หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (11)

ในการชุมนุมครั้งล่าสุด พวกเราสามัคคีธรรมถึงประการที่เก้าซึ่งว่าด้วยหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่ว่า “สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้คำแนะนำ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ดำเนินการของพวกเขา”  พวกเราได้สามัคคีธรรมกันถึงหน้าที่รับผิดชอบที่เหล่าผู้นำและคนทำงานต้องลุล่วง รวมถึงงานที่พวกเขาต้องทำ และพวกเรายังได้ชำแหละพฤติกรรมสองสามอย่างของพวกผู้นำเทียมเท็จกันไปเช่นกัน  ถึงแม้พวกเราไม่ได้สามัคคีธรรมอย่างเฉพาะเจาะจงถึงวิธีที่พวกผู้นำและคนทำงานต้องนำการจัดการเตรียมงานแต่ละอย่างมาดำเนินการให้เป็นผล แต่พวกเราก็ได้สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการนำการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นมาดำเนินการให้เป็นผล ตลอดจนสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ  พวกเจ้าได้คำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำและเจาะจงกว่าสำหรับสิ่งที่หัวหน้างานและคนทำงานต้องทำโดยผ่านทางสามัคคีธรรมถึงประการที่เก้าของพวกเราไปแล้วใช่หรือไม่?  ตอนนี้เจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าพวกผู้นำและคนทำงานต้องทำงานอะไร?  สิ่งที่เป็นเรื่องหลักสำหรับพวกเขาก็คือการนำงานมาดำเนินการให้เป็นผลไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าและการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  โดยพื้นฐานก็เป็นเช่นนั้น  ตอนนี้พวกเราทุกคนเข้าใจชัดเจนแล้ว  งานใดที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำในพระนิเวศของพระเจ้า และสิ่งใดที่เป็นความรับผิดชอบของพวกเขาควรได้รับการสามัคคีธรรมไปอย่างค่อนข้างเจาะจงแล้วภายในประการที่เก้า  นั่นครอบคลุมแล้วโดยพื้นฐาน  ขอบเขตความรับผิดชอบของพวกเขามีจำกัด และงานที่พวกเขาควรทำตลอดจนวิธีที่พวกเขาควรทำก็ได้ถูกแถลงไปแล้วอย่างชัดเจนเช่นกัน  หากใครบางคนยังคงไม่รู้วิธีทำงานแบบเป็นรูปธรรมซึ่งตอนนี้ได้ถูกแถลงไปอย่างชัดเจนแล้ว นั่นเป็นปัญหาของการที่พวกเขามีขีดความสามารถที่แย่  พวกเขาอยู่ในจำพวกผู้นำเทียมเท็จที่ไม่สามารถทำงานได้  มีผู้นำเทียมเท็จอีกจำพวกที่จัดการเตรียมงานโดยมโนคติอันหลงผิดกับความคิดฝันทั้งหลายของตนเท่านั้น และใช้ผู้คนอย่างส่งเดชจนส่งผลให้เกิดกรณีที่มีคนทำอาหารมากเกินไป  งานนั้นไม่ใช่แค่ทำได้ไม่ดี—แต่พวกเขายังทำให้งานยุ่งเหยิงไปหมด จนงานนั้นหมดทางเดินหน้าต่อ  ผู้นำเทียมเท็จจะไม่มีวันนำการจัดการเตรียมงานมาดำเนินการให้เป็นผล นับประสาอะไรที่จะทำงานจริง  พวกเขาแค่ทำงานที่ตนชอบ มุ่งเน้นที่งานกิจธุระทั่วไปเท่านั้น เวลาทำงาน พวกเขารู้เพียงวิธีออกคำสั่งและโห่ร้องวลีเด็ดกับคำสอนอันกลวงเปล่าไร้แก่นสาร  พวกเขาไม่เคยติดตามผลของงาน ทั้งยังไม่เคยใส่ใจว่างานนั้นได้เกิดประสิทธิผลหรือไม่  นี่คือผู้นำเทียมเท็จจำพวกหนึ่ง  กล่าวสั้นๆ ก็คือ การที่ใครบางคนไม่สามารถทำงานจริงหรือไม่ทำงานจริงในฐานะผู้นำ—ไม่ว่าสภาพการณ์อาจเป็นเช่นไร—หากพวกเขาไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำและคนทำงาน หรือทำงานตามพระบัญชาของพระเจ้าได้ และหากพวกเขาไม่อาจจัดการนำชิ้นงานต่างๆ ที่พระนิเวศของพระเจ้าได้จัดการเตรียมการไว้ให้มาดำเนินการให้เป็นผลได้ เช่นนั้นพวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จ

ถึงตอนนี้ โดยผ่านทางสามัคคีธรรมถึงความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงานประการที่เก้า และการที่พวกเราเปิดโปงการสำแดงสารพัดแบบของพวกผู้นำเทียมเท็จ พวกเจ้าได้รับความรู้และความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานไปบ้างแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมเห็นว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นทำได้ง่ายดายใช่หรือไม่?  ข้อกำหนดที่มีต่อมนุษย์นั้นสูงหรือไม่?  ข้อกำหนดเหล่านั้นเกินจำเป็นหรือไม่?  (ข้อกำหนดเหล่านั้นไม่สูง ทั้งหมดเป็นข้อกำหนดที่พวกเราสามารถทำตามได้)  มีผู้นำและคนทำงานที่พูดว่า “พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้พวกเราทำงานหลายอย่างหลายประเภทเกินไป  ยิ่งเป็นผู้นำระดับสูงขึ้นไปเท่าไร ขอบข่ายงานของพวกเขาก็ยิ่งกว้างขึ้น และพวกเขาก็ยิ่งรับผิดชอบงานหลายอย่างมากขึ้นเท่านั้น  เพื่อทำงานนั้นให้ดีและคอยดูให้งานนั้นได้รับการดำเนินการให้เป็นผลไปตามข้อกำหนดของเบื้องบน—พวกเราก็คงจะหมดแรงตายไปเลยใช่ไหม?”  เคยมีผู้ใดหรือไม่ที่ล้มทั้งยืนจากความอ่อนล้าเพราะได้ทำงานที่เป็นรูปธรรมทั้งหมดจนออกมาดี เพราะได้นำงานทุกอย่างมาดำเนินการให้เป็นผลถึงจุดที่ควรเป็น?  (ไม่เคยมี)  เคยมีผู้ใดหรือไม่ ที่เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาเพราะความอ่อนล้า?  มีผู้ใดหรือไม่ที่ยุ่งมากเสียจนไม่มีเวลากินหรือนอน?  (ไม่มี)  บางคนอาจพูดว่า “คุณหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่มี?  คนบางคนทำงานคริสตจักรจนเหนื่อยล้าหมดแรงจริงๆ เพราะพวกเขาทำอยู่ยาวนานจนกินไม่เป็นเวลา หรือไม่ได้ทำงานและหยุดพักตามกำหนด โดยมีปริมาณการลงแรงและการพักผ่อนที่สมดุล  พวกเขาจบลงด้วยความเจ็บป่วยจากความอ่อนล้า”  พวกเจ้าเคยได้ยินการเกิดสถานการณ์แบบนั้นมาหรือไม่?  (ไม่เคย)  หลังจากที่ได้ฟังประการที่เก้าและได้เห็นเนื้อหาเฉพาะของงานสารพัดอย่างในพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนมาตรฐานที่พระนิเวศกำหนดไว้สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงานในการทำงานเฉพาะนี้มาแล้ว มีใครเคยรู้สึกเกรงกลัวหรือหวาดกลัวหรือไม่?  พวกเขารู้สึกว่า “การเป็นผู้นำและคนทำงานนั้นไม่ง่ายเลย  ถ้าไม่มีร่างกายที่ทรหด ไม่มีขีดความสามารถที่ดี ไม่มีหัวใจที่กว้างขวางใหญ่โต รวมทั้งมีพลังงานและความแข็งแกร่งแบบยอดมนุษย์ ใครเล่าจะทำงานนั้นให้ดีได้?”  ใครเคยมีความคิดแบบนี้หรือไม่?  ความคิดนี้ใช้ได้หรือไม่?  (ใช้ไม่ได้)  อะไรทำให้ความคิดนี้ใช้ไม่ได้?  อย่างแรกคือ ขณะปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาอยู่ลำดับขั้นใด และไม่ว่าความรับผิดชอบของพวกเขาจะครอบคลุมหรือมีงานเดียว อย่างน้อยที่สุด ผู้นำและคนทำงานก็ต้องทำงานเบื้องต้นของตนให้ดี ควบคู่ไปกับงานเสริมอีกหนึ่งหรือสองอย่างเป็นอย่างมากที่สุด  ต่อให้พวกเขาถูกจ่ายงานให้ทำกิจซึ่งครอบคลุม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องคอยติดตามผลหรือให้คำชี้แนะที่ครอบคลุมด้วย  พวกเขาต้องมุ่งเน้นที่การควบคุมดูแลงานอันสำคัญเร่งด่วนที่สุด หรือค่อยดูแลงานบางอย่างในส่วนที่อ่อนแอควบคู่กันไป  คนบางคนอาจเปี่ยมไปด้วยพลังงาน มีสำนึกรับผิดชอบอันแรงกล้า และมีขีดความสามารถที่ดี อีกทั้งสามารถทำงานที่มีหลายแง่มุมได้ในหลายระดับ แต่งานหลักของพวกเขานั้น โดยเบื้องต้นก็แค่ประกอบด้วยหนึ่งหรือสองงาน  กับงานอื่นนั้น พวกเขาเพียงจำเป็นต้องไต่ถามความเป็นไป สอบถามข้อมูล และพยายามทำความเข้าใจ รวมทั้งแก้ไขเพียงปัญหานั้นๆ ที่พวกเขาค้นพบ  นั่นก็ส่วนหนึ่ง  อีกส่วนก็คือ ต่อให้พวกเขากำลังรับมือกับงานหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน พวกเขาก็เพียงจำเป็นต้องพึ่งพาผู้กำกับดูแลเบื้องต้นให้ทำงานเหล่านั้นเท่านั้น  ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือดูแลรายการงานต่างๆ ตรวจสอบงานเหล่านั้น และกำกับงานเหล่านั้น งานหลักที่พวกเขาต้องทำด้วยตัวเองก็ยังคงเป็นงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แล้วคนเราจะหมดเรี่ยวหมดแรงกับการทำงานเพียงอย่างเดียวหรือไม่?  (ไม่)  หากคนผู้นั้นมีขีดความสามารถเพียงพอและความคิดจิตใจของพวกเขามีความยืดหยุ่น พวกเขาย่อมจะจัดการเตรียมงานอย่างสมเหตุผลในแง่ของการจัดสรรเวลาและการทำให้งานเกิดประสิทธิภาพ  พวกเขาจะไม่ติดอยู่ในกองงานระเกะระกะ ไม่มีหนทางให้ขยับเดินหน้า  พวกเขาจะไม่ดูยุ่งวุ่นวายมากนัก—พวกเขาจะทำงานไปตามกิจวัตรที่กำหนดไว้—แต่งานก็จะไม่ขาดประสิทธิภาพและจะให้ผลลัพธ์ที่ดี  นั่นคือใครบางคนที่มีขีดความสามารถ ผู้ที่รู้วิธีจัดสรรกำลังคนและเวลาอย่างสมเหตุผล  ผู้คนที่ปราศจากขีดความสามารถหรือมีขีดความสามารถที่แย่คือคนที่ยุ่งเหยิงไม่ว่าพวกเขากำลังทำงานอะไรอยู่ก็ตาม  พวกเขายุ่งวุ่นวายทุกวันเลยทีเดียว แต่อะไรที่ทำให้พวกเขายุ่งวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ตัวพวกเขาเองก็บอกแน่ไม่ได้  พวกเขาไม่มีตารางเวลา ไม่มีแนวความคิดเรื่องเวลา พวกเขาตื่นนอนแต่เช้าตรู่ทีเดียวและเข้านอนค่อนข้างดึก พวกเขากินไม่เป็นเวลา—แต่เมื่อดูจากประสิทธิภาพของงาน พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงแต่อย่างใดเลย  นี่เป็นกรณีของขีดความสามารถที่แย่เกินไปไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนจำพวกนี้ดูเหมือนกำลังวิ่งวุ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างไม่มีการหยุดพักผ่อน แต่พวกเขากลับเข้าไม่ถึงแก่นของงาน และพวกเขาก็ไม่สามารถจำแนกสิ่งที่เร่งด่วนออกจากสิ่งที่สามารถรอได้ อีกทั้งพวกเขายังขาดประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาทั้งหลาย  นี่ทำให้งานล่าช้า  พวกเขาวิตกเสียจนอกแทบระเบิด และพวกเขาก็เกิดแผลร้อนในขึ้นที่ปาก  ถึงแม้ในกรณีเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่เป็นลมล้มพับไปจากความอ่อนล้า  ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่แย่อาจทำงานมากกว่าแปดชั่วโมงต่อวัน ทว่าประสิทธิภาพของงานกลับแย่กว่าของผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีอย่างมากมาย  ดังนั้นพวกเขาจึงต้องยุ่งวุ่นวายใช่หรือไม่?  ควรแล้วที่พวกเขาจะยุ่งวุ่นวาย—พวกเขาไม่สามารถได้ผลลัพธ์แม้เมื่อพวกเขายุ่งวุ่นวาย หากพวกเขาไม่ได้ทำตัวยุ่งวุ่นวายเข้าไว้ งานของพวกเขาก็คงมีอันเป็นอัมพาต  นี่คือใครบางคนที่มีขีดความสามารถที่แย่เสียจนไม่ได้ตามมาตรฐานของการมีสมรรถภาพในงานหรือการเข้ารับงาน  ยิ่งไปกว่านั้น งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็มีมากมายหลายอย่าง และข้อกำหนดทั้งหลายก็ค่อนข้างเข้มงวดในแง่ของบุคลากรและเวลา  กับผู้คนส่วนใหญ่นั้น เวลาที่พวกเขายุ่งขึ้นเล็กน้อย นั่นก็เพื่อเพียรพยายามให้ได้ความเป็นเลิศและได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นแตกต่างจากงานในธุรกิจและโรงงานทั้งหลายของโลกที่ไม่มีความเชื่อ งานเหล่านั้นเรียกร้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พวกเราเน้นที่ผลลัพธ์ของงาน  แต่เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่มีขีดความสามารถที่แย่ ขาดหลักธรรม และขาดประสิทธิภาพเกินไปในงานของตน การผลิตผลงานของพวกเขาจึงใช้เวลามากกว่า  ตอนนี้พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่มีความคิดที่เป็นลบเกี่ยวกับความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานอยู่เลยใช่หรือไม่?  สิ่งหนึ่งซึ่งแน่นอนก็คือ เหล่าผู้นำหรือคนทำงานจะไม่ยับเยินจากความอ่อนล้าโดยการทำงานไปตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นอกเหนือจากปัจจัยตามข้อเท็จจริงภายนอกเหล่านี้ มีสิ่งอื่นบางอย่างที่เจ้าสามารถแน่ใจได้อีกก็คือ หากคนคนหนึ่งมีภาระและมีขีดความสามารถบางอย่าง—และไม่เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีอยู่—เช่นนั้นกับปัญหาบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจจินตนาการหรือคาดการณ์ได้ และกับบางเรื่องที่พวกเขาไม่เคยก้าวผ่านมาก่อนและไม่มีประสบการณ์เลย พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้การย้ำเตือนแก่พวกเขาเป็นนิจ คอยให้ความรู้แจ้งและช่วยเหลือพวกเขาในทุกเวลา  การทำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่พึ่งพาพละกำลัง พลังงาน และภาระของมนุษย์ไปเสียทั้งหมด—ส่วนหนึ่งของงานต้องพึ่งพาพระราชกิจและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ดังที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กันไป  ดังนั้นไม่ว่าคนเรามองเรื่องนี้ในหนทางใดก็ตาม การลุล่วงความรับผิดชอบของตนก็คือบางสิ่งที่ผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งควรสัมฤทธิ์  นี่ไม่ใช่ข้อกำหนดเพิ่มเติมพิเศษสำหรับพวกเขา  เวลาที่พวกผู้ไม่มีความเชื่อทำงานในโลก พวกเขากระทำไปบนพื้นฐานขีดความสามารถส่วนบุคคลของตนเอง  การทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้านั้นต่างไป คนเราไม่ใช่แค่ทำหน้าที่ไปบนพื้นฐานขีดความสามารถของตน—พวกเขายังต้องพึ่งพาความเข้าใจของตนที่มีต่อหลักธรรมความจริงอีกด้วย หากพวกเขาจะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์  บางเวลาพวกเขายังต้องช่วยเหลือกันและกัน อีกทั้งให้ความร่วมมือกันอย่างปรองดองด้วยเช่นกัน หากพวกเขาจะทำหน้าที่ของตนให้ได้ดี  บางคนอาจถามว่า “การทำงานในพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้พวกเรา ‘จงก้มหน้าก้มตาทำงานและพากเพียรให้ถึงที่สุดจวบจนวันตาย’ เลยหรือ?  ‘ตัวไหมแห่งฤดูใบไม้ผลิถักทอจนตัวตาย’—พวกเราจำเป็นต้องไปถึงจุดนั้นหรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าจะปล่อยพวกเราไปเมื่อพวกเรากำลังตายลงเพราะความอ่อนล้าเท่านั้นหรือ?”  นี่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดต่อมนุษย์หรือไม่?  (ไม่ใช่)  สามัคคีธรรมของพวกเราที่ว่าด้วยข้อกำหนดสำหรับความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานนั้น เพียงแค่หมายที่จะมอบความชัดเจนและความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าไปตามหลักธรรมความจริง และตามวิธีการทำงานที่พระองค์ทรงกำหนด เพื่อให้พระราชกิจของพระองค์เดินหน้าไปในหนทางที่เป็นระบบระเบียบมีประสิทธิผล และเพื่อที่พระวจนะและพระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  แง่มุมหนึ่งของการนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการเผยแผ่พระราชกิจ อีกแง่มุมนั้นเกี่ยวข้องกับการทำให้พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าสัมฤทธิ์ผลทั้งหลายที่พึงสัมฤทธิ์ในบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์  เหล่านี้คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องสัมฤทธิ์ในงานของตน

ประการที่สิบ: ปกป้องและจัดสรรวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้า (เช่น หนังสือ อุปกรณ์ต่างๆ ธัญพืช เป็นต้น) อย่างถูกควรและสมเหตุสมผล รวมถึงดำเนินการตรวจสอบ บำรุงรักษา และซ่อมแซมเป็นประจำเพื่อลดความเสียหายและความสิ้นเปลืองให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ชั่วครอบครองสิ่งเหล่านั้น

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อถึงประการที่สิบเกี่ยวกับความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงานที่ว่า “จงปกป้องและจัดสรรวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้า (เช่น หนังสือ อุปกรณ์ต่างๆ ธัญพืช เป็นต้น) อย่างถูกควรและสมเหตุสมผล รวมถึงดำเนินการตรวจสอบ บำรุงรักษา และซ่อมแซมเป็นประจำเพื่อลดความเสียหายและความสิ้นเปลืองให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ชั่วครอบครองสิ่งเหล่านั้น”  ประการที่เก้าเป็นข้อกำหนดที่ค่อนข้างครอบคลุมสำหรับผู้นำและคนทำงาน  ประการที่สิบเป็นงานหมวดใหญ่อีกหมวดหนึ่ง เป็นหมวดที่ประกอบด้วยข้อกำหนดเฉพาะอีกข้อสำหรับความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  งานส่วนนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งของทั้งหลายที่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งบางอย่างถูกจัดซื้อมาเพื่อสนองสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิตของผู้คนซึ่งทำหน้าที่ของตนแบบเต็มเวลา และอย่างอื่นซึ่งเป็นพวกวัสดุ อุปกรณ์ และอื่นๆ ที่ถูกซื้อมาเพื่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  มีหนังสือพระวจนะของพระเจ้าบางเล่มและสิ่งของแบบนั้นบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิงด้วยเช่นกัน และนั่นควรถูกเก็บรักษาไว้ในพระนิเวศของพระเจ้า  เหล่านี้คือสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน  รวมทั้งหมดมีสามหมวดหมู่คือ สิ่งของที่จำเป็นสำหรับชีวิต สิ่งของที่จำเป็นสำหรับการทำงาน และสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเชื่อในพระเจ้า  ไม่ว่าสิ่งของเหล่านี้ถูกซื้อมาโดยพระนิเวศของพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิงถวายมาให้ ครั้นสิ่งของเหล่านั้นมาเป็นสิ่งครอบครองของพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นก็เกี่ยวพันกับเรื่องการบริหารจัดการและการจัดสรรวัสดุสิ่งของโดยเหล่าผู้นำและคนทำงาน  แม้ว่างานนี้ดูจากภายนอกไม่สำคัญนักเมื่อเทียบกับชีวิตคริสตจักร งานบริหาร หรืองานเชิงวิชาชีพ และไม่ใช่บางสิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ในกำหนดการ แต่ก็ยังคงเป็นงานสำคัญที่เหล่าผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำ  สิ่งของสารพันของพระนิเวศของพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับงาน ชีวิต การศึกษา และสิ่งทั้งหมดในการทำหน้าที่ของบุคลากรทุกคน ดังนั้นการพิทักษ์รักษาสิ่งเหล่านั้นและการจัดสรรอย่างสมเหตุผลมีความสำคัญมากและต้องไม่ถูกมองข้าม

การพิทักษ์รักษาอันถูกควร

ในฐานะผู้นำและคนทำงาน สิ่งที่เป็นหัวใจยิ่งกว่าการทำงานธุรการของคริสตจักรให้ดีและทำชีวิตคริสตจักรให้ดีก็คือการทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้ดี รวมถึงงานสารพันที่สัมพันธ์กับงานนี้  นอกจากนั้น วัสดุสิ่งของทั้งหลายของพระนิเวศของพระเจ้าก็ควรถูกจัดให้มีการบริหารจัดการอันเหมาะควรเช่นกัน  สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการพิทักษ์รักษาเป็นอย่างดี จงอย่าปล่อยให้กลายเป็นขึ้นราหรือถูกฝูงแมลงเข้ากลุ้มรุมอาศัย และจงอย่าปล่อยให้ผู้คนเข้าครอบครองราวกับสิ่งเหล่านั้นเป็นสมบัติส่วนตัว  พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดเฉพาะและมีขั้นตอนของวิธีที่เหล่าผู้นำและคนทำงานจะทำงานนี้ให้ดีเช่นกัน  พวกเขาต้องเริ่มจากการตรวจสอบว่าบุคลากรที่บริหารจัดการรายการสิ่งของเหล่านี้เป็นคนที่มีความรับผิดชอบเหมาะควรหรือไม่ และพวกเขารู้วิธีบริหารจัดการสิ่งของเหล่านั้นหรือไม่ รวมทั้งพวกเขาสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนอย่างขยันขันแข็งหรือไม่—สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บรักษาอย่างปลอดภัยในมือของพวกเขาหรือไม่  ตัวอย่างเช่น ในการเก็บรักษาธัญพืช เวลาที่อากาศชื้นและมีฝนตกชุก—สถานที่เก็บธัญพืชในฤดูฝนเปียกชื้นหรือไม่?  ผู้คนที่บริหารจัดการเรื่องนี้ตรวจดูเรื่องนี้ทันเวลาหรือไม่?  หากธัญพืชเปียกชื้นขึ้นมาจริงๆ พวกเขานำมันออกมาทำให้แห้งหรือไม่?  พวกเขาบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างพิถีพิถันราวกับเป็นของตัวเองหรือไม่?  พวกเขามีความเป็นมนุษย์เช่นนั้นหรือไม่?  พวกเขามีความจงรักภักดีเช่นนั้นหรือไม่?  พวกเขาต้องเริ่มจากการปฏิบัติการตรวจสอบผู้คนที่บริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ เพื่อดูว่าความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้เป็นแบบใด อีกทั้งพวกเขามีมโนธรรมและมีคุณธรรมหรือไม่  หากคนคนหนึ่งดูเหมือนมีความเป็นมนุษย์พอใช้ได้และมีหัวใจที่ใจดีเมตตา อีกทั้งผู้อื่นส่วนมากรายงานพวกเขาในด้านดี ทว่าเจ้ากลับไม่รู้ว่าพวกเขาเหมาะที่จะบริหารจัดการสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นต้องทำอย่างไร?  เจ้าก็ต้องติดตามผล ตรวจดูสิ่งต่างๆ และกำกับการ  เจ้าต้องไต่ถามความเป็นไปของสิ่งทั้งหลายหลังผ่านไปได้สักระยะ เพื่อดูว่าผู้พิทักษ์ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนมาโดยตลอดหรือไม่  ตัวอย่างเช่น สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดสำหรับธัญพืชก็คือความชื้น  ผู้พิทักษ์ควรตรวจดูว่ายุ้งฉางอับชื้นหรือไม่ และมีแววว่าจะมีแมลงทั้งหลายอยู่ในธัญพืชหรือไม่ และพวกเขาควรหาใครสักคนที่รู้เกี่ยวกับสิ่งเช่นนั้นเพื่อปรึกษาหารือและได้รับความเข้าใจว่าการปฏิบัติใดที่อาจรับประกันว่าธัญพืชจะไม่เกิดเปียกชื้นหรือเป็นเชื้อรา หรือถูกฝูงแมลงเข้ากลุ้มรุมอาศัย  ครั้นพวกเขาได้เก็บธัญพืชไปให้พ้นแล้ว พวกเขาก็ควรคอยหมั่นตรวจดูยุ้งฉาง หรือเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท  นั่นจึงจะเป็นการลุล่วงหน้าที่ของตนอย่างแท้จริง  หากผู้พิทักษ์เริ่มทำสิ่งเหล่านี้เองโดยไม่จำเป็นต้องมีการกระตุ้นหรือย้ำเตือน เช่นนั้นพวกเขาก็พึ่งพาได้ ซึ่งก็น่าอุ่นใจ  เช่นนั้นผู้คนที่พิทักษ์รักษาอุปกรณ์นานาชนิดเล่าเป็นอย่างไรบ้าง—พวกเขาเหมาะกับงานหรือไม่?  เจ้ายังไม่รู้หรอก เจ้าต้องตรวจสอบพวกเขาเช่นกัน  อุปกรณ์ส่วนใหญ่—เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเรือน สิ่งอำนวยความสะดวก และอื่นๆ—ถูกพิทักษ์รักษาอย่างไรหากโดยปกติแล้วอุปกรณ์นั้นไม่ถูกใช้งาน?  ผู้พิทักษ์ให้การดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์เหล่านั้นหรือไม่?  พวกเขาปฏิบัติการตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นประจำโดยเปิดให้ไฟเข้าและลองให้อุปกรณ์เริ่มทำงานหรือไม่?  จากการสอบถามไปรอบตัว เจ้าอาจเรียนรู้ว่าผู้พิทักษ์สิ่งเหล่านี้กำลังทำแบบนี้อยู่เป็นประจำ  สิ่งของเหล่านั้นอาจแค่ตั้งอยู่เฉยๆ แต่ก็ไม่มีฝุ่นเกาะ ซึ่งหมายความว่า ใครบางคนมาดูแลอยู่บ่อยๆ—เจ้าก็จะเห็นว่าผู้พิทักษ์สิ่งเหล่านั้นใช้ได้ พวกเขากำลังลุล่วงหน้าที่ของตน  เช่นนั้นเจ้าย่อมอุ่นใจได้  หนังสือพระวจนะของพระเจ้าก็มีด้วยเช่นกัน  หนังสือแต่ละเล่มนั้นยากลำบากกว่าจะได้มา และนอกจากนั้น หนังสือพระวจนะของพระเจ้าสำคัญต่อผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคนมากกว่าสิ่งอื่นใด—สำคัญกว่าธัญพืช เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสิ่งของอื่นใดแบบนั้น  ดังนั้นที่ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับสิ่งเหล่านี้ก็คือ เจ้าควรหาคนที่ถูกต้องมาบริหารจัดการและหาสถานที่ที่ถูกต้องมาจัดเก็บสิ่งเหล่านั้น  การระบายอากาศที่เหมาะสม การเฝ้าระวัง และการตรวจตราก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน—พวกเขาไม่อาจปล่อยให้หนังสือเปียกชื้นหรือเปียกชุ่ม หรือถูกหนูแทะได้  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดต้องถูกจับตามอง  แล้วผู้คนที่บริหารจัดการสิ่งเหล่านั้นเหมาะสำหรับงานนั้นหรือไม่?  เจ้าต้องตรวจสภาพสิ่งเหล่านี้ให้บ่อยเช่นกัน  หากคนดูแลทั้งหลายเกียจคร้าน ละเลย และสะเพร่า สิ่งของบางอย่างจะเสียหาย หากไม่เสียหายจากความเปียกชื้นและเชื้อรา เช่นนั้นก็จากพวกแมลง  เหล่านี้ล้วนเป็นความสูญเสียซึ่งมีเหตุมาจากการสอดส่องและการตรวจตราที่หย่อนยานในส่วนของผู้นำและคนทำงาน  หากผู้ดูแลทำการดูแลสิ่งของเหล่านี้อย่างถูกควร ความรับผิดชอบนี้ของผู้นำและคนทำงานก็เป็นอันได้ลุล่วงแล้ว  ไม่ว่าสิ่งของเหล่านี้จะใหญ่หรือเล็ก และถูกใช้งานอยู่เนืองๆ หรือไม่ ตราบที่อยู่ในหมวดสิ่งของที่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า ก็ควรจัดการเตรียมการให้ใครบางคนมาบริหารจัดการ  สิ่งของควรปลอดภัย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นจำพวกใดและถูกจัดเก็บไว้ที่ใดก็ตาม อีกทั้งควรทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดปกติไป  นั่นคือการมีความจงรักภักดีและมีความรับผิดชอบ  หากพบว่าคนคนหนึ่งซึ่งบริหารจัดการสิ่งทั้งหลายนั้นไม่มีความเหมาะสม ต้องทำอย่างไร?  ต้องมอบหมายงานใหม่ให้พวกเขาทันที และหาใครบางคนมาแทนที่พวกเขา  ตัวอย่างเช่นคนบางคนที่ลอยชายไปวันๆ หลงรักการกินแต่ไม่รักการทำงาน ไม่มีความรับผิดชอบ  พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งของของคริสตจักรอย่างปล่อยปละละเลย ราวกับเป็นสมบัติสาธารณะ คิดว่านั่นไม่เป็นไรตราบที่สิ่งของเหล่านั้นไม่สูญหาย  ส่วนที่ว่าสิ่งเหล่านั้นขึ้นราหรือถูกหมู่แมลงกลุ้มรุมอาศัยหรือไม่ หรือถูกทำให้เสียหายหรือไม่ พวกเขาทั้งไม่ใส่ใจและไม่ถามถึง  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าถามพวกเขา พวกเขาก็พูดว่าพวกเขาได้ไปตรวจดูแล้ว และทุกอย่างก็ปกติดี  ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาไม่ได้ไปตรวจดูสิ่งต่างๆ นานแล้ว  และแล้วก็ถึงวันที่จู่ๆ ใครบางคนก็พบว่าธัญพืชได้ขึ้นราไปแล้ว อีกทั้งสายไฟในอุปกรณ์บางอย่างก็ถูกหนูกัดไปแล้ว หนำซ้ำหนังสือพระวจนะของพระเจ้าก็เปียกชื้นเสียจนลายลักษณ์อักษรพร่าเลือนและไม่ชัดเจน  การเพิ่งค้นพบสิ่งเหล่านี้เมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้น—นั่นสายเกินไปไม่ใช่หรือ?  (ใช่ ความเสียหายได้เกิดขึ้นไปแล้ว)  นั่นคือผลลัพธ์ของการบริหารจัดการที่ไม่ถูกควร  เช่นนั้นคนผู้ที่กำลังบริหารจัดการสิ่งเหล่านั้นอยู่ก็ไม่เหมาะสมไม่ใช่หรือ?  พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่แย่และไร้ศีลธรรมไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกผู้ไม่มีความเชื่อจะเรียกคนประเภทนี้ว่าไร้ศีลธรรม พวกเราว่าอย่างไร?  ความเป็นมนุษย์ของบุคคลนี้ไม่ดี พวกเขาไม่จงรักภักดี  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะลุล่วงความรับผิดชอบเล็กน้อยนั่น พวกเขาทำไม่ได้แม้แต่บางสิ่งที่บางคนยอมเจ็บปวดแค่เล็กน้อย มีมโนธรรมและความเป็นมนุษย์แค่นิดหน่อยก็สามารถทำได้  พวกเขายังคงเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าอยู่หรือไม่?   แม้แต่ผู้ไม่มีความเชื่อยังมีทัศนะที่ว่า “ไม่ว่าผู้อื่นจะวางใจมอบอะไรให้ทำ ก็จงพยายามอย่างที่สุดที่จะทำอย่างสัตย์ซื่อ”—คนผู้นี้ทำไม่ได้ตามมาตรฐานทางศีลธรรมขั้นต่ำสุดของผู้ไม่มีความเชื่อด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เหมาะที่จะรับใช้ในฐานะสมาชิกของบุคลากรฝ่ายบริหารจัดการสิ่งของ  ผู้คนที่ไม่เหมาะสมต้องถูกจัดการอย่างทันท่วงทีและหาคนที่เหมาะสมมาเปลี่ยน  หากเจ้าไม่ไว้วางใจบุคคลากรฝ่ายบริหารจัดการสิ่งของ และเจ้าไม่มีเวลาตรวจสอบสิ่งทั้งหลายด้วยตัวเอง หรือไม่ติดตามดูและตรวจสอบสิ่งทั้งหลายเนื่องจากเหตุผลตามสภาพการณ์บางอย่าง ในกรณีนั้นต้องทำเช่นไร?  เจ้าอาจให้คนผู้นั้นที่บริหารจัดการสิ่งทั้งหลายเขียนหนังสือรับประกันโดยพูดว่า หากสิ่งของที่พวกเขาบริหารจัดการมีความเสียหาย พวกเขาจะจ่ายชดใช้ให้ หรือว่าพวกเขาจะเต็มใจยอมรับโทษปรับทุกชนิดจากพระนิเวศของพระเจ้า  การนี้ต้องได้รับการแก้ไขไปตามระบบบริหารปกครอง  หากผู้นำหรือคนทำงานสามารถทำการงานของตนได้ถึงระดับนี้ พวกเขาก็กำลังลุล่วงหน้าที่ของตน

ไม่ว่าวัสดุสิ่งของใดของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ราคาแพงหรือราคาถูก ไม่ว่าจะมีประโยชน์กับเจ้าหรือไม่ หากเจ้าถูกใช้ให้มาบริหารจัดการสิ่งนั้น เช่นนั้นก็เป็นความรับผิดชอบของเจ้า  งานนี้ตกอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ดังนั้นเจ้าควรหาคนที่ใช่และสถานที่ที่ใช่เพื่อให้งานนี้ได้รับการพิทักษ์อย่างเหมาะควร  จงอย่ายอมให้สิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย  ตัวอย่างเช่น การพิทักษ์รักษาหนังสือพระวจนะของพระเจ้า—ครั้นผู้นำหรือคนทำงานได้จัดการเตรียมบุคลากรที่เหมาะสมสำหรับหนังสือเหล่านั้นแล้ว พวกเขาควรยังคงไต่ถามความเป็นไปเป็นระยะๆ ว่า “ช่วงนี้มีหนังสือออกมามากมายเลย แต่อย่าประมาท ถึงอย่างนั้นก็เหลือน้อยลงไปแล้ว  ในการเก็บรักษาหนังสือ สิ่งสำคัญหลักก็คือไม่ปล่อยให้หนังสือเกิดเปียกชื้นหรือถูกแสงแดดทำลาย และไม่ปล่อยให้หนังสือเหล่านั้นถูกเบียดทับจนเสียรูปทรง”  พวกเขาต้องไต่ถามความเป็นไปและสอบถามข้อมูลเป็นระยะ  หากหนังสือใหม่มาถึง พวกเขาต้องถามว่าหนังสือเหล่านั้นได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างดีเพียงใด ว่าหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดจะลงตัวพอดีที่จุดเดิมหรือไม่ และหากไม่พอดี ได้มีการหาอีกจุดไว้ให้หนังสือเหล่านั้นหรือยัง และจุดนั้นเป็นอย่างไร เป็นจุดที่แห้งและปลอดภัยหรือไม่ หนังสือถูกจัดเก็บอย่างดีหรือไม่ และหากมีเรื่องของพวกหนูให้เป็นกังวล จำเป็นต้องเลี้ยงแมวหรือไม่  สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ และเป็นความรับผิดชอบที่พวกเขาต้องลุล่วง  งานนี้อาจจะดูค่อนข้างไม่มีนัยสำคัญ แต่ก็เป็นหนึ่งในกิจที่ผู้นำและคนทำงานควรทำเป็นประจำเช่นกัน  จงอย่าตีค่าเรื่องนี้ต่ำกว่าที่ควรเป็น—ต้องให้ความสำคัญกับการนี้  สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นสมบัติสาธารณะและไม่ได้เป็นของบุคคลใด แต่สิ่งเหล่านั้นก็ต้องได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างดี ไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นจะมีประโยชน์ต่อเจ้าในภายภาคหน้าหรือไม่ และไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของที่ให้เจ้าใช้ได้หรือไม่ การพิทักษ์รักษาสิ่งเหล่านั้นให้ดีเป็นหน้าที่ของเจ้า เป็นเรื่องที่ตกแก่เจ้า และเจ้าไม่ควรมองหาเหตุผลหรือข้อแก้ตัวใดที่จะผลักไสหรือไม่ใส่ใจเรื่องนี้  ตราบที่บางสิ่งเป็นความรับผิดชอบของเจ้า นั่นก็คือบางสิ่งที่เจ้าควรบริหารจัดการ คืองานที่เจ้าควรทำ ด้วยทั้งหมดนี้ เจ้าควรสอบถามข้อมูลและพยายามทำความเข้าใจสิ่งทั้งหลาย หรือมีส่วนร่วมในการนั้นด้วยตัวเอง  แน่นอนว่า หากเจ้ามีเวลาที่จะไปยังหน้างานและดูให้เห็นกับตาตัวเอง นั่นย่อมจะดีกว่า  แต่หากสภาพการณ์และภาวะทั้งหลายไม่อำนวยให้เป็นเช่นนั้น หากเจ้ายุ่งกับงานมากเกินไป เจ้าก็ยังคงควรที่จะสอบถามข้อมูลและไต่ถามถึงงานนั้นตามจังหวะเวลาอันควร โดยพยายามที่จะเก็บรักษาสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้เสียหายหรือสูญเปล่าในหนทางใด  การทำเช่นนี้หมายความว่าเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำและคนทำงานแล้ว

การจัดสรรอันสมเหตุผล

สำหรับวัสดุสิ่งของในพระนิเวศของพระเจ้า มีงานอีกชิ้นที่สำคัญเหนือกว่าการพิทักษ์รักษาสิ่งของเหล่านั้น นั่นก็คือ การจัดสรรสิ่งเหล่านั้นอย่างสมเหตุผล  สิ่งของทั้งหมดนี้มีไว้ให้ผู้คนได้ใช้—เป็นสิ่งที่มีประโยชน์—ดังนั้นเป้าหมายหลักในการพิทักษ์รักษาสิ่งเหล่านี้ก็คือเพื่อให้สิ่งเหล่านี้ถูกใช้อย่างสมเหตุผล  การที่สิ่งของเหล่านี้จะถูกนำไปใช้อย่างสมเหตุผลก็ขึ้นอยู่กับการจัดสรรอย่างสมเหตุผลของผู้นำและคนทำงานเสียก่อน  การจัดสรรอันสมเหตุผลคืออะไร?  พระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมและกฎเกณฑ์ว่าสิ่งของเหล่านี้ควรถูกมอบให้ผู้ใดไปใช้  ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ถูกถวายโดยเหล่าพี่น้องชายหญิงหรือจัดซื้อมาโดยพระนิเวศของพระเจ้า จุดประสงค์หลักของสิ่งของเหล่านี้ก็ไม่ใช่การกักตุนไว้เพื่อการบรรเทาทุกข์หรือเป็นของบริจาคสำหรับงานสงเคราะห์ แต่ของเหล่านี้มีไว้เพื่อให้พี่น้องชายหญิงทุกคนที่ทำหน้าที่เต็มเวลาได้ใช้ต่างหาก  ดังนั้นวิธีจัดสรรสิ่งของเหล่านี้—หลักธรรมใดบ้างที่มีไว้สำหรับการจัดสรรสิ่งเหล่านี้—เป็นอีกหนึ่งความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงในการบริหารจัดการวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ในที่นี้พวกเราก็ได้เอ่ยถึงการจัดสรรอันสมเหตุผลไปแล้ว การมีความ “สมเหตุผล” คือหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้ในกรณีนี้

I. การจัดสรรหนังสือพระวจนะของพระเจ้าอย่างสมเหตุผล

พวกเราจะเริ่มด้วยหนังสือพระวจนะของพระเจ้า  ทุกครั้งที่มีการออกหนังสือใหม่ พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ในแง่ของหลักธรรมที่คำนึงว่า ควรออกหนังสือเหล่านั้นให้กับผู้ใด  ในคริสตจักรมีผู้คนที่อ่านพระวจนะของพระเจ้ากับผู้คนที่ไม่อ่าน มีผู้คนที่รักความจริงกับผู้คนที่ไม่รัก และมีผู้คนที่ทำหน้าที่กับผู้คนที่ไม่ทำ—ควรมีการแยกความแตกต่างระหว่างประเภทของผู้คนเหล่านี้  มีหนังสือพิเศษในหมวดหมู่ตำราเรียนบ้างเช่นกัน—หนังสือไวยากรณ์ พจนานุกรม และหนังสือเครื่องมืออื่นๆ  หนังสือเหล่านี้ควรถูกแจกจ่ายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมอย่างเคร่งครัด  หนังสือเหล่านี้ต้องถูกมอบให้กับบรรดาผู้ที่จำเป็นต้องใช้ และไม่ถูกมอบให้กับพวกที่ไม่จำเป็นต้องใช้  แล้วก็มีการตีพิมพ์หนังสือเครื่องมือบางส่วนในปริมาณที่ค่อนข้างน้อย—หากหนังสือเหล่านี้ถูกออกให้กับบุคคลหนึ่ง บุคคลนั้นถูกกำหนดให้ทำอย่างไร?  เจ้าอาจอ่านหนังสือเหล่านี้ได้ แต่ห้ามทำให้เสียหาย ห้ามวางทิ้งไปทั่วหรือซี้ซั้วฉีกหน้าหนังสือออกมา  และหนังสือเหล่านี้ต้องถูกเก็บคืนเข้าที่เมื่อเจ้าอ่านเสร็จ  สำหรับหนังสือเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ผู้นำและคนทำงานควรแจกจ่ายโดยสอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด และพวกเขาควรให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้เข้าใจหลักธรรมทั้งหลายเช่นกันและปฏิบัติตนตามหลักธรรมเหล่านั้น

II. การจัดสรรอุปกรณ์นานาชนิดอย่างสมเหตุผล

ต่อไปนี้คือวิธีจัดสรรอุปกรณ์นานาชนิด  นี่เป็นกิจที่สำคัญมากทีเดียว  อุปกรณ์หลายๆ ชนิดมีการจัดสรรที่ค่อนข้างเคร่งครัดกว่า  อุปกรณ์ดังกล่าวประกอบไปด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงเครื่องมือที่พึงต้องมีสำหรับวิชาชีพสารพัน  ยามที่ผู้นำและคนทำงานแจกจ่ายอุปกรณ์เหล่านี้ก็ควรมีหลักธรรมด้วยเช่นกัน  บรรดาผู้ที่ได้รับการออกอุปกรณ์เหล่านั้นให้ต้องเป็นผู้ที่สามารถใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวได้อย่างคุ้นเคยและใช้แบบถูกต้องสมเหตุผล  หากใครบางคนเป็นน้องใหม่หรือเพียงแค่ไม่เข้าใจวิธีใช้สิ่งนั้น ก็ต้องไม่ออกสิ่งนั้นให้พวกเขา  ให้ยึดถือหลักธรรมนี้ไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นเยี่ยมคุณภาพดี อาทิ กล้องถ่ายรูปชั้นเยี่ยม และคอมพิวเตอร์ราคาสูง ตลอดจนอุปกรณ์บันทึกเสียง อุปกรณ์ถ่ายภาพ หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับขั้นตอนหลังการผลิตงานวิดีทัศน์—การออกอุปกรณ์แบบนี้ให้กับคนแบบนั้นยิ่งไม่ได้เด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหาย  ผู้นำและคนทำงานต้องแน่ใจว่าบรรดาผู้ที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวนั้น อันดับแรกคือสามารถมองเห็นคุณค่าของอุปกรณ์นั้น และรองลงมาคือสามารถใช้และบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังกล่าวอย่างถูกต้อง  ตัวอย่างเช่นอุปกรณ์บางอย่างมีกฎเกณฑ์ว่าต้องให้เวลาพักสิบนาทีหลังการใช้งานสองชั่วโมง เพื่อให้เครื่องเย็นลง  หากเครื่องไม่เย็นลงก็จะทำให้อุปกรณ์นั้นเสียหายและมีอายุใช้งานสั้นลง  ผู้คนที่มองเห็นคุณค่าของอุปกรณ์นั้นจะใช้มันโดยสอดคล้องกับข้อควรระวังในการบำรุงรักษาอย่างเคร่งครัด พวกเขาจะปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านั้นเองโดยที่เจ้าไม่ต้องบอก อีกทั้งพวกเขาจะยิ่งเคร่งครัดและยิ่งระมัดระวังขึ้นไปอีกหากเจ้ากระตุ้นเตือนพวกเขา  ผู้คนเช่นนั้นเหมาะที่จะใช้อุปกรณ์ต่างๆ พวกเขาเหมาะสมกับการใช้สิ่งของชั้นเยี่ยม เพราะพวกเขารู้จักมองเห็นคุณค่าของอุปกรณ์ และพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับข้อควรระวังในการบำรุงรักษาและการซ่อมแซม  ผู้คนดังกล่าวที่สามารถหวงแหนทะนุถนอมอุปกรณ์และใช้มันอย่างปกติได้คือผู้ที่เหมาะที่สุดสำหรับการจัดสรรและการแจกจ่ายอุปกรณ์ระดับสูง  ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินการตรวจสอบอย่างเหมาะสมในเรื่องนี้  หากมีคอมพิวเตอร์ชั้นเยี่ยมอยู่หนึ่งเครื่อง และได้ออกให้กับผู้ใดก็ตามที่ยื่นคำขอโดยบอกว่าตนจำเป็นต้องใช้ หลักธรรมตรงนั้นถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  อะไรที่ไม่ถูกต้องในเรื่องนี้?  สำหรับผู้นำและคนทำงานนั้น ในส่วนของการแจกจ่ายและจัดสรรสิ่งของเช่นนั้นควรอยู่บนพื้นฐานของความสามารถทางวิชาชีพของผู้ที่ถูกจ่ายงานให้ทำกิจนั้น อีกส่วนก็คือพวกเขาต้องแจกจ่ายและจัดสรรบนพื้นฐานที่ว่าคนคนนั้นทะนุถนอมอุปกรณ์ในระดับใด บนพื้นฐานที่ว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่ พวกเขาให้ค่ากับอุปกรณ์นั้นหรือไม่ขณะที่ตัวเองกำลังใช้งาน  หากคนคนนั้นไม่รู้จักดูแลอุปกรณ์นั้นและไม่คุ้นเคยกับทักษะในวิชาชีพนั้น อีกทั้งแค่อยากรู้อยากเห็นต้องการเล่นกับอุปกรณ์นั้น เช่นนั้นพวกเขาก็ควรถูกจำกัดและห้ามไม่ให้ใช้อุปกรณ์นั้น  พวกเขาไม่เหมาะที่จะใช้หรือดูแลอุปกรณ์ชั้นเยี่ยม  การให้พวกที่ทำงานธรรมดาใช้อุปกรณ์ธรรมดานั้นก็มากพอแล้ว  บรรดาผู้ที่รู้จักวิชาชีพ หรือมีความเป็นมนุษย์ที่ดี อีกทั้งรู้วิธีใช้ บำรุงรักษา และมองเห็นคุณค่าของอุปกรณ์อาจใช้สิ่งของระดับสูงกว่าได้ เพราะพวกเขารอบรู้ในวิชาชีพและสามารถใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ระดับสูงได้  หากเจ้าให้คนที่หยาบกระด้างหรือเลอะเลือนใช้ของระดับสูง พวกเขาก็จะทำลายอุปกรณ์นั้นภายในไม่กี่วัน  คนอื่นจะไม่สามารถใช้อุปกรณ์นั้นได้ และการซ่อมแซมก็ใช่ว่าจะง่ายดาย  นี่ไม่เพียงทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก แต่ยังทำให้สิ้นเปลืองวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอีกด้วย  เรื่องนี้อธิบายชัดถึงสิ่งใด?  อธิบายชัดว่าผู้คนเช่นนั้นไม่เหมาะที่จะใช้อุปกรณ์อย่างดี  อุปกรณ์อย่างดีต้องมีไว้ให้ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งคุ้นเคยกับวิชาชีพใช้  สำหรับพวกที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพและมีความเป็นมนุษย์ที่แย่นั้น ให้ใช้สิ่งของธรรมดาก็ดีพอแล้ว  การจัดสรรแบบนี้สมเหตุผลหรือไม่?  (สมเหตุผล)

สำหรับวัสดุสิ่งของทุกรูปแบบ ต่างคนก็มีวิธีปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นแตกต่างกันไป  คนบางคนซื้อคอมพิวเตอร์ชั้นเยี่ยมมา และหลังจากใช้ไปแล้วสองปีก็ยังดูใหม่อยู่ ไม่เคยมีรอยนิ้วมือให้เห็นบนหน้าจอเลย และแป้นพิมพ์ก็สะอาดเอี่ยมอยู่ตลอดเวลา ปราศจากฝุ่นแม้แต่ละอองเดียว  คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็เรียบร้อยและดูดีเช่นกัน อีกทั้งสิ่งที่จัดเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ล้วนเป็นระบบระเบียบและชัดเจนเลยทีเดียว  หากใครบางคนบอกพวกเขาว่า ถ้าใช้หน้าจอเป็นเวลานานจะไม่ดี พวกเขาก็จะถามเดี๋ยวนั้นถึงวิธีที่ดีที่สุดที่จะปกป้องหน้าจอ—วิธีใดดีที่สุด พวกเขาก็จะทำวิธีนั้น  หากใครบางคนบอกเขาว่า จำเป็นต้องให้คอมพิวเตอร์ได้พักหลังจากใช้งานเป็นเวลานาน มันจะทำงานแย่ลงหากเครื่องร้อนเกินไป มีผลต่ออายุงานของอุปกรณ์ เช่นนั้นพอพวกเขาตระหนักว่าตัวเองได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ของตัวเองมานานกว่าสองชั่วโมงแล้ว พวกเขาก็จะหยุดทันที และปล่อยให้คอมพิวเตอร์เย็นตัวลง  หากคอมพิวเตอร์เย็นตัวได้ช้าเพราะอากาศร้อนเกินไป พวกเขาก็จะตั้งพัดลมเป่าให้  พวกเขาปฏิบัติต่อเครื่องจักรด้วยความเอาใจใส่เป็นพิเศษมากราวกับเป็นลูกของตัวเอง  พวกเขาใส่ใจและระมัดระวังเป็นพิเศษเวลาที่เอาคอมพิวเตอร์ใส่กระเป๋า และเวลาที่วางลงบนโต๊ะ พวกเขาต้องทำความสะอาดพื้นโต๊ะและวางเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นอย่างเหมาะสม  นั่นคือจุดแข็งของพวกเขาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  คนเหล่านี้ไม่เพียงทะนุถนอมอุปกรณ์ของตัวเองเท่านั้น—แต่เมื่อพวกเขาเห็นผู้อื่นทำลายหรือทำให้อุปกรณ์ใดเสียหาย พวกเขาก็รู้สึกแทบทนไม่ได้  ผู้คนเช่นนั้นเหมาะที่จะใช้อุปกรณ์อย่างดี  คนมีเงินบางคนก็จะซื้อคอมพิวเตอร์ชั้นเยี่ยมเช่นกัน ซึ่งพอได้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นมาไว้ที่บ้าน พวกเขาก็ไม่ทะนุถนอมเลย  พวกเขาไม่ทำความสะอาดไม่ว่าฝุ่นจะเกาะจับคอมพิวเตอร์มากเพียงใด และพวกเขาก็ทำให้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นสกปรกทีเดียว  คนอื่นจะใช้อุปกรณ์ตัวหนึ่งอยู่นานสองปี และมันก็จะยังดูใหม่ แต่ผู้คนเหล่านี้ใช้อุปกรณ์อยู่สองเดือนก็ทำให้มันดูราวกับถูกใช้มาสิบปี  พอบอกพวกเขาว่าพวกอุปกรณ์ต่างๆ ต้องการการบำรุงรักษา พวกเขาก็จะพูดว่า “จะบำรุงรักษาของนั่นไปเพื่ออะไร?  เครื่องมือต่างๆ มีไว้ให้ผู้คนใช้  ถ้าพวกมันถูกใช้งานจนพัง ก็แค่ซื้อเครื่องใหม่!”  ผลลัพธ์ก็คืออุปกรณ์นั้นพังภายในไม่ถึงหกเดือนเนื่องจากถูกใช้งานอย่างไม่เหมาะสม  เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับผู้คนเช่นนี้?  พวกเขาเหมาะที่จะใช้อุปกรณ์ระดับสูงหรือไม่?  (ไม่เหมาะ)  ไม่ว่าคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาซื้อมาจะดูดีเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่คิดที่จะทะนุถนอม แต่กลับวางทิ้งไปทั่วและวางอย่างไม่ระมัดระวัง  คอมพิวเตอร์ของพวกเขาบางเครื่องเป็นรอยขีดข่วนจนดูไม่ได้ บ้างก็โดนน้ำจนเสียหาย บ้างก็หล่นพื้นจนแตกหัก  พวกเขาใช้คอมพิวเตอร์เหล่านั้นอย่างไม่ทะนุถนอมเลย  มีบางสิ่งหายไปในความเป็นมนุษย์ของผู้คนเช่นนั้น  พวกเจ้าเต็มใจจัดสรรอุปกรณ์อย่างดีให้ผู้คนเช่นนั้นใช้หรือไม่?  (ไม่เต็มใจ)  คนบางคนสวมแว่นตาและเช็ดเลนส์ไว้อย่างสะอาดมากเสมอ ในขณะที่บนผิวเลนส์ของคนอื่นนั้นโสโครกไปด้วยฝุ่นกับรอยนิ้วมือ และอะไรทำนองนั้น  พวกเขาใช้มันไปแบบนั้นได้อย่างไรด้วยซ้ำ?  บรรดาผู้ที่จะดูแลแว่นตาของตัวเอง โดยเฉพาะตอนที่กำลังวางแว่นลง พวกเขาจะไม่ให้เลนส์สัมผัสพื้นโต๊ะหรือวัตถุใด และไม่ให้เลนส์เป็นรอยขีดข่วนหรือมีรอยถลอก  แว่นตามีความสำคัญมากเป็นพิเศษต่อผู้คนที่สายตาสั้น—เจ้าจะใช้มันได้อย่างไรหากเจ้าทำให้เลนส์เป็นรอยขีดข่วน?  คนบางคนหยาบกระด้างต่อแว่นตาของตัวเอง และเลนส์แว่นก็พร่ามัวหลังพวกเขาสวมไปได้พักเดียว  ตอนที่กำลังสวมแว่นอยู่ พวกเขาก็มองอะไรไม่ชัด—ไม่สวมแว่นเสียยังดีกว่า  กระนั้นพวกเขาก็คิดว่าไม่เป็นไรที่จะสวมแว่นตานั่นต่อไปตามสภาพที่เป็นอยู่ ราวกับว่านั่นไม่ได้สร้างความแตกต่าง  นี่ทำให้เรางุนงง เป้าหมายของการที่พวกเขาสวมแว่นตาก็เพื่อให้สามารถมองสิ่งทั้งหลายได้ชัดเจนขึ้นไม่ใช่หรือ?  ด้วยเลนส์ที่เป็นรอยขูดขีดไปหมด พวกเขาสามารถมองอะไรได้ชัดเจนหรือ?  ผู้คนเหล่านี้หยาบกระด้างไม่ใช่หรือ?  ช่างหยาบกระด้างจริงๆ!  มีบางสิ่งหายไปจากความเป็นมนุษย์ของผู้คนที่หยาบกระด้างมากเกินไป—พวกเขาไม่รู้วิธีดูแลสิ่งของทั้งหลาย นับประสาอะไรที่พวกเขาจะทะนุถนอมสิ่งของเหล่านั้น

เมื่อเป็นเรื่องของอุปกรณ์และเครื่องมือที่สำคัญของพระนิเวศของพระเจ้า อะไรคือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน?  ในเวลาที่จัดสรรอุปกรณ์ดังกล่าว ต้องให้กับผู้คนที่เหมาะควร  แน่นอนที่สุดว่า บรรดาผู้ที่ใช้อุปกรณ์สำคัญระดับสูงเช่นนั้นต้องเป็นผู้คนที่รู้วิธีถนอมสิ่งของทั้งหลาย  พวกเขาจะทะนุถนอม ดูแล และบำรุงรักษาอุปกรณ์นั้นในขณะที่อยู่ในการครอบครองของตน เจ้าสามารถมั่นใจว่า พวกเขาจะไม่มีวันทำลายหรือทำให้อุปกรณ์นั้นเสียหายโดยตั้งใจ หรือเนื่องมาจากปัจจัยที่ตัวเองเป็นคนทำ เว้นเสียแต่ว่าโดยผ่านทางความประมาทเลินเล่อชั่วขณะ หรือการขาดความรู้ทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง  ผู้คนเช่นนั้นอาจใช้อุปกรณ์นี้ อาจมีการจัดสรรอุปกรณ์ระดับสูงอย่างดีนี้ให้กับพวกเขา  สำหรับผู้คนที่หยาบกระด้างโดยธรรมชาติในการใช้สิ่งของทั้งหลาย แค่ให้พวกเขาใช้ข้าวของธรรมดาก็ใช้ได้แล้ว  ผู้พิทักษ์รักษาอุปกรณ์และเครื่องมือดังกล่าวมีความรับผิดชอบในการเก็บบันทึกการใช้งานของพวกเขาด้วยเช่นกันว่า ใครเอาสิ่งใดไป และพวกเขาได้ใช้สิ่งนั้นอยู่นานเท่าไร หรือสิ่งของใดที่ไว้สำหรับให้ใครบางคนใช้แต่เพียงผู้เดียว หากเกิดความเสียหาย ใครควรชดใช้ตามมูลค่าของสิ่งนั้น  ทั้งสองฝ่ายต้องลงนามสำหรับสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้สิ่งต่างๆ เป็นธรรมและสมเหตุผลสำหรับทุกคน  เครื่องมือและอุปกรณ์ทั้งหลายต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่ว่าการใช้งานจะเป็นระยะสั้นหรือยาว ผู้ใช้ต้องเรียนรู้ที่จะใช้สิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้อง และหากสิ่งเหล่านั้นทำงานผิดปกติ พวกเขาควรซ่อมแซมอย่างทันท่วงที  ยิ่งงานนี้ถูกทำอย่างพิถีพิถันมากเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น  หากเกิดสถานการณ์ที่ระบอบของซาตานกำลังจับกุมผู้คน เช่นนั้นความรับผิดชอบซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของผู้นำและคนทำงานก็คือการจัดสรรอุปกรณ์และเครื่องมือที่สำคัญให้กับผู้คนที่ไว้วางใจพึ่งพาได้  ครั้นพวกเขาได้ส่งไปแล้ว พวกเขาควรให้คำแนะนำบางอย่างกับคนผู้นั้นโดยบอกพวกเขาว่า “สิ่งของเหล่านี้มาจากพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้คุณใช้ในการทำหน้าที่ของคุณ  สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่ของเล่น  คุณควรใช้อย่างสมเหตุผลและดูแลพวกมันให้ดี  อย่าทำให้สิ่งของเหล่านี้เสียหาย  เนื่องจากอุปกรณ์และเครื่องมือชิ้นต่างๆ เหล่านี้จำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ หากเกิดความเสียหายขึ้น ก็ควรมีการชดเชยตามมูลค่าของมัน  หากงานล่าช้าเพราะอุปกรณ์เสียหาย นั่นเป็นประเด็นปัญหาที่มีธรรมชาติร้ายแรงขึ้นไปอีก หมายความว่ามีการก่อกวนและการทำลายงานนั้น  ดังนั้นคุณต้องรู้วิธีที่จะใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทุกชนิดอย่างถูกต้องในการทำหน้าที่—คุณต้องไม่ทำให้สมบัติแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายอย่างเด็ดขาด  จงจดจำหลักธรรมเหล่านี้ให้ขึ้นใจเกี่ยวกับการใช้งานอย่างสมเหตุผล และการตรวจสอบ ซ่อมแซม และบำรุงรักษาเป็นประจำ—หากบางสิ่งทำงานผิดปกติ ให้รายงานอย่างทันท่วงทีและยื่นคำร้องขอส่งซ่อม”  เพื่อที่จะทำงานนี้ให้ดี ส่วนหนึ่งเหล่าผู้นำและคนทำงานก็ต้องรู้หลักธรรมของการจัดสรรและการใช้งาน อีกส่วนก็คือพวกเขาควรให้ผู้ใช้ได้รู้วิธีทำการบำรุงรักษาและการดูแลให้อยู่ในสภาพดี และจะทำการซ่อมแซมอย่างไรหากเกิดการทำงานที่ผิดปกติขึ้น เป็นต้น  นี่คือความรู้มาตรฐานที่ผู้คนควรมีและเข้าใจเมื่อเป็นเรื่องของการดูแลและใช้อุปกรณ์และเครื่องมือทุกชนิด

ผู้นำและคนทำงานจะต้องจัดสรรอุปกรณ์สารพัดของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสมเหตุผล  ตัวอย่างเช่น หากบุคลากรของงานจำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ซึ่งพร้อมด้วยคุณสมบัติเฉพาะอันค่อนข้างครอบคลุม เจ้าก็ควรจัดสรรให้พวกเขาหนึ่งเครื่อง  หากพวกเขาบอกว่าหนึ่งเครื่องไม่พอ เจ้าก็ต้องถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และเจ้าต้องสอบถามหลายๆ คนเพื่อดูว่าสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่นั้นตรงตามข้อเท็จจริงหรือไม่  จงอย่าแค่ให้คอมพิวเตอร์มากเท่าที่พวกเขาขอโดยดูจากคำขอของพวกเขาเท่านั้น หากพวกเขาบอกว่าหนึ่งเครื่องไม่พอก็ให้ไปสองเครื่อง หากพวกเขาบอกว่าสองเครื่องไม่พอก็ให้ไปสามเครื่อง  เช่นนั้นเจ้าจะไม่ได้กำลังแจกจ่ายคอมพิวเตอร์ราวกับเป็นของเล่นหรอกหรือ?  นั่นจะเป็นการไม่ยั้งคิดไม่ใช่หรือ?  ก่อนอื่นเจ้าต้องตรวจสอบสถานการณ์และตัดสินใจไปบนพื้นฐานของหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าต้องไม่อนุมัติการยื่นคำขอทุกลักษณะไปโดยพละการอย่างเด็ดขาด เผื่อว่าคนบางคนแค่กำลังยื่นคำขอแบบไม่รู้จักแยกแยะโดยใช้การทำหน้าที่มาบังหน้า  ยิ่งไปกว่านั้น คนบางคนที่กำลังทำงานสำคัญอาจจำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ระดับสูงกว่า ทว่าคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของพวกเขามีส่วนประกอบระดับต่ำกว่า  ผู้นำและคนทำงานต้องตรวจดูเรื่องนี้ให้ทันท่วงทีด้วย และจัดสรรอุปกรณ์อย่างสมเหตุผล  การจัดเตรียมคอมพิวเตอร์ควรถูกกำหนดบนพื้นฐานของธรรมชาติของงานที่คนคนหนึ่งทำและข้อกำหนดสำหรับระดับของคอมพิวเตอร์  หากใครบางคนเป็นแค่ผู้นำหรือคนทำงานธรรมดา และพวกเขาไม่ได้ทำงานด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์หรืองานฝ่ายผลิตวิดีทัศน์ และเพียงใช้คอมพิวเตอร์เพื่อทำสิ่งต่างๆ อาทิ การใช้อินเตอร์เน็ต การหาแหล่งทรัพยากร และการใช้โทรศัพท์เท่านั้น อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ต้องมีอะไรมากในแง่ของคุณสมบัติเฉพาะของคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองใช้ เช่นนั้นให้พวกเขาใช้เครื่องธรรมดาก็ใช้ได้แล้ว  ผู้สูงอายุบางคนรู้เพียงวิธีใช้งานที่เรียบง่าย อาทิ การพิมพ์ การเข้าอินเตอร์เน็ต และการโทร กระนั้น พอพวกเขากลายเป็นผู้นำหรือคนทำงาน ก็มีการออกคอมพิวเตอร์ชั้นเยี่ยมมากให้กับพวกเขา  นี่สมเหตุผลหรือไม่?  พวกเขากำลังแสวงหาสิทธิพิเศษไม่ใช่หรือ?  พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับผลประโยชน์จากสถานะไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  อุปกรณ์ระดับสูงชั้นเยี่ยมประเภทนี้มีไว้ใช้เพื่อสิ่งใด?  อุปกรณ์เหล่านี้มีไว้ให้บุคลากรซึ่งทำงานที่เกี่ยวข้องและบุคลากรมืออาชีพใช้  อุปกรณ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกับสถานะของคนคนหนึ่ง  ผู้นำและคนทำงานบางคนเชื่ออย่างเข้าใจผิดว่า พวกเขาควรได้เพลิดเพลินกับสิทธิ์การใช้งานที่เป็นสิทธิพิเศษเหนือสิ่งของนานาประการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นั่นใช่กฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ใช่  ครั้นคนบางคนกลายเป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว พวกเขาก็รีบออกคอมพิวเตอร์ มือถือ และหูฟังระดับสูง พวกเขาประดับไปด้วยอุปกรณ์ระดับสูงทุกชนิด  อะไรคือผลที่ตามมาของเรื่องนี้?  จริงหรือที่การนี้ทำไปเพื่อให้งานบรรลุผลลัพธ์ที่ดี?  ผู้คนเหล่านั้นกำลังทะยานอยากได้ความเพลิดเพลินทางเนื้อหนังไม่ใช่หรือ?  จะว่าไป เจ้ากำลังใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูงทำอะไรอยู่หรือ?  เจ้าก็แค่กำลังจัดให้มีการชุมนุมออนไลน์และการประกาศวาจาและคำสอนไม่ใช่หรือ?  เจ้ารู้วิธีอัพโหลดวิดีโอหรือไม่ หรือเจ้าสามารถผลิตวิดีโอได้หรือไม่?  เจ้ารู้วิธีทำนุบำรุงระบบรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายคอมพิวเตอร์หรือไม่ หรือเจ้าสามารถสร้างเว็บไซต์ได้หรือไม่?  เจ้ารู้วิชาชีพเหล่านี้หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้ คอมพิวเตอร์ระดับสูงจะมีประโยชน์อะไรต่อเจ้าหรือ?  น่าขยะแขยงไม่ใช่หรือที่ทำแบบนี้?  (ใช่)  หากเจ้ามีเงินของตัวเอง ไม่มีใครใส่ใจเลยว่าเจ้าใช้เงินนั่นซื้อคอมพิวเตอร์กี่เครื่อง และไม่มีผู้ใดจะก้าวก่ายไม่ว่าคอมพิวเตอร์เหล่านั้นระดับสูงเพียงใด  ตอนนี้พวกเรากำลังพูดถึงการที่วัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องถูกจัดสรรอย่างสมเหตุผลอย่างไร  “สมเหตุผล” หมายความว่าอย่างไร?  เมื่อผู้นำและคนทำงานใช้อุปกรณ์ระดับสูงนี้ของพระนิเวศของพระเจ้า นั่นนับเป็นการใช้อย่าง “สมเหตุผลหรือไม่”?  (ไม่)  พวกเขาไม่รู้วิชาชีพนั้นหรือวิธีที่จะทำสิ่งใด  การมีคอมพิวเตอร์ระดับสูงทำให้พวกเขามีระดับสูงหรือ?  พวกเขากำลังทำเอาหน้าไปเพื่ออะไร?  พระนิเวศของพระเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์ที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้นำและคนทำงานในการใช้และการจัดสรรวัสดุสิ่งของของพระนิเวศ พวกเขาไม่มีสิทธิพิเศษนั้น และนี่ไม่ใช่หลักธรรมอันสมเหตุผลสำหรับการที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดสรรสิ่งของ—นี่ไม่สมเหตุผลแต่อย่างใดเลย  คนบางคนอาจซื้อสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเองหากพวกเขาอยู่ในฐานะที่ทำเช่นนั้นได้ หากพวกเขาไม่ได้อยู่ในฐานะนั้น และจำเป็นต้องให้พระนิเวศของพระเจ้าจัดสรรให้ เช่นนั้นพวกเขาใช้คอมพิวเตอร์ธรรมดาก็พอแล้ว  นี่เป็นธรรมและสมเหตุผล  บรรดาผู้ที่รู้วิธีใช้อุปกรณ์ระดับสูงนี้อย่างแท้จริงคือบุคลากรมืออาชีพที่เกี่ยวข้องในงานนี้ ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าควรจัดสรรอุปกรณ์นี้ให้พวกเขา  เหล่านี้เป็นหลักธรรมบางประการที่เหล่าผู้นำและคนทำงานควรทำความเข้าใจและรู้ซึ้งในแง่ของการจัดสรรวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  จงตรวจดูอีกครั้งบนพื้นฐานของหลักธรรมเหล่านี้ ว่าสิ่งเหล่านี้ได้ถูกจัดสรรอย่างไม่สมเหตุผลตรงไหนบ้าง  หากมีก็จงเร่งทำการแก้ไขให้ถูกต้อง  หลังจากที่คนบางคนกลายเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขามองว่าไม่มีใครในพระนิเวศของพระเจ้ากำลังพะเน้าพะนอพวกเขา ไม่มีใครกำลังออกสิ่งของระดับสูงให้กับพวกเขา และพวกเขายังคงสวมเสื้อผ้าชุดเก่าของตัวเอง ยังคงใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเล็กสุดแสนธรรมดาของตัวเอง และพระนิเวศของพระเจ้ายังไม่ได้ตบแต่งพวกเขาด้วยของที่ดีเลย  ดังนั้นพวกเขาจึงไปหาฝ่ายการเงินและยื่นคำขอเพื่อซื้อคอมพิวเตอร์  นี่สมเหตุผลหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาพูดว่า “ถ้าคุณไม่ออกคอมพิวเตอร์ให้ฉัน ฉันก็จะไม่ทำหน้าที่—ฉันจะหาโอกาสทำให้พระนิเวศของพระเจ้าซื้อคอมพิวเตอร์ระดับสูงขึ้น รุ่นใหม่ขึ้น  ทำงานเร็วขึ้นให้กับฉัน!”  พวกเขากล้าดีมาก—ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะไม่กล้าทำ  หลังจากที่ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นผู้นำ พวกเขาปฏิบัติต่อพระนิเวศของพระเจ้าเหมือนเป็นของตัวเองโดยคิดว่า “เงินของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นของฉันเหมือนกัน—ฉันจะใช้จ่ายอย่างที่พอใจ!”  นี่คือบางสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์สามารถทำได้

III. การจัดสรรเสบียงและอาหารรายวันสารพัดอย่างสมเหตุผล

ตอนนี้พวกเราได้พูดถึงการจัดสรรวัสดุและอุปกรณ์สารพัดอย่างสมเหตุผลโดยละเอียดแล้ว  ถัดไปพวกเราจะพูดคุยเกี่ยวกับข้าวของสำหรับการดำรงชีพรายวัน ตัวอย่างเช่น ธัญพืช ผัก และอาหารแห้ง ตลอดจนส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรับการทำอาหาร อาหารเสริมนานาชนิด เป็นต้น  สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่แค่จะต้องได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างสมเหตุผลเท่านั้น แต่จะต้องได้รับการจัดสรรอย่างสมเหตุผลด้วย  เช่นนั้นแล้วสิ่งของสารพัดเหล่านี้จะต้องได้รับการจัดสรรอย่างสมเหตุผลอย่างไร?  พระนิเวศของพระเจ้ามีมาตรฐานสำหรับอาหารของพระนิเวศ และบรรดาผู้ที่บริหารจัดการสิ่งของดังกล่าวควรจัดสรรสิ่งของเหล่านั้นอย่างสมเหตุผลโดยยึดตามมาตรฐานเหล่านั้นอย่างเข้มงวด  พวกเขาจะต้องไม่ให้อาหารที่ดีในปริมาณที่มากกว่ากับบรรดาคนที่ใกล้ชิดกับตัวเอง  ตัวอย่างเช่น หากมีการจัดซื้อข้าวคุณภาพดีมีรสชาติมาบ้าง หรือหากมีการซื้อผลไม้หรือเนื้อสัตว์ที่ซื้อเป็นครั้งคราวเท่านั้น และเจ้าก็ออกสิ่งนี้ในปริมาณมากกว่าให้กับใครก็ตามที่เจ้ามีสัมพันธ์อันดีด้วย หรือออกข้าวของที่ดีทั้งหมดให้กับคนเหล่านั้น โดยส่งข้าวของที่ไม่ดีไปให้คนอื่น—นั่นถือเป็นการจัดสรรอันสมเหตุผลหรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นในที่นี้ “ความสมเหตุผล” ประเมินกันอย่างไรหรือ?  การจัดสรรสิ่งทั้งหลายในหนทางใดจึงอาจพิจารณาได้ว่าสมเหตุผล?  ตามหลักธรรมและมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดนั้น แม้แต่การจัดสรรอาหารก็ถูกระบุเงื่อนไขโดยออกให้มากเท่าที่ควรออกให้  หากเจ้ารู้สึกว่าตัวเองสนิทกับใครบางคน เจ้าอาจยกส่วนของตัวเองให้กับพวกเขา  จงอย่านำสิ่งที่เป็นของผู้อื่นมาเอื้อเฟื้อแจกจ่าย และจงอย่าใช้วัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาแสดงความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น หากเจ้าต้องการเอื้อเฟื้อ ก็จงใช้สิ่งที่เป็นของตัวเองทำเช่นนั้น  ความเอื้อเฟื้อไม่ใช่หลักธรรมในพระนิเวศของพระเจ้า—หลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้าคือการจัดสรรอันสมเหตุผล  การแจกจ่ายสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันและของกินนานาสารพันควรสอดคล้องกับมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้าตั้งไว้ ไม่ใช่อย่างขาดการพิจารณา  ธรรมดานั้น ผู้นำและคนทำงานอาจกำกับการและดูว่าผู้คนที่รับผิดชอบการแจกจ่ายสิ่งของเช่นนั้นมีความตั้งใจที่ดีหรือไม่ การแจกจ่ายของพวกเขาสมเหตุผลหรือไม่ การแจกจ่ายทำโดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ ผู้คนส่วนใหญ่รายงานเรื่องนั้นว่าอย่างไร พวกเขาร้องทุกข์อันใดหรือไม่ และทุกคนได้รับการดูแลหรือไม่  ต้องทำอย่างไรหากบางคราวสิ่งของเกิดขาดแคลน?  ไม่เป็นไรใช่หรือไม่หากผู้นำและคนทำงานเก็บไว้กินเอง?  บางคนอาจพูดว่า “ผู้นำกับคนทำงานมีสถานะและเกียรติยศสูงสุด และโดยปกติแล้วพวกเขาพูดกับพวกเรามากที่สุด ซึ่งทำให้พวกเขาปากแห้ง  หากมีของอะไรดีๆ ก็กันไว้ให้พวกเขากินเถิด”  นั่นไม่เป็นไรใช่หรือไม่ที่จัดสรรสิ่งของแบบนี้?  (ไม่ใช่ สิ่งของทั้งหลายควรถูกกันไว้ให้กับบรรดาผู้ที่จำเป็นอย่างแท้จริง)  หากผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่ค่อนข้างราคาแพงเกิดขาดตลาด ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นควรถูกจัดสรรอย่างไร?  ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นควรถูกจัดสรรให้กับบรรดาผู้ที่ได้สละตัวเองเพื่อพระเจ้ามาหลายปีและได้สร้างคุณูปการไว้  ผู้คนเหล่านี้มีสุขภาพที่แย่อันเนื่องจากวัย ทว่าพวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่อย่างเอาการเอางาน และเหล่าพี่น้องชายหญิงก็ได้ประโยชน์จากพวกเขาไปนับอนันต์  ผู้คนเหล่านี้จำเป็นต้องบำรุงรักษาและดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองสักหน่อย และการเอื้ออำนวยให้พวกเขาได้กินและใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเหล่านั้นย่อมมีแต่ถูกต้อง  ไม่มีใครควรทะเลาะกันเพราะเสบียงที่ขาดแคลน  นี่คือวิธีที่ผู้นำและคนทำงานต้องจัดสรรสิ่งของเหล่านี้  นี่สมเหตุผลหรือไม่?  (สมเหตุผล)  เช่นนั้นผู้คนส่วนใหญ่จะมีข้อคัดค้านต่อการจัดสรรแบบนั้นหรือไม่?  มีใครบ้างไหมที่พูดว่า “ฉันอาจไม่แก่ขนาดนั้น แต่ฉันก็มีงานให้ทำมากมายก่ายกอง—ทุกวันฉันทำงานเกินแปดชั่วโมง  งานของฉันอาจไม่มีประสิทธิภาพนัก และฉันก็อาจไม่ได้ทำงานนั่นมาหลายปีนัก แต่บางคราวสุขภาพของฉันก็ไม่ดีเยี่ยมนักเช่นกัน  ทำไมถึงไม่มีใครห่วงใยดูแลฉัน?  พอมีของดีๆ ก็ไม่เคยถึงคราวที่ฉันจะได้รับ แต่พอมีงานให้ทำ ก็ตามตัวฉันตลอด?”  ใครบางคนที่เป็นแบบนี้ต้องได้รับการปันส่วนให้หรือไม่?  ในเมื่อพวกเขามีหน้ามาขอสิ่งนี้ ก็เหลือให้พวกเขาบ้าง—นั่นสมเหตุผลหรือไม่?  พวกเจ้าจะเห็นด้วยกับการทำแบบนั้นหรือไม่?  (ไม่)  หากเป็นเรา เราจะเห็นด้วย  เหตุใดจึงต้องยุ่งวุ่นวายกับเรื่องเช่นนั้น?  ผู้คนไม่ใช่ดำรงชีวิตอยู่เพื่อความเพลิดเพลิน พวกเขาไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อกิน ดื่ม และสรวลเสเฮฮา  เหตุใดจึงทะเลาะกันเพราะเรื่องเช่นนั้น?  หากใครบางคนต้องการทะเลาะเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นจริงๆ และสภาพการณ์ของพวกเขาก็พอจะเหมาะควรอยู่บ้าง เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาได้เพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้นสักเล็กน้อย  จะได้เป็นการแสดงให้เห็นความเอื้อเฟื้อพิเศษต่อพวกเขาบ้าง แต่เจ้าก็จะไม่ได้เสียอะไรในเรื่องนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น  ดังนั้นสมมุติว่าใครบางคนจะพูดว่า “ทำไมคุณไม่ให้ฉันบ้าง?  สุขภาพของฉันก็ไม่ได้ดีเยี่ยม ถ้าฉันได้กินบางสิ่งที่ดีขึ้นมาจริงๆ ด้วยความที่ฉันมีสุขภาพที่ดีขึ้น ฉันก็จะสามารถทำงานได้มากขึ้นและรับความเจ็บปวดเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าได้มากขึ้น และงานของฉันก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น”  ในเมื่อพวกเขาได้ร้องขอมาแบบนี้ จงอย่าปฏิเสธให้พวกเขาต้องอับอาย จงแจกจ่ายให้พวกเขาไปบ้าง  ผู้คนอื่นก็ไม่ควรยุ่งยากนักกับเรื่องนี้—จงใจกว้างขึ้นสักหน่อย  ชีวิตของเจ้าก็จะไปต่อได้ดังที่เคยเป็นมาโดยไม่มีสิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?  สิ่งที่พระเจ้าทรงมอบแก่ผู้คนนั้นไม่ขาดแคลน แต่ล้นเหลือและอุดมสมบูรณ์—ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันเพื่อสิ่งของทั้งหลาย  หากมีสิ่งของพิเศษบางอย่าง และไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าตัวเองต้องมี หรือตัวเองจำเป็นต้องเพลิดเพลินกับสิ่งนั้น เช่นนั้นคนจำพวกใดก็ตามที่เสียงส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันที่สุดว่ามีความเหมาะสมที่สุดก็ควรได้รับสิ่งนั้นไปกิน  พวกเราเน้นความเป็นมนุษย์และการจัดสรรสิ่งทั้งหลายอย่างสมเหตุผล  บรรดาผู้ที่ได้สิ่งเหล่านี้มาควรยอมรับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าและขอบคุณสำหรับพระคุณของพระองค์  ผู้อื่นก็ต้องไม่ทะเลาะกันเพราะสิ่งเหล่านั้น  หากเจ้าทำแบบนั้น เจ้าก็ไม่มีเหตุผล เจ้ากำลังจงใจสร้างความเดือดร้อน และเจ้ากำลังแตกแถว  นี่คือวิธีจัดการกับสภาพการณ์พิเศษเช่นนั้น  สำหรับสภาพการณ์พิเศษกับสภาพการณ์ธรรมดานั้นมีหลักธรรมที่เหมือนกันอยู่ กล่าวคือ สภาพการณ์เหล่านั้นจะต้องไม่ถูกปฏิบัติอย่างขาดการพิจารณา และยิ่งต้องไม่ถูกปฏิบัติไปบนพื้นฐานของข้อกำหนดเกี่ยวกับสัมพันธภาพของมนุษย์  เมื่อสิ่งของเหล่านี้ถูกจัดสรรอย่างสมเหตุผล ผู้นำและคนทำงานย่อมได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว

ในการจัดสรรเสบียงและอาหารรายวัน ผู้นำและคนทำงานควรทำไปบนพื้นฐานของสถานการณ์จริง นับจำนวนคนตามจริง และปริมาณที่จำเป็นจริงๆ เพื่อจัดสรรสิ่งของเหล่านั้นไปในหนทางที่สมเหตุผลอย่างแท้จริง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองหรือประสบกับการสูญเสีย  นี่คือความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วง  บางคราวที่พวกเขาไม่มีความเข้าใจในสภาพการณ์อันเฉพาะเจาะจง พวกเขาอาจจัดสรรสิ่งของบางอย่างไปตามหลักธรรมพื้นฐาน และเรียนรู้ในภายหลังผ่านทางความคิดเห็นติชมของทุกคนและการติดตามผลที่ตามมาว่า การจัดสรรนั้นไม่สมเหตุผล ว่าการจัดสรรนั้นค่อนข้างยึดตามข้อบังคับไปหน่อย  ในกรณีนั้น คราวหน้าพวกเขาก็ต้องปรับปรุงเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหานั้นซ้ำ อีกทั้งเพื่อลดความสิ้นเปลืองและการสูญเสีย  นั่นคือการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขา  แน่นอนว่า เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายและความสิ้นเปลือง ส่วนหนึ่งพวกเขาก็ต้องปรึกษาหารือกันให้มากขึ้นขณะที่จัดสรรสิ่งของ พวกเขาต้องยึดมั่นอยู่กับหลักธรรมทั้งหลายอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่จำเป็น  จงอย่าจ่ายสิ่งของออกไปอย่างขาดการพิจารณา โดยไม่ให้สิ่งของกับบรรดาผู้ที่จำเป็นต้องได้รับอย่างแท้จริง ไม่ให้สิ่งของกับบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยใจจริง ผู้ซึ่งมีความเป็นจริงความจริง แต่กลับเจาะจงมอบให้กับพวกประจบสอพลอที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  การทำเช่นนั้นเป็นการปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่?  (ไม่)  การทำแบบนั้นเป็นความเลินเล่อไม่ใช่หรือ?  การไม่ปฏิบัติตนตามหลักธรรมคือการไม่ลุล่วงความรับผิดชอบคนเรา  การลุล่วงความรับผิดชอบคนเราหมายถึงสิ่งใด?  การลุล่วงความรับผิดชอบไม่ใช่การทำแบบพอเป็นพิธีและยึดปฏิบัติตามข้อบังคับ อีกทั้งไม่ได้ลุล่วงด้วยการทำตามขั้นตอนที่วางไว้—กลับกัน การลุล่วงความรับผิดชอบคือการลงมือกระทำโดยยึดมั่นอย่างเคร่งครัดในหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้ ในเวลาเดียวกันก็ต้องมั่นใจว่าไม่เกิดกรณีสิ้นเปลืองหรือเสียหายกับสิ่งใดในพระนิเวศของพระเจ้า  นั่นคือการลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างแท้จริง  ตัวอย่างเช่น ในการจ่ายไข่ให้กับคนห้าคน เจ้าควรให้คนละหนึ่งฟองต่อวัน และออกให้พวกเขาทุกสิบวัน ดังนั้นเจ้าจะส่งไปให้พอดีห้าสิบฟอง  เจ้าควรจ่ายไข่ออกไปแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะจำนวนน้อยย่อมดูแลง่าย ยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นปริมาณที่พอดีกินสำหรับพวกเขา  นั่นเป็นการถูกต้องทีเดียวที่ปฏิบัติเช่นนี้ไปตามมาตรฐานและรายละเอียดเฉพาะที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้—นั่นคือการปฏิบัติตนไปตามหลักธรรม  หากผู้นำหรือคนทำงานเกรงจะเกิดความยุ่งยากจึงจ่ายไข่ออกไปเป็นจำนวนสำหรับหนึ่งร้อยวันต่อครั้ง—ไข่ห้าร้อยฟอง—นั่นจะพอเหมาะพอควรหรือไม่?  จงบอกเราที ไข่ห้าสิบฟองหรือห้าร้อยฟองที่ขนส่งและดูแลง่ายกว่า?  (ห้าสิบ)  จำนวนน้อยกว่าย่อมขนส่งและดูแลง่ายกว่า  คนบางคนส่งของเป็นจำนวนสำหรับหนึ่งร้อยวันจริงๆ ผลลัพธ์ก็คือ ไข่บางฟองแตกระหว่างทาง และบ้างก็แหลกเละตอนหอบหิ้วที่ปลายทาง  เมื่อมีไข่แตกทีละนิดตามติดกันมา ก็พาเอาเสียหายไปส่วนหนึ่งเลยทีเดียว  นอกจากนี้ เมื่อผู้คนเห็นไข่ถูกจ่ายออกไปมากมาย พวกเขาก็จะกินทิ้งกินขว้างกันตามสบาย และแล้วพวกเขาก็จะไม่เหลือไข่ให้กินก่อนถึงรอบส่งของถัดไป  ดังนั้นเมื่อไข่เหล่านี้แตกและเกิดความเสียหาย ต้นเหตุก็มาจากการปล่อยปละละเลยของผู้นำและคนทำงานไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากพวกเขาขอเพิ่ม เจ้าให้พวกเขาได้หรือไม่?  ตามหลักธรรมนั้น เจ้าไม่อาจให้พวกเขาเพิ่มได้อีกเลยก่อนถึงวันที่กำหนดไว้ แต่พวกเขารู้สึกคับแค้นใจเมื่อไม่มีไข่ให้กิน  ตรงนี้ต้องทำอย่างไร?  (ควรให้พวกเขาตามเวลาและตามปริมาณที่ถูกต้อง)  การให้พวกเขาตามเวลาและในปริมาณที่ถูกต้องเป็นการกระทำไปตามหลักธรรม—นั่นคือการจัดสรรอันสมเหตุผล  แน่นอนที่สุดว่า ในขณะที่จัดสรรสิ่งของเหล่านี้  ผู้นำและคนทำงานต้องยึดปฏิบัติตามหลักธรรมของการจัดสรรอันสมเหตุผลและมาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้ โดยออกของให้กับพวกเขาตรงตามเวลาและสม่ำเสมอ  นอกเหนือจากนั้น พวกเขาต้องเข้าใจโดยทันทีว่าได้มีกรณีสิ้นเปลืองหรือไม่ ได้มีการยื่นคำขอซ้ำหรือร้องขอสิ่งที่ขาดแคลนเนื่องจากถูกทำให้เสียของหรือไม่ และมีกรณีสูญเปล่าจากการที่ผู้คนไม่ชอบสิ่งของที่ออกให้หรือไม่  ตัวอย่างเช่น ทั้งเนื้อสัตว์และผักถูกออกให้ไป และผู้คนส่วนใหญ่ชอบเนื้อสัตว์มากกว่า ดังนั้นพวกเขาอาจบริโภคเนื้อสัตว์หมดภายในสามหรือห้าวันและเหลือผักไว้  ผักทั้งหลายไม่ได้ถูกเก็บรักษาอย่างดี จึงเสียสภาพไปบ้างและสักพักก็เน่า แล้วก็หมดลงก่อนออกของรอบถัดไป  เช่นนั้นบางคนอาจยื่นคำขอเข้ามาใหม่และขอเพิ่มปริมาณ  ควรให้เพิ่มหรือไม่ในกรณีแบบนี้?  สมเหตุผลหรือไม่ที่จะเพิ่มให้พวกเขา?  (ไม่สมเหตุผล)  ผู้คนอื่นจะแอบกินเนื้อและไข่จนหมด อีกทั้งกินผักทั้งหมดที่ตัวเองชอบ พร้อมกับให้เหตุผลและข้อแก้ตัวทุกชนิดที่จะไม่กินสิ่งที่ตนไม่ชอบ  พอผักเป็นสีเหลืองและสภาพไม่ดี พวกเขาก็บอกว่าผักพวกนั้นกินไม่ได้ และจบลงตรงที่พวกเขาใช้เป็นอาหารไก่และสุกร หรือไม่ก็แค่โยนทิ้งไป แล้วก็มาขอเพิ่ม  เมื่อผู้นำและคนทำงานเผชิญกรณีประเภทนี้ พวกเขาจะต้องรับมืออย่างไร?  หากพวกเขาพูดว่า “คราวหน้าฉันจะเพิ่มให้พวกคุณเพราะเห็นแล้วว่ามันไม่พอ—ในเมื่อพวกคุณกินเยอะ ฉันก็จะจัดเตรียมให้พวกคุณมากขึ้น”  นั่นใช่วิธีรับมือที่เหมาะควรหรือไม่?  นั่นเป็นการหน้ามืดตามัวไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาหน้ามืดตามัวอย่างไร?  (พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ ซึ่งก็คือ เหตุผลหลักที่อาหารที่ตนจ่ายออกไปไม่พอนั้น เป็นเพราะมันถูกทำให้เสียเปล่า)  พวกเขาผลีผลามสรุปโดยปราศจากการทำความเข้าใจว่าอันที่จริงแล้วกำลังเกิดอะไรขึ้น  ในสถานที่ส่วนใหญ่ที่พระนิเวศของพระเจ้าออกของให้ไปตามรายละเอียดเฉพาะนั้นมีอาหารให้กินอย่างเพียงพอ  เหตุใดจึงมีแต่สถานที่นี้แห่งเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยพอ?  นั่นต้องมีการสอบสวนเป็นพิเศษไม่ใช่หรือ?  พวกเขาต้องไปที่หน้างานและไต่สวนสถานการณ์อย่างรัดกุมและลงรายละเอียดเพื่อดูว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น  สุดท้ายแล้วโดยผ่านทางการสอบสวนและการทำความเข้าใจของพวกเขา พวกเขาก็พบว่าคนทำอาหารของสถานที่นั้นเป็นคนไม่ดีและไม่มีศีลธรรม นำอาหารสำหรับผู้คนไปเลี้ยงไก่ จงใจสิ้นเปลืองอาหารแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาค่อนข้างเรื่องมากกับสิ่งที่ตัวเองกิน และชอบกินแต่อาหารอร่อยเท่านั้น  พอไม่มีเนื้อสัตว์ พวกเขาก็จะไม่กินผัก และพอมีเนื้อสัตว์ แม้แต่เต้าหู้พวกเขาก็จะไม่กิน  เวลาที่มีไข่ พวกเขาก็เอามากินทุกมื้อ  พวกเขาเลือกแต่อาหารอร่อยโดยเฉพาะและไม่กินผักธรรมดาเลย และก็ไม่สนใจด้วยหากผักหมดสภาพ  เมื่อเข้าใจแล้วจึงได้เห็นว่าคนทำอาหารเป็นคนไม่ดี—เช่นนั้นควรหรือไม่ที่จะอนุญาตให้พวกเขาได้เพิ่มในตอนออกของคราวหน้า?  (ไม่ควร)  การไม่ให้พวกเขาเพิ่มขึ้นใช่การแก้ปัญหานี้ทั้งหมดหรือไม่?  ครั้นค้นพบปัญหานี้แล้วควรรับมืออย่างไร?  เปลี่ยนตัวพวกเขาทันที สลับตัวกับใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์เล็กน้อยให้รับหน้าที่ต่อ  ค้นหาและแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงที รวมทั้งกำจัดผู้คนที่ชั่วเช่นนั้น แอปเปิลเน่าเช่นนั้น  บางคนอาจถามว่า “ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำอาหารอีกต่อไปแล้ว ให้พวกเขาให้อาหารไก่จะได้ไหม?  (ไม่ได้)  หากพวกเขาให้อาหารไก่ ไก่ก็จะไม่ออกไข่ หากพวกเขาให้อาหารสุกร สุกรก็จะตัวผอมแห้ง  ให้พวกเขาเลี้ยงอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น  ผู้คนเช่นนั้นต้องถูกส่งตัวไปให้พ้น—พวกเขาไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า  หากพบปัญหาอื่นขณะจัดสรรวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็ควรแก้ไขในทันที  เป้าหมายของการแก้ไขปัญหาเหล่านี้คืออะไร?  เพื่อบรรเทาความสิ้นเปลืองและการเสียสภาพที่เกิดกับวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  บางคนอาจถามว่า “เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ต้องมีคนไปสืบสวนที่ห้องครัว  พระองค์ตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่า ไม่อนุญาตให้ผู้นำและคนทำงานเข้าไปในห้องครัว?  ทำไมตอนนี้ถึงอนุญาตพวกเขา?”  นั่นเป็นสองเรื่องที่แยกจากกัน  เราไม่ได้พูดว่าไม่อนุญาตให้พวกเขาไป—ที่พูดไปนั่นเป็นการชำแหละว่าผู้นำและคนทำงานไม่รู้วิธีทำงาน ได้แต่เอ้อระเหยลอยชาย ระเริงอยู่ในผลประโยชน์จากสถานะ ไปที่ห้องครัวเพื่อหาของดีๆ กินเป็นประจำ  ในกรณีที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ พวกเขากำลังไปที่ห้องครัวเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่หาของดีๆ กิน  เมื่อเป็นเวลาสมควรก็เข้าไปเถิด แต่เมื่อไม่สมควรก็จงอย่าเข้าไป  ผู้นำและคนทำงานมีงานให้ทำมากมาย และนี่ก็เป็นกิจหนึ่งของพวกเขา เป็นกิจซึ่งสามารถรู้ปัญหาที่เฉพาะเจาะจงนี้ได้ด้วยการลงลึกเข้าไปในห้องครัวและทำความเข้าใจรายละเอียดเท่านั้น  หากพบว่าคนทำอาหารไม่มีความเหมาะสม ก็ต้องปลดพวกเขาออกในทันทีและให้คนที่เหมาะสมมาแทน  การทำแบบนั้นทำให้มั่นใจว่าสิ่งของที่พระนิเวศของพระเจ้าออกให้จะไม่จบลงด้วยความสิ้นเปลืองหรือเสียสภาพ  ไม่ว่าเราอธิบายแบบไหน ข้อกำหนดที่มีต่อผู้นำและคนทำงานก็คือให้พวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบของตน—หากนั่นเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่เจ้าต้องห่วงใยดูแลและทำ เจ้าก็ต้องคอยห่วงใยดูแลและทำอย่างแน่นอนที่สุด  เจ้าต้องสังเกตด้วยตาตัวเองและใช้หูของตัวเองฟังอย่างตั้งใจว่าคนแต่ละจำพวกพูดอะไรกันบ้าง—และแน่นอนว่า ต้องจำให้ขึ้นใจด้วยว่าตัวเจ้าต้องมีความเห็น ความคิด และวิจารณญาณแยกแยะสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบ ที่สำคัญอีกอย่างก็คือการพึงระลึกไว้ในใจถึงหลักธรรมทั้งหลายที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ทำตามและการไม่เปลี่ยนแปลงไปจากหลักธรรมเหล่านั้นในทุกเมื่อ  ไม่ว่าเจ้ากำลังทำงานอะไรอยู่ก็ตาม ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดหลักธรรมและกฎเกณฑ์อะไรไว้บ้าง ก่อนที่เจ้าจะลงมือทำงาน เจ้าต้องถามคำถามแบบนี้กับตัวเองเพิ่มขึ้นสักสองสามรอบว่า ฉันเข้าใจชัดเจนในหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้หรือไม่?  ควรทำการนี้อย่างไรหากต้องทำไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  ควรทำการนี้ไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไรในสภาพการณ์พิเศษ?  ต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรในสภาพการณ์ธรรมดา?  แน่นอนที่สุดว่าเจ้าต้องถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้และคำถามอื่นๆ ทำนองนี้ให้มากขึ้นก่อนเจ้าลงมือทำงาน และอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ให้มากขึ้น  ส่วนหนึ่งก็เป็นการตรวจสอบตัวเอง อีกส่วนก็เป็นการยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า  การทำเช่นนั้นช่วยให้ผู้นำและคนทำงานผิดพลาดน้อยลงและเบี่ยงเบนน้อยลงในงานของตน ลดการสิ้นเปลืองวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และลดการสูญเสียที่เกิดกับพระนิเวศของพระองค์  สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การทำเช่นนั้นค้ำจุนความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน อีกทั้งทำให้ความรับผิดชอบเหล่านั้นลุล่วง  นั่นคือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำอย่างแท้จริง  นี่คือข้อกำหนดสำหรับผู้นำและคนทำงาน  การพิทักษ์รักษาและการจัดสรรวัสดุสิ่งของสารพันของพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ใช่กิจอันซับซ้อน  ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของการที่ตัวผู้นำและคนทำงานคุ้นเคยกับหลักธรรม อีกส่วนก็คือผู้นำและคนทำงานต้องสามัคคีธรรมหลักธรรมเหล่านี้กับผู้คนที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการวัสดุสิ่งของสารพัดเหล่านั้น ติดตามผลสิ่งทั้งหลายให้มากขึ้น และพยายามทำความเข้าใจสิ่งทั้งหลายให้มากขึ้น รวมทั้งตรวจสอบสภาวะการบริหารจัดการให้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามัคคีธรรมกับผู้ดูแลการจัดสรรวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าให้มากขึ้น เพื่อให้พวกเขารู้ซึ้งในหลักธรรมเหล่านี้อย่างถ้วนทั่วมากขึ้น  แน่นอนว่าผู้นำและคนทำงานต้องไต่สวนและถามถึงวิธีที่คนเหล่านั้นกำลังจัดสรรและออกสิ่งของเหล่านั้นอยู่ และถามว่ามีสภาพการณ์พิเศษอันใดหรือไม่ด้วยเช่นกัน—อย่างเช่น ถามว่าผู้ดูแลกำลังจัดสรรสิ่งของไปตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้สำหรับฤดูกาลที่ต่างกัน ที่เวลาต่างกัน และในกรณีที่คนหลากหลายประเภทมีความจำเป็นต่างกันหรือไม่  เป้าหมายของการทำเช่นนั้นก็เพื่อให้สิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล และได้ถูกใช้อย่างสมเหตุผลเท่าที่จะเป็นไปได้มากที่สุด และได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างเอาใจใส่ที่สุดพร้อมด้วยการบำรุงรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  นี่คือความรับผิดชอบของเหล่าผู้นำและคนทำงาน

การบริหารจัดการวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าให้ดีคือความรับผิดชอบของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน

เมื่อได้เข้าใจความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานไปแล้ว เจ้าได้เข้าใจหลักธรรมทั้งหลายที่พี่น้องชายหญิงทุกๆ คนควรรู้ซึ้งในการปฏิบัติต่อวัสดุสิ่งของสารพัดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าด้วยหรือไม่?  พวกเจ้าอาจไม่ใช่ผู้นำและคนทำงาน แต่เจ้าก็ยังควรลุล่วงความรับผิดชอบในการกำกับดูแลอยู่ดี  นี่เป็นสิทธิ์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ยังมีอีกด้วยว่า สำหรับวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้า—หนังสือและเครื่องมือทุกจำพวก อาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งของประจำวัน ตลอดจนสิ่งอื่นๆ—ทุกคนต้องปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ด้วยความรักและความเอาใจใส่  ทุกคนควรตรวจดู ซ่อมแซม และบำรุงรักษาสิ่งของสารพัดที่ตนกำลังใช้อยู่เป็นประจำด้วยเช่นกัน และพวกเขาควรใช้สิ่งของเหล่านั้นอย่างสมเหตุผล—อย่าปล่อยให้สิ่งของเหล่านั้นเกิดความเสียหายและสูญเปล่าขึ้นขณะอยู่ในการครอบครองของตน หรือทิ้งขว้างสิ่งของเหล่านั้นอย่างขาดการพิจารณา  บางคนพูดว่า “ของนี่ไม่ใช่ของฉันอยู่แล้ว ไม่ได้ซื้อด้วยเงินของฉัน  พระนิเวศของพระเจ้าออกให้ฉัน—นี่เป็นสมบัติสาธารณะ  ฉันไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าของนี่จะได้รับการบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมเมื่อไร หรือมันถูกจัดเก็บที่ไหน  ฉันเอามันไปไหนมาไหนด้วยก็ไม่ได้ ทำยังกับว่าฉันจะปล้นมัน”  นี่เป็นความคิดที่สมเหตุผลหรือไม่?  นี่ค่อนข้างเห็นแก่ตัวและขาดความเป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้นการใช้วัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าควรเป็นไปตามหลักธรรมใด?  หากเจ้าได้รับการจัดสรรบางสิ่งให้ใช้ เช่นนั้นสิ่งนั้นก็เป็นของที่เจ้าต้องซ่อมแซมและดูแลขณะที่เจ้าใช้มัน  เจ้าคือผู้รับผิดชอบโดยทั้งหมดทั้งสิ้น เจ้าควรทะนุถนอม ปกป้อง และปฏิบัติต่อสิ่งของนั้นราวกับเป็นสมบัติส่วนตัวของตนโดยไม่ต้องให้ใครมาจ้ำจี้จ้ำไชหรือกำกับดูแล  นั่นคือการมีความเป็นมนุษย์  ไม่ว่าสิ่งของนั้นอยู่ในสภาพใดตอนที่ถูกออกให้กับเจ้า เมื่อเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิ่งของนั้นอีกต่อไป หรือใช้เสร็จแล้ว เจ้าก็ควรส่งคืนให้กับผู้ที่พิทักษ์รักษาสิ่งนั้นในสภาพเดิมและไม่มีส่วนใดเสียหายโดยสมบูรณ์  นี่เรียกว่าการมีเหตุผล นี่เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ในความเป็นมนุษย์  เจ้าพูดว่าตัวเจ้าเชื่อในพระเจ้า ว่าตัวเองมีมโนธรรมและเหตุผล รักความจริง ไล่ตามเสาะหาความจริง และนบนอบความจริง แต่หากเจ้าไม่มีแม้แต่ความเป็นมนุษย์ขั้นต่ำสุดที่เจ้าควรมีในการปฏิบัติต่อวัสดุสิ่งของ เจ้าจะสามารถแม้แต่พูดถึงการรักความจริงหรือการปฏิบัติความจริงได้หรือ?  นั่นกลวงเปล่าไร้แก่นสารเกินไปนิดไม่ใช่หรือ?  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะลุล่วงความรับผิดชอบที่ควรทำในการปฏิบัติต่อวัสดุสิ่งของ นั่นก็แปลว่าความเป็นมนุษย์ของเจ้านั้นไม่ดี—ที่เรียกกันทั่วไปว่า “การขาดความเป็นมนุษย์”  นอกจากนี้ ไม่ว่าเจ้าใช้สิ่งของของตัวเองอย่างไร ไม่ว่าเจ้ามือหนักหรือพิถีพิถันในการหยิบจับสิ่งเหล่านั้น นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเจ้า  ไม่มีผู้ใดจะไปก้าวก่าย  แต่พระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมในการใช้สิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  หลักธรรมเหล่านี้ล้วนมีพื้นฐานหนักแน่นอยู่บนมโนธรรมและเหตุผล และแม้ว่าหลักธรรมเหล่านั้นอาจไม่สูงส่งเทียบเท่าความจริง แต่อย่างน้อยที่สุดก็เป็นไปตามมาตรฐานสำหรับความเป็นมนุษย์  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทำได้ตามมาตรฐานนี้สำหรับความเป็นมนุษย์ หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะปฏิบัติและใช้เครื่องไม้เครื่องมือรวมทั้งเสบียงที่พระนิเวศของพระเจ้าออกให้เจ้าอย่างถูกต้อง เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหาว่าเจ้าจะสามารถเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่—นั่นจำเป็นต้องค้นหาคำตอบ ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของการปฏิบัติต่อสิ่งของเหล่านี้ เจ้ามีสิทธิ์ใช้สิ่งของเหล่านี้ และเป็นธรรมดาที่เจ้าต้องรับผิดชอบซ่อมแซม บำรุงรักษา และดูแลสิ่งของเหล่านี้ด้วยเช่นกัน  เจ้าต้องให้ความสำคัญกับสิ่งของเหล่านี้  หากเจ้าพูดเหมือนพวกผู้ไม่มีความเชื่อว่า “ยังไงนั่นก็ไม่ใช่ของฉัน ไม่ได้ใช้เงินของฉันซื้อมา  ถ้าของสาธารณะพังก็พังไป—ก็แค่ซื้อใหม่ หรืออย่างแย่ที่สุดก็ซ่อมมัน  ดูยังไงฉันไม่ขาดทุนอยู่ดี”  หากเจ้าคิดแบบนั้นย่อมเป็นปัญหา—เจ้าย่อมอยู่ในอันตราย  เจ้าไม่มีบุคลิกลักษณะอันซื่อตรง และไม่มีความตั้งใจดีในสิ่งที่ทำ  การใช้สิ่งของของตัวเองอย่างจำกัดจำเขี่ย แต่ปฏิบัติต่อสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าราวกับไม่สำคัญ ไม่ใส่ใจทะนุถนอมสิ่งของเหล่านั้น—นั่นคือใครบางคนที่ไม่ตั้งใจดีในสิ่งที่ทำไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าทรงโปรดผู้คนที่ไม่ตั้งใจดีในสิ่งที่ทำหรือไม่?  (ไม่)  จงบอกเราทีว่า พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ผู้คนที่ไม่ตั้งใจดีในสิ่งที่ทำหรือไม่?  (พระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์)  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์บรรดาผู้ที่ตั้งใจดีในสิ่งที่ทำกับพวกที่ไม่ตั้งใจดีไม่เหมือนกัน  เมื่อเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า เจ้าต้องทำอย่างไรหากพบว่าตัวเองกำลังคิดแบบนี้อยู่?  ปล่อยเลยตามเลยหรือ?  ปล่อยไว้อย่างนั้นโดยไม่ต้องตรวจสอบหรือ?  ไม่ต้องใส่ใจหรือ?  “ฉันคิดอะไรก็เรื่องของฉัน  คุณเป็นใครถึงมาก้าวก่าย?  ถ้าคุณให้ฉันใช้ของบางอย่าง เช่นนั้นฉันก็มีสิทธิ์ใช้มัน—และใช้แบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้าฉันแค่ไม่ทำเครื่องนั่นพัง  ทำไมคุณถึงเรียกร้องสูงปานนั้นและมากมายขนาดนั้น?”  นี่ใช่การคิดอ่านในหนทางที่ดีหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือ “การขาดความเป็นมนุษย์”  หากเจ้ามีความคิดแบบนั้น เจ้าต้องยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าและพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และมีความเป็นมนุษย์ที่แย่  ข้าพระองค์เคยคิดว่าตัวเองค่อนข้างสูงส่งและมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ข้าพระองค์จะไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งของเล็กน้อยนี่จะเผยข้าพระองค์ออกมา ข้าพระองค์มีความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว ข้าพระองค์ไม่มีความตั้งใจดีในสิ่งที่ทำ ข้าพระองค์มีจุดมุ่งหมายเล็กๆ ของตัวเอง  ข้าพระองค์เต็มใจยอมรับการพินิจพิเคราะห์และการบ่มวินัยของพระองค์ และข้าพระองค์เต็มใจกลับตัว”  เจ้าต้องอธิษฐานและกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยอมให้พระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์เจ้า  เมื่อเจ้าได้ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์แล้ว เจ้าควรกลับตัวอย่างไร?  เจ้าจะพูดว่า “การคิดอย่างที่ข้าพระองค์เคยคิดนั้นไร้ศีลธรรม—นั่นเป็นการคิดอ่านของพวกผู้ไม่มีความเชื่อ ของพวกผู้ไม่เชื่อ  ข้าพระองค์ไม่อาจคิดแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้ว  ข้าพระองค์ต้องไม่เดินบนถนนสายนั้น  ข้าพระองค์เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ข้าพระองค์จำเป็นต้องเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์และมีศักดิ์ศรี ข้าพระองค์จำเป็นต้องทำสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก  ข้าพระองค์จำเป็นต้องเปลี่ยนหนทางในการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทั้งหลายในภายหน้า  ข้าพระองค์ต้องให้สิ่งของเหล่านั้นได้พักเมื่อมันควรพัก ซ่อมแซมสิ่งเหล่านั้นเมื่อมันจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม บำรุงรักษาสิ่งเหล่านั้นเมื่อมันจำเป็นต้องได้รับการบำรุงรักษา  ข้าพระองค์ต้องทำความสะอาดมันให้บ่อย และตรวจดูส่วนประกอบของมันเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่ามันใช้งานได้ปกติ  และข้าพระองค์จะทำความสะอาดมันทันทีที่ข้าพระองค์ใช้เสร็จ และนำมันกลับคืนเข้าที่จัดเก็บซึ่งปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมากระทบกระทั่งให้เสียหาย”  แล้วจากนั้นพอเจ้าใช้อุปกรณ์ทั้งหลายอีกในภายภาคหน้า เจ้าก็จะระมัดระวังและใส่ใจเป็นพิเศษ  ทัศนะของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างคงเส้นคงวา และหนทางของเจ้าก็จะปรับปรุงดีขึ้น เปลี่ยนความคิดและการกระทำอันเห็นแก่ตัวน่าดูหมิ่นก่อนหน้านี้ไปเป็นสำนึกแห่งความรับผิดชอบ เป็นจิตใจที่ใส่ใจในสิ่งของ และจิตใจที่มีความรับผิดชอบ  การเปลี่ยนแปลงในการคิดอ่านของเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นที่เจ้าจะกลับตัวอย่างแท้จริง  นี่กลายเป็นการเปลี่ยนหนทางที่เจ้านำการคิดอ่านและความคิดของตัวเองมาลงมือทำจริงในการปฏิบัติของตน  ถึงจุดนี้นี่เองที่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรว่าเจ้ากำลังกลับตัวและกลับใจอย่างแท้จริง การเผยออกมาและการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่เจ้าทำจะเป็นที่ยอมรับจากพระเจ้าอย่างแท้จริง  นี่คือการปฏิบัติความจริง  อะไรคือสิ่งซึ่งเป็นรากฐานที่สุดที่คนเราต้องมีในการปฏิบัติความจริง?  สิ่งที่ผู้คนพึงมีคือมโนธรรมและเหตุผล  แล้วคนที่เห็นแก่ตัวน่าดูหมิ่นมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  เจ้าอาจรู้เหมือนเป็นเรื่องของคำสอนว่า เจ้าไม่อาจวางทิ้งสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกลื่อนไปทั่ว หรือทำให้สิ่งของเหล่านั้นเสียหายและสูญเปล่า หรือไม่รับผิดชอบต่อสิ่งของเหล่านั้น—แต่ท่าทีในหัวใจและความคิดของเจ้านั้นเป็นอย่างไร?  “การใส่ใจสิ่งของพวกนั้นได้ประโยชน์อะไรหรือ?  ของนั่นไม่ใช่ของฉันด้วยซ้ำ?”  การคิดเช่นนั้นจะเบี่ยงเบนพฤติกรรมของเจ้า แล้วถึงตอนนั้นคำสอนที่เจ้ารู้มาจะมีประโยชน์อะไร?  ไม่มี—นั่นจะเป็นแค่คำสอนที่ใช้การอะไรไม่ได้เลย  เพียงเมื่อเจ้าเปลี่ยนการคิดอ่านและทัศนะจากหน้ามือเป็นหลังมือ อีกทั้งกลับตัวและกลับใจได้อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น พฤติกรรมและการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าจึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลง  นั่นก็เป็นเวลาที่เจ้าจะเริ่มใช้ชีวิตตามสิ่งที่มีความเป็นมนุษย์ นั่นเป็นเวลาที่เจ้าจะเริ่มเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เรื่องเล็กเช่นนั้นเผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่ง ตลอดจนเผยว่าคนคนนั้นรักความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่

การบริหารจัดการวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรร่วมกันเสนอตัวในการกำกับดูแล การช่วยเหลือ และการให้ความร่วมมืออย่างถึงที่สุด  นี่เป็นความรับผิดชอบของทุกคน  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรทำหน้าที่เป็นแบบอย่าง  พวกเขาควรเริ่มที่ตัวเอง—เฉพาะเมื่อพวกเขาทำงานของตัวเองได้ดีแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะกำกับดูแลผู้อื่น และประเมินว่าสิ่งที่ผู้อื่นทำนั้นเหมาะควรและตรงตามหลักธรรมหรือไม่  นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน สิ่งของเล็กน้อยนั้นเผยความเป็นมนุษย์ของผู้คน ตลอดจนท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง  ผู้นำและคนทำงานควรทำงานนี้ให้ดี และทำด้วยความกุลีกุจอที่สุดไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพี่น้องชายหญิงธรรมดาทุกคนควรคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างเคร่งครัดและระมัดดระวัง  เจ้าต้องทบทวนตัวเองให้บ่อยว่าความเป็นมนุษย์และการคิดอ่านของตนมีปัญหาหรือไม่ ว่าตัวเองมีท่าทีจำพวกใดอยู่  เมื่อเจ้าพบว่าท่าทีและการคิดอ่านของตัวเองมีปัญหา เจ้าควรอธิษฐานและกลับตัวให้ทันท่วงที—และขณะที่บริหารจัดการหรือใช้สิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ส่วนหนึ่งเจ้าทั้งไม่ควรรู้สึกตำหนิตัวเองและไม่ควรรู้สึกไม่ดีกับพระเจ้า และส่วนหนึ่งเจ้าก็ควรได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น อีกทั้งพวกเขาก็เห็นชอบในสิ่งที่เจ้าทำและพูดว่าเจ้ามีความเป็นมนุษย์ซึ่งทุกคนล้วนเห็นอยู่เต็มตา  โดยหลักก็คือเพื่อให้ผู้คนค้ำจุนหลักธรรมในขณะที่ทำการนี้  นี่เป็นภาระผูกพันที่ผู้คนควรลุล่วง เป็นบางสิ่งที่สมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้าทุกคนควรสัมฤทธิ์  นี่ไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน

ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานประการที่สิบกันชัดเจนแล้วไม่มากก็น้อยใช่หรือไม่?  เมื่อได้เข้าใจหลักธรรมทั้งหลายแล้ว ผู้คนก็ควรใส่ใจและพิถีพิถันในการทำงานนี้ให้มากขึ้น อีกทั้งพวกเขาควรรับความเจ็บปวดกับงานนี้ให้มากขึ้นและไม่เกียจคร้าน—เช่นนั้นโดยเบื้องต้นแล้วพวกเขาก็จะสามารถลดความเสียหายและความสิ้นเปลืองวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และกันไม่ให้สิ่งของเหล่านั้นถูกนำไปอยู่ในครอบครองของพวกคนชั่วได้  นี่เป็นเรื่องที่ควรสัมฤทธิ์ได้  เหตุใดเราจึงพูดว่าการนี้สัมฤทธิ์ได้โดยง่าย?  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุกคนที่บ้าน  การใส่ใจในการบริหารจัดการสิ่งของที่บ้านของตัวเองนั้นง่ายดาย ดังนั้นหากเจ้าพิทักษ์รักษาสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าราวกับเป็นของเจ้าเองไปตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระองค์ จัดสรรสิ่งของเหล่านั้นอย่างสมเหตุผล และเริ่มลดทอนความเสียหายและความสิ้นเปลือง อีกทั้งไม่ปล่อยให้พวกคนชั่วครอบครองสิ่งของเหล่านั้น เช่นนั้นเจ้าก็จะกำลังลุล่วงหน้าที่ของผู้นำและคนทำงาน  ธรรมชาติของงานนี้ดูเหมือนเป็นกิจธุระทั่วไป  เหตุใดพวกเราจึงเรียกงานนี้ว่ากิจธุระทั่วไป?  งานนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการวัสดุสิ่งของ  จงบริหารจัดการและจัดสรรสิ่งของเหล่านั้นให้ดี และเจ้าจะกำลังลุล่วงความรับผิดชอบของตน  หลักธรรมของงานนี้ก็ค่อนข้างเรียบง่ายเช่นกัน—งานนี้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมข้อเดียวเท่านั้น และไม่เกี่ยวข้องกับความจริงอันซับซ้อนทั้งหลาย  ตราบที่คนเรามีภาระและมีเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง พวกเขาย่อมสามารถทำงานนี้ได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจความจริงมากมายเกินไป และไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขามากเกินไป  เพราะฉะนั้นงานนี้จึงเป็นงานเดี่ยวและเป็นกิจธุระทั่วไป  เป็นงานที่ผู้นำและคนทำงานทำได้ง่ายดาย  ตราบที่เจ้าขยันหมั่นเพียรขึ้นสักเล็กน้อย ตั้งคำถามให้มากขึ้น ไต่สวนให้มากขึ้น ใส่ใจให้มากขึ้น และมีเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง เจ้าก็สามารถทำได้แล้ว  งานนี้ไม่ซับซ้อนอะไรเลย  พวกเราเสร็จสิ้นสามัคคีธรรมเรื่องความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานประการที่สิบแล้ว  เรียบง่ายเช่นนั้นเอง

ท่าทีและการสำแดงของผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จที่มีต่อวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า

ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าได้เข้าใจความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานแล้ว พวกเราก็จะมาชำแหละการสำแดงทั้งหลายที่พวกผู้นำเทียมเท็จแสดงออกมาให้เห็นยามที่พวกเขาปฏิบัติงานนี้ และพวกเขาทำสิ่งใดจึงทำให้ถูกบรรยายลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ  อันดับแรกคือยามที่ผู้นำเทียมเท็จทำงานนี้ พวกเขาไม่สามารถพิทักษ์รักษาสิ่งของสารพันได้อย่างถูกควร  การพิทักษ์รักษาคืองานสำคัญอันดับแรกสำหรับวัสดุสิ่งของทุกจำพวก  พวกผู้นำเทียมเท็จเป็นคนที่ยุ่งเหยิงในทุกสิ่งที่ตนทำ กล่าวคือ นอกเหนือจากการจมปลักอยู่กับความสับสนงุนงงในเรื่องของความจริงและหลักธรรมสารพัดที่เกี่ยวข้องกับความจริงแล้ว พวกเขายังเป็นคนที่ยุ่งเหยิงในเรื่องของการพิทักษ์รักษาวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอีกด้วย  พวกเขาไม่รู้ว่าตนควรมองหาผู้คนประเภทใดให้มาบริหารจัดการสิ่งของเหล่านั้น หรือรู้ว่าสิ่งของเหล่านั้นควรถูกพิทักษ์รักษาในหนทางใด  พวกเขาไม่มีเป้าหมายที่แน่ชัดและไม่มีแผนการอันเฉพาะเจาะจง นับประสาอะไรที่จะมีขั้นตอนในรายละเอียดสำหรับการทำงานนี้  หากมีใครสักคนเต็มใจทุ่มความพยายาม สิ่งของเหล่านี้ก็สามารถได้รับการพิทักษ์รักษา หากไม่มี ผู้นำเทียมเท็จก็ปล่อยให้สิ่งของเหล่านี้ถูกเก็บไว้อย่างไม่ดูดำดูดี  พวกเขาไม่หาคนที่เหมาะควรมาพิทักษ์รักษา หรือหาสถานที่จัดเก็บอันเหมาะควรให้กับสิ่งของเหล่านั้น และยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่า พวกเขาจะสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมเฉพาะสำหรับการพิทักษ์รักษาสิ่งของเหล่านั้น  ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ทำการจัดการเตรียมการใดทั้งสิ้นสำหรับการเก็บเข้าที่ การซ่อมแซม และการบำรุงรักษาวัสดุสิ่งของเหล่านี้ในภายหน้าเลย  ผู้นำเทียมเท็จบางคนถึงกับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีสิ่งของใดบ้าง—พวกเขาไม่ใส่ใจและไม่ถามถึงเรื่องนี้  สมมุติตัวอย่างเช่นพระนิเวศของพระเจ้าได้ตีพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าเล่มใหม่ออกมา  หลังแจกจ่ายแล้ว หนังสือเหลือกี่เล่ม ใครถูกจัดการเตรียมการให้จัดเก็บหนังสือที่เหลือเหล่านั้น หนังสือเหล่านั้นถูกจัดเก็บอยู่อย่างไร และหนังสือเหล่านั้นถูกจัดเก็บอยู่ในสถานที่ที่ถูกต้องหรือไม่—ผู้นำเทียมเท็จจะไม่รู้อะไรในเรื่องเหล่านี้เลย และพวกเขาก็จะไม่ถามถึงหรือซักถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ด้วย  เหตุใดพวกเขาจึงจะไม่ซักถาม?  พวกเขาคิดว่าการพิทักษ์รักษาวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องเล็ก ตัวเองเป็นผู้นำ เป็นใครบางคนที่ทำเรื่องสำคัญๆ เป็นผู้ที่ทำการประกาศแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  พวกเขาไม่ใส่ใจใน “เรื่องเล็ก” เหล่านี้ แต่กลับมอบให้ผู้คนที่ไม่เข้าใจสิ่งใดเลยเป็นคนทำ และพวกเขาก็ไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นทำได้ดีหรือทำได้แย่  เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ให้ความสำคัญกับงานพิทักษ์รักษาวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย  นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง  อีกเหตุผลก็คือพวกผู้นำเทียมเท็จนั้นเลอะเลือน—จิตใจของพวกเขานั้นรกรุงรัง  พวกเขาไม่มีการคิดที่เป็นปกติ หรือมีความตระหนักรู้ในเรื่องการพิทักษ์รักษาสิ่งของ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติหรือเส้นทางเกี่ยวกับวิธีพิทักษ์รักษาสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าสิ่งของเหล่านี้เสียหายไปเท่าใด และพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่ามีเหตุสิ้นเปลืองหรือไม่  เมื่อสิ่งของบางอย่างถูกคนชั่วเอาไป ผู้นำเทียมเท็จจะพูดว่า “ปล่อยไปเถิด—ไม่ว่าจะกรณีไหน ทุกอย่างก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า”  สิ่งของสำคัญบางอย่างถูกคนนำไปใช้โดยไม่ได้รับการอนุมัติจากผู้ใด ผู้คนเหล่านั้นนำสิ่งของเหล่านี้ไป และผู้อื่นก็ไม่อาจใช้สิ่งของเหล่านี้ในงานของตนได้ และไม่มีใครกล้าไปขอ  ผู้ทำเทียมเท็จพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่ซื้อใหม่  พวกเขาเอาของนั่นไปก็ให้พวกเขาใช้ไปก่อน  นั่นก็แค่ของชิ้นหนึ่ง—ใครใช้ก็เหมือนกัน  ถ้าพวกเขากำลังใช้อย่างไม่สมเหตุผล นั่นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขากับพระเจ้า  พวกเราไม่จำเป็นต้องก้าวก่าย”  จงดูวิธีที่พวกเขาประกาศคำสอนอันเลิศหรูเพื่อ “รับมือ” กับประเด็นปัญหานั่น แปรประเด็นปัญหาใหญ่ให้กลายเป็นปัญหาเล็ก และแปรปัญหาเล็กให้กลายเป็นไม่มีอะไร  ผู้นำเทียมเท็จไม่ลุล่วงความรับผิดชอบใดของตนในเรื่องของการพิทักษ์รักษาสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย  พวกเขาไม่ใส่ใจและไม่ถามถึง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่แก้ไขหรือจัดการกับปัญหาใด  ต่อให้เบื้องบนตรวจสอบงานของพวกเขา พวกเขาก็แค่พูดจาหลบหลีกปัดความรับผิดชอบ ก็เท่านั้นเอง

พี่น้องชายหญิงบางคนซื้ออุปกรณ์ เสื้อผ้า และยาให้พระนิเวศของพระเจ้าได้ใช้ และเมื่อผู้นำเทียมเท็จเห็นสิ่งของเหล่านั้น พวกเขาก็จะเลือกค้นสิ่งของเหล่านั้น แล้วนำเสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋าดีๆ ไปเป็นของตัวเอง และอนุญาตให้ผู้อื่นเอาข้าวของซึ่งเหลือจากที่ตนต้องการไป  เมื่อพวกโง่ทึ่มที่มีพวกเขาเป็นผู้นำมองเห็นเรื่องนี้ คนเหล่านั้นก็พูดว่า “ผู้นำของพวกเราเลือกของที่เขาต้องการไปแล้ว—ทีนี้ก็ถึงตาพวกเรา  พอเราเลือกเสร็จ พวกเราค่อยโยนข้าวของไม่มีค่าที่เหลือให้พี่น้องชายหญิงที่อยู่ต่อจากพวกเราลงไป”  ไม่ว่าสิ่งของเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของผู้ใดก็เป็นของผู้นั้น และสิ่งของที่เหลือซึ่งไม่มีใครชอบก็ถูกทิ้งขว้าง และไม่มีใครพิทักษ์รักษาสิ่งของเหล่านั้น  และดังนั้น วัสดุสิ่งของสารพัดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจึงมีสถานที่พิทักษ์รักษาแต่เพียงในนาม แต่ในข้อเท็จจริงนั้น สิ่งของเหล่านั้นไม่ได้รับการพิทักษ์รักษาอยู่เลย—สถานที่เหล่านั้นคือกองขยะที่ไม่มีผู้ใดบริหารจัดการแต่อย่างใดเลย  พวกเขาแค่โยนสิ่งของไว้ในบางจุดและปล่อยให้สิ่งของเหล่านั้นกองสุมกัน  มีเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้า ยา และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนสินค้าประจำวันและเครื่องครัว—สุมรวมเป็นกองที่มีขยะทุกจำพวกอยู่ในนั้น และแม้แต่อาหารสำหรับผู้คนกับอาหารสำหรับสุนัขก็ยังปะปนกัน  หากเจ้าถามว่าใครบริหารจัดการสิ่งของเหล่านี้อยู่ และพวกเขาแยกชนิดสิ่งของหรือไม่ หรือมีคำแนะนำการใช้งานสำหรับสิ่งของเหล่านี้หรือไม่ และสิ่งของเหล่านั้นจำเป็นต้องได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างไร หรือสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นสำหรับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือ พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องมีสิ่งของเหล่านี้หรือไม่—ไม่มีผู้ใดรู้คำตอบ  ค่อนข้างเป็นเรื่องปกติที่เหล่าพี่น้องชายหญิงไม่รู้ แต่เหล่าผู้นำและคนทำงานกลับไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ไปด้วย—พวกเขาบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบต่อสิ่งของเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง โดยพูดว่า “ฉันไม่รู้” หรือ “ใครบางคนกำลังดูแลอยู่” อันเป็นการไม่แยแสต่อเจ้าและเป็นการการเล่นไม่ซื่อกับพระนิเวศของพระเจ้า  นี่เป็นเหตุให้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป  ไม่ยากเย็นเลยที่ผู้นำและคนทำงานจะหาผู้คนที่เหมาะสมมาบริหารจัดการวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าใช่หรือไม่?  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานที่เรียบง่ายในการมองหาใครสักคนซึ่งจงรักภักดีเพื่อมาพิทักษ์รักษาสิ่งเหล่านี้อย่างถูกควร เพื่อคอยจัดทำรายงานอย่างเหมาะสม และเพื่อคอยจำแนกหมวดหมู่สิ่งของเหล่านั้นให้ดีด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาทำสิ่งใดหรือ?  เมื่อพี่น้องชายหญิงได้มอบเสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันให้กับพระนิเวศของพระเจ้า และพวกผู้นำเทียมเท็จเห็นสิ่งของเหล่านี้ พวกเขาก็มะรุมมะตุ้มสิ่งของเหล่านั้นราวกับฝูงหมาป่าหิวโหยที่รวมหัวกันสวาปามเนื้อสัตว์  พวกเขาลองสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ชิ้นที่เข้ากับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก เลือกหยิบฉวยสิ่งของสำหรับตัวเองไปอย่างไม่รู้จักพอ  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าทำการจัดซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์สำคัญและราคาแพงชนิดต่างๆ พวกเขาก็รีบเลือกของดีให้ตัวเองก่อน  เหตุใดพวกเขาจึงเลือกของดีๆ?  พวกเขาคิดว่าในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน ตัวเองมีสิทธิพิเศษในการใช้งานสิ่งของทั้งหลายแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าออกสิ่งใดมา พวกเขาก็เลือกหยิบข้าวของที่ดีที่สุดก่อนเสมอ  นี่คือวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งของทั้งหลายแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่ใช่การทำงานหรือ?  นี่คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่หรือ?  พอมาถึงเรื่องสิ่งของที่มีวันหมดอายุ—ตัวอย่างเช่น อาหารและยา—แน่นอนว่าพวกผู้นำเทียมเท็จไม่สนใจเลย  พวกเขาทั้งไม่หาบุคลากรที่เหมาะสมมาบริหารจัดการสิ่งของเหล่านั้น และไม่บอกบุคลากรผู้นั้นว่า “สิ่งของพวกนี้บางอย่างมีวันหมดอายุ ดังนั้นให้ทำบันทึกเกี่ยวกับสิ่งของพวกนั้นตอนนี้เลย  รีบจัดสรรของพวกนี้ไปให้พี่น้องชายหญิงก่อนวันหมดอายุ ของจะได้ถูกใช้อย่างสมเหตุผล—อย่ารอให้หมดอายุเสียก่อน อย่าปล่อยให้เสียของ”  พวกผู้นำเทียมเท็จไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้  เมื่อบางสิ่งหมดอายุ พวกเขาก็แค่โยนทิ้งไป  ยามที่พวกผู้นำและคนทำงานปฏิบัติงานในพระนิเวศของพระเจ้า พูดตรงๆ ก็คือพวกเขาควรเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  สิ่งแรกที่พวกเขาควรทำก็คือพิทักษ์รักษาสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าให้ดีอย่างสมเหตุผล คอยจับตามองอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ และทำการตรวจสอบโดยละเอียดอย่างถูกควรในแง่นี้  นี่เป็นงานพื้นฐานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า กระนั้นพวกผู้ทำเทียมเท็จกลับทำงานพื้นฐานเช่นนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ  พวกเขาเลอะเลือน มีขีดความสามารถที่แย่ และหัวทึบ—หรือพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่ดี?  หากพวกเขาหัวทึบหรือเลอะเลือน พวกเขารู้จักเลือกหยิบสิ่งของดีๆ ให้ตัวเองได้อย่างไร?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ตัดใจให้สิ่งของของตัวเอง หรือให้สิ่งของของตัวเองแก่ผู้อื่นไปโดยไม่คิดอะไร?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำให้สิ่งของของตัวเองเสียสภาพหรือเสียหาย?  แล้วเหตุใดท่าทีที่พวกเขามีต่อสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าจึงเป็นเช่นนี้?  ชัดเจนว่าพวกเขาขาดศีลธรรม และพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่ดี  ครั้นผู้นำและคนทำงานได้สถานะแล้ว และมาเกี่ยวข้องกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในขอบเขตที่กว้างขึ้น พวกเขาก็ได้มีสิทธิพิเศษในการเข้าถึงวัสดุสิ่งของสารพัน รวมถึงสมบัติสาธารณะแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็มีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งของเหล่านี้มากที่สุด  แต่ทว่าพวกเขากลับเพิกเฉยต่อสิ่งของเหล่านั้น ไม่พิทักษ์รักษาสิ่งของเหล่านั้นตามที่ถูกที่ควร และปล่อยให้ใครก็ได้ใช้สิ่งของเหล่านั้นและเอาสิ่งของเหล่านั้นไป พวกเขาแค่ปล่อยให้ใครก็ตามที่เต็มใจดูแลสิ่งของเหล่านั้นเป็นคนดูแล และหากใครไม่เต็มใจดูแลและไม่มีความรับผิดชอบ พวกเขาก็ไม่ว่าอะไร และต่อให้พวกเขารู้ว่าใครบางคนมีปัญหา พวกเขาก็ไม่แก้ไข  นี่คือพวกผู้นำเทียมเท็จ  ถึงจุดนี้ พวกเราก็ได้สรุปกันไปแล้วว่า นอกเหนือจากการมีขีดความสามารถที่แย่และไม่แบกรับภาระแล้ว พวกผู้นำเทียมเท็จก็ยังมีความตั้งใจที่ไม่ดีและมีบุคลิกลักษณะที่แย่  ในเมื่อผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้มีขีดความสามารถที่แย่และขาดความสามารถในการจับใจความ การที่พวกเขามีผลงานแย่ในงานที่เกี่ยวข้องกับความจริงและการเข้าสู่ชีวิตจึงเป็นที่เข้าใจได้  และในเมื่อพวกเขามีขีดความสามารถที่แย่และไม่มีความสามารถในการทำงาน การที่พวกเขามีผลงานแย่ในงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารปกครองจึงเป็นสิ่งที่ยอมผ่อนปรนได้เช่นกัน  แต่การที่พวกเขาถึงกับไม่สามารถปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการสิ่งของสารพัดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า—อันเป็นงานขั้นต่ำสุดที่เรียบง่าย—แสดงให้เห็นภาพบางสิ่งชัดเจนขึ้นด้วยซ้ำว่า สำหรับผู้นำเทียมเท็จบางคนนั้น ปัญหาของพวกเขาไม่เรียบง่ายเช่นการมีขีดความสามารถที่แย่และการไม่แบกรับภาระ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขามีบุคลิกลักษณะต่ำและมีความเป็นมนุษย์ที่แย่เป็นพิเศษ  โดยผ่านทางการสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวกับความรับผิดชอบประการที่สิบของผู้นำและคนทำงาน การสำแดงอีกอย่างของพวกผู้นำเทียมเท็จได้ถูกเผยออกมาแล้วว่า พวกเขาไม่ใช่แค่มีขีดความสามารถที่แย่ ไม่แบกรับภาระใด และระเริงอยู่ในความชูใจทางเนื้อหนัง—แต่พวกเขายังมีบุคลิกลักษณะที่แย่ อีกทั้งไม่มีความตั้งใจที่ดีอีกด้วย  พวกเขาไม่มีความเป็นห่วงให้กับสิ่งของที่ไม่ใช่ของตัวเอง—พวกเขาไม่พิทักษ์รักษาสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ  เจ้าได้ถูกตั้งให้เป็นผู้ดูแลทรัพย์สินแห่งพระนิเวศของพระเจ้า แต่กระนั้นเจ้ายังแว้งกัดมือที่ป้อนอาหารเจ้า และเจ้าไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ในขณะเดียวกันก็หากินกับพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าเหวี่ยงสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไปทางอย่างไม่เอาใจใส่ ราวกับสิ่งของเหล่านั้นเป็นของคนนอก อีกทั้งเจ้าก็ไม่พิทักษ์รักษาของเหล่านั้นและคิดว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญใหญ่โตอะไร  นี่คือการล้มเหลวที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตน—เป็นปัญหาในความเป็นมนุษย์ของเจ้า เป็นการขาดศีลธรรมอย่างมหันต์!  การพิทักษ์รักษาสิ่งของที่ตนควรพิทักษ์รักษาอย่างย่ำแย่หรือการไม่พิทักษ์รักษาสิ่งของเหล่านั้น บ่งชี้ว่าพวกผู้นำเทียมเท็จไม่มีความเป็นมนุษย์ และบ่งชี้ว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่ดี  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพิทักษ์รักษาสิ่งของแห่งพระนิเวศให้ดี ดังนั้นหากพวกเขาจะต้องจัดสรรสิ่งของเหล่านั้น พวกเขาจะสามารถทำการนั้นได้อย่างสมเหตุผลหรือ?  พวกเขายิ่งห่างไกลจากการปฏิบัติตนไปตามหลักธรรมทั้งหลายด้วยซ้ำ  พวกเขามองสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าถูกโยนทิ้ง ถูกทำให้เสียหาย และถูกทำให้สิ้นเปลืองไปโดยไม่ใส่ใจ ไม่มีใครสักคนที่ดีอยู่ตรงนั้นเพื่อคอยบริหารจัดการ และพวกเขาก็รู้อยู่เต็มอกว่ากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง—แต่กระนั้นก็ยังคงไม่จัดการกับเรื่องนี้  นั่นคือการที่คนเรามีความตั้งใจที่ไม่ดี  พวกเศษสวะเหล่านี้ซึ่งมีความตั้งใจที่ไม่ดีสามารถจัดสรรวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสมเหตุผลได้หรือ?  พวกเขายิ่งแทบทำไม่ได้ด้วยซ้ำ—หากเจ้าให้พวกเขาจัดสรรสิ่งของเหล่านั้น พวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งขาดศีลธรรมมากขึ้นไปอีก

ในคริสตจักรฟาร์มที่เลี้ยงสุนัขแห่งหนึ่ง ผู้ที่รับผิดชอบการเลี้ยงสุนัขเป็นห่วงเป็นใยลูกสุนัขแรกเกิดอย่างมาก  พวกเขากลัวว่าลูกสุนัขจะไม่ได้รับสารอาหารที่จำเป็น ดังนั้นพวกเขาจึงยื่นคำขอไข่ออร์แกนิคให้สุนัขกิน  ผู้นำเทียมเท็จที่นั่นลงนามอนุมัติคำขอในทันที พวกเขาไม่ได้คิดว่าไข่ออร์แกนิคนั้นขาดแคลนเพียงใด  ไม่พอให้คนกินด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดจึงจะเอาไปให้สุนัข?  นี่เป็นการจัดการกับเรื่องนี้อย่างโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  พฤติกรรมนี้ของผู้นำเทียมเท็จคนนั้นมีธรรมชาติอย่างไร?  จะบรรยายลักษณะของพฤติกรรมนี้ได้ว่าอย่างไร?  การปฏิบัติแบบนี้ของผู้นำเทียมเท็จคนนั้นโง่เขลาไม่ใช่หรือ?  สิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นพูดทุกครั้งที่เปิดปากก็คือคำสอนที่ถูกใจผู้คน  แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเขาก็มีแนวทางรับมือไปตามความคิดเพ้อฝัน ความชอบส่วนตัว และความปรารถนาเฉพาะตนของมนุษย์—และสุดท้ายพวกเขาก็ลงเอยด้วยการทำเรื่องน่าเกลียดอย่างการให้สุนัขกินไข่ไก่ออร์แกนิค  การที่ผู้นำเทียมเท็จคนนั้นจัดสรรสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแบบนี้ถือเป็นการสมเหตุผลได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดพวกเขาจึงบรรลุผลการจัดสรรอย่างสมเหตุผลไม่ได้?  โดยผิวเผินดูเหมือนผู้นำเทียมเท็จคนนั้นได้ใส่ใจยื่นมือเข้าช่วยและติดตามผลแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างมากเช่นนี้ อีกทั้งพวกเขาก็ดูมีเหตุผลและข้ออ้างอันควรมาสนับสนุนการยื่นคำขอนี้—แต่พวกเขากำลังกระทำตรงตามหลักธรรมหรือไม่?  พวกเขากำลังกระทำไปตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้หรือไม่?  ไม่  ดังนั้นเมื่อมองจากธรรมชาติของการกระทำนี้ของพวกเขา นี่เป็นความประพฤติดีหรือความประพฤติชั่ว?  นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบหรือการปล่อยปละละเลย?  นี่คือการปล่อยปละละเลย—ไม่มีหลักธรรม เป็นการทำสิ่งไม่ดีโดยไม่ยั้งคิด!  จากเรื่องนี้ พวกเจ้ามองว่าแก่นแท้ในความเป็นมนุษย์ของผู้นำเทียมเท็จคนนี้คืออะไร?  คือความเข้าใจอันบิดเบือนและการใช้กฎข้อบังคับอย่างหน้ามืดตามัวไม่ใช่หรือ?  สิ่งที่พวกเขาพูดอยู่ทุกลมหายใจคือคำสอนที่ถูกต้อง และฟังดูราวกับว่าในนั้นไม่มีสักวลีที่ผิด ทว่าที่จริงแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่บิดเบือน  ผู้คนเช่นนั้นเป็นฝ่ายวิญญาณเทียมเท็จและมีความเข้าใจที่บิดเบือน—พวกเขาเป็นเศษขยะที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  เมื่อสักครู่พวกเราเพิ่งพูดถึงความเป็นมนุษย์ของพวกผู้นำเทียมเท็จว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยต่ำทรามและมีความตั้งใจที่ผิด  เมื่อถึงเวลาจัดสรรสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ขาดหลักธรรม และจัดสรรสิ่งของเหล่านั้นโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ซึ่งเผยให้เห็นว่าพวกผู้นำเทียมเท็จมีความเข้าใจที่บิดเบือนและนำข้อบังคับมาใช้อย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ อีกทั้งการกระทำของพวกเขาก็ไร้หลักธรรม—แค่กระทำไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าและหน้ามืดตามัว  พวกผู้นำเทียมเท็จดูใจดีและมีเมตตาที่ภายนอก แต่ที่จริงนั้น นี่คือความใจดีและความมีเมตตาเทียมเท็จ  ตัวอย่างเช่น เมื่อสุนัขเพศเมียคลอดลูกสุนัขออกมา คนดูแลสุนัขก็พูดว่าควรเอาผ้าห่มผืนใหม่ๆ ที่มีไว้สำหรับผู้คนให้แก่สุนัขเหล่านั้น  แล้วใครบางคนก็พูดขึ้นว่า “น่าเสียดายที่จะให้ผ้าห่มใหม่แก่พวกสุนัข—เอาให้พี่น้องชายหญิงแทนจะดีกว่า แล้วก็เอาผ้าห่มผืนเก่าของพวกเขาให้พวกสัตว์ไป”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอแนะนี้?  การจัดสรรสิ่งของชิ้นใหม่ให้กับผู้คนและชิ้นเก่าให้กับพวกสัตว์นั้นสมเหตุผลทีเดียว  นี่คือหลักธรรม นี่คือการจัดสรรอันสมเหตุผล  พวกผู้นำเทียมเท็จรับมืออย่างไรเมื่อเจอกับเรื่องแบบนั้น?  หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ผู้นำเทียมเท็จของที่นั่นก็ไตร่ตรองว่า “พวกสัตว์ไม่เคยได้ใช้ของใหม่เลย  พวกมันใช้แต่ของเก่าสกปรก  ผู้คนอย่างพวกเราได้ใช้ของใหม่ตลอด  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า บางคราวพวกเราก็ไม่ดีเท่าสุกรหรือสุนัขด้วยซ้ำ  ดังนั้น อย่าทะเลาะแย่งของกับสุกรและสุนัขเลย  แบบนั้นมันขาดความเป็นมนุษย์”  และดังนั้น พวกเขาจึงลงเอยที่การให้ผ้าห่มใหม่กับสัตว์เหล่านั้น  ผู้คนที่นั่นอาจไม่ได้เสียอะไรจากการใช้ผ้าห่มผืนเก่า แต่สิ่งของนี้ถูกจัดการไปในหนทางที่แสดงให้เห็นถึงปัญหานี้อย่างชัดมาก  ผู้นำเทียมเท็จคนนี้มีบทบาทอย่างไรในเรื่องนี้?  พวกเจ้าจะพูดหรือไม่ว่าผู้คนปกติจะสามารถทำสิ่งเช่นนั้นได้?  (ไม่)  เช่นนั้น ผู้คนจำพวกใดกันที่จะยอมให้สิ่งต่างๆ มาถึงจุดนี้ในขณะที่ตนเองกำลังรับมือกับเรื่องนี้?  (ผู้คนจำพวกโง่เขลาซึ่งขาดเหตุผลหรือการคิดอ่านแบบผู้คนปกติ)  คำตอบทั้งหมดนี้ถูกต้อง—ผู้คนเหล่านั้นไม่ใช่อะไรสักอย่างเลย  เมื่อคนปกติเผชิญกับเรื่องแบบนี้ พวกเขารู้วิธีรับมืออย่างสมเหตุผล แต่ผู้นำเทียมเท็จผู้อวดอ้างตนเป็นฝ่ายวิญญาณ ผู้ซึ่งมีความเข้าใจที่บิดเบือนกลับไม่รู้วิธีรับมือ  วิธีรับมือของพวกเขาดูมีหลักเกณฑ์อยู่เหมือนกัน ทั้งยังดูเหมือนเป็นไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและมีข้ออ้างที่สมเหตุผลมาสนับสนุนเต็มไปหมดอีกด้วย—ทว่าหลังจากที่ผู้คนได้ฟังก็ช่างน่าขันยิ่งนัก กลับออกมาโดยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี  เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่ตรรกะที่เรียบง่ายชัดเจนเช่นนั้น?  ในหนทางที่บิดเบือนเช่นนั้น พวกเขาจะลงเอยด้วยการรับมือกับเรื่องนี้ในแบบไหน?  ช่างน่าระอานัก  หากเจ้าให้พวกเขาทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ พวกเขาจะให้สุนัขคอยจับหนู ให้แมวเฝ้าบ้าน และให้สุกรนอนบนเตียง—ทุกอย่างจะผิดที่ผิดทางไปหมด  พวกผู้นำเทียมเท็จสามารถจัดสรรวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสมเหตุผลหรือไม่?  (ไม่สามารถ)  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทที่เลอะเลือนไม่เหมือนใคร และเป็นคนชนิดที่โง่เขลา  นอกจากผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นที่มีความเข้าใจที่บิดเบือนเป็นพิเศษและมีความตั้งใจที่ไม่ดีแล้ว ผู้นำเทียมเท็จส่วนใหญ่ยังสร้างความยุ่งเหยิงและความไม่เป็นระเบียบให้กับงานประเภทนี้อีกด้วย ถึงแม้พวกเขาพอมีขีดความสามารถอยู่เล็กน้อยและมีความเข้าใจที่ไม่บิดเบือนก็ตาม  พวกเขาไม่สามารถลุล่วงความรับผิดชอบขั้นต่ำสุดที่ตนพึงลุล่วงได้ด้วยซ้ำ  ดังนั้นเมื่อเจ้าถามพวกเขาถึงงานนี้ คำตอบก็เหมือนเดิมตลอดว่า “คนนี้คนนั้นกำลังทำอยู่  คนนั้นคนนี้รู้  ถ้าคุณมีคำถาม ฉันจะไปต้องไปถามคนนี้คนนั้น”  และนั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าได้ยินเรื่องนี้  นี่คือการสำแดงที่พวกผู้นำเทียมเท็จแสดงให้เห็นขณะที่พวกเขากำลังทำงานนี้

เมื่อเป็นเรื่องของงานจัดสรรวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานนี้ไปตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดได้เลย ทั้งพวกเขายังปล่อยให้ความรู้สึก ความชอบ และความอยากได้อยากมีส่วนตน ตลอดจนความเข้าใจส่วนตัวของตนเข้ามาปะปนในงานนี้ด้วย  พวกเขาสร้างความไม่เป็นระเบียบและความยุ่งเหยิงสับสนให้กับงานนี้โดยไม่มีหลักธรรมให้พูดถึงเลย  ดังนั้น ขณะที่ผู้นำเทียมเท็จบริหารจัดการวัสดุสิ่งสารพันแห่งแห่งพระนิเวศของพระเจ้า สิ่งของทั้งหลายจึงเกิดความเสียหายสิ้นเปลืองอย่างไร้เหตุผล หรือสูญหายและมีจำนวนคลาดเคลื่อนบ่อยครั้งในสภาวการณ์ไม่มีใครรู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น  สิ่งของอื่นก็ถูกคนนำไปใช้ส่วนตัวโดยไม่มีการลงทะเบียนหรือรายงานเรื่องนี้  พวกผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถบริหารจัดการกิจธุระทั่วไปที่เรียบง่ายเช่นนี้ได้ด้วยซ้ำ  พวกเขาทำให้งานนี้ยุ่งเหยิง แต่กลับยังคงรู้สึกสบายใจโดยคิดว่าตนเองได้ทำงานไปมากมาย  พวกผู้นำเทียมเท็จไม่เคยทำการตรวจสอบ การบำรุงรักษา และการทะนุบำรุงวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแบบสม่ำเสมอ ในหัวใจของพวกเขาไม่สนใจใยดีสิ่งของเหล่านี้แม้แต่น้อย  สมมุติเจ้าถามพวกเขาว่า “มีใครดูแลเรื่องการบำรุงรักษาและทะนุบำรุงอุปกรณ์เหล่านี้หรือไม่?  เคยเกิดกรณีสิ้นเปลืองในการจัดหาอะไหล่เพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์เหล่านี้หรือไม่?  หรือกรณีที่ใครบางคนใช้จ่ายเกินจำเป็นและถูกคิดเงินเกินไปบ้างหรือไม่?  มีใครรับผิดชอบหลังเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นบ้างหรือไม่?  มีใครโดนปรับหรือได้รับคำเตือนบ้างหรือไม่?”  พวกผู้นำเทียมเท็จจะไม่รู้และไม่ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เลย  การซื้อสิ่งของสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าได้ใช้จ่ายเงินไปโดยมิชอบหรือไม่ มีใครได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการสิ่งของเหล่านั้นหลังจากที่ซื้อมาหรือไม่ สิ่งของที่ซื้อมาเหมาะสมและสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ และหากไม่ได้ สิ่งของเหล่านั้นถูกส่งคืนหรือเปลี่ยนทันกำหนดเวลาหรือไม่—พวกเขาไม่รู้เรื่องใดในนี้เลย  พวกเขาโง่เง่าแบบนั้นเอง—พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น  ผู้นำเทียมเท็จคิดอยู่แต่ว่าจะประกาศคำสอนในการชุมนุมอย่างไรให้ผู้คนนับถือตน เมื่อเป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับการบริหารจัดการสิ่งของ พวกเขาก็ไร้ความสามารถในการทำงาน ทั้งยังไม่มีท่าทีใดต่อเรื่องนี้  พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นงานที่ตนควรทำ และไม่รู้ด้วยว่าจะทำอย่างไร  พวกผู้นำเทียมเท็จมองว่าสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเป็นของทุกคน ดังนั้นใครประสงค์จะใช้สิ่งใดก็ย่อมทำได้ และใครจำเป็นต้องใช้อะไรก็เอาไปได้เลย หรือยื่นคำขอสิ่งนั้นได้จากผู้บังคับบัญชา—นั่นเป็นสิทธิ์ของทุกคน และสิ่งของของพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ควรอยู่ภายใต้การบริหารจัดการหรือการควบคุมของบุคคลใด  ดังนั้นหากใครจะทำอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งพังหรือสูญหาย พวกเขาก็ไม่สนใจ และหากใครจะยื่นเรื่องขอซื้อบางสิ่ง พวกเขาก็ไม่สนใจว่าสิ่งนั้นราคาแพงหรือราคาถูกเช่นกัน  ที่จริงแล้วพระนิเวศของพระเจ้ามีกฎเกณฑ์สำหรับเรื่องเหล่านี้  ตราบที่ผู้นำและคนทำงานลุล่วงความรับผิดชอบของตนและดำเนินการตรวจสอบอย่างถูกควรไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ก็ย่อมหลีกเลี่ยงการสูญเสียและการสิ้นเปลืองดังกล่าวทั้งหมดได้  กระนั้นพวกผู้นำเทียมเท็จกลับไม่ทำแม้แต่งานอันเรียบง่ายที่สุดนี้ที่อาจป้องกันการสูญเสียได้  พวกเขากำลังกินอาหารของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่โดยไม่ทำสิ่งใดตอบแทนเลยไม่ใช่หรือ?  พวกเขาเอาแต่ได้ไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นการสำแดงเฉพาะของ “ความเทียมเท็จ” ของพวกผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าจะรับมืออย่างไรหากเผชิญหน้ากับผู้นำแบบนั้น?  (โดยการปลดพวกเขาออก)  แค่ปลดออกเองหรือ?  เจ้าจำเป็นต้องสอนอะไรพวกเขาสักข้อสองข้อไม่ใช่หรือ?  “อุปกรณ์นั่นวางอยู่ตรงนั้นแล้วเกิดเปียกชื้นขึ้นมา และไม่มีใครตรวจสภาพมันมาหลายวันแล้ว  ดูไม่ออกว่าระบบไฟฟ้ายังทำงานหรือเปล่า หรือพวกหนูแทะสายไฟไปแล้ว  ทำไมคุณจึงไม่เป็นห่วงสิ่งของพวกนี้?  คอมพิวเตอร์ที่ฉันใช้ก็พังและจำเป็นต้องซ่อมแซม  ถ้าไม่ซ่อมก็จะทำให้งานล่าช้า  แต่ว่าฉันก็ได้ยื่นคำขอกับคุณไปหลายครั้งแล้ว—ทำไมคุณถึงไม่เคยใส่ใจ?  คุณเอาแต่ยุ่งอย่างไม่สนสี่สนแปดอยู่กับอะไรทั้งวันเหมือนกับไก่ตาแตก?  พอผู้นำอย่างคุณได้รับความไว้วางใจให้ทำงาน คุณก็ทำให้งานทุกอย่างล่าช้า และอุปกรณ์กับวัสดุสิ่งของทั้งหมดก็พังพินาศในมือคุณ  คุณไม่ดูแลหรือบริหารจัดการสิ่งของสารพัดของพระนิเวศของพระเจ้า  คุณไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ—รีบลงจากตำแหน่งเสียเถิด!”  การอบรมพวกเขาแบบนี้ใช้ได้หรือไม่?  (ได้)  คนที่กล้าอบรมผู้นำและคนทำงานมีอะไรอยู่ในตัว?  ก่อนอื่นเลยพวกเขาต้องมีความกล้าหาญและมีสำนึกถึงความยุติธรรม  บางคนอาจพูดว่า “ฉันคงไม่กล้าอบรมผู้นำกับคนทำงานหรอก  พวกเขาเป็นนายทหาร ฉันเป็นแค่พลทหาร ตำแหน่งของฉันต่ำกว่าพวกเขามากมาย พวกเขามีความจริงและประกาศคำเทศนาได้  ฉันไม่เก่งอะไรเลยและไม่อยู่ในฐานะที่จะอบรมพวกเขา”  นี่เป็นตรรกะของคนเส็งเคร็งไม่ใช่หรือ?  แล้วเช่นนั้นพวกเจ้าจะอบรมผู้นำประเภทนี้ว่าอย่างไร?  “ถ้าคุณทำงานนี้ได้ก็พยายามทำให้ดีที่สุดและทำไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็แล้วกัน  ไม่ว่าคุณจัดแจงให้พวกเราทำอะไร พวกเราก็จะเชื่อฟัง  แต่ถ้าคุณไม่พยายามทำงานนี้ให้ดีที่สุด ถ้าคุณไม่ทำงานนี้ไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราก็จะไม่มีวันฟังคุณ!  นอกจากนั้น ถ้าคุณไม่ทำงานจริงอะไร พวกเราก็มีสิทธิ์ถอดคุณจากตำแหน่งและเอาตัวคุณออกไป!  ถ้าคุณอยากทำร้ายใครก็ทำร้ายตัวเองไปเถิด—อย่าพยายามทำร้ายพวกเราทุกคน”  พวกเจ้ากล้าอบรมพวกเขาแบบนี้หรือไม่?  (กล้า)  ตอนนี้เจ้าพูดแบบนี้ แต่พอถึงเวลาต้องทำ เจ้าจะกล้าจริงหรือ?  โดยทั่วไปแล้ว สำหรับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริงและเรื่องสำคัญๆ เจ้าไม่กล้าพูดออกไปตามสบาย เพราะเกรงว่าการพูดจาที่ขาดความเข้าใจเชิงลึกและขาดความชัดเจนอาจหมายถึงการที่เจ้ากำลังเพียงแสดงความไม่เห็นชอบอย่างรุนแรงต่อผู้นำกับคนทำงานและก่อให้เกิดความไม่สงบ  แต่เจ้าก็ควรสามารถมีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องการบริหารจัดการวัสดุสิ่งของ เจ้าควรเรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้และรู้ซึ้งถึงหลักธรรมที่เกี่ยวกับเรื่องนี้

มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรับผิดชอบเรื่องเสื้อผ้าในฝ่ายผลิตภาพยนตร์  การกระทำของเขาไม่เคารพกฎเกณฑ์และเขาก็แอบยักยอกสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เป็นประจำ  พอออกจากฝ่ายผลิตภาพยนตร์ไป เขาก็เอาของบางอย่างไปด้วย และการตรวจสอบบัญชีในเวลาต่อมาก็แสดงให้เห็นว่าเงินจำนวนมากที่เขารับไปนั้นไม่ถูกต้องลงตัว ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ไม่ได้ทำงานแล้ว แต่เขาก็มีเงินและได้ซื้อสิ่งของที่มีระดับอย่างมากมายอีกด้วย  ผู้คนมากมายประจบประแจงเขาขณะที่เขาอยู่ในฝ่ายผลิตภาพยนตร์ และคนพวกนั้นล้วนต้องการตีสนิทกับเขา เพื่อที่เวลาตนเองต้องการเสื้อผ้าก็แค่ต้องเอ่ยขอแล้วเขาก็จะให้  หากใครไม่สนิทกับเขา เขาก็จะไม่ให้เสื้อผ้าแก่คนเหล่านั้นตามที่ควรได้ด้วยซ้ำ  นี่คือปัญหาอะไร?  นี่คือปัญหาที่เกี่ยวกับบุคลากรฝ่ายบริหาร  ส่วนหนึ่งก็คือเขากำลังยักยอกสิ่งของเหล่านี้เสียเอง อีกส่วนก็คือเขาไม่ได้จัดสรรสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไปตามหลักธรรม แต่กลับทำไปตามความรู้สึกส่วนตน เจตจำนงส่วนตน และสัมพันธภาพส่วนตัว  โดยหลักธรรมนั้น คนคนนี้ควรถูกชำระออกไปแล้ว  นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้อย่างชัดเจน  ผู้นำเทียมเท็จไม่เพียงไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่ยังถือว่าคนคนนี้เป็นคนดีและจัดแจงให้เขาไปทำหน้าที่อีกแห่ง  นี่ไม่ใช่กำลังทำความผิดพลาดซ้ำเติมหรอกหรือ?  เจ้าคิดว่างานนี้ถูกทำไปอย่างไร?  ตรงตามหลักธรรมหรือไม่?  ผู้นำคนนี้ได้ลุล่วงความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำหรือไม่?  (ไม่)  ยังไม่ต้องไม่พูดถึงเรื่องที่ผู้นำคนนี้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใดได้บ้างจากการจัดการกับคนคนนี้ในหนทางนี้—แค่ตัดสินจากวิธีที่เขารับมือกับเรื่องนี้ ธรรมชาติของเรื่องนี้คืออะไร?  นั่นก็คือการเก็บงำคนชั่วไว้ตามความรู้สึก และไม่จัดการกับเขาไปตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นเมื่อเชื่อมโยงเรื่องนั้นเข้ากับความรับผิดชอบประการที่สิบของผู้นำและคนทำงาน ผู้นำและคนทำงานจำพวกนี้ปฏิบัติผิดพลาดอย่างไรต่อวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  ผู้นำคนนี้ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนหรือไม่?  พวกเขาได้รับมือกับเรื่องนี้ไปบนพื้นฐานของการปกป้องสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่  พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ถึงกับหลับหูหลับตาอนุญาตให้สิ่งของเหล่านี้ถูกทำลายหรือถูกคนชั่วเอาไปตามอำเภอใจ  หากสิ่งของของตนเองถูกทำให้เสียหายหรือถูกคนอื่นเอาไปครอบครอง พวกเขาจะรับมือแบบนั้นหรือไม่?  ไม่—เช่นนั้นพวกเขาจะครุ่นคิดถึงการแก้แค้นและการเอาคืน  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้จัดการกับสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไปแบบนั้น?  พวกเขาถึงกับพูดว่า “ให้เขาเอาไปได้สักสองสามอย่างถ้าเขาชอบ—เขาไม่เอามากหรอก  ถ้าเขาชอบก็ให้เขาหาเศษหาเลยกับสิ่งของพวกนี้ได้บ้างสักนิด—ใครเล่าที่ไม่อยากทำแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย?  จำนวนเล็กน้อยที่เขาหาเศษหาเลยนั่นสำคัญอะไรนักหนา?  ไม่ใช่ว่าคนอื่นกำลังได้น้อยลงเสียหน่อย”  นี่เป็นท่าทีประเภทใด?  นี่ใช่ท่าทีที่ผู้นำและคนทำงานควรมีต่อสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือ?  (ไม่ใช่)  พวกเขากำลังแว้งกัดมือที่ป้อนอาหารตนไม่ใช่หรือ?  และสุดท้ายแล้วพวกเขาให้ตรรกะว่าอย่างไร?  “ให้เขาหาเศษหาเลยกับสิ่งของพวกนั้นไปเถิด—พวกเราไม่จำเป็นต้องคิดบัญชีพวกนี้กับเขาหรอก  ทุนรอนและสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นมีมูลค่าเท่าไรกันเชียว?  พวกศัตรูของพระคริสต์ยักยอกเกินกว่านั้นมากมาย  การหาเศษหาเลยกับสิ่งของพวกนั้นเป็นเรื่องระหว่างเขากับพระเจ้า—เป็นเรื่องของเขาว่าจะอธิบายเหตุผลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่าอย่างไรเมื่อถึงเวลา  นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย”  หลังจากที่ได้ยินผู้นำพูดสิ่งเช่นนั้น เจ้ามีความคิดและความรู้สึกอย่างไร?  ใครก็ตามที่มีสำนึกในความยุติธรรม มีความตระหนักในมโนธรรมสักเล็กน้อยย่อมน้ำตาตกในเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ และต่อให้เป็นแค่ผู้เชื่อธรรมดาทั่วไป พวกเขาก็จะรู้สึกหัวใจสลายและผิดหวัง หากพวกเขาเป็นผู้นำหรือคนทำงานก็ยิ่งแล้วใหญ่!  ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้เพลิดเพลินกับพระคุณและการคุ้มครองของพระเจ้า รวมทั้งความจริงของพระองค์มากมายยิ่งนัก แต่ก็ยังคงมีท่าทีเลือดเย็นแบบนี้กับสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระองค์  พวกเขามีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  พวกเขาเหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่?  (ไม่เหมาะ)  ครั้นคนเช่นนั้นถูกปลดไป พวกเขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานในภายหน้าหรือไม่?  (ไม่—พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่แย่)  ความเป็นมนุษย์ที่แย่ของพวกเขาสำแดงออกมาอย่างไร?  (โดยการที่พวกเขาไม่ค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า)  อะไรคือการกระทำที่เฉพาะเจาะจงของการที่พวกเขาไม่ค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  แก่นแท้ของการสำแดงจำเพาะนี้คืออะไร?  ผู้คนแบบนี้ไม่มีความตั้งใจที่ดีและมีบุคลิกลักษณะที่ต่ำทราม พวกเขาพูดจาค่อนข้างน่าฟัง แต่กลับไม่ทำสิ่งใดจริง  ผู้คนเช่นนั้นต้องไม่เป็นผู้นำหรือคนทำงานโดยเด็ดขาด  พวกที่ไม่มีความตั้งใจที่ดีไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง แต่ตั้งใจหาผลประโยชน์ใส่ตัว พวกที่ไม่มีความตั้งใจที่ดีนั้นไม่มีความคำนึงถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนที่สุดว่าพวกเขาไม่ค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเลย

สิ่งพื้นฐานอันดับแรกที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำคือคอยเฝ้าระวังวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกควร ดำเนินการตรวจสอบและคอยคุ้มกันให้พระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกควร ไม่ปล่อยให้สิ่งของใดเสียหาย สิ้นเปลือง หรือถูกคนชั่วนำไปครอบครอง  นี่เป็นขั้นต่ำสุดที่พวกเขาควรทำ  ทันทีที่เจ้าได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พระนิเวศของพระเจ้าก็คำนึงถึงเจ้าในฐานะผู้พิทักษ์แห่งพระนิเวศ  เจ้าอยู่ในระดับบริหาร และกิจที่เจ้าแบกอยู่บนบ่านั้นหนักกว่าของผู้อื่น  เจ้าแบกความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง  นั่นคือเหตุผลที่ทุกท่าทีของเจ้า ทุกการกระทำของเจ้า ทุกแผนการที่เจ้าใช้รับมือกับประเด็นปัญหา และทุกวิธีการที่เจ้าใช้แก้ไขปัญหาล้วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  หากเจ้าไม่แม้แต่จะคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เจ้าก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้พิทักษ์แห่งพระนิเวศของพระองค์  นี่เป็นคนจำพวกใด?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เหมาะที่จะเป็นผู้พิทักษ์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  ในหมู่ผู้นำเทียมเท็จ มีบางคนที่ไม่ใช่แค่มีขีดความสามารถที่แย่—แต่ปัญหาหลักคือพวกเขาไม่รับภาระ พวกเขาไม่รู้วิธีทำงาน แต่พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริง อีกทั้งพวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบขั้นต่ำสุดที่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งควรทำได้ด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่มีมโนธรรมและเหตุผล  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่ดี พวกเขามีลักษณะนิสัยต่ำทราม รวมทั้งเห็นแก่ตัวและต่ำช้า พวกเขาไม่ค้ำจุนงานของคริสตจักรเลย แต่กลับมักสร้างความเสียหายและทรยศต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร ประจบสอพลอผู้คนและค้ำจุนสัมพันธภาพระหว่างตนเองกับผู้อื่นในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร  พวกเขาเปิดโอกาสให้วัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย สิ้นเปลือง สูญหาย หรือแม้แต่ถูกคนชั่วนำไปครอบครอง และพวกเขาไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็รู้สึกผิดหรือเป็นหนี้ในเรื่องนี้เลย  ดังนั้นในเรื่องของการเลือกตั้งผู้นำและคนทำงาน เมื่อมองเรื่องนี้จากมุมมองของความเป็นมนุษย์ อะไรคือสิ่งพื้นฐานที่สุดที่พวกเขาควรมี?  พวกเขาต้องมีมโนธรรมและมีสำนึกแห่งความเที่ยงธรรม และควรมีแรงจูงใจที่ถูกควร  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานก่อน  ไม่ว่าพวกเขามีความสามารถในการทำงานมากเพียงใด หรือมีขีดความสามารถระดับใด ผู้คนจำพวกนั้นย่อมจะได้ตามมาตรฐานของการเป็นผู้พิทักษ์หากพวกเขาทำหน้าที่ในฐานะผู้กำกับดูแล  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็จะสามารถค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและผลประโยชน์ร่วมของเหล่าพี่น้องชายหญิงได้  พวกเขาจะไม่ทรยศต่อผลประโยชน์ของเหล่าพี่น้องชายหญิงและของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด  เมื่อผลประโยชน์ของเหล่าพี่น้องชายหญิงและของพระนิเวศของพระเจ้าทำท่าว่าจะเกิดอันตรายหรือเกิดความเสียหาย พวกเขาจะคิดเตรียมการไว้แล้วล่วงหน้า และจะเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาพิทักษ์รักษาสิ่งเหล่านั้น ต่อให้การทำเช่นนั้นจะส่งผลต่อความปลอดภัยของตนเอง หรือพึงให้พวกเขาต้องจ่ายราคาหรือทนทุกข์  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีมโนธรรมและมีเหตุผลสามารถทำได้  ผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จบางคนรีบหาที่หลบให้ตนเองปลอดภัยเมื่อเผชิญกับสภาพการณ์ที่อันตราย แต่ทว่าสำหรับสิ่งของสำคัญแห่งพระนิเวศของพระเจ้า—หนังสือพระวจนะของพระเจ้า โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ—พวกเขาทั้งไม่ใส่ใจและไม่ไถ่ถามถึงสิ่งเหล่านั้น  หากกังวลว่าการที่ตนถูกจับกุมจะส่งผลต่อภาพรวมของงานของคริสตจักรอย่างไร พวกเขาอาจส่งคนอื่นมารับมือกับเรื่องเหล่านี้ก็ได้—กระนั้นผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้กลับหลบซ่อนให้ตนเองปลอดภัยเท่านั้น  พวกเขาตื่นกลัวแทบขาดใจ และเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะปลอดภัย พวกเขาจึงไม่ทำในสิ่งที่ตนสามารถทำได้  ดังนั้นจึงมีหลายเหตุการณ์ที่การละเลย การไม่ดำเนินการ และความไม่รับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จเป็นเหตุให้วัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและของถวายสำหรับพระเจ้าถูกพญานาคใหญ่สีแดงปล้นชิงเอาไปในยามที่เกิดสถานการณ์อันตราย อันนำไปสู่การสูญเสียร้ายแรง  ตอนที่เพิ่งเกิดสถานการณ์เหล่านั้นขึ้นในคริสตจักร ความคิดแวบแรกของผู้นำและคนทำงานควรเป็นเรื่องของการเก็บอุปกรณ์และวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไว้ในสถานที่ที่เหมาะสม การส่งมอบสิ่งของเหล่านั้นให้กับผู้ที่เหมาะสมเพื่อการบริหารจัดการ ต้องไม่เปิดโอกาสให้พญานาคใหญ่สีแดงเอาไปโดยเด็ดขาด  แต่พวกผู้นำเทียมเท็จไม่เคยมีเรื่องเช่นนั้นอยู่ในจิตใจ พวกเขาไม่เคยวางผลประโยชน์ของพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง แต่กลับวางความปลอดภัยของตนเป็นที่หนึ่งแทน  บ่อยครั้งที่ความล้มเหลวของผู้นำเทียมเท็จในการทำงานจริงเป็นเหตุให้สิ่งของสำคัญสารพัดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าประสบกับการสูญเสียหรือความเสียหาย  นี่เป็นการปล่อยปละละเลยที่ร้ายแรงต่อความรับผิดชอบในส่วนของผู้นำเทียมเท็จไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

เมื่อกล่าวถึงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานประการที่สิบ การสำแดงหลักของผู้นำเทียมเท็จที่พวกเรากำลังเปิดโปงกันอยู่คืออะไร?  ท่าทีที่พวกผู้นำเทียมเท็จมีต่อวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าคือความไม่แยแสและความไม่คำนึงถึง พวกเขาไม่ทำไปตามหลักธรรม แต่กลับจัดสรรสิ่งของเหล่านั้นไปตามจินตนาการและความชอบส่วนตัวอย่างส่งเดช  ขณะที่พวกเขากำลังบริหารจัดการสิ่งของทั้งหลายอยู่นั้น บ่อยครั้งที่เกิดความเสียหายและความสิ้นเปลืองกับสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่มากก็น้อย ทำให้เกิดความสูญเสียต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือการสำแดงหลักของพวกผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถรับมือกับงานซึ่งเป็นกิจธุระทั่วไปอันเรียบง่ายที่สุดชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียวได้ด้วยซ้ำ พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะทำงานนั้น หรือทำงานนั้นให้ดีได้ด้วยซ้ำ—แล้วพวกเขาทำอะไรได้?  ก็คือว่าเมื่อเจ้าเห็นผู้คนเช่นนั้นรับบทบาทเป็นผู้นำ พวกเจ้าอาจตรวจสอบและกำกับดูแลงานของพวกเขา  หากพวกเขาทำให้งานซึ่งเป็นกิจธุระทั่วไปอันเรียบง่ายที่สุดชิ้นเดียวนี้ยุ่งเหยิง ไม่ทำแม้แต่สิ่งที่ตนเองทำได้ และไม่หาคนที่เหมาะสมมาทำงานนี้เมื่อตนเองไม่มีเวลา เช่นนั้นผู้นำแบบนั้นก็ต้องถูกปลดและกำจัดออกจากตำแหน่งในทันที  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่มีวันใช้พวกเขา  แบบนี้สมควรหรือไม่?  (สมควร)  เหตุใดจึงสมควร?  คนที่ไม่มีความตั้งใจที่ดี มีความเข้าใจที่บิดเบือน และเพียงกระทำไปตามความรู้สึกและความทะเยอทะยานกับความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวและต่ำช้าของตนนั้นไว้วางใจไม่ได้  คนที่ไว้วางใจไม่ได้สามารถทำสิ่งใดให้ดีได้หรือ?  หน้าที่ใดหรือที่พวกเขาสามารถทำได้ดี?  พวกเขาสามารถทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)

โดยการสามัคคีธรรมถึงความรับผิดชอบประการที่สิบของผู้นำและคนทำงานในวันนี้ เราได้ตีแผ่หลักธรรมและมาตรฐานอีกประการที่ผู้นำและคนทำงานพึงต้องมีไปอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  ในเรื่องนี้ไม่ใช่คำถามเรื่องขีดความสามารถ อีกทั้งไม่ใช่คำถามเรื่องความสามารถในการทำงาน แต่เป็นคำถามเรื่องความเป็นมนุษย์  จงสังเกตดูผู้คนที่กำลังรับใช้ในฐานะผู้นำและคนทำงาน หรือบรรดาผู้ที่คริสตจักรกำลังบ่มเพาะอยู่ และดูว่าในหมู่พวกเขามีใครที่มีความเป็นมนุษย์ที่แย่และไม่มีความตั้งใจที่ดี มีความเป็นมนุษย์เหมือนของผู้นำเทียมเท็จที่ถูกชำแหละในประการที่สิบบ้างหรือไม่  หากเจ้าเจอผู้นำและคนทำงานแบบนั้นจริงๆ เจ้าก็ควรปลดพวกเขาออก และต้องจำไว้ว่าห้ามเลือกตั้งผู้คนแบบนั้นมาเป็นผู้นำอย่างเด็ดขาด และห้ามบ่มเพาะผู้คนเช่นนั้นให้เป็นผู้นำและคนทำงานโดยสิ้นเชิง  หากคนบางคนไม่เข้าใจลักษณะนิสัยของผู้คนเหล่านั้นและเลือกพวกเขา จงรายงานพวกเขาทันที  จงอย่าให้โอกาสพวกเขาในการเป็นผู้นำและคนทำงาน  ผู้คนพวกนั้นไม่ได้มาเป็นผู้นำและคนทำงานเพื่อทำงานจริง แต่เพื่อทำลายงานของคริสตจักร  หากพวกเขากลายเป็นผู้นำ วัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็จะเป็นอันย่อยยับหลังจากนี้เท่านั้นเอง  พวกเจ้าเต็มใจมองเห็นผลสืบเนื่องเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่เต็มใจ)  ดังนั้นแล้ว เจ้าควรปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นอย่างไร?  หากขณะนี้พวกเขากำลังรับใช้ในฐานะผู้นำ จงรายงานและถอดพวกเขาออกจากตำแหน่ง  หากพวกเขาไม่ได้กำลังรับใช้ในฐานะผู้นำ หากพวกเขายังไม่ได้รับเลือก เช่นนั้นจงบอกทุกคนว่า “คนนี้ไม่ดี  อย่าเลือกเขา ไม่ว่าพวกคุณทำอะไรก็จะส่งผลเสียต่อคริสตจักร”  และหากผู้คนถูกตบตาและถูกชักพาให้หลงผิดไปเลือกพวกเขา เจ้าก็ต้องแจ้งทุกคนทันทีว่า “วันนี้พวกเราได้ทำบางอย่างผิดไป  พวกเราได้เลือกใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่แย่ คนที่มีความตั้งใจที่ไม่ดีมาเป็นผู้นำของพวกเรา  เมื่อพวกเราได้ทำแบบนี้ไปแล้ว ย่อมจะเกิดความสูญเสียและอันตรายแก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเราต้องถอดพวกเขาจากตำแหน่งทันทีเพื่อรักษาผลประโยชน์และสิ่งของสารพันของพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้ได้รับความเสียหาย  พวกเราต้องไม่ปล่อยให้แผนการของพวกเขาประสบความสำเร็จ”  ทำแบบนี้สมควรหรือไม่?  (สมควร)

พวกเหล่านั้นที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำและคนทำงานพึงต้องมีขีดความสามารถและความสามารถในการทำงาน ทั้งนี้ บัดนี้ยังมีข้อพึงประสงค์สำหรับคุณลักษณะของพวกเขาด้วยเช่นกัน  พวกเจ้าว่าอย่างไรเล่า นี่เป็นกรณีที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ลุล่วงเกณฑ์กำหนดสำหรับการเป็นผู้นำและคนทำงานกระนั้นหรือ?  ในบรรดาสามสิ่งนี้สิ่งใดหรือที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด?  (ความเป็นมนุษย์)  และลำดับที่สองล่ะ?  (ความสามารถในการทำงาน)  หลังจากนั้นล่ะ?  (การที่พวกเขามีขีดความสามารถหรือไม่)  ลำดับนั่นถูกต้องแม่นยำพอดู  เมื่อเจ้าเลือกตั้งผู้นำในอนาคต จงประเมินวัดพวกเขาตามลำดับนี้  บางคนพูดว่า “ลำดับนี้มีปัญหาอยู่ประการหนึ่ง  สมมติว่าความเป็นมนุษย์สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด และมีบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ดีแต่มีขีดความสามารถแย่พอควร และหากพวกเขาได้รับเลือกเป็นผู้นำ พวกเขาย่อมจะไม่สามารถทำงานจริงใดได้—การพิจารณาเพียงความเป็นมนุษย์ของผู้คนเท่านั้นจะยังใช้ได้อยู่หรือ?”  ความเป็นมนุษย์ของผู้คนมีความสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งแรกที่เจ้าควรมอง แต่ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ต้องคำนึงถึงยามที่กำลังเลือกตั้งผู้นำและคนทำงาน  หากคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามมาตรฐาน ก็ให้มองที่ความสามารถในการทำงานของพวกเขาเป็นลำดับถัดไป  หากพวกเขาขาดความสามารถในการทำงานและทำงานจริงไม่ได้ เจ้าก็สามารถขอให้พวกเขารับงานที่ไม่ยากเข็ญเกินความสามารถของพวกเขา  หากพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดีและสามารถแบกรับงานนั้นได้ ทั้งยังพยายามที่สุดที่จะทำให้ดี อีกทั้งพวกเขาก็เป็นคนที่ไว้วางใจได้ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ใช้พวกเขาได้โดยไม่ต้องลังเลสงสัย และพวกเขามีความจำเริญ มีน้ำใจ รวมทั้งมีประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ เช่นนั้นพวกเขาก็ได้ตามมาตรฐาน  หากพวกเขามีขีดความสามารถที่แย่และขาดความสามารถในการทำงาน หรือหากพวกเขามีความสามารถแค่พอใช้ในด้านการทำงาน จงให้เขาปฏิบัติงานเรียบง่ายบางอย่างหรืองานเดียว  หากพวกเขามีขีดความสามารถที่ดีและมีความสามารถอย่างมากในการทำงาน พวกเขาก็สามารถปฏิบัติงานสำคัญบางอย่างหรืองานที่แตกต่างกันได้หลายงาน  แม้แต่การจัดการเตรียมการประเภทเหล่านี้ เจ้าก็ทำไม่ได้หรือ?  หากพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่แย่และไม่มีความตั้งใจที่ดี เช่นนั้นไม่ว่าพวกเขามีความสามารถสูงเพียงใดในการทำงาน พวกเขาจะสามารถทำงานนั้นให้ดีได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  หากพวกเขาบริหารจัดการบริษัทหนึ่งหรือพนักงานไม่กี่คน นั่นอาจจะไม่เป็นปัญหา—แต่ประเด็นปัญหาใดจะเกิดขึ้นหากพวกเขาถูกร้องขอให้บริหารจัดการวัสดุสิ่งของสารพันแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  ประการแรก แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาคงจะไม่บริหารจัดการสิ่งของเหล่านั้นหรือรับมือกับสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด  พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่ดี พวกเขาไม่รักความจริง และในหัวใจไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากมุมมองและความคิดที่เลวทราม ดังนั้นแล้ว เมื่อไรก็ตามที่พวกกเขากระทำการ พวกเขาก็ทำไปตามความชอบส่วนตัวของตนเอง และอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ใช่บนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง ทั้งยังไม่ใช่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม  พวกเขาคำนึงว่าตนเองจำเป็นต้องสูญเสียหรือได้รับอะไรเท่านั้น และไม่นึกถึงหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดเลย—และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกลิขิตให้ล้มเหลวในการทำงานผู้นำและคนทำงาน  การนี้กำหนดพิจารณาโดยสิ่งใดหรือ?  โดยคุณลักษณะของพวกเขา ทั้งนี้ การนี้ไม่ใช่กำหนดพิจารณาโดยความสามารถในการทำงานของพวกเขา  และดังนั้น เมื่อชั่งน้ำหนักดูว่าใครบางคนสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย และว่าพวกเขาทำได้ตรงตามมาตรฐานของพระนิเวศของพระเจ้าสำหรับการเลือกผู้นำและคนทำงานหรือไม่ ก่อนอื่นจงมองดูที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขา  หากความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นที่ไว้วางใจได้และเป็นไปตามมาตรฐาน ถัดไปก็จงพิจารณาว่าพวกเขามีความสามารถในการทำงานและมีภาระหรือไม่ แล้วจึงค่อยพิจารณาแง่มุมอื่นๆ

นี่คือความรับผิดชอบประการที่สิบของผู้นำและคนทำงาน  โดยประมาณแล้วนี่ก็คือสิ่งที่ถูกชำแหละในประการที่สิบของการสำแดงอันหลากหลายของพวกผู้นำเทียมเท็จ  จากท่าทีและการสำแดงทั้งหลายที่พวกผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติต่อวัสดุสิ่งของแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เห็นได้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่ขาดมโนธรรมและเหตุผล มีความเป็นมนุษย์ที่แย่และไม่มีความรับผิดชอบ—เจ้าอาจพูดได้ว่าพวกเขามีความตั้งใจที่ไม่ดี  ตอนนี้พวกเราก็มีหลักฐานอีกชิ้นที่สามารถใช้พิจารณาตัดสินว่าคนบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จได้แล้วไม่ใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่สามารถทำงานเพราะมีขีดความสามารถที่แย่ และเพราะพวกเขามืดบอด อีกทั้งไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในสิ่งทั้งหลาย  บางคนไม่ลงมือทำงานจริงเพราะพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่ดี และมีแต่เจตนาเพื่อประโยชน์ของตนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น—พวกเขาไม่ค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งไม่สนใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะอยู่หรือตาย  ผู้นำเทียมเท็จทุกจำพวกต้องถูกปลดและกำจัดออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ เพื่อป้องกันไม่ให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าและเกิดอันตรายแก่ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร

1 พฤษภาคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (10)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (12)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger