้ไม่ได้กำกับดูแลแล้ว งานจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่?  หากปราศจากพวกเขา โลกจะหยุดหมุนกระนั้นหรือ?  (โลกยังคงหมุนต่อไป)  ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็สมควรถูกเปิดโปงให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจในงานที่ถูกควร และไม่ควรมีใครถูกพวกเขาฝืนใจอีกต่อไป  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ที่ไม่ใส่ใจในงานที่ถูกควร จะต้องถูกเปิดโปงและชำแหละเพื่อให้ทุกคนได้แยกแยะ จากนั้นพวกก็ควรถูกปลดออกไปหลบอยู่ข้างๆ เสีย!  เมื่อพวกเจ้าเผชิญหน้ากับผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ พวกเจ้าสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะได้หรือไม่?  หากไม่มีผู้นำเทียมเท็จแล้ว พวกเจ้าทุกคนจะรู้สึกเหมือนกะลาสีที่ไม่มีกัปตันหรือไม่?  พวกเจ้าจะสามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงและบรรลุภารกิจต่างๆ ได้ด้วยตนเองหรือเปล่า?  หากพวกเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก็กำลังตกอยู่ในอันตรายแล้ว  เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ ที่ไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควร ไม่ได้นำโดยการเป็นแบบอย่าง แถมยังปล่อยเวลาให้เสียไปกับการพูดคุยไร้สาระทางออนไลน์—ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเจ้าจะมีวิจารณญาณแยกแยะได้หรือไม่?  พวกเจ้าจะได้รับอิทธิพลจากพวกเขาจนเข้าไปมีส่วนร่วมในการพูดคุยไร้สาระและทำให้หน้าที่ของพวกเจ้าล่าช้าไปด้วยหรือไม่?  พวกเจ้ายังจะสามารถติดตามผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ได้หรือไม่?  (ไม่)

ผู้นำเทียมเท็จบางคนนั้นทั้งตะกละและเกียจคร้าน เลือกความสะดวกสบายมากกว่าการทำงานหนัก  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะทำงาน ทั้งไม่ต้องการที่จะกังวลใจใดๆ หลีกเลี่ยงความพยายามและความรับผิดชอบ ต้องการเพียงปล่อยตัวตามสบาย  พวกเขาชอบกิน ชอบเที่ยวเล่น และเกียจคร้านเป็นพิเศษ  มีผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่ง ที่ลุกจากที่นอนในตอนเช้าก็ต่อเมื่อทุกคนรับประทานอาหารเสร็จเแล้วเท่านั้น และในยามค่ำคืน ขณะที่คนอื่นๆ กำลังพักผ่อน พวกเขาก็ยังคงดูละครโทรทัศน์อยู่  พี่น้องชายคนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบด้านการทำอาหารทนไม่ไหวอีกต่อไปและตำหนิติเตียนเขา  พวกเจ้าคิดว่าเขาจะฟังคนทำครัวหรือไม่?  (ไม่)  สมมติว่ามีผู้นำหรือคนทำงานสักคนได้ว่ากล่าวตักเตือนเขาอย่างว่า “คุณจำเป็นต้องขยันขันแข็งให้มากกว่านี้ งานที่จำเป็นต้องทำก็ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง  ในฐานะผู้นำ คุณต้องลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม เจ้าต้องทำให้มั่นใจว่างานนั้นจะไม่มีปัญหาใดๆ  ตอนนี้เจอปัญหาแล้ว และคุณก็ไม่อยู่แก้ไขปัญหา สิ่งนี้ย่อมส่งผลกระทบต่องาน  หากคุณยังคงทำงานในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ นี่จะไม่ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าหรอกหรือ?  คุณจะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้หรือ?”  พวกเขาจะรับฟังคำตักเตือนนี้หรือไม่?  ก็ไม่แน่เสมอไป  สำหรับผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ กลุ่มผู้ตัดสินใจควรปลดพวกเขาออกโดยทันที และจัดแจงงานอื่นให้พวกเขาทำตามกำลังความสามารถที่พวกเขามี  หากพวกเขาเป็นคนไม่เอาไหน ไปที่ไหนก็ต้องการแต่เอาเปรียบผู้อื่น ไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นนั้นก็จงขับไล่พวกเขาไปให้พ้นๆ โดยไม่ให้พวกเขาทำหน้าที่ใดๆ  พวกเขาไม่คู่ควรที่จะทำหน้าที่ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาขาดมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาไร้ยางอาย  สำหรับผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ ซึ่งมีสภาพไม่ต่างอะไรกับพวกคนเกียจคร้านสันหลังยาว เมื่อถูกมองออกแล้ว ก็สมควรที่จะถูกปลดออกในทันที ไม่จำเป็นต้องพยายามแนะนำตักเตือนพวกเขา และไม่ควรให้โอกาสใดๆ แก่พวกเขาเพื่อการสังเกตการณ์อีกต่อไป ทั้งยังไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา  พวกเขาได้ฟังความจริงมายังไม่เพียงพออีกหรือ?  ต่อให้พวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ?  ไม่มีทาง  หากใครบางคนมีขีดความสามารถต่ำ บางครั้งก็มีมุมมองที่ไร้สาระ หรือมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดอันเนื่องมาจากความไม่รู้ แต่พวกเขามีความขยัน แบกรับภาระ และไม่เกียจคร้าน เช่นนั้นแล้ว คนประเภทนี้ แม้จะมีการเบี่ยงเบนไปบ้างในการทำหน้าที่ของตน เมื่อเผชิญการถูกตัดแต่งก็สามารถกลับใจ  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็รู้ถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำ และรู้ว่าตนเองควรทำสิ่งใด พวกเขามีมโนธรรมและสำนึกรับผิดชอบ และพวกเขามีหัวใจ  ทว่า คนเหล่านั้นที่เกียจคร้าน เลือกความสะดวกสบายมากกว่าการทำงานหนัก และไม่แบกรับภาระ ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  พวกเขาไม่มีภาระใจ ไม่ว่าใครจะตัดแต่งพวกเขาก็เปล่าประโยชน์  บางคนอาจแย้งว่า “ถ้าเช่นนั้น หากการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และการถลุงของพระเจ้ามาถึงพวกเขา สิ่งเหล่านั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงปัญหาเรื่องการไม่มีภาระใจของพวกเขาได้หรือไม่?”  นี่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนี้ถูกกำหนดโดยธรรมชาติของคนเรา เปรียบดังสุนัขที่ไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยการกินอาจมของมันได้  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเห็นใครบางคนที่เกียจคร้านและไม่แบกรับภาระ ทั้งยังรับใช้ในฐานะผู้นำ เจ้าก็สามารถมั่นใจได้เลยว่าพวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ  บางคนอาจจะพูดว่า “คุณจะเรียกพวกเขาว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร?  พวกเขามีขีดความสามารถที่ดี ทั้งยังฉลาดเฉลียว มองทะลุเรื่องราวต่างๆ ได้ และสามารถวางแผนการอันแยบยล  ในโลกนี้ พวกเขาเคยบริหารจัดการธุรกิจใหญ่โต เป็นถึงผู้บริหารระดับสูง พวกเขามีความรู้กว้างขวาง มีประสบการณ์โชกโชน และเจนจัดในทางโลก!”  แล้วคุณสมบัติเหล่านี้จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความเกียจคร้านและการขาดภาระของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)

คนที่เกียจคร้านจนเป็นสันดานนั้นมีลักษณะนิสัยและการสำแดงออกแบบใด?  ประการแรก ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังทำสิ่งใดอยู่ก็ตาม พวกเขามักจะทำอย่างสุกเอาเผากิน อืดอาดเชื่องช้า ทำงานอย่างสบายๆ และจะพักผ่อนและผัดวันประกันพรุ่งเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้  ประการที่สอง พวกเขาไม่ใส่ใจในงานของคริสตจักร สำหรับพวกเขา ใครก็ตามที่ชอบกังวลเรื่องเหล่านั้นก็ทำไป พวกเขาจะไม่ทำ ต่อให้พวกเขาจะกังวลเรื่องใดขึ้นมาบ้าง ก็ล้วนเป็นไปเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตนเองเท่านั้น—ทั้งหมดที่สำคัญสำหรับพวกเขาก็คือพวกเขาสามารถเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ทางสถานะได้  ประการที่สาม พวกเขาหลีกหนีความยากลำบากในงานของตน พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้หากงานของตนน่าเหน็ดเหนื่อยแม้เพียงเล็กน้อย รู้สึกขุ่นเคืองใจอย่างรุนแรง และพวกเขาไม่สามารถที่จะทนต่อความยากลำบากหรือยอมจ่ายราคาใดๆ  ประการที่สี่ พวกเขาไม่สามารถพากเพียรในงานใดๆ ที่พวกเขาทำได้ พวกเขามักจะล้มเลิกกลางคันอยู่เสมอและไม่สามารถทำจนสำเร็จลุล่วงได้  หากพวกเขาเกิดอารมณ์ดีขึ้นมาชั่วครู่ พวกเขาก็อาจจะทำงานบางอย่างเพื่อความสนุกสนาน แต่หากว่าบางอย่างต้องอาศัยความมุ่งมั่นในระยะยาว และงานนั้นทำให้พวกเขายุ่งอยู่ตลอดเวลา ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก และทำให้ร่างกายเหนื่อยล้า เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็จะเริ่มบูดบึ้ง  ตัวอย่างเช่น ผู้นำบางคนรับผิดชอบงานของคริสตจักร และในตอนแรกพวกเขาก็พบว่างานนั้นสดใหม่ พวกเขามีแรงจูงใจอย่างมากในการสามัคคีธรรมความจริง และเมื่อพวกเขาเห็นพี่น้องชายหญิงประสบปัญหา พวกเขาก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้น แต่หลังจากที่พากเพียรอยู่ได้ระยะหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่างานของผู้นำนั้นเหน็ดเหนื่อยเกินไป และพวกเขาก็คิดลบ—พวกเขาปรารถนาที่จะเปลี่ยนไปทำงานที่เบาสบายกว่า และไม่เต็มใจที่จะแบกรับความยากลำบาก คนเช่นนี้ขาดความพากเพียร  ประการที่ห้า ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งที่บ่งชี้ถึงความเป็นคนเกียจคร้านก็คือการไม่เต็มใจที่จะทำงานจริง ทันทีที่เนื้อหนังของพวกเขาทนทุกข์ พวกเขาก็จะหาข้ออ้างเพื่อหลบเลี่ยงและหนีงานของตน หรือไม่ก็โยนงานนั้นไปให้คนอื่นทำแทน และเมื่อคนนั้นทำงานจนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็จะเก็บเกี่ยวผลรางวัลนั้นเองอย่างหน้าไม่อาย  เหล่านี้คือลักษณะเฉพาะที่สำคัญห้าประการของคนเกียจคร้าน  พวกเจ้าควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีคนเกียจคร้านเช่นนี้อยู่ในหมู่ผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรต่างๆ หรือไม่  หากพวกเจ้าพบเจอ พวกเขาก็สมควรถูกปลดออกจากตำแหน่งในทันที  คนเกียจคร้านสามารถทำงานให้ดีในฐานะผู้นำได้หรือไม่?  ไม่ว่าพวกเขามีขีดความสามารถประเภทใด หรือคุณภาพความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นอย่างไร หากพวกเขาเป็นคนเกียจคร้าน พวกเขาก็ย่อมไม่สามารถทำงานของตนให้ดีได้ และพวกเขาก็จะทำให้งานและเรื่องสำคัญต่างๆ ล่าช้าออกไป  งานของคริสตจักรนั้นมีหลายแง่มุม แต่ละแง่มุมก็ประกอบด้วยงานที่มีรายละเอียดมากมาย และจำเป็นต้องอาศัยการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี  ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานจึงต้องมีความขยันหมั่นเพียร—พวกเขาต้องพูดคุยและทำงานอย่างมากในแต่ละวันเพื่อให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิผลของงาน  หากพวกเขาพูดน้อยเกินไปหรือทำน้อยเกินไป ก็ย่อมจะไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ  ดังนั้น หากผู้นำหรือคนทำงานเป็นคนเกียจคร้าน พวกเขาก็ย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างไม่ต้องสงสัยและไม่สามารถทำงานจริงใดๆ ได้เลย  คนเกียจคร้านนั้นไม่ทำงานจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขาจะไปยังสถานที่ทำงานด้วยตนเอง และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาหรือเข้าไปมีส่วนร่วมในงานที่เฉพาะเจาะจงใดๆ  พวกเขาไม่มีความเข้าใจหรือตระหนักรู้แม้แต่น้อยเกี่ยวกับปัญหาในงานใดๆ  พวกเขามีเพียงความคิดที่ผิวเผินและเลื่อนลอยอยู่ในหัว ซึ่งได้มาจากการรับฟังสิ่งที่คนอื่นพูดเท่านั้น และพวกเขาใช้ชีวิตไปวันๆ ด้วยการเพียงแค่ประกาศคำสอนเล็กน้อย  พวกเจ้าสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะผู้นำประเภทนี้ได้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ?  (ได้ในระดับหนึ่ง)  คนเกียจคร้านนั้นปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ก็ตามอย่างสุกเอาเผากินเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ใดก็ตาม พวกเขาก็ขาดซึ่งความพากเพียร ทำงานเป็นพักๆ และบ่นว่าเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเผชิญกับความยากลำบากบางอย่าง โดยจะพรั่งพรูความคับข้องใจออกมาไม่สิ้นสุด  พวกเขาจะสาดเสียเทเสียคำพูดหยาบคายใส่ใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์หรือตัดแต่งพวกเขา เหมือนหญิงปากร้ายที่ด่าคนอยู่ตามถนน พวกเขาต้องการที่จะระบายอารมณ์ขุ่นมัวของตนใส่คนอื่นอยู่เสมอ และไม่ต้องการทำหน้าที่ของตน  การที่พวกเขาไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนนั้นบ่งบอกถึงสิ่งใด?  นั่นบ่งบอกว่าพวกเขาไม่แบกรับภาระ ไม่เต็มใจที่จะแบกรับความรับผิดชอบ และเป็นคนเกียจคร้าน  พวกเขาไม่ต้องการที่จะทนทุกข์กับความยากลำบากหรือยอมจ่ายราคาใดๆ  สิ่งนี้ใช้ได้โดยเฉพาะกับผู้นำและคนทำงาน หากพวกเขาไม่แบกรับภาระ พวกเขาจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน

ผู้นำเทียมเท็จไม่ติดตามหรือให้แนวทางเกี่ยวกับงาน

พวกเราเพิ่งเสวนาถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่ห้าของผู้นำและคนทำงานในแง่มุมนี้คือ “คงไว้ซึ่งการหยั่งรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสถานะของงานแต่ละงาน”  การเสวนาในแง่มุมนี้ทำให้พวกเราได้เปิดโปงการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงบางประการของผู้นำเทียมเท็จ ตลอดจนความเป็นมนุษย์และอุปนิสัยของพวกเขา  คราวนี้พวกเรามาพิจารณาเรื่อง “การคงไว้ซึ่งการหยั่งรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความคืบหน้าของงานแต่ละงาน” กัน  แน่นอนว่าความคืบหน้าของงานนั้นค่อนข้างจะเกี่ยวเนื่องกับสถานะของงาน ทั้งสองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างค่อนข้างใกล้ชิด  หากคนเราไม่สามารถรักษาความเข้าใจและการหยั่งรู้ถึงสถานะของงานงานหนึ่งได้ พวกเขาย่อมไม่สามารถรักษาความเข้าใจและการหยั่งรู้ถึงความคืบหน้าของงานนั้นได้เช่นกัน  อาทิเช่น ความคืบหน้าของงานเป็นอย่างไร งานได้ดำเนินไปถึงขั้นตอนใดแล้ว สภาวะของผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นเช่นไร มีอุปสรรคใดๆ ในด้านวิชาชีพหรือไม่ มีส่วนใดของงานที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดของพระนิเวศพระเจ้าหรือไม่ ผลลัพธ์ที่ได้สัมฤทธิ์แล้วนั้นเป็นอย่างไร มีผู้ที่ทำงานแต่ไม่ค่อยเชี่ยวชาญในด้านวิชาชีพของงานนั้นกำลังเรียนรู้อยู่หรือไม่ ใครเป็นผู้จัดให้มีการเรียนรู้ พวกเขากำลังเรียนรู้อะไร เรียนรู้อย่างไร และอื่นๆ—ประเด็นเฉพาะเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความคืบหน้า  ตัวอย่างเช่น งานประพันธ์บทเพลงนมัสการก็สำคัญมากมิใช่หรือ?  สำหรับบทเพลงนมัสการบทเพลงหนึ่งนั้น ตั้งแต่การคัดเลือกบทตอนสำคัญในพระวจนะของพระเจ้าในเบื้องต้นไปจนถึงการประพันธ์จนเสร็จสมบูรณ์ มีงานที่เฉพาะเจาะจงใดบ้างที่ต้องดำเนินการในกระบวนการนี้?  ประการแรก จำเป็นต้องคัดเลือกบทตอนสำคัญจากพระวจนะของพระเจ้าที่เหมาะสมแก่การเป็นบทเพลงนมัสการ อีกทั้งยังต้องมีความยาวที่เหมาะสมด้วย  ขั้นตอนที่สองเกี่ยวข้องกับการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าท่วงทำนองรูปแบบใดจึงจะเหมาะกับบทตอนนั้นๆ เพื่อให้การขับร้องเป็นที่รื่นหูและน่าเพลิดเพลิน  จากนั้นก็ต้องค้นหาผู้ที่เหมาะสมมาร้องบทเพลงนมัสการนั้น  เหล่านี้คืองานที่เฉพาะเจาะจงมิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากมีการประพันธ์บทเพลงนมัสการแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ไถ่ถามเลยแม้แต่น้อยว่าบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นนั้นได้มาตรฐานหรือมีรูปแบบที่เหมาะสมหรือไม่  เมื่อผู้ประพันธ์สังเกตเห็นว่าไม่มีการกำกับดูแล จึงลงความเห็นว่าผลงานของตนนั้นใช้ได้แล้วและดำเนินการบันทึกเสียง  พระวจนะของพระเจ้าในบทตอนที่ทุกคนเฝ้ารอคอยให้กลายเป็นบทเพลงนมัสการ ในที่สุดก็ได้มีการใส่ทำนองและเรียบเรียงเป็นบทเพลงนมัสการ แต่เมื่อขับร้อง คนส่วนใหญ่กลับพบว่าเพลงนั้นยังมีข้อบกพร่องอยู่  เกิดปัญหาอะไรขึ้น?  บทเพลงนมัสการที่ประพันธ์ขึ้นนั้นไม่ดีพอ มันถูกบันทึกเสียงทั้งๆ ที่ยังขาดท่วงทำนองและความไพเราะน่าฟัง  เมื่อผู้นำเทียมเท็จได้ฟังแล้วก็ถามขึ้นว่า “ใครแต่งเพลงนี้?  เหตุใดจึงได้มีการบันทึกเสียง?”  กว่าพวกเขาจะถามคำถามนี้ เวลาก็ล่วงเลยไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งเดือน  ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ผู้นำควรติดตามและทำความเข้าใจความคืบหน้าของงานนี้อย่างทันท่วงทีไม่ใช่หรือ?  ตัวอย่างเช่น การประพันธ์เพลงดำเนินไปอย่างไร?  ได้ทำนองพื้นฐานแล้วหรือยัง?  มีทำนองหลักหรือไม่?  ทำนองหลักและรูปแบบของบทเพลงนมัสการนี้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวข้องได้ช่วยให้การชี้แนะหรือไม่?  หลังจากประพันธ์แล้ว บทเพลงนมัสการนี้จะสามารถขับร้องได้อย่างแพร่หลายหรือไม่?  จะบังเกิดผลอย่างไร?  ท่วงทำนองนี้ถือว่าดีหรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จก็มิได้ติดตามเรื่องราวเหล่านี้เลย  และพวกเขาก็มีเหตุผลที่ไม่ติดตามว่า “ฉันไม่เข้าใจการประพันธ์บทเพลงนมัสการ  ฉันจะติดตามสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจได้อย่างไร?  มันเป็นไปไม่ได้”  นี่เป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลหรือไม่?  (ไม่)  นี่ไม่ใช่เหตุผลที่สมเหตุสมผลเลย แล้วคนที่ไม่คุ้นเคยกับการประพันธ์บทเพลงนมัสการจะยังสามารถติดตามงานได้หรือไม่?  (ได้)  พวกเขาควรติดตามงานอย่างไร?  (พวกเขาสามารถร่วมมือกับเหล่าพี่น้อง และตรวจสอบท่วงทำนองโดยอิงตามหลักธรรมเพื่อดูว่าเหมาะสมหรือไม่ พวกเขาสามารถติดตามงานอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ แทนที่จะปัดความรับผิดชอบต่องานนั้น)  ลักษณะสำคัญของงานที่ผู้นำเทียมเท็จทำก็คือการเอาแต่พูดเรื่องคำสอนและท่องคำขวัญเหมือนนกแก้วนกขุนทอง  หลังจากออกคำสั่งแล้ว พวกเขาก็เพียงปัดความรับผิดชอบในเรื่องนั้น  พวกเขาไม่สอบถามถึงความคืบหน้าของงานหลังจากนั้นเลย ไม่สอบถามว่ามีปัญหา ความเบี่ยงเบน หรือความลำบากยากเย็นใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่  พวกเขามองว่างานของตนเสร็จสิ้นทันทีที่มอบหมายงานแล้ว  อันที่จริง ในฐานะผู้นำ หลังจากได้จัดการเตรียมงานแล้ว เจ้าต้องติดตามความคืบหน้าของงานด้วย  แม้ว่าเจ้าจะไม่คุ้นเคยกับสายงานนั้น—แม้ว่าเจ้าจะไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับงานนั้น—เจ้าก็สามารถหาวิธีที่จะทำงานของเจ้าได้  เจ้าสามารถหาผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ผู้ที่เข้าใจในสายงานที่เกี่ยวข้อง มาดำเนินการตรวจสอบและให้คำแนะนำได้  จากคำแนะนำของพวกเขา เจ้าย่อมสามารถระบุหลักการที่เหมาะสมได้ และด้วยเหตุนี้เจ้าก็จะสามารถติดตามงานได้  ไม่ว่าเจ้าจะคุ้นเคยหรือเข้าใจในสายงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องควบคุมดูแลงานนั้น ติดตามงาน และสอบถามถึงความคืบหน้าของงานอย่างต่อเนื่อง  เจ้าต้องรักษาการหยั่งรู้ในเรื่องดังกล่าว นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า เป็นส่วนหนึ่งในงานของเจ้า  การไม่ติดตามงาน การไม่ทำสิ่งใดเพิ่มเติมเมื่อได้มอบหมายงานไปแล้ว การปัดความรับผิดชอบต่องานนั้น—คือหนทางในการทำสิ่งต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จ  การไม่ติดตามงานหรือไม่ให้แนวทางเกี่ยวกับงาน การไม่สอบถามหรือไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และการไม่ทำความเข้าใจความคืบหน้าหรือประสิทธิภาพของงาน—เหล่านี้ก็เป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จเช่นกัน

ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง อันเป็นการทำให้ความคืบหน้าของงานล่าช้า

เพราะผู้นำเทียมเท็จไม่ยอมเรียนรู้เรื่องความคืบหน้าของงาน และเพราะพวกเขาไม่สามารถระบุชี้—และยิ่งไม่สามารถแก้ไข—ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที นี่มักจะทำให้เกิดความล่าช้าซ้ำๆ  เนื่องจากผู้คนไม่เข้าใจหลักธรรมของงานบางอย่าง และไม่มีใครเหมาะสมที่จะรับผิดชอบหรือบริหารงานนั้น ผู้ที่ดำเนินงานอยู่จึงมักจะอยู่ในสภาวะที่คิดลบ นิ่งเฉย และรอคอย ซึ่งส่งผลต่อความคืบหน้าของงานอย่างรุนแรง  หากผู้นำลุล่วงความรับผิดชอบของตน—หากพวกเขาเข้าไปบริหารงาน ผลักดันงานไปข้างหน้า กำกับดูแลงานนั้น และหาใครบางคนที่เข้าใจสายงานนั้นมาชี้แนะงาน เช่นนั้นแล้วงานก็คงจะก้าวหน้าเร็วขึ้น แทนที่จะประสบกับความล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เช่นนี้เองการเข้าใจและหยั่งรู้ถึงสภาวะของงานจึงสำคัญยิ่งสำหรับผู้นำทั้งหลาย  แน่นอนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งด้วยที่บรรดาผู้นำจะต้องเข้าใจและหยั่งรู้ว่างานนั้นกำลังก้าวหน้าไปอย่างไร เพราะความคืบหน้าสัมพันธ์กับประสิทธิภาพของงานและผลลัพธ์ที่งานควรสัมฤทธิ์  ถ้าเหล่าผู้นำและคนทำงานไม่เข้าใจว่างานของคริสตจักรกำลังดำเนินไปอย่างไร และพวกเขาไม่ติดตามหรือกำกับดูแลสิ่งต่างๆ เช่นนั้นแล้วงานของคริสตจักรย่อมไม่แคล้วที่จะคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า  นี่เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่อยู่นั้นมีนิสัยผักชีโรยหน้าอย่างมาก ไม่มีสำนึกในภาระหน้าที่ และมักจะคิดลบ นิ่งเฉย และสุกเอาเผากิน  ถ้าไม่มีใครที่มีสำนึกในภาระหน้าที่และมีความสามารถในการทำงานมาแบกรับความรับผิดชอบต่องาน เรียนรู้เรื่องความคืบหน้าของงานให้ทันท่วงทีอย่างเป็นรูปธรรม และชี้แนะ กำกับดูแล บ่มวินัย และตัดแต่งบุคลากรที่ทำหน้าที่ เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าประสิทธิผลของงานย่อมจะอยู่ในระดับต่ำมากและผลงานก็จะแย่มาก  หากผู้นำและคนทำงานถึงขั้นไม่สามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็โง่เขลาและมืดบอด  ดังนั้นการที่ผู้นำและคนทำงานต้องรีบตรวจสอบ ติดตาม และทำความเข้าใจความคืบหน้าของงาน ตรวจสอบดูว่าผู้คนที่ทำหน้าที่มีปัญหาอะไรที่จำเป็นต้องแก้ไขบ้าง และทำความเข้าใจว่าควรแก้ปัญหาใดเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลที่ดีขึ้น  ทุกเรื่องที่กล่าวมานี้ล้วนสำคัญมาก คนที่ทำหน้าที่ผู้นำต้องชัดเจนในเรื่องเหล่านี้  การที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เจ้าต้องไม่เป็นอย่างผู้นำเทียมเท็จที่ทำงานบางอย่างอย่างผิวเผิน แล้วก็คิดว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดีแล้ว  พวกผู้นำเทียมเท็จไม่ใส่ใจและทำงานของตนอย่างมักง่าย พวกเขาไม่มีสำนึกรับผิดชอบ เมื่อเกิดปัญหา พวกเขาก็ไม่แก้ไข และไม่ว่าจะทำงานอะไรอยู่ พวกเขาก็ทำเพียงผิวเผินเท่านั้นและมีแนวทางต่องานนั้นอย่างสุกเอาเผากิน พวกเขาเพียงแค่ใช้คำพูดที่ฟังดูสูงส่ง พ่นคำสอนและวาจาที่ว่างเปล่า และทำงานของตนแบบขอไปที  โดยทั่วไปแล้ว นี่คือสภาวะของวิธีทำงานของพวกผู้นำเทียมเท็จ  แม้เมื่อเปรียบเทียบกับศัตรูของพระคริสต์แล้ว ผู้นำเทียมเท็จจะไม่ได้ทำชั่วอย่างโจ่งแจ้งและไม่ได้จงใจทำชั่ว แต่เมื่อเจ้ามองดูประสิทธิผลในงานของพวกเขา ก็ยุติธรรมแล้วที่จะกำหนดลักษณะนิสัยของพวกเขาว่าสุกเอาเผากิน ไม่แบกรับภาระ ไม่มีความรับผิดชอบ และไม่จงรักภักดีต่องานของตน

เมื่อสักครู่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันแล้วว่าผู้นำเทียมเท็จนั้นไม่ทำงานจริง ทั้งยังขาดความเข้าใจและการหยั่งรู้ในความคืบหน้าของงานแต่ละรายการของคริสตจักร  สำหรับปัญหาและความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักร ก็เป็นความจริงเช่นกันที่ผู้นำเทียมเท็จเพียงแค่เพิกเฉย หรือไม่ก็พ่นคำสอนออกมาเล็กน้อยและท่องคำขวัญสองสามคำเพื่อกลบเกลื่อนให้พ้นตัวไป  ในทุกรายการงาน จะไม่มีใครได้เห็นพวกเขาลงพื้นที่ปฏิบัติงานด้วยตนเองเพื่อทำความเข้าใจและติดตามงาน  ย่อมไม่เห็นพวกเขาสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา ณ ที่นั้น และยิ่งกว่านั้นคือจะไม่เห็นพวกเขาชี้นำและกำกับดูแลงานด้วยตนเองในพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อบกพร่องและความเบี่ยงเบนในงานนั้น  นี่คือการสำแดงที่ชัดเจนที่สุดของพฤติกรรมการทำงานแบบสุกเอาเผากินของผู้นำเทียมเท็จ  แม้ว่าผู้นำเทียมเท็จจะไม่ได้เจตนาขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรเหมือนอย่างพวกศัตรูของพระคริสต์ ทั้งไม่ได้ประกอบการชั่วมากมายและสถาปนาอาณาจักรอิสระของตนเอง แต่พฤติกรรมสุกเอาเผากินนานัปการของพวกเขาก็ก่อให้เกิดอุปสรรคใหญ่หลวงต่องานของคริสตจักร ส่งผลให้ปัญหาต่างๆ ผุดขึ้นไม่รู้จบและคาราคาซังไม่ได้รับการแก้ไข  สิ่งนี้กระทบต่อความคืบหน้าของงานแต่ละรายการของคริสตจักรอย่างรุนแรง ทั้งยังส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ไม่สมควรถูกกำจัดออกไปหรอกหรือ?  ผู้นำเทียมเท็จนั้นไร้ความสามารถในการทำงานจริง ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็มักจะเริ่มต้นอย่างแข็งขันแต่สุดท้ายก็แผ่วปลาย  บทบาทที่พวกเขาแสดงเป็นเพียงผู้กล่าวเปิดงาน กล่าวคือ ท่องคำขวัญและเทศนาคำสอน เมื่อมอบหมายงานให้ผู้อื่นและจัดแจงคนรับผิดชอบงานเสร็จแล้ว ภารกิจของพวกเขาก็จบสิ้นลง  พวกเขาเปรียบได้กับเครื่องขยายเสียงประกาศตามชนบทในประเทศจีน—บทบาทของพวกเขามีอยู่เพียงเท่านั้น  พวกเขาทำเพียงงานเบื้องต้นเล็กน้อย ส่วนงานที่ตามมานั้นกลับไร้เงาของพวกเขาโดยสิ้นเชิง  สำหรับคำถามเฉพาะเจาะจงต่างๆ เช่น งานแต่ละรายการดำเนินไปอย่างไร สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ และบังเกิดผลหรือไม่—พวกเขาไม่เคยรู้คำตอบ  พวกเขาไม่เคยลงลึกคลุกคลีกับระดับรากหญ้าและไปยังสถานที่ปฏิบัติงานเพื่อทำความเข้าใจและหยั่งรู้ถึงความคืบหน้าและรายละเอียดเฉพาะของงานแต่ละรายการเลย  ดังนั้น แม้ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้นำ ผู้นำเทียมเท็จอาจไม่ได้เจตนาก่อกวนและขัดขวาง หรือประกอบการชั่วต่างๆ นานา แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาได้ทำให้งานเป็นอัมพาต ทำให้ความคืบหน้าของงานแต่ละรายการของคริสตจักรต้องล่าช้า และส่งผลให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีและเข้าสู่ชีวิตได้  เมื่อทำงานเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะสามารถนำพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปสู่หนทางที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไรกัน?  สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานจริงใดๆ เลย  พวกเขาล้มเหลวในการติดตามงานที่ตนควรรับผิดชอบ หรือให้การชี้แนะและกำกับดูแลเพื่อให้มั่นใจว่างานของคริสตจักรจะดำเนินไปอย่างปกติ  พวกเขาล้มเหลวในการทำหน้าที่ที่ผู้นำและคนทำงานพึงกระทำ และล้มเหลวในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีหรือความรับผิดชอบของตน  สิ่งนี้ยืนยันได้ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้มีความจงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาเอาแต่ทำอย่างสุกเอาเผากิน เป็นการหลอกลวงทั้งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและพระเจ้าพระองค์เอง ทั้งยังส่งผลกระทบและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระองค์  นี่คือข้อเท็จจริงที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้  ไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จจะไร้ความสามารถในการทำงานจริงๆ หรือเป็นเพราะพวกเขาหลีกเลี่ยงงานและเจตนาทำอย่างสุกเอาเผากินก็ตาม อย่างไรเสีย ข้อเท็จจริงก็คือพวกเขาทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิงสับสนไปหมด  งานแต่ละรายการของคริสตจักรไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย ปัญหามากมายที่หมักหมมไว้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขเป็นเวลานาน  สิ่งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการเผยแผ่งานข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปสรรคขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างใหญ่หลวงอีกด้วย  ข้อเท็จจริงเหล่านี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ผู้นำเทียมเท็จไม่เพียงแต่ไร้ความสามารถในการทำงานจริงเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญของงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเป็นหินสะดุดต่อการดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในคริสตจักรอีกด้วย

ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงได้  การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงทำให้ความคืบหน้าของงานล่าช้าและส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของงานเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่องานของคริสตจักรอีกด้วย คือทำให้สิ้นเปลืองทั้งกำลังคน ทรัพยากรวัตถุ และทรัพยากรทางการเงินไปเป็นอันมาก  ด้วยเหตุนี้ ผู้นำเทียมเท็จจึงสมควรชดใช้ค่าเสียหายในเรื่องเงินที่เกิดขึ้น  บางคนอาจกล่าวว่า “หากผู้นำและคนทำงานจะต้องชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการทำงานบกพร่อง เช่นนั้นแล้วก็คงไม่มีใครอยากจะเป็นผู้นำหรือคนทำงานอีก”  คนที่ไม่รู้จักรับผิดชอบเช่นนี้ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานโดยสิ้นเชิง  ผู้ที่ไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลก็คือคนชั่ว—แล้วหากคนชั่วปรารถนาจะเป็นผู้นำและคนทำงาน นั่นจะไม่สร้างปัญหาหรอกหรือ?  ในเมื่อพระนิเวศของพระเจ้ามีงานมากมายที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในเรื่องเงิน จะไม่ทำการคิดคำนวณบัญชีเหล่านี้เลยได้หรือ?  ของถวายของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถนำไปผลาญทิ้งและใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายตามใจชอบได้เช่นนั้นหรือ?  ผู้นำและคนทำงานมีสิทธิ์อันใดมาผลาญของถวายของพระเจ้า?  การก่อให้เกิดความสูญเสียในเรื่องเงินนั้นจำเป็นต้องได้รับการชดใช้อย่างแน่นอน  นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องและชอบธรรมอย่างที่สุด ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้  สมมุติว่ามีงานหนึ่งที่สามารถเสร็จบริบูรณ์ได้ภายในเวลาหนึ่งเดือนด้วยคนหนึ่งคน  หากงานนี้ใช้เวลาทำถึงหกเดือน ค่าใช้จ่ายของห้าเดือนที่เหลือจะไม่นับเป็นความสูญเสียหรอกหรือ?  เราขอยกตัวอย่างที่เกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐ  สมมุติว่าคนคนหนึ่งเต็มใจที่จะสืบค้นหนทางที่แท้จริงและอาจจะยอมรับได้ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน แล้วจากนั้นเขาก็จะเข้าสู่คริสตจักรเพื่อรับการให้น้ำและการจัดเตรียมต่อไป และเขาก็อาจจะสร้างรากฐานขึ้นมาได้ภายในเวลาหกเดือน  แต่หากคนที่ประกาศข่าวประเสริฐมีท่าทีไม่ใส่ใจและสุกเอาเผากินกับเรื่องนี้ อีกทั้งเหล่าผู้นำและคนทำงานต่างก็ละเลยความรับผิดชอบของพวกเขาเอง จนท้ายที่สุดต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการรับคนคนนั้นเอาไว้ เวลาครึ่งปีนี้จะไม่นับเป็นความสูญเสียต่อชีวิตของเขาหรือ?  หากเขาเผชิญความวิบัติใหญ่หลวงและยังไม่ได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริง เขาจะตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นแล้ว คนเหล่านั้นจะไม่ได้ทำให้คนคนนี้ล้มเหลวหรอกหรือ?  ความสูญเสียดังกล่าวไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยเงินทองหรือสิ่งทั้งหลายทางวัตถุ  หากความเข้าใจในความจริงของคนคนนี้ถูกหน่วงเอาไว้ถึงครึ่งปี และพวกเขาสร้างรากฐานและเริ่มต้นทำหน้าที่ของตนล่าช้าไปถึงครึ่งปี  ผู้ใดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เล่า?  เหล่าผู้นำและคนทำงานรับผิดชอบเรื่องนี้ได้หรือ?  ไม่มีใครแบกรับความรับผิดชอบต่อความล่าช้าในชีวิตของใครบางคนได้  ในเมื่อไม่มีใครแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้ แล้วสิ่งที่เหล่าผู้นำและคนทำงานสมควรทำคืออะไร?  สิ่งนั้นประกอบด้วยคำสี่คำ นั่นคือ ทุ่มเททั้งหมด  เจ้าทุ่มเททั้งหมดให้กับการทำสิ่งใด?  การลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าเอง ทำทุกอย่างที่เจ้าเห็นได้ด้วยสองตาของตน นึกถึงการนั้นอยู่ในใจ และทำให้สัมฤทธิ์ผลด้วยขีดความสามารถของตัวเจ้านั่นเอง  นี่คือการทุ่มเททั้งหมด นี่คือการเป็นคนจงรักภักดีและมีความรับผิดชอบ และนี่คือความรับผิดชอบที่เหล่าผู้นำและคนทำงานพึงทำให้ลุล่วง  ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่ให้ความสำคัญกับการประกาศข่าวประเสริฐอย่างจริงจัง  พวกเขาคิดว่า “แกะของพระเจ้าย่อมฟังพระสุรเสียงของพระองค์  ใครก็ตามที่ตรวจสอบและยอมรับก็ย่อมได้รับพร ส่วนใครที่ไม่ตรวจสอบและไม่ยอมรับก็ย่อมไม่ได้รับพร และสมควรตายในความวิบัติ!”  ผู้นำเทียมเท็จไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าแม้แต่น้อย และไม่แบกรับภาระใดๆ ต่องานข่าวประเสริฐ ทั้งยังไม่รับผิดชอบต่อผู้มาใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่คริสตจักร และไม่ให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—พวกเขามุ่งเน้นแต่การปล่อยตัวตามสบายกับผลประโยชน์ทางสถานะของตนอยู่เสมอ  ไม่ว่าจะมีผู้คนมากมายเพียงใดที่ตรวจสอบหนทางที่แท้จริง พวกเขาก็ไม่รู้สึกกังวลใจแม้แต่น้อย กลับมีทัศนคติแบบทำไปวันๆ ประพฤติตนเยี่ยงข้าราชการที่นั่งกินตำแหน่งไปวันๆ  ไม่ว่างานจะสำคัญหรือเร่งด่วนเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยไปยังที่เกิดเหตุ ไม่สอบถามเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของงาน และไม่ติดตามงานเพื่อแก้ไขปัญหา  พวกเขาเพียงแค่มอบหมายงานแล้วก็ถือว่าจบสิ้นภารกิจของตน และเชื่อว่านี่คือการทำงานแล้ว  นี่ไม่ใช่การทำอย่างสุกเอาเผากินหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่การหลอกลวงทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างหรอกหรือ?  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้จะเหมาะสมที่พระเจ้าทรงใช้ได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ต่างอะไรกับข้าราชการของพญานาคใหญ่สีแดงเลยมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่า “การเป็นผู้นำหรือคนทำงานก็เหมือนกับการเป็นข้าราชการ และคนเราควรจะสุขสำราญกับผลประโยชน์ของสถานะนี้  การเป็นข้าราชการทำให้ฉันมีสิทธิพิเศษนี้ คือไม่ต้องไปปรากฏตัวในทุกเรื่อง  ถ้าฉันต้องไปยังที่เกิดเหตุเสมอ ติดตามงาน และทำความเข้าใจสถานการณ์ นั่นจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ทั้งยังเสียเกียรติอีกด้วย!  ฉันไม่ยอมทนเหนื่อยเช่นนั้นเด็ดขาด!”  นี่คือวิธีการทำงานของผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จอย่างแท้จริง  พวกเขาสนใจแต่เพียงการละโมบความสะดวกสบายและสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะโดยไม่ทำงานจริงใดๆ และปราศจากมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ โดยสิ้นเชิง  ปรสิตเช่นนี้สมควรถูกกำจัดออกไปอย่างแท้จริง และแม้ว่าพวกเขาจะถูกลงโทษ พวกเขาก็สมควรได้รับมัน!  ผู้นำและคนทำงานบางคน แม้จะทำงานคริสตจักรมาหลายปี ก็ไม่รู้วิธีประกาศข่าวประเสริฐ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นพยานยืนยัน  หากเจ้าสั่งให้พวกเขาสามัคคีธรรมความจริงทั้งปวงเกี่ยวกับนิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้าแก่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ พวกเขาก็ทำไม่ได้  เมื่อถูกถามว่า “เจ้าเคยพยายามที่จะสั่งสมความจริงแห่งนิมิตหรือไม่?”  ผู้นำเทียมเท็จก็ครุ่นคิดว่า “เหตุใดฉันจึงควรพยายามเช่นนั้น?  ด้วยสถานะที่สูงส่งของฉัน งานนั้นไม่ใช่สำหรับฉัน มีคนอื่นอีกมากมายที่จะทำมัน”  จงบอกเราทีว่า พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกใด?  พวกเขาทำงานคริสตจักรมาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่รู้วิธีประกาศข่าวประเสริฐ และเมื่อถึงเวลาที่จะเป็นพยานยืนยัน พวกเขาก็จำต้องหาผู้ประกาศข่าวประเสริฐมาทำแทน  หากในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าไม่สามารถประกาศข่าวประเสริฐ เป็นพยานยืนยัน หรือสามัคคีธรรมกับผู้คนเกี่ยวกับความจริงเรื่องนิมิตได้ เจ้าจะสามารถทำอะไรได้บ้าง?  ความรับผิดชอบของเจ้าคืออะไร?  เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านั้นแล้วหรือยัง?  เจ้าเพียงแค่ถูไถไปจากสิ่งที่มีอยู่แล้วใช่หรือไม่?  แล้วสิ่งที่เจ้ามีคืออะไร?  ใครอนุญาตให้เจ้าถูไถไปจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว?  ผู้กำกับดูแลทีมข่าวประเสริฐบางคนไม่เคยแม้แต่จะเข้าไปนั่งฟังผู้อื่นประกาศข่าวประเสริฐเลยด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่สนใจที่จะฟัง ขี้เกียจเกินไป พบว่างานนี้ยุ่งยากเกินไป และขาดความอดทน  พวกเขาเป็นผู้นำเจ้าไม่รู้หรือ เป็นเจ้าพนักงานไม่น้อยไปกว่านั้น งานที่เฉพาะเจาะจงเหล่านี้พวกเขาไม่ทำ ต้องให้พี่น้องชายหญิงทำแทน  ดังนั้น หากในการประกาศข่าวประเสริฐบังเอิญพบคนที่มีขีดความสามารถสูง ผู้ซึ่งจริงจังกับทุกสิ่ง และปรารถนาจะเข้าใจความจริงที่เฉพาะเจาะจงบางประการเกี่ยวกับนิมิต คนทำงานข่าวประเสริฐบางคนสามัคคีธรรมได้ไม่กระจ่างแจ้งนัก จึงขอให้ผู้นำของตนช่วยสามัคคีธรรม  ผู้นำเหล่านั้นก็พูดอะไรไม่ออก และถึงกับต้องหาข้ออ้าง โดยกล่าวว่า “ฉันไม่เคยทำงานนี้ด้วยตนเอง  พวกคุณไปทำเถอะ ฉันจะคอยหนุนหลังพวกคุณ  หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ฉันจะช่วยพวกคุณแก้ไข ฉันสนับสนุนพวกคุณ  ไม่ต้องกังวล  มีอะไรต้องกลัวเมื่อพวกเรามีพระเจ้า?  เมื่อมีคนแสวงหาหนทางที่แท้จริง พวกเจ้าก็เป็นพยานยืนยันหรือสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแห่งนิมิตได้  ฉันรับผิดชอบเพียงการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแห่งการเข้าสู่ชีวิตเท่านั้น  งานแห่งการเป็นพยานคือภาระหนักที่พวกคุณต้องแบกรับ อย่าพึ่งพาฉันเลย”  ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญของการเป็นพยานยืนยันในการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็หลบหนีไป  พวกเขาทราบดีว่าตนเองขาดความจริง แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่พยายามที่จะสั่งสมความจริงนั้น?  เมื่อทราบดีว่าตนเองขาดความจริง เหตุใดพวกเขาจึงพยายามแย่งชิงตำแหน่งผู้นำอยู่เสมอ?  พวกเขาไม่มีความสามารถใดๆ เลย แต่กลับกล้าที่จะรับตำแหน่งเจ้าพนักงานใดๆ—พวกเขาถึงกับจะรับบทบาทจักรพรรดิหากเจ้าปล่อยให้พวกเขาทำ—พวกเขาช่างหน้าหนาเสียเหลือเกิน!  ไม่ว่าพวกเขาจะดำรงตำแหน่งผู้นำระดับใด พวกเขาก็ไม่สามารถทำงานจริงได้ แต่กลับกล้าที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะโดยไม่รู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่ใช่คนที่ไร้ยางอายอย่างที่สุดหรอกหรือ?  คงเป็นที่เข้าใจได้หากเจ้าถูกขอให้พูดภาษาต่างประเทศแล้วเจ้าทำไม่ได้ แต่การสามัคคีธรรมความจริงแห่งนิมิตและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในภาษาแม่ของเจ้านั้นควรจะเป็นไปได้ใช่หรือไม่?  ผู้ที่เพิ่งเชื่อมาเพียงสามถึงห้าปีอาจได้รับการยกเว้นที่ไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงได้  แต่บางคนเชื่อในพระเจ้ามาเกือบ 20 ปีแล้ว และก็ยังไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเกี่ยวกับนิมิตได้—คนเช่นนี้ไม่ใช่คนไร้ค่าหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่คนไม่เอาไหนหรอกหรือ?  ฉันประหลาดใจที่ได้ยินว่ามีคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่กลับไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมความจริงเกี่ยวกับนิมิต  พวกเจ้าทุกคนรู้สึกอย่างไรหลังจากได้ยินสิ่งนี้?  มันไม่น่าเชื่อเลยใช่หรือไม่?  พวกเขาทำงานของตนอย่างไรตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้?  เมื่อถูกขอให้ชี้แนะการทำดนตรี พวกเขาก็ไม่รู้วิธีทำ และกล่าวว่าสาขาเฉพาะทางนี้ยากเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้  เมื่อถูกขอให้ชี้แนะงานผลิตงานศิลปะ หรืองานผลิตภาพยนตร์ พวกเขาก็อ้างว่างานเหล่านี้ต้องใช้ทักษะทางเทคนิคระดับสูงเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้  เมื่อถูกขอให้เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ พวกเขาก็กล่าวว่าระดับการศึกษาของตนต่ำเกินไปและไม่รู้วิธีเขียน ทั้งยังไม่เคยฝึกฝนมาก่อน  หากพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติงานประเภทนี้ได้ นั่นก็พอให้อภัยได้ แต่งานข่าวประเสริฐนั้นเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของพวกเขาโดยเนื้อแท้  งานที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีนี้—มันไม่ควรจะง่ายสำหรับพวกเขาหรอกหรือ?  แง่มุมที่สำคัญที่สุดของการสามัคคีธรรมความจริงเกี่ยวกับนิมิตคือการสามัคคีธรรมความจริงแห่งพระราชกิจสามระยะให้กระจ่างแจ้ง  ในตอนแรก ผู้คนยังไม่มีประสบการณ์มากนักและอาจสามัคคีธรรมได้ไม่ดีนัก แต่ด้วยการฝึกฝนเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็สามารถสามัคคีธรรมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถพูดได้อย่างมีลำดับขั้น ด้วยภาษาที่ถูกต้องและชัดเจน และมีลีลาการถ่ายทอดที่ดี  นี่ไม่ใช่งานเฉพาะทางที่ผู้นำควรเชี่ยวชาญหรอกหรือ?  นี่คือการบังคับขืนใจให้ทำในสิ่งที่ไม่ถนัดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย)  แต่ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้กลับไม่มีความสามารถแม้แต่จะทำงานเล็กน้อยนี้ได้  แล้วพวกเขายังรับใช้ในฐานะผู้นำอยู่อีกหรือ?  พวกเขายังคงดำรงตำแหน่งนั้นอยู่เพื่ออะไร?  บางคนกล่าวว่า “ฉันเป็นคนที่ความคิดสับสนและไม่ชัดเจน ขาดตรรกะ และฉันก็ไม่เก่งในการพูดถึงความจริงเกี่ยวกับนิมิตนัก”  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าสามารถระบุและแก้ไขข้อบกพร่องและความเบี่ยงเบนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในงานข่าวประเสริฐได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถระบุได้ เจ้าก็ย่อมไม่สามารถแก้ไขได้เช่นกัน  เมื่อผู้นำเทียมเท็จรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ พวกเขาไม่ได้มีบทบาทใดๆ ในการตรวจสอบหรือกำกับดูแลเลย พวกเขาเพียงแค่ปล่อยให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาทำตามอำเภอใจ เพื่อให้ใครก็ได้สามารถทำสิ่งต่างๆ ตามที่ต้องการ และประกาศแก่ใครก็ได้ที่พวกเขาต้องการ—ไม่มีหลักธรรมหรือมาตรฐานใดๆ ทั้งสิ้น  บางคนทำตามอำเภอใจ ขาดเหตุผลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งขาดหลักธรรมในการทำสิ่งต่างๆ และประพฤติมิชอบอย่างไม่ยั้งคิด  ผู้นำเทียมเท็จมองไม่เห็นหรือระบุปัญหาเหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง

มีเรื่องเล่าว่าในอเมริกาใต้และแอฟริกา มีคนยากจนบางส่วนถูกนำเข้ามาสู่คอกแกะผ่านงานข่าวประเสริฐ  คนเหล่านี้ไม่มีรายได้ที่มั่นคง แม้แต่การหาอาหารให้เพียงพอและการดำรงชีวิตก็ยังเป็นปัญหา  แล้วควรทำอย่างไร?  มีผู้นำบางคนกล่าวว่า “เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด และเพื่อให้รอดได้นั้น คนเราต้องมีอาหารกินให้อิ่มท้องเสียก่อนใช่หรือไม่?  แล้วพระนิเวศของพระเจ้าไม่ควรให้การบรรเทาทุกข์หรือ?  ถ้าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเราก็สามารถแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาได้สองสามเล่ม  พวกเขาไม่มีคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ แล้วพวกเราควรทำอย่างไรหากพวกเขาขอทำหน้าที่?  จงสอบถามดูว่าพวกเขาเต็มใจทำหน้าที่อย่างจริงใจหรือไม่”  จากการสอบถาม พบว่าคนเหล่านี้ในปัจจุบันไม่มีเงิน แต่ถ้าพวกเขามีเงินและสามารถกินอิ่มท้องได้ พวกเขาก็เต็มใจที่จะออกไปประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตน  หลังจากเข้าใจสถานการณ์เหล่านี้แล้ว ผู้นำก็เริ่มแจกจ่ายเงินทุนบรรเทาทุกข์ โดยจ่ายให้ทุกเดือน  อาหารและที่พักอาศัย แม้กระทั่งค่าอินเทอร์เน็ต และการซื้อโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ สำหรับคนเหล่านี้ ล้วนจ่ายด้วยเงินของพระนิเวศของพระเจ้าทั้งสิ้น  การแจกจ่ายเงินให้คนเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่การขยายงานข่าวประเสริฐ แต่เป็นการให้การบรรเทาทุกข์เพื่อความอยู่รอดของพวกเขา  สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่?  (ไม่ ไม่สอดคล้อง)  พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎเกณฑ์ว่า เมื่อประกาศข่าวประเสริฐและพบคนยากจนที่ไม่มีหนทางในการดำรงชีวิต ตราบใดที่พวกเขาสามารถยอมรับพระราชกิจในขั้นตอนนี้ได้ ก็ควรให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาหรือไม่?  มีหลักธรรมเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วผู้นำเหล่านี้แจกจ่ายเงินทุนบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาโดยอาศัยหลักธรรมใด?  เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีเงินแต่ไม่มีที่ใช้จ่าย หรือเพราะพวกเขามองว่าคนเหล่านี้ช่างน่าสงสารเหลือเกิน หรือเป็นเพราะหวังว่าคนเหล่านี้จะช่วยขยายงานข่าวประเสริฐ?  เจตนาที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร?  พวกเขากำลังพยายามจะบรรลุสิ่งใด?  เมื่อถึงคราวที่จะแจกจ่ายโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ และค่าครองชีพ พวกเขาก็กระตือรือร้นอย่างยิ่งยวด  พวกเขาสนุกกับการทำงานที่ให้ผลประโยชน์แก่ผู้อื่นเช่นนี้ เพราะมันช่วยให้พวกเขาสามารถเอาอกเอาใจคนเหล่านี้และชนะใจพวกเขาได้ และพวกเขาก็ทุ่มเทกับงานประเภทนี้เป็นพิเศษ ค่อยๆ ขยับขยายออกไปเรื่อยๆ และไร้ยางอายแม้แต่น้อย  นี่คือการใช้เงินของพระเจ้าเพื่อเอาอกเอาใจผู้คนและซื้อความรักใคร่ของพวกเขา  อันที่จริงแล้ว คนยากจนเหล่านี้ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาเพียงแค่พยายามจะทำให้อิ่มท้องและหาหนทางในการดำรงชีวิต  คนเช่นนี้ไม่ได้มองหาที่จะได้รับความจริงหรือความรอด  พระเจ้าจะทรงช่วยคนเหล่านี้ให้รอดหรือไม่?  บางคน แม้จะเต็มใจทำหน้าที่ ก็ไม่ได้ทำอย่างจริงใจ แต่กลับถูกจูงใจด้วยความปรารถนาที่จะได้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวกสบายในชีวิต  แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่สนใจเรื่องนี้ ตราบใดที่มีคนเต็มใจทำหน้าที่ พวกเขาก็ดูแลคนเหล่านั้น ไม่เพียงแต่ให้เงินสำหรับค่าที่พักและอาหาร แต่ยังซื้อคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้อีกด้วย  แต่ปรากฏว่าคนเหล่านี้ทำหน้าที่ของตนโดยไม่บังเกิดผลใดๆ เลย  ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้กำลังโยนเงินทิ้งไปเปล่าๆ หรอกหรือ?  พวกเขาไม่ได้กำลังใช้เงินของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของตนหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำหรือไม่?  (ไม่ใช่)  คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  ผู้นำเทียมเท็จชอบเสแสร้งทำดี ทำบุญบังหน้า และแสดงความเมตตาจอมปลอม  หากเจ้าต้องการแสดงความเมตตา ก็ไม่เป็นไร แต่จงใช้เงินของเจ้าเองสิ!  หากพวกเขาไม่มีเสื้อผ้าใส่ จงถอดเสื้อผ้าของเจ้าเองแล้วมอบให้พวกเขา อย่าใช้ของถวายของพระเจ้า!  ของถวายของพระเจ้ามีไว้สำหรับงานขยายข่าวประเสริฐ ไม่ใช่สำหรับแจกจ่ายสวัสดิการ และยิ่งไม่ใช่สำหรับให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนอย่างเด็ดขาด  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่สถานสงเคราะห์  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานจริงได้ และยิ่งไร้ความสามารถที่จะจัดเตรียมความจริงหรือชีวิต  พวกเขามุ่งเน้นแต่การใช้ของถวายของพระเจ้าเพื่อแจกจ่ายสวัสดิการเพื่อเอาอกเอาใจผู้คนและรักษาชื่อเสียงกับสถานะของตนเอง  พวกเขาคือพวกผลาญสมบัติที่หน้าด้านไร้ยางอายมิใช่หรือ?  หากพบผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ จะมีใครสามารถเปิดโปงและหยุดยั้งพวกเขาได้ทันการณ์หรือไม่?  ไม่มีใครลุกขึ้นมาหยุดยั้งพวกเขาเลย  หากเบื้องบนไม่ค้นพบและหยุดยั้งเสียก่อน การใช้เงินของพระเจ้าเพื่อจัดหาผลประโยชน์ให้ผู้คนก็จะไม่มีวันจบสิ้น  คนยากจนเหล่านั้นยิ่งยื่นมือขอมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องการมากขึ้นไม่หยุดหย่อน  พวกเขาละโมบไม่รู้จักพอ ไม่ว่าเจ้าจะให้มากเพียงใดก็ไม่เคยเพียงพอ  ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจสามารถละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงานของตนเพื่อทำหน้าที่เพื่อที่จะได้รับความรอด และแม้ว่าพวกเขาจะเผชิญความยากลำบากในชีวิต พวกเขาก็สามารถหาวิธีแก้ไขได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากพระนิเวศของพระเจ้าอยู่ร่ำไป  พวกเขาแก้ไขสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ด้วยตนเอง และสำหรับสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ พวกเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาความเชื่อของตนเพื่อผ่านประสบการณ์  ส่วนผู้ที่เอาแต่ร้องขอจากพระเจ้า คาดหวังให้พระนิเวศของพระเจ้าจัดหาค่าครองชีพและค้ำจุนพวกเขา ช่างเป็นพวกที่ไร้เหตุผลอย่างที่สุด!  พวกเขาไม่ต้องการทำหน้าที่ใดๆ แต่กลับปรารถนาที่จะสุขสำราญกับชีวิต รู้แต่เพียงยื่นมือออกไปเรียกร้องสิ่งต่างๆ จากพระนิเวศของพระเจ้า และถึงกระนั้นก็ไม่เคยเพียงพอ  พวกเขาไม่ใช่แก๊งขอทานหรอกหรือ?  และผู้นำเทียมเท็จ—เจ้าพวกปัญญาทึบเหล่านี้—ก็เอาแต่แจกจ่ายผลประโยชน์ และทำไม่หยุดหย่อน ประจบสอพลอผู้คนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พวกเขาขอบคุณตน และถึงกับคิดว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จพอใจที่จะทำมากที่สุด  แล้วจะมีใครบ้างที่สามารถระบุปัญหาเหล่านี้ได้ ผู้ที่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาเหล่านี้ได้?  ผู้นำส่วนใหญ่ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง คิดว่า “อย่างไรเสีย ฉันก็ไม่ได้รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ เหตุใดฉันจึงควรสนใจเรื่องเหล่านี้?  ไม่ใช่เงินของฉันที่ถูกใช้ไป  ตราบใดที่เงินในกระเป๋าของฉันยังอยู่ครบถ้วนก็พอแล้ว  พวกเจ้าจะให้ใครก็ได้ตามที่ต้องการ มันเกี่ยวอะไรกับฉัน?  อย่างไรเสียเงินนั้นก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าฉันอยู่แล้ว”  มีคนที่ไม่รับผิดชอบเช่นนี้อยู่มากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถค้ำจุนงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้?

ปัจจุบันนี้ งานข่าวประเสริฐในต่างประเทศได้ดำเนินไปอย่างกว้างขวางทั่วโลกแล้ว  บางประเทศมีผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงได้ในจำนวนที่มากกว่า ในขณะที่ประชากรบางประเทศมีขีดความสามารถที่ด้อยกว่า และส่งผลให้มีผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้น้อยกว่า  บางประเทศขาดเสรีภาพในการเชื่อ ทั้งยังแสดงการไม่ยอมรับอย่างรุนแรงต่อหนทางที่แท้จริงและพระราชกิจของพระเจ้า และมีผู้คนไม่มากนักที่สามารถยอมรับความจริงได้  ยิ่งไปกว่านั้น ประชากรในบางประเทศก็ยังล้าหลังมากเกินไปและมีขีดความสามารถที่ต่ำเสียจนไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไร ดูเหมือนว่าผู้คนที่นั่นยังขาดความจริง  ไม่ควรประกาศข่าวประเสริฐในสถานที่เช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐกลับมองไม่เห็นแก่นแท้ของปัญหา พวกเขาไม่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่กลับยืนกรานที่จะไปเสาะหาคนที่ดื้อรั้นในขณะที่เพิกเฉยคนที่ยอมรับความจริงได้ง่ายกว่า พวกเขาไม่ประกาศในสถานที่ซึ่งงานข่าวประเสริฐได้เผยแผ่ออกไปแล้วและง่ายต่อการประกาศ  พวกเขากลับยืนกรานที่จะประกาศข่าวประเสริฐในสถานที่ที่ยากจนและล้าหลังเหล่านั้น ประกาศแก่กลุ่มคนที่มีขีดความสามารถต่ำที่สุด ผู้ซึ่งไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ และแก่กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาฝังแน่นที่สุดและต่อต้านพระเจ้าอย่างรุนแรงที่สุด  นี่ไม่ใช่การเบี่ยงเบนหรอกหรือ?  ยกตัวอย่างเช่น ศาสนายูดาห์ และศาสนาของบางเชื้อชาติที่ฝังรากลึก ซึ่งมองว่าศาสนาคริสต์เป็นศัตรูและถึงกับข่มเหงศาสนาคริสต์  สำหรับประเทศและกลุ่มชาติพันธุ์ประเภทนี้ ไม่ควรมีการประกาศข่าวประเสริฐเลย  เหตุใดจึงไม่ควร?  เพราะการประกาศย่อมไร้ผล  แม้ว่าเจ้าจะทุ่มเทกำลังคน ทรัพยากรทางการเงิน และทรัพยากรวัตถุทั้งหมดก็ตาม เวลาสามปี ห้าปี หรือแม้แต่สิบปีก็อาจผ่านไปโดยไม่เห็นผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญใดๆ  ในสถานการณ์เช่นนี้ จะทำอย่างไรได้บ้าง?  ในตอนแรก เมื่อยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ ก็อาจลองดูก่อนได้ แต่เมื่อมองเห็นสภาพการณ์อย่างชัดเจนแล้ว—ว่าการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขาด้วยต้นทุนที่สูงมากอาจไม่จำเป็นต้องให้ผลลัพธ์ที่ดีในท้ายที่สุด—เมื่อนั้นคนเราก็ต้องเลือกเส้นทางอื่น เส้นทางที่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรมองให้ออกไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เข้าใจเรื่องนี้  เมื่อพูดถึงว่าจะเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐในต่างประเทศที่ใดก่อน บางคนก็กล่าวว่า “เริ่มที่อิสราเอล  เนื่องจากอิสราเอลเป็นฐานที่มั่นสำหรับพระราชกิจสองขั้นตอนแรกของพระเจ้า จึงต้องประกาศที่นั่น  ไม่ว่าจะยากเพียงใด พวกเราก็ต้องยืนหยัดที่จะประกาศแก่พวกเขา”  อย่างไรก็ตาม หลังจากประกาศมาเป็นเวลานาน ก็ไม่มีผลลัพธ์ที่สำคัญใดๆ เกิดขึ้น นำไปสู่ความผิดหวัง  ในเวลาเช่นนี้ผู้นำควรทำอย่างไร?  หากเป็นผู้นำที่มีขีดความสามารถและมีภาระ พวกเขาก็จะกล่าวว่า “การประกาศข่าวประเสริฐของพวกเราไม่มีหลักธรรม พวกเราไม่รู้วิธีที่จะดำเนินไปตามครรลอง แต่กลับมองสิ่งต่างๆ ตามความคิดฝันของพวกเราเอง—พวกเราช่างไร้เดียงสาเสียจริง!  ความโง่เขลา ความดื้อรั้น และความไร้สาระของผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคาดคิด  พวกเราคิดว่าเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายพันปีแล้ว พวกเขาจึงควรเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่พวกเราคิดผิด พวกเขาช่างไร้สาระสิ้นดี!  อันที่จริง เมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ พระองค์ก็ได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว  การที่พวกเรากลับไปประกาศแก่พวกเขาในตอนนี้ก็จะเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์ นี่จะเป็นการลงแรงที่สูญเปล่าและเป็นการกระทำอย่างโง่เขลา  พวกเราเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดไป  พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจในเรื่องนี้ แล้วพวกเราที่เป็นมนุษย์จะทำได้ด้วยวิธีใดเล่า?  พวกเราได้ลองดูแล้ว แต่ไม่ว่าพวกเราจะประกาศอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริง พวกเราควรจะยุติเรื่องนี้ไว้ก่อน วางเรื่องของพวกเขาไว้ก่อน และไม่ต้องใส่ใจพวกเขาในเวลานี้  หากมีผู้ที่เต็มใจแสวงหา พวกเราก็จะต้อนรับพวกเขาและเป็นพยานยืนยันถึงพระราชกิจของพระเจ้าแก่พวกเขา  หากไม่มีผู้ใดแสวงหา เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่พวกเราจะต้องตามหาพวกเขาในเชิงรุก”  นี่คือหลักธรรมของการประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วผู้นำเทียมเท็จจะสามารถยึดมั่นในหลักธรรมได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถต่ำและมองไม่เห็นแก่นแท้ของประเด็นปัญหา พวกเขาจะกล่าวว่า “พระเจ้าได้ตรัสแล้วว่าชาวอิสราเอลคือประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  พวกเราจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขาได้ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม  พวกเขาควรจะมาก่อน พวกเราต้องประกาศแก่พวกเขาก่อนที่จะประกาศแก่ผู้คนในประเทศอื่นๆ  หากมีการเผยแผ่พระราชกิจของพระเจ้าในอิสราเอล นั่นจะเป็นสง่าราศีที่ยิ่งใหญ่เพียงใด!  พระเจ้าทรงนำสง่าราศีจากอิสราเอลมาสู่ทิศตะวันออก และพวกเราควรนำสง่าราศีนั้นกลับไปยังอิสราเอลจากทิศตะวันออก และให้พวกเขาได้เห็นว่าพระเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว!”  นี่ไม่ใช่แค่คำขวัญหรอกหรือ?  คำกล่าวนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงหรือไม่?  นี่คือสิ่งที่ผู้ที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณจะกล่าว  แล้วผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานจริงเหล่านั้นเล่า?  พวกเขาไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้  ผู้คนที่ประกาศข่าวประเสริฐได้เผชิญกับปัญหานี้มาเป็นเวลานานแล้ว โดยลังเลระหว่างการยอมแพ้กับการประกาศต่อไป ไม่แน่ใจว่าจะปฏิบัติอย่างไร  ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ตระหนักเลยว่านี่คือปัญหา  เมื่อเห็นผู้คนเหล่านี้กำลังกลัดกลุ้มเพราะไม่มีหนทาง พวกเขาก็กล่าวว่า “มีอะไรให้ต้องกังวลเล่า?  พวกเรามีความจริงและคำพยานจากประสบการณ์ ก็แค่ประกาศแก่พวกเขา!”  บางคนกล่าวว่า “คุณไม่เข้าใจหรอก การประกาศกับคนเหล่านี้นั้นยากจริงๆ”  เมื่อเกิดปัญหาสำคัญขึ้นในงานที่จำเป็นต้องให้ผู้นำแก้ไข ผู้นำเหล่านั้นกลับยังคงเอาแต่ป่าวร้องคำขวัญและกล่าวคำพูดที่ว่างเปล่า  นี่คือพฤติกรรมที่คาดหวังจากผู้นำหรือไม่?  เมื่อถูกถามว่าควรประกาศแก่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐเช่นนี้หรือไม่ พวกเขาก็ตอบว่า “ทุกคนควรได้รับการประกาศ โดยเฉพาะชาวอิสราเอล พวกเขาควรได้รับการประกาศอย่างยิ่ง”  พวกเจ้าได้ยินปัญหาใดในคำพูดเหล่านี้บ้างหรือไม่?  พวกเขารู้หรือไม่ว่านี่คือการเบี่ยงเบน เป็นข้อบกพร่องในงานข่าวประเสริฐที่พวกเขาจำเป็นต้องจัดการ?  พวกไร้ค่าเหล่านี้ไม่รู้และยังคงพูดจาสวยหรูและป่าวร้องคำขวัญอยู่ที่นั่น พวกเขาเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง!  กระนั้นพวกเขาก็ยังคิดว่าตนเองฉลาดหลักแหลม และตนมีขีดความสามารถและเฉลียวฉลาด  พวกเขาไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่ามีข้อบกพร่องและการเบี่ยงเบนที่ใหญ่โตเช่นนี้เกิดขึ้นในงาน แล้วพวกเขาจะเริ่มต้นแก้ไขได้อย่างไร?  นั่นยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้  บรรดาผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐต่างก็กังวลจนเจ็บป่วย งานข่าวประเสริฐได้รับผลกระทบ ถูกขัดขวาง และไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และน่าประหลาดใจที่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับการเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นในงานเลย  เมื่อเผชิญกับปัญหาหรือการเบี่ยงเบนในงาน คนส่วนใหญ่มักจะไม่ใส่ใจ ไม่สังเกตเห็น และยังคงดื้อรั้นยืนหยัดในแนวทางที่ผิดด้วยความมุทะลุต่อไป  หากผู้นำและคนทำงานก็ไม่เข้าใจและหยั่งรู้สถานการณ์อย่างทันท่วงทีเช่นกัน เมื่อถึงเวลาที่ปัญหาเริ่มร้ายแรงขึ้นและส่งผลกระทบต่อความคืบหน้าของงาน และคนส่วนใหญ่สามารถมองเห็นปัญหานั้นได้ ผู้นำและคนทำงานย่อมตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก  นี่เกิดจากการละเลยหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แล้วพวกเขาจะหลีกเลี่ยงผลที่ตามมาอันร้ายแรงเช่นนี้ได้อย่างไร?  ผู้นำและคนทำงานต้องตรวจสอบงานเป็นประจำ และเข้าใจสถานะปัจจุบันและความคืบหน้าของงานอย่างทันท่วงที  หากพบว่าประสิทธิภาพของงานไม่สูง พวกเขาก็ต้องดูว่าส่วนใดมีข้อบกพร่องและปัญหา พร้อมไตร่ตรองว่า “ตอนนี้คนเหล่านี้ดูเหมือนจะยุ่ง แต่ทำไมถึงไม่มีประสิทธิภาพที่ชัดเจนเลย?  เหมือนอย่างงานของฝ่ายข่าวประเสริฐ มีผู้คนมากมายประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันทุกวัน พร้อมกับบางคนที่ร่วมมือในงานนี้ แล้วทำไมแต่ละเดือนจึงได้ผู้คนมาไม่มากนัก?  ส่วนใดที่มีปัญหา?  ใครเป็นต้นเหตุของปัญหานั้น?  การเบี่ยงเบนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  มันเริ่มขึ้นเมื่อใด?  ฉันจำเป็นต้องไปแต่ละกลุ่มเพื่อค้นหาว่าตอนนี้ทุกคนกำลังทำอะไรอยู่ ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐในปัจจุบันเป็นอย่างไร และทิศทางของการประกาศข่าวประเสริฐถูกต้องแม่นยำหรือไม่ ฉันต้องค้นหาข้อมูลทั้งหมดนี้”  ด้วยการปรึกษา การสามัคคีธรรม และการหารือกัน การเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องในงานก็จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น  เมื่อค้นพบปัญหาแล้ว จะปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ปัญหานั้นต้องได้รับการแก้ไข  ดังนั้น ผู้นำประเภทใดจึงจะสามารถตรวจพบปัญหา การเบี่ยงเบน และข้อบกพร่องบางอย่างที่ปรากฏในงานได้?  ผู้นำเหล่านี้จำเป็นต้องแบกรับภาระ มีความขยันหมั่นเพียร และมีส่วนร่วมในทุกรายละเอียดของงานที่เฉพาะเจาะจง ติดตาม เข้าใจ และจับความเข้าใจในทุกขั้นตอน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนกำลังทำอะไร จำนวนคนที่เหมาะสมสำหรับการทำงานคือเท่าใด ใครคือผู้กำกับดูแล ขีดความสามารถของคนเหล่านี้เป็นอย่างไร พวกเขาทำงานของตนได้ดีหรือไม่ และประสิทธิภาพของพวกเขาเป็นอย่างไร งานมีความคืบหน้าอย่างไร และอื่นๆ อีกมากมาย—ทั้งหมดนี้ต้องได้รับการตรวจสอบให้แน่ใจ  นอกจากนี้ ส่วนที่สำคัญที่สุดของงานข่าวประเสริฐก็คือผู้ประกาศข่าวประเสริฐมีความจริงหรือไม่ พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมความจริงแห่งนิมิตได้อย่างชัดเจนเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและปัญหาของผู้คนได้หรือไม่ พวกเขาสามารถจัดหาสิ่งที่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐขาดไปเพื่อโน้มน้าวพวกเขาได้อย่างเต็มที่หรือไม่ และพวกเขาสามารถใช้วิธีการสนทนาในการสามัคคีธรรมความจริงของตน เพื่อให้ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้ามากขึ้นได้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับความจริงที่เกี่ยวข้องกับนัยสำคัญแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า แต่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐบางคนกลับพูดถึงแต่นัยสำคัญแห่งพระราชกิจของพระเจ้าและเกี่ยวกับว่ามโนคติอันหลงผิดทางศาสนาคืออะไร นี่ไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ?  หากบุคคลหนึ่งเพียงต้องการเรียนรู้ว่าพวกเขาจะได้รับความรอดได้อย่างไรและเนื้อหาของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดคืออะไร นี่ไม่ใช่เวลาที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแห่งนิมิตที่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจสามขั้นตอนของพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  แต่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐคนนี้กลับพูดถึงแต่การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และการเปิดโปงของพระองค์ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนนั้นรวมถึงความโอหัง ความหลอกลวง และความเลวร้าย และหัวข้ออื่นๆ เช่นนี้  ก่อนที่อีกฝ่ายจะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐก็เริ่มพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา เปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ผลก็คือ บุคคลนั้นรู้สึกรังเกียจ ไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการ และปัญหาของพวกเขาที่ต้องได้รับการแก้ไขก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข พวกเขาสูญเสียความสนใจและไม่เต็มใจที่จะตรวจสอบต่อไป นี่ไม่ใช่ปัญหาที่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐหรอกหรือ?  ผู้ประกาศข่าวประเสริฐไม่เข้าใจความจริง หรือขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร พูดจาไม่ตรงประเด็น พูดจาน้ำท่วมทุ่ง และไม่แก้ไขปัญหาของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐเลยแม้แต่น้อย—แล้วพวกเขาจะสามารถได้คนมาด้วยการประกาศข่าวประเสริฐในหนทางนี้ได้อย่างไร?

ผู้นำเทียมเท็จเพิกเฉยต่อทุกปัญหาที่พวกเขาเผชิญในงานของตน  ไม่ว่าปัญหาใดๆ จะเกิดขึ้นในงานข่าวประเสริฐ และไม่ว่าคนชั่วจะก่อกวนและส่งผลกระทบต่องานนี้อย่างไร พวกเขาก็ไม่ใส่ใจใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย  ผู้นำเทียมเท็จทำงานอย่างสับสนมึนงง  ไม่ว่าปัจเจกบุคคลคนใดจะมีผลลัพธ์หรือสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงในการทำหน้าที่ของตนหรือไม่ พวกเขาก็ไม่กำกับดูแลหรือตรวจสอบ ปล่อยให้ผู้คนกระทำการอย่างอิสระโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา  สิ่งนี้เป็นเหตุให้การเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องที่ปรากฏในงานข่าวประเสริฐไม่เคยได้รับการแก้ไข และผู้คนที่แสวงหาหนทางที่แท้จริงจำนวนมากมายเหลือคณานับก็หลุดลอยไปในที่สุด ไม่สามารถนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้โดยเร็วที่สุด  บางคน หลังจากที่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายแล้ว ก็กล่าวว่า “อันที่จริง มีคนประกาศข่าวประเสริฐให้ฉันเมื่อสามปีที่แล้ว  ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการยอมรับ หรือว่าฉันเชื่อในการโฆษณาชวนเชื่อในทางลบ แต่คนที่ประกาศให้ฉันนั้นช่างไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี  พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามที่ฉันถามได้ และพวกเขาก็สามัคคีธรรมไม่ชัดเจนเมื่อฉันแสวงหาความจริง พูดแต่เรื่องไร้สาระ  ผลก็คือ ฉันทำได้เพียงจากไปด้วยความผิดหวัง”  สามปีต่อมา หลังจากตรวจสอบทางออนไลน์แล้วจึงแสวงหาและสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้อง ผู้คนเหล่านี้ก็ได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความสับสนทั้งหมดในใจของตนทีละอย่าง ยืนยันอย่างเต็มที่ว่านี่คือการทรงปรากฏและการทรงพระราชกิจของพระเจ้า และยอมรับการนี้  นี่คือการที่พวกเขายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผ่านการแสวงหาและตรวจสอบของตนเอง  หากคนที่ประกาศข่าวประเสริฐสามารถสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจนและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและคำถามของพวกเขาได้เมื่อสามปีก่อน พวกเขาก็คงจะยอมรับการนี้เร็วกว่านั้นถึงสามปี  การเติบโตในชีวิตต้องล่าช้าไปมากเพียงใดในช่วงสามปีนี้!  สิ่งนี้ต้องถือเป็นการละเลยความรับผิดชอบในส่วนของผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่พวกเขาไม่เข้าใจความจริง  คนทำงานข่าวประเสริฐบางคนก็เพียงแค่ไม่มุ่งเน้นการสั่งสมความจริง สามารถพูดพ่นได้แต่คำสอนบางอย่างโดยไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดหรือประเด็นปัญหาที่แท้จริงของผู้คนได้  ผลก็คือ ผู้คนจำนวนมากไม่ยอมรับข่าวประเสริฐอย่างทันท่วงทีเมื่อพวกเขาได้ยิน ทำให้การเติบโตในชีวิตของพวกเขาล่าช้าไปหลายปี  ต้องกล่าวว่าผู้นำที่รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐต้องรับผิดชอบต่อสิ่งนี้เนื่องจากการชี้แนะที่ไม่เพียงพอและการกำกับดูแลที่ไม่ทั่วถึงของพวกเขา  หากผู้นำและคนทำงานมีภาระอย่างแท้จริงและสามารถทนทุกข์ได้อีกสักหน่อย ฝึกฝนการสามัคคีธรรมความจริงมากขึ้น และแสดงความจงรักภักดีอีกสักนิด สามัคคีธรรมอย่างชัดเจนในทุกแง่มุมของความจริง เพื่อให้คนทำงานข่าวประเสริฐเหล่านั้นสามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและข้อสงสัยของผู้คนได้ เมื่อนั้นผลลัพธ์ของการประกาศข่าวประเสริฐก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ  สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้คนที่กำลังตรวจสอบหนทางที่แท้จริงจำนวนมากขึ้นสามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าได้เร็วขึ้นและกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรับความรอดของพระองค์ได้เร็วขึ้น  งานของคริสตจักรต้องหยุดชะงักก็เพียงเพราะผู้นำเทียมเท็จละเลยความรับผิดชอบของตนอย่างร้ายแรง ไม่ทำงานจริง หรือไม่ติดตามและกำกับดูแลงาน และไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้  แน่นอนว่า มันยังเป็นเพราะผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะ ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเลยแม้แต่น้อย และไม่เต็มใจที่จะติดตาม กำกับดูแล หรือกำกับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ—ผลก็คืองานดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และการเบี่ยงเบน ความเหลวไหล และการกระทำผิดโดยบุ่มบ่ามที่มนุษย์สร้างขึ้นจำนวนมากก็ไม่ได้รับการแก้ไขหรือจัดการอย่างทันท่วงที ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประสิทธิภาพของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ก็ต่อเมื่อปัญหาเหล่านี้ถูกค้นพบโดยเบื้องบนและผู้นำกับคนทำงานได้รับคำสั่งว่าต้องแก้ไข ปัญหาเหล่านี้จึงจะได้รับการแก้ไข  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เป็นเหมือนคนตาบอด ไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ได้ และไม่มีหลักธรรมใดๆ เลยในวิธีการทำงานของพวกเขา กระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเองได้ และยอมรับความผิดของตนก็ต่อเมื่อถูกตัดแต่งโดยเบื้องบนเท่านั้น  แล้วใครเล่าจะสามารถรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดจากผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ได้?  แม้จะปลดพวกเขาออกจากตำแหน่งแล้ว ความสูญเสียที่พวกเขาก่อขึ้นจะชดเชยได้อย่างไร?  ดังนั้น เมื่อค้นพบว่ามีผู้นำเทียมเท็จที่ไม่สามารถทำงานจริงใดๆ ได้ พวกเขาก็ควรถูกปลดออกโดยทันที  ในบางคริสตจักร งานข่าวประเสริฐดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเป็นพิเศษ และนี่ก็เป็นเพียงเพราะผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง ตลอดจนมีการละเลยและทำผิดพลาดในส่วนของพวกเขามากเกินไปนั่นเอง

อันที่จริงแล้ว ในงานทุกประเภทที่ผู้นำเทียมเท็จทำนั้น มีประเด็นปัญหา ความเบี่ยงเบน และข้อบกพร่องมากมายที่พวกเขาจำเป็นต้องแก้ไข ปรับปรุง และเยียวยา  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ขาดสำนึกในภาระหน้าที่ เอาแต่ลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะของตนโดยไม่ทำงานจริงใดๆ พวกเขาจึงลงเอยด้วยการทำให้งานนั้นเละเทะไม่เป็นท่า  ในบางคริสตจักร ผู้คนแตกความสามัคคีกันอยู่ในใจ ต่างคนต่างระแวง ตั้งกำแพง และบ่อนทำลายซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็หวาดกลัวว่าจะถูกพระนิเวศของพระเจ้ากำจัดออกไป  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ลงมือแก้ไข ไม่ทำงานจริงที่เฉพาะเจาะจงใดๆ เลย  งานของคริสตจักรหยุดชะงักงัน แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย ยังคงเชื่อว่าตนเองได้ทำงานมากมายแล้วและไม่ได้ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถทำงานจัดเตรียมชีวิตได้ ทั้งยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงตามความจริงได้  พวกเขาทำเพียงงานธุรการเล็กๆ น้อยๆ ที่เบื้องบนมอบหมายและระบุเป็นพิเศษ ราวกับว่างานของพวกเขานั้นทำเพื่อเบื้องบนเท่านั้น  เมื่อเป็นเรื่องงานพื้นฐานของคริสตจักรที่เบื้องบนกำหนดไว้เสมอ—เช่น งานจัดเตรียมชีวิตและงานบ่มเพาะผู้คน—หรืองานพิเศษบางอย่างที่เบื้องบนชี้แนะ พวกเขาก็ไม่รู้วิธีทำและทำไม่ได้  พวกเขาเพียงแค่มอบหมายงานเหล่านี้ให้ผู้อื่นแล้วก็ถือว่างานของตนเสร็จสิ้น  พวกเขาทำมากเท่าที่เบื้องบนสั่ง และลงมือทำบ้างก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้นเท่านั้น มิฉะนั้นพวกเขาก็จะไม่กระตือรือร้นและทำอย่างสุกเอาเผากิน—เหล่านี้คือผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จคืออะไร?  โดยสรุปก็คือ คนที่ไม่ทำงานจริง คนที่ไม่ทำงานในฐานะผู้นำ แสดงให้เห็นถึงการละเลยความรับผิดชอบอย่างร้ายแรงในงานที่สำคัญและเป็นพื้นฐาน และไม่ลงมือกระทำการใดๆ—นี่คือผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานธุรการผิวเผิน โดยเข้าใจผิดว่านี่คือการทำงานจริง และในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเป็นเรื่องงานในฐานะผู้นำและงานสำคัญที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้ พวกเขากลับไม่ทำงานใดๆ ให้ดีเลย  นอกจากนี้ ประเด็นปัญหามักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในงานต่างๆ ของคริสตจักรที่จำเป็นต้องให้ผู้นำแก้ไข แต่พวกเขากลับแก้ไขไม่ได้ มักจะใช้ท่าทีหลีกเลี่ยง และเหล่าพี่น้องก็ไม่สามารถพบตัวพวกเขาได้เมื่อต้องการแก้ไขประเด็นปัญหา  หากพวกเขาหาผู้นำพบ ผู้นำก็จะหลีกเลี่ยงโดยอ้างว่างานยุ่งเกินไป และขอให้เหล่าพี่น้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเองและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของตนเอง โดยใช้ท่าทีแบบปัดความรับผิดชอบ  สิ่งนี้ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การสะสมของประเด็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขมากเกินไป ทำให้ความคืบหน้าในงานทุกอย่างหยุดชะงัก และทำให้งานของคริสตจักรตกอยู่ในภาวะอัมพาต  นี่คือผลที่ตามมาของการที่ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง  ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยจริงจังหรือขยันหมั่นเพียรในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบหลักของตน ทั้งยังไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ  นั่นหมายความว่าผู้นำเทียมเท็จย่อมไม่สามารถทำงานจริงและแก้ไขประเด็นปัญหาใดๆ ได้อย่างแน่นอน  สิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จถนัดที่สุดก็คือการเทศนาวาจาและคำสอน การป่าวร้องคำขวัญ และการแนะนำตักเตือนผู้อื่น โดยมุ่งเน้นแต่การทำให้ตนเองยุ่งอยู่กับงานธุรการเท่านั้น  ในส่วนที่เกี่ยวกับงานพื้นฐานของคริสตจักรที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายให้ เช่น การจัดเตรียมชีวิตและการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหา พวกเขาไม่รู้วิธีทำ ไม่ฝึกฝนที่จะเรียนรู้วิธีทำ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่แท้จริงใดๆ ได้—เหล่านี้คือผู้นำเทียมเท็จ

ผู้นำเทียมเท็จบางคน เมื่อถูกขอให้ชี้แนะงานข้อเขียน เช่น การเขียนบท การเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ และงานที่เฉพาะเจาะจงอื่นๆ ก็คิดว่าในเมื่อเป็นเพียงการชี้แนะ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำงานที่เป็นรูปธรรมใดๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเอาแต่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว  “คุณจาง” พวกเขากล่าว “บทความของคุณไปถึงไหนแล้ว?” “ใกล้เสร็จแล้วครับ” “คุณหลี่ คุณมีปัญหาในการเขียนบทนั้นบ้างไหม?” “มี ค่ะ คุณช่วยฉันแก้ปัญหาได้ไหมคะ?” “พวกคุณปรึกษากันเองนะ อธิษฐานให้มากขึ้น”  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ชี้แนะและช่วยเหลือเหล่าพี่น้องเท่านั้น พวกเขายังไม่มุ่งเน้นที่จะทำงานของตนเองให้ดีอีกด้วย เอาแต่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ใช้ชีวิตอย่างสบายๆ และสุขสำราญ  ผิวเผินแล้วดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตรวจสอบงาน แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้แก้ไขปัญหาใดๆ เลย—พวกเขาเป็นเพียงข้าราชการที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามโดยแท้!  บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้มีความสามารถในบางประเทศในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อก็เป็นมนุษย์ที่เสื่อมทรามพอๆ กัน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังเหนือกว่าผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้มากนัก ผู้ซึ่งขาดสำนึกรับผิดชอบที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นมี  ตัวอย่างเช่น หลังจากการระบาดของโรคระบาดใหญ่ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเริ่มดำเนินมาตรการป้องกัน  ในที่สุด ประเทศส่วนใหญ่เหล่านี้ก็เห็นพ้องต้องกันว่าความพยายามในการป้องกันของไต้หวันนั้นได้ผลดี ซึ่งบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลไต้หวันปฏิบัติงานรับมือโรคระบาดของตนได้ตามมาตรฐานสูงสุดและด้วยรายละเอียดที่ครบถ้วนที่สุด  สำหรับประเทศในโลกของผู้ไม่มีความเชื่อ สำหรับเจ้าหน้าที่และนักการเมืองท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม การปฏิบัติงานให้ได้มาตรฐานสูงสุดและด้วยรายละเอียดเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง  เจ้าหน้าที่ชาวยุโรปจำนวนมากเต็มใจที่จะไปเยือนและเรียนรู้จากไต้หวัน  จากมุมมองนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลของไต้หวันก็เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ของประเทศอื่นๆ มากนัก  เพียงเพราะเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของพวกเขาสามารถทำงานที่เป็นรูปธรรมได้และสามารถทุ่มเทใจในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้ ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้มาตรฐาน  ผู้นำและคนทำงานบางคนในคริสตจักรสุกเอาเผากินเสมอเมื่อทำหน้าที่ของตน และไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่งอย่างไรก็ไม่ได้ผล  เราพบว่าอุปนิสัยของผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ยังไม่ทัดเทียมกับเจ้าหน้าที่จากโลกของผู้ไม่มีความเชื่อที่สามารถทำงานจริงได้ด้วยซ้ำ  คนส่วนใหญ่อ้างว่าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา  มีความจริงมากมายนักที่จัดเตรียมให้แก่พวกเขา แต่ทัศนคติของพวกเขาต่อการทำหน้าที่กลับเป็นเช่นนี้  ผลก็คือพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จ ผู้ซึ่งด้อยกว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เหนือกว่ามากนัก!  อันที่จริงแล้ว ข้อกำหนดของเราต่อผู้คนนั้นไม่สูงเลย  เราไม่ได้กำหนดว่าผู้คนต้องเข้าใจความจริงมากมายเพียงใด หรือต้องมีขีดความสามารถสูงเพียงใด  มาตรฐานขั้นต่ำคือการกระทำด้วยมโนธรรมและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  หากไม่มีสิ่งอื่นใด อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ควรดำเนินชีวิตให้สมกับอาหารประจำวันของเจ้าและพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า  นั่นก็เพียงพอแล้ว  แต่พระราชกิจของพระเจ้าได้ดำเนินมาจนถึงบัดนี้แล้ว และมีผู้คนมากมายที่สามารถกระทำด้วยมโนธรรมได้หรือไม่?  เราเห็นว่าเจ้าหน้าที่บางคนในประเทศประชาธิปไตยพูดและกระทำด้วยความจริงใจ  พวกเขาไม่พูดเกินจริงหรือพูดทฤษฎีที่สูงส่ง คำพูดของพวกเขามีความเข้มงวดและจริงใจเป็นพิเศษ และพวกเขาสามารถดูแลเรื่องจริงมากมายได้  งานของพวกเขาดีมากทีเดียว สะท้อนถึงความซื่อตรงและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอย่างแท้จริง  เมื่อมองดูผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ในคริสตจักรในปัจจุบัน ในงานของพวกเขา พวกเขาทำไปตามขั้นตอนและทำอย่างสุกเอาเผากิน พวกเขาไม่ได้สัมฤทธิ์ผลที่ดีมากนัก และพวกเขาไม่ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนอย่างครบถ้วน  หลังจากได้เป็นผู้นำ พวกเขาก็กลายเป็นเจ้าหน้าที่ทางศาสนา พวกเขานั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงส่งและออกคำสั่ง และกลายเป็นข้าราชการที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม  พวกเขามุ่งเน้นแต่การลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะของตน และพวกเขาชอบให้ทุกคนติดตามและวนเวียนอยู่รอบตัวพวกเขา  พวกเขาไม่ค่อยมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับระดับรากหญ้าของคริสตจักรเพื่อแก้ไขปัญหาที่แท้จริง  ในใจของพวกเขา พวกเขากำลังเคลื่อนห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จประเภทนี้ช่างเกินจะเยียวยาโดยสิ้นเชิง!  เราได้สามัคคีธรรมความจริงอย่างอุตสาหะเช่นนี้แล้ว แต่ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้กลับไม่รับฟัง พวกเขายึดมั่นในแนวคิดที่ผิดพลาดของตนอย่างดื้อรั้น และพวกเขาไม่สะทกสะท้าน  ทัศนคติของพวกเขาต่อหน้าที่ของตนยังคงเป็นแบบสุกเอาเผากินเสมอ และพวกเขาไม่มีเจตนาที่จะกลับใจแม้แต่น้อย  เราเห็นว่าผู้คนเหล่านี้ปราศจากมโนธรรม ปราศจากเหตุผล ไม่ใช่มนุษย์เลยแม้แต่น้อย!  จากนั้นเราก็ใคร่ครวญว่า ยังจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมซ้ำๆ เกี่ยวกับความจริงเหล่านี้แก่ผู้คนประเภทนี้อีกหรือไม่?  เราจำเป็นต้องทำให้การสามัคคีธรรมนั้นเฉพาะเจาะจงมากขนาดนั้นหรือไม่?  เราจำเป็นต้องทนทุกข์กับความทุกข์นี้หรือไม่?  ถ้อยคำเหล่านี้ฟุ่มเฟือยเกินไปหรือไม่?  หลังจากครุ่นคิดอยู่บ้าง เราก็ตัดสินใจว่าเรายังคงต้องพูด เพราะแม้ว่าถ้อยคำเหล่านี้จะไม่มีผลต่อผู้ที่ปราศจากมโนธรรมหรือเหตุผลแม้แต่น้อย แต่ก็มีประโยชน์สำหรับผู้ที่แม้จะมีขีดความสามารถต่ำกว่าเล็กน้อย แต่ก็สามารถยอมรับความจริงและทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริงและไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน แต่ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะเรียนรู้บทเรียน ได้รับแรงบันดาลใจ และค้นพบเส้นทางที่จะปฏิบัติจากถ้อยคำและเรื่องราวเหล่านี้  การเข้าสู่ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายนัก  หากปราศจากใครสักคนที่จะสนับสนุนและจัดเตรียมให้ หากปราศจากการแยกแยะและอธิบายความจริงแต่ละแง่มมุมให้กระจ่างแจ้ง ผู้คนก็อ่อนแอมาก มักจะพบว่าตนเองอยู่ในสภาวะที่หมดหนทางและสับสนงุนงง สภาวะที่คิดลบและเฉื่อยชา  ดังนั้น หลายครั้ง เมื่อเราเห็นผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ เราก็หมดกำลังใจที่จะสามัคคีธรรมแก่พวกเขา  อย่างไรก็ตาม เมื่อเรานึกถึงความทุกข์ที่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจและผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดีได้ทนรับ และราคาที่พวกเขาได้จ่ายไป เราก็เปลี่ยนใจ  ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากนี้ แม้ว่าจะมีคน 30 ถึง 50 คน—หรืออย่างน้อยที่สุด 8 หรือ 10 คน—ที่สามารถสละตนอย่างจริงใจและจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตน และเต็มใจที่จะรับฟังและนบนอบ การพูดถ้อยคำเหล่านี้ก็คุ้มค่าแล้ว  เราจะไม่มีแรงจูงใจใดๆ ในตัวเราที่จะพูดและสามัคคีธรรมแก่ผู้ที่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล  การสนทนากับผู้คนเหล่านี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและไร้ผล  พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่จ่ายราคาในหน้าที่ของตน—พวกเจ้าไม่มีภาระหรือความจงรักภักดี พวกเจ้าเพียงแค่ทำไปตามขั้นตอนในการกระทำของตน และทำสิ่งต่างๆ อย่างไม่เต็มใจด้วยความหวังว่าจะได้รับพร  การฟังถ้อยคำเหล่านี้จึงเป็นความโปรดปรานที่พวกเจ้าไม่สมควรได้รับโดยแท้  พวกเจ้ากำลังอาศัยใบบุญของผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ ผู้ที่จ่ายราคาอย่างแท้จริง ผู้ที่มีความจงรักภักดีและแบกรับภาระ และผู้ที่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง  ถ้อยคำเหล่านี้มีไว้สำหรับผู้คนเหล่านั้น และพวกเจ้าก็ได้รับความโปรดปรานที่ไม่สมควรได้รับจากการได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น  หากมองจากมุมมองนี้—กล่าวคือ ทัศนคติของพวกเจ้าส่วนใหญ่คือการทำไปตามขั้นตอนโดยปราศจากความจริงใจใดๆ ทั้งสิ้นในหน้าที่ของตน—เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่คู่ควร?  เพราะแม้ว่าพวกเจ้าจะฟัง มันก็ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะพูดมากเพียงใดหรือละเอียดเพียงใด พวกเจ้าก็เพียงแค่ทำไปตามขั้นตอนของการฟัง ไม่ปฏิบัติถ้อยคำเหล่านี้ไม่ว่าพวกเจ้าจะเข้าใจมากเพียงใดหลังจากได้ฟังแล้วก็ตาม  ควรมอบถ้อยคำเหล่านี้แก่ผู้ใด?  ใครเล่าที่คู่ควรจะได้ยิน?  เฉพาะผู้ที่เต็มใจจะจ่ายราคา ผู้ที่สามารถสละตนอย่างจริงใจ และผู้ที่ภักดีต่อหน้าที่และพระบัญชาของตนเท่านั้นที่สมควรจะรับฟัง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาสมควรจะรับฟัง?  เพราะเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงเล็กน้อยหลังจากได้ฟังแล้ว พวกเขาก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ และพวกเขาปฏิบัติสิ่งที่พวกเขาเข้าใจ  พวกเขาไม่ลื่นไหลและพวกเขาไม่เกียจคร้าน  และพวกเขาปฏิบัติต่อความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้าด้วยทัศนคติที่จริงใจและปรารถนา สามารถรักและยอมรับความจริงได้  ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาได้ฟังแล้ว ถ้อยคำเหล่านี้ก็มีผลต่อพวกเขาและสัมฤทธิ์ผล

13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (11)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger