หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (10)
ประการที่เก้า: สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้การชี้แนะ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา (ภาคที่สอง)
การให้การชี้แนะ การกำกับดูแล และการกระตุ้นสำหรับการดำเนินการจัดการเตรียมงาน และการตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา
วันนี้ เราจะสามัคคีธรรมกันต่อในเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงาน ซึ่งก็คือ “สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้การชี้แนะ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา” ครั้งที่แล้ว เราได้สามัคคีธรรมกันเป็นหลักถึงเนื้อหาและประเด็นเฉพาะต่างๆ ในการจัดการเตรียมงานที่ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจ ตลอดจนหน้าที่รับผิดชอบพื้นฐานที่สุดของผู้นำและคนทำงาน อันได้แก่ การสื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงาน วันนี้ เราจะมาสามัคคีธรรมกันอย่างเจาะจงว่า หลังจากที่ได้แจกจ่ายการจัดการเตรียมงานออกไปแล้ว ผู้นำและคนทำงานควรให้การชี้แนะ กำกับดูแล และกระตุ้นอย่างไร รวมทั้งพวกเขาควรตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการอย่างไร เมื่อผู้นำและคนทำงานเข้าใจนัยสำคัญของการจัดการเตรียมงานแล้ว พวกเขาควรปฏิบัติต่อการจัดการเตรียมงานอย่างไร และจะดำเนินการและปฏิบัติการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของเบื้องบนและตามขั้นตอนได้อย่างไร—ประเด็นเหล่านี้คือหลักธรรมความจริงที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำความเข้าใจผ่านการสามัคคีธรรม และพวกเขาจำเป็นต้องจับความเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้เพื่อที่จะปฏิบัติงานต่างๆ ของคริสตจักรได้ดี ผู้นำและคนทำงานควรรู้ว่าข้อกำหนดพื้นฐานของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับผู้ที่รับใช้ในตำแหน่งหน้าที่นี้คือให้พวกเขาปฏิบัติงานโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่การจัดการเตรียมงานต่างๆ เป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาทำกิจการส่วนตัวของตนเองหรือทำสิ่งต่างๆ ตามความปรารถนาของตนเอง และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาทำงานทุกงานด้วยการคลำทางเอาเอง แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์สิ่งใดขึ้นมาเช่นกัน แต่เพื่อให้พวกเขาทำงานอย่างเฉพาะเจาะจงและลงรายละเอียดตามการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า ควรทำงานอย่างไรให้เฉพาะเจาะจง? มีรายละเอียดอะไรบ้าง? คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้อยู่ในข้อกำหนดของหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้า นั่นคือ นอกจากจะสื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว ผู้นำและคนทำงานยังจำเป็นต้องให้การชี้แนะ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา สิ่งเหล่านี้คือหนทางปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้นำและคนทำงานในการดำเนินการจัดการเตรียมงาน ลำดับถัดไป เราจะสามัคคีธรรมกันทีละประการ
หลังจากที่แจกจ่ายการจัดการเตรียมงานแล้ว ผู้นำและคนทำงานต้องใคร่ครวญและสามัคคีธรรมถึงข้อกำหนดและหลักธรรมต่างๆ ที่ระบุไว้ในนั้นเป็นอันดับแรก จากนั้น พวกเขาต้องหาเส้นทางและแผนการปฏิบัติเพื่อดำเนินการงานนั้นอย่างเฉพาะเจาะจง ประการแรก พวกเขาจำเป็นต้องรู้ว่าการจัดการเตรียมงานกำหนดอะไร งานเฉพาะเจาะจงที่ต้องทำคืออะไร และหลักธรรมที่เกี่ยวข้องคืออะไร ตลอดจนการจัดการเตรียมงานนั้นกล่าวถึงผู้ใดและแง่มุมใดของงาน นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำเป็นอันดับแรกหลังจากได้รับการจัดการเตรียมงาน พวกเขาไม่ควรเพียงแค่อ่านการจัดการเตรียมงานอย่างลวกๆ แล้วอ่านให้ทุกคนฟัง หรือส่งต่อและแจ้งให้ทุกคนทราบเกี่ยวกับงานนั้นแล้วก็ถือว่าจบสิ้น นี่เป็นเพียงการสื่อสารและแจกจ่ายการจัดการเตรียมงาน ไม่ใช่การดำเนินการ ภารกิจที่เฉพาะเจาะจงประการแรกในการดำเนินการก็คือ ผู้นำและคนทำงานต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหาที่เจาะจงของการจัดการเตรียมงาน ข้อกำหนดและเป้าหมายของพระเจ้าสำหรับงานของคริสตจักรเหล่านี้ และนัยสำคัญของการปฏิบัติงานนี้ แล้วจึงพัฒนาแผนการปฏิบัติและการดำเนินการอย่างเฉพาะเจาะจง นี่คือขั้นตอนแรก ขั้นตอนแรกนี้สัมฤทธิ์ได้ง่ายใช่หรือไม่? (ใช่) ตราบใดที่เจ้าสามารถเข้าใจถ้อยคำที่เป็นลายลักษณ์อักษรและภาษาของมนุษย์ได้ ขั้นตอนแรกก็ควรจะสัมฤทธิ์ได้ง่าย แน่นอนว่า การทำขั้นตอนแรกให้สำเร็จยังกำหนดให้ผู้นำและคนทำงานมีท่าทีที่จริงจัง ตั้งใจ รับผิดชอบ และพิถีพิถันต่องาน ไม่เลอะเลือน สุกเอาเผากิน หรือทำไปตามขั้นตอน ไม่ว่าการจัดการเตรียมงานนั้นจะเคยถูกกล่าวถึงมาก่อนหรือไม่ ไม่ว่าผู้คนจะทำให้สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือค่อนข้างยาก ไม่ว่าผู้คนจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจที่จะทำก็ตาม ไม่ว่าในกรณีใด ผู้นำและคนทำงานก็ไม่ควรมีท่าทีที่ผิวเผินต่องานของคริสตจักร ไม่เพียงแค่พูดคำสอนบางประการ ตะโกนคำขวัญ หรือพยายามทำเพียงผิวเผินเพื่อจัดการกับมันอย่างสุกเอาเผากิน ท่าทีที่ผู้คนควรมีคืออะไร? ประการแรก พวกเขาควรมีท่าทีที่จริงจัง ตั้งใจ รับผิดชอบ และพิถีพิถัน การมีท่าทีเช่นนี้หมายความว่าบุคคลสามารถดำเนินการประเด็นเฉพาะในการจัดการเตรียมงานได้ดีแล้วหรือไม่? ไม่ใช่ นี่เป็นเพียงท่าทีที่คนเราควรมีเมื่อทำงานใดๆ เท่านั้น ไม่สามารถมาทดแทนการดำเนินการภารกิจเฉพาะที่แท้จริงได้ เมื่อพวกเขามีท่าทีเช่นนี้และเข้าใจเนื้อหา ข้อกำหนด และหลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงของการจัดการเตรียมงานแล้ว ขั้นตอนต่อไปสำหรับผู้นำและคนทำงานคือพวกเขาจะดำเนินการภารกิจเฉพาะในการจัดการเตรียมงานอย่างไร ควรทำสิ่งใดก่อน? พวกเขาต้องทำงานเตรียมการให้ถูกควรเสียก่อน เรื่องนี้สำคัญมาก ประการแรก พวกเขาต้องรวบรวมผู้นำและคนทำงาน รวมทั้งผู้ดูแลเพื่อสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงสำหรับภารกิจเหล่านี้ จากนั้นพวกเขาต้องพัฒนาการจัดการเตรียมการและแผนการเฉพาะขึ้นมา ในขณะเดียวกัน พวกเขาควรแสวงหาคำแนะนำหรือแนวคิดของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกี่ยวกับแผนการเหล่านี้ จากนั้นทุกคนควรแสวงหาและสามัคคีธรรมร่วมกันจนกว่าข้อกำหนดและหลักธรรมทั้งหมดที่ระบุไว้ในการจัดการเตรียมงานจะเป็นที่เข้าใจและชัดเจน และทุกคนรู้ว่าจะดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านี้และจะปฏิบัติอย่างไร—เมื่อนั้นขั้นตอนเบื้องต้นของการดำเนินการจัดการเตรียมงานจึงจะถือว่าเสร็จสมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อทุกคนรู้ว่าจะดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างไรแล้ว นั่นหมายความว่าภารกิจของการดำเนินการจัดการเตรียมงานเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือไม่? ไม่ใช่เลย ประเด็นรายละเอียดและสถานการณ์พิเศษบางอย่างไม่ได้ถูกกล่าวถึงในการจัดการเตรียมงาน แต่เป็นปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขจริงๆ ขณะที่สามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงาน ผู้นำและคนทำงานควรขุดค้นสถานการณ์พิเศษเหล่านี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรได้รับการแก้ไข และแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างถี่ถ้วน พร้อมกันนั้นก็ควรพัฒนาแผนการดำเนินการที่เฉพาะเจาะจงสำหรับปัญหาเหล่านั้นด้วย ด้วยวิธีนี้ เมื่อผู้นำและคนทำงานในทุกระดับกำลังดำเนินการจัดการเตรียมงาน พวกเขาก็จะรู้ว่าต้องทำตามหลักธรรมใดและแก้ไขปัญหาใด นี่คือความเข้าใจและท่าทีขั้นต่ำที่ผู้นำและคนทำงานควรมีต่อการจัดการเตรียมงาน ภารกิจนี้อาจถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับผู้นำและคนทำงานในการเรียนรู้วิธีทำงานคริสตจักร โดยผ่านการแสวงหา การสามัคคีธรรม การให้การชี้แนะ และการจัดการเตรียมการ พวกเขาเรียนรู้ที่จะจัดการและปฏิบัติต่อความยากลำบากที่แท้จริงและสถานการณ์พิเศษบางอย่างตามหลักธรรมความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถดำเนินการจัดการเตรียมงานได้อย่างแท้จริง
I. การให้คำชี้แนะ
เมื่อให้คำชี้แนะเบื้องต้นสำหรับภารกิจใดภารกิจหนึ่ง นอกจากจะเสนอแผนการดำเนินการที่เจาะจงสำหรับสถานการณ์พิเศษแล้ว ผู้นำและคนทำงานที่มีขีดความสามารถปานกลางและมีความสามารถในการทำงานที่ค่อนข้างด้อยกว่าก็ควรได้รับการให้คำชี้แนะที่เจาะจงและลงรายละเอียดมากกว่า แม้ว่าผู้คนเหล่านี้อาจเข้าใจหลักธรรมและแผนการดำเนินการที่เจาะจงสำหรับภารกิจใดภารกิจหนึ่งในแง่ของคำสอน แต่เมื่อถึงเวลาดำเนินการตามจริง พวกเขาก็ยังไม่รู้วิธีนำไปปฏิบัติ พวกเจ้าควรปฏิบัติต่อผู้นำและคนทำงานเพียงไม่กี่คนที่มีขีดความสามารถด้อยและขาดความสามารถในการทำงานอย่างไร? บางคนกล่าวว่า “ถ้าคนที่มีขีดความสามารถด้อยไม่สามารถทำงานได้ ทำไมไม่หาคนที่มีขีดความสามารถดีกว่ามาแทนที่พวกเขาเสียเลยล่ะ?” ความลำบากยากเย็นอยู่ตรงนี้ กล่าวคือ บางคริสตจักรไม่สามารถหาใครที่ดีกว่าได้ ในคริสตจักรเหล่านั้น ทุกคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาไล่เลี่ยกันและมีวุฒิภาวะใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของทุกคนอยู่ในระดับปานกลาง การจะหาคนที่ดีกว่านั้น เจ้าจำเป็นต้องย้ายคนมาจากคริสตจักรอื่น แต่การทำเช่นนั้นที่นั่นไม่สะดวกนัก และไม่มีผู้สมัครที่เหมาะสมอย่างแท้จริง พวกเจ้าทำได้เพียงเลือกผู้สมัครที่ค่อนข้างเหมาะสมจากคริสตจักรท้องถิ่นเท่านั้น หากงานของพวกเขาไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด ควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้? เจ้าจำเป็นต้องบอกพวกเขาอย่างเจาะจงว่าต้องทำงานอย่างไร และจะดำเนินการอย่างไร เจ้าควรบอกพวกเขาว่าใครควรได้รับการแต่งตั้งและรับผิดชอบในภารกิจนี้ และควรเลือกคนใดมาร่วมมือกันในภารกิจนี้ จงอธิบายรายละเอียดทั้งหมดนี้ให้พวกเขาฟังและให้พวกเขาดำเนินการตามนี้ เหตุใดจึงควรทำเช่นนี้? เพราะโดยทั่วไปแล้วสมาชิกของคริสตจักรท้องถิ่นมีประสบการณ์ที่ตื้นเขินมากและขาดความสามารถในการทำงาน ทำให้ไม่สามารถเลือกผู้นำและคนทำงานที่เหมาะสมได้ การจัดการเตรียมงานจะสามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อทำงานในลักษณะนี้เท่านั้น หากเจ้าไม่ทำงานในลักษณะนี้และปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้เช่นเดียวกับผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ โดยบอกพวกเขาเพียงเกี่ยวกับหลักธรรมและแผนการที่เจาะจง และทำไปโดยไม่แยกแยะ การจัดการเตรียมงานก็จะไม่ถูกดำเนินการ หากเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย นั่นไม่ใช่การละเลยความรับผิดชอบหรอกหรือ? (ใช่) นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ผู้นำและคนทำงานบางคนกล่าวว่า “คนอื่นรู้ว่าจะดำเนินการจัดการเตรียมงานและปฏิบัติอย่างไร ทำไมคนนี้ถึงไม่รู้ล่ะ? ถ้าพวกเขาไม่รู้ ฉันก็จะไม่ไปยุ่งกับพวกเขา มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน อย่างไรเสีย ฉันก็ได้ทำในส่วนของฉันแล้ว” เหตุผลนี้ฟังขึ้นหรือไม่? (ไม่) ตัวอย่างเช่น สมมติว่าแม่คนหนึ่งมีลูกสามคน และคนหนึ่งในนั้นร่างกายอ่อนแอ ป่วยอยู่เสมอ และไม่ยอมกินข้าว หากแม่ปล่อยให้ลูกคนนี้ไม่กินข้าว เด็กคนนั้นอาจอยู่ได้ไม่นาน เธอควรทำอย่างไร? ในฐานะแม่ เธอต้องดูแลลูกที่อ่อนแอคนนั้นเป็นพิเศษ สมมติว่าแม่พูดว่า “แค่ฉันปฏิบัติต่อลูกๆ อย่างเท่าเทียมกันก็ดีพอแล้ว ฉันคลอดลูกคนนี้และเตรียมอาหารให้เขา ฉันได้ลุล่วงหน้าที่ของฉันแล้ว ฉันไม่สนใจว่าเขาจะกินหรือไม่กิน ถ้าเขาไม่กิน ก็ปล่อยให้เขาหิวไป และเมื่อเขาหิวจัด เขาก็จะกินเอง” พวกเจ้าคิดอย่างไรกับแม่ประเภทนี้? (เธอไม่มีความรับผิดชอบ) มีแม่แบบนี้ด้วยหรือ? มีเพียงผู้หญิงที่ปัญญาทึบหรือแม่เลี้ยงเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนั้น ถ้าเธอเป็นแม่แท้ๆ และไม่ได้ปัญญาทึบ เธอก็จะไม่มีวันปฏิบัติต่อลูกของตัวเองเช่นนี้ใช่หรือไม่? (ใช่) หากลูกคนใดร่างกายอ่อนแอ ป่วยอยู่เสมอ และไม่ชอบกินข้าว แม่ของพวกเขาก็ต้องใส่ใจและใช้ความพยายามมากขึ้น เธอต้องหาวิธีทำให้ลูกยอมกินข้าว ต้องทำอาหารอะไรก็ตามที่ลูกอยากกิน โดยเตรียมอาหารมื้อพิเศษให้พวกเขา และเมื่อลูกไม่ยอมกิน เธอก็ต้องคอยปลอบโยน เมื่อพวกเขาอายุได้สิบแปดหรือสิบเก้าปีและร่างกายแข็งแรงเหมือนผู้ใหญ่ปกติแล้ว แม่จึงจะวางใจและปล่อยมือได้ และไม่จำเป็นต้องดูแลลูกคนนี้เป็นพิเศษอีกต่อไป หากแม่คนหนึ่งสามารถปฏิบัติต่อลูกที่มีสถานการณ์พิเศษเช่นนี้และลุล่วงหน้าที่ของตนได้ แล้วผู้นำหรือคนทำงานเล่าเป็นอย่างไร? หากพวกเจ้าไม่มีแม้กระทั่งความรักของแม่ที่มีต่อพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบโดยแท้ พวกเจ้าต้องลุล่วงหน้าที่ที่พวกเจ้าควรทำ พวกเจ้าต้องคำนึงถึงคริสตจักรที่ผู้ที่ค่อนข้างอ่อนแอและมีความสามารถในการทำงานที่ค่อนข้างด้อยกว่าเป็นผู้รับผิดชอบ ผู้นำและคนทำงานต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษและให้คำชี้แนะเป็นพิเศษในเรื่องเหล่านี้ การให้คำชี้แนะเป็นพิเศษหมายถึงอะไร? นอกจากการสามัคคีธรรมความจริงแล้ว พวกเจ้ายังต้องให้การชี้แนะและความช่วยเหลือที่เจาะจงและลงรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งต้องใช้ความพยายามในการสื่อสารมากขึ้น หากพวกเจ้าอธิบายงานให้พวกเขาฟังแล้วพวกเขายังไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร หรือแม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจในแง่ของคำสอนและดูเหมือนจะรู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่พวกเจ้าก็ยังไม่แน่ใจและกังวลเล็กน้อยว่าการดำเนินการตามจริงจะเป็นอย่างไร เมื่อนั้นพวกเจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าจำเป็นต้องลงลึกไปในคริสตจักรท้องถิ่นด้วยตนเองเพื่อชี้แนะพวกเขาและดำเนินการภารกิจร่วมกับพวกเขา จงบอกหลักธรรมแก่พวกเขาพร้อมกับจัดการเตรียมการที่เจาะจงเกี่ยวกับภารกิจที่ต้องทำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงาน เช่น ต้องทำอะไรก่อนและทำอะไรทีหลัง และจะจัดสรรคนอย่างเหมาะสมได้อย่างไร—จงจัดระเบียบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดให้ดี นี่คือการชี้แนะพวกเขาในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่การตะโกนคำขวัญหรือการออกคำสั่งสุ่มสี่สุ่มห้า และเทศนาพวกเขาด้วยคำสอนบางอย่าง แล้วก็ถือว่างานของตนเสร็จสิ้น—นั่นไม่ใช่การสำแดงของการทำงานที่เจาะจง และการตะโกนคำขวัญกับการบงการผู้คนไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เมื่อผู้นำหรือผู้ดูแลของคริสตจักรท้องถิ่นสามารถแบกรับงานได้แล้ว และงานได้เข้าสู่ลู่ทางที่ถูกต้อง และโดยพื้นฐานแล้วไม่มีประเด็นสำคัญอะไรอีก เมื่อนั้นเท่านั้นที่ผู้นำหรือคนทำงานจะจากไปได้ นี่คือภารกิจที่เจาะจงประการแรกที่กล่าวถึงในหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงานสำหรับการดำเนินการจัดการเตรียมงาน—การให้คำชี้แนะ แล้วควรให้คำชี้แนะอย่างไรกันแน่? ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติการใคร่ครวญและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานเป็นอันดับแรก เรียนรู้และทำความเข้าใจข้อกำหนดที่เจาะจงต่างๆ ของการจัดการเตรียมงาน และเข้าใจและจับหลักธรรมภายในการจัดการเตรียมงานให้ได้ จากนั้น พวกเขาควรสามัคคีธรรมร่วมกับผู้นำและคนทำงานในทุกระดับเกี่ยวกับแผนการที่เจาะจงสำหรับการดำเนินการจัดการเตรียมงาน นอกจากนี้ พวกเขาควรจัดหาแผนการดำเนินการที่เจาะจงสำหรับสถานการณ์พิเศษ และสุดท้าย พวกเขาควรให้ความช่วยเหลือและการชี้แนะที่ลงรายละเอียดและเจาะจงมากขึ้นแก่ผู้นำและคนทำงานที่ค่อนข้างอ่อนแอและมีขีดความสามารถที่ค่อนข้างด้อยกว่า หากผู้นำและคนทำงานบางคนไม่สามารถดำเนินการภารกิจได้เลย ควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้? ผู้นำและคนทำงานระดับสูงควรลงลึกไปในคริสตจักรและมีส่วนร่วมในภารกิจนั้นด้วยตนเอง แก้ไขประเด็นตามจริงผ่านการสามัคคีธรรมความจริง และทำให้พวกเขาเรียนรู้วิธีทำงานและวิธีดำเนินการงานตามหลักธรรม ขั้นตอนเหล่านี้ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเป็นถ้อยคำแล้ว แต่จะดำเนินการได้ง่ายหรือไม่? มีความลำบากยากเย็นใดๆ เกี่ยวข้องหรือไม่? บางคนอาจกล่าวว่า “คุณพูดเหมือนง่าย แต่การดำเนินการไม่ง่ายอย่างนั้น บางครั้งการจัดการเตรียมงานก็ซับซ้อนมาก และไม่มีใครรู้ว่าจะดำเนินการอย่างไร!” แค่ภารกิจแรก—การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับข้อกำหนดที่เจาะจงของการจัดการเตรียมงานและการให้คำชี้แนะอย่างเป็นรูปธรรม—ผู้นำและคนทำงานบางคนก็พบว่าสิ่งนี้ค่อนข้างลำบากแล้ว พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่เคยทำงานที่เจาะจงเหล่านี้มาก่อน ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมและให้คำชี้แนะเกี่ยวกับงานเหล่านี้ได้อย่างไร พวกเขาควรทำตามถ้อยคำของการจัดการเตรียมงานทุกประการ—จะมีอะไรให้ต้องสามัคคีธรรมอีก? นั่นไม่ใช่แค่พิธีรีตองหรอกหรือ?” พวกเขาไม่รู้วิธีสามัคคีธรรม พวกเขารู้เพียงวิธีตะโกนคำขวัญว่า “เราต้องดำเนินการงานนี้ให้ดี! นี่คือข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับเรา เราต้องยืนหยัดในหน้าที่ของเราให้ได้ ตอบสนองข้อกำหนดของพระเจ้า และไม่ทำให้ความคาดหวังของพระเจ้าที่มีต่อเราต้องผิดหวัง ส่วนจะทำอย่างไรนั้น พวกเจ้าควรไปคิดกันเอาเอง” ปัญหาของคนที่พูดเช่นนี้คืออะไร? พวกเขาสามารถทำงานได้หรือไม่? พวกเขามีความสามารถในการทำงานหรือไม่? ขีดความสามารถของพวกเขาด้อยหรือไม่? (ใช่ ด้อย)
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เจ้าควรอธิษฐานและแสวงหาจากพระเจ้า ตลอดจนคิดและพิจารณาอย่างรอบคอบและถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจ หากบุคคลใดไม่มีความคิดที่เป็นปกติ การที่พวกเขาจะอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และแสวงหาเพิ่มเติมจากผู้ที่เข้าใจความจริงก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ สำหรับเรื่องสำคัญในงานของคริสตจักรและเรื่องสำคัญที่พบเจอขณะทำหน้าที่ เจ้าต้องสามัคคีธรรมและหารือกับบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุฉันทามติและในที่สุดก็พัฒนาแผนการปฏิบัติที่เจาะจงและเป็นไปได้ขึ้นมา แผนการนี้ควรเป็นฉันทามติที่บรรลุได้ผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบและการปรึกษาหารือ และควรจะหนักแน่นพอไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าผู้นำและคนทำงานระดับใดก็ตาม ผู้ที่สามารถพัฒนาแผนการปฏิบัติที่เจาะจงที่หนักแน่นได้นั้นถือว่ามีความคิดที่เป็นปกติ หากเมื่อเผชิญกับประเด็นต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก กลับไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรมอยู่ในความคิดของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และพวกเขาไม่สามารถคิดถึงหลักธรรมของการปฏิบัติที่เจาะจงได้ และเพียงแค่ใช้คำขวัญเชิงทฤษฎีง่ายๆ มาแทนที่หลักธรรมในการจัดการกับปัญหา พวกเขาจะสามารถทำงานของตนได้ดีหรือไม่? คนเช่นนี้มีความสามารถในการคิดและความสามารถในการคิดไตร่ตรองสิ่งต่างๆ หรือไม่? (ไม่) คนประเภทใดที่ขาดความสามารถในการคิด? (คนที่มีขีดความสามารถด้อย) นี่แหละคือความหมายของการเป็นคนที่มีขีดความสามารถด้อย ขอยกตัวอย่าง สมมติว่าเจ้าอาศัยอยู่ต่างประเทศ และวันหนึ่งเจ้าก็ได้รับหมายศาลอย่างกะทันหัน นี่ค่อนข้างไม่คาดคิดและฉับพลันใช่หรือไม่? ประการแรก เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ประการที่สอง เจ้าไม่ได้ยื่นฟ้องร้องใดๆ และไม่เคยได้ยินว่ามีใครกล่าวหาเจ้าในเรื่องใดๆ เจ้าได้รับหมายศาลโดยไม่รู้ถึงพฤติการณ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องเลย ความรู้สึกแรกที่คนทั่วไปจะมีเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้คืออะไร? การเข้าไปพัวพันกับเรื่องทางกฎหมายจะทำให้พวกเขาตื่นตระหนก กังวล และหวาดกลัวอยู่บ้าง มันจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าตั้งตัวไม่ติด และไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ว่าบุคคลนั้นจะสำคัญหรือไม่ กล้าหาญหรือขี้ขลาด เป็นผู้ใหญ่หรือผู้เยาว์ ไม่มีใครอยากเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้เพราะมันไม่ใช่เรื่องดี เมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ ผู้คนมีปฏิกิริยาสองแบบที่แตกต่างกัน คนประเภทแรกคิดว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย และไม่ได้ละเมิดข้อบังคับของรัฐบาลใดๆ ฉันมีอะไรต้องกลัว? นี่คือสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมาย ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับหลักฐาน ในเมื่อฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดี พวกเขาก็จะไม่มีหลักฐานใดๆ มาปรักปรำฉันได้แม้ว่าพวกเขาจะดำเนินคดีก็ตาม ฉันไม่มีอะไรต้องกลัว หมายศาลจะทำอะไรได้? คนซื่อตรงไม่จำเป็นต้องกลัวคำกล่าวหา ฉันจะจ้างทนายมาว่าความให้ฉันเอง คงไม่มีปัญหาอะไร” หลังจากคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้สึกกดดันในใจ และชีวิตประจำวันของพวกเขาก็ยังคงไม่ได้รับผลกระทบ นี่คือปฏิกิริยาของคนประเภทหนึ่ง ทีนี้มาดูปฏิกิริยาของคนประเภทที่สองกัน หลังจากได้รับหมายศาล พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายใดๆ และไม่ได้ก่ออาชญากรรมใดๆ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน? จะเป็นไปได้ไหมว่าเป็นเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า? การเชื่อในพระเจ้าไม่ผิดกฎหมาย เป็นไปได้ไหมว่ามีคนจงใจใส่ร้ายและแจ้งความจับฉัน? นั่นดูเหมือนจะเป็นไปได้มากกว่า แต่จะเป็นเรื่องอื่นได้หรือไม่? ฉันต้องปรึกษาทนายและขอให้พวกเขาไปที่ศาลเพื่อหาคำตอบว่าทำไมฉันถึงได้รับหมายศาลและใครคือโจทก์ ฉันต้องสืบให้รู้ความจริงก่อนที่จะตัดสินใจใช้มาตรการตอบโต้ ถ้าทนายบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าของฉัน เช่นนั้นแล้วฉันต้องรีบหาคนมาวางแผนมาตรการตอบโต้ และต้องรีบซ่อนหนังสือหรือสิ่งของอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของฉันเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูหาอะไรมาใช้ปรักปรำฉันได้” หลังจากความคิดเบื้องต้นเหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดหรือการตัดสินที่ถูกต้องแม่นยำใดๆ เกี่ยวกับการได้รับหมายศาล แต่พวกเขาก็มีความคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการปฏิบัติที่เจาะจงแล้ว กล่าวคือ จะทำอะไรสำหรับแผนเอ จะทำอะไรสำหรับแผนบี และหากทั้งสองแผนไม่สามารถทำได้ พวกเขาควรทำอะไรต่อไป พวกเขาพิจารณาทุกขั้นตอนอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ พวกเขาทำจิตใจให้สงบก่อนและอธิษฐานในใจอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว พวกเขาก็ลงมือจัดการเรื่องนี้ทันที ภายในหนึ่งวัน พวกเขาก็คิดเรื่องทั้งหมดนี้ออกและรู้ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เรามาดูคนสองประเภทนี้กันก่อน คนไหนที่มีความสามารถในการคิดไตร่ตรองปัญหา? คนไหนที่มีขีดความสามารถ? (คนที่สอง) เห็นได้ชัดว่าคนที่สองมีขีดความสามารถ การมีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวเมื่อคนเราเผชิญกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งไม่ได้เท่ากับการมีขีดความสามารถ คนเราต้องสามารถคิด มีวิจารณญาณแยกแยะ และมีความสามารถในการจัดการกับปัญหา ในกระบวนการคิด พวกเขาต้องสามารถทำการตัดสินอย่างเจาะจงและวางแผนการลงมือทำที่เจาะจงได้ คนประเภทนี้เท่านั้นที่มีขีดความสามารถ เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาอาจดูขี้ขลาดมาก ระมัดระวังและรอบคอบแม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และปฏิบัติต่อเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตาม วิธีการและแนวทางที่พวกเขาจัดการกับปัญหาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าคนผู้นี้มีความสามารถในการคิดและความสามารถในการคิดไตร่ตรองและจัดการกับปัญหา ในทางตรงกันข้าม คนประเภทแรกนั้นกล้าหาญมากและไม่กลัวอะไรเลย เมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง พวกเขาก็คิดง่ายๆ ว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรผิดพลาด ก็ย่อมมีคนที่มีความสามารถมากกว่ามาแก้ไขเสมอ ฉันมีอะไรต้องกลัว?” พวกเขาไม่กังวลและใช้ชีวิตอย่างสบายๆ แต่พวกเขาไม่ได้กล้าบ้าบิ่นและสมองทึบไปหน่อยหรือ? คนประเภทนี้ตะโกนคำขวัญเสียงดัง และสิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่ผิด แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปคืออะไร? (พวกเขาไม่มีความคิดที่เป็นปกติและขาดความสามารถในการคิดไตร่ตรองปัญหา) การขาดความคิดที่เป็นปกติของพวกเขาสะท้อนออกมาที่ใด? เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันหรือสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถคิดไตร่ตรองหรือทำการตัดสินได้ ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาก็จะไม่มีแผนที่จะจัดการกับปัญหาหรือความสามารถในการแก้ไขปัญหา นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดมาก จากภายนอก คนประเภทนี้ดูเหมือนจะมีวาทศิลป์และสามารถพูดคำสอนได้ และยังสามารถกระตุ้นขวัญกำลังใจได้ด้วย พวกเขาดูเหมือนจะมีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับปัญหา พวกเขากลับไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาและไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ พวกเขาสามารถพูดได้เพียงแค่คำพูดและคำสอนบางอย่างและตะโกนคำขวัญเท่านั้น เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาดูฉลาดหลักแหลม แต่เมื่อเผชิญกับปัญหา พวกเขากลับไม่สามารถวิเคราะห์หรือตัดสินสาเหตุของปัญหาได้ และไม่สามารถประเมินผลที่ตามมาอย่างร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นหากปัญหายังคงดำเนินต่อไปได้ พวกเขาไม่สามารถเรียบเรียงเรื่องราวเหล่านี้ในใจได้ ไม่ต้องพูดถึงการแก้ไขปัญหาเลย คนเช่นนี้ดูเหมือนจะมีวาทศิลป์แต่แท้จริงแล้วมีขีดความสามารถด้อยและไม่สามารถทำงานจริงได้ ในทำนองเดียวกัน หากผู้นำและคนทำงานเมื่อได้รับการจัดการเตรียมงานแล้ว ทำได้เพียงแค่อ่านและอธิบายตามตัวอักษร และแม้ว่าพวกเขาอาจจะแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในที่ชุมนุม แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะจัดการเตรียมการที่เจาะจงและให้คำชี้แนะที่เจาะจงสำหรับข้อกำหนดที่เจาะจง หลักธรรม เรื่องที่ต้องให้ความสนใจ สถานการณ์พิเศษ และอื่นๆ ของการจัดการเตรียมงานได้อย่างไร และพวกเขาไม่มีแผนการ ไม่มีแนวคิด และไม่มีความสามารถในการแก้ไขปัญหา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีขีดความสามารถด้อย เมื่อดำเนินการจัดการเตรียมงาน ภารกิจแรกที่ผู้นำและคนทำงานต้องปฏิบัติ—การให้คำชี้แนะ—ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเรียบง่าย ภารกิจแรกนี้ทดสอบว่าผู้นำหรือคนทำงานมีขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานที่พวกเขาควรมีหรือไม่ หากผู้นำและคนทำงานไม่มีขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถให้คำชี้แนะที่เจาะจงสำหรับการจัดการเตรียมงานหรือดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นได้
II. การกำกับดูแลและการกระตุ้น
ลำดับถัดไป เราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับงาน “การกำกับดูแล” เมื่อพิจารณาตามตัวอักษร การกำกับดูแลก็คือการตรวจสอบนั่นเอง เป็นการตรวจสอบดูว่าคริสตจักรใดได้ดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานแล้วและคริสตจักรใดที่ยังไม่ได้ทำ ตรวจสอบความคืบหน้าของการดำเนินการ ผู้นำและคนทำงานคนใดกำลังทำงานที่แท้จริงและคนใดที่ไม่ได้ทำ และมีผู้นำหรือคนทำงานคนใดหรือไม่ที่เพียงแค่แจกจ่ายการจัดการเตรียมงานออกไปโดยไม่ได้มีส่วนร่วมในงานที่เจาะจง การกำกับดูแลเป็นงานที่เจาะจง นอกเหนือจากการกำกับดูแลการดำเนินการตามการจัดการเตรียมงาน—ซึ่งครอบคลุมถึงว่าได้ดำเนินการแล้วหรือไม่ ความเร็วและคุณภาพของการดำเนินการเป็นอย่างไร และผลลัพธ์ที่ได้เป็นเช่นใด—ผู้นำและคนทำงานระดับสูงกว่ายังต้องตรวจสอบด้วยว่าผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ ปฏิบัติตามการจัดการเตรียมงานอย่างเคร่งครัดหรือไม่ ผู้นำและคนทำงานบางคนภายนอกอาจพูดว่าเต็มใจปฏิบัติตาม แต่เมื่อต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมบางอย่าง พวกเขาก็กลัวว่าจะถูกจับกุมและเอาแต่หลบซ่อนตัว โดยทิ้งการจัดการเตรียมงานไว้เบื้องหลังเสียนานแล้ว ปัญหาของพี่น้องชายหญิงจึงไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าการจัดการเตรียมงานระบุอะไรไว้หรือหลักธรรมของการปฏิบัติคืออะไร นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการจัดการเตรียมงานไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติเลยแม้แต่น้อย ส่วนผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ ก็มีความคิดเห็น มโนคติอันหลงผิด และการต่อต้านต่อข้อกำหนดบางประการในการจัดการเตรียมงาน พอถึงเวลาที่ต้องดำเนินการ พวกเขาก็เบี่ยงเบนไปจากเจตนาที่แท้จริงของการจัดการเตรียมงาน โดยทำสิ่งต่างๆ ตามแนวคิดของตนเอง ทำไปอย่างสุกเอาเผากินให้มันแล้วๆ ไป หรือไม่ก็เลือกเดินในเส้นทางของตนเอง ทำตามใจชอบ ทุกสถานการณ์เช่นนี้ล้วนต้องการการกำกับดูแลจากผู้นำและคนทำงานระดับที่สูงกว่า จุดประสงค์ของการกำกับดูแลก็เพื่อดำเนินการงานที่เจาะจงซึ่งการจัดการเตรียมงานกำหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ให้เกิดการเบี่ยงเบนและเป็นไปตามหลักธรรม ขณะดำเนินการกำกับดูแล ผู้นำและคนทำงานระดับสูงกว่าต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการมองให้ออกว่า มีใครหรือไม่ที่ไม่ได้ทำงานที่แท้จริง หรือไม่มีความรับผิดชอบและเชื่องช้าในการดำเนินการ มีใครหรือไม่ที่แสดงท่าทีต่อต้านการจัดการเตรียมงานและไม่เต็มใจที่จะดำเนินการ หรือดำเนินการอย่างเลือกปฏิบัติ หรือกระทั่งไม่ปฏิบัติตามการจัดการเตรียมงานเลยแต่กลับไปสร้างกิจการของตนเองแทน และมีใครหรือไม่ที่ยับยั้งการจัดการเตรียมงานไว้ แล้วสื่อสารออกไปตามความคิดของตนเอง ไม่ยอมให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้รู้ถึงเจตนาที่แท้จริงและข้อกำหนดที่เจาะจงของการจัดการเตรียมงาน—มีเพียงการกำกับดูแลและตรวจสอบปัญหาเหล่านี้เท่านั้น ผู้นำระดับสูงกว่าจึงจะสามารถรู้สถานการณ์ตามความเป็นจริงได้ หากผู้นำระดับสูงกว่าไม่ดำเนินการกำกับดูแลและตรวจสอบ จะสามารถตรวจพบปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่? (ไม่) ย่อมไม่สามารถตรวจพบได้ ดังนั้น เมื่อดำเนินการตามการจัดการเตรียมงาน ผู้นำและคนทำงานไม่เพียงแต่ต้องสื่อสารและให้คำชี้แนะเป็นลำดับชั้นลงไป แต่ยังต้องกำกับดูแลการทำงานเป็นลำดับชั้นลงไปเช่นกัน ผู้นำเขตต้องกำกับดูแลงานของผู้นำแขวง ผู้นำแขวงต้องกำกับดูแลงานของผู้นำคริสตจักร และผู้นำคริสตจักรก็ต้องกำกับดูแลงานของแต่ละกลุ่ม ต้องมีการกำกับดูแลกันเป็นทอดๆ แล้วจุดประสงค์ของการกำกับดูแลคืออะไร? ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้การดำเนินการตามเนื้อหาของการจัดการเตรียมงานเป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดที่เจาะจงนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ งานกำกับดูแลจึงสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อดำเนินการกำกับดูแล หากสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ผู้นำและคนทำงานควรลงลึกเข้าไปในคริสตจักรเพื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่ทำงานจริง พวกเขาควรถามไถ่ สังเกตการณ์ สอบถาม เพื่อเรียนรู้และจับความเข้าใจในสถานการณ์ของการดำเนินการงาน ขณะเดียวกัน ก็ควรเรียนรู้ด้วยว่าพี่น้องชายหญิงมีความลำบากยากเย็นและความคิดอย่างไรต่องานนี้ และพวกเขาได้เข้าใจหลักธรรมของงานนี้แล้วหรือไม่ ทั้งหมดนี้คืองานที่เจาะจงซึ่งผู้นำและคนทำงานต้องปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีขีดความสามารถและความเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างด้อย ผู้ที่ค่อนข้างไม่มีความรับผิดชอบ ไม่จงรักภักดี และหย่อนยานในหน้าที่ ผู้นำและคนทำงานยิ่งจำเป็นต้องกำกับดูแลและชี้แนะการทำงานของพวกเขาให้มากขึ้น แล้วจะกำกับดูแลและชี้แนะอย่างไร? สมมติว่าเจ้าพูดว่า “เร็วเข้าหน่อย! เบื้องบนกำลังรอรายงานจากพวกเราอยู่ งานนี้มีกำหนดส่งนะ อย่าทำชักช้า!” การกระตุ้นด้วยวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่? การกระตุ้นเป็นเพียงการเร่งเร้าเล็กน้อยแล้วก็จบใช่หรือไม่? วิธีที่ดีกว่าในการกระตุ้นคืออะไร? เมื่อพวกเจ้าทำงาน พวกเจ้านับรวมการกระตุ้นเป็นส่วนหนึ่งของงานด้วยหรือไม่? (ใช่ ถ้าฉันเห็นว่างานบางอย่างไม่ได้ทำอย่างทันท่วงที ฉันจะพยายามทำความเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำ และจะติดตามงานของพวกเขา) หากเจ้าเห็นคนที่ไม่รู้วิธีทำงาน เจ้าก็ต้องให้คำชี้แนะและความช่วยเหลือที่เจาะจงพร้อมทั้งชี้แนะแนวทางให้ หากเจ้าเห็นคนที่หย่อนยาน เจ้าก็ต้องตัดแต่งเขา ถ้าเขารู้วิธีทำงานแต่ขี้เกียจเกินกว่าจะทำ ทำงานเชื่องช้าและผัดวันประกันพรุ่ง ทั้งยังลุ่มหลงในความสุขสบายทางเนื้อหนัง ก็สมควรที่จะต้องถูกตัดแต่งตามสมควร หากการตัดแต่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้และท่าทีของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง ควรทำอย่างไร? (ไม่ให้เขาทำงานนี้) ก่อนอื่น จงเตือนเขาก่อนว่า “งานนี้สำคัญมาก ถ้าคุณยังคงมีท่าทีเช่นนี้ต่อหน้าที่ของคุณอีก หน้าที่ของคุณจะถูกริบไปและมอบให้คนอื่น ถ้าคุณไม่เต็มใจทำ ก็มีคนอื่นที่เต็มใจ คุณไม่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตน คุณไม่เหมาะกับงานนี้ ถ้าคุณไม่สามารถรับผิดชอบงานนี้ได้และทนความลำบากทางกายไม่ไหว พระนิเวศของพระเจ้าก็สามารถหาคนอื่นมาแทนได้ และคุณก็สามารถยื่นใบลาออกเองก็ได้ ถ้าคุณไม่ลาออกและยังอยากจะทำต่อ ก็จงทำให้ดี ทำให้เป็นไปตามข้อกำหนดและหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้า หากคุณทำไม่ได้และยังคงทำให้งานล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดความเสียหาย เช่นนั้นแล้วพระนิเวศของพระเจ้าก็จำเป็นต้องจัดการคุณ หากคุณลุล่วงหน้าที่นี้ไม่ได้ ก็ต้องขออภัย แต่คุณจะต้องออกไป!” หากหลังจากการเตือนแล้วเขาเต็มใจที่จะกลับใจ ก็สามารถให้เขาอยู่ต่อได้ แต่หากเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วท่าทีของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงและไม่แสดงความสำนึกผิดแม้แต่น้อย ควรทำอย่างไร? ก็ควรปลดเขาออกทันที—นั่นย่อมจะแก้ปัญหาได้มิใช่หรือ? เราไม่ได้จ้องจับผิดใครเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เรากำลังให้โอกาสแก่ผู้คน หากพวกเขาเต็มใจกลับใจและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมาก ก็จงให้พวกเขาอยู่ต่อหากเป็นไปได้ แต่หากให้โอกาสซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งสามัคคีธรรมความจริง ตัดแต่ง และเตือนแล้วก็ยังไม่ได้ผล ความช่วยเหลือจากใครก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่ปัญหาธรรมดา ความเป็นมนุษย์ของคนผู้นี้ย่ำแย่เกินไป และเขาไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย ในกรณีนั้น เขาย่อมไม่เหมาะสำหรับหน้าที่นี้และควรถูกส่งตัวไป เขาไม่คู่ควรที่จะทำหน้าที่ เรื่องนี้สมควรได้รับการจัดการเช่นนี้
เมื่อกำกับดูแลงานของคริสตจักร ผู้นำและคนทำงานไม่เพียงแต่ควรจะชำนาญในการตรวจพบปัญหาต่างๆ แต่ยังต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษกับผู้นำคริสตจักรบางคนที่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจด้วยหรือพบว่าไม่น่าไว้วางใจ คนเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการกำกับดูแลและติดตามเป็นระยะเวลานาน พวกเจ้าไม่สามารถเพียงแค่สอบถามสถานการณ์จากพวกเขาเป็นครั้งคราว หรือปัดปัญหานั้นทิ้งไปด้วยคำพูดไม่กี่คำแล้วถือว่าจบเรื่อง บางครั้ง จำเป็นต้องลงพื้นที่เพื่อกำกับดูแลการทำงานของพวกเขา จุดประสงค์ของการลงพื้นที่คืออะไร? ก็เพื่อที่จะตรวจพบและแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเพื่อทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี บางครั้ง เจ้าไม่สามารถตรวจพบปัญหาได้ทันทีที่เจ้าไปถึงสถานที่ทำงาน แต่ปัญหาบางอย่างจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นและสามารถตรวจพบได้ก็ต่อเมื่อผ่านการทำความเข้าใจอย่างละเอียด การตรวจสอบงาน และการสังเกตการณ์อย่างรอบคอบแล้วเท่านั้น การลงพื้นที่เพื่อดำเนินการกำกับดูแลไม่ใช่การเฝ้าจับตาดูหรือคอยสอดส่องผู้คน การกำกับดูแลหมายความว่าอย่างไร? การกำกับดูแลเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบและให้แนวทาง หมายถึงการสอบถามเกี่ยวกับงานอย่างเจาะจงในรายละเอียด การเรียนรู้และทำความเข้าใจในความคืบหน้าและจุดอ่อนของงาน การทำความเข้าใจว่าใครรับผิดชอบในงานของตนและใครไม่รับผิดชอบ และใครสามารถปฏิบัติงานได้และใครไม่สามารถ เป็นต้น บางครั้งการกำกับดูแลต้องการการปรึกษาหารือ การทำความเข้าใจ และการสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ บางครั้งก็ต้องการการซักถามซึ่งหน้าหรือการตรวจสอบโดยตรง แน่นอนว่า ที่บ่อยกว่านั้นคือการสามัคคีธรรมโดยตรงกับผู้ที่รับผิดชอบ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินการงาน ตลอดจนความยากลำบากและปัญหาที่พบเจอ และอื่นๆ ขณะดำเนินการกำกับดูแล พวกเจ้าสามารถตรวจพบได้ว่าคนใดที่ทำงานแต่เพียงภายนอกและทำอะไรอย่างผิวเผิน คนใดที่ไม่รู้วิธีดำเนินการงานที่เจาะจง และคนใดที่รู้วิธีดำเนินการแต่กลับไม่ได้ทำงานที่แท้จริง รวมถึงประเด็นอื่นๆ เช่นนี้ หากปัญหาที่ตรวจพบเหล่านี้สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที นั่นย่อมดีที่สุด จุดประสงค์ของการกำกับดูแลคืออะไร? ก็เพื่อดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อดูว่างานที่พวกเจ้าได้จัดเตรียมไว้นั้นเหมาะสมหรือไม่ มีสิ่งใดที่มองข้ามไปหรือยังไม่ได้พิจารณาหรือไม่ มีส่วนใดที่ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ หรือมีแง่มุมที่บิดเบือนหรือส่วนที่ทำผิดพลาดหรือไม่ และอื่นๆ—ประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดสามารถตรวจพบได้ในระหว่างกระบวนการกำกับดูแล แต่ถ้าเจ้าเอาแต่อยู่ที่บ้านและไม่ปฏิบัติงานที่เจาะจงนี้ เจ้าจะสามารถตรวจพบปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่? (ไม่) ปัญหามากมายจำเป็นต้องได้รับการสอบถาม สังเกตการณ์ และทำความเข้าใจ ณ ที่เกิดเหตุจึงจะสามารถรับรู้และทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เมื่อดำเนินการกำกับดูแล พวกเจ้าต้องกระตุ้นผู้ที่ทำงานอย่างไม่มีความรับผิดชอบและไม่ใส่ใจ ผู้ที่หลอกลวงเบื้องบนและปิดบังเบื้องล่าง และผู้ที่ทำงานอย่างสุกเอาเผากินและเชื่องช้า เราเพิ่งได้สามัคคีธรรมถึงขั้นตอนหลายอย่างเกี่ยวกับวิธีการกระตุ้นพวกเขาไป ซึ่งพวกเจ้าสามารถให้แนวทาง สามัคคีธรรม ตัดแต่ง เตือน และปลดพวกเขาออกได้ ขั้นตอนเหล่านี้ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติหรือไม่? (ใช่)
III. การตรวจสอบและติดตาม
หลังจากที่ผู้นำและคนทำงานได้กระตุ้นงานแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตรวจสอบงาน โดยปกติแล้วจุดประสงค์ของการตรวจสอบงานคืออะไร? การตรวจสอบงานก็เพื่อประเมินความคืบหน้าของงานที่ได้จัดการเตรียมไว้ ตรวจพบปัญหาใดๆ ที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน และท้ายที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่างานนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีอย่างสมบูรณ์ หลังจากที่ได้จัดการเตรียมงานแล้ว จำเป็นต้องตรวจสอบในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานในลำดับถัดไปได้ไปถึงขั้นตอนใดแล้ว เสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ มีประสิทธิภาพเพียงใด ผลลัพธ์เป็นอย่างไร มีการตรวจพบปัญหาที่เจาะจงใดๆ หรือไม่ มีความลำบากยากเย็นใดๆ หรือไม่ หรือมีส่วนใดที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรม เป็นต้น การตรวจสอบงานที่เจ้าได้จัดการเตรียมไว้ก็เป็นงานที่เจาะจงและจำเป็นเช่นกัน ผู้นำและคนทำงานบางคนมักทำผิดพลาดอย่างหนึ่งคือ พวกเขาคิดว่าเมื่อได้จัดการเตรียมงานแล้ว ภารกิจของพวกเขาก็จบสิ้นแล้ว พวกเขาเชื่อว่า “ภารกิจของฉันเสร็จสมบูรณ์ ความรับผิดชอบของฉันก็ลุล่วงแล้ว อย่างไรก็ตาม ฉันก็ได้บอกพวกคุณแล้วว่าจะทำอย่างไร พวกคุณรู้แล้วว่าจะต้องทำอะไรและก็ตกลงที่จะทำแล้วด้วย ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แค่รายงานให้ฉันทราบเมื่อพวกคุณทำเสร็จก็พอ” หลังจากวางแผนและจัดการเตรียมงานแล้ว พวกเขาก็เชื่อว่าภารกิจของตนเสร็จสมบูรณ์และทุกอย่างเรียบร้อยดี โดยไม่ได้ติดตามหรือตรวจสอบงานเลย ส่วนเรื่องที่ว่าคนที่พวกเขาจัดให้รับผิดชอบงานนั้นเหมาะสมหรือไม่ สภาพของคนส่วนใหญ่เป็นอย่างใด มีปัญหาหรือความยากลำบากหรือไม่ พวกเขามีความมั่นใจในการทำงานคริสตจักรให้ดีหรือไม่ มีแง่มุมที่บิดเบือนหรือผิดพลาดหรือไม่ หรือมีการละเมิดการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนหรือไม่—พวกเขาไม่ได้เรียนรู้ ตรวจสอบ หรือติดตามเรื่องเหล่านี้เลย พวกเขาเพียงแค่ถือว่างานของตนจบแล้วหลังจากที่จัดการเตรียมงาน ซึ่งนี่ไม่ใช่การทำงานที่เจาะจง แล้วควรตรวจสอบอะไรในงานบ้าง? สิ่งสำคัญที่ต้องตรวจสอบคือแผนการดำเนินการสอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานหรือไม่ ละเมิดหลักธรรมและข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานหรือไม่ และในระหว่างการทำงาน มีผู้ใดที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน มีผู้ใดที่ก่อเรื่องอย่างมืดบอด หรือมีผู้ใดที่เอาแต่พูดจาสูงส่งหรือไม่ แน่นอนว่า ขณะที่ตรวจสอบงานของผู้อื่น พวกเจ้าก็กำลังตรวจสอบด้วยว่ามีการทำผิดพลาดใดๆ ในการดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานของพวกเจ้าเองหรือไม่ การตรวจสอบงานของผู้อื่น แท้จริงแล้วก็คือการตรวจสอบงานของตนเองด้วยเช่นกัน
การสามัคคีธรรมถึงวิธีการดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานพร้อมตัวอย่าง
เกี่ยวกับวิธีการดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบน ให้เรายกตัวอย่างที่เจาะจงขึ้นมา สมมติว่าการจัดการเตรียมงานกำหนดให้ผู้คนเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ นี่เป็นงานที่เจาะจงซึ่งครอบคลุมหลายแง่มุมและเป็นงานระยะยาวที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่การจัดการเตรียมงานแบบชั่วคราว ดังนั้น หลังจากที่การจัดการเตรียมงานนี้ประกาศออกไปแล้ว สิ่งแรกที่ผู้นำและคนทำงานควรทำคืออะไร? ตามหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงาน ซึ่งกำหนดให้พวกเขาให้คำชี้แนะ กำกับดูแล และกระตุ้น รวมถึงตรวจสอบและติดตามสถานะของการดำเนินการตามการจัดการเตรียมงาน สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือการสามัคคีธรรมกับหัวหน้าทีมและผู้กำกับดูแล ว่าจะปฏิบัติงานนี้อย่างเจาะจงให้เหมาะสมและเกิดผลได้อย่างไร เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนมีแนวทางและหลักธรรมที่จะปฏิบัติตามสำหรับงานนี้ มีเพียงการสามัคคีธรรมให้ถึงระดับนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำงานได้ดี ก่อนอื่น ต้องทำให้ทุกคนเข้าใจมาตรฐานที่เบื้องบนกำหนดสำหรับการเขียนบทความคำพยาน และเข้าใจว่าต้องการบทความคำพยานประเภทใด ก่อนอื่น ให้กำหนดเนื้อหาที่เจาะจง หลักธรรม และขอบเขตของบทความเหล่านี้ให้ชัดเจน และทำให้แน่ใจว่าผู้นำและคนทำงานทุกคนรับทราบ นอกจากนี้ ให้สามัคคีธรรมและให้คำชี้แนะที่เจาะจงเกี่ยวกับความยาว รูปแบบ หัวข้อ และลีลาภาษาของบทความ—ตัวอย่างเช่น แจ้งให้พวกเขาทราบว่าบทความอาจเขียนในรูปแบบของเรื่องเล่า บันทึกประจำวัน เรื่องราวส่วนตัว หรือบทกวีร้อยแก้ว เป็นต้น นี่คือการให้คำชี้แนะมิใช่หรือ? (ใช่) หลังจากให้คำชี้แนะแล้ว ทุกคนก็จะเข้าใจแนวคิดและคำจำกัดความที่เจาะจงของบทความคำพยานที่พวกเขาต้องเขียน ถัดจากนั้น ให้พิจารณาว่าใครมีขีดความสามารถและประสบการณ์ที่จะเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ และใครที่ขาดประสบการณ์ลึกซึ้งและทำได้เพียงฝึกฝนการเขียนบทความคำพยานทั่วไป ผู้นำคริสตจักรจำเป็นต้องตระหนักถึงสถานการณ์เหล่านี้อย่างถ่องแท้ หลังจากที่เขียนบทความแล้ว ก็ให้นำมาทบทวนเพื่อตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงและเป็นที่เจริญใจหรือไม่ หากได้มาตรฐาน ก็สามารถใช้เป็นบทความตัวอย่างให้พี่น้องชายหญิงที่ยังไม่ได้เขียนหรือยังไม่รู้วิธีเขียนได้อ่านและใช้อ้างอิง หากใครมีประสบการณ์และเต็มใจที่จะเขียนบทความคำพยาน พวกเขาก็ควรปฏิบัติตามหลักธรรมและข้อกำหนด โดยแบ่งปันสิ่งที่อยู่ในใจและพูดถ้อยคำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพื่อที่จะเป็นที่เจริญใจของผู้อ่าน แล้วถ้าบางคนเขียนบทความไม่เก่งและเขียนได้เพียงเรื่องราวเหตุการณ์ง่ายๆ ควรทำอย่างไร? แม้ว่าบทความของพวกเขาจะไม่ได้มาตรฐาน พวกเขาก็ยังควรฝึกฝน พวกเขาควรเขียนบทความเกี่ยวกับความเข้าใจและการซาบซึ้งที่แท้จริงซึ่งได้รับจากการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า หลังจากตรวจแก้และทบทวนบทความเหล่านี้แล้ว หากเนื้อหาเป็นไปตามมาตรฐานสำหรับบทความคำพยาน บทความเช่นนั้นก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ว่าลีลาการเขียนจะเป็นอย่างไร และไม่ว่ารูปแบบจะเป็นเช่นใด—ไม่ว่าจะเขียนเป็นเรื่องเล่าหรือบันทึกประจำวัน—ตราบใดที่เป็นประโยชน์และเป็นที่เจริญใจต่อผู้อ่าน ก็สามารถเขียนได้ นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มีระดับการศึกษาต่ำซึ่งมีคำพยานจากประสบการณ์แต่ไม่รู้วิธีเขียนบทความคำพยาน ในกรณีเช่นนี้ควรทำอย่างไร? พวกเขาสามารถเล่าประสบการณ์ของตนด้วยวาจา แล้วให้คนที่มีการศึกษาสูงกว่าช่วยบันทึกประสบการณ์ของพวกเขา จากนั้นก็แสดงออกมาอย่างถูกต้องตามความหมายที่แท้จริงของบุคคลนั้น แล้วตรวจแก้ให้เป็นบทความคำพยานที่ได้มาตรฐาน บทความเช่นนั้นก็ใช้ได้เช่นกัน ในการเริ่มต้นงานนี้ ก่อนอื่นให้สามัคคีธรรมว่าบทความคำพยานคืออะไรและมีรูปแบบอย่างไร จากนั้น ให้กำหนดข้อกำหนดและการจัดการเตรียมการที่เจาะจงสำหรับผู้คนที่มีระดับการศึกษาต่างกัน กลุ่มอายุต่างกัน และผู้ที่มีประสบการณ์และวุฒิภาวะต่างกัน ให้ผู้ที่มีประสบการณ์ได้เขียนบทความบางส่วนออกมาก่อน ขณะเดียวกัน ก็ให้คัดเลือกบุคคลในคริสตจักรที่เหมาะสมสำหรับงานให้คำชี้แนะแก่พี่น้องชายหญิงในการเขียนบทความ และผู้ที่เหมาะสมสำหรับงานตรวจแก้และพิสูจน์อักษรบทความมาปฏิบัติงานที่เจาะจงเหล่านี้ นี่ถือเป็นการจัดการเตรียมการเบื้องต้นสำหรับงานนี้ แล้วการจัดการเตรียมการเช่นนี้หมายความว่างานได้ดำเนินการอย่างสมบูรณ์แล้วและเจ้าสามารถปล่อยปละละเลยได้หรือไม่? ไม่ใช่ นี่เป็นเพียงการให้แนวทาง ความช่วยเหลือ และแผนการดำเนินการที่เจาะจงตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานเท่านั้น แล้วผู้นำและคนทำงานควรทำอะไรต่อไป? เจ้าควรจะกำกับดูแลการทำงาน การกำกับดูแลนี้ควรมีเป้าหมายหรือไม่? การกำกับดูแลไม่ใช่การสุ่มตรวจ แต่ต้องมีเป้าหมายหลัก เจ้าต้องเข้าใจอย่างชัดเจนว่าใครที่ต้องได้รับการกำกับดูแลและขั้นตอนการทำงานใดที่ต้องการการกำกับดูแล ตัวอย่างเช่น หากพี่น้องหญิงคนหนึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรที่ปกติแล้วทำงานไม่จริงจัง ชอบอวดอ้าง ตั้งเป้าสูงแต่ไร้ความสามารถ อีกทั้งยังมักจะหลอกลวงเบื้องบนและปิดบังผู้ใต้บังคับบัญชา พูดจาไพเราะเป็นพิเศษ แต่กลับทำงานอย่างสุกเอาเผากิน ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เธอจะต้องได้รับการกำกับดูแลในงานของเธอ เจ้าไม่สามารถไว้วางใจเธอได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นขั้นตอนแรกคือการตรวจสอบงานของเธอเพื่อดูว่าการดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานของเธอเป็นอย่างไร นี่เป็นการกำกับดูแลผู้คนตามอำเภอใจหรือไม่? (ไม่) นี่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับงาน เพราะงานนี้สำคัญอย่างยิ่งและผู้ที่ปฏิบัติงานประเภทนี้ต้องเป็นคนที่น่าไว้วางใจ หากพวกเขาไม่ปฏิบัติงานที่เจาะจงและไม่น่าไว้วางใจ การไว้วางใจพวกเขาอย่างมืดบอดก็จะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า และเจ้าก็จะละเลยความรับผิดชอบของตนด้วย สำหรับคนเช่นนี้ เจ้าไม่สามารถหวั่นไหวไปกับคำพูดที่ไพเราะของพวกเขาหรือความมุ่งมั่นที่พวกเขาแสดงออกอย่างแข็งขันได้ เพราะในความเป็นจริงพวกเขาเพียงแค่พูดเก่งแต่เบื้องหลังแล้วไม่ได้ทำอะไรที่เป็นรูปธรรม คนเช่นนี้แหละคือเป้าหมายของการกำกับดูแลอย่างแท้จริง ผ่านการกำกับดูแล ให้สังเกตว่าพวกเขากลับใจแล้วหรือไม่ หากยังไม่ได้กลับใจ ก็ให้ปลดพวกเขาออกทันทีและหยุดเสียเวลาไปกับพวกเขา ในความเป็นจริง เจ้าควรปฏิบัติการติดตาม กำกับดูแล และให้แนวทางกับผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ สำหรับผู้ที่สามารถทำงานที่แท้จริงและมีความรับผิดชอบ หากเป็นงานที่พวกเขารู้วิธีทำอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีการกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม สำหรับงานใหม่หรืองานสำคัญ การติดตาม การกำกับดูแล และการให้แนวทางยังคงจำเป็นอยู่ อาจกล่าวได้ว่าการกำกับดูแลและติดตามงานเช่นนี้เป็นงานของผู้นำและคนทำงาน การติดตาม การกำกับดูแล และการให้แนวทางไม่ใช่เรื่องของการไม่ไว้วางใจ แต่เพื่อรับประกันความคืบหน้าที่ราบรื่นของงาน เพราะผู้คนมีข้อบกพร่องต่างๆ นานา และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามต่างๆ หากไม่ปฏิบัติด้วยวิธีนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับประกันว่างานจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผู้ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้มาทำงานยิ่งต้องการการติดตาม การกำกับดูแล และการให้แนวทางมากเป็นพิเศษ นี่เป็นงานที่เจาะจงที่ผู้นำและคนทำงานต้องปฏิบัติ หากเจ้าไม่ปฏิบัติการติดตาม การกำกับดูแล และการให้แนวทาง งานหลายอย่างก็ไม่สามารถทำได้ดี และงานบางอย่างอาจถึงขั้นถูกทำพังหรือหยุดชะงักได้ นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำและคนทำงานที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงยิ่งต้องการการกำกับดูแลมากเป็นพิเศษ กับคนอื่น งานอาจดำเนินการได้อย่างค่อนข้างดี แต่กับคนเช่นนี้ ไม่แน่ใจว่าจะสามารถดำเนินการงานได้หรือไม่ หรือจะดำเนินการได้ดีเพียงใด และจะดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานหรือไม่นั้นยิ่งพูดยากขึ้นไปอีก คนเช่นนี้ไม่น่าไว้วางใจในงานของพวกเขามากนัก หากเจ้าไว้วางใจพวกเขาโดยไม่กำกับดูแลงานของพวกเขา โดยพื้นฐานแล้วนี่ก็คือการทำงานอย่างสุกเอาเผากินและไม่มีความรับผิดชอบต่องาน สำหรับคนเช่นนี้ เจ้าจำเป็นต้องติดตามและกำกับดูแล และเข้าไปมีส่วนร่วมในงานของคริสตจักรของพวกเขา หากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้เจ้ามาหรือไม่ต้อนรับเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าอาจพูดว่า “ฉันก็จะกล้ำกลืนความทะนงตนแล้วไปอยู่ดี” คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) ที่นั่นไม่ใช่เขตแดนส่วนตัวของพวกเขา แต่เป็นคริสตจักร และอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของเจ้า เจ้าไม่ได้ไปอาศัยบ้านของพวกเขาเพื่อกินฟรีอยู่ฟรี แต่เจ้ากำลังไปที่คริสตจักรเพื่อทำงาน นี่ไม่ใช่เรื่องของการกล้ำกลืนความทะนงตน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้นำ แต่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ไม่ใช่ของพวกเขา เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความรับผิดชอบและไม่จงรักภักดีในงานของพวกเขาต่างหาก เจ้าจึงจำเป็นต้องติดตามและกำกับดูแลงานของพวกเขา ดังนั้น เมื่อเจ้าไปที่นั่น เจ้าควรทำอะไร? ก่อนอื่น ให้ถามพวกเขาว่าใครในคริสตจักรที่มีประสบการณ์ชีวิตและสามารถเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ได้ ใครที่ให้ความสำคัญกับการไล่ตามเสาะหาความจริงค่อนข้างมาก ใครที่ให้ความสำคัญกับการเขียนบันทึกประจำวันและบันทึกการเฝ้าเดี่ยวฝ่ายวิญญาณค่อนข้างมาก ใครที่เน้นการแบ่งปันประสบการณ์ของตนในการชุมนุม และใครที่มีคำพยานจากประสบการณ์มากที่สุด ให้พวกเขาชี้ตัวคนเหล่านี้ออกมาก่อน หากพวกเขาเสนอชื่อพี่น้องชายหญิงหลายคน โดยบอกว่าคนเหล่านี้คือผู้ที่ให้ความสำคัญกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าค่อนข้างมาก มีความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ มักจะเขียนบันทึกการเฝ้าเดี่ยวฝ่ายวิญญาณ เน้นการปฏิบัติความจริงเมื่อเผชิญสถานการณ์ และมักจะแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ที่ผู้อื่นเต็มใจรับฟัง เช่นนั้นแล้วเจ้าควรพบปะกับพี่น้องชายหญิงเหล่านี้และสามัคคีธรรมกับพวกเขา นอกจากนี้ ในคริสตจักรย่อมมีบางคนที่มีระดับการศึกษาต่ำและไม่สามารถเขียนบทความได้แต่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง คนเหล่านี้ต้องการคำชี้แนะและการฝึกฝน และเจ้าสามารถให้ผู้ที่รู้วิธีเขียนบทความช่วยพวกเขาเป็นระยะเวลาหนึ่งได้ ขณะเดียวกัน ให้เลือกคนหนึ่งคนมารับผิดชอบในการดำเนินการงานที่เจาะจงของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ บุคคลนี้จะรับผิดชอบในการรวบรวม ตรวจแก้ ทบทวน แล้วจึงส่งบทความที่เสร็จสมบูรณ์ แล้วผู้นำคริสตจักรควรทำอะไร? ก็ให้พวกเขากำกับดูแลและติดตามงานเหล่านี้ บางคนอาจพูดว่า “ในเมื่อมีผู้นำคริสตจักรอยู่แล้ว ทำไมเราต้องเลือกคนมารับผิดชอบอีก? นั่นไม่ซ้ำซ้อนหรือ?” ซ้ำซ้อนหรือไม่? (ไม่) ทำไมล่ะ? ก็เพราะว่าผู้นำคริสตจักรคนนี้ไม่ได้ทำงานที่แท้จริงและไม่น่าไว้วางใจเกินไปต่างหาก เจ้าจึงต้องเลือกอีกคนหนึ่งมารับผิดชอบงานนี้โดยเฉพาะ หากผู้นำคริสตจักรน่าไว้วางใจ พวกเขาก็จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมั่นคงหลังจากได้รับการจัดการเตรียมงาน และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกำกับดูแลพวกเขาเช่นนี้ การเลือกคนมารับผิดชอบไม่ใช่เพื่อลดบทบาทของผู้นำคริสตจักร แต่เพื่อบรรลุผลลัพธ์ของงานที่ดีขึ้น หากเจ้าไม่เลือกบุคคลนี้ งานอาจล้มเหลว และจะเสร็จสิ้นเมื่อใดหรือจะเกิดผลเมื่อใดก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนไป
จุดประสงค์ของผู้นำและคนทำงานในการมีส่วนร่วมในงานของคริสตจักรคือเพื่อนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่เพียงแต่พวกเขาควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยเหลือและนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ดำเนินงานทั้งหมดของคริสตจักรตามมาตรฐานที่การจัดแจงเตรียมงานกำหนดไว้อีกด้วย มีเพียงผู้นำและคนทำงานที่ทำเช่นนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ได้มีส่วนร่วมในงานอย่างเจาะจง และไม่ได้กำกับดูแลผู้นำและคนทำงานที่ไม่ได้ทำงานจริงแล้วไซร้ ผลของภารกิจคริสตจักรเหล่านี้ก็อาจจะสูญเปล่า เพราะถูกผู้นำเทียมเท็จทำลายไป หากเจ้ารู้สถานการณ์ของคริสตจักรแห่งหนึ่งอย่างชัดเจน และรู้แก่ใจว่าผู้นำของคริสตจักรนี้ไม่มีความรับผิดชอบ แต่เจ้ากลับไม่ได้ติดตามและให้การกำกับอย่างทันท่วงที นี่คือการละเลยความรับผิดชอบมิใช่หรือ? สำหรับงานประเภทนี้ หากเจ้าได้ติดตามและมีส่วนร่วมอย่างเจาะจง ทั้งยังจัดเตรียมผู้ดูแลและผู้คนที่จะทำงานแล้ว เจ้าจะสามารถจากไปทันทีได้หรือไม่? (ไม่) ทางที่ดีที่สุดคือติดตามต่อไปอีกระยะหนึ่ง ในระหว่างการติดตามนั้น ด้านหนึ่งเจ้าสามารถกระตุ้นและชี้แนะผู้นำคริสตจักรให้ร่วมมือกับภารกิจนี้อย่างกระตือรือร้น และอีกด้านหนึ่งเจ้าก็สามารถมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์การทำงานของผู้คนที่เจ้าได้จัดแจงไว้ ทั้งยังสามารถให้การแก้ไขและช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีสำหรับปัญหาใดๆ ที่พวกเขาเผชิญได้ตลอดเวลา หากเจ้าจากไปเร็วเกินไป แล้วค่อยกลับมาจัดการและแก้ไขปัญหาเมื่อมันเกิดขึ้น นั่นย่อมจะทำให้งานล่าช้า โดยสรุป สำหรับงานที่เจาะจงนี้ นอกเหนือจากการมีส่วนร่วมในการจัดแจงบุคลากรและผู้ดูแลแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือควรติดตามต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อดูว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างระหว่างการทำงานของพวกเขา ทั้งนี้ก็เพื่อกำกับดูแลว่าผู้นำคริสตจักรได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือไม่ ควบคู่ไปกับการดูว่าบุคลากรปฏิบัติงานเป็นอย่างไร เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่เคยทำงานนี้มาก่อนและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก็ยังไม่เป็นที่ทราบ เจ้าจึงจะค้นพบประเด็นที่ไม่ทราบมาก่อนบางอย่างอย่างต่อเนื่องขณะที่มีส่วนร่วมในงานนี้ แน่นอนว่า เป็นการดีที่สุดที่จะให้แนวทางแก้ไขอย่างทันท่วงทีด้วย การอยู่ประจำที่ การกำกับดูแล และการติดตามเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด อย่าเพียงแค่ทำไปอย่างสุกเอาเผากินลวกๆ แล้วก็เลิกรากันไป นี่คืองานที่ทำเพื่อสถานการณ์พิเศษ ซึ่งเป็นการให้ความช่วยเหลือและคำชี้แนะบางอย่าง หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว จงติดตามงานของพวกเขาต่อไปอีกระยะหนึ่ง เจ้าจะเห็นว่ามีบทความบางส่วนเขียนเสร็จแล้ว และมีบทความหลายประเภทที่ครอบคลุมหัวข้อและประเด็นที่แตกต่างกัน มีทั้งเรื่องประสบการณ์การข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประสบการณ์การข่มเหงจากครอบครัว เรื่องที่ว่าผู้คนเข้าใจอุปนิสัยที่เสื่อมทรามซึ่งตนเผยออกมาได้อย่างไร หรือเรื่องวิธีแก้ไขสภาวะเสื่อมทรามต่างๆ ที่ผู้คนแสดงออกขณะปฏิบัติหน้าที่ และอื่นๆ อีกมากมาย บทความคำพยานจากประสบการณ์เหล่านี้ทั้งหมดจะต้องได้รับการทบทวนเพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างสมบูรณ์และทำให้ผู้คนเจริญใจอย่างแท้จริงก่อนที่จะได้รับการอนุมัติและนำไปทำเป็นวีดิทัศน์ เมื่องานดำเนินมาถึงระดับนี้ เจ้าก็จะเห็นผลแล้ว นี่พิสูจน์ให้เห็นในเบื้องต้นว่า บุคลากรและผู้ดูแลที่เจ้าจัดเตรียมไว้สำหรับงานนี้ค่อนข้างเหมาะสม ลำดับถัดไป หากพวกเขาสามารถทำงานนี้ให้สำเร็จได้ด้วยตนเองแล้ว ก็เป็นการเหมาะสมที่เจ้าจะถอนตัวออกมา ผู้นำและคนทำงานที่ทำงานในลักษณะนี้ได้รับการเจริญใจด้วยหรือไม่? นี่ให้ผลตอบแทนมากกว่าการเอาแต่พูดเรื่องทฤษฎีลมๆ แล้งๆ ไปวันๆ และเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่? (ใช่) งานประเภทนี้ให้ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ เพราะเจ้าได้เรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ทั้งความเข้าใจในความจริงของเจ้าก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ระดับของคำพูดและคำสอน แต่กลับนำความจริงไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงมากขึ้น ด้วยวิธีนี้ ผู้คนจะได้รับประสบการณ์ในเชิงปฏิบัติ และความเข้าใจในความจริงของพวกเขาก็จะกลายเป็นรูปธรรมและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น
หลังจากที่งานนำร่องของคริสตจักรแห่งหนึ่งได้รับการชี้แนะมาถึงขั้นนี้และบรรลุผลในเบื้องต้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานควรทำงานอะไรต่อไป? งานของเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อโครงการนำร่องเสร็จสิ้นแล้วหรือ? ยังมีงานให้เจ้าทำอีกหรือไม่? ยังมีงานอีกมากมายนัก! หลังจากที่งานของคริสตจักรนี้ได้รับการชี้แนะแล้ว จงดูว่างานของคริสตจักรอื่นใดที่ต้องการการชี้แนะเป็นพิเศษ จากนั้นก็จงไปที่คริสตจักรนั้นและให้การชี้แนะต่อไป เนื่องจากเจ้ามีประสบการณ์การทำงานอยู่บ้างแล้วและได้จับหลักธรรมความจริงบางอย่างได้แล้ว การให้การชี้แนะอีกครั้งก็จะง่ายขึ้นมาก แน่นอนว่า ตามขั้นตอนการทำงานที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ เจ้าควรตรวจสอบก่อนว่าบุคลากรที่เลือกมานั้นได้มาตรฐานหรือไม่ พวกเขาเหมาะสมกับงานนี้หรือไม่ ตลอดจนขีดความสามารถ ความเป็นมนุษย์ ระดับการศึกษา ระดับการไล่ตามเสาะหาความจริง ท่าทีต่อหน้าที่ของตน และความเข้าใจในความจริง และแง่มุมอื่นๆ ของพวกเขานั้นค่อนข้างจะใกล้เคียงอุดมคติหรือไม่ และพวกเขาเป็นบุคคลที่ค่อนข้างจะชั้นยอดหรือไม่ ผ่านช่วงเวลาของการกำกับดูแลและตรวจสอบงาน เจ้าจะมีโอกาสค้นพบว่าผู้นำและคนทำงานหรือผู้ดูแลบางคนไม่ได้มาตรฐาน ตัวอย่างเช่น บางคนมีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถทำงานได้ คนอื่นๆ มีความเข้าใจที่บิดเบือน มีมุมมองที่ไม่ถูกต้อง ขาดความคิดที่เป็นปกติ และไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ พวกเขาสามารถพิสูจน์อักษรบทความได้โดยอาศัยความรู้ทางวิชาการของตนเท่านั้น แต่กลับขาดความเข้าใจในเรื่องความเหมาะสมของศัพท์เฉพาะทางฝ่ายวิญญาณและความเหมาะสมของการอ้างอิงพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามองไม่ทะลุสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเลือกพวกเขามานั้นไม่เหมาะสมและควรได้รับการเปลี่ยนตัวโดยทันที ในขณะเดียวกัน คนอื่นๆ ก็ถูกเลือกให้เป็นผู้ดูแล และแม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำงานบางอย่างได้ แต่ผลลัพธ์จะดีกว่าเมื่อพวกเขาเขียนบทความด้วยตนเอง เมื่อถูกขอให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล พวกเขาก็ไม่มีเวลาเขียนเมื่อยุ่งกับงาน และพวกเขาก็ทำงานของผู้ดูแลได้ไม่ดีนัก พวกเขาไม่ถนัดในการให้การชี้แนะ ตรวจสอบงาน หรือแก้ไขปัญหา แต่กลับถนัดในการปฏิบัติภารกิจที่เจาะจงเพียงอย่างเดียวมากกว่า ดังนั้น การเลือกบุคคลเช่นนี้มาเป็นผู้ดูแลจึงไม่เหมาะสม และควรเลือกผู้เหมาะสมคนอื่นแทน เพราะฉะนั้น เมื่อผู้นำและคนทำงานกำลังตรวจสอบและติดตามภารกิจที่เจาะจง ก็ไม่เพียงพอที่จะแค่ถามคำถามและสอบถามเพื่อดูว่าผู้ดูแลเข้าใจหลักธรรมหรือไม่ เจ้ายังต้องสังเกตด้วยว่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นเป็นอย่างไร และขีดความสามารถ ความสามารถในการจับใจความ และวุฒิภาวะของพวกเขานั้นเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่นี้หรือไม่ หากการตรวจสอบเผยให้เห็นบุคลากรที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนอย่างทันท่วงที นี่คือสิ่งที่การตรวจสอบงานครอบคลุมถึง
ในการดำเนินงานเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์นั้น ผู้นำและคนทำงานนอกเหนือจากการตรวจสอบว่าผู้ดูแลงานนี้เหมาะสมหรือไม่แล้ว ก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะตรวจสอบบทความและให้การกำกับรวมถึงคัดกรองงานเขียนบทความอยู่บ้าง บทความที่เขียนอย่างเจาะจงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงสามารถใช้เป็นตัวอย่างได้ ส่วนบทความที่เขียนอย่างกลวงเปล่าและไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ปราศจากคุณค่าและไม่ทำให้ผู้คนเจริญใจ ก็ควรถูกคัดออกไปโดยตรง ด้วยวิธีนี้ พี่น้องชายหญิงก็จะรู้ว่าบทความประเภทใดมีคุณค่าและประเภทใดไม่มีคุณค่า และในอนาคตพวกเขาก็จะไม่เขียนบทความที่ไม่มีคุณค่าอีกต่อไป อันเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียพลังงานและเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยวิธีนี้ งานของเจ้าก็จะมีคุณค่า เมื่อเจ้าไปตรวจสอบงาน เจ้าจำเป็นต้องตรวจสอบบทความคำพยานจากประสบการณ์ทุกประเภทที่พวกเขาเขียนขึ้นเพื่อดูว่ามีการปลอมปนหรือความเท็จผสมอยู่หรือไม่ และบทความนั้นทำให้เจริญใจหรือไม่ เจ้าจำเป็นต้องคัดกรองสิ่งเหล่านี้ก่อน เมื่อเจ้ากำลังคัดกรองอยู่ เจ้าก็ได้เรียนรู้ไปด้วยมิใช่หรือ? (ใช่) ขณะที่เจ้าเรียนรู้ เจ้าก็จะทำงานนี้ได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป สมมติว่าเจ้าไม่ได้ตรวจสอบ ไม่ได้ใส่ใจอย่างจริงจัง และไม่มีความรับผิดชอบ เพียงแต่ทำไปอย่างสุกเอาเผากิน มุ่งแต่จะทำงานให้เสร็จแล้วก็รายงานต่อเบื้องบนว่าเสร็จสิ้นแล้ว โดยคิดว่า “อย่างไรก็ตาม คริสตจักรของพวกเรามีคนมากมายที่สามารถเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ได้ หลังจากที่พวกเขาเขียนเสร็จแล้ว ฉันก็จะส่งทั้งหมดไป ใครจะสนว่ามันได้มาตรฐานหรือไม่? ตราบใดที่ผู้นำระดับสูงรู้ว่าฉันทำงานไปมาก ดำเนินการตามการจัดแจงเตรียมงาน และไม่ว่างอยู่ตลอดเวลา นั่นก็เพียงพอแล้ว!” นี่เป็นท่าทีที่รับผิดชอบหรือไม่? (ไม่) นี่คือการไม่มีความรับผิดชอบ หากเจ้ารับผิดชอบ เจ้าก็ต้องคัดกรองสิ่งต่างๆ ในส่วนของเจ้าก่อน บทความใดๆ ที่ส่งผ่านเจ้าไปจะต้องได้มาตรฐาน ใครก็ตามที่อ่านก็ควรจะบอกว่ามันทำให้เจริญใจและเต็มใจที่จะอ่าน มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน การตรวจสอบงานไม่ใช่การทำไปอย่างสุกเอาเผากิน การตะโกนคำขวัญ การเทศนาคำสอน หรือการบรรยายสั่งสอนผู้คนตามอำเภอใจ แต่เป็นการตรวจสอบประสิทธิภาพและผลของงาน ตรวจสอบว่างานที่เจ้าทำนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ บรรลุผลของการดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงานหรือไม่ สอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้าหรือไม่ ส่วนใดได้มาตรฐานและส่วนใดไม่ได้มาตรฐาน—เหล่านี้คือสิ่งที่ต้องตรวจสอบ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการทำงานที่เจาะจง และเกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของผู้คน ว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ เข้าใจความจริงมากน้อยเพียงใด มีความเป็นจริงความจริงมากน้อยเพียงใด และความสามารถในการมองสิ่งต่างๆ ของพวกเขา หากเจ้ารู้วิธีตรวจสอบงาน และขณะที่ตรวจสอบงานเจ้าสามารถค้นพบปัญหา จับประเด็นสำคัญของปัญหา ฉวยแก่นแท้ของปัญหา และแก้ไขปัญหาได้ และก่อนที่จะส่งบทความคำพยานจากประสบการณ์ เจ้าก็ได้คัดกรองบทความเหล่านั้นตามหลักธรรม รับประกันว่าบทความที่เจ้าส่งนั้นทั้งหมดได้มาตรฐานและทำให้ผู้ที่อ่านเจริญใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ได้มาตรฐานในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน และเจ้าก็ได้ทำงานของเจ้าอย่างถูกควรแล้ว
คนส่วนใหญ่สามารถทำงานให้การชี้แนะ กำกับดูแล และกระตุ้นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและคัดกรอง นั่นคือการทดสอบขีดความสามารถของผู้นำและคนทำงานและว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ บางคนสามารถให้การชี้แนะ กำกับดูแลงาน และตัดแต่งหรือปลดและจัดการกับบุคลากรที่ไม่เหมาะสมได้ แต่พวกเขาไม่รู้วิธีประเมินประสิทธิภาพและผลของงานที่พวกเขาจัดเตรียมไว้ ว่ามันสอดคล้องกับการจัดแจงเตรียมงานหรือไม่ และจะแก้ไขอย่างไรหากไม่สอดคล้อง ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่สามารถทำได้อย่างมากที่สุดก็คือให้การชี้แนะ กำกับดูแล และกระตุ้น แต่เมื่อเป็นเรื่องของการตรวจสอบงาน พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไม่มีหลักธรรม และมืดแปดด้าน พวกเขาคิดว่า “การจัดแจงเตรียมงานได้ถูกดำเนินการไปแล้ว แล้วจะมีอะไรให้ตรวจสอบอีก? ทุกคนกำลังทำงาน ไม่มีใครว่างงาน คนที่ก่อการขัดขวางและการก่อกวนก็ถูกจัดการไปแล้ว และคนที่จำเป็นต้องถูกปลดหรือชำระออกไปก็ถูกจัดการตามนั้นแล้ว ยังมีอะไรให้ตรวจสอบอีก?” พวกเขาเพียงแค่ไม่รู้เรื่องรู้ราว การตรวจสอบงานจำเป็นต้องมีการคัดกรอง การคัดกรองหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าจำเป็นต้องสรุปผล ตัวอย่างเช่น ผู้ดูแลงานเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์นำบทความหนึ่งมาให้เจ้า โดยบอกว่าสำนวนการเขียนค่อนข้างดี ภาษาลื่นไหล ทั้งสำนวนภาษาและหัวข้อของบทความก็ดี อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกว่ามันดูเหมือนจะขาดเนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและไม่สามารถทำให้ผู้คนเจริญใจได้ จำเป็นต้องเสริมและปรับปรุง แต่พวกเขาเองก็มองไม่ทะลุเรื่องนี้ จึงขอให้เจ้าช่วยดู การที่พวกเขาขอให้เจ้าช่วยดูนั้นหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขาต้องการให้เจ้าคัดกรองมัน เจ้าจะคัดกรองมันอย่างไรและเจ้าจะคัดกรองมันได้ดีหรือไม่นั้นเป็นการทดสอบวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า วุฒิภาวะที่แท้จริงหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าเข้าใจหลักธรรมความจริงหรือไม่ หากผู้ดูแลไม่เข้าใจหลักธรรมของการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ ไม่สามารถประเมินได้ว่าบทความนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นของจริงหรือไม่ และไม่รู้วิธีตัดสิน และเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่สามารถตัดสินหรือตัดสินใจได้ นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือขีดความสามารถของเจ้าก็พอๆ กับของพวกเขา และเจ้าไม่สามารถคัดกรองบทความได้ นี่ไม่ใช่กรณีเช่นนั้นหรือ? ความจริงที่เจ้าเข้าใจก็พอๆ กับของพวกเขา และเจ้ามองไม่ทะลุปัญหาที่พวกเขามองไม่ทะลุ—นี่บ่งชี้ถึงปัญหา หากเจ้าสามารถมองทะลุปัญหาที่พวกเขามองไม่ทะลุได้ และเจ้าสามารถค้นพบปัญหาผ่านการตรวจสอบที่พวกเขาทำไม่ได้ นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าสามารถคัดกรองบทความได้ ตัวอย่างเช่น พวกเขามองว่าบทความส่วนใหญ่ได้มาตรฐานและไม่มีประเด็นสำคัญอะไร แต่ผ่านการตรวจสอบและคัดกรองของเจ้า เจ้ากลับพบว่ามีส่วนเล็กๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน เจ้าอธิบายปัญหาในบทความเหล่านี้ผ่านการชำแหละและสามัคคีธรรม ทุกคนก็เห็นพ้องว่าประเด็นของเจ้านั้นสมเหตุสมผล สอดคล้องกับหลักธรรม และไม่ใช่การจับผิด แต่เป็นประเด็นปัญหาจริงๆ และควรได้รับการแก้ไข บทความบางบทความกลวงเปล่าและขาดความเข้าใจจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง บางบทความมีความเข้าใจจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแต่แสดงออกได้ไม่เป็นรูปธรรมเพียงพอ บางบทความอ้างอิงพระวจนะของพระเจ้าอย่างไม่เหมาะสม ไม่ได้เลือกข้อความจากพระวจนะของพระเจ้าที่เหมาะสมกว่า ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ด้อยลง บางบทความมีมุมมองที่ไม่ถูกต้อง มีความเข้าใจที่บิดเบือนและขาดการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเข้าใจในความจริง ทำให้ผู้อ่านไม่ได้รับการเจริญใจและง่ายที่จะทำให้พวกเขาเกิดความคิดลบและความเข้าใจผิด และอื่นๆ เจ้าสามารถตรวจจับและมองทะลุประเด็นเหล่านี้ทั้งหมดได้ ผ่านการสามัคคีธรรมของเจ้า เจ้าช่วยให้พวกเขาจับหลักธรรมได้ ทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์สามารถเขียนคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงได้ เจ้าเลือกบทความเหล่านั้นที่ทำให้เจริญใจและมีคุณค่าต่อผู้คนมาเป็นคำพยานจากประสบการณ์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อที่ว่าเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอ่านแล้ว พวกเขาก็จะได้รับการเจริญใจ ในขณะเดียวกัน บทความเหล่านั้นที่ขาดความเข้าใจจากประสบการณ์ที่แท้จริงหรือมีความเข้าใจที่บิดเบือนก็จะถูกคัดออกไป หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าก็ได้ทำการคัดกรองแล้วมิใช่หรือ? หากเจ้ามีความสามารถในการรับรู้เรื่องราวและทำงานเช่นนี้ ขีดความสามารถของเจ้าก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ? เจ้ากำลังลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานอยู่มิใช่หรือ? (ใช่) หากพวกเขาคิดว่าบทความส่วนใหญ่ยอมรับได้และนำมาให้เจ้าคัดกรอง และเจ้าก็คิดว่าส่วนใหญ่ดีเช่นกัน ทั้งที่จริงๆ แล้วบางบทความมีปัญหาและต้องการการคัดเลือก การบรรณาธิกร และการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม แต่เจ้ามองไม่ทะลุ—เมื่อเจ้าส่งบทความเหล่านั้นให้เบื้องบน และเบื้องบนพบว่าบางบทความไม่ได้มาตรฐานและคัดออกไป—นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าคัดกรองได้ไม่ดีหรอกหรือ? ด้านหนึ่ง การตรวจสอบงานเป็นการทดสอบขีดความสามารถของผู้นำและคนทำงาน และอีกด้านหนึ่ง เป็นการทดสอบระดับความเข้าใจในความจริงของพวกเขา บางคนไม่สามารถคัดกรองได้เพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำ จึงเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำแบบนั้น พวกเขาไม่เข้าใจความจริงในด้านนี้ และพวกเขามองไม่ทะลุปัญหา การตรวจสอบของพวกเขาเป็นเพียงการทำไปอย่างสุกเอาเผากิน ไม่รู้ว่าจะตรวจสอบอะไร บางคนมีขีดความสามารถเพียงพอ แต่เพราะความเข้าใจในความจริงของพวกเขาตื้นเขิน พวกเขาจึงมองเห็นปัญหาได้แต่ไม่รู้วิธีแก้ไข ผู้คนเหล่านี้ยังมีช่องว่างให้ปรับปรุงได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นปัญหาได้ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะก้าวหน้าได้
ในการดำเนินงานเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์นั้นมีขั้นตอนสำคัญคือการตรวจสอบ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าผู้นำและคนทำงานมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ นอกจากการตรวจสอบผู้นำและคนทำงานที่มีขีดความสามารถค่อนข้างต่ำและค่อนข้างขาดทักษะแล้ว เจ้าก็ควรสอบถามและทำความเข้าใจผู้ที่มีขีดความสามารถปานกลางด้วย หากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม เจ้าสามารถส่งคนไปสอบถามและทำความเข้าใจสถานการณ์ และจดบันทึกอย่างละเอียด หากสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย เป็นการดีที่สุดที่จะไปพบปะกับผู้ดูแลงานนี้เป็นการส่วนตัว สอบถาม ไต่ถาม และทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เจาะจงของงานนี้ และดูว่างานดำเนินไปได้ดีเพียงใด โดยสรุป เมื่อการจัดแจงเตรียมงานสำหรับเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ได้ประกาศออกไปแล้ว ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำเสร็จสิ้นได้ในหนึ่งหรือสองเดือน นี่ไม่ใช่ภารกิจชั่วคราว แต่เป็นงานระยะยาว ผู้นำและคนทำงานไม่ควรเพียงแค่ให้การชี้แนะ กำกับดูแล กระตุ้น และตรวจสอบภายในหนึ่งหรือสองเดือนแรกหลังจากที่การจัดแจงเตรียมงานได้ประกาศออกไปแล้วและถือว่าเสร็จสิ้น แต่พวกเขาต้องติดตามงานนี้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว สำหรับผู้นำคริสตจักรที่ขาดทักษะมากกว่า พวกเขาจำเป็นต้องไปให้การชี้แนะเป็นการส่วนตัว สำหรับผู้นำคริสตจักรที่สามารถดำเนินการตามการจัดแจงเตรียมงานได้อย่างอิสระ พวกเขาก็ควรปฏิบัติการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอเพื่อทำความเข้าใจความคืบหน้าของงานและแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่แน่นอนเกี่ยวกับการทำงานของผู้นำและคนทำงานคือพวกเขาไม่เคยมีเวลาว่าง ผู้นำและคนทำงานบางคนมักจะคิดว่า “การจัดแจงเตรียมงานได้ประกาศออกไปแล้ว และฉันก็ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีดำเนินการแล้ว ฉันทำงานของฉันเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำอีก ดังนั้นฉันจะทำงานบ้านที่เหมาะสมบางอย่าง เช่น ช่วยทำอาหารและต้อนรับ หรือซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันที่พี่น้องชายหญิงขาดแคลน” พวกเขากลายเป็นคนว่างงานหลังจากประกาศการจัดแจงเตรียมงานออกไปและรู้สึกว่าพวกเขาทำงานเสร็จแล้วและไม่มีอะไรต้องทำอีก นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รู้วิธีทำงานหรือรับผิดชอบภารกิจที่เจาะจง ในความเป็นจริง เมื่อการจัดแจงเตรียมงานต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้าได้ประกาศออกไปแล้ว ตราบใดที่เบื้องบนยังไม่ได้สั่งให้หยุด งานก็ต้องดำเนินต่อไปและไม่สามารถหยุดกลางคันได้ ตัวอย่างเช่น งานเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์—เบื้องบนได้สั่งให้หยุดงานนี้แล้วหรือ? มีการแจ้งให้ทราบว่าให้หยุดงานนี้แล้วหรือยัง? (ยัง) ถ้าเช่นนั้น ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินงานนี้อย่างไร? อย่าทำตัวเป็นไฟไหม้ฟาง เมื่อการจัดแจงเตรียมงานประกาศออกไปครั้งแรก เจ้าจะกระตือรือร้นอย่างมาก มีความกระตือรือร้น และกระหายที่จะดำเนินงานนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง หากเบื้องบนไม่ได้กระตุ้น ไม่ได้ออกคำสั่งใหม่ หรือไม่ได้ให้คำสั่งเพิ่มเติมสำหรับการจัดแจงเตรียมงานนี้ เจ้าอาจคิดว่าเนื่องจากเบื้องบนไม่ได้จัดแจงเตรียมงานอะไรใหม่ เจ้าก็สามารถเพิกเฉยต่องานนี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นี่คือการละเลยความรับผิดชอบ ไม่ว่างานนี้จะดำเนินการมานานเท่าใด และไม่ว่าเบื้องบนจะได้สอบถาม กระตุ้น หรือเน้นย้ำงานนี้ในช่วงเวลานั้นหรือไม่ ตราบใดที่งานนี้ได้มอบหมายให้เจ้าแล้ว เจ้าก็ควรแบกรับมันไว้และทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง ดำเนินการให้ดี คำว่า “อย่างต่อเนื่อง” หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าตราบใดที่เบื้องบนยังไม่ได้สั่งให้หยุด ผู้นำและคนทำงานก็ต้องให้การชี้แนะ กำกับดูแล กระตุ้น ตรวจสอบ และติดตามงานนี้อย่างไม่ขาดสายและต่อเนื่อง เว้นแต่เจ้าจะลงจากตำแหน่งหรือถูกปลด ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในตำแหน่ง งานนี้ก็เป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำในฐานะผู้นำหรือคนทำงานให้ดี และยังเป็นภารกิจที่เจ้าต้องดำเนินการและติดตามอย่างต่อเนื่องอีกด้วย ควรปฏิบัติสิ่งนี้อย่างไร? ทุกครั้งที่เจ้าไปเยี่ยมคริสตจักร เจ้าต้องถามผู้นำท้องถิ่นและผู้ดูแลงานนี้ว่า “ช่วงนี้บทความคำพยานเป็นอย่างไรบ้าง? มีบทความคำพยานที่ดีและค่อนข้างกินใจบ้างไหม? มีบทความที่มีประสบการณ์พิเศษบ้างไหม?” หากพวกเขาบอกว่ามี เจ้าก็ควรดูบทความเหล่านี้ หากบทความเหล่านั้นมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและทำให้ผู้คนเจริญใจอย่างแท้จริง ก็ควรส่งไปโดยเร็ว ทุกครั้งที่เจ้าไปเยี่ยมคริสตจักร เจ้าต้องถามถึงเรื่องนี้ก่อน นี่เป็นภารกิจที่เจาะจงที่เจ้าต้องดำเนินการ เป็นภาระหน้าที่ที่เจ้าไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้—นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า ไม่ว่าเบื้องบนจะกระตุ้นหรือสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ ภารกิจนี้ก็รวมอยู่ในสิ่งที่เจ้าต้องทำ หากพี่น้องชายหญิงยุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่และไม่มีเวลาเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ เจ้าก็ต้องกระตุ้นพวกเขา โดยกล่าวว่า “การเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ที่ดีมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และยังเป็นหน้าที่ที่สำคัญอีกด้วย” อย่างไรก็ตาม ผู้นำบางคนกล่าวว่า “พี่น้องชายหญิงรู้สึกว่าพวกเขาได้เขียนประสบการณ์ทั้งหมดของตนแล้วและไม่มีอะไรจะเขียนอีก” คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่? ในความเป็นจริง ประสบการณ์ที่มีรายละเอียดมากมายผู้คนไม่ได้สังเกตและถูกมองข้ามไป ต่อเมื่อพวกเขาได้อ่านคำพยานจากประสบการณ์ที่ผู้อื่นเขียนขึ้น พวกเขาจึงนึกขึ้นได้ว่าตนเองก็มีประสบการณ์ที่คล้ายกัน ดังนั้น การเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์จึงต้องอาศัยการคิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มีความเข้าใจจากประสบการณ์มากมายที่ควรค่าแก่การเขียนถึง การไม่มีเวลาเขียนเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นหรือไม่? นี่เป็นหน้าที่ที่ผู้คนควรทำ ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งแค่ไหน พวกเขาก็ควรสละเวลามาเขียน หากพวกเขาไม่รู้วิธีเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ ก็ควรบอกเล่าให้คนอื่นช่วยตรวจแก้ ซึ่งจะทำให้เกิดบทความที่ดีขึ้นมา ด้วยวิธีนี้ ผ่านการกระตุ้นและการกำกับของเจ้า บทความคำพยานจากประสบการณ์ที่ดีอีกบทความหนึ่งก็ได้ถูกเขียนขึ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าบทความนี้สามารถทำให้ผู้คนเจริญใจได้กี่คน? มีกี่คนที่สามารถได้รับความช่วยเหลือและประโยชน์จากมัน? หากเจ้าไม่ได้กำกับดูแลและให้การกำกับ และผู้นำคริสตจักรท้องถิ่นก็ไม่มีภาระในใจเช่นกัน โดยคิดว่าพี่น้องชายหญิงได้เขียนคำพยานจากประสบการณ์ทั้งหมดของตนแล้วและไม่มีบทความให้เขียนอีกแล้ว เช่นนั้นแล้วบทความคำพยานจากประสบการณ์ที่ดีนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น บางครั้งเมื่อเจ้าไปเยี่ยมคริสตจักร พี่น้องชายหญิงบางคนก็สนทนากับเจ้าและพูดว่า “ฉันทนทุกข์กับความยากลำบากทุกประเภทในชีวิตของฉัน หลังจากเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ถูกข่มเหงอย่างมากเช่นกัน ทุกย่างก้าว พระเจ้าทรงนำฉันมาตลอด ฉันได้เห็นกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า และตระหนักว่าทุกสิ่งถูกลิขิตโดยพระเจ้าและพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งอย่างแท้จริง—นี่เป็นความจริงอย่างที่สุด!” หลังจากที่พวกเขาเล่าประสบการณ์ของตนให้เจ้าฟัง เจ้าก็ถามว่าพวกเขาได้เขียนมันลงเป็นบทความหรือไม่ และพวกเขาก็พูดว่า “ไม่ ฉันมีการศึกษาต่ำและเขียนไม่เป็น นอกจากนี้ คนอื่นๆ ก็บอกว่าประสบการณ์นี้ไม่มีคุณค่า” “ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะไม่มีคุณค่าได้อย่างไร?” เจ้าบอกพวกเขา “หลังจากแต่ละย่างก้าวของประสบการณ์ของคุณ คุณก็รู้สึกอย่างลึกซึ้งถึงอธิปไตยของพระเจ้า การทรงนำของพระเจ้า และการลิขิตของพระเจ้า จะมีประสบการณ์ใดที่มีคุณค่ามากกว่านี้อีก? ประสบการณ์เช่นนี้ควรถูกเขียนลงและไม่ควรพลาด” จากนั้นเจ้าก็รีบจัดให้พี่น้องชายหญิงที่มีการศึกษาสูงกว่าช่วยพวกเขาตรวจแก้มัน ภายในสามวัน บทความคำพยานที่ดีและยอดเยี่ยมก็ได้ถูกเขียนขึ้นและจากนั้นก็ถูกนำไปทำเป็นวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ ทุกคนที่ดูต่างก็พูดว่า “ประสบการณ์ของตัวเอกนั้นสุดยอดมาก! ดูแล้วทำให้เจริญใจอย่างยิ่ง! มันแสดงให้เห็นอย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง—มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ! ตอนนี้สิ่งนี้ได้รับการยืนยันในระดับที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม และความเชื่อของเราในพระเจ้าก็ได้เพิ่มขึ้น” คนอื่นๆ ก็พูดว่า “บทความคำพยานจากประสบการณ์นี้เขียนได้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากและกินใจมาก มันจะดียิ่งกว่านี้ถ้าถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์!” พี่น้องชายหญิงหลายคนต่างตั้งตารอคอยอย่างกระตือรือร้นที่จะให้มันถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โดยเร็ว ดังนั้น เพราะผู้นำและคนทำงานปฏิบัติต่องานของคริสตจักรด้วยความรับผิดชอบและความจงรักภักดี การสนทนาสบายๆ จึงสามารถนำไปสู่บทความที่ดีและเนื้อหาที่ดีสำหรับภาพยนตร์ได้ นี่คือคำพยานที่ดีที่สุดและหัวข้อที่ดีที่สุดสำหรับการเป็นพยานถึงอธิปไตยและการลิขิตของพระเจ้า เรื่องราวเช่นนี้สามารถเพิ่มพูนความเชื่อของผู้คนมากมายและทำให้ผู้คนมากมายเจริญใจได้เช่นกัน! เจ้าคิดอย่างไรกับการที่ผู้นำและคนทำงานทำงานในลักษณะนี้? พวกเขาไม่ได้ยึดติดกับพิธีรีตองใดๆ ในการทำงานของตน ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด พวกเขาก็ถามคำถาม ไต่ถาม และมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง ผสานตนเองเข้ากับพวกเขโดยไม่วางท่า พวกเขาไม่เพียงแต่มีภาระในใจเท่านั้น แต่ยังมีความรู้สึกรับผิดชอบอย่างแรงกล้าอีกด้วย โดยการทำเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาก็บรรลุผลตามธรรมชาติ สิ่งนี้จะไม่เป็นที่จดจำโดยพระเจ้าหรอกหรือ? เหล่านี้คือกิจการอันดีงาม มิใช่หรือ? จงบอกเราทีว่า การทำงานเล็กน้อยนี้ลำบากหรือไม่? มันต้องทนทุกข์หรือไม่? มันต้องปีนภูเขาดาบหรือกระโจนลงทะเลเพลิงหรือไม่? ไม่ มันไม่ยาก มันเพียงแค่ต้องใส่หัวใจของเจ้าลงไป เมื่อมีงานนี้อยู่ในใจของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด เจ้าก็ถามคำถามและไต่ถามว่า “งานคืบหน้าไปอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้มีบทความคำพยานที่ดีบ้างไหม? สำหรับพี่น้องชายหญิงที่มีประสบการณ์แต่ยังไม่ได้เขียนบทความ พวกเจ้ารู้วิธีชี้แนะให้พวกเขาเล่าประสบการณ์ของตนหรือไม่? พวกเจ้ารู้วิธีช่วยให้พวกเขาแสดงออกและชี้แนะให้พวกเขาเขียนมันออกมาหรือไม่?” ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด เจ้าก็ต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ ทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ และพูดคำที่เกี่ยวข้องกับงานนี้ การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้ทำให้งานของผู้นำและคนทำงานมีเนื้อหาสาระมากขึ้นหรอกหรือ? จะมีสถานการณ์ที่เจ้าว่างงานและไม่มีงานทำได้หรือไม่? (ไม่) ผู้นำและคนทำงานที่ทำงานในลักษณะนี้จะเหนื่อยหรือตายเพราะความเหนื่อยล้าได้หรือไม่? (ไม่) พวกเขาจะไม่เหนื่อยหรือตายเพราะความเหนื่อยล้า งานจะมีผล และมันจะเป็นที่จดจำโดยพระเจ้า หากเจ้าทำงานในลักษณะนี้ หลายคนจะได้รับการเจริญใจ และพี่น้องชายหญิงจะรู้สึกว่าการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์นั้นมีคุณค่าและมีความหมาย ก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าประสบการณ์ของตนไม่มีคุณค่า แต่ผ่านการชี้แนะของเจ้า พวกเขาก็เข้าใจวิธีเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ สิ่งนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาอีกด้วย มีเพียงเมื่อเจ้าทำงานในลักษณะนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน
จากการสามัคคีธรรมว่าผู้นำและคนทำงานควรตรวจสอบงานอย่างไร พวกเจ้าได้เรียนรู้วิธีตรวจสอบงานแล้วใช่หรือไม่? การตรวจสอบงานไม่ใช่การหาข้อผิดพลาดหรือการจับผิดเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นการดูว่างานนั้นได้ทำไปอย่างไรแล้ว มีการจัดการเตรียมงานแล้วหรือยัง มีใครรับผิดชอบงานนั้นอยู่หรือไม่ งานคืบหน้าไปอย่างไร ความคืบหน้าเป็นเช่นใด ราบรื่นดีหรือไม่ งานนั้นทำตามหลักธรรมหรือไม่ บังเกิดผลหรือไม่ และอื่นๆ ขณะเดียวกัน พวกเจ้าก็จำเป็นต้องสังเกต ทบทวน และประเมินประสิทธิผลของงาน และจากนั้นจึงค้นหาหนทางที่ดีกว่าและเหมาะสมกว่าในการดำเนินงาน สำหรับการจัดการเตรียมงานหนึ่งๆ เช่น การจัดแจงให้เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ ตราบใดที่เบื้องบนยังไม่ได้สั่งให้หยุด งานนี้ก็จำเป็นต้องได้รับการติดตามและดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และนี่เป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากบางคนรู้สึกว่ามีคำพยานจากประสบการณ์มากพอแล้ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถอ่านได้ทั้งหมด จะหยุดทำงานนี้ได้หรือไม่? หยุดไม่ได้ ยิ่งมีคำพยานจากประสบการณ์มากเท่าไรก็ยิ่งดี ยิ่งมีคำพยานจากประสบการณ์มากเท่าไรก็จะยิ่งอุดมสมบูรณ์มากขึ้นเท่านั้น—นี่คือสิ่งที่ช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้มากที่สุด หลังจากที่ได้อ่านคำพยานจากประสบการณ์เหล่านี้แล้ว ผู้เชื่อใหม่บางคนก็จะรู้วิธีมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า หลังจากผ่านประสบการณ์ไปช่วงเวลาหนึ่งและได้รับผลลัพธ์แล้ว พวกเขาก็จะสามารถเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ได้โดยธรรมชาติ บางคนที่มีประสบการณ์ตื้นเขินก็สามารถได้รับความเจริญใจจากการอ่านคำพยานจากประสบการณ์ที่ค่อนข้างลึกซึ้งเหล่านั้นได้เช่นกัน และพวกเขาก็สามารถบรรลุประสบการณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและเขียนบทความคำพยานที่ดียิ่งขึ้นได้ คำพยานเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้คนในศาสนาและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นงานเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์จึงไม่สามารถหยุดได้เลย ผู้นำและคนทำงานต้องติดตามงานนี้อย่างต่อเนื่อง และไม่ควรหยุดงานนี้ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างใดๆ นี่เป็นงานที่สำคัญอย่างหนึ่งในคริสตจักร ผู้นำและคนทำงานควรเป็นผู้นำในการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ การปฏิบัตินี้เผยให้เห็นได้ดีที่สุดว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ หากพวกเขาไม่สามารถเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ได้ พวกเขาก็ไม่ได้มาตรฐานในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน และไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ พวกเขาควรถูกปลดและกำจัดออกไป หลังจากที่ทำงานนี้ได้ดีแล้ว ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องไปเยี่ยมคริสตจักรต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อสอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของงาน พวกเขาสามารถตั้งคำถามและเรียนรู้เกี่ยวกับงานได้ว่า “พี่น้องชายหญิงหลายคนในคริสตจักรของพวกคุณที่ค่อนข้างจริงจังในการแสวงหาล้วนมีประสบการณ์อยู่บ้าง—พวกเขาสามารถเขียนบทความคำพยานได้บ้างไหม?” พวกเขาควรถามผู้ที่เพิ่งยอมรับหนทางที่แท้จริงด้วยว่าพวกเขาตรวจสอบและมายอมรับได้อย่างไร และพวกเขาสามารถเขียนความประทับใจของตนเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้หรือไม่ ผู้นำและคนทำงานไม่เพียงแต่จำเป็นต้องสอบถาม เรียนรู้ ติดตาม และดำเนินการงานนี้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่พวกเขายังจำเป็นต้องตรวจสอบด้วยว่าการดำเนินงานเป็นไปได้ดีเพียงใด “ในช่วงเวลานี้ พวกคุณได้จัดแจงให้ผู้คนทำงานนี้หรือไม่? มีการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ไปกี่บทความแล้ว? มีกี่บทความที่ได้มาตรฐาน? สัดส่วนของบทความที่ได้มาตรฐานเป็นเท่าใด?” ผู้ดูแลตอบว่า “หลังจากสามัคคีธรรมครั้งที่แล้ว มีการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ในคริสตจักรของพวกเราแล้วบางส่วน และมีการส่งบทความที่ได้มาตรฐานบางบทความแล้ว พวกเราได้ทำงานนี้มาอย่างต่อเนื่อง” เช่นนี้ก็ดีแล้ว นี่หมายความว่าเจ้าได้ทำงานนี้อย่างถูกควรแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่คริสตจักรสามารถผลิตบทความคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงขึ้นมาได้นั้น มีความสัมพันธ์โดยตรงกับบทบาทของผู้นำและคนทำงานหรือไม่? ในแง่หนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงงานในแง่มุมนี้อย่างต่อเนื่อง ในอีกแง่หนึ่ง เจ้าจำเป็นต้องนำโดยการเป็นแบบอย่าง สอบถามเกี่ยวกับงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีส่วนร่วมและติดตามงานนั้นอีกด้วย หลังจากติดตามงานอยู่ช่วงหนึ่งแล้วและออกจากคริสตจักรนี้ไป เจ้าก็ควรกลับมาในภายหลังเพื่อตรวจสอบการดำเนินงานนี้ นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำมิใช่หรือ? นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน
สำหรับทุกการจัดการเตรียมงานที่ออกมาจากพระนิเวศของพระเจ้า ผู้นำและคนทำงานต้องปฏิบัติต่อการจัดการเตรียมงานนั้นอย่างจริงจังและดำเนินงานอย่างจริงจัง เจ้าควรใช้การจัดการเตรียมงานมาเปรียบเทียบและตรวจสอบงานทั้งหมดที่เจ้าได้ทำไปอยู่บ่อยๆ เจ้าควรตรวจสอบและคิดทบทวนด้วยว่าในช่วงเวลานี้มีงานใดบ้างที่เจ้าทำได้ไม่ดีหรือดำเนินงานอย่างไม่ถูกควร ส่วนงานที่ได้รับมอบหมายและพึงต้องทำตามการจัดแจงเตรียมงาน แต่กลับถูกละเลย เจ้าก็ควรเร่งชดเชยให้และไถ่ถามข้อมูลโดยเร็ว หากเจ้ายุ่งอยู่กับงานเฉพาะเจาะจงงานหนึ่งและปลีกตัวไม่ได้ เจ้าก็สามารถมอบหมายให้ผู้อื่นไปตรวจสอบและติดตามงานที่ยังทำได้ไม่ดีได้ อย่าเพียงแค่ออกคำสั่งและคิดว่างานนั้นเสร็จสิ้นหลังจากที่ได้มอบหมายและจัดการเตรียมงานไปแล้ว จากนั้นก็แค่ยืนดูอยู่เฉยๆ ในฐานะผู้นำ เจ้าต้องรับผิดชอบงานทั้งหมด ไม่ใช่แค่งานเดียว หากเจ้าเห็นว่างานใดงานหนึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษ เจ้าสามารถกำกับดูแลงานนั้นได้ แต่เจ้าก็จำเป็นต้องหาเวลาไปตรวจสอบ กำกับ และติดตามงานอื่นๆ ด้วย หากเจ้าพอใจเพียงแค่การทำงานหนึ่งให้ดีแล้วก็ถือว่าสิ้นสุด และมอบหมายงานอื่นๆ ให้คนอื่นโดยไม่ใส่ใจหรือสอบถาม นี่คือพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบและเป็นการละเลยหน้าที่รับผิดชอบ หากเจ้าเป็นผู้นำ ไม่ว่าเจ้าจะรับผิดชอบงานมากเพียงใด นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้าที่จะตั้งคำถามและสอบถามเกี่ยวกับงานเหล่านั้นอยู่เสมอ ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยทันที นี่คืองานของเจ้า ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำภูมิภาค ผู้นำเขต ผู้นำคริสตจักร หรือผู้นำทีมหรือผู้ดูแลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม เมื่อเจ้ารู้ขอบเขตความรับผิดชอบของตนแล้ว เจ้าก็ต้องตรวจสอบอยู่บ่อยๆ ว่าเจ้ากำลังทำงานที่แท้จริงอยู่หรือไม่ เจ้าได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำหรือคนทำงานควรลุล่วงแล้วหรือยัง ตลอดจนมีงานใดบ้าง—ในบรรดางานต่างๆ นานาที่เจ้าได้รับมอบหมาย—ที่เจ้ายังไม่ได้ทำ งานใดที่เจ้าไม่อยากทำ งานใดได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี และงานใดที่เจ้ายังจับความเข้าใจหลักธรรมไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าควรตรวจสอบอยู่บ่อยๆ ขณะเดียวกัน เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะสามัคคีธรรมและตั้งคำถามกับผู้อื่น และต้องเรียนรู้วิธีที่จะระบุแผนการ หลักธรรม และเส้นทางสำหรับการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าและการจัดการเตรียมงาน สำหรับการจัดการเตรียมงานใดก็ตาม ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการบริหาร บุคลากร หรือชีวิตคริสตจักร หรือมิฉะนั้นก็งานวิชาชีพประเภทใดก็ตาม หากเกี่ยวข้องกับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน นั่นย่อมเป็นความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานจะต้องลุล่วง และอยู่ภายในขอบเขตที่ผู้นำและคนทำงานต้องรับผิดชอบ—เหล่านี้คืองานที่เจ้าควรใส่ใจ โดยธรรมชาติแล้ว ควรมีการจัดลำดับความสำคัญตามสถานการณ์ ไม่มีงานใดพึงถูกละเลย ผู้นำและคนทำงานบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ได้มีสามหัวหกแขน มีการจัดการเตรียมงานตั้งหลายอย่าง จะให้ฉันรับผิดชอบทั้งหมด ฉันจัดการไม่ไหวแน่นอน” หากมีบางงานที่เจ้าไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วยตัวเอง แล้วเจ้าได้จัดแจงให้คนอื่นไปทำหรือยัง? หลังจากจัดการเตรียมงานแล้ว เจ้าได้ติดตามและสอบถามหรือไม่? เจ้าได้ตรวจสอบงานของพวกเขาหรือไม่? แน่นอนว่าเจ้ามีเวลาสอบถามและดำเนินการตรวจสอบมิใช่หรือ? เจ้ามีเวลาแน่นอน! ผู้นำและคนทำงานบางคนกล่าวว่า “ฉันทำงานได้ทีละงานเท่านั้น ถ้าจะให้ฉันดำเนินการตรวจสอบ ฉันก็ตรวจสอบได้แค่ทีละงาน ฉันทำมากเกินกว่านั้นไม่ได้หรอก” หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ไร้ค่า ขีดความสามารถของเจ้าต่ำมาก เจ้าไม่มีความสามารถในการทำงาน เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และเจ้าควรจะลงจากตำแหน่งเสีย จงทำแต่งานที่เหมาะกับเจ้าเถิด—อย่าทำให้งานของคริสตจักรและการเติบโตในชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องล่าช้าเพราะขีดความสามารถของเจ้าต่ำเกินกว่าจะทำงานได้ หากเจ้าขาดสำนึกข้อนี้ เจ้าก็เป็นคนเห็นแก่ตัวและเลวทราม หากเจ้ามีขีดความสามารถธรรมดาแต่สามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ เจ้าเต็มใจที่จะฝึกฝน และเจ้ารู้สึกไม่แน่ใจว่าจะทำงานได้ดีหรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็ควรหาคนที่มีขีดความสามารถดีๆ สักสองสามคนมาร่วมมือกับเจ้าในการทำงาน นี่เป็นแนวทางที่ดี และนับว่ามีเหตุผล หากขีดความสามารถของเจ้าต่ำเกินไปและเจ้าไม่สามารถแบกรับงานนี้ได้อย่างแท้จริง แต่ยังคงปรารถนาที่จะดำรงตำแหน่งนี้และสุขสำราญกับผลประโยชน์ในตำแหน่งนี้ต่อไป เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเลวทราม ผู้นำและคนทำงานต้องมีมโนธรรมและสำนึก—นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากไม่มีความเป็นมนุษย์แม้เพียงเท่านี้ พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้อย่างเด็ดขาด และต่อให้พวกเขาจะทำงานอยู่บ้าง พวกเขาก็จะเป็นผู้นำเทียมเท็จที่จะนำมาแต่ความเสียหายแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและเป็นอันตรายต่องานของคริสตจักรเท่านั้น ผู้นำและคนทำงานควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาต้องไม่เผด็จการและจัดการงานทุกอย่างด้วยตัวเอง จนลงเอยด้วยการทำให้งานออกมาไม่ดีสักอย่างและทำให้งานของคริสตจักร ตลอดจนการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล่าช้าไปหมดโดยเด็ดขนาด นั่นจะไม่ใช่การกระทำผิดอันใหญ่หลวงหรอกหรือ? ดังนั้น ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำเกินไปจึงไม่สามารถเป็นผู้นำและคนทำงานได้อย่างเด็ดขาด ผู้ที่ขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าและผู้ที่ไม่สามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ยิ่งไม่สามารถเป็นผู้นำและคนทำงานได้ พวกเขาไม่สามารถรับผิดชอบงานใดๆ ได้ ในฐานะผู้นำและคนทำงาน การรู้จักตนเองเป็นสิ่งสำคัญ หากเจ้าไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้แต่ยังคงต้องการที่จะจัดการงานทุกอย่างด้วยตนเอง และรักที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง นี่แหละคือนิยามที่แท้จริงของผู้นำเทียมเท็จ และเจ้าควรถูกปลดและถูกกำจัดออกไป
หลังจากสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงเกี่ยวกับการจัดแจงเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว ตอนนี้พวกเจ้ามีแนวทางว่าผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติต่อและนำการจัดแจงเตรียมงานเหล่านั้นไปดำเนินงานอย่างไรแล้วหรือไม่? (มี) มีอุปสรรคใดๆ หรือไม่? ในบรรดางานต่างๆ ที่ระบุไว้ในหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันไปนั้น บางคนอาจจะมุ่งเน้นเพียงแค่ด้านเดียวหรือสองด้าน ในขณะที่คนอื่นๆ อาจจะไม่สามารถทำให้สำเร็จลงได้แม้แต่ด้านเดียวหรือสองด้าน สำหรับผู้นำและคนทำงานที่สามารถมุ่งเน้นงานได้หนึ่งหรือสองด้าน หากพวกเขามีขีดความสามารถเพียงพอและสามารถเรียนรู้ที่จะติดตามงานในด้านอื่นๆ ได้ด้วย เช่นนั้นแล้วโดยพื้นฐานพวกเขาก็ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ดี หากพวกเขาทำได้แค่ในระดับของการเทศนาคำสอนและจัดการชุมนุมแต่ไม่สามารถทำงานที่เจาะจงได้ และเมื่อถูกขอให้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบและติดตามงานที่เจาะจง พวกเขาก็เกิดความกังวล ไม่มีแผนการ ขั้นตอน หรือเส้นทางที่จะปฏิบัติตาม ไม่รู้ว่าจะทำอะไร นี่บ่งชี้ว่าพวกเขามีขีดความสามารถต่ำ ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำสามารถดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงานได้หรือไม่? (ไม่ได้) ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ไม่ได้มาตรฐาน พวกเจ้าควรจัดการกับผู้นำและคนทำงานเช่นนี้อย่างไร? จงบอกเขาว่า “มีการกำหนดการจัดแจงเตรียมงานออกมาแล้ว และพวกเราก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าต้องปฏิบัติงานใดและยึดตามหลักธรรมใด แต่คุณกลับไม่รู้ว่าจะทำอะไรและไม่มีเส้นทางที่จะปฏิบัติตาม แต่คุณก็ยังกล้าที่จะสามัคคีธรรมและเทศนาให้พวกเราฟังอีก คุณควรลงจากตำแหน่งทันที! คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน คุณไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบนี้ได้ รีบส่งมอบงานนี้ให้คนที่มีความสามารถทำซะ! หยุดตะโกนคำขวัญที่นี่ได้แล้ว ไม่มีใครอยากฟัง!” นี่เป็นวิธีจัดการที่เหมาะสมหรือไม่? (เหมาะสม) ถ้าเจ้าทำงานไม่ได้ แล้วจะตะโกนคำขวัญอย่างมืดบอดไปเพื่ออะไร! ทุกคนอ่านคำที่เขียนไว้ในการจัดแจงเตรียมงานออก ทุกคนสามารถพูดคำสอนได้—มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าลงมือทำจริงๆ อย่างไรต่างหาก ถ้าเจ้าทำไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน ไม่มีงานใดที่ง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ทุกงานล้วนต้องการให้ผู้นำและคนทำงานคิดหาแผนการดำเนินงานที่เจาะจงภายไต้ขอบเขตของหลักธรรมตามสถานการณ์เฉพาะเรื่อง ขณะเดียวกัน พวกเขาต้องรู้วิธีที่จะกำกับดูแล ตรวจสอบ และติดตามจนกว่างานจะดำเนินไปอย่างถูกควร เป็นไปตามข้อกำหนดของการจัดแจงเตรียมงานอย่างครบถ้วน บังเกิดผลและให้ผลลัพธ์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงได้มาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงาน
ท่าทีและการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จเกี่ยวกับการจัดแจงเตรียมงาน
พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปว่าหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานคืออะไรเมื่อเป็นเรื่องของการจัดแจงเตรียมงาน ลำดับถัดไป พวกเราจะสามัคคีธรรมว่าผู้นำเทียมเท็จมีการสำแดงอะไรบ้าง ในบรรดาผู้นำเทียมเท็จที่พวกเจ้าเคยพบเจอ ท่าทีของพวกเขาต่อการจัดแจงเตรียมงานเป็นอย่างไร? พวกเขาแสดงการกระทำและการสำแดงอะไรออกมาบ้าง? โดยปกติแล้วผู้นำเทียมเท็จจะเข้าใจจากสิ่งที่เขียนไว้ในการจัดแจงเตรียมงานว่าควรทำอะไร เบื้องบนเจาะจงกำหนดอะไรมาบ้าง และเจาะจงโครงการงานใดมาบ้าง แต่พวกเขาเข้าใจในแง่ของคำสอนเท่านั้น พวกเขายังคงไม่เข้าใจหรือไม่รับรู้อย่างถ่องแท้ถึงหลักธรรม มาตรฐาน และเส้นทางการปฏิบัติที่เจาะจงใดๆ สำหรับการดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงานเหล่านั้น หลังจากที่ได้รับการจัดแจงเตรียมงานแล้ว พวกเขาก็ทำพอเป็นพิธีเช่นกัน ด้วยการสามัคคีธรรมถึงวิธีทำงานและวิธีประกาศและดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมเหล่านั้น อย่างไรก็ดี ไม่ว่าพวกเขาจะสามัคคีธรรมมากเพียงใด ก็เป็นเพียงความเข้าใจตามตัวอักษรและตามคำสอนของการจัดแจงเตรียมงานเหล่านั้นเท่านั้น ส่วนเรื่องที่จะดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงานอย่างเจาะจงได้อย่างไรและจะสามารถบรรลุผลลัพธ์อะไรได้บ้าง ตลอดจนการดำเนินงานจะมีประสิทธิผลเพียงใดหากพวกเขาเลือกคนบางคนมาทำงานหรือเลือกแผนการบางอย่างมาดำเนินงาน หรือว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายและผลลัพธ์ที่การจัดแจงเตรียมงานกำหนดไว้ได้หรือไม่ พวกเขาไม่รู้และไม่ชัดเจนเกี่ยวกับแง่มุมเหล่านี้ เมื่อผู้นำเทียมเท็จดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงาน โดยปกติแล้วพวกเขาจะเพียงแค่จัดการชุมนุมเพื่อเทศนาถ้อยคำและคำสอนบางอย่าง มอบหมายงาน กล่าวถึงข้อกำหนดของพระเจ้าสองสามข้อ แล้วก็ให้ทุกคนแสดงความตั้งใจของตน พวกเขาถือว่านี่คือการทำงานของตนแล้ว พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาได้มอบหมายงาน แต่งตั้งคนรับผิดชอบ และกล่าวถึงผลลัพธ์ที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดแล้ว พวกเขาก็ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้ว จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกสบายใจอย่างเต็มที่ ราวกับว่างานเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยว่าควรจะตรวจสอบงานเมื่อใด ปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้างที่อาจเกิดขึ้นในงาน และปัญหาใดที่คนข้างล่างสามารถแก้ไขได้และแก้ไขไม่ได้ พวกเขายังไม่รู้อีกด้วยว่างานสำคัญใดที่ต้องติดตามและให้การชี้แนะ ตัวอย่างเช่น ขั้นตอนสำคัญๆ อย่างการกำกับดูแล การกระตุ้นเตือน และการตรวจสอบไม่เคยอยู่ในความคิดของผู้นำเทียมเท็จเลย ผู้นำเทียมเท็จที่ดีขึ้นมาหน่อย ซึ่งค่อนข้างจะมีมโนธรรมอยู่บ้างและไม่ต้องการกินอยู่เปล่าๆ เชื่อว่าพวกเขาควรทำงานบ้าง พวกเขาจะไปเยี่ยมคริสตจักรและถามพี่น้องชายหญิงว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ มีคนบอกพวกเขาว่า “พวกเราพี่น้องชายหญิงมักจะมีเรื่องขัดแย้งกันเวลาอยู่ด้วยกัน พอความเห็นไม่ตรงกัน พวกเราก็เถียงกันไม่หยุดและเผยความหัวร้อนออกมา” ผู้นำเทียมเท็จคนนี้กล่าวว่า “เรื่องนี้แก้ไขง่าย” แล้วก็จัดชุมนุม ซึ่งพวกเขาสามัคคีธรรมว่า “ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะข่มใจและอดทนอดกลั้น ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะถ่อมใจ ไม่โอหัง และเรียนรู้การนบนอบ นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า ใครก็ตามที่เผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามควรทบทวนตนเองและยอมรับการตัดแต่ง ไม่ดำเนินชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน” หลังจากที่พวกเขาสามัคคีธรรมคำสอนทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็กล่าวว่า “พวกคุณไปจัดการปัญหาที่เหลือกันเองได้เลย เรื่องทางเทคนิคฉันไม่ค่อยเชี่ยวชาญเท่าไร อย่างไรก็ตาม ฉันก็ได้จัดชุมนุมนี้ให้พวกคุณแล้ว พวกคุณก็ทำงานไปตามที่เห็นสมควรนะ สิ่งสำคัญคือต้องจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนและไม่ยึดติดกับความคิดของตนเอง” หลังจากที่ฟังแล้ว ผู้คนก็ไตร่ตรองและกล่าวว่า “ปัญหาของพวกเราไม่ใช่แค่การเผยความเสื่อมทราม ความหัวร้อน และความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องที่พวกเราไม่แน่ใจและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคบางอย่างและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้สอดคล้องกับหลักธรรม ปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไขเลย!” ผู้นำเทียมเท็จตอบว่า “จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น เมื่ออุปนิสัยที่เสื่อมทรามที่พวกคุณเผยออกมาได้รับการแก้ไขแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะได้รับการแก้ไขไปด้วย” งานที่ผู้นำเทียมเท็จถนัดที่สุดคือการพล่ามคำสอนและตะโกนคำขวัญ พวกเขาไม่คาดคิดถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นบ่อยๆ ในงาน เมื่อมีคนหยิบยกประเด็นขึ้นมา พวกเขามีทางแก้เพียงทางเดียวคือ อธิบายด้วยคำพูดและคำสอนบางอย่าง จากนั้นก็ให้คำตักเตือนหรือคำแนะนำเล็กน้อย แล้วก็ถือว่าจบสิ้น พวกเขาไม่สามารถคิดแผนการที่เจาะจงใดๆ ออกมาได้และไม่สามารถให้การชี้แนะและความช่วยเหลือที่ถูกต้องได้ งานของผู้นำเทียมเท็จนั้นเรียบง่ายและสะดวกดายมิใช่หรือ? ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน พวกเขาก็แค่เทศนา โดยมุ่งเน้นที่การพูดคำสอนและตะโกนคำขวัญเป็นหลัก สถานการณ์เช่นนี้พบได้บ่อยในหมู่ผู้นำและคนทำงานมิใช่หรือ? พวกเขาไม่สามารถดำเนินงานที่เจาะจงได้และไม่รู้ว่าจะปฏิบัติ ดำเนินงาน หรือติดตามการจัดแจงเตรียมงานที่ประกาศออกมาอย่างไร พวกเขาไม่รู้ว่าหน้าที่รับผิดชอบในงานของตนคืออะไรหรือควรปฏิบัติงานใด เมื่อถูกขอให้ทำงานที่เจาะจง พวกเขาก็แค่ตะโกนคำขวัญ เมื่อมีคนหยิบยกประเด็นขึ้นมา พวกเขาก็ถือเป็นโอกาสที่จะเริ่มเทศนา หากมีการหยิบยกประเด็นสำคัญที่พวกเขาแก้ไขไม่ได้ขึ้นมา พวกเขาก็ใช้วิธีตัดแต่งและตำหนิผู้คน พวกเขาไม่มีทางแก้ปัญหาอื่นใดและไม่สามารถแก้ไขปัญหาและความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นในงานได้เลย นี่คือลักษณะเด่นประการหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จ ยังมีผู้นำเทียมเท็จที่ถูกขอให้ดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงานและตรวจสอบว่ามีอุปสรรคใดเกิดขึ้นขณะปฏิบัติงาน—หากพวกเขาสามารถแก้ไขอุปสรรคได้ ก็ควรทำโดยทันที หากไม่สามารถทำได้ ก็สามารถรวบรวมคำถามบางส่วนและแสวงหาจากเบื้องบนได้ และเบื้องบนจะแก้ไขให้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อพวกเขาไปที่หน้างานเพื่อมีส่วนร่วมในงานนี้ พวกเขากลับเรียกทุกคนมาชุมนุมกันทั้งวัน และนอกจากการค้นพบว่าใครขัดแย้งกับใคร ใครเถียงกับใครอยู่เสมอ ใครมีความเป็นมนุษย์ไม่ค่อยดี ใครมีความเข้าใจที่บิดเบือน ใครโอหังและยึดติดกับความคิดของตนเองอยู่เสมอ ใครตะกละและขี้เกียจ ใครคล้ายกับผู้ไม่เชื่อ และใครเป็นคนชั่วแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถระบุปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ ที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานได้เลย และมองไม่เห็นประเด็นเหล่านี้ด้วยซ้ำ พวกเจ้าคิดว่าผู้นำและคนทำงานเช่นนี้สามารถปฏิบัติงานของตนได้หรือไม่? (ไม่ได้) ปัญหาอยู่ที่ไหน? (ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาไม่มีความสามารถในการมีวิจารณญาณแยกแยะ และไม่สามารถระบุปัญหาได้) มีผู้นำเช่นนี้อยู่รอบตัวพวกเจ้ากี่คน? ผู้นำของพวกเจ้าสามารถระบุปัญหาได้หรือไม่? หากมีการประกาศการจัดแจงเตรียมงานออกมาและผู้นำและคนทำงานทำเพียงแค่ตะโกนคำขวัญและเทศนาโดยไม่มีแผนการหรือขั้นตอนที่เจาะจงใดๆ เพื่อดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงาน ไม่รู้ว่าจะทำงานอย่างไร เช่นนั้นแล้วงานก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ งานนั้นก็เท่ากับถูกทำให้เป็นโมฆะไปโดยสิ้นเชิง กุญแจสำคัญว่าการจัดแจงเตรียมงานจะดำเนินไปได้ดีเพียงใดในคริสตจักรและประสิทธิผลของมันนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำและคนทำงานสามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้หรือไม่ หากผู้นำและคนทำงานมีขีดความสามารถที่ดี มีความสามารถในการทำงาน และมีความจงรักภักดี เช่นนั้นแล้วการจัดแจงเตรียมงานก็จะดำเนินไปได้ด้วยดี หากผู้นำและคนทำงานมีขีดความสามารถต่ำ เลอะเลือน และขาดความสามารถในการทำงาน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าคริสตจักรจะมีคนที่มีความสามารถในด้านนั้นๆ หรือไม่ หรือพี่น้องชายหญิงจะเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตนมากเพียงใดก็ตาม การจัดแจงเตรียมงานก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ไม่ต้องพูดถึงการบรรลุผลลัพธ์ใดๆ เลย
งานของผู้นำเทียมเท็จจำกัดอยู่เพียงสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็นได้ภายนอก แม้ในยามที่พวกเขาดำเนินงานตามการจัดแจงเตรียมงาน ก็เป็นเพียงแค่พิธีรีตอง โดยไม่มีการติดตามหรือตรวจสอบใดๆ ในภายหลังทั้งสิ้น งานของพวกเขาอยู่ในระดับของการทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีพลังที่แท้จริงอยู่เบื้องหลังและไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ใดๆ ได้ ตัวอย่างเช่น กับงานเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ หลังจากที่ได้รับการจัดแจงเตรียมงานนี้แล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็เรียกผู้คนมาชุมนุมกันเพื่อสามัคคีธรรมและตอบคำถามต่างๆ ที่คนเหล่านั้นมีเกี่ยวกับการจัดแจงเตรียมงานที่พวกตนไม่เข้าใจ หลังจากที่พวกเขาเทศนาคำสอนเสร็จสิ้น และผู้คนดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็คิดว่า “งานได้ถูกมอบหมายไปแล้ว แล้วฉันควรจะทำอะไรดี? ในเมื่อพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้เขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ ฉันก็ต้องเขียนด้วย ถ้าฉันไม่เขียน ผู้คนจะไม่ดูแคลนฉันในฐานะผู้นำหรอกหรือ?” พวกเขาไตร่ตรองอยู่ที่บ้านว่าจะเขียนอะไรดีและหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน พวกเขาก็ยังไม่ได้เขียนอะไรเลย พวกเขาคิดว่า “การเขียนบทความนี่มันท้าทายทีเดียว ปกติแล้ว ฉันรู้สึกว่าฉันมีประสบการณ์ แต่ทำไมพอเริ่มเขียนประสบการณ์ถึงหายไปหมดเลยล่ะ? ประสบการณ์เหล่านั้นหายไปไหน? ไม่สิ ฉันมีประสบการณ์จริงๆ เพียงแต่วิธีการเขียนทำให้ฉันจนปัญญา ฉันออกไปข้างนอกและปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากเกินไป ซึ่งทำให้ฉันเสียสมาธิ ทำให้จดจ่อได้ยาก ฉันจะสามัคคีธรรมและหารือเรื่องงานกับผู้คนอยู่ตลอดเวลาไม่ได้ ไม่อย่างนั้น จิตใจของฉันก็จะวอกแวกอยู่เรื่อยไป และฉันก็จะเขียนบทความไม่ได้ ฉันต้องใช้เวลาเงียบๆ สักพักเพื่อคิดให้รอบคอบว่าจะเขียนอย่างไรให้ถูกควรเสียก่อนจึงจะเขียนได้” พวกเขาได้ทำให้การเขียนบทความเป็นงานหลักของตนและปฏิบัติต่องานที่ผู้นำหรือคนทำงานควรจะทำในฐานะงานรอง พวกเขาใช้เวลาทั้งวันเขียนบทความอยู่ที่บ้าน ไม่ใส่ใจการดำเนินงานนั้น และไม่เรียนรู้หรือทำความเข้าใจว่ามีคนกี่คนในคริสตจักรต่างๆ ที่สามารถเขียนบทความได้หรือว่ามีคนที่เหมาะสมที่จะกำกับและกลั่นกรองงานหรือไม่—พวกเขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย หนึ่งเดือนผ่านไป ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ได้เขียนบทความด้วยตนเองเท่านั้น แต่พวกเขายังไม่รู้ด้วยว่างานนี้คืบหน้าไปอย่างไรในคริสตจักร นี่เป็นปัญหาอะไร? หลังจากที่การจัดแจงเตรียมงานได้ประกาศออกมาแล้ว ผู้นำคริสตจักรบางคนที่มีขีดความสามารถต่ำก็ไม่รู้ว่าจะทำงานที่เป็นแก่นสารอย่างไร เช่นเดียวกับบุคคลผู้นี้ เขาเพียงแค่เทศนาถ้อยคำและคำสอนบางอย่างและตะโกนคำขวัญ แล้วก็จบสิ้น ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะเต็มใจเขียนหรือไม่ก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเขา ผู้นำไม่ได้กระตุ้นเตือนหรือชี้แนะพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ ไม่ต้องพูดถึงการแก้ไขพวกเขาเลย และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สนใจผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ พี่น้องชายหญิงบางคนเขียนบทความประเภทหนึ่ง และบางคนก็เขียนอีกประเภทหนึ่ง แต่ไม่มีใครกลั่นกรองว่าสิ่งที่พวกเขาเขียนนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ พี่น้องชายหญิงไม่เข้าใจหลักธรรมและไม่รู้ว่าจะถามใคร พวกเขาเพียงแค่เขียนเพราะถูกสั่งให้เขียน พวกเขานบนอบการจัดแจงเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า ยังมีบางคนที่มีประสบการณ์แต่ขาดการศึกษา คนเหล่านี้ไม่มีใครช่วยพวกเขาตรวจแก้บทความ และไม่มีใครจัดการเรื่องนี้ให้ ปัญหาสารพัดชนิดเกิดขึ้น แล้วผู้นำและคนทำงานอยู่ที่ไหน? พวกเขากำลังทำอะไรอยู่? พวกเขากำลัง “เก็บตัว” เขียนบทความอยู่! ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้ว่าพวกเขาควรจะยุ่งอยู่กับอะไรหรือควรจะปฏิบัติงานใด การจัดแจงเตรียมงานถูกดำเนินไปในคริสตจักรด้วยวิธีการที่หลากหลาย มีการใช้แนวทางที่แตกต่างกันไป และพวกเขาไม่ได้สอบถามเกี่ยวกับเรื่องใดเลย เมื่อพี่น้องชายหญิงประสบปัญหาต่างๆ ขณะทำหน้าที่ของตนและรายงานปัญหาเหล่านี้ให้พวกเขาทราบ พวกเขาก็ไม่แก้ไข ผลก็คือ ปัญหาและอุปสรรคมากมายกองสุมกันอยู่ และบทความคำพยานจากประสบการณ์สารพัดชนิดก็สะสมอยู่โดยไม่มีใครตรวจแก้ ทบทวน หรือกลั่นกรอง แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ได้ติดตามหรือตรวจสอบประเด็นเหล่านี้ และพี่น้องชายหญิงก็ไม่สามารถหาพวกเขาพบเมื่อมีปัญหา ผู้นำเทียมเท็จไม่ตระหนักว่างานนี้เป็นความรับผิดชอบของพวกเขาและพวกเขาควรจะติดตามงานนี้ พวกเขาเป็นขยะมิใช่หรือ? (ใช่)
วิธีที่ผู้นำหรือคนทำงานดำเนินงาน ตลอดจนประสิทธิภาพและผลลัพธ์ของงานของพวกเขา ทดสอบว่าพวกเขาได้มาตรฐานหรือไม่ นี่ยังทดสอบความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ขีดความสามารถและความสามารถในการทำงานของพวกเขา และว่าพวกเขามีสำนึกถึงภาระหรือไม่ เมื่อผู้นำเทียมเท็จได้รับการจัดแจงเตรียมงาน หลังจากที่พวกเขาสามัคคีธรรมการจัดแจงดังกล่าวแล้ว พวกเขาก็ถือว่างานนั้นเสร็จสิ้น พวกเขาไม่มีส่วนร่วม กำกับดูแล กระตุ้นเตือน หรือตรวจสอบการดำเนินงาน และไม่ได้ติดตามการดำเนินงานนั้นด้วย พวกเขาไม่เข้าใจว่างานเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ พวกเขาไม่เข้าใจว่างานเหล่านี้คือหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเขาเชื่อว่าการเป็นผู้นำหรือคนทำงานต้องการเพียงแค่ความสามารถในการเทศนาเท่านั้น พวกเขาเป็นคนโง่เง่ามิใช่หรือ? คนโง่เง่าสามารถเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐานได้หรือไม่? (ไม่ได้) พวกเขาไม่สามารถเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐานได้ แต่พวกเขากลับคิดว่าตนเองค่อนข้างดีและเชื่อว่าตนเองสามารถทำงานได้ พวกเขาไม่เต็มเต็งหรืออย่างไร? พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะดำเนินงานที่เรียบง่ายอย่างการเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ได้ นี่เป็นหนึ่งในงานที่ง่ายที่สุด—เพียงแค่ระดมพลผู้ที่มีขีดความสามารถที่ดีและมีประสบการณ์ชีวิตมาเขียนบทความคำพยาน แล้วก็ติดตามและให้การชี้นำ ผู้นำและคนทำงานบางคนมีขีดความสามารถปานกลางและมีระดับการศึกษาต่ำและไม่เก่งงานข้อเขียน แต่พวกเขาสามารถมอบหมายให้คนที่เหมาะสมมารับผิดชอบได้ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็ยังสามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้บ้าง หากพวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะมอบหมายให้คนประเภทใดมารับผิดชอบและดำเนินการกลั่นกรอง พวกเขาก็ไม่สามารถทำงานได้และเป็นผู้นำเทียมเท็จ บางคนกล่าวว่า “ผู้นำเทียมเท็จอาจจะไม่สามารถทำงานข้อเขียนได้เนื่องจากมีขีดความสามารถต่ำและมีการศึกษาน้อย แต่พวกเขาควรจะสามารถทำงานอื่นได้” คำกล่าวนี้ใช้ได้หรือไม่? (ไม่ได้) ทำไมจึงใช้ไม่ได้? (งานเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์เป็นงานที่เรียบง่าย หากพวกเขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนหรือดำเนินงานได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถจัดการงานอื่นได้อย่างแน่นอน พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำงานหรือติดตามงานอย่างไร) นี่แสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาเป็นคนโง่เง่า พวกเขาคิดว่าการเป็นผู้นำหรือคนทำงานก็เหมือนกับการเป็นเจ้าพนักงานของพญานาคใหญ่สีแดง ตราบใดที่พวกเขาเรียนรู้ที่จะประจบสอพลอ พูดจาโอ้อวด ตะโกนคำขวัญ และมีส่วนร่วมในการฉ้อฉล หลอกลวงผู้บังคับบัญชาและปิดบังเรื่องต่างๆ จากผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเขาก็สามารถตั้งตัวและรับเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐได้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าแง่มุมที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำหรือคนทำงานคือการเรียนรู้ที่จะทำงานที่เป็นแก่นสาร พวกเขาจินตนาการว่างานของผู้นำและคนทำงานนั้นเรียบง่ายมาก ผลก็คือ พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารและกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จ
ผู้นำเทียมเท็จมีการสำแดงที่เจาะจงอะไรอีกบ้าง? ผู้นำเทียมเท็จสามารถมองทะลุและจับความเข้าใจหลักธรรมและมาตรฐานที่กำหนดไว้ในการจัดการเตรียมงานต่างๆ ได้หรือไม่? (ไม่ได้) เหตุใดจึงไม่ได้? พวกเขาไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ว่าหลักธรรมทั้งหลายของงานนี้คืออะไร และไม่สามารถตรวจสอบหรือกลั่นกรองได้ เมื่อถึงเวลาปฏิบัติงานจริงแล้วเกิดสถานการณ์พิเศษขึ้น พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เมื่อพี่น้องชายหญิงถามพวกเขาว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง พวกเขาก็งุนงง “ไม่ได้มีการเอ่ยถึงเรื่องนี้ในการจัดการเตรียมงาน แล้วฉันจะรู้วิธีจัดการได้อย่างไร?” ถ้าเจ้าไม่รู้ แล้วจะนำงานนี้ไปปฏิบัติได้อย่างไร? เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำแต่ก็ยังสั่งให้คนอื่นปฏิบัติตาม—นั่นปฏิบัติได้จริงหรือไม่? นั่นสมเหตุสมผลหรือไม่? เมื่อผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จนำงานที่จัดการเตรียมงานไว้ไปปฏิบัติ ประการหนึ่งคือ พวกเขาไม่รู้เลยว่างานต่างๆ ที่จัดการเตรียมงานไว้มีขั้นตอนและแผนการอะไรบ้างในการนำไปปฏิบัติ อีกประการหนึ่งคือ เมื่อพบปัญหา พวกเขาก็ไม่สามารถตรวจสอบหรือกลั่นกรองตามหลักธรรมที่การจัดการเตรียมงานเหล่านั้นพึงนำมาใช้ได้ ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหานานัปการสารพัดรูปแบบขึ้นระหว่างการนำงานที่จัดการเตรียมงานไว้ไปปฏิบัติ พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง เนื่องจากในขั้นต้นผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถระบุหรือคาดการณ์ปัญหาได้และไม่สามารถสามัคคีธรรมเอาไว้ล่วงหน้าได้ และในขั้นต่อๆ มา เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไข ได้แต่เพียงเทศนาคำสอนอย่างไร้แก่นสารและนำข้อบังคับมาใช้อย่างเคร่งครัดเท่านั้น จึงยังคงเกิดปัญหาเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่บางงานเกิดความล่าช้าในการนำไปปฏิบัติ ส่วนงานอื่นๆ ก็ไม่ได้รับการนำไปปฏิบัติอย่างเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ในส่วนของการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการเอาตัวออกไปและขับไล่ เมื่อผู้นำเทียมเท็จดำเนินงานนี้ พวกเขาก็เพียงเอาตัวคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ และวิญญาณชั่วที่เห็นได้ชัดเจนซึ่งก่อการขัดขวางและรบกวน รวมถึงพวกผู้ไม่เชื่อที่พี่น้องชายหญิงล้วนรังเกียจและเดียดฉันท์ออกไปเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ควรถูกเอาตัวออกไป ซึ่งก็คือพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ที่ซ่อนเร้น เคลือบแฝง และฉลาดแกมโกง พี่น้องชายหญิงมองคนเหล่านี้ไม่ออก และผู้นำเทียมเท็จก็ก็มองคนเหล่านี้ไม่ออกเช่นกัน อันที่จริง ตามการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า คนเหล่านี้ถึงขั้นที่จะถูกเอาตัวออกไปแล้ว ทว่าเนื่องจากผู้นำเทียมเท็จมองคนเหล่านี้ไม่ออก พวกเขาจึงยังคงมองว่าคนเหล่านี้เป็นคนดี และถึงกับส่งเสริม บ่มเพาะ และใช้พวกเขาทำงานสำคัญ ปล่อยให้พวกเขาครองอำนาจและดำรงตำแหน่งงานที่สำคัญในคริสตจักร เช่นนี้แล้วพระนิเวศของพระเจ้าจะสามารถดำเนินการขับไล่และเอาตัวผู้คนออกไปตามที่ได้จัดการเตรียมงานไว้ได้หรือไม่? ปัญหาต่างๆ จะสามารถได้รับการแก้ไขอย่างถอนรากถอนโคนได้หรือไม่? งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐจะสามารถดำเนินไปอย่างปกติได้หรือไม่? เห็นได้ชัดว่างานที่พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดการเตรียมงานไว้ไม่สามารถถูกนำไปปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน และงานที่สำคัญจำนวนมากก็ไม่สามารถเสร็จสิ้นด้วยดีได้ เนื่องจากผู้คนที่ผู้นำเทียมเท็จใช้นั้นไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ เลยและสามารถถึงขั้นทำชั่วได้ สิ่งนี้จึงขัดขวางไม่ให้งานต่างๆ ของคริสตจักรดำเนินไปได้ดี ผู้นำเทียมเท็จใช้คนชั่วเหล่านี้ ปล่อยให้พวกเขาทำหน้าที่ที่สำคัญและรับผิดชอบงานที่สำคัญในคริสตจักร แม้กระทั่งอนุญาตให้คนชั่วเหล่านี้บริหารจัดการของถวาย นี่จะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่? จะก่อการสูญเสียต่อของถวายของพระเจ้าหรือไม่? (ใช่) ผลที่ตามมานี้ร้ายแรงอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จมองคนเหล่านี้ไม่ออก ไม่สามารถคัดกรองพวกเขาได้ และปล่อยให้คนชั่วเหล่านี้รับผิดชอบงานสำคัญ งานจึงเละเทะไปหมด คนชั่วเหล่านี้ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินเสมอ หลอกลวงผู้ที่อยู่ระดับสูงกว่าและปกปิดสิ่งต่างๆ จากผู้ที่อยู่ระดับต่ำกว่า และไม่ได้ทำงานจริงใดๆ คนเหล่านี้กระทำบุ่มบ่ามโดยตั้งใจ ชักพาให้ผู้คนหลงผิด และทำชั่วทุกรูปแบบ แต่ทว่าผู้นำเทียมเท็จกลับมองพวกเขาไม่ออก และกว่าจะสังเกตเห็นปัญหา ก็ได้เกิดความวินาศใหญ่หลวงขึ้นแล้ว ตัวอย่างเช่น ในเขตศิษยาภิบาลเหอหนาน คนชั่วบางคนที่ได้เป็นผู้นำใช้วิธีการที่น่ารังเกียจต่างๆ เพื่อขโมยของถวายของพระเจ้า พวกเขาขโมยไปเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นจำนวนไม่เคยได้รับการชดเชยกลับมา นี่เป็นเพราะบรรดาผู้นำและคนทำงานเลือกใช้คนผิดใช่หรือไม่? (ใช่) ตามการจัดการเตรียมงาน หากใครมองคนที่ได้รับเลือกมาไม่ออก ก็สามารถมอบหมายให้พวกเขาทำงานง่ายๆ ก่อนได้ จากนั้นก็สามารถติดตามงานของพวกเขาและสังเกตพวกเขาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ต้องไม่มอบหมายงานที่สำคัญใดๆ แก่คนที่เจ้ามองไม่ออกอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะหากงานนั้นมีความเสี่ยงตามมา หลังจากการเฝ้าสังเกตการณ์เป็นเวลานานและได้มองทะลุถึงแก่นแท้ของพวกเขาแล้วเท่านั้น จึงจะสมควรทำการตัดสินใจว่าจะจัดการและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานตามการจัดการเตรียมงานและไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมองผู้คนไม่ออกและใช้คนผิดอีกด้วย นี่นำไปสู่ความสูญเสียทั้งในงานของคริสตจักรและของถวายของพระเจ้า นี่คือหายนะที่เกิดจากผู้นำเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์จงใจใช้ประโยชน์จากคนชั่ว ในขณะที่ผู้นำเทียมเท็จนั้นเลอะเลือน ไม่สามารถมองใครออกได้ และไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหาใดก็ตามที่พวกเขาจำแนกแยกแยะ พวกเขาใช้และมอบหมายผู้คนโดยอาศัยความรู้สึกของตนเพียงอย่างเดียว ผู้คนส่วนใหญ่ที่จัดการเตรียมการโดยผู้นำเทียมเท็จนั้นไม่เหมาะสม พวกเขาก่อความสูญเสียต่องานของคริสตจักร โดยได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับการที่ศัตรูของพระคริสต์จงใจใช้คนชั่ว ผู้นำเทียมเท็จที่มีขีดความสามารถต่ำและไร้ความสามารถในการทำงาน ก็นำมาซึ่งผลสืบเนื่องที่ค่อนข้างร้ายแรงเช่นกัน มิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้นอย่าคิดว่ามีเพียงเหล่าศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่ละเมิดการจัดการเตรียมงาน ผู้นำเทียมเท็จก็สามารถละเมิดการจัดการเตรียมงานได้เช่นกัน ต่อให้ไม่ได้เจตนา แต่ในท้ายที่สุดธรรมชาติของมันก็ยังคงเป็นการละเมิดการจัดการเตรียมงาน เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงและไม่สามารถมองผู้คนหรือเรื่องต่างๆ ให้ออกได้ ในที่สุดจึงลงเอยด้วยการละเมิดการจัดการเตรียมงานและไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติงานจริง นี่ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าและสร้างความเสียหายให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ธรรมชาติและผลสืบเนื่องจากการกระทำของพวกเขานั้นเหมือนกับที่ได้จากการทำงานของศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งก่อความสูญเสียต่องานของคริสตจักรและสร้างความเสียหายให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงด้วย
เมื่อผู้นำเทียมเท็จทำงานและนำงานที่จัดการเตรียมงานไว้ไปปฏิบัติ ก็เพียงทำพอเป็นพิธีและทำให้สิ่งต่างๆ ยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาคิดว่าตนเองถูกอย่างมากและไม่เคยแสวงหาหรือสามัคคีธรรม คิดอย่างโง่เขลาว่าตนมีขีดความสามารถที่ดี กล้าลงมือทำ และพูดจาฉะฉานได้ เนื่องจากพี่น้องชายหญิงเลือกพวกเขาหรือพระนิเวศของพระเจ้าส่งเสริมและบ่มเพาะพวกเขาเป็นการชั่วคราว พวกเขาจึงคิดว่าตนได้มาตรฐานในฐานะผู้นำและสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้ หารู้ไม่ว่าตนนั้นไร้ค่าและไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบใดๆ ของผู้นำและคนทำงานได้ พวกเขาไม่รู้ถึงความบกพร่องของตน เพียงแต่กล้าหน้าด้านในการทำสิ่งต่างๆ ผลก็คือ หลังจากการจัดการเตรียมงานต่างๆ ถูกกำหนดออกมาแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถนำไปปฏิบัติตามข้อกำหนดจากเบื้องบนได้ การจัดการเตรียมงานทุกอย่างที่พวกเขาจัดการลงเอยที่การเละเทะไม่มีชิ้นดีและความโกลาหลอย่างที่สุด การปฏิบัติงานบริหารจัดการของพวกเขานั้นย่ำแย่ พวกเขาไม่รู้แน่ชัดชัดว่าได้ผู้เชื่อใหม่กี่คนจากการประกาศข่าวประเสริฐ จะจัดตั้งคริสตจักร เลือกผู้นำและมัคนายกอย่างไร และจะดำเนินชีวิตคริสตจักรอย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าใครดูแลงานข่าวประเสริฐแล้วได้ผลลัพธ์มากที่สุด ใครเป็นคำพยานได้เกิดผลมากที่สุด ใครเหมาะสมที่สุดที่จะให้น้ำคริสตจักร ผู้นำทีมคนใดควรถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายหรือถูกปลดออกเพราะความไม่รับผิดชอบ และจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในงานบางด้านได้อย่างไร ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับงานจำเพาะทั้งหมดเหล่านี้ และพวกเขาก็ทำให้งานของตนเละเทะไปหมด สำหรับงานทางวิชาชีพต่างๆ ในคริสตจักรที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในระดับที่สูงขึ้น ผู้นำเทียมเท็จก็ทำให้งานเหล่านั้นเละเทะไปหมดเช่นกัน พวกเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าจะดำเนินงานเหล่านี้อย่างจำเพาะเจาะจงอย่างไร ต่อให้พวกเขาต้องการจะสอบถามเกี่ยวกับงานเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร พวกเขาต้องการจะถามเบื้องบนว่าจะมีแนวทางต่องานเหล่านี้อย่างไร แต่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะกำหนดกรอบคำถามของตนอย่างไร ส่งผลให้ไม่อาจทำงานนั้นได้ แม้แต่งานง่ายๆ อย่างการจัดการทรัพย์สินตามกำหนดของการจัดการเตรียมงาน—การมอบหมายคนที่เหมาะสมให้พิทักษ์รักษาและจัดสรรทรัพย์สิน และการจัดตั้งระบบต่างๆ—ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจัดการได้ พวกเขาทำให้งานนั้นเละเทะไปหมด ผู้นำเทียมเท็จสับสนอย่างที่สุดกับทุกงานที่พวกเขาจัดการ เมื่อถูกถามว่าได้ปฏิบัติตามที่จัดการเตรียมงานไว้แล้วหรือยัง พวกเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจและพูดอย่างมั่นใจว่า “ใช่ ฉันทำแล้ว ทุกคนได้ข้อมูลการจัดการเตรียมงานไปคนละชุด และทุกคนรู้ว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ทำงานอะไร” หากพวกเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขาทำอย่างไร ให้อธิบายขั้นตอนการทำงานที่เจาะจง งานใดที่ทำได้ค่อนข้างแย่ งานที่ทำได้ราบรื่นขึ้น ได้ทำแต่ละงานอย่างถูกควรหรือไม่ งานใดที่ต้องมีการติดตามและตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และพบปัญหาใดๆ หลังจากการตรวจสอบหรือไม่ พวกเขาก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมดเหล่านี้เลย ผู้นำเทียมเท็จบางคน ตั้งแต่ได้เป็นผู้นำ ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนต้องทำงานอะไรหรือขอบเขตความรับผิดชอบของตนมีแค่ไหน นี่ไม่ยิ่งสร้างปัญหามากกว่าหรือ? ปัจจุบันผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่มีปัญหานี้ในระดับที่แตกต่างกันไปหรือไม่? (ใช่)
เกณฑ์ในการทดสอบว่าผู้นำและคนทำงานได้มาตรฐานหรือไม่
จากการสามัคคีธรรมในวันนี้ พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานและผู้ดูแลควรลุล่วงแล้วหรือไม่? พวกเจ้าพอจะมองเห็นเป็นเลาๆ ในใจแล้วหรือยัง? พวกเจ้าเข้าใจบทบาทของผู้นำและคนทำงานได้เที่ยงตรงขึ้นหรือไม่? (ใช่) ประการหนึ่งคือ ผู้นำและคนทำงานเกิดความเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าพวกเขาควรปฏิบัติงานใด อีกประการหนึ่งคือ ตอนนี้คนอื่นๆ มีเส้นทางอยู่บ้างถึงวิธีแยกแยะว่าผู้นำหรือคนทำงานได้มาตรฐานหรือไม่ ตามข้อกำหนดของหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงาน ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ได้มาตรฐานหรือไม่? (ไม่) แล้วผู้นำและคนทำงานคนใดที่สามารถได้มาตรฐาน และคนใดไม่สามารถ? ผู้ที่มีขีดความสามารถที่ได้มาตรฐาน มีประสบการณ์ในทางปฏิบัติอยู่บ้าง มีหลักธรรมในการจัดการสิ่งต่างๆ อยู่บ้าง และมีสำนึกรับภาระต่องานของคริสตจักรสามารถกลายเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐานหลังจากผ่านการฝึกฝนระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำและไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจ ผู้ที่ไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมไม่ว่าจะได้รับการสามัคคีธรรมความจริงมากเพียงใด ก็ไม่สามารถเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐานและมีแต่จะถูกกำจัดออกไปได้เท่านั้น ดังนั้น หากเจ้าต้องการเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่ได้มาตรฐาน และต้องการให้ผู้อื่นเลือกเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าก็ควรประเมินเสียก่อนว่าขีดความสามารถของเจ้าเพียงพอหรือไม่ เจ้าจะประเมินสิ่งนี้ได้อย่างไร? โดยการดูว่าเจ้าสามารถนำการจัดการเตรียมงานไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ จงนำการจัดการเตรียมงานล่าสุดมาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ และทดสอบตัวเจ้าเองเพื่อดูว่าเจ้ามีขั้นตอนและแผนการสำหรับการนำมันไปปฏิบัติหรือไม่ หากเจ้ามีแนวคิดและแผนการและรู้วิธีนำมันไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรรับงานนั้นเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเมื่อพี่น้องชายหญิงเลือกเจ้า อย่างไรก็ตาม หากหลังจากอ่านการจัดการเตรียมงานแล้วเจ้านึกอะไรไม่ออกเลย เจ้ามองไม่ออกแม้แต่น้อยว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะถูกจัดแจงให้รับผิดชอบงานนั้น และยิ่งไปกว่านั้นเจ้ามองไม่ออกด้วยว่าจะนำงานต่างๆ ของคริสตจักรไปปฏิบัติอย่างเจาะจงอย่างไร ทั้งยังไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรม กำกับดูแล ตรวจสอบ และติดตามงานอย่างไร อีกทั้งเจ้าไม่มีขั้นตอนหรือแผนการสำหรับการนำไปปฏิบัติในใจ แต่พี่น้องชายหญิงบางคนคิดอย่างผิดๆ ไปว่าเจ้าเก่งมากและเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าควรมีท่าทีอย่างไร? เจ้าควรกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำชม แต่จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เก่งอะไรมากนักหรอก ฉันไม่มีคุณสมบัติพอ—คุณมองฉันผิดไป ถ้าคุณเลือกฉันเป็นผู้นำก็จะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า ฉันรู้วุฒิภาวะของตัวเอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะนำงานง่ายๆ ที่มีการจัดการเตรียมงานไว้ไปปฏิบัติได้อย่างไร—ฉันไม่รู้เลยว่าจะเริ่มตรงไหนและจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย หากไม่เข้าใจความจริง ก็ทำงานของคริสตจักรให้ดีไม่ได้ ต่อให้เบื้องบนแต่งตั้งฉัน ฉันก็ไม่สามารถทำได้ ฉันไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้จริงๆ” เจ้าคิดอย่างไรกับการยอมรับเช่นนี้? แนวทางนี้แสดงถึงการมีสำนึก ผู้คนที่พูดเช่นนี้มีสำนึกมากกว่าผู้นำเทียมเท็จอย่างมาก ผู้นำเทียมเท็จไม่มีทางสามารถพูดอะไรที่เปี่ยมสำนึกขนาดนี้ได้ ผู้นำเทียมเท็จคิดว่า “ฉันถูกเลือกแล้ว ดังนั้นฉันก็ควรจะเป็นผู้นำ ทำไมฉันจะไม่ควรเป็นล่ะ? ฉันเก่ง ดังนั้นฉันก็สมควรได้รับตำแหน่งนี้ การไม่สามารถนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติเป็นปัญหาหรือ? ใครเกิดมาก็รู้ว่าจะทำอย่างไรเลยหรือ? มันเป็นสิ่งที่ฉันสามารถเรียนรู้ได้ไม่ใช่หรือ? ตราบใดที่ฉันสามารถเทศนาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว ฉันมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ฉันรู้จักและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ฉันสามารถสามัคคีธรรมได้ และฉันสามารถค้นพบหนทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้าได้ ฉันเชี่ยวชาญในการแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและสภาวะต่างๆ ของผู้คน การนำการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าไปปฏิบัตินั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มันไม่ใช่งานบริหารจัดการด้านการปกครองหรอกหรือ? ฉันเคยเรียนการบริหารจัดการด้านการปกครองมาก่อน ดังนั้นงานเล็กน้อยนี้ของพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับฉัน!” คนเช่นนี้ตกอยู่ในอันตรายมิใช่หรือ? (ใช่) อันตรายอยู่ที่ใด? พวกเจ้าสามารถมองเรื่องนี้ออกหรือไม่? (พวกเขาไม่สามารถทำงานได้และจะขัดขวางและก่อกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่เพียงแต่ส่งผลเสียต่อตัวเองและพี่น้องชายหญิงเท่านั้น แต่ยังทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าอีกด้วย) แค่ส่งผลเสียหรือ? นี่นำไปสู่ผลสุดท้ายเช่นนั้นหรือ? หากเป็นเพียงเท่านี้ ก็ยังสามารถแก้ไขได้ ประเด็นสำคัญคือหากผู้นำเทียมเท็จยังคงอยู่ในบทบาทของตนเป็นเวลานาน พวกเขาก็จะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และในที่สุดก็จะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ เจ้าคิดว่าการเป็นผู้นำหรือคนทำงานนั้นง่ายขนาดนั้นหรือ? เมื่อมีสถานะก็ย่อมมีการทดลอง และเมื่อมีการทดลองก็ย่อมมีอันตราย อันตรายนี้คืออะไร? คือความเป็นไปได้ที่จะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ ผลที่ตามมาที่เลวร้ายที่สุดของการเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์คือการกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์
บางคนกล่าวว่า “ผู้นำเทียมเท็จบางคนเพียงแค่มีขีดความสามารถที่ค่อนข้างต่ำแต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่ได้เลวร้าย พวกเขาสามารถเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ได้หรือ?” ใครบอกว่าการมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่เลวร้ายหมายความว่าพวกเขาจะไม่เดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์? พวกเขาต้องเลวร้ายแค่ไหนจึงจะถูกมองว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์? เจ้ารู้เท่าทันเรื่องนี้ได้หรือไม่? หากผู้นำเทียมเท็จยังคงอยู่ในบทบาทของตนเป็นเวลานาน พวกเขาก็ได้เริ่มเดินไปตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แล้ว มีช่องว่างระหว่างการเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์กับการกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? (ไม่มี) จงคิดย้อนกลับไปว่า ผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นกำลังเดินตามเส้นทางใด? ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานที่เจาะจง ทั้งยังไม่สามารถทำงานที่เจาะจงได้ แต่พวกเขาก็ยังต้องการที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงเพื่อสั่งสอนผู้อื่นและทำให้ผู้คนฟังและนบนอบพวกเขา นี่คือการเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ใช่หรือไม่? ผลที่ตามมาของการเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์คืออะไร? (พวกเขาย่อมกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยธรรมชาติ) แม้ว่าผู้นำเทียมเท็จจะไม่ได้เป็นศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่วโดยกำเนิด แต่หากพวกเขาเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์เป็นเวลานานโดยไม่มีการกำกับดูแลหรือไม่มีใครรายงานและปลดพวกเขาออก พวกเขาก็สามารถยึดอำนาจและจัดตั้งอาณาจักรอิสระได้หรือไม่? (ได้) ถึงจุดนั้น พวกเขาไม่ได้กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์แล้วหรือ? ดังนั้นพวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่า บทบาทของผู้นำเทียมเท็จนั้นอันตราย? (ใช่) การเป็นผู้นำเทียมเท็จนั้นอันตรายอย่างยิ่งแล้ว แม้ว่าขณะนี้เรากำลังชำแหละผู้นำเทียมเท็จและไม่ได้แตะเรื่องศัตรูของพระคริสต์ แต่ก็มีความเชื่อมโยงระหว่างแก่นแท้ของคนสองประเภทนี้ อันที่จริง ผู้นำเทียมเท็จกำลังเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ การเดินตามเส้นทางนี้จะนำพาพวกเขาให้กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยธรรมชาติ ซึ่งถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ถึงจุดนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องดูที่แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ของพวกเขาอีกต่อไป เพียงเส้นทางของพวกเขากำหนดว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือไม่ จงพิจารณาผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นที่ถูกปลดออกไปแล้ว หากพวกเขาไม่ถูกปลดออกไปทันเวลา เช่นนั้นแล้ว เมื่อตัดสินแก่นแท้ของพวกเขาจากพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง พวกเขาจะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ในที่สุดหรือไม่? พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? อันที่จริง บางคนได้แสดงสัญญาณของเรื่องนี้ออกมาแล้ว และเป็นพระนิเวศของพระเจ้านั่นเองที่ปลดพวกเขาทันที หากพวกเขาไม่ถูกปลด พวกเขาก็จะเริ่มอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตและชักพาให้ผู้คนหลงผิด พวกเขาจะเริ่มทำตัวเหมือนข้าราชการหรือเจ้านายในตำแหน่งที่สูง บงการผู้คนและออกคำสั่ง ทำให้ผู้อื่นเชื่อฟังราวกับว่าพวกเขาเป็นพระเจ้า พวกเขาถึงกับอ้างว่าตนได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าและเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ นั่นไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ? แล้วเราควรจะมองและระบุลักษณะสภาวะและการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้อย่างไร? เบื้องต้นสามารถระบุลักษณะได้ว่าเป็นพวกหน้าซื่อใจคด เป็นคนที่อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต เป็นพวกฟาริสี แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งนี้ยังคงพัฒนาต่อไป? แม้ว่าผู้นำเทียมเท็จอาจไม่ร้ายกาจหรือชั่วร้ายเท่าศัตรูของพระคริสต์ และแม้ว่าหากมองผิวเผินพวกเขาก็อาจดูเหมือนสามารถสู้ทนความยากลำบากและทำงานหนักได้ ช่วยเหลือผู้อื่นในทุกโอกาส และสามารถอดทนและอดกลั้นต่อผู้คนได้ เหมือนกับพวกฟาริสีที่เดินทางข้ามแผ่นดินข้ามทะเลเพื่อประกาศและทำงาน แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะสำคัญอะไร? หากพวกเขาไม่สามารถทำให้สำเร็จได้แม้แต่งานเดียว การกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาจะแตกต่างจากของพวกฟาริสีได้อย่างไร? ความประพฤติของพวกเขาเป็นการร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า หรือเป็นการแข็งขืนและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า? เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าและขัดขวางความก้าวหน้าตามปกติของงานต่างๆ ของคริสตจักร นี่ไม่แตกต่างจากพฤติกรรมของพวกฟาริสีและบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในโลกศาสนาเลยมิใช่หรือ? ผู้นำเทียมเท็จก็คือคนประเภทนั้น แล้วเราควรจะระบุลักษณะพวกเขาอย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้นำเทียมเท็จยังคงปฏิบัติงานต่อไป? พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่สามารถนำการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าไปปฏิบัติได้เท่านั้น แต่ยังจะเริ่มประณาม วิพากษ์วิจารณ์ ตัดสิน กล่าวโทษ และทำสิ่งอื่นๆ เช่นนี้ต่อการจัดการเตรียมงานเหล่านี้อีกด้วย—พฤติกรรมทั้งชุดของศัตรูของพระคริสต์ก็จะปรากฏออกมา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติได้เท่านั้น แต่พวกเขายังหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อต่อต้านและขัดขวางการนำไปปฏิบัติอีกด้วย นี่ไม่ใช่การร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า แต่เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้า นี่คือการที่พวกเขาใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง และอำนาจและสถานะที่พระนิเวศของพระเจ้ามอบให้ เพื่อขัดขวางการนำการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าไปปฏิบัติ นี่คือแก่นแท้ของปัญหามิใช่หรือ? (ใช่) ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานจริงและไม่สามารถนำงานต่างๆ ที่เบื้องบนจัดการเตรียมงานไว้ไปปฏิบัติได้ แต่พวกเขาก็ยังคงอ้างสถานะของตนเพื่อเทศนาแก่ผู้คน รู้สึกว่าตนเป็นหัวหน้า เป็นกัปตันของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์แล้ว—เป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง การระบุลักษณะผู้คนเช่นนี้แม่นยำหรือไม่? แม่นยำอย่างยิ่ง ปราศจากข้อผิดพลาดใดๆ! นี่ไม่ใช่การให้เหตุผลเชิงตรรกะ แต่เป็นการระบุลักษณะโดยอาศัยแก่นแท้ของพวกเขา ผู้ที่ไม่สามารถนำการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าไปปฏิบัติได้คือผู้นำเทียมเท็จ และผู้ที่ไม่ได้นำการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าไปปฏิบัติก็เป็นผู้นำเทียมเท็จเช่นกัน ก่อนที่พวกเขาจะถูกเผยว่าเป็นพวกฟาริสี พวกเขาสามารถถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จได้ อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่พวกเขากลายเป็นพวกฟาริสีและอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต อาศัย “ความสำเร็จในอดีต” ของตน และดำรงตำแหน่งโดยไม่นำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติหรือไม่ทำงานที่เฉพาะเจาะจง กลายเป็นอุปสรรคต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า คนเช่นนี้ก็ควรถูกระบุลักษณะว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ เจ้าจะตัดสินได้อย่างไรว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือเป็นศัตรูของพระคริสต์? พวกเราระบุลักษณะของผู้นำเทียเท็จโดยดูว่าพวกเขาสามารถนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติและทำงานที่เป็นแก่นสารได้หรือไม่ ผู้ที่ไม่ได้นำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติและไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารคือผู้นำเทียมเท็จ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขารู้ว่าตนไม่สามารถทำงานจริงได้และไม่สามารถนำการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนไปปฏิบัติได้ แต่ก็ยังต้องการที่จะอ้างสถานะของตนเพื่อเทศนาและตะโกนคำขวัญเพื่อเอาชนะใจผู้คน และเพิกเฉยต่อการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า และคาดหวังให้พระนิเวศของพระเจ้า—เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและทนทุกข์เพื่องานของคริสตจักรมาหลายปี—เก็บพวกเขาไว้เพื่อให้พวกเขาสามารถอาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิตและยังคงใช้ประโยชน์จากพระนิเวศของพระเจ้าเป็นบ้านวัยเกษียณ ชักพาพี่น้องชายหญิงให้หลงผิดต่อไป แม้กระทั่งแสวงหาอำนาจในการควบคุมการอภิปรายและการตัดสินใจ เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นนี้ก็คือศัตรูของพระคริสต์ นี่คือวิธีที่เจ้าจะตัดสินว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือเป็นศัตรูของพระคริสต์ หลักธรรมและมาตรฐานสำหรับการระบุลักษณะนี้ชัดเจนหรือไม่? (ชัดเจน)
หน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงานเกี่ยวข้องกับการจัดการเตรียมงานเป็นหลัก การที่ผู้นำหรือคนทำงานจะนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติหรือไม่นั้นเป็นเกณฑ์ในการทดสอบว่าพวกเขาได้มาตรฐานหรือไม่ การประเมินว่าผู้นำและคนทำงานนั้นแท้จริงหรือเทียมเท็จโดยอาศัยว่าพวกเขาดำเนินงานของคริสตจักรตามการจัดการเตรียมงานหรือไม่นั้นเป็นวิธีการที่แม่นยำที่สุด การใช้ท่าทีของพวกเขาต่อการจัดการเตรียมงานเพื่อแยกแยะและชำแหละผู้นำเทียมเท็จ และเพื่อตัดสินว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือเป็นศัตรูของพระคริสต์นั้นเป็นธรรมอย่างที่สุด การประเมินผู้นำและคนทำงานโดยอาศัยวิธีที่พวกเขานำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติ พวกเขาสามารถนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติได้หรือไม่ และประสิทธิผลและความครอบคลุมจากการนำไปปฏิบัติของพวกเขานั้นเป็นธรรมและสมเหตุสมผลสำหรับผู้นำหรือคนทำงานทุกคน ไม่ได้มีเจตนาที่จะจงใจสร้างความลำบากให้แก่ผู้ใด พวกเจ้าสามารถแยกแยะได้หรือไม่ว่าผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่ได้นำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติและในที่สุดก็กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์? ข้อวินิจฉัยนี้สมเหตุสมผลหรือไม่? (ใช่) เหตุใดจึงสมเหตุสมผล? (เพราะผู้นำเทียมเท็จไม่ได้นำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติและดำรงตำแหน่งของตนเพื่อจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตนเอง นี่หมายความว่าพวกเขาได้เริ่มเดินไปตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แล้ว) นี่คือปรากฏการณ์—แล้วแก่นแท้ของปัญหาคืออะไร? การไม่นำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติคือการต่อต้านพระเจ้าและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ การเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ผู้ที่เดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์กำลังเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า ยืนอยู่ตรงข้ามกับพระองค์โดยตรง หากคนคนหนึ่งเป็นเพียงผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาก็เพียงแค่ไม่รู้วิธีทำงานหรือนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติ พวกเขาไม่ได้จงใจต่อต้านพระเจ้า อย่างไรก็ตาม คุณลักษณะของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีธรรมชาติที่ร้ายแรงกว่าของผู้นำเทียมเท็จอย่างมาก ผู้นำเทียมเท็จบางคนได้เดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์มานานแล้ว บุคคลเหล่านี้เริ่มต้นด้วยการไม่ทำงานที่เป็นแก่นสารและไม่นำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติ หลังจากเป็นผู้นำมาเป็นเวลานานและสามารถเทศนาคำพูดและคำสอนบางอย่างได้ พวกเขาก็รู้สึกว่าตำแหน่งของตนมั่นคงแล้ว ตนมีต้นทุนแล้ว และตนได้รับเกียรติในหมู่ผู้คนแล้ว จากนั้นพวกเขาก็กล้าที่จะเริ่มทำอะไรก็ไตามที่ตนต้องการและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า พวกเขาประเมินตนเองสูงเกินไปเสมอ โดยเชื่อว่าตนได้รับเกียรติในหมู่พี่น้องชายหญิงแล้ว คำพูดของตนมีน้ำหนัก และดังนั้นตนก็ควรมีอำนาจควบคุมการสนทนาและการตัดสินใจอย่างสมบูรณ์ในทุกสิ่งที่ตนทำ พวกเขาคิดว่าผู้คนควรฟังตน หากพวกเขาทำอะไรน่าอับอายหรือพูดจาติดขัด ผู้คนก็ควรจะรักษาหน้าให้พวกเขา—เช่นเดียวกับที่พระนิเวศของพระเจ้าควรทำ พระนิเวศของพระเจ้าควรปรึกษาพวกเขาในประเด็นใดๆ ที่เกิดขึ้นและแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่พวกเขา และพวกเขาควรได้รับสิทธิประโยชน์ที่ดีกว่าและคำยกย่องที่สูงกว่าผู้อื่น พวกเขาคิดว่าพระเจ้าก็ควรจะมองพวกเขาในแง่มุมที่แตกต่างออกไปด้วย เมื่อพิจารณาถึงข้อได้เปรียบและความเหนือกว่าที่พวกเขารับรู้เหล่านี้แล้ว พวกเขาเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ควรตัดแต่งพวกเขาหรือเปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาต่อหน้าผู้อื่นง่ายๆ และยิ่งไปกว่านั้นคือไม่ควรปลดพวกเขาออกโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาเลย ผู้คนเช่นนี้ตกอยู่ในอันตราย พวกเขากำลังอาศัย “ความสำเร็จในอดีต” ของตน พวกเขาเป็นพวกฟาริสี และได้กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์แล้ว นี่ไม่ได้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ? หากใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงและครอบครองความเป็นจริงความจริง พวกเขาจะทำการเรียกร้องอย่างไม่มีเหตุผลเหล่านี้ต่อพระนิเวศของพระเจ้าและต่อพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) มีคนประเภทหนึ่งที่หลังจากทำงานมาเป็นเวลานาน ก็รู้สึกว่าตนได้รับสถานะและมีทุนแล้ว และดังนั้นจึงเกิดความคิดประเภทนี้และความรู้สึกเหนือกว่านี้ขึ้นมา นี่คือคนประเภทใด? คือคนที่มีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ เพราะพวกเขาไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจึงโอหังและคิดว่าตนเองถูก เรียกร้องอย่างไม่มีเหตุผลทุกรูปแบบต่อพระเจ้าและพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาอาศัย “ความสำเร็จในอดีต” ของตน อาศัยคริสตจักรเพื่อดำรงชีวิต ยึดมั่นในสถานะของตน และในที่สุดก็กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ นี่คือศัตรูของพระคริสต์ตามแบบฉบับ มีผู้คนเช่นนี้ในคริสตจักรหรือไม่? ใครก็ตามที่ภูมิใจในตนเองว่าเป็นคนฝ่ายวิญญาณก็คือคนประเภทนี้ พวกเขาไร้ค่าอย่างเห็นได้ชัดและไม่สามารถทำงานที่เจาะจงใดๆ ได้ แต่ก็ยังคงมองว่าตนเองเป็นคนฝ่ายวิญญาณ พวกเขามองว่าตนเองเป็นคนที่พระเจ้าทรงมองอย่างโปรดปรานและเป็นเป้าหมายของการทำให้เพียบพร้อมของพระองค์ พวกเขาเชื่อว่าตนเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า เป็นผู้ชนะ ผู้คนเช่นนี้กำลังเดินตามเส้นทางใด? พวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? พวกเขาเป็นคนที่นบนอบความจริงหรือไม่? พวกเขาเป็นคนที่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ใช่เลย ร้อยทั้งร้อยไม่ใช่ พวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาสถานะ ชื่อเสียง และพร และเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ เมื่อผู้คนเช่นนี้ดำรงตำแหน่งเป็นเวลานาน รับใช้อย่างผู้นำเทียมเท็จเป็นเวลานาน พวกเขาก็จะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหล่าศัตรูของพระคริสต์เป็นอุปสรรคต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถทำงานตามการจัดการเตรียมงานได้เลย และพวกเขาไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือทำสิ่งทั้งหลายตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่สามารถละทิ้งสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ของตนเพื่อทำงานของคริสตจักรได้ เพราะพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์
สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงานนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติเป็นหลัก การที่ผู้นำหรือคนทำงานจะได้มาตรฐานและลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือไม่นั้นถูกกำหนดโดยวิธีที่พวกเขานำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติและผลลัพธ์ของการนำไปปฏิบัติเหล่านี้เป็นหลัก แน่นอนว่า มาตรฐานนี้ยังถูกใช้เพื่อเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จและเส้นทางที่พวกเขาเดินตาม ตลอดจนผลสืบเนื่องที่พวกเขานำมาสู่งานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร การตัดสิน การพิพากษา และการระบุลักษณะในท้ายที่สุดเหล่านี้ทั้งหมดล้วนอาศัยการนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติของผู้นำเทียมเท็จ การนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติเป็นงานหลัก ดังนั้นการตัดสินว่าผู้นำหรือคนทำงานได้มาตรฐานหรือไม่โดยอาศัยการนำการจัดการเตรียมงานไปปฏิบัติของพวกเขานั้นเป็นจริงอย่างยิ่งและเป็นพื้นฐานอย่างที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น การยึดถือผู้นำและคนทำงานทุกคนตามมาตรฐานนี้ก็สมเหตุสมผลและเป็นธรรมอย่างยิ่ง ปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ
24 เมษายน ค.ศ. 2021