หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (12)

ในการชุมนุมครั้งที่แล้วของพวกเรา พวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “ปกป้องและจัดสรรวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้า (เช่น หนังสือ อุปกรณ์ต่างๆ ธัญพืช เป็นต้น) อย่างถูกควรและสมเหตุสมผล รวมถึงดำเนินการตรวจสอบ บำรุงรักษา และซ่อมแซมเป็นประจำเพื่อลดความเสียหายและความสิ้นเปลืองให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งป้องกันไม่ให้ผู้คนที่ชั่วครอบครองสิ่งเหล่านั้น”  สามัคคีธรรมประการที่สิบเป็นเรื่องของงานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำและหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงในส่วนของวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้า และในขณะเดียวกัน ก็เปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จด้วยการเปรียบเทียบ  ถ้าผู้นำและคนทำงานลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่ตนควรทำและสามารถทำงานแต่ละอย่างของพระนิเวศของพระเจ้าได้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมได้มาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงาน หากพวกเขาไม่ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนและไม่ทำงานจริงใดๆ เช่นนั้นแล้ว ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  สำหรับประการที่สิบนี้ แน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถทำงานปกป้องและจัดสรรวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสมเหตุสมผลได้ดี—สิ่งของเหล่านั้นไม่ได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างดี หรืออาจถึงขั้นไม่ได้รับการปกป้องเลยด้วยซ้ำ และผู้นำเทียมเท็จก็ทำให้การจัดสรรของตนยุ่งเหยิงไปหมด  พวกเขาอาจถึงกับไม่เห็นความสำคัญของงานนี้เลยด้วยซ้ำ  แม้ว่าจะเป็นงานธุรการทั่วไป แต่นี่ยังคงเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงและเป็นงานที่พวกเขาควรทำ  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานนั้นด้วยตนเอง หรือจัดการเตรียมงานให้ผู้คนที่เหมาะสมทำ และยังดำเนินการกำกับดูแล ตรวจสอบ ติดตามผล และอื่นๆ อีกด้วย ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม งานนี้ก็ไม่อาจแยกออกจากหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน—และมีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของงานนี้ หากผู้นำและคนทำงานไม่ปกป้องและจัดสรรวัสดุสิ่งของนานัปการในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกควรและสมเหตุสมผล พวกเขาก็ไม่ได้กำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน และพวกเขาก็ไม่ได้ทำงานของตนได้ดี  นี่คือการสำแดงอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จ  ในการชุมนุมครั้งที่แล้วของพวกเรา พวกเราได้ดำเนินการเปิดโปงและชำแหละอย่างง่ายๆ เกี่ยวกับการสำแดงที่ผู้นำเทียมเท็จแสดงออกมาขณะจัดการงานธุรการทั่วไปประการนี้ และพวกเราก็ได้ยกตัวอย่างประกอบเล็กน้อย  หากใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่เคยลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนในงานนี้อย่างแน่นอน และงานที่พวกเขาทำย่อมไม่ได้มาตรฐาน  นี่เป็นเพราะผู้นำเทียมเท็จไม่เคยทุ่มเทความพยายามในงานจริงเลย—เมื่อจัดการเตรียมงานเสร็จแล้ว พวกเขาก็ถือว่าจบสิ้นหน้าที่ และพวกเขาไม่เคยติดตามผลหรือมีส่วนร่วมในงานนั้นเลย  เหตุผลหลักอีกประการหนึ่งก็คือผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจหลักธรรมของงานใดๆ ที่พวกเขาทำ  แม้ว่าพวกเขาจะไม่เกียจคร้านในงานของตน แต่สิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมและกฎเกณฑ์ที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้ หรือถึงกับไม่เป็นไปตามหลักธรรมเลยโดยสิ้นเชิง  การไม่เป็นไปตามหลักธรรมหมายความว่าอย่างไร?  ความหมายโดยนัยก็คือพวกเขากำลังกระทำการอย่างไม่ยั้งคิด กระทำการอย่างฮึกเหิมตามความคิดฝัน เจตจำนง และความรู้สึกของตน เป็นต้น  ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นเรื่องของหน้าที่รับผิดชอบประการนี้ของผู้นำและคนทำงาน ผู้นำเทียมเท็จจะมีการสำแดงหลักอยู่สองประการ ประการแรกคือพวกเขาไม่ได้ทำงานจริง และประการที่สองคือพวกเขาไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถทำงานจริงได้  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงพื้นฐาน  ในการชุมนุมครั้งที่แล้วของพวกเรา พวกเราได้สามัคคีธรรมและเปิดโปงว่าความเป็นมนุษย์ของผู้นำเทียมเท็จสำแดงออกมาอย่างไรในการจัดการงานธุรการทั่วไปประเภทนี้ของพวกเขา  แม้แต่งานที่เรียบง่ายงานเดียวเช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จก็ยังไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนได้  พวกเขามีความสามารถที่จะทำงานนี้ แต่พวกเขากลับไม่ทำ  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยและความเป็นมนุษย์ของผู้คนประเภทนี้  ความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีปัญหาใด?  พวกเขาไม่มีเจตนาที่ดี และลักษณะนิสัยของพวกเขาก็ต่ำต้อย  โดยพื้นฐานแล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน หลักธรรมทั่วไป และการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จภายใต้ประการที่สิบกันเสร็จสิ้นแล้ว  วันนี้ พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานประการที่สิบเอ็ดกันต่อไป

ประการที่สิบเอ็ด: เลือกสรรผู้คนที่ไว้วางใจได้ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกิจเกี่ยวกับการลงทะเบียน การตรวจนับ และการอารักขาของถวายอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบและทบทวนรายรับและรายจ่ายเป็นประจำเพื่อให้สามารถระบุกรณีสุรุ่ยสุร่ายหรือสิ้นเปลือง ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลได้อย่างทันท่วงที—หยุดยั้งสิ่งเหล่านี้และเรียกร้องค่าชดเชยที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ให้ป้องกันทุกวิถีทางมิให้ของถวายตกไปอยู่ในมือของคนชั่วและถูกพวกเขานำไปครอบครอง

ของถวายคืออะไร

เนื้อหาของหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบเอ็ดของผู้นำและคนทำงานนั่นคือ “เลือกสรรผู้คนที่ไว้วางใจได้ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกิจเกี่ยวกับการลงทะเบียน การตรวจนับ และการอารักขาของถวายอย่างเป็นระบบ ตรวจสอบและทบทวนรายรับและรายจ่ายเป็นประจำเพื่อให้สามารถระบุกรณีสุรุ่ยสุร่ายหรือสิ้นเปลือง ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลได้อย่างทันท่วงที—หยุดยั้งสิ่งเหล่านี้และเรียกร้องค่าชดเชยที่สมเหตุสมผล นอกจากนี้ ให้ป้องกันทุกวิถีทางมิให้ของถวายตกไปอยู่ในมือของคนชั่วและถูกพวกเขานำไปครอบครอง” ในงานนี้ ผู้นำและคนทำงานมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง?  งานหลักที่พวกเขาต้องทำคืออะไร?  (การพิทักษ์รักษาของถวายอย่างถูกควร)  ประการที่สิบเป็นเรื่องของการพิทักษ์รักษาและการจัดสรรสิ่งของวัตถุต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสมเหตุสมผล ส่วนประการนี้เป็นเรื่องของการพิทักษ์รักษาของถวายอย่างถูกควร สิ่งของวัตถุต่างๆ และของถวายของพระนิเวศของพระเจ้านั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกัน—แต่เหมือนกันหรือไม่?  (ไม่)  มีความแตกต่างกันอย่างไร?  (ของถวายส่วนใหญ่หมายถึงเงิน)  เงินเป็นลักษณะหนึ่งของของถวาย ธรรมชาติของสิ่งของวัตถุต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าและของถวายแตกต่างกันอย่างไร?  หนังสือพระวจนะของพระเจ้าเป็นของถวายหรือไม่?  เครื่องมือต่างๆ ที่ใช้สำหรับงานเป็นของถวายหรือไม่?  ของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันต่างๆ ที่พระนิเวศของพระเจ้าซื้อหามาเป็นของถวายหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้คืออะไร?  หนังสือพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด และอุปกรณ์ต่างชนิดทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับงานในพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งจัดซื้อด้วยเงินที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถวายให้ อันประกอบด้วยสิ่งของนานาสารพัน เช่น กล้องถ่ายรูป เครื่องบันทึกเสียง คอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ—ทั้งหมดนี้คือสิ่งของวัตถุของพระนิเวศของพระเจ้า นอกเหนือจากนี้ โต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่ง อาหาร และของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันอื่นๆ ดังกล่าวก็เป็นสิ่งของวัตถุของพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเช่นกัน สิ่งของเหล่านี้บางส่วนหาซื้อมาโดยพี่น้องชายหญิง และส่วนที่เหลือ พระนิเวศของพระเจ้าใช้ของถวายซื้อมา ทั้งหมดนี้จัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งของวัตถุของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ไปในการชุมนุมครั้งที่แล้ว ตอนนี้พวกเราจะพิจารณากันต่อถึงสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งซึ่งพวกเราจะสามัคคีธรรมกันภายใต้หัวข้อประการที่สิบเอ็ด นั่นคือ ของถวาย แท้จริงแล้ว ของถวายคืออะไร?   มีการกำหนดขอบเขตของของถวายไว้อย่างไร?  ก่อนที่พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน จำเป็นต้องชี้แจงคำถามเรื่องของถวายคืออะไรให้ชัดเจนเสียก่อน แม้ว่าในอดีตผู้คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเยซูและได้ยอมรับพระราชกิจขั้นตอนนี้มาหลายปีแล้ว แต่มโนคติเกี่ยวกับของถวายของพวกเขาก็ยังคงคลุมเครืออยู่ พวกเขาไม่เข้าใจชัดเจนว่าแท้จริงแล้วของถวายคืออะไร บางคนจะกล่าวว่าของถวายคือเงินและสิ่งของวัตถุที่ถวายแด่พระเจ้า ในขณะที่คนอื่นๆ จะกล่าวว่าของถวายส่วนใหญ่หมายถึงเงิน คำกล่าวใดในนี้ที่ถูกต้อง?  (ตราบใดที่มีการถวายสิ่งสิ่งหนึ่งแด่พระเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเงินหรือสิ่งของใดๆ ใหญ่หรือเล็ก สิ่งนั้นก็คือของถวาย)  นั่นเป็นข้อสรุปที่ค่อนข้างถูกต้อง ในเมื่อขอบข่ายและขอบเขตของของถวายชัดเจนแล้ว พวกเรามานิยามให้ถูกต้องกันเถิดว่าแท้จริงแล้วของถวายคืออะไร เพื่อที่ทุกคนจะได้มีมโนคติที่ชัดเจนในเรื่องนี้

ในหัวข้อเรื่องของถวาย พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าเดิมทีพระเจ้าทรงบัญชาให้มนุษย์ถวายสิบลดแด่พระเจ้า—นี่คือของถวาย ไม่ว่าจำนวนที่ถวายจะมากหรือน้อย และไม่ว่าสิ่งที่ถวายจะเป็นอะไร—ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือสิ่งของวัตถุ—ตราบใดที่มันคือหนึ่งในสิบของรายได้ที่บุคคลหนึ่งควรจะถวาย สิ่งนั้นย่อมเป็นของถวายอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์จากมนุษย์ เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรจะถวายแด่พระเจ้า สิบลดนี้เป็นลักษณะหนึ่งของของถวาย บางคนถามว่า “หนึ่งในสิบนั้นหมายถึงเงินเท่านั้นหรือไม่?” ไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น หากบุคคลหนึ่งเก็บเกี่ยวธัญพืชได้สิบเอเคอร์ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะมีธัญพืชมากเพียงใด ท้ายที่สุดก็ควรถวายธัญพืชจำนวนหนึ่งเอเคอร์ให้แด่พระเจ้า—หนึ่งในสิบนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรจะถวาย ด้วยเหตุนี้ มโนคติเกี่ยวกับ “หนึ่งในสิบ” จึงไม่ได้หมายถึงแค่เงิน—ไม่ได้หมายความเพียงว่าเมื่อบุคคลหนึ่งมีรายได้หนึ่งพันดอลลาร์ พวกเขาต้องถวายแด่พระเจ้าหนึ่งร้อยดอลลาร์—แต่หมายถึงทุกสิ่งที่ผู้คนได้รับ ซึ่งครอบคลุมกว้างขวางกว่ามาก รวมถึงสิ่งของวัตถุและเงินด้วย นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวถึง แน่นอนว่า ในปัจจุบันนี้ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ยึดถือตามพระคัมภีร์ในการกำหนดเคร่งครัดให้ผู้คนถวายหนึ่งในสิบของทุกสิ่งที่พวกเขาได้มา ในที่นี้ เราเพียงแค่กำลังสามัคคีธรรมและเผยแพร่มโนคติและคำนิยามของ “หนึ่งในสิบ” เพื่อให้ผู้คนรู้ว่าสิบลดเป็นลักษณะหนึ่งของของถวาย เราไม่ได้เรียกร้องให้ผู้คนถวายหนึ่งในสิบ จำนวนที่ผู้คนถวายนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจส่วนบุคคลและความเต็มใจของพวกเขา และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่มีข้อกำหนดเพิ่มเติมใดๆ ในเรื่องนี้

ของถวายอีกลักษณะหนึ่งคือสิ่งที่ผู้คนนำมาถวายแด่พระเจ้า  หากมองในความหมายกว้างๆ แน่นอนว่ารวมถึงสิบลดด้วย แต่ถ้ามองอย่างเฉพาะเจาะจง นอกจากสิบลดแล้ว อะไรก็ตามที่ผู้คนถวายแด่พระเจ้าย่อมจัดอยู่ในหมวดหมู่ของถวาย  สิ่งที่ถวายแด่พระเจ้านั้นมีขอบเขตกว้างขวางมาก ตัวอย่างเช่น อาหาร เครื่องใช้ ของใช้ประจำวัน อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ตลอดจนวัว แกะ และอื่นๆ ที่เคยถวายบนแท่นบูชาในยุคพันธสัญญาเดิม  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของถวายทั้งสิ้น  สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นของถวายหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ถวาย หากผู้ถวายระบุว่าสิ่งนี้ถวายแด่พระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะมอบให้พระองค์โดยตรงหรือฝากไว้ในพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อดูแลรักษา สิ่งนั้นก็ถือเป็นของถวาย ซึ่งผู้อื่นไม่อาจแตะต้องตามใจชอบได้  ตัวอย่างเช่น หากมีคนซื้อคอมพิวเตอร์ราคาแพงเครื่องหนึ่งมาถวายแด่พระเจ้า คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็กลายเป็นของถวาย หากมีคนซื้อรถยนต์คันหนึ่งมาถวายพระเจ้า รถคันนั้นก็กลายเป็นของถวาย หรือหากมีคนซื้ออาหารเสริมเพื่อสุขภาพสองขวดมาถวายพระเจ้า ขวดเหล่านั้นก็เป็นของถวาย  ไม่มีคำนิยามตายตัวว่าสิ่งของที่ถวายแด่พระเจ้าต้องเป็นอะไร  สรุปง่ายๆ คือ ขอบเขตนั้นกว้างมาก—ของถวายคือสิ่งที่ผู้ติดตามพระเจ้านำมาถวายแด่พระองค์นั่นเอง  บางคนอาจแย้งว่า “ตอนนี้พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์อยู่บนแผ่นดินโลก สิ่งที่ถวายแด่พระองค์ก็เป็นของพระองค์—แต่ถ้าพระองค์ไม่ได้อยู่บนแผ่นดินโลกล่ะ?  ตอนที่พระเจ้าประทับในสวรรค์ สิ่งที่คนถวายแด่พระองค์ตอนนั้นก็ไม่ใช่ของถวายแล้วสิ?”  กล่าวเช่นนี้ถูกหรือไม่?  (ไม่ถูก)  เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นกับว่าพระเจ้ากำลังอยู่ในช่วงเวลาของการประสูติเป็นมนุษย์หรือไม่  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่สิ่งนั้นถูกถวายแด่พระเจ้า สิ่งนั้นก็คือของถวาย  บางคนอาจจะพูดอีกว่า “ของที่ถวายแด่พระเจ้ามีตั้งมากมาย  พระองค์จะทรงใช้ประโยชน์ได้หมดหรือ?  จะทรงใช้ได้ทั้งหมดจริงๆ หรือ?” (นั่นไม่เกี่ยวกับมนุษย์)  การกล่าวเช่นนั้นตรงประเด็นและหลักแหลมมาก  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ถวายแด่พระเจ้า ส่วนพระองค์จะทรงใช้พวกมันอย่างไร จะใช้ได้หมดหรือไม่ หรือจะทรงจัดสรรจัดการอย่างไรนั้น ไม่เกี่ยวกับมนุษย์เลย  เจ้าไม่จำเป็นต้องร้อนใจหรือกังวลแทน  กล่าวสั้นๆ คือ ทันทีที่คนเราถวายสิ่งใดแด่พระเจ้า สิ่งนั้นก็จัดเข้าขอบเขตของของถวายแล้ว  กลายเป็นของพระเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดอีก  บางคนอาจกล่าวว่า “ฟังที่คุณพูด เหมือนพระเจ้าทรงยึดเอาไปเป็นของพระองค์เลยนะ”  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งนั้นเป็นของพระเจ้า จึงเรียกว่าของถวาย  คนอื่นไม่สามารถแตะต้องหรือจัดสรรตามใจชอบ บางคนอาจแย้งว่า “นั่นเป็นการสูญเปล่าไม่ใช่หรือ?” ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า  คนอื่นๆ อาจจะกล่าวว่า “ตอนที่พระเจ้าไม่ได้ประสูติเป็นมนุษย์และประทับอยู่บนสวรรค์ พระองค์ก็ทรงเพลิดเพลินหรือใช้ประโยชน์สิ่งที่คนถวายให้ไม่ได้อยู่ดี แล้วจะทำยังไงล่ะ?”  เรื่องนี้จัดการไม่ยาก พระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรมีหลักธรรมในการจัดการสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องร้อนใจหรือกังวล  สรุปคือ ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะถูกจัดการอย่างไร ทันทีที่สิ่งนั้นถูกจัดเข้าในหมวดหมู่ของถวาย ถูกระบุว่าเป็นของถวายแล้ว มันก็ไม่เกี่ยวกับมนุษย์อีกต่อไป  และเพราะสิ่งนั้นเป็นของพระเจ้าแล้ว มนุษย์จึงไปยุ่งเกี่ยวตามใจชอบไม่ได้—หากทำเช่นนั้นย่อมมีผลที่ตามมา  ในยุคพันธสัญญาเดิม พอถึงฤดูเก็บเกี่ยว ผู้คนก็นำของถวายสารพัดอย่างมาที่แท่นบูชา  บ้างก็ถวายธัญพืช ผลไม้ และพืชผลอื่นๆ บ้างก็ถวายวัวและแกะ  พระเจ้าทรงเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  พระองค์เสวยสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  (ไม่)  เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ไม่ได้เสวย?  เจ้าเห็นหรือ?  นั่นเป็นมโนคติอันหลงผิดของเจ้า  เจ้าบอกว่าพระเจ้าไม่ได้เสวย—แล้วหากพระองค์ทรงชิมสักคำหนึ่งล่ะ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  นี่จะขัดกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าหรือไม่?  มีบางคนเชื่อว่าในเมื่อพระเจ้าไม่ได้เสวยหรือไม่ได้ทรงเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านั้น ก็ไม่จำเป็นต้องถวาย ใช่หรือไม่?  พวกเจ้ามั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไร?  ที่พวกเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าไม่ได้เสวย” เป็นเพราะคิดว่าพระองค์ทรงเป็นกายวิญญาณจึงเสวยไม่ได้ หรือเพราะคิดว่าพระเจ้าทรงมีพระอัตลักษณ์ในฐานะพระเจ้า พระองค์จึงไม่ใช่มนุษย์ที่มีเนื้อหนัง และไม่ควรทรงเพลิดเพลินกับของเหล่านี้?  การที่พระเจ้าจะทรงเพลิดเพลินกับของถวายที่คนมอบให้เป็นเรื่องน่าอายหรือ?  (ไม่น่าอาย)  เช่นนั้น เรื่องนี้ขัดกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน หรือขัดกับพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า?  ตกลงเป็นแบบไหนกันแน่?  (ผู้คนไม่ควรถกเถียงเรื่องนี้)  ถูกต้อง—นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนเราต้องเป็นกังวล  เจ้าไม่ต้องไปกำหนดว่าพระเจ้าต้องทรงเพลิดเพลิน หรือพระองค์ไม่ควรทรงเพลิดเพลินเช่นกัน  ทำในส่วนที่เจ้าควรทำ ลุล่วงหน้าที่ และความรับผิดชอบของเจ้า และลุล่วงภาระผูกพันของเจ้า—นั่นก็พอแล้ว  เช่นนั้นเจ้าก็ได้เสร็จสิ้นงานของตนแล้ว  ส่วนพระเจ้าจะทรงจัดการของเหล่านั้นอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของพระองค์  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงแบ่งปันของถวายเหล่านั้นให้ผู้คน หรือจะปล่อยให้เน่าเสียไป หรือพระองค์จะทรงเพลิดเพลินกับพวกมันบ้าง หรือแค่ทอดพระเนตรดู สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาวิจารณ์ได้ และเป็นสิ่งที่ชอบธรรมทั้งสิ้น  พระเจ้าทรงมีอิสระในการจัดการเรื่องเหล่านี้  นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนเราต้องไปกังวลหรือไปตัดสิน  ผู้คนไม่ควรจินตนาการไปเองเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และยิ่งไม่ควรไปตัดสินหรือลงความเห็นตามอำเภอใจ  ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?  พระเจ้าควรทรงจัดการกับของถวายที่คนมอบให้พระองค์อย่างไร?  (พระองค์จะทรงจัดการตามที่พระองค์พอพระทัย)  ถูกต้อง  คนที่เข้าใจแบบนี้ถึงจะมีสำนึกที่เป็นปกติ  พระเจ้าจะทรงจัดการสิ่งเหล่านี้ตามที่พระองค์พอพระทัย  พระองค์อาจทรงเหลือบมอง หรือจะไม่มองไม่ใส่ใจเลยก็ได้  เจ้าเพียงแค่ทำตามข้อกำหนดของพระเจ้า ถวายเมื่อถึงเวลา หรือเมื่อเจ้าอยากจะถวาย อันเป็นการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของมนุษย์  อย่าไปกังวลว่าพระเจ้าจะทรงจัดการหรือทรงมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร  สรุปคือ แค่สิ่งที่เจ้าทำนั้นอยู่ในขอบเขตที่พระเจ้าทรงกำหนด สอดคล้องกับมาตรฐานของมโนธรรม และตรงตามหน้าที่ ภาระผูกพัน และความรับผิดชอบของมนุษย์ก็เพียงพอแล้ว  ส่วนพระเจ้าจะทรงจัดการหรือปฏิบัติต่อสิ่งของเหล่านั้นอย่างไร นั่นก็เป็นกิจธุระของพระองค์เอง และมนุษย์ต้องไม่ไปตัดสินหรือลงความเห็นเด็ดขาด  เมื่อครู่เพียงไม่กี่วินาที พวกเจ้าก็ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว  เราถามว่าพระเจ้าทรงเพลิดเพลินหรือเสวยสิ่งเหล่านี้ไหม พวกเจ้าก็ตอบว่าพระองค์ไม่เสวยและไม่ทรงเพลิดเพลิน พวกเจ้าพลาดตรงไหน?  (ตัดสินพระเจ้า)  เป็นการตัดสินและตั้งกฎเกณฑ์ตามใจชอบ ซึ่งพิสูจน์ว่าภายในใจคนเรายังมีความต้องการต่อพระเจ้าอยู่  สำหรับพวกเขา พระเจ้าจะทรงเพลิดเพลินก็ผิด ไม่ทรงเพลิดเพลินก็ผิด  หากพระองค์ทรงเพลิดเพลิน พวกเขาก็จะพูดว่า “พระองค์เป็นกายวิญญาณ ไม่ใช่มนุษย์ที่มีเนื้อหนัง เหตุใดจึงทรงเพลิดเพลินกับของพวกนี้?  เหลือเชื่อจริงๆ!”  แต่ถ้าพระเจ้าไม่ทรงใส่ใจของเหล่านั้น พวกเขาก็จะพูดอีกว่า “พวกเราลงแรงอย่างอุตสาหะเพื่อถวายดวงใจของพวกเราให้พระองค์ แต่ของที่ถวายไป พระองค์กลับไม่แม้แต่จะทรงเหลือบมองเลย  พระองค์ทรงเห็นแก่พวกเราบ้างไหม?”  เห็นไหม คนเราก็หาเรื่องพูดได้เสมอ  นี่คือการขาดเหตุผล  สรุปแล้ว คนเราควรมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร?  (ผู้คนควรถวายสิ่งที่ตนควรถวายแด่พระเจ้า ส่วนพระเจ้าจะทรงจัดการสิ่งเหล่านั้นอย่างไร พวกเขาก็ไม่ควรมีมโนคติอันหลงผิดหรือความคิดฝันใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และไม่ควรไปตัดสินด้วย)  ใช่แล้ว—นี่แหละคือเหตุผลที่ผู้คนควรมี  เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งของที่ถวายแด่พระเจ้า ซึ่งก็เป็นลักษณะหนึ่งของของถวายเช่นกัน  สิ่งของวัตถุที่ถวายแด่พระเจ้านั้นครอบคลุมหลายอย่าง  เพราะผู้คนอยู่ในโลกวัตถุ นอกจากเงิน ทอง เครื่องเงิน และอัญมณีแล้ว ก็ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกมากที่พวกกเขาเห็นว่าดีและมีค่ามาก และเมื่อบางคนนึกถึงพระเจ้า หรือคิดถึงความรักของพระองค์ พวกเขาก็อยากจะถวายสิ่งที่ตนเห็นว่าล้ำค่าและมีค่าเหล่านั้นแด่พระองค์  เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกถวายแด่พระเจ้าแล้ว ก็ถูกจัดอยู่ในขอบเขตของของถวาย กลายเป็นของถวาย  และในขณะเดียวกับที่สิ่งเหล่านี้กลายเป็นของถวาย การจัดการสิ่งเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้า—คนอื่นไม่อาจแตะต้องได้อีกต่อไป ของถวายเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของมนุษย์ ไม่ใช่ของมนุษย์แล้ว  เมื่อเจ้าถวายบางสิ่งแด่พระเจ้าแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าที่จะจัดการมันอีกต่อไป และเจ้าไม่อาจเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ได้  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการหรือปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวกับมนุษย์อีกแล้ว  สิ่งของวัตถุที่ถวายแด่พระเจ้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของของถวายด้วย  บางคนถามว่า “ต้องเป็นพวกเงิน ทอง เครื่องเงิน และอัญมณีมีค่าเท่านั้นหรือถึงจะเป็นของถวายได้?  ถ้ามีคนถวายรองเท้าคู่หนึ่ง ถุงเท้าคู่หนึ่ง หรือแผ่นรองรองเท้าคู่หนึ่งให้พระเจ้าล่ะ—สิ่งเหล่านี้จะนับเป็นของถวายไหม?”  หากยึดตามคำนิยามของของถวายแล้ว ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะใหญ่หรือเล็ก มีค่าหรือราคาถูกเพียงใด—ต่อให้เป็นปากกาด้ามเดียวหรือกระดาษแผ่นเดียว—ตราบใดที่มันถูกถวายแด่พระเจ้า ก็ย่อมเป็นของถวาย

ของถวายยังมีอีกลักษณะหนึ่งคือวัสดุสิ่งของที่ถวายให้พระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักร  สิ่งเหล่านี้ก็จัดอยู่ในหมวดหมู่ของถวายเช่นกัน  วัสดุสิ่งของดังกล่าวครอบคลุมอะไรบ้าง?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่ามีคนซื้อรถยนต์คันหนึ่ง และหลังจากขับไประยะหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่ารถเก่าไปหน่อย จึงซื้อคันใหม่ และถวายคันเก่าให้พระนิเวศของพระเจ้า เพื่อที่พระนิเวศของพระเจ้าจะได้นำไปใช้ในงาน  รถคันนี้จึงกลายเป็นของพระนิเวศของพระเจ้า  สิ่งที่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้าย่อมควรจัดเป็นของถวาย—นี่ถูกต้องแล้ว  แน่นอนว่า สิ่งของที่ถวายให้คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่ได้มีเพียงเครื่องมือและอุปกรณ์เท่านั้น แต่ยังมีสิ่งอื่นๆ อีกด้วย ขอบเขตนี้จึงค่อนข้างกว้างทีเดียว  บางคนกล่าวว่า “หนึ่งในสิบส่วนที่ผู้คนถวายจากทุกสิ่งที่ตนได้มาคือของถวาย เช่นเดียวกับเงินและวัสดุสิ่งของที่ถวายแด่พระเจ้า พวกเราไม่คัดค้านที่สิ่งเหล่านี้ถูกจัดเป็นของถวาย เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่ากังขา  แต่เหตุใดวัสดุสิ่งของที่ถวายให้คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าจึงจัดอยู่ในหมวดหมู่ของถวายด้วยเล่า?  นั่นไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรนัก”  จงบอกเราทีว่า สมเหตุสมผลหรือไม่ที่สิ่งเหล่านั้นถูกจัดเป็นของถวาย?  (สมเหตุสมผล)  และเหตุใดพวกเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น?  (คริสตจักรดำรงอยู่ได้ก็เพราะพระเจ้าดำรงอยู่ และดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่ถวายให้คริสตจักรจึงเป็นของถวายด้วย)  กล่าวได้ดี  คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าเป็นของพระเจ้า และดำรงอยู่ได้ก็เพียงเพราะพระเจ้าดำรงอยู่เท่านั้น มีสถานที่ให้พี่น้องชายหญิงมาชุมนุมและใช้ชีวิตก็เพียงเพราะคริสตจักรดำรงอยู่ และปัญหาทั้งหมดของพี่น้องชายหญิงจึงมีที่ให้ได้รับการแก้ไข อีกทั้งพี่น้องชายหญิงมีบ้านที่แท้จริงก็เพียงเพราะมีพระนิเวศของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้ดำรงอยู่ได้ก็เฉพาะบนรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น  ผู้คนไม่ได้ถวายสิ่งของให้คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าเพราะว่าผู้คนในคริสตจักรเชื่อในพระเจ้าและเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า—นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้อง  แต่เป็นเพราะพระเจ้านั่นเอง ผู้คนจึงถวายสิ่งของให้คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า  เรื่องนี้มีความหมายโดยนัยว่าอย่างไร?  ใครเล่าจะถวายสิ่งของให้คริสตจักรอย่างง่ายดายหากไม่ใช่เพราะพระเจ้า?  หากปราศจากพระเจ้า คริสตจักรก็จะดำรงอยู่ไม่ได้  เมื่อผู้คนมีสิ่งของที่ไม่ต้องการหรือเกินความจำเป็น พวกเขาก็สามารถทิ้งไปหรือปล่อยไว้โดยไม่ใช้ประโยชน์ สิ่งของบางอย่างก็นำไปขายได้เช่นกัน  วิธีการเหล่านี้ทั้งหมดสามารถใช้จัดการกับสิ่งของเหล่านี้ได้มิใช่หรือ?  แล้วเหตุใดผู้คนจึงไม่จัดการกับสิ่งของเหล่านั้นด้วยวิธีเหล่านี้—เหตุใดพวกเขาจึงถวายให้คริสตจักรแทน?  มิใช่เป็นเพราะพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  เป็นเพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่อย่างเที่ยงแท้นั่นเอง ผู้คนจึงถวายสิ่งของให้คริสตจักร  เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ถวายให้คริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้าก็ควรจัดเป็นของถวาย  บางคนกล่าวว่า “ฉันถวายของสิ่งนี้ของฉันให้คริสตจักร”  การถวายของสิ่งนั้นให้คริสตจักรก็เทียบเท่ากับการถวายแด่พระเจ้า และคริสตจักรกับพระนิเวศของพระเจ้าก็มีสิทธิอำนาจเต็มที่ในการจัดการสิ่งของดังกล่าว  เมื่อเจ้าถวายบางสิ่งให้คริสตจักรแล้ว สิ่งนั้นก็หมดความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรจะจัดสรร ใช้ และจัดการวัสดุสิ่งของเหล่านี้อย่างสมเหตุสมผลตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้  แล้วหลักธรรมเหล่านี้มาจากไหน?  มาจากพระเจ้า  โดยพื้นฐานแล้ว หลักธรรมสำหรับการใช้สิ่งของเหล่านี้ก็คือ ควรใช้เพื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และเพื่อการเผยแผ่พระราชกิจแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ไม่ใช่เพื่อการใช้สอยเฉพาะของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และยิ่งไม่ใช่เพื่อการใช้สอยเฉพาะของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่จะใช้เพื่องานเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเพื่องานต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดมีสิทธิพิเศษที่จะใช้สิ่งของเหล่านี้ หลักธรรมและหลักเกณฑ์เพียงประการเดียวสำหรับการใช้และการจัดสรรสิ่งของเหล่านี้คือต้องทำตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้  นี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและถูกควรแล้ว

นี่คือคำนิยามของของถวายทั้งสามส่วน ซึ่งแต่ละส่วนคือคำนิยามของลักษณะหนึ่งของของถวายและเป็นขอบเขตด้านหนึ่งของของถวาย  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนเข้าใจชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าของถวายคืออะไร?  (ใช่)  ก่อนหน้านี้มีบางคนเคยกล่าวว่า “สิ่งนี้ไม่ใช่เงิน และคนที่ถวายก็ไม่ได้บอกว่าเป็นของพระเจ้า  พวกเขาแค่บอกว่ากำลังถวายสิ่งนี้  ดังนั้น จึงไม่อาจนำไปใช้ในพระนิเวศของพระเจ้าได้ และยิ่งไม่อาจถวายแด่พระเจ้าได้”  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่บันทึกบัญชี และแอบใช้สิ่งนั้นตามใจชอบ  การกระทำเช่นนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?  (ไม่)  สิ่งที่พวกเขากล่าวมานั้นก็ไม่สมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว พวกเขายังกล่าวอีกว่า “ของถวายให้คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าเป็นทรัพย์สินส่วนรวม—ใครๆ ก็ใช้ได้” ซึ่งไม่สมเหตุสมผลอย่างชัดเจน  เป็นเพราะคนส่วนใหญ่คลุมเครือและไม่ชัดเจนเกี่ยวกับคำนิยามและแนวคิดเรื่องของถวายนั่นเอง พวกคนเลวทรามต่ำช้าและบางคนที่มีใจละโมบและความทะเยอะทะยานที่ไม่ถูกควรจึงฉวยโอกาสจากสถานการณ์นั้นและคิดที่จะยึดครองสิ่งของเหล่านั้น  บัดนี้เมื่อพวกเจ้าเข้าใจคำนิยามและแนวคิดที่ถูกต้องแม่นยำของของถวายชัดเจนแล้ว พวกเจ้าก็จะมีวิจารณญาณแยกแยะเมื่อประสบกับเหตุการณ์และผู้คนเช่นนี้ในอนาคต

หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์รักษาของถวาย

I. การพิทักษ์รักษาของถวายอย่างถูกควร

ถัดไป พวกเราจะพิจารณากันต่อไปว่าแท้จริงแล้วผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงความรับผิดชอบประการใดบ้างในเรื่องการพิทักษ์รักษาของถวาย  สำหรับของถวายนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจเสียก่อนว่าของถวายคืออะไร  หนึ่งในสิบส่วนที่ผู้คนถวายจากสิ่งที่ตนได้มา นั่นคือของถวาย  เงินหรือสิ่งของที่พวกเขาระบุชัดเจนว่าถวายแด่พระเจ้า นั่นคือของถวาย  สิ่งของที่พวกเขาระบุชัดเจนว่าถวายให้คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า นั่นก็คือของถวาย  เมื่อเข้าใจคำนิยามและแนวคิดเรื่องของถวายแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ต้องมีความเข้าใจที่แน่ชัด บริหารจัดการของถวายที่ผู้คนมอบให้ และดำเนินการตรวจสอบในเรื่องนี้อย่างถูกควร  ประการแรก พวกเขาต้องหาคนที่พึ่งพาได้ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ได้มาตรฐานมาทำหน้าที่ผู้ดูแล เพื่อเก็บรักษาบันทึกของถวายและพิทักษ์รักษาของถวายอย่างเป็นระบบ  นี่คืองานแรกที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำ  แม้ผู้ดูแลของถวายเหล่านี้อาจมีขีดความสามารถปานกลางและไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ แต่จะเป็นคนที่ไว้ใจได้ และไม่ยักยอกสิ่งใด เมื่อของถวายอยู่ในความครอบครองของพวกเขาแล้ว จะไม่สูญหายหรือปะปนกัน และจะได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างถูกควร  มีกฎเกณฑ์ในการจัดแจงเตรียมงานสำหรับเรื่องนี้อยู่  ต้องเป็นคนที่พึ่งพาได้ซึ่งมีความเป็นมนุษย์ได้มาตรฐานเท่านั้นจึงจะใช้การได้  ส่วนคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่แย่นั้น เมื่อเห็นสิ่งที่ดีงามก็ย่อมละโมบ และมองหาโอกาสที่จะนำมาเป็นของตนอยู่เสมอ  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็พยายามหาประโยชน์อยู่เสมอ  คนเช่นนี้ใช้ไม่ได้  คนที่มีความเป็นมนุษย์ได้มาตรฐาน อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นคนที่ผู้คนไว้วางใจ  หากได้รับมอบหมายให้พิทักษ์รักษาของถวายหรือบริหารจัดการทรัพย์สินของคริสตจักร พวกเขาจะทำได้ดี ทำอย่างพิถีพิถัน ขยันหมั่นเพียร และเอาใจใส่อย่างยิ่ง  พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า จะไม่ยักยอกสิ่งเหล่านี้ จะไม่ให้ผู้อื่นยืม และอื่นๆ  สรุปคือ ท่านสามารถวางใจได้เมื่อมอบของถวายไว้ในมือของพวกเขาว่าจะไม่มีเงินสูญหายไปแม้แต่สตางค์เดียวและไม่มีสิ่งของใดสูญหายแม้แต่ชิ้นเดียว  ต้องหาคนเช่นนี้ให้เจอ  ยิ่งไปกว่านั้น พระนิเวศของพระเจ้ามีกฎว่าไม่ได้ให้หาคนเช่นนี้เพียงคนเดียว แต่ควรหามาสองหรือสามคนจะดีที่สุด—โดยมีบางคนทำหน้าที่เก็บบันทึกและบางคนทำหน้าที่พิทักษ์รักษา  เมื่อหาคนเหล่านี้ได้แล้ว ก็ให้จำแนกประเภทของถวาย และทำบันทึกอย่างเป็นระบบว่าใครพิทักษ์รักษาสิ่งของประเภทใด และมีจำนวนเท่าใด  เมื่อหาคนที่เหมาะสมได้แล้ว และมีการพิทักษ์รักษาสิ่งของและลงทะเบียนตามประเภทแล้ว เรื่องก็จบลงเพียงเท่านั้นหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วควรทำสิ่งใดต่อไป?  ต้องมีการตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายทุกสามถึงห้าเดือนเพื่อดูว่าถูกต้องหรือไม่—คือผู้เก็บบันทึกได้บันทึกอย่างถูกต้องแม่นยำหรือไม่ มีสิ่งใดตกหล่นไปขณะลงทะเบียนหรือไม่ ยอดรวมสอดคล้องกับบัญชีรายรับรายจ่ายหรือไม่ และอื่นๆ  งานบัญชีเช่นนี้ต้องทำอย่างพิถีพิถัน  ผู้นำและคนทำงานที่ไม่เชี่ยวชาญในงานดังกล่าวควรจัดให้มีคนที่ค่อนข้างชำนาญในงานนี้มาดำเนินการ จากนั้นจึงดำเนินการตรวจสอบเป็นประจำและรับฟังรายงานของพวกเขา  สรุปคือ ไม่ว่าพวกเขาเองจะเข้าใจงานบัญชีและการวางแผนโดยรวมหรือไม่ ก็ไม่อาจปล่อยงานพิทักษ์รักษาของถวายไว้โดยไม่มีใครดูแล หรือเพิกเฉยและไม่สอบถามถึงงานนั้นง่ายๆ ได้  แต่ต้องดำเนินการตรวจสอบเป็นประจำ สอบถามว่าบัญชีที่ตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไรและตรงกันหรือไม่ จากนั้นจึงสุ่มตรวจสอบบันทึกรายจ่ายบางรายการเพื่อดูว่าสถานการณ์การใช้จ่ายในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีการสิ้นเปลืองหรือไม่ การทำบัญชีอยู่ในสภาพใด และรายรับตรงกับรายจ่ายหรือไม่  ผู้นำและคนทำงานควรมีความเข้าใจในรูปการณ์เหล่านี้ทั้งหมดอย่างถ่องแท้  นี่คืองานอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์รักษาของถวาย  พวกเจ้าจะกล่าวว่างานนี้ง่ายหรือไม่?  มีความท้าทายในระดับหนึ่งหรือไม่?  ผู้นำและคนทำงานบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ชอบตัวเลข ฉันปวดหัวเวลาเห็นตัวเลข”  เช่นนั้นแล้ว ก็จงหาคนที่เหมาะสมมาช่วยเจ้าตรวจสอบและกำกับดูแลเถิด ให้พวกเขาช่วยเจ้าตรวจสอบสิ่งเหล่านี้  เจ้าอาจไม่ชอบหรือไม่เก่งในงานนี้ แต่ถ้าเจ้ารู้จักใช้คนและใช้พวกเขาอย่างถูกต้อง เจ้าก็จะยังคงสามารถทำงานนี้ได้ดี  จงใช้คนที่เหมาะสมทำงานนี้ แล้วเจ้าก็เพียงรับฟังรายงานของพวกเขาก็พอ  นั่นก็ได้ผลเช่นกัน  จงยึดหลักธรรมนี้ไว้คือ ตรวจสอบและตรวจนับทรัพย์สินที่พิทักษ์รักษาไว้ทั้งหมดเป็นประจำร่วมกับผู้รับผิดชอบงานนั้น จากนั้นจึงถามคำถามสองสามข้อเกี่ยวกับรายจ่ายที่สำคัญ—เจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  เหตุใดผู้นำและคนทำงานจึงต้องทำงานนี้?  เพราะเป็นการปกป้องของถวาย—นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า

ของถวายที่ผู้คนถวายแด่พระเจ้านั้นมีไว้เพื่อให้พระองค์ทรงชื่นชม แต่พระองค์ทรงใช้ของเหล่านั้นหรือไม่?  พระเจ้าจำเป็นต้องใช้เงินและสิ่งของเหล่านี้หรือไม่?  ของถวายแด่พระเจ้าเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการเผยแผ่พระราชกิจแห่งข่าวประเสริฐหรอกหรือ?  ไม่ได้มีไว้สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรอกหรือ?  ในเมื่อเกี่ยวข้องกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งการบริหารจัดการและการใช้จ่ายของถวายจึงล้วนเกี่ยวพันกับความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานเหมือนกัน  ไม่ว่าใครจะถวายเงินนี้หรือสิ่งของเหล่านี้จะมาจากไหน ตราบใดที่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็ควรบริหารจัดการให้ดี และเจ้าควรติดตาม ตรวจสอบ และใส่ใจในงานนี้  หากของถวายที่ถวายแด่พระเจ้าไม่สามารถนำไปใช้จ่ายอย่างถูกควรเพื่อเผยแผ่พระราชกิจแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่กลับถูกนำไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายและสิ้นเปลืองตามอำเภอใจ หรือแม้กระทั่งถูกคนชั่วยึดหรือครอบครองไป เช่นนั้นเหมาะควรหรือไม่?  นั่นไม่ใช่การละเลยความรับผิดชอบในส่วนของผู้นำและคนทำงานหรอกหรือ?  (ใช่)  นั่นคือการละเลยความรับผิดชอบในส่วนของพวกเขา  ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานจึงต้องทำงานนี้  เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องรับผิดชอบ  การบริหารจัดการของถวายให้ดี ทำให้สามารถนำไปใช้อย่างถูกต้องในการเผยแผ่พระราชกิจแห่งข่าวประเสริฐและในงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระเจ้า ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และไม่ควรละเลย  พี่น้องชายหญิงพากเพียรหาเงินมาได้เล็กน้อยเพื่อถวายแด่พระเจ้า  สมมติว่าเนื่องจากผู้นำและคนทำงานประมาทเลินเล่อและละเลยหน้าที่ เงินนี้จึงตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว—ถูกคนชั่วผลาญอย่างไม่ยั้งคิดและสิ้นเปลือง หรือแม้กระทั่งถูกพวกเขายึดไป  ด้วยเหตุนี้ ผู้นำและคนทำงานจึงไม่มีเงินเพียงพอสำหรับค่าเดินทางหรือค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต และไม่มีเงินเพียงพอแม้กระทั่งเมื่อถึงเวลาต้องพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าหรือซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็น  นี่ไม่ใช่การทำให้งานล่าช้าหรอกหรือ?  เมื่อเงินที่พี่น้องชายหญิงถวายถูกคนชั่วครอบครองไปแทนที่จะนำไปใช้อย่างถูกควร และเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแต่กลับไม่มีเพียงพอ งานก็ถูกขัดขวางแล้วมิใช่หรือ?  ผู้นำและคนทำงานล้มเหลวในการลุล่วงความรับผิดชอบของตนมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะผู้นำและคนทำงานล้มเหลวในการลุล่วงความรับผิดชอบของตนและไม่ได้บริหารจัดการของถวายให้ดี และพวกเขาไม่ได้เป็นผู้พิทักษ์ที่ดีหรือไม่ทุ่มเทใจในการลุล่วงความรับผิดชอบของตนในส่วนที่เกี่ยวกับงานนี้ ความสูญเสียจึงเกิดขึ้นกับของถวาย และงานของคริสตจักรบางส่วนก็ตกอยู่ในสภาวะเป็นอัมพาตหรือหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง  ผู้นำและคนทำงานไม่ได้แบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงสำหรับเรื่องนี้หรอกหรือ?  นี่คือความผิดบาป  เจ้าอาจไม่ได้ยึด ผลาญ หรือสิ้นเปลืองของถวายเหล่านี้ และเจ้าอาจไม่ได้นำของเหล่านั้นใส่กระเป๋าของตนเอง แต่สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากความประมาทเลินเล่อและการละเลยความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าไม่ควรแบกรับความรับผิดชอบสำหรับเรื่องนี้หรอกหรือ?  (ควร)  นี่เป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงอย่างยิ่งที่ต้องแบกรับ!

II. การตรวจดูบัญชี

ในงานของตน นอกเหนือจากการดำเนินการตามการจัดแจงเตรียมงานต่างๆ อย่างถูกควร และการสามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหาแล้ว ผู้นำและคนทำงานต้องพิทักษ์รักษาของถวายให้ดี  พวกเขาต้องหาคนที่เหมาะสมตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อดำเนินการบริหารจัดการของถวายอย่างเป็นระบบ และต้องตรวจดูบัญชีเป็นครั้งคราว  บางคนถามว่า “ฉันจะตรวจดูได้อย่างไรเมื่อสภาวการณ์ไม่อำนวย?”  “รูปการณ์ไม่อำนวย”—นี่เป็นเหตุผลที่จะไม่ตรวจดูบัญชีหรือ?  ท่านสามารถตรวจดูได้แม้ในยามที่สภาวการณ์ไม่อำนวย  หากท่านไปเองไม่ได้ ท่านต้องส่งคนที่ไว้ใจได้และเหมาะสมไปดำเนินการกำกับดูแล และดูว่าผู้ดูแลกำลังพิทักษ์รักษาของถวายในลักษณะที่เหมาะสมหรือไม่ มีความคลาดเคลื่อนใดๆ ในบัญชีหรือไม่ ผู้ดูแลไว้ใจได้หรือไม่ สภาวะของพวกเขาในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรและพวกเขาคิดลบหรือไม่ พวกเขารู้สึกกลัวหรือไม่เมื่อเผชิญสถานการณ์บางอย่าง และมีความเป็นไปได้ที่จะทรยศหรือไม่  สมมติว่าท่านได้ยินมาว่าช่วงนี้ครอบครัวของพวกเขามีเงินฝืดเคือง—เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาอาจจะยักยอกของถวาย?  จากการสามัคคีธรรมและการตรวจสอบสถานการณ์ ท่านอาจเห็นว่าผู้ดูแลค่อนข้างไว้ใจได้ พวกเขารู้ว่าของถวายนั้นแตะต้องไม่ได้ และไม่ว่าครอบครัวของพวกเขาจะเงินฝืดเคืองเพียงใด พวกเขาก็ไม่ได้แตะต้องของถวาย และจากการเฝ้าสังเกตเป็นเวลานาน ก็อาจพิสูจน์ได้ว่าผู้ดูแลไว้ใจได้อย่างเต็มที่  ยิ่งไปกว่านั้น ต้องตรวจสอบว่าสภาพแวดล้อมรอบบ้านที่เก็บรักษาของถวายนั้นอันตรายหรือไม่ มีพี่น้องชายหญิงคนใดถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมที่นั่นหรือไม่ ผู้ดูแลของถวายเผชิญอันตรายใดๆ หรือไม่ ของถวายถูกเก็บไว้ในสถานที่ที่เหมาะสมหรือไม่ และควรย้ายของถวายเหล่านั้นหรือไม่  ต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมและสภาพการณ์ของบ้านผู้ดูแลบ่อยครั้ง เพื่อที่จะสามารถวางมาตรการตอบสนองและวางแผนที่เหมาะสมได้ตลอดเวลา  ขณะที่เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าก็ต้องสอบถามเป็นครั้งคราวด้วยว่าช่วงนี้ทีมใดได้จัดหาอุปกรณ์ใหม่ๆ มาบ้าง และได้อุปกรณ์เหล่านั้นมาอย่างไร  หากซื้อมา เจ้าต้องถามว่ามีใครตรวจทานคำขอและลงนามอนุมัติก่อนที่จะซื้อหรือไม่ ซื้อมาในราคาสูงหรือราคาตลาดที่สมเหตุสมผล มีการใช้จ่ายเงินที่ไม่จำเป็นหรือไม่ และอื่นๆ  สมมติว่าไม่พบปัญหาใดๆ ในบัญชีจากการตรวจดูและตรวจทานบัญชี แต่กลับพบว่าผู้ซื้อบางคนใช้จ่ายของถวายอย่างฟุ่มเฟือยอยู่บ่อยครั้ง  ไม่ว่าของจะแพงเพียงใด พวกเขาก็จะซื้อ  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขารู้ดีว่าสินค้าจะลดราคา ราคาจะถูกลง พวกเขาก็ไม่รอ แต่กลับจะซื้อทันที และพวกเขาจะซื้อของดี ของชั้นสูง รุ่นล่าสุด  ผู้ซื้อเหล่านี้ใช้จ่ายเงินโดยไม่มีหลักธรรมและในลักษณะที่ฟุ่มเฟือย และพวกเขาใช้จ่ายของถวายเพื่อซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้าราวกับว่ากำลังทำสิ่งต่างๆ ให้ศัตรูของตน  พวกเขาไม่เคยซื้อของที่ใช้ได้จริงตามหลักธรรม แต่เพียงหาร้านใดก็ได้และซื้อของทันทีโดยไม่คำนึงถึงราคาและคุณภาพ  เมื่อนำของกลับมาแล้ว ของก็เสียภายในไม่กี่วันที่ใช้งาน และเมื่อเสียแล้วผู้ซื้อเหล่านี้ก็ไม่นำไปซ่อม—พวกเขาซื้อใหม่  ในกรณีที่เมื่อตรวจดูบัญชีและตรวจทานรายจ่ายทางการเงินแล้ว พบว่าบางคนผลาญและสิ้นเปลืองของถวายอย่างร้ายแรง จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?  คนเหล่านั้นควรได้รับการแจ้งเตือนทางวินัย หรือควรให้พวกเขาชดใช้ค่าเสียหาย?  แน่นอนว่าทั้งสองอย่างจำเป็น  หากพบว่าใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ในที่ที่ถูกควร เป็นเพียงผู้ไม่มีความเชื่อ เป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นพวกมาร เช่นนั้นแล้วปัญหาก็ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเพียงแค่แจ้งเตือนทางวินัยหรือตัดแต่งพวกเขา  ไม่ว่าความจริงจะถูกสามัคคีธรรมอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับ  ไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่งอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ใส่ใจ  หากขอให้พวกเขาชดใช้ค่าเสียหาย พวกเขาก็จะทำ แต่พวกเขาจะยังคงกระทำในลักษณะเดิมต่อไปในอนาคต และจะไม่เปลี่ยนแปลง  พวกเขาจะไม่กระทำตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างแน่นอน แต่กลับจะกระทำในลักษณะที่ตามอำเภอใจ บุ่มบ่าม และไร้หลักธรรม  จะจัดการคนประเภทนี้อย่างไร?  สามารถใช้พวกเขาต่อไปได้หรือไม่?  ไม่ควรใช้  หากยังคงใช้พวกเขาต่อไป ผู้นำและคนทำงานก็เป็นคนโง่เขลามาก—พวกเขาโง่เขลาเกินไป!  เมื่อพบผู้ไม่เชื่อเช่นนี้ ควรปลดออก กำจัดออกไป และชำระพวกเขาออกจากคริสตจักรทันที  พวกเขาไม่มีคุณสมบัติแม้กระทั่งที่จะทำงานรับใช้—พวกเขาไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น!

เมื่อผู้นำและคนทำงานกำลังตรวจดูบัญชีและรายจ่าย พวกเขาอาจไม่เพียงพบกรณีของการผลาญและการสิ้นเปลือง หรือรายจ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลบางรายการเท่านั้น—พวกเขาอาจพบด้วยว่าบางคนที่ทำงานนี้มีลักษณะนิสัยต่ำทราม เป็นคนต่ำช้าและเห็นแก่ตัว และได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่องานของคริสตจักร  หากเจ้าพบสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าควรจัดการอย่างไร?  จัดการได้ง่าย กล่าวคือ เจ้าต้องจัดการและแก้ไข ณ จุดนั้นทันที—ปลดคนเหล่านั้นออกไป จากนั้นจึงเลือกคนที่เหมาะสมมาทำงาน  คนที่เหมาะสมหมายถึงคนที่มีความเป็นมนุษย์ได้มาตรฐาน มีมโนธรรมและเหตุผล และสามารถจัดการสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เมื่อพวกเขาซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจะซื้อของที่ประหยัดซึ่งค่อนข้างใช้ได้จริงและทนทาน เป็นของที่จำเป็นต้องซื้อ  พวกเขาไม่จำเป็นต้องมุ่งมั่นที่จะซื้อของถูก แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องซื้อของที่แพงที่สุดเช่นกัน  ในบรรดาสินค้าประเภทเดียวกัน พวกเขาจะเลือกสินค้าที่มีคำวิจารณ์และชื่อเสียงค่อนข้างดี รวมทั้งมีป้ายราคาที่เหมาะสม และแน่นอน หากมีการรับประกันที่ค่อนข้างยาวนานกว่าก็จะยิ่งดี  นี่คือคนประเภทที่เจ้าต้องหามาซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาต้องมีใจที่ถูกต้อง ต้องคำนึงถึงพระนิเวศของพระเจ้าในการกระทำของตน และคิดอย่างรอบคอบ  พวกเขาต้องจัดการสิ่งต่างๆ ตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า กระทำการและประพฤติตนในลักษณะท่าทางที่เหมาะสม อย่างไม่กำกวมและด้วยความชัดเจน  เมื่อท่านหาคนเช่นนี้เจอแล้ว ให้พวกเขาลองจัดการบางสิ่งให้พระนิเวศของพระเจ้าและสังเกตการณ์พวกเขา  หากดูเหมือนว่าค่อนข้างเหมาะสม ก็อาจใช้พวกเขาได้  แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเรื่องราวเมื่อมีการจัดเตรียมแล้ว—ในอนาคต ท่านต้องพบปะ สามัคคีธรรมกับพวกเขา และตรวจสอบงานของพวกเขา  บางคนถามว่า “เป็นเพราะพวกเขาไว้ใจไม่ได้หรือ?”  ไม่ใช่ทั้งหมดเป็นเพราะขาดความไว้วางใจ—บางครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะไว้ใจได้ ก็ยังคงต้องมีการตรวจสอบ  แล้วจะตรวจสอบอะไร?  ดูว่ามีการเบี่ยงเบนในการปฏิบัติของพวกเขาในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เข้าใจหลักธรรมหรือไม่ หรือว่าพวกเขามีความเข้าใจที่บิดเบี้ยวหรือไม่  จำเป็นต้องช่วยพวกเขาโดยดำเนินการตรวจสอบ  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าพวกเขากล่าวว่ามีสินค้าที่นิยมมากในตลาด แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องใช้หรือไม่ และพวกเขากังวลว่าหากไม่ซื้อตอนนี้ ก็อาจไม่มีขายอีกในอนาคต  พวกเขาถามเจ้าว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร  หากเจ้าไม่รู้ เจ้าก็ควรให้พวกเขาไปถามคนที่เกี่ยวข้องกับงานเฉพาะทางนั้น  ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงกล่าวว่าสินค้านั้นเป็นของใหม่ที่ใช้ตามกระแสนิยม ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีประโยชน์ และไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อมัน  เมื่อมีความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นข้อมูลอ้างอิง ก็ตัดสินใจได้ว่าไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้านั้น การซื้อจะเป็นการสิ้นเปลือง และการไม่ซื้อตอนนี้ก็ไม่ถือเป็นความสูญเสีย  ผู้นำและคนทำงานต้องทำงานของตนถึงระดับนี้  ไม่ว่าบางสิ่งจะสำคัญหรือเล็กน้อยเพียงใด หากพวกเขาสามารถเห็น คิดถึง หรือค้นพบเกี่ยวกับมันได้ พวกเขาก็ต้องติดตามและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และทำเช่นนี้ในลักษณะที่วางไว้ตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือความหมายของการลุล่วงความรับผิดชอบของตน

บางคนมักจะยื่นคำร้องขอซื้อของบางอย่าง ขอให้พระนิเวศของพระเจ้าซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ และจากการตรวจทานและตรวจสอบอย่างรอบคอบ มักพบว่าในบรรดาสิ่งของห้าอย่างที่ร้องขอ มีเพียงอย่างเดียวที่จำเป็นต้องซื้อ และไม่มีความจำเป็นต้องซื้ออีกสี่อย่าง  ในกรณีเช่นนี้ควรทำอย่างไร?  สิ่งของที่พวกเขายื่นคำร้องขอต้องได้รับการตรวจทานและพิจารณาอย่างเข้มงวด ไม่ควรซื้ออย่างเร่งรีบ  ไม่ควรซื้อเพียงเพราะคนเหล่านั้นกล่าวว่าจำเป็นต่องาน—ไม่ควรอนุญาตให้คนเหล่านั้นยื่นคำร้องขอสิ่งต่างๆ ตามอำเภอใจโดยอ้างว่าเป็นไปเพื่องานของพวกเขา  ไม่ว่าคนเหล่านี้จะอ้างเหตุผลใด และไม่ว่าพวกเขาจะเร่งรีบเพียงใด ผู้นำและคนทำงานหรือผู้ที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการของถวายต้องมีใจที่มั่นคงอย่างยิ่ง  พวกเขาต้องตรวจสอบและตรวจทานสิ่งเหล่านี้อย่างรอบคอบ ต้องไม่มีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย  สิ่งของที่จำเป็นต้องซื้ออย่างแน่นอนต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากผู้นำ และหากไม่จำเป็นต้องซื้อ ก็ให้ปฏิเสธ ไม่อนุมัติ  หากผู้นำและคนทำงานทำงานนี้อย่างพิถีพิถัน เป็นรูปธรรม และในเชิงลึก ก็จะลดกรณีที่ของถวายถูกผลาญและทำให้สิ้นเปลืองลง และแน่นอนว่ายิ่งไปกว่านั้นก็จะลดรายจ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลลงด้วย  การทำงานนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของการมองดูอย่างรอบคอบว่าบันทึกรายรับรายจ่ายในบัญชีเป็นอย่างไร และตัวเลขคือเป็นอย่างไร  นั่นเป็นเรื่องรอง  ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือใจของเจ้าต้องอยู่ในที่ที่ถูกควร และเจ้าปฏิบัติต่อทุกรายจ่ายและทุกรายการประหนึ่งว่าเป็นรายการในบัญชีธนาคารของเจ้าเอง  เมื่อนั้นเจ้าก็จะตรวจดูอย่างละเอียด เจ้าจะสามารถจดจำได้ และเจ้าจะสามารถเข้าใจได้—และหากมีข้อผิดพลาดหรือปัญหา เจ้าก็จะสามารถบอกได้  หากเจ้ามองดูประหนึ่งว่าเป็นบัญชีของคนอื่นหรือบัญชีสาธารณะ ท่านก็จะตาบอดใจบอดอย่างแน่นอน ไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ได้  บางคนฝากเงินไว้ในธนาคารเล็กน้อย และทุกเดือน พวกเขาอ่านใบแจ้งยอดและดูดอกเบี้ย จากนั้นพวกเขาก็ตรวจดูบัญชี—พวกเขาตรวจดูว่าใช้จ่ายไปเท่าใดในแต่ละเดือน ถอนเงินกี่ครั้ง และฝากเงินเข้าไปเท่าใด  ทุกรายการถูกบันทึกไว้ในใจ พวกเขารู้ตัวเลขทุกตัวเหมือนรู้ที่อยู่ตัวเอง และพวกเขาก็ชัดเจนในใจ  หากเกิดปัญหาขึ้นที่ใด พวกเขาก็เห็นได้ด้วยการมองแวบเดียว และพวกเขาไม่มองข้ามแม้แต่ข้อผิดพลาดที่เล็กน้อยที่สุด  ผู้คนสามารถระมัดระวังเงินของตนเองได้ถึงเพียงนี้ แต่พวกเขาแสดงความใส่ใจเช่นเดียวกันต่อของถวายของพระเจ้าหรือไม่?  ในความคิดของเรา ร้อยละ 99.9 ของผู้คนไม่ได้ทำเช่นนั้น  ดังนั้นเมื่อของถวายของพระเจ้าถูกมอบให้ผู้คนพิทักษ์รักษา จึงมักมีกรณีของการผลาญและสิ้นเปลือง และรายจ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลหลากหลายแบบเกิดขึ้น แต่กระนั้นก็ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นปัญหา และผู้ที่รับผิดชอบงานนี้ก็ไม่เคยรู้สึกผิดในใจเช่นกัน  ไม่ต้องพูดถึงการสูญเสียเงินหนึ่งร้อยดอลลาร์—ต่อให้พวกเขาจะสูญเสียหนึ่งพัน หนึ่งหมื่น พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงการตำหนิ ความรู้สึกติดค้าง หรือการกล่าวโทษในใจ  เหตุใดผู้คนจึงเลอะเลือนเมื่อเป็นเรื่องนี้?  นี่ไม่ได้บ่งชี้ว่าใจของผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในที่ที่ถูกควรหรอกหรือ?  เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะชัดเจนเหลือเกินว่าตนมีเงินเก็บในธนาคารเท่าใด?  เมื่อเงินของพระนิเวศของพระเจ้าถูกฝากไว้ในบัญชีของเจ้าเป็นการชั่วคราว เพื่อให้เจ้าพิทักษ์รักษา เจ้ากลับไม่จริงจังและไม่ใส่ใจ  นี่เป็นวิธีคิดแบบใด?  เจ้าไม่ได้จงรักภักดีแม้กระทั่งในเรื่องการพิทักษ์รักษาของถวายของพระเจ้า แล้วเจ้ายังเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าอยู่อีกหรือ?  ท่าทีของผู้คนต่อของถวายเป็นข้อพิสูจน์ถึงท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้า—ท่าทีของพวกเขาต่อของถวายบ่งบอกได้มาก  ผู้คนไม่แยแสเกี่ยวกับของถวายและพวกเขาไม่ใส่ใจกับของเหล่านั้น  หากของถวายสูญหายไปก็ไม่ทำให้พวกเขาเศร้าสลดใจ  พวกเขาไม่รับผิดชอบ และพวกเขาไม่ใส่ใจ  แล้วพวกเขาไม่มีท่าทีเช่นเดียวกันต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  (มี)  มีใครกล่าวว่า “ของถวายของพระเจ้าเป็นของพระองค์  ตราบใดที่ข้าพเจ้าไม่ละโมบหรือยึดของเหล่านั้น ทุกอย่างก็เรียบร้อย  ใครก็ตามที่ยึดของเหล่านั้นไว้จะถูกลงโทษ—นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา และพวกเขาสมควรได้รับแล้ว  มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  ฉันไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องใส่ใจกับเรื่องนี้”?  คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้อง  แล้วผิดตรงไหน?  (ใจของพวกเขาไม่ถูกต้อง พวกเขาไม่ปกป้องงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาไม่ปกป้องของถวาย)  ความเป็นมนุษย์ของคนประเภทนี้เป็นอย่างไร?  (เห็นแก่ตัวและต่ำช้า  พวกเขาใส่ใจสิ่งของของตนเองมากและปกป้องเป็นอย่างดี แต่พวกเขาไม่ใส่ใจหรือไม่สอบถามเกี่ยวกับของถวายของพระเจ้า  ความเป็นมนุษย์ของคนเช่นนั้นมีคุณภาพต่ำยิ่ง)  โดยหลักแล้ว คือเห็นแก่ตัวและต่ำช้า  คนประเภทนี้ไม่เลือดเย็นหรอกหรือ?  พวกเขาเห็นแก่ตัวและต่ำช้า เลือดเย็น และไร้ซึ่งความรู้สึกของมนุษย์  คนเช่นนี้จะรักพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาจะนบนอบพระองค์ได้หรือไม่?  พวกเขาจะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วคนเช่นนี้ติดตามพระเจ้าเพื่ออะไร?  (เพื่อได้รับพร)  นี่ไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ?  การที่คนเราปฏิบัติต่อของถวายของพระเจ้าอย่างไรนั้นเผยให้เห็นชัดเจนที่สุดว่าธรรมชาติของพวกเขาเป็นอย่างไร  ผู้คนไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อพระเจ้าได้จริงๆ  แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำหน้าที่ได้เล็กน้อย นั่นก็มีจำกัดมาก  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะปฏิบัติต่อของถวาย—ซึ่งเป็นของพระเจ้า—ได้อย่างถูกต้อง หรือพิทักษ์รักษาให้ดี หากเจ้ามีทัศนะและท่าทีเช่นนั้น เจ้าก็คือคนประเภทที่ขาดความเป็นมนุษย์มากที่สุดไม่ใช่หรือ?  การที่ท่านกล่าวว่าท่านรักพระเจ้านั้นไม่เท็จหรอกหรือ?  ไม่หลอกลวงหรอกหรือ?  มันหลอกลวงมาก!  ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยในคนประเภทนี้—พระเจ้าจะทรงช่วยกากเดนเช่นนี้ให้รอดหรือ?

๓. การติดตาม ตรวจสอบ และตรวจทานการใช้จ่ายทุกประเภท และการดำเนินการกลั่นกรองอย่างเข้มงวด

เพื่อให้ผู้นำและคนทำงานเป็นผู้ดูแลที่ดีของพระนิเวศของพระเจ้า งานประการแรกที่พวกเขาต้องทำให้ดีก็คือการบริหารจัดการของถวายอย่างถูกควร  นอกเหนือจากการพิทักษ์รักษาของถวายอย่างถูกควรแล้ว พวกเขาก็ควรดำเนินการกลั่นกรองอย่างเข้มงวดในเรื่องของการใช้จ่ายของถวายด้วย  การดำเนินการกลั่นกรองอย่างเข้มงวดหมายความว่าอย่างไร?  ความหมายหลักก็คือการขจัดการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลออกไปให้หมด และมุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกการใช้จ่ายของถวายเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและมีประสิทธิผล แทนที่จะปล่อยให้ของถวายถูกผลาญและสิ้นเปลืองไป  หากตรวจพบกรณีของการผลาญหรือการสิ้นเปลือง ผู้นำและคนทำงานไม่เพียงแต่ต้องหยุดยั้งสิ่งเหล่านั้นทันทีเท่านั้น แต่ยังต้องให้พวกเขารับผิดชอบ อีกทั้งต้องระบุตัวบุคคลที่เหมาะสมเพื่อทำงานนี้ด้วย  ผู้นำและคนทำงานควรรู้อย่างแน่ชัดว่าการใช้จ่ายแต่ละรายการภายในขอบเขตการบริหารจัดการของตนนั้นถูกนำไปใช้ที่ใดและเพื่อวัตถุประสงค์ใด—อีกทั้งต้องทบทวนเรื่องเหล่านี้อย่างเข้มงวดด้วย  ตัวอย่างเช่น หากห้องใดห้องหนึ่งขาดพัดลม พวกเขาก็ควรกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจนว่าใครจะเป็นคนซื้อ จะใช้งบประมาณเท่าใด และพัดลมนั้นควรมีคุณลักษณะใดบ้างจึงจะเหมาะสมที่สุด  ผู้นำและคนทำงานบางคนกล่าวว่า “พวกเรางานยุ่ง ไม่มีเวลาพอที่จะไปซื้อด้วยตนเอง”  เจ้าไม่ได้ถูกร้องขอให้ไปซื้อด้วยตนเอง  เจ้าควรจัดหาคนดี คนที่มีขีดความสามารถมาจัดการภารกิจนี้  จงอย่าใช้คนทึ่มหรือคนไม่ดีซึ่งมีใจคดไปซื้อ  ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติย่อมรู้ว่าตนต้องซื้อของที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีป้ายราคาที่เหมาะสม—คุณสมบัติที่มากเกินไปย่อมไร้ประโยชน์ และยังทำให้ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกมาก  ในทางตรงกันข้าม พวกที่แสวงหาแต่ความสุขสำราญที่ไม่มีความตั้งใจดีนั้นมักจะซื้อของที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่มีคุณสมบัติสารพัดอย่างปะปนกัน ทำให้สิ้นเปลืองเงินทองมากขึ้นไปอีก  ผู้ซื้อต้องมีเหตุผล ต้องเข้าใจหลักธรรม  สิ่งของที่ซื้อมานั้นต้องสัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยไม่เสียเงินมากนัก และทุกคนเห็นพ้องว่าเหมาะสม  หากเจ้ามอบหมายให้คนไร้ความรับผิดชอบที่ชอบใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายและฟุ่มเฟือยไปจัดซื้อ พวกเขาก็จะจ่ายเงินแพงลิบลิ่วเพื่อซื้อเครื่องปรับอากาศรุ่นที่ดีที่สุด ซึ่งราคาสูงกว่าการซื้อพัดลมถึงสิบเท่า  พวกเขาเชื่อว่าแม้จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย แต่ผู้คนต้องสำคัญที่สุด—เครื่องปรับอากาศนั้นไม่เพียงแต่กรองอากาศ แต่ยังปรับความชื้นและอุณหภูมิได้ ทั้งยังมีระบบตั้งเวลาและโหมดการทำงานที่หลากหลายอีกด้วย  นั่นไม่ใช่ความสิ้นเปลืองหรอกหรือ?  นี่คือการผลาญไปอย่างสิ้นเปลืองโดยแท้  คนเช่นนั้นมุ่งแต่จะสนุกสนาน ใช้เงินเพื่อความตื่นเต้น เพื่ออวดตน ไม่ใช่เพื่อซื้อของที่ใช้สัมพันธ์กับชีวิตจริง  คนเช่นนี้ย่อมมีใจคด  หากพวกเขาซื้อของให้ตนเอง พวกเขาก็จะหาวิธีประหยัดเงิน มองหาสินค้าลดราคา และพยายามต่อรองราคา  พวกเขาจะประหยัดหากทำได้—ยิ่งถูกก็ยิ่งดี  แต่เมื่อซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าต้องจ่ายเงินเท่าใดพวกเขาก็ไม่ใส่ใจ  พวกเขาไม่แม้แต่จะชายตามองของถูกๆ กลับต้องการซื้อแต่ของแพง ของดีเลิศ ของล้ำสมัย  นี่แสดงว่าพวกเขามีใจคด  จะสามารถใช้คนที่ใจคดได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เมื่อจัดการงานให้พระนิเวศของพระเจ้า คนที่ใจคดมักจะทำแต่เรื่องเหลวไหลไร้ค่า  พวกเขาไม่ใช้เงินไปกับสิ่งที่ถูกต้อง มีแต่จะผลาญและทำให้ของถวายสูญเปล่า และทุกการใช้จ่ายของพวกเขาก็ไม่สมเหตุสมผลทั้งสิ้น

คนอื่นๆ บางคนก็มีแนวคิดแบบคนขัดสน พวกเขาเชื่อว่าตนต้องซื้อของที่ถูกที่สุดเมื่อซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้า ยิ่งถูกยิ่งดี  พวกเขาคิดว่านี่เป็นการประหยัดเงินของพระนิเวศพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจซื้อแต่ของที่ตกรุ่นและลดราคา  ผลก็คือ พวกเขาซื้อเครื่องจักรที่ถูกที่สุดซึ่งมีคุณภาพย่ำแย่  เครื่องจักรเหล่านี้เสียทันทีที่เริ่มใช้งาน เกินกว่าจะซ่อมแซมและใช้งานไม่ได้  จากนั้นก็จำเป็นต้องซื้อเครื่องจักรอื่นๆ ที่มีคุณภาพพอใช้การและสามารถใช้งานได้ตามปกติ ทำให้ต้องเสียเงินเพิ่มไปอีกก้อน  นี่ไม่ใช่ความโง่เขลาหรอกหรือ?  คนเช่นนี้ถูกเรียกว่าคนตระหนี่และมีแนวคิดแบบคนขัดสน  พวกเขามักจะต้องการประหยัดเงินของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เสมอ แล้วผลที่ได้จากการประหยัดมัธยัสถ์ทั้งหมดของพวกเขาคืออะไรเล่า?  มันกลับกลายเป็นการสูญเปล่า เป็นการผลาญเงินทอง  พวกเขายังแก้ตัวให้ตัวเองด้วยว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจ  ฉันมีเจตนาดี—ฉันแค่พยายามประหยัดเงินของพระนิเวศของพระเจ้า—ฉันไม่ได้ต้องการใช้เงินพร่ำเพรื่อ”  แล้วการที่พวกเขาไม่อยากทำเช่นนั้นช่วยอะไรได้หรือ?  ในความเป็นจริง พวกเขากำลังใช้เงินพร่ำเพรื่อ ก่อให้เกิดความสูญเปล่าจริงๆ และนี่ก็สิ้นเปลืองทั้งเงินและกำลังคน  คนเช่นนี้ก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน—พวกเขาเป็นคนทึ่ม พวกเขาไม่เฉียบแหลมพอ  โดยสรุปแล้ว คนที่มีใจคดไม่ควรถูกใช้ไปซื้อของให้พระนิเวศของพระเจ้า และคนทึ่มก็เช่นกัน  ควรใช้คนที่ฉลาดหลักแหลมซึ่งมีประสบการณ์ในการซื้อของอยู่บ้างและมีขีดความสามารถในระดับหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ที่มองทุกสิ่งอย่างไม่บิดเบือน  ไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ตาม สิ่งนั้นต้องสัมพันธ์กับชีวิตจริง และราคาต้องสมเหตุสมผล แม้ว่าจะเสีย ก็ต้องซ่อมง่าย และต้องหาซื้ออะไหล่ได้ง่าย  นั่นจึงจะสมเหตุสมผล  หลังจากที่บางคนซื้อของแล้ว พวกเขาเห็นว่ามีระยะเวลาคืนสินค้าหนึ่งเดือน ก็รีบทดลองใช้ และก็ได้ผลลัพธ์ภายในเดือนนั้น  หากมีข้อบกพร่องเล็กน้อยและใช้งานได้ไม่ดี พวกเขาก็จะคืนสินค้าทันที และเลือกอย่างอื่นแทน เป็นการลดความสูญเสีย  คนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างดี  ส่วนคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์นั้น เมื่อซื้อของมาแล้วก็ปล่อยทิ้งขว้าง  พวกเขาไม่ทดลองใช้เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ หรือทนทานหรือไม่ และไม่ดูด้วยว่าระยะเวลารับประกันนานเท่าใด หรือมีเวลานานเท่าใดในการคืนสินค้า—พวกเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย  เมื่อวันหนึ่งพวกเขาเกิดสนใจสิ่งของนั้นขึ้นมากะทันหัน พวกเขาก็หยิบมาทดลองใช้ ถึงได้พบว่ามันเสีย  พวกเขาตรวจสอบใบเสร็จและเห็นว่าเลยกำหนดคืนสินค้าแล้ว และไม่สามารถคืนสินค้าได้อีกต่อไป  จากนั้นพวกเขาก็พูดว่า “งั้นก็ซื้อใหม่อีกอันแล้วกัน”  นั่นไม่ใช่การสูญเปล่าหรอกหรือ?  “ซื้อใหม่อีกอันแล้วกัน”—ด้วยคำพูดนั้น พระนิเวศของพระเจ้าก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกก้อนหนึ่งโดยไม่เต็มใจ  การขอซื้อใหม่อีกอันดูเผินๆ เหมือนทำไปเพื่องานของคริสตจักร และเป็นการใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เบื้องหลังทั้งหมดนั้นเกิดจากการที่พวกเขาละเลยหน้าที่ของตนโดยไม่ได้ตรวจสอบสินค้าทันทีหลังจากที่ซื้อมา  ของถวายก้อนหนึ่งสูญเปล่าไป และต้องจ่ายอีกก้อนหนึ่ง และสิ่งของใหม่ที่ซื้อมาก็ยังไม่มีคนดีๆ คอยดูแลรักษา ดังนั้นมันก็ถูกใช้งานเพียงไม่นานก็เสียอีก  น่าประหลาดใจที่ไม่มีใครดูแลสิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น—ผู้นำและคนทำงานกำลังทำอะไรอยู่?  พวกเขาละเลยความรับผิดชอบของตนโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับงานนี้มาโดยตลอด—พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแล ตรวจสอบ และดำเนินการกลั่นกรอง และดังนั้นของถวายจึงถูกใช้ไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายและสูญเปล่าเช่นนี้  หากผู้ซื้อเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ พวกเขาก็จะคืนสินค้าที่ซื้อมาทันทีเมื่อเห็นว่ามันไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ซึ่งเป็นการลดความสูญเสียและการสิ้นเปลือง  หากพวกเขาเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบและมีใจคด พวกเขาก็จะซื้อของที่ไร้คุณภาพ และทำให้ของถวายสูญเปล่าไป  แล้วความสูญเสียทางการเงินนี้ควรจะตกเป็นความรับผิดชอบของผู้ใดกันแน่?  ผู้ซื้อรวมทั้งผู้นำและคนทำงานทุกคนไม่ควรต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้หรอกหรือ?  หากผู้นำและคนทำงานจัดการเรื่องนี้อย่างมีสติ รอบคอบ และละเอียดถี่ถ้วน ปัญหาเหล่านี้ก็จะถูกค้นพบไม่ใช่หรือ?  ข้อบกพร่องเหล่านี้ก็จะได้รับการแก้ไขไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  หากผู้นำและคนทำงานมักจะไปตามคริสตจักรต่างๆ ในหลายๆ ที่เพื่อตรวจสอบสถานะการใช้จ่ายของถวาย พวกเขาก็จะสามารถพบปัญหา และกำจัดการใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายและการสูญเปล่าเช่นนี้ได้  หากผู้นำและคนทำงานเกียจคร้านและไม่มีความรับผิดชอบ กรณีของการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งการสุรุ่ยสุร่ายและการสูญเปล่าเหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า—เพิ่มทวีขึ้นต่อไป  การเพิ่มทวีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นี่เกี่ยวข้องกับการที่ผู้นำและคนทำงานไม่ได้ทำงานจริง และกลับวางตัวอยู่เหนือผู้อื่นและทำตัวเหมือนเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีประสิทธิภาพไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล และพวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์  เพราะเงินทั้งหมดที่คริสตจักรใช้จ่ายเป็นของพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นของถวายของพระเจ้าทั้งหมด และพวกเขาเชื่อว่าเงินนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาไม่ใส่ใจหรือสอบถามถึง และเพิกเฉยต่อของถวายนั้น  คนส่วนใหญ่เชื่อว่าพึงใช้จ่ายเงินของพระนิเวศของพระเจ้า จะใช้จ่ายในลักษณะใดก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ยักยอกหรือฉ้อโกง จะสูญเปล่าไปก็ไม่ใช่ปัญหา และนี่เป็นเพียงการที่ผู้คนซื้อประสบการณ์และขยายขอบเขตความรู้ของตนให้กว้างขึ้นเท่านั้น  ผู้นำและคนทำงานก็เพียงแค่ทำเป็นมองไม่เห็น โดยมีความคิดว่า “ใครอยากจะใช้เงินนั้นอย่างไรก็ได้ และซื้ออะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ  จะสูญเปล่าไปเท่าใดก็ไม่สำคัญ—ใครก็ตามที่ทำให้เงินสูญเปล่าก็ต้องรับผิดชอบในเงินนั้น และพวกเขาจะต้องเผชิญกับผลกรรมสนองและการลงโทษในอนาคต—นี่ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน  ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ใช่คนใช้จ่ายเงินนั้น และงินที่ถูกใช้ไปก็ไม่ใช่ของฉัน”  นี่ไม่ใช่มุมมองและท่าทีเดียวกันกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อมีต่อการใช้จ่ายเงินทุนสาธารณะหรอกหรือ?  ราวกับว่าพวกเขากำลังใช้จ่ายเงินของศัตรูของตนอย่างไรอย่างนั้น  เมื่อผู้ไม่มีความเชื่อทำงานในโรงงาน หากการจัดการหละหลวม ของใช้ส่วนรวมก็จะถูกขโมยและนำกลับไปบ้านของผู้คน หรือถูกทำให้เสียหายอย่างไม่ใส่ใจอยู่เสมอ และหากมีอะไรเสีย พวกเขาก็จะขอให้โรงงานซื้อใหม่  เมื่อพวกเขาซื้อของให้โรงงาน พวกเขาก็จะซื้อแต่ของดีและแพงโดยเฉพาะ  อย่างไรก็ตาม เงินก็จะถูกใช้จ่ายตามอำเภอใจ และไม่จำกัดงบ  หากผู้เชื่อในพระเจ้ามีทัศนคติเช่นนี้ต่อของถวายเช่นกัน พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงพระราชกิจในกลุ่มคนเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  หากผู้คนมีท่าทีเช่นนี้ต่อของถวายของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็ควรรู้ได้โดยไม่ต้องให้เราบอกว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไรต่อผู้คนเหล่านั้น

ท่าทีที่โจ่งแจ้งที่สุดที่ผู้คนสำแดงต่อพระเจ้านั้นคือ ท่าทีที่พวกเขามีต่อของถวาย  ไม่ว่าท่าทีของเจ้าที่มีต่อของถวายเป็นเช่นไร ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้น  หากเจ้าปฏิบัติต่อของถวายเหมือนกับที่เจ้าปฏิบัติต่อรายการเดินบัญชีในบัญชีธนาคารของเจ้าเอง—อย่างพิถีพิถัน รอบคอบ ระมัดระวัง เข้มงวด มีความรับผิดชอบ และเอาใจใส่—เช่นนั้นแล้ว ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าก็ค่อนข้างจะเหมือนกับสิ่งนี้  หากท่าทีที่เจ้ามีต่อของถวายเหมือนกับท่าทีที่เจ้ามีต่อทรัพย์สินส่วนรวม เหมือนผักในตลาด—ซื้อเท่าที่ต้องการอย่างไม่ใส่ใจ และไม่แม้แต่จะมองผักที่ไม่ชอบใจ เมินผักเหล่านั้นไม่ว่าจะถูกวางกองไว้ที่ใด ไม่สนใจว่าใครจะหยิบใช้ และแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเมื่อพวกมันหล่นอยู่บนพื้นและมีใครเหยียบย่ำ เชื่อไปว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ธุระของเจ้า—นั่นก็เป็นปัญหาสำหรับเจ้า  หากเจ้ามีท่าทีต่อของถวายเช่นนั้น เจ้าเป็นคนที่มีความรับผิดชอบหรือ?  คนเช่นเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ได้ดีหรือ?  เห็นได้ชัดว่าความเป็นมนุษย์ของเจ้าเป็นเช่นไร  กล่าวโดยสรุป ในงานบริหารจัดการของถวาย ความรับผิดชอบหลักของผู้นำและคนทำงาน นอกเหนือจากการพิทักษ์รักษาของถวายให้ดีแล้ว ก็คือพวกเขาต้องติดตามงานในส่วนต่อๆ ไป—ที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาต้องตรวจสอบบัญชีเป็นประจำ รวมทั้งติดตาม ตรวจตรา และตรวจทานการใช้จ่ายทุกประเภท และดำเนินการกลั่นกรองอย่างเข้มงวด  พวกเขาย่อมต้องขจัดการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลออกไปให้หมด ก่อนที่จะส่งผลให้เกิดการสุรุ่ยสุร่ายและการสูญเปล่า และหากการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลได้นำไปสู่สิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ กล่าวตักเตือนพวกเขา และให้พวกเขาจ่ายค่าชดเชย  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทำงานนี้ให้ดี ก็รีบลาออกไปเสีย—อย่าดำรงตำแหน่งผู้นำหรือคนทำงาน เพราะเจ้าไม่สามารถทำงานในตำแหน่งนั้นได้  หากเจ้าไม่สามารถดูแลงานนี้และทำงานนี้ได้ดี แล้วเจ้าจะทำงานใดได้?  จงบอกเราตามลำดับขั้นตอนว่ามีงานทั้งหมดกี่อย่างที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำเกี่ยวกับของถวาย?  (ประการแรกคือการพิทักษ์รักษาของถวาย  ประการที่สองคือการตรวจสอบบัญชี  ประการที่สามคือการติดตาม ตรวจตรา และตรวจสอบการใช้จ่ายทุกประเภท และดำเนินการกลั่นกรองอย่างเข้มงวด  ต้องขจัดการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผล และไม่ว่าใครก็ตามที่ทำให้เกิดการสุรุ่ยสุร่ายหรือการสูญเปล่า พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบและจ่ายค่าชดเชย)  การทำงานตามขั้นตอนเหล่านี้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  นี่เป็นวิธีทำงานที่แจกแจงไว้อย่างชัดเจน  หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทำงานที่เรียบง่ายเช่นนี้ได้ แล้วเจ้าจะสามารถทำอะไรได้ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน—ในฐานะผู้ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า?  มีตัวอย่างของการที่ของถวายถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองและสุรุ่ยสุร่ายในทุกๆ ด้าน และหากในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน เจ้าไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้ และไม่รู้สึกแย่กับเรื่องนี้เลย แล้วพระเจ้ายังทรงอยู่ในหัวใจของเจ้าหรือ—ยังคงมีที่สำหรับพระองค์อยู่ที่นั่นไหม?  นี่เป็นสิ่งที่น่าสงสัย  เจ้ากล่าวว่าใจที่รักพระเจ้าของเจ้ายิ่งใหญ่ และเจ้าก็มีหัวใจที่ยำเกรงพระองค์จริงๆ แต่เมื่อของถวายของพระองค์ถูกใช้ไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายและสูญเปล่าเช่นนี้ เจ้ากลับไม่มีความตระหนักในเรื่องนี้และไม่รู้สึกแย่กับเรื่องนี้เลย—นั่นไม่ได้ทำให้ความรักและการยำเกรงพระเจ้าของเจ้าเป็นที่น่าสงสัยหรอกหรือ?  (ย่อมเป็น)  แม้แต่ความเชื่อของเจ้าก็ยังเป็นที่น่าสงสัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรักและการยำเกรงพระเจ้าของเจ้า  ความรักและการยำเกรงพระเจ้าของเจ้าไม่มีน้ำหนัก—ไม่น่าเชื่อถือ!  การพิทักษ์รักษาของถวายอย่างดีคือภาระผูกพันที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วง และยังเป็นความรับผิดชอบที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกด้วย  หากของถวายไม่ได้รับการพิทักษ์รักษาอย่างดี นั่นคือการละเลยความรับผิดชอบในส่วนของพวกเขา—อาจกล่าวได้ว่าทุกคนที่พิทักษ์รักษาของถวายอย่างไม่ดีนั้นเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ

IV. การค้นพบที่อยู่ของของถวาย ตลอดจนสภาวะแวดล้อมนานาประการของผู้ดูแลของถวายอย่างทันท่วงที

นอกเหนือจากการตรวจสอบสภาวะการใช้จ่ายของถวายและการแก้ปัญหาการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลแล้ว ผู้นำและคนทำงานยังมีงานที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งคือ พวกเขาต้องค้นพบที่อยู่ของของถวาย ตลอดจนสภาวะแวดล้อมนานาประการของผู้ดูแลของถวายอย่างทันท่วงที  จุดมุ่งหมายของการนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนชั่ว คนที่ซ่อนเร้นแผนการอันมืดมิด และคนที่มีใจละโมบ ฉวยโอกาสจากความเผอเรอเพื่อยึดของถวาย  บางคนเห็นว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีสิ่งของมากมาย และบางอย่างก็ไม่มีใครดูแลหรือจดบันทึกไว้ พวกเขาจึงคิดอยู่เสมอว่าจะยึดสิ่งของเหล่านั้นมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวและนำมาใช้เองเมื่อใด  ผู้คนเช่นนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง  บางคนดูภายนอกเหมือนไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ได้มีความปรารถนาอย่างมากในวัตถุสิ่งของหรือเงินทอง แต่นั่นเป็นเพราะสถานการณ์และปัจจัยแวดล้อมไม่อำนวย—หากของถวายถูกฝากเอาไว้ในมือของพวกเขาเพื่อพิทักษ์รักษาจริง พวกเขาก็อาจจะยึดของเหล่านั้นไว้  บางคนถามว่า “แต่ก่อนพวกเขาเป็นคนดีขนาดนั้น ไม่ละโมบ และมีลักษณะนิสัยที่ดีใช้ได้—แล้วทำไมการฝากของถวายเพียงเล็กน้อยไว้ในมือพวกเขาจึงเผยพวกเขาออกมาล่ะ?”  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ใช้เวลาอย่างมากกับคนเหล่านี้ ไม่ได้ทำความเข้าใจพวกเขาอย่างลึกซึ้ง มองแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาไม่ออก  หากเจ้ารู้แต่เนิ่นๆ ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทนี้ ของถวายก็คงไม่อับโชคตกไปอยู่ในครอบครองของคนชั่ว  ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ของถวายตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว ผู้นำและคนทำงานจึงมีงานที่สำคัญยิ่งกว่าอีกประการหนึ่งคือ การค้นพบและติดตามที่อยู่ของของถวายและสภาวะแวดล้อมนานาประการของผู้ดูแลของถวายอย่างทันท่วงที  สมมติว่าใครคนหนึ่งมีเงินหลายร้อยหรือหลายพันดอลลาร์อยู่ในความครอบครองเพื่อบริหารจัดการ หากพวกเขามีมโนธรรมอยู่บ้าง พวกเขาก็จะไม่ยักยอก—แต่หากเป็นเงินหลายหมื่นหรือหลายแสนดอลลาร์ คนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจไว้ใจได้ นี่จะเป็นอันตราย และใจของพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป  ใจของพวกเขาอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?  เงินไม่กี่ร้อยหรือพันดอลลาร์ไม่น่าจะทำให้ใจคนหวั่นไหวได้ แต่เมื่อเป็นเงินหลายหมื่นหรือหลายแสนดอลลาร์ ใจของพวกเขาก็อาจจะหวั่นไหวได้โดยง่าย  “ต่อให้เกิดอีกหลายชาติฉันก็คงหาเงินมากขนาดนี้ไม่ได้ และตอนนี้มันก็อยู่ในมือฉันแล้ว—ถ้าได้เงินนี้มาเป็นของฉันชีวิตของฉันจะดีขึ้นขนาดไหนนะ!”  พวกเขาครุ่นคิดเรื่องนี้  “ฉันไม่รู้สึกผิดกับความคิดเหล่านี้เลย—แล้วพระเจ้ามีอยู่จริงหรือเปล่า?  พระเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ?  เป็นความจริงไม่ใช่หรือที่ไม่มีใครรู้ว่าฉันกำลังมีความคิดเหล่านี้?  ไม่มีใครรู้ และฉันก็ไม่รู้สึกผิดหรือแย่—นี่หมายความว่าไม่มีพระเจ้าอยู่ใช่หรือเปล่า?  แบบนี้ถ้าฉันเอาเงินนี้มาเป็นของตัวเอง ฉันจะไม่ต้องเผชิญกับการลงโทษหรือผลกรรมสนองใดๆ เลยใช่ไหม?  จะไม่มีผลที่ตามมาใช่ไหม?”  ใจของคนผู้นี้ไม่ได้กำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ?  ของถวายในมือของพวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายหรอกหรือ?  (ตกอยู่ในอันตราย)  นอกจากนี้ บางคนที่บริหารจัดการของถวายก็ค่อนข้างดี พวกเขามีรากฐานในการเชื่อในพระเจ้าและมีความจงรักภักดีในการกระทำของตน และต่อให้เจ้าจะให้พวกเขาพิทักษ์รักษาเงินหลายหมื่นหรือหลายแสนดอลลาร์ พวกเขาก็จะสามารถทำได้ดี และรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ยักยอก  แต่มีผู้ไม่มีความเชื่อสองสามคนในครอบครัวของพวกเขา และเมื่อคนเหล่านั้นเห็นเงิน ดวงตาของพวกเขาก็จะลุกวาว เหมือนหมาป่าด้อมมองเหยื่อ  ลืมเรื่องเงินหลายหมื่นหรือหลายแสนดอลลาร์ไปได้เลย—พวกเขาจะยัดเงินหนึ่งพันดอลลาร์ใส่กระเป๋าของตนเองหากเห็นมัน  พวกเขาไม่สนใจว่าเงินนั้นเป็นของผู้ใด พวกเขาเชื่อว่าเงินนั่นอยู่ในกระเป๋าใครก็เป็นของคนนั้น เป็นของผู้ใดก็ตามที่คว้ามันได้ก่อน  หากมีหมาป่าชั่วร้ายเช่นนี้อยู่รอบตัวคนที่กำลังพิทักษ์รักษาของถวาย ของถวายก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกเอาไปได้ทุกที่ทุกเวลาหรอกหรือ?  สถานการณ์เช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่?  (เกิดขึ้นได้)  หากผู้นำและคนทำงานประมาทและไม่มีสำนึกรับผิดชอบ และไม่ได้สังเกตเห็นหรือไปสอบถามและตรวจสอบเมื่อของถวายตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ นั่นไม่เป็นอันตรายหรอกหรือ?  บางสิ่งอาจผิดพลาดได้ทุกที่ทุกเวลา  ยังมีสถานการณ์อีกประเภทหนึ่งคือ ผู้ดูแลบางคนพิทักษ์รักษาทั้งเงินและสิ่งของต่างๆ ในบ้านของตน และพวกเขายังเป็นเจ้าภาพให้พี่น้องชายหญิงและผู้นำและคนทำงานพักอาศัยที่นั่นด้วย  นี่อาจจะค่อนข้างปลอดภัยเป็นการชั่วคราว แต่การเก็บของถวายไว้ที่นั่นในระยะยาวเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  ต่อให้คนที่พิทักษ์รักษาของถวายจะเหมาะสม แต่สภาพแวดล้อมและปัจจัยแวดล้อมกลับไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง  จะต้องย้ายคนที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพออกไป หรือไม่ก็ต้องนำของถวายออกไป  หากผู้นำและคนทำงานไม่ได้ตรวจสอบงานนี้และไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในเรื่องนี้ บางสิ่งอาจผิดพลาดได้ทุกที่ทุกเวลา ของถวายอาจสูญหายและตกไปอยู่ในมือของพวกมารได้ทุกที่ทุกเวลา  ยังมีสถานการณ์อีกประเภทหนึ่งคือ คริสตจักรบางแห่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรซึ่งผู้คนมักจะถูกจับกุม และด้วยเหตุนี้ บ้านที่พิทักษ์รักษาของถวายจึงง่ายมากที่จะถูกหักหลัง และถูกพญานาคใหญ่สีแดงบุกค้น—ของถวายอาจถูกพวกมารปล้นได้ทุกเมื่อ  สถานที่เช่นนี้เหมาะสมสำหรับการเก็บของถวายหรือไม่?  (ไม่เหมาะสม)  ดังนั้น หากของถวายถูกเก็บไว้ที่นั่นแล้ว จะต้องทำอย่างไร?  ย้ายออกไปทันที  ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของตนและไม่ได้ทำงานจริง  พวกเขาไม่สามารถคาดการณ์หรือคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ พวกเขาไม่มีความตระหนักในเรื่องเหล่านี้ และต่อเมื่อมีบางสิ่งผิดพลาดและของถวายถูกพวกมารฉกฉวยไปแล้ว พวกเขาจึงคิดว่า “พวกเราน่าจะย้ายของเหล่านั้นออกไปตั้งแต่ตอนนั้นนะ” และเพียงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเช่นนี้  แต่หากไม่มีอะไรผิดพลาด อีกสิบปีผ่านไป พวกเขาก็จะไม่ย้ายของถวายอยู่ดี  พวกเขามองไม่เห็นว่าปัญหานี้อาจก่อให้เกิดผลที่ตามมาร้ายแรงเพียงใด และพวกเขาไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของสิ่งต่างๆ ได้  ผู้นำและคนทำงานควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์นี้  “หนึ่งในสถานที่เก็บของถวายไม่เหมาะสม  สภาพแวดล้อมอันตรายเกินไป และพี่น้องชายหญิงหลายคนถูกจับกุม ถูกสะกดรอยตาม หรือถูกสอดส่องดูแลในบริเวณใกล้เคียงแล้ว  พวกเราต้องคิดหาวิธีที่จะนำของถวายออกจากที่นั่น  การนำของเหล่านั้นไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยย่อมเป็นการกระทำที่ดีกว่าการทิ้งไว้ที่เดิมและรอให้ถูกฉกฉวยไป”  เมื่อสถานการณ์เพิ่งเกิดขึ้นและพวกเขาคาดการณ์ได้ว่าของถวายกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็ควรย้ายของเหล่านั้นออกไปทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกมารพญานาคใหญ่สีแดงครอบครองและกลืนกิน  นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรับประกันความปลอดภัยของของถวาย และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดหรือการพลั้งเผลอใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ  ทันทีที่มีสัญญาณอันตรายแม้เพียงเล็กน้อย ทันทีที่มีคนถูกจับกุม ทันทีที่เกิดสถานการณ์ขึ้น ความคิดแรกของผู้นำและคนทำงานควรจะเป็นว่าของถวายปลอดภัยหรือไม่ ของถวายอาจจะตกไปอยู่ในมือของคนชั่วหรือไม่ อาจจะถูกพวกเขาครอบครองหรือไม่ หรืออาจจะถูกพวกมารฉกฉวยไปหรือไม่ และเกิดความสูญเสียใดๆ ต่อของถวายหรือไม่  พวกเขาควรดำเนินมาตรการเพื่อปกป้องของถวายทันที  นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  ผู้นำและคนทำงานบางคนอาจกล่าวว่า “การทำสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเราต้องเสี่ยง  พวกเราไม่ทำไม่ได้หรือ?  ไม่ใช่ว่าผู้คนสำคัญที่สุดหรอกหรือ ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับของถวายเป็นอันดับแรก และควรให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นอันดับแรก?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำถามของพวกเขา?  ผู้คนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์หรือไม่?  (ไม่มี)  การพิทักษ์รักษาของถวายอย่างดี การบริหารจัดการของถวายอย่างดี และการดูแลของถวายอย่างดี—สิ่งเหล่านี้คือความรับผิดชอบที่ผู้ดูแลที่ดีควรลุล่วง  หากกล่าวให้จริงจังยิ่งขึ้น ต่อให้เจ้าจะต้องสละชีวิตของเจ้า นั่นก็คุ้มค่าและเป็นสิ่งที่เจ้าควรทำ  มันเป็นความรับผิดชอบของเจ้า  ผู้คนมักจะป่าวร้องว่า “การตายเพื่อพระเจ้านั้นเป็นการตายที่คุ้มค่า”  ผู้คนเต็มใจที่จะตายเพื่อพระเจ้าจริงหรือ?  ตอนนี้เจ้าไม่ได้ถูกขอให้ตายเพื่อพระเจ้า เจ้าเพียงแต่ถูกกำหนดให้เสี่ยงเล็กน้อยเพื่อพิทักษ์รักษาของถวายอย่างปลอดภัย  เจ้าเต็มใจที่จะทำเช่นนั้นหรือไม่?  เจ้าควรกล่าวอย่างมีความสุขว่า “ข้าพระองค์เต็มใจ!”  เพราะเหตุใด?  เพราะนี่คือพระบัญชาของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระเจ้าต่อมนุษย์ นี่คือความรับผิดชอบที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ของเจ้า และเจ้าไม่ควรพยายามหลีกเลี่ยง  เมื่อเจ้าอ้างว่าเจ้าจะตายเพื่อพระเจ้าได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถจ่ายราคาเล็กน้อย และเสี่ยงเล็กน้อยเพื่อพิทักษ์รักษาของถวายได้เล่า?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าพึงทำหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่เป็นจริง แต่กลับป่าวร้องอยู่เสมอว่าจะตายเพื่อพระเจ้า คำพูดเหล่านี้ไม่กลวงเปล่าหรอกหรือ?  ผู้นำและคนทำงานควรมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในงานพิทักษ์รักษาของถวาย และพวกเขาควรแบกรับความรับผิดชอบนี้  พวกเขาไม่ควรหลีกเลี่ยงหรือหลบหนี และไม่ควรย่อท้อต่อความรับผิดชอบของตน  ในเมื่อเจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน งานนี้ก็เป็นภาระที่เจ้าต้องแบกรับโดยมิอาจปฏิเสธได้  เป็นงานที่สำคัญ—เจ้าเต็มใจที่จะทำหรือไม่ ต่อให้เจ้าจะต้องเสี่ยงบ้าง ต่อให้เดิมพันด้วยชีวิตของเจ้า?  เจ้าควรทำหรือไม่?  (ควร)  เจ้าควรเต็มใจที่จะทำ เจ้าต้องไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบนี้  นี่คือข้อกำหนดของพระเจ้าต่อมนุษย์และพระบัญชาที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์  พระเจ้าได้ตรัสบอกข้อกำหนดและพระบัญชาขั้นต่ำที่สุดของพระองค์แก่เจ้าแล้ว—หากเจ้าไม่เต็มใจแม้แต่จะปฏิบัติตาม แล้วเจ้าจะสามารถทำอะไรได้?

ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติงานพิทักษ์รักษาและใช้จ่ายของถวายอย่างละเอียดรอบคอบและเด็ดขาดเท่าที่จะเป็นไปได้  พวกเขาไม่ควรเลินเล่อ และยิ่งไม่ควรปฏิบัติต่อเรื่องนี้ประหนึ่งเป็นธุระของผู้อื่นเพื่อปัดความรับผิดชอบ  ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินการกลั่นกรองด้วยตนเอง เข้าไปมีส่วนร่วม สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และแม้กระทั่งจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง เพื่อป้องกันมิให้คนชั่วและคนที่มีความเป็นมนุษย์ต่ำทรามฉวยโอกาสจากความหละหลวมและก่อให้เกิดความเสียหาย  ยิ่งเจ้าทำงานนี้อย่างพิถีพิถันมากเท่าใด คนชั่วและคนไม่ดีก็ยิ่งมีโอกาสฉวยความหละหลวมได้น้อยลงเท่านั้น  ยิ่งการสอบถามของเจ้าลงรายละเอียดและการบริหารจัดการของเจ้าเข้มงวดรัดกุมมากขึ้น ก็จะยิ่งมีกรณีของการใช้จ่ายอันไม่สมควร การสุรุ่ยสุร่าย และความสูญเปล่าน้อยลงเท่านั้น  บางคนกล่าวว่า “การทำเช่นนี้เป็นการประหยัดเงินให้พระนิเวศของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าขาดแคลนทุนทรัพย์หรือ?  ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันจะถวายเพิ่มอีก”  นั่นใช่เรื่องที่กำลังเป็นไปหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เป็นข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และเป็นหลักธรรมที่ผู้นำและคนทำงานต้องยึดถือในการทำงานนี้  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า และในฐานะผู้ที่รับบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ดูแลในพระนิเวศของพระเจ้า ท่าทีของเจ้าต่อของถวายนั้นต้องเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบและมีการกลั่นกรองอย่างเข้มงวด  มิเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมขาดคุณสมบัติที่จะทำงานนี้  หากเจ้าเป็นผู้เชื่อธรรมดาสามัญที่ปราศจากสำนึกรับผิดชอบและไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะไม่ถูกเรียกร้องให้ทำสิ่งเหล่านี้  แต่เจ้าเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หากเจ้าไม่มีสำนึกรับผิดชอบนี้ เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็น และต่อให้เจ้าจะรับใช้ในตำแหน่งนี้ เจ้าก็คือผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ และไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะถูกกำจัดออกไป  ทุกคนที่ขาดสำนึกรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิงล้วนเป็นผู้ที่ไม่ปกป้องงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแม้แต่น้อย—พวกเขาทั้งหมดขาดซึ่งมโนธรรมและเหตุผลอย่างที่สุด  คนเช่นนี้จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไร?  พวกเขาล้วนเป็นกากเดนที่ไร้ความคิด—พวกเขาควรออกจากพระนิเวศของพระเจ้าในทันที และกลับไปยังโลกที่พวกเขาควรอยู่!

หากพวกเราไม่ได้สามัคคีธรรมเช่นนี้เกี่ยวกับความรู้ทั่วไปเรื่องของถวาย ตลอดจนความจริงที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์รักษาของถวายและหลักธรรมที่ผู้คนควรปฏิบัติ  พวกเจ้าก็คงจะไม่ชัดเจนในเรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อผู้คนไม่ชัดเจนเกี่ยวกับหลักธรรมที่แม่นยำ พวกเขาจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้บ้างหรือไม่?  พวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนมาโดยตลอดหรือไม่?  คนส่วนใหญ่ไม่ได้ยึดถือทฤษฎีและหลักธรรมอันตื้นเขินที่สุดว่า “อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่ละโมบของถวายของพระเจ้า ฉันไม่ยักยอกหรือนำไปใช้ในทางที่ผิด และฉันดูแลของเหล่านั้นอย่างดีและไม่ปล่อยให้ผู้คนใช้จ่ายตามอำเภอใจ—แค่นั้นก็พอแล้ว” หรอกหรือ?  นี่คือการปฏิบัติความจริงใช่หรือไม่?  นี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของคนเราใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  หากความรู้ของคนส่วนใหญ่ไปไม่ไกลกว่ามาตรฐานนี้ เช่นนั้นแล้วหัวข้อนี้ก็สมควรแก่การสามัคคีธรรมอย่างแท้จริง  ด้วยสามัคคีธรรมนี้ บัดนี้เจ้าเข้าใจและตระหนักรู้มากขึ้นอีกเล็กน้อยหรือไม่เกี่ยวกับวิธีพิทักษ์รักษาของถวาย อีกทั้งท่าทีและความรู้ที่เจ้าควรมีในการพิทักษ์รักษาของถวายเหล่านั้น?  (ใช่)  พวกเราจะสรุปสามัคคีธรรมของพวกเราไว้เพียงเท่านี้เกี่ยวกับความจริงที่เกี่ยวข้องกับของถวายและหลักธรรมที่สัมพันธ์กับวิธีบริหารจัดการและปฏิบัติต่อของถวาย

ท่าทีและการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จในส่วนที่เกี่ยวกับของถวาย

๑. การปฏิบัติต่อของถวายประหนึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนรวม

ลำดับถัดไป เราจะดำเนินการเปิดโปงและชำแหละพฤติการณ์ของผู้นำเทียมเท็จอย่างคร่าวๆ เกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบเอ็ดของผู้นำและคนทำงาน  เราจะพิจารณาว่าผู้นำเทียมเท็จแสดงท่าทีต่อของถวาย รวมถึงการพิทักษ์รักษาและการบริหารจัดการของถวายอย่างไรบ้าง  การสำแดงประการแรกคือ ผู้นำเทียมเท็จขาดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับของถวาย  พวกเขาเชื่อว่า “ของถวายนั้นโดยชื่อแล้วถวายแด่พระเจ้า แต่ตามจริงแล้วถวายให้แก่คริสตจักร เราไม่รู้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน และถึงอย่างไรพระองค์ก็ไม่สามารถใช้ของมากมายขนาดนั้นได้ ของถวายเหล่านี้เป็นเพียงการถวายแด่พระเจ้าแต่ในนามเท่านั้น แท้จริงแล้วของเหล่านั้นมอบให้แก่คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ได้เจาะจงถวายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเพียงชื่อที่ใช้เรียกแทนทุกคนในนั้น ความหมายโดยนัยก็คือของถวายเป็นของทุกคน และอะไรที่เป็นของทุกคนก็ย่อมเป็นสมบัติส่วนรวม ดังนั้น ของถวายจึงเป็นสมบัติส่วนรวมที่เป็นของพี่น้องชายหญิงทุกคน”  ความเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้อง  แล้วความเป็นมนุษย์ของผู้ที่มีความเข้าใจเช่นนี้ไม่มีปัญหาหรือ?  พวกเขาไม่ใช่คนที่ละโมบของถวายหรือ?  ผู้ที่มีใจละโมบและปรารถนาจะยึดครองของถวายย่อมใช้วิธีการและทัศนะเช่นนี้เมื่อเป็นเรื่องของถวาย  เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังหมายตาของถวายและต้องการจะยึดเอามาเพื่อความสุขสำราญของตนเอง  พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกใดกัน?  พวกเขาเป็นพวกเดียวกับยูดาสมิใช่หรือ?  ดังนั้น ผู้นำหรือคนทำงานประเภทนี้จึงถือเอาของถวายของพระเจ้าเป็นเสมือนทรัพย์สินส่วนรวมของคริสตจักร  พวกเขาเก็บงำท่าทีเช่นนี้ไว้ในใจ—พวกเขาไม่ได้พิทักษ์รักษาของถวายอย่างจริงจัง หรือบริหารจัดการอย่างสมเหตุสมผลและมีความรับผิดชอบ แต่กลับใช้ของถวายตามอำเภอใจ อย่างอุกอาจ และไร้การควบคุมโดยสิ้นเชิง ปราศจากหลักธรรม  พวกเขาอนุญาตให้ใครก็ได้ใช้ของเหล่านั้น และใครก็ตามที่มี “ตำแหน่ง” สูงกว่า ใครก็ตามที่มีสถานะเหนือกว่า ใครก็ตามที่มีบารมีในหมู่พี่น้องชายหญิง ย่อมได้สิทธิในการครอบครองและใช้ก่อนผู้อื่น  ซึ่งก็เหมือนกับในบริษัทและโรงงานต่างๆ ในสังคม ที่รถยนต์ของบริษัทและของดีๆ ราคาแพงมีไว้สำหรับผู้จัดการ ผู้อำนวยการโรงงาน และประธานกรรมการ  พวกเขาเชื่อว่าของถวายของพระเจ้าก็ควรเป็นเช่นนั้นด้วย  กล่าวคือใครก็ตามที่เป็นผู้นำหรือคนทำงานย่อมมีสิทธิพิเศษในการสุขสำราญกับของดีๆ ราคาแพงของพระนิเวศของพระเจ้า ในการสุขสำราญกับของถวายที่มอบแด่พระเจ้า  ดังนั้น ทุกคนที่ใช้การเป็นผู้นำและคนทำงานเป็นข้ออ้างในการซื้อคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือชั้นสูง ตลอดจนผู้นำและคนทำงานทุกคนที่นำของถวายมาเป็นของตนเอง ต่างก็เชื่อว่าของถวายเป็นทรัพย์สินส่วนรวม และควรนำมาใช้และผลาญตามใจชอบ  เมื่อพี่น้องชายหญิงบางคนถวายเครื่องประดับทองเงิน กระเป๋า เสื้อผ้า และรองเท้า พวกเขาไม่ได้ระบุว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้า ผู้นำเทียมเท็จบางคนจึงเชื่อว่า “ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ระบุว่าของเหล่านี้ถวายแด่พระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ควรนำมาใช้ในคริสตจักร สิ่งใดก็ตามที่มอบให้คริสตจักรย่อมเป็นทรัพย์สินส่วนรวม และผู้นำกับคนทำงานก็ควรมีสิทธิพิเศษในการสุขสำราญกับทรัพย์สินส่วนรวม”  ดังนั้น พวกเขาจึงนำสิ่งของเหล่านี้มาเป็นของตนเองราวกับเป็นเรื่องปกติ  ของที่เหลือหลังจากที่พวกเขาเลือกแล้ว ใครอยากใช้ก็ใช้ ใครอยากเอาก็เอา—ทุกคนก็แบ่งสรรกันไป  ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้เรียกสิ่งนี้ว่าการแบ่งปันความมั่งคั่ง  ในการติดตามพวกเขา ผู้คนสามารถกินดีอยู่ดีและสุขสำราญได้อย่างแท้จริง  ทุกคนมีความสุข และกล่าวว่า “ขอบคุณพระเจ้า—พวกเราจะสามารถสุขสำราญกับสิ่งเหล่านี้ได้หรือถ้าพวกเราไม่ได้เชื่อในพระองค์?  นี่คือของถวาย และพวกเราไม่คู่ควรที่จะสุขสำราญกับของเหล่านี้!”  ปากก็พูดว่าไม่คู่ควร แต่มือกลับกำของเหล่านั้นไว้แน่นไม่ยอมปล่อย  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ไม่เพียงแต่ยึดของถวายและแบ่งปันกัน และสุขสำราญกับของเหล่านั้นเป็นการส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใด—ขณะที่พวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ใส่ใจการบริหารจัดการ การใช้จ่าย และการใช้ของถวายโดยสิ้นเชิง ทั้งยังไม่เลือกคนที่เหมาะสมมาบริหารจัดการและจดบันทึกของถวาย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่ตรวจสอบบัญชี หรือทบทวนสถานะการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด  ความเพิกเฉยของผู้นำเทียมเท็จต่อการบริหารจัดการของถวายนำไปสู่ความโกลาหล และของถวายบางส่วนก็สูญหายและถูกผลาญไปอย่างสิ้นเปลือง  สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในงานของผู้นำเทียมเท็จคือทุกคนทำตามอำเภอใจของตนเอง  คำพูดของผู้ดูแลทีมใดย่อมถือเป็นที่สุด และเมื่อทีมใดต้องการซื้อของ พวกเขาก็อาจตัดสินใจซื้อเองโดยไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องขออนุมัติ  ตราบใดที่จำเป็นต่องาน พวกเขาก็สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะราคาเท่าไร จะสามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ หรือจำเป็นหรือไม่—อย่างไรก็ตาม พวกเขากำลังใช้จ่ายของถวาย ไม่ใช่เงินส่วนตัวของใคร  ผู้นำเทียมเท็จไม่กำกับดูแลเรื่องนี้หรือไม่ดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรม  เมื่อซื้อของมาแล้ว ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิงว่ามีใครพิทักษ์รักษาสิ่งของนั้นหรือไม่ อาจมีอะไรผิดพลาดกับสิ่งของนั้นหรือไม่ หรือคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้?  เพราะเงินนั้นไม่ใช่ของพวกเขา—พวกเขาคิดว่าใครจะใช้จ่ายอย่างไรก็ได้ อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เงินของพวกเขาที่ถูกใช้ไป  มีความโกลาหลในทุกแง่มุมของการบริหารจัดการของถวาย  โกลาหลเพียงใด?  ก็เหมือนกับในโรงงานขนาดใหญ่ของรัฐในประเทศสังคมนิยมที่ทุกคนได้รับส่วนแบ่งเท่ากันไม่ว่าจะทำงานมากน้อยเพียงใด  ทุกคนนำของกลับบ้าน กินอาหารของโรงงานและรับเงินเดือนจากโรงงาน ทั้งยังยักยอกของของโรงงานอีกด้วย  เป็นความโกลาหลอย่างที่สุด  ผู้นำเทียมเท็จไม่ตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ สำหรับการใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์หรือเครื่องมือใดๆ  พระนิเวศของพระเจ้าตั้งกฎเกณฑ์ไว้ แต่พวกเขาไม่ทบทวน ตรวจสอบ ติดตาม หรือตรวจทานการใช้จ่ายอย่างเข้มงวด  พวกเขาไม่ทำงานใดๆ เหล่านี้เลย  งานของผู้นำเทียมเท็จจึงโกลาหลอย่างที่สุด ไม่มีระเบียบใดๆ และมีข้อบกพร่องอยู่ทุกหนทุกแห่ง  ในทุกๆ ด้าน คนชั่วและคนที่มีใจคดก็ได้รับอนุญาตให้ฉวยโอกาสจากความหละหลวมและเอาเปรียบ  ของถวายของพระเจ้าถูกคนเหล่านั้นใช้ไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายและสิ้นเปลืองอย่างไม่ยั้งคิด แต่พวกเขากลับไม่ถูกลงโทษหรือถูกดำเนินการทางวินัยใดๆ ทั้งสิ้น—พวกเขาไม่แม้แต่จะได้รับการตักเตือน  นี่เป็นผู้นำและคนทำงานประเภทใดกัน?  พวกเขาไม่ได้กำลังทรยศต่อผู้มีคุณหรอกหรือ?  พวกเขาเป็นผู้ดูแลพระนิเวศของพระเจ้าจริงหรือ?  พวกเขาคือโจรผู้ทรยศต่อพระนิเวศของพระเจ้า!

พวกเราควรมองผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ที่ไม่รับผิดชอบในการพิทักษ์รักษาของถวายอย่างไร?  คนเหล่านี้เป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยต่ำทรามและปราศจากมโนธรรมและเหตุผลมิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ถือว่าสิ่งที่พี่น้องชายหญิงถวายแด่พระเจ้าและคริสตจักรเป็นทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้า และกล่าวว่าพี่น้องชายหญิงควรบริหารจัดการร่วมกัน  ดังนั้น เมื่อปัญหาถูกเปิดโปงและเบื้องบนให้พวกเขาแสดงความรับผิดชอบ พวกเขาก็พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง และไม่ยอมรับว่าการที่พวกเขาได้เป็นผู้นำและมีสถานะแล้วกลับขโมยและฉกฉวยของถวายของพระเจ้านั้นมีธรรมชาติที่ร้ายแรงเพียงใด  คนเหล่านี้เป็นผู้ที่มีลักษณะนิสัยต่ำทรามมิใช่หรือ?  พวกเขานั้นไร้ยางอายอย่างแท้จริง!  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดพี่น้องชายหญิงจึงถวายเงินและสิ่งของ และพวกเขาถวายแด่ผู้ใด  หากไม่มีพระเจ้าแล้ว ผู้ใดเล่าจะถวายสิ่งที่ตนรักออกมาอย่างง่ายดาย?  เหตุผลง่ายๆ เพียงเท่านี้ แต่บรรดาผู้ที่เรียกตนเองว่า “ผู้นำ” เหล่านี้กลับไม่รู้และไม่เข้าใจ  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้มีวลีติดปากว่า “ของถวายแห่งพระนิเวศของพระเจ้า”  คำพูดเช่นนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องมิใช่หรือ?  คำพูดที่ถูกต้องควรเป็นเช่นใด?  “ของถวาย” หรือ “ของถวายของพระเจ้า”  หากจะเพิ่มคำขยาย ก็ควรเพิ่มคำว่า “ของพระเจ้า”—ของถวายเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว  หากไม่เพิ่มคำขยาย ก็ใช้คำว่า “ของถวาย” ได้เลย—ผู้คนก็ควรจะรู้ว่าเจ้าของของถวายคือพระผู้สร้าง คือพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์  มนุษย์ไม่คู่ควรที่จะครอบครองของถวาย แม้แต่ปุโรหิตก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าของถวายเป็นของตน—พวกเขาอาจได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้สุขสำราญกับของถวายได้ แต่ของถวายก็ไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา  คำขยายคำว่า “ของถวาย” จะไม่ใช่บุคคลใดเลย—เป็นได้เพียงพระเจ้าเท่านั้น นอกจากพระเจ้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดอีก  ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่า วลี “ของถวายแห่งพระนิเวศของพระเจ้า” ที่ผู้นำเทียมเท็จมักเอ่ยถึงนั้นผิดพลาด และควรได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  ไม่ควรมีคำกล่าวว่า “ของถวายแห่งพระนิเวศของพระเจ้า” หรือ “ของถวายของคริสตจักร”  นอกจากนี้ บางคนยังพูดว่า “ของถวายของพวกเรา” และ “ของถวายแห่งพระนิเวศของพระเจ้าของพวกเรา”  คำพูดเหล่านี้ล้วนไม่ถูกต้องทั้งสิ้น  ของถวายนั้นเป็นสิ่งที่มวลมนุษย์ทรงสร้าง บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า ถวายแด่พระเจ้า  พระองค์แต่เพียงผู้เดียวทรงมีสิทธิพิเศษในการเป็นเจ้าของ ผู้ใช้ และผู้ได้รับความสุขสำราญ  ของถวายไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนรวม ไม่ได้เป็นของมนุษย์ และยิ่งไม่ได้เป็นของคริสตจักรหรือพระนิเวศของพระเจ้า แต่เป็นของพระเจ้า  พระเจ้าทรงอนุญาตให้คริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้าใช้สิ่งเหล่านั้น—นี่คือพระบัญชาของพระองค์  ด้วยเหตุนี้ คำพูดทั้งปวงเช่น “ของถวายแห่งพระนิเวศของพระเจ้า” “ของถวายของคริสตจักร” และ “ของถวายของพวกเรา” ล้วนเป็นคำพูดที่ไม่แม่นยำ และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นคำพูดของผู้คนที่มีเจตนาแอบแฝง มุ่งหวังที่จะชักพาให้ผู้คนหลงผิดและทำให้พวกเขาด้านชา และยิ่งไปกว่านั้นก็เพื่อชี้นำผู้คนไปในทางที่ผิด  คนเหล่านี้จัดประเภทของถวายให้อยู่ในหมวดทรัพย์สินส่วนรวมที่เป็นของคริสตจักร หรือของพระนิเวศของพระเจ้า หรือของพี่น้องชายหญิงทุกคน  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาและผิดพลาด และสมควรได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  นี่คือการสำแดงอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่ง  คนเช่นนี้ถือว่าของถวายเป็นทรัพย์สินส่วนรวมและนำมาใช้ตามอำเภอใจ หรือพวกเขาเชื่อว่าในฐานะผู้นำ ตนมีสิทธิ์ที่จะจัดสรรสิ่งเหล่านี้ จึงจัดสรรให้แก่คนที่ตนชอบหรือแบ่งให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน  พวกเขากำลังพยายามสร้างสภาพการณ์แบบใดขึ้นมา?  สภาพการณ์ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ที่ทุกคนสามารถสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้า ที่ทุกคนมีส่วนร่วมกัน  พวกเขาต้องการเอื้อเฟื้อทรัพยากรของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อซื้อใจผู้คน  นี่น่าขยะแขยงมิใช่หรือ?  นี่เป็นพฤติกรรมที่เลวทรามและไร้ยางอาย!  จะระบุลักษณะคนเช่นนี้ได้อย่างไร?  ผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ละโมบของถวาย และเพื่อไม่ให้ผู้คนกำกับดูแล เปิดโปง และมีวิจารณญาณแยกแยะในตัวพวกเขา พวกเขาจึงจัดสรรสิ่งของที่เหลือที่ตนไม่ได้ใช้ให้แก่พี่น้องชายหญิง เป็นการซื้อใจพวกเขาและบรรลุสภาพการณ์ที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ทำให้ทุกคนพลอยได้รับประโยชน์จากการคบค้าสมาคมกับพวกเขา เพื่อที่จะไม่มีใครเปิดโปงพวกเขา  หากพวกเจ้าพบเจอผู้นำประเภทนี้ ผู้ที่สามารถทำให้พวกเจ้าได้รับประโยชน์บางอย่าง และผู้ที่พวกเจ้าสามารถสุขสำราญกับ “ทรัพย์สินส่วนรวม” บางอย่างได้—หากพวกเจ้ามีสิทธินี้และฉวยโอกาสเช่นนี้ พวกเจ้าจะพอใจกับสิ่งนั้นหรือไม่?  พวกเจ้าจะสามารถปฏิเสธสิ่งนั้นได้หรือไม่?  (พวกเราทำได้)  หากพวกเจ้ามีความละโมบ ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และไม่กลัวพระเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถปฏิเสธได้  ใครก็ตามที่มีความซื่อตรงอยู่บ้าง มีเหตุผลอยู่บ้าง และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้างจะปฏิเสธสิ่งนั้น และพวกเขาก็จะลุกขึ้นมาตำหนิผู้นำนั้น ตัดแต่งพวกเขา และหยุดยั้งพวกเขา โดยกล่าวว่า “สิ่งแรกที่เจ้าควรทำในฐานะผู้นำคือการบริหารจัดการของถวายให้ดี ไม่ใช่การยักยอก และยิ่งไม่ใช่การตัดสินใจโดยพลการที่จะจัดสรรของเหล่านั้นให้แก่ทุกคนตามเจตจำนงของตนเอง  คุณไม่มีสิทธินั้น  นั่นไม่ใช่พระบัญชาของพระเจ้าที่มอบให้คุณ  ของถวายเป็นของที่พระเจ้าจะทรงใช้ และคริสตจักรมีหลักธรรมในการใช้ของเหล่านั้น—ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ขาดในเรื่องนั้น  คุณอาจเป็นผู้นำ แต่คุณไม่มีสิทธิพิเศษนั้น  พระเจ้าไม่ได้ประทานสิทธินั้นแก่คุณ  คุณไม่มีสิทธิ์ใช้ของของพระเจ้า—พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบหมายงานนั้นให้คุณ  ดังนั้น รีบถอดเครื่องประดับทองและเงินที่พี่น้องชายหญิงถวายแด่พระเจ้าออกไปเสีย และถอดเสื้อผ้าที่พวกเขาถวายแด่พระองค์ออกไป  รีบจ่ายค่าชดเชยสำหรับสิ่งที่คุณได้กินไปซึ่งคุณไม่ควรกิน  ถ้าคุณยังคงเป็นมนุษย์และมีความละอายอยู่บ้าง จงทำเช่นนี้ทันที  นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะส่งของถวายเหล่านี้ไปให้ผู้ใดเพื่อเอาอกเอาใจพวกเขา หรือปล่อยให้ผู้ใดยึดครองและสุขสำราญกับของเหล่านั้น จงนำของถวายเหล่านั้นกลับคืนมาทันที  หากคุณไม่ทำ พวกเราจะแจ้งให้พี่น้องชายหญิงทุกคนทราบและจัดการคุณในฐานะยูดาส!”  พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้หรือไม่?  (กล้า)  ทุกคนมีความรับผิดชอบนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับของถวาย และพวกเขาควรปฏิบัติต่อของเหล่านั้นด้วยมโนธรรมนี้และท่าทีเช่นนี้  แน่นอนว่าพวกเขายังมีพันธะนี้ในการกำกับดูแลว่าผู้อื่นปฏิบัติต่อของถวายอย่างไร พิทักษ์รักษาของเหล่านั้นให้ดีหรือไม่ และบริหารจัดการตามหลักธรรมหรือไม่  อย่าคิดว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า แล้วก็ไม่รับผิดชอบ โดยกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ใช่ผู้นำหรือคนทำงาน  นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน  ต่อให้ฉันจะค้นพบ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องสนใจหรือพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้—นั่นเป็นเรื่องของผู้นำและคนทำงาน  ใครก็ตามที่ใช้จ่ายเงินตามอำเภอใจและยักยอกของถวาย พวกเขาก็คือยูดาส และพระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขาเมื่อถึงเวลา  ใครก็ตามที่ก่อให้เกิดผลที่ตามมา พวกเขาก็รับผิดชอบไป  ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องสนใจเรื่องนี้  ฉันจะพูดจาไม่ถูกกาลเทศะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคนประเภทนี้?  (พวกเขาไม่มีมโนธรรม)  หากเจ้าค้นพบว่าในบางพื้นที่ที่ผู้นำและคนทำงานไม่ได้ตรวจสอบ มีผู้คนกำลังผลาญและยึดครองของถวาย เจ้าควรตักเตือนผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นการส่วนตัว และรายงานต่อผู้นำและคนทำงานทันที  เจ้าควรกล่าวว่า “หัวหน้าทีมของพวกเราและผู้นำของพวกเรามักจะนำของถวายมาเป็นของตนเอง  พวกเขายังใช้จ่ายของถวายตามอำเภอใจ และไม่ได้หารือกับผู้อื่น เพียงตัดสินใจด้วยตนเองที่จะซื้อสิ่งนั้นสิ่งนี้  การใช้จ่ายส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่สอดคล้องกับหลักธรรม  พระนิเวศของพระเจ้าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่?”  เป็นความรับผิดชอบของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะรายงานและแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับปัญหาที่พวกเขาพบ  สามัคคีธรรมที่ผ่านมาของพวกเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่ง—ท่าทีของพวกเขาต่อของถวายคือการปฏิบัติต่อของเหล่านั้นประหนึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนรวม

๒. การไม่ใส่ใจหรือไม่สอบถามเกี่ยวกับการใช้จ่ายของถวาย

การสำแดงอีกอย่างหนึ่งของผู้นำเทียมเท็จในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์รักษาของถวายก็คือ พวกเขาไม่รู้วิธีบริหารจัดการของถวาย  พวกเขารู้เพียงแค่ว่าของถวายนั้นแตะต้องไม่ได้ จะนำไปใช้ในทางที่ผิดตามอำเภอใจหรือยักยอกไม่ได้ เพราะของถวายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถูกแยกไว้บริสุทธิ์ และคนเราจะมีความคิดที่ไม่ถูกควรเกี่ยวกับของถวายไม่ได้  แต่เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าจะบริหารจัดการของถวายให้ดีได้อย่างไร หรือจะเป็นผู้ดูแลที่ดีในการพิทักษ์รักษาของถวายได้อย่างไร พวกเขากลับไม่มีเส้นทาง ไม่มีหลักธรรม อีกทั้งไม่มีแผนการหรือขั้นตอนที่เจาะจงสำหรับงานนี้เลย  ดังนั้น ในเรื่องต่างๆ เช่น การลงทะเบียน การตรวจนับ และการพิทักษ์รักษาของถวาย ตลอดจนการตรวจดูบัญชีรายรับรายจ่ายและการตรวจสอบการใช้จ่าย ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้จึงค่อนข้างเพิกเฉยอย่างยิ่ง  เมื่อมีคนยื่นเรื่องขออนุมัติ พวกเขาก็เพียงลงนามอนุมัติ  เมื่อมีคนขอเบิกเงิน พวกเขาก็เบิกให้  เมื่อมีคนขอเงินสำหรับวัตถุประสงค์บางอย่าง พวกเขาก็มอบให้  พวกเขาไม่รู้ว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ถูกพิทักษ์รักษาไว้ที่ใด  ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าผู้ดูแลของเหล่านั้นเหมาะสมหรือไม่ และไม่รู้วิธีที่จะบอกได้ว่าเหมาะสมหรือไม่  พวกเขามองไม่ทะลุหัวใจของผู้คน และมองไม่ทะลุแก่นแท้ของผู้คน  ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีการบันทึกการเบิกจ่ายของถวายทั้งหมดภายใต้ขอบเขตการบริหารจัดการของผู้คนเหล่านี้ แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดของการใช้จ่ายในบัญชีเหล่านั้นแล้ว การใช้จ่ายจำนวนมากก็ไม่สมเหตุสมผลและไม่จำเป็น—การใช้จ่ายจำนวนมากนั้นเกินควรและสิ้นเปลือง  ของถวายจึงสูญหายไปภายใต้ลายเซ็นของผู้นำและคนทำงานเหล่านี้นั่นเอง  เมื่อดูจากภายนอก พวกเขาดูเหมือนกำลังทำงานที่เจาะจง แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่พวกเขาทำนั้นปราศจากหลักธรรมใดๆ ทั้งสิ้น  พวกเขาไม่ได้ดำเนินการกลั่นกรอง—พวกเขาทำไปตามขั้นตอน เพียงยึดถือกฎเกณฑ์และข้อบังคับเท่านั้น  นี่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานสำหรับการบริหารจัดการของถวายเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลักธรรมของเรื่องนี้เลย  ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน จึงมีการใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลมากมายเหลือเกิน  หากมีใครสักคนคอยกำกับดูแลและบริหารจัดการสิ่งต่างๆ อยู่แล้ว การใช้จ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?  นั่นก็เป็นเพราะผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่รับผิดชอบในงานของตนนั่นเอง  พวกเขาทำไปตามขั้นตอนและจัดการสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน และพวกเขาไม่ได้กระทำการตามหลักธรรม  พวกเขาไม่ล่วงเกินผู้อื่น ทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน และไม่ได้ดำเนินการกลั่นกรองอย่างถูกควร  อาจจะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รับผิดชอบอย่างแท้จริงในหมู่คนที่บริหารจัดการของถวาย ไม่ใช่สักคนเดียวที่สามารถดำเนินการกลั่นกรองได้อย่างแท้จริง  ผู้นำเทียมเท็จไม่ใส่ใจว่าคนที่พิทักษ์รักษาของถวายนั้นเหมาะสมหรือไม่ หรือว่ามีสถานการณ์อันตรายใดๆ ที่คริสตจักรของผู้คนเหล่านั้นหรือไม่  สำหรับพวกเขาแล้ว ตราบใดที่พวกเขาเองปลอดภัย ทุกอย่างก็เรียบร้อย  เมื่ออันตรายเกิดขึ้น สิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึงก็คือพวกเขาจะหนีไปที่ใดได้และเงินของพวกเขาเองจะถูกปล้นหรือไม่ ส่วนที่อยู่ของของถวายหรือว่าของถวายเหล่านั้นตกอยู่ในอันตรายหรือไม่นั้น พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบหรือสอบถามเลย  สองสามเดือนหรือแม้กระทั่งครึ่งปีหลังจากเหตุการณ์นั้น พวกเขาอาจจะถามขึ้นมาบ้างด้วยมโนธรรม และเมื่อพวกเขารู้ว่าของถวายบางส่วนถูกพญานาคใหญ่สีแดงยึดครองไปแล้ว บางส่วนถูกคนชั่วผลาญไป และที่อยู่ของบางส่วนก็ไม่เป็นที่ทราบ พวกเขาก็จะรู้สึกแย่อยู่ครู่หนึ่ง—อธิษฐานเล็กน้อย ยอมรับความผิดของตน แล้วเรื่องก็จบไป  ผู้คนเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกใดกันแน่?  การทำงานเช่นนี้มีปัญหาไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อผู้ที่เก็บงำท่าทีเช่นนี้ต่อของถวายอย่างไร?  พระองค์จะทรงมองว่าพวกเขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะทรงมองว่าพวกเขาเป็นเช่นใด?  (เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ)  เมื่อพระเจ้าทรงมองว่าใครบางคนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ คนคนนั้นจะรู้สึกตัวบ้างหรือไม่?  พวกเขาจะด้านชาและหัวทึบในจิตวิญญาณของตน และเมื่อพวกเขากระทำการ พวกเขาก็จะไม่มีความรู้แจ้งหรือการทรงนำจากพระเจ้า หรือความสว่างใดๆ  พวกเขาไม่มีพระเจ้าทรงคุ้มครองเมื่อมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา และพวกเขาก็มักจะคิดลบและอ่อนแอ ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืด  แม้ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนาบ่อยครั้ง และสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาในงานของตนได้ แต่พวกเขาก็ไม่ก้าวหน้าเลย และมีสภาพที่น่าสมเพชยิ่ง  นั่นแหละคือ “ผลลัพธ์” ของพวกเขา  นี่ไม่ยากที่จะทนรับยิ่งกว่าการลงโทษเสียอีกหรือ?  จงบอกเราทีว่า หากนี่คือผลลัพธ์ของการเชื่อในพระเจ้าของใครบางคน นั่นเป็นสาเหตุของความเบิกบานและการเฉลิมฉลอง หรือเป็นสาเหตุของความเศร้าโศกและการคร่ำครวญกันแน่?  ในทัศนะของเรา นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย

ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยใส่ใจงานบริหารจัดการของถวายอย่างจริงจังเลย  แม้ปากจะพูดว่า “ของถวายของพระเจ้า มนุษย์แตะต้องไม่ได้  ใครๆ ก็อย่าได้เบียดบัง และอย่าให้ตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว” พวกเขาป่าวร้องคำขวัญเหล่านี้ได้ดีทีเดียว ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยหลักศีลธรรมและความชอบธรรม แต่พวกเขากลับไม่ได้ประพฤติตนเยี่ยงมนุษย์เลย  แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยักยอกของถวาย ไม่ได้มีความคิดที่ไม่ถูกควรเกี่ยวกับของถวาย หรือไม่มีเจตนาที่จะยึดครอง และบางคนถึงกับไม่เคยใช้เงินของพระนิเวศของพระเจ้าหรือแตะต้องของถวายของพระเจ้าสำหรับค่าใช้จ่ายใดๆ ที่พวกเขาอาจมี แต่กลับใช้เงินของตนเองแทน แต่ในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเขากลับไม่ได้ทำงานจริงใดๆ เลยเมื่อเป็นเรื่องของการบริหารจัดการของถวาย  พวกเขาไม่ได้ทำแม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการสอบถามเกี่ยวกับสถานะการใช้จ่ายของถวายหรือการกลั่นกรองการใช้จ่ายของถวาย  คนเหล่านี้ย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างชัดเจน  ท่าทีของพวกเขาต่อของถวายคือ “ฉันไม่ใช้จ่ายและฉันไม่ยักยอกของถวาย และฉันก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะใช้จ่ายของถวายอย่างไรหรือคนอื่นจะยักยอกของถวายหรือไม่”  เราขอบอกผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ว่าท่าทีที่อุ่นๆ เย็นๆ เช่นนี้ของเจ้า นั้นสร้างปัญหาอย่างยิ่ง  การไม่ใช้จ่ายและการไม่ยักยอกของถวายเป็นสิ่งที่ผู้คนควรทำ แต่ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน สิ่งที่เจ้าควรทำยิ่งกว่านั้นคือการบริหารจัดการของถวายให้ดี แต่เจ้ากลับล้มเหลวในการทำเช่นนี้  นั่นเรียกว่าการละเลยความรับผิดชอบ  นี่คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ  เจ้าอาจไม่ได้ใช้จ่ายแม้แต่สตางค์เดียวหรือยักยอกของถวายแม้แต่ชิ้นเดียว แต่เพราะเจ้าไม่ได้ทำงานจริง และเจ้าไม่ได้ทำงานบริหารจัดการที่เจาะจงใดๆ เกี่ยวกับของถวาย เจ้าจึงถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ และการทำเช่นนั้นก็สมเหตุสมผลและมีเหตุผล  ผู้นำบางคนไม่เคยรับหรือใช้ของถวายใดๆ เลย—ต่อให้ผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ ทั้งหมดจะใช้ พวกเขาก็ไม่ใช้ และเมื่อพระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมบางสิ่งให้พวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธ  ดูเหมือนว่าพวกเขาค่อนข้างสะอาดและปราศจากความละโมบ แต่เมื่อพวกเขาถูกจัดให้บริหารจัดการของถวาย พวกเขากลับไม่ทำงานที่เจาะจงใดๆ เลย  ไม่ว่าใครจะใช้จ่ายของถวาย พวกเขาก็จะลงนามอนุมัติ—พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะสอบถามใดๆ และพวกเขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย  แม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้ยักยอกของถวายแม้แต่สตางค์เดียว แต่ภายใต้ขอบเขตการบริหารจัดการของพวกเขา ของถวายก็ถูกคนชั่วยึดครองไป และเพราะความไม่รับผิดชอบและการละเลยความรับผิดชอบของพวกเขา ของถวายก็อาจถูกใครก็ได้ผลาญและทำให้สิ้นเปลืองไป  การผลาญและการสิ้นเปลืองนี้เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ไม่ดีของพวกเขามิใช่หรือ?  เกิดขึ้นเพราะการละเลยความรับผิดชอบของพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาไม่มีส่วนในการทำชั่วของผู้คนเหล่านี้หรอกหรือ?  พวกเขาไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องเหล่านั้นหรอกหรือ?  นี่เป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ต้องแบกรับ และพวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!  พวกเขาเพียงแต่ยึดมั่นในแนวทางของตนว่า “อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ยักยอกของถวายของพระเจ้า และฉันไม่ได้ปรารถนาหรือวางแผนที่จะทำเช่นนั้น  ไม่ว่าใครจะใช้จ่ายของถวายของพระเจ้า ฉันก็ไม่ใช้จ่าย ไม่ว่าใครจะรับและใช้ของเหล่านั้น ฉันก็ไม่ทำ ไม่ว่าใครจะสุขสำราญกับของเหล่านั้น ฉันก็ไม่ทำ  นี่คือท่าทีของฉันต่อของถวาย—คุณอยากทำยังไงก็ทำได้เลย!”  มีผู้คนเช่นนี้หรือไม่?  (มี)  เหล่าศัตรูของพระคริสต์ใช้จ่ายของถวายไปกับเสื้อผ้ชั้นสูง สินค้าหรูหรา และแม้กระทั่งรถยนต์  จงบอกเราทีว่า ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้สามารถรับรู้ปัญหานี้ได้หรือไม่?  ตัวพวกเขาเองไม่ได้ยักยอกของถวาย พวกเขามีท่าทีเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะไม่เชื่อว่าการยักยอกนั้นไม่ดีหรอกหรือ?  (พวกเขาเชื่อ)  แล้วเมื่อเหล่าศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วอันใหญ่หลวงเช่นนี้ เหตุใดพวกเขาจึงเพิกเฉยและไม่หยุดยั้ง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้?  (พวกเขาไม่อยากล่วงเกินผู้อื่น)  นั่นไม่ใช่การทำชั่วหรอกหรือ?  (ใช่)  นี่คือการไม่ลุล่วงความรับผิดชอบที่ผู้ดูแลควรทำ  หากในระหว่างการบริหารจัดการของเจ้า ของถวายถูกคนชั่วยึดครองไป หากของเหล่านั้นถูกผลาญ ทำให้สิ้นเปลือง และใช้จ่ายไปอย่างไม่สมเหตุสมผล หากพวกเขาลอยนวลไปเช่นนี้ แต่เจ้ากลับไม่ได้ทำงานใดๆ หรือแม้แต่พูดอะไรสักคำ นั่นไม่ใช่การละเลยความรับผิดชอบหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่การสำแดงของผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่พูดสิ่งที่เจ้าควรพูด ไม่ทำงานที่เจ้าควรทำ ไม่ลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าควรลุล่วง และแม้ว่าเจ้าจะเข้าใจคำสอนทุกอย่าง แต่เจ้าก็ไม่ได้ทำงานจริงเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  เจ้าเชื่อว่า “อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ยักยอกของถวาย หากคนอื่นทำ นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขา”  แล้วเจ้าจะไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จอย่างนั้นหรือ?  การไม่ยักยอกของถวายเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า แต่เจ้าได้พิทักษ์รักษาของถวายให้ดีแล้วหรือยัง?  เจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในส่วนที่เกี่ยวกับของถวายแล้วหรือยัง?  หากเจ้ายังไม่ได้ทำ เจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ  อย่าหาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง โดยกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้ยักยอกของถวาย ดังนั้นฉันจึงไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จ!”  การไม่ยักยอกของถวายนั้นไม่เข้าข่ายเป็นหลักเกณฑ์ว่าผู้นำหรือคนทำงานได้มาตรฐานหรือไม่  หลักเกณฑ์ที่แท้จริงสำหรับว่าพวกเขาได้มาตรฐานหรือไม่คือ พวกเขาลุล่วงความรับผิดชอบของตน ปฏิบัติสิ่งที่บุคคลควรทำ และลุล่วงพันธะที่บุคคลควรลุล่วง ในสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้พวกเขาหรือไม่—นั่นแหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด  ดังนั้น ในการบริหารจัดการของถวาย พันธะและความรับผิดชอบของเจ้าคืออะไร?  เจ้าได้ปฏิบัติทั้งหมดแล้วหรือยัง?  ค่อนข้างชัดเจนว่าเจ้ายังไม่ได้ทำ  เจ้าเพียงแต่ทำไปตามขั้นตอน  เจ้ากลัวที่จะล่วงเกินผู้คน แต่เจ้าไม่กลัวที่จะล่วงเกินพระเจ้า  เจ้าเพิกเฉยต่อของถวายเพราะเจ้ากลัวที่จะล่วงเกินผู้คน กลัวที่จะทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของเจ้าในสายตาของพวกเขา—หากเจ้ามีการสำแดงเช่นนี้ เจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  นี่ไม่ใช่การตีตราเจ้า  ข้อเท็จจริงปรากฏให้เห็นอยู่แล้วว่าเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะลุล่วงพันธะและความรับผิดชอบของเจ้า—เจ้าช่างเห็นแก่ตัวเหลือเกิน!  เจ้าบริหารจัดการสิ่งของของเจ้าเอง ทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า ค่อนข้างดี อย่างมีมโนธรรมและรอบคอบ  เจ้าไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นต้องตากแดดตากฝน  เจ้าไม่ปล่อยให้ใครนำมันไป และเจ้าไม่ปล่อยให้ใครเอาเปรียบเจ้า  แต่สำหรับของถวายแล้ว เจ้ากลับไม่มีสำนึกรับผิดชอบเลยแม้แต่น้อย—เจ้าไม่ได้แม้แต่จะปฏิบัติความรับผิดชอบเพียงหนึ่งในสิบส่วนของการบริหารจัดการสิ่งของของเจ้าเอง  แล้วเจ้าจะถือว่าเป็นผู้ดูแลที่ดีได้อย่างไร?  เจ้าจะถือว่าเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้อย่างไร?  เจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างเห็นได้ชัด  นี่คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่ง

๓. การจำกัดการใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล

มีผู้นำเทียมเท็จอีกประเภทหนึ่ง และพวกเขาก็น่ารังเกียจยิ่งนัก  หลังจากคนประเภทนี้ได้เป็นผู้นำ พวกเขาก็เห็นว่าคนที่พิทักษ์รักษาของถวายอยู่ก่อนหน้านั้นใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยและสิ้นเปลืองมาก พวกเขาจึงปลดคนนั้นออก  จากนั้นพวกเขาก็อยากจะหาคนที่สามารถวางแผนอย่างพิถีพิถันและจัดทำงบประมาณอย่างรอบคอบ คนที่รู้จักคิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน ประหยัดทุกบาททุกสตางค์ และรู้จักใช้ชีวิตอย่างประหยัด  พวกเขาคิดว่าคนแบบนั้นแหละคือผู้ดูแลที่ดี แต่ปรากฏว่าพวกเขาไม่คิดว่ามีใครเหมาะสมเลย สุดท้ายพวกเขาก็ลงเอยด้วยการพิทักษ์รักษาของถวายด้วยตนเอง  เมื่อพี่น้องชายหญิงกล่าวว่าจำเป็นต้องพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้าจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการประกาศข่าวประเสริฐ ผู้นำเหล่านี้ก็ไม่อนุญาตให้ทำ โดยคิดว่าการพิมพ์หนังสือมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก พวกเขาไม่สนใจว่างานนั้นจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่—สำหรับพวกเขาแล้ว แค่ประหยัดเงินได้ก็พอ  พวกเขาไม่รู้เลยว่าการใช้ของถวายของพระเจ้า ณ จุดใดจึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์มากที่สุด พวกเขารู้เพียงแค่ต้องปกป้องของถวายของพระเจ้าและไม่ยอมให้แตะต้องเลย  พวกเขาไม่ใช้จ่ายในสิ่งที่ควรใช้จ่าย—พวกเขาดำเนินการกลั่นกรองได้ “ดี” จริงๆ!  งานจะดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้อย่างไร?  ผู้นำเหล่านี้มีหลักธรรมในการกระทำของพวกเขาหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาไม่ยอมให้ทำงานที่ควรทำ หรือพิมพ์หนังสือที่ควรพิมพ์ หรือใช้จ่ายเงินที่จำเป็นต้องจ่าย—พวกเขาไม่อนุญาตให้มีการใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลใดๆ เลย  นั่นคือการบริหารจัดการหรือ?  (ไม่ใช่)  แล้วคืออะไร?  คือการขาดความเข้าใจในหลักธรรม  ผู้คนที่ขาดความเข้าใจในหลักธรรมย่อมไม่รู้วิธีบริหารจัดการของถวายเมื่อพวกเขาทำงาน  พวกเขาเชื่อว่าตนต้องเฝ้าดูแลเงิน ไม่ยอมให้ลดน้อยลงแม้แต่สตางค์เดียว และไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายใดก็ตาม เงินนั้นก็แตะต้องไม่ได้  สิ่งนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่ ไม่เลย)  การควบคุมสิ่งต่างๆ และการดำเนินการกลั่นกรองโดยปราศจากหลักธรรมไม่ใช่การบริหารจัดการ  การใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ความสิ้นเปลือง และการผลาญไม่ใช่การบริหารจัดการ แต่การไม่ยอมให้ใช้จ่ายแม้แต่สตางค์เดียวและการจำกัดการใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลเนื่องจากการกลั่นกรองก็ไม่ใช่การบริหารจัดการเช่นกัน  ทั้งสองอย่างนี้ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม  เพราะบางคนไม่เข้าใจหลักธรรมในการใช้ การจัดสรร และการบริหารจัดการของถวาย จึงเกิดเรื่องน่าหัวร่อนานัปการและความโกลาหลนานัปการขึ้น  ผู้นำเหล่านี้มองจากภายนอกดูเหมือนจะมีความรับผิดชอบและทุ่มเทมาก แต่แล้วงานที่พวกเขากำลังทำอยู่เป็นอย่างไรเล่า?  (ไม่มีหลักธรรม)  และเพราะไม่มีหลักธรรม งานข่าวประเสริฐในพื้นที่ของพวกเขาจึงประสบกับอุปสรรคและข้อจำกัด และงานเฉพาะด้านบางอย่างก็ถูกจำกัดเช่นกัน เนื่องจากการกลั่นกรองการใช้ของถวายที่เข้มงวดเกินไปของพวกเขา  เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาดูเหมือนมีมโนธรรมและมีความรับผิดชอบอย่างยิ่งในการพิทักษ์รักษาของถวาย  แต่ในความเป็นจริง เพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และเพียงแค่กระทำการตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน ทั้งยังดำเนินการกลั่นกรองให้แก่พระนิเวศของพระเจ้าภายใต้หน้ากากของการประหยัดเพื่อเห็นแก่คริสตจักร พวกเขาจึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความคืบหน้าของงานต่างๆ ของคริสตจักรโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  คนเช่นนี้สามารถถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จได้หรือไม่?  (ได้)  สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีคุณสมบัติเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ในระดับหนึ่ง พวกเขาได้ก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวางต่องานข่าวประเสริฐและงานของคริสตจักรแล้ว  การก่อกวนและการขัดขวางเหล่านี้เกิดจากการที่พวกเขาขาดความเข้าใจในหลักธรรม ตลอดจนการที่พวกเขาทำงานอย่างบุ่มบ่ามโดยอาศัยความชอบและมโนคติอันหลงผิดของตนเอง และไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง หรือหารือหรือร่วมมือกับผู้อื่น  ของถวายจะไม่สูญเปล่าหรือถูกผลาญไปเมื่ออยู่กับพวกเขา แต่พวกเขาไม่สามารถใช้ของถวายอย่างสมเหตุสมผลตามหลักธรรมได้ และไม่อนุญาตให้ใช้เพียงเพื่อปกป้องของเหล่านั้น ผลที่ตามมาคืองานเผยแผ่ข่าวประเสริฐล่าช้า และการดำเนินงานปกติของพระนิเวศของพระเจ้าได้รับผลกระทบ  ดังนั้น โดยอาศัยการสำแดงนี้ จึงไม่เกินเลยแม้แต่น้อยที่จะระบุลักษณะพวกเขาว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ  เหตุใดคนเช่นนี้จึงถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จด้วย?  พวกเขาไม่รู้วิธีทำงาน และความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อของถวายและแนวทางการปฏิบัติต่อของถวายนั้นบิดเบือนอย่างยิ่ง แล้วพวกเขาจะสามารถทำงานอื่นได้ดีหรือ?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ความเข้าใจของผู้คนเหล่านี้มีปัญหามิใช่หรือ?  (มี)  ความเข้าใจของพวกเขาบิดเบือน พวกเขายึดติดกับข้อบังคับ พวกเขาเสแสร้ง และเป็นผู้มีจิตวิญญาณจอมปลอม  พวกเขาไม่คำนึงถึงงานของพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม—พวกเขาไม่สามารถค้นหาหลักธรรมในการปฏิบัติ และพวกเขาเพียงดำเนินตามความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของตนและเจตจำนงของตนเอง แล้วปฏิบัติตามข้อบังคับ  นั่นคือเหตุผลที่งานของพวกเขาก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวาง  วิธีการทำงานของพวกเขานั้นโง่เขลาและงุ่มง่าม—มันน่าขยะแขยง  คนเช่นนี้ย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างเห็นได้ชัด  มีใครบ้างที่พูดว่า “ฉันพิทักษ์รักษาของถวายอย่างดีเยี่ยม ฉันทำงานนี้อย่างใส่ใจ แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ ถ้าเช่นนั้นฉันจะไม่บริหารจัดการอีกต่อไปแล้ว!  ใครอยากใช้จ่ายก็เชิญ ใครอยากใช้ก็เชิญ ใครอยากยึดครองก็เชิญ!”?  มีใครบ้างที่มีความคิดเช่นนั้น?  ถ้าเช่นนั้น อะไรคือจุดประสงค์ของพวกเราในการเปิดโปงสภาวะและการสำแดงที่แตกต่างกันของผู้นำเทียมเท็จประเภทต่างๆ?  (เพื่อให้ผู้คนเข้าใจหลักธรรมและหลีกเลี่ยงการเดินในเส้นทางของผู้นำเทียมเท็จ)  ถูกต้องแล้ว  เพื่อให้ผู้คนเข้าใจหลักธรรม สามารถทำงานของตนได้ดีและลุล่วงความรับผิดชอบของตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรม ไม่ดำเนินตามความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิด ไม่เก็บงำเจตจำนงหรือความมุทะลุของมนุษย์ ไม่ปล่อยให้ทฤษฎีที่พวกเขาจินตนาการขึ้นมาแทนที่หลักธรรมความจริง ไม่เสแสร้งทำเป็นผู้มีจิตวิญญาณ และไม่ใช้สิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมาทำให้เหมือนหรือสิ่งทดแทนหลักธรรม  คนเช่นนี้มีอยู่จริงในหมู่ผู้นำและคนทำงาน และคุ้มค่าที่จะถือเอาพวกเขาเป็นอุทาหรณ์

๔. การฉกฉวยและการสุขสำราญกับของถวาย

มีผู้นำเทียมเท็จอีกประเภทหนึ่ง และงานบริหารจัดการของถวายที่พวกเขาทำนั้นยิ่งเละเทะหนักขึ้นไปอีก  พวกเขาเชื่อว่าในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน ตนไม่สามารถจับจ้องอยู่ที่ของถวายตลอดเวลา หรือให้ความใส่ใจมากเมื่อเป็นเรื่องของของถวาย  พวกเขาคิดว่า เพียงแค่ทำงานบริหารจัดการของคริสตจักรให้ดี ปฏิบัติงานชีวิตคริสตจักรและงานการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ดี อีกทั้งดูแลให้งานทางสายอาชีพประเภทต่างๆ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  พวกเขาเชื่อว่าของถวายคือเงินและสิ่งของที่พระเจ้าประทานให้แก่คริสตจักร และเงินและสิ่งของเหล่านี้ก็มีไว้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้นำและคนทำงานในชีวิตและการงานของพวกเขา  ความหมายโดยนัยในที่นี้ก็คือ ของถวายนั้นเตรียมไว้สำหรับผู้นำและคนทำงาน และเมื่อใครบางคนได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว พระเจ้าก็ทรงอนุญาตให้พวกเขาสุขสำราญกับของถวายเหล่านี้ได้  ผู้นำกับคนทำงานจึงมีสิทธิพิเศษในการจัดสรร สุขสำราญ และใช้จ่ายของถวายเหล่านั้น—และดังนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว พวกเขาก็กลายเป็นเจ้านายของของถวาย เป็นผู้บริหารจัดการและเจ้าของของถวาย  เมื่อคนประเภทนี้ข้องเกี่ยวกับของถวายในงานของตน พวกเขาไม่ได้ลงทะเบียน ไม่ได้ตรวจนับ หรือไม่ได้พิทักษ์รักษาของเหล่านั้น  ทั้งไม่ได้ตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายของของถวาย  นับประสาอะไรที่ พวกเขาจะตรวจสอบสถานะการใช้จ่ายและการจัดสรรของถวาย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาสืบเสาะและพยายามทำความเข้าใจว่ามีของถวายอะไรบ้าง และมีสิ่งใดบ้างที่ผู้นำและคนทำงานสามารถสุขสำราญได้  นี่คือท่าทีที่ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้มีต่อของถวาย  ในมุมมองของพวกเขา ของถวายไม่จำเป็นต้องได้รับการลงทะเบียน ตรวจนับ พิทักษ์รักษา หรือตรวจสอบบัญชีรายรับรายจ่ายหรือสถานะการใช้จ่าย—สิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย—พวกเขาเพียงแค่ต้องจัดสรรของถวายให้แก่ผู้นำและคนทำงาน โดยให้สิทธิพิเศษแก่พวกเขาในการสุขสำราญกับของถวาย  ในมุมมองของพวกเขา คำพูดของผู้นำและคนทำงานก็คือหลักธรรม—การจะใช้จ่ายและจัดสรรของถวายอย่างไรนั้นเป็นการตัดสินใจของพวกเขา  พวกเขาเชื่อว่าการได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือคนทำงานหมายความว่าคนคนนั้นได้รับการทำให้เพียบพร้อมแล้ว และเช่นเดียวกับปุโรหิต พวกเขาก็มีสิทธิพิเศษที่จะสุขสำราญกับของถวาย ตลอดจนมีสิทธิ์ขาด สิทธิ์ในการใช้ และสิทธิ์ในการจัดสรรเมื่อเป็นเรื่องของของถวาย  ในคริสตจักรบางแห่ง ก่อนที่สิ่งของที่พี่น้องชายหญิงถวายจะได้รับการลงทะเบียน ตรวจนับ และจัดเก็บโดยบุคลากรที่เหมาะสม ผู้นำและคนทำงานก็ได้ตรวจดู คัดกรอง และเลือกสรรของเหล่านั้นแล้ว โดยเก็บสิ่งที่ตนใช้ได้ไว้ กินสิ่งที่ตนกินได้ สวมใส่สิ่งที่ตนสวมใส่ได้ และจัดสรรสิ่งที่ตนไม่ต้องการให้แก่ใครก็ตามที่ต้องการโดยตรง ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นการตัดสินใจแทนพระเจ้า  นี่คือหลักธรรมของพวกเขา  นี่เกิดอะไรขึ้น?  พวกเขาคิดว่าตนเป็นปุโรหิตจริงๆ หรือ?  นี่ไม่ใช่การขาดเหตุผลอย่างที่สุดหรอกหรือ?  (ใช่)  มีผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ ที่เห็นว่าครอบครัวหนึ่งขาดเก้าอี้สองตัว อีกครอบครัวหนึ่งไม่มีเตา และมีใครบางคนสุขภาพไม่ดีและต้องการอาหารเสริมสุขภาพ แล้วก็ใช้เงินของพระนิเวศของพระเจ้าซื้อสิ่งของเหล่านี้ทั้งหมด  การจัดสรร การบริโภค การใช้จ่าย และสิทธิ์ในการใช้ของถวายทั้งหมดตกเป็นของผู้นำและคนทำงานเหล่านี้—สิ่งนี้สมเหตุสมผลหรือไม่?  แนวทางนี้เกิดจากความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนของพวกเขามิใช่หรือ?  พวกเขาอาศัยอะไรในการตัดสินใจเช่นนี้?  ผู้นำและคนทำงานมีสิทธิ์ควบคุมของถวายหรือไม่?  (ไม่มี)  ของถวายมีไว้ให้พวกเขาบริหารจัดการ ไม่ใช่ให้พวกเขาควบคุมและใช้  พวกเขาไม่มีสิทธิพิเศษที่จะสุขสำราญกับของเหล่านั้น  ผู้นำและคนทำงานเทียบเท่ากับปุโรหิตหรือไม่?  เทียบเท่ากับผู้ที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมแล้วหรือไม่?  พวกเขาเป็นเจ้าของของถวายหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงตัดสินใจใช้ของถวายซื้อของให้ครอบครัวนั้นครอบครัวนี้โดยพลการ—เหตุใดพวกเขาจึงมีสิทธิ์นั้น?  ใครมอบสิทธิ์นั้นให้พวกเขา?  การจัดการเตรียมการงานได้กำหนดไว้หรือไม่ว่า “สิ่งแรกที่ผู้นำและคนทำงานควรทำหลังจากเข้ารับตำแหน่งคือการเข้าถือสิทธิ์ควบคุมการเงินทั้งหมดของพระนิเวศของพระเจ้า”?  (ไม่)  แล้วเหตุใดจึงมีผู้นำและคนทำงานส่วนหนึ่งที่เชื่อเช่นนี้?  ปัญหาอยู่ตรงไหน?  เมื่อพี่น้องชายหรือหญิงถวายเสื้อผ้าราคาแพง แล้ววันรุ่งขึ้นก็มีผู้นำหรือคนทำงานสวมใส่อยู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?  เหตุใดของถวายที่พี่น้องชายหญิงถวายจึงตกไปอยู่ในมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง?  “บุคคลใดบุคคลหนึ่ง” ในที่นี้หมายถึงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากผู้นำหรือคนทำงาน  พวกเขาไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการบริหารจัดการของถวายให้ดี—แต่กลับนำหน้าในการฉกฉวยและสุขสำราญกับของเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว  ปัญหาอยู่ตรงไหน?  หากเราพิจารณาผู้นำหรือคนทำงานคนนี้ในแง่ที่พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการของถวาย พวกเขาก็อาจถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ—แต่หากเราพิจารณาพวกเขาในแง่ที่พวกเขาฉกฉวยและสุขสำราญกับของถวายเป็นการส่วนตัว พวกเขาก็สามารถถูกระบุลักษณะว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างเต็มร้อย  แล้วอะไรคือวิธีที่สมเหตุสมผลในการระบุลักษณะบุคคลที่เป็นปัญหาอย่างแท้จริง?  (ในฐานะศัตรูของพระคริสต์)  พวกเขาเป็นทั้งผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์  ในการบริหารจัดการของถวาย ผู้นำเทียมเท็จจะตรวจดูของถวายทั้งหมด และพวกเขาก็มอบหมายให้คนอื่นบริหารจัดการ  แต่ก่อนที่พวกเขาจะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ฉกฉวยส่วนหนึ่งไว้สำหรับตนเองและตัดสินใจจัดสรรอีกส่วนหนึ่งโดยพลการ  ส่วนของที่เหลือ—ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการ หรือซึ่งพวกเขาไม่รู้จักว่าเป็นอะไรแต่ก็ไม่ต้องการยกให้ใคร—พวกเขาก็กันของเหล่านั้นเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว  เมื่อเป็นเรื่องที่อยู่ของของถวายเหล่านั้น ว่ามีคนที่เหมาะสมพิทักษ์รักษาหรือไม่ ว่าควรตรวจสอบเป็นประจำหรือไม่ ว่ามีใครขโมยหรือมีใครฉกฉวยไปหรือไม่ ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้เหมือนๆ กัน  หลักธรรมของพวกเขาคือ “ฉันได้สิ่งที่ฉันควรจะสุขสำราญและสิ่งที่ฉันต้องการมาไว้ในมือแล้ว  ใครอยากจะเอาของเหลือที่ฉันไม่ต้องการไปก็เอาไปได้  ใครอยากจะบริหารจัดการก็จัดการไป  ของเหล่านี้เป็นของใครก็ตามที่คว้าได้ก่อน—ของเหล่านี้ตกไปอยู่ในมือใครคนนั้นก็ได้เปรียบ”  นี่มันหลักธรรมและตรรกะประเภทใดกัน?  คนเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากปีศาจและสัตว์เดรัจฉาน!

ครั้งหนึ่ง ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งพูดว่ามีของอยู่ในห้องเก็บของเยอะมาก และเราก็ถามว่าพวกเขาได้ลงทะเบียนไว้หรือไม่  พวกเขาตอบว่า “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของบางอย่างพวกนั้นคืออะไร จะให้ลงทะเบียนได้อย่างไร”  เราจึงพูดว่า “นั่นมันเหลวไหลสิ้นดี!  เจ้าจะไม่มีทางลงทะเบียนของเหล่านั้นได้อย่างไร?  ควรจะต้องมีบันทึกตั้งแต่ตอนที่ของถูกนำมาที่นี่ครั้งแรกสิ!”  “มันนานมากแล้ว ไม่มีทางรู้ได้หรอก”  นี่เป็นคำพูดอะไรกัน?  พวกเขากำลังรับผิดชอบอยู่หรือไม่?  (ไม่)  เราพูดต่อไปว่า “มีเสื้อผ้าอยู่บ้าง—เจ้าลองดูว่าพี่น้องชายหญิงคนไหนต้องการบ้าง แล้วก็แจกจ่ายเสื้อผ้าเหล่านั้นให้พวกเขา”  “บางตัวล้าสมัยแล้ว ไม่มีใครสนใจหรอก”  เราจึงพูดว่า “สิ่งที่จำเป็นต่อพี่น้องชายหญิง เจ้าก็แจกจ่ายไป ส่วนสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อพวกเขา เจ้าก็จัดการอย่างเหมาะสม”  แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำตามนี้  พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยความใส่ใจและขยันหมั่นเพียรหรือไม่?  เมื่อถูกขอให้ทำงานชิ้นหนึ่ง พวกเขาก็เอาแต่พร่ำบ่น พูดจาในแง่ลบ และชี้ให้เห็นถึงความยากลำบากต่างๆ  สิ่งที่พวกเขาไม่เคยพูดก็คือพวกเขาจะจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ดีตามหลักธรรม  พวกเขาไม่มีเจตนาที่จะนบนอบเลยแม้แต่น้อย  ไม่ว่าใครจะกำหนดข้อกำหนดอะไรกับพวกเขา พวกเขาก็เอาแต่พูดถึงความยากลำบาก ราวกับว่าถ้าพวกเขาสามารถทำให้คนคนนั้นจนคำพูดได้ด้วยการพล่ามต่อไปเช่นนี้ พวกเขาก็จะชนะและได้เปรียบ แล้วงานของพวกเขาก็เป็นอันเสร็จสิ้น  คนแบบนี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกัน?  เจ้าไม่ได้ถูกตั้งให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานเพื่อให้สามารถสร้างปัญหา หรือเพื่อให้สามารถชี้ให้เห็นความยากลำบากและประเด็นปัญหาต่างๆ—แต่เพื่อให้เจ้าสามารถแก้ไขปัญหาและจัดการกับความยากลำบากได้ต่างหาก!  หากเจ้ามีความสามารถในการทำงานของเจ้าอย่างแท้จริง หลังจากที่ยกประเด็นปัญหาและความยากลำบากขึ้นมาแล้ว เจ้าก็จะอธิบายต่อไปว่าเจ้าจะจัดการและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นตามหลักธรรมอย่างไร  ผู้นำเทียมเท็จนั้นทำได้เพียงตะโกนคำขวัญ ประกาศหลักคำสอน พูดจาโอ้อวด และยกเอาเหตุผลแก้ตัวที่เป็นรูปธรรมต่างๆ มาอ้าง—พวกเขาไม่มีความสามารถในการทำงานจริงเลยแม้แต่น้อย และในเรื่องการบริหารจัดการของถวาย พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักธรรมหรือลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้เช่นกัน  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาปัญญาทึบและไร้ความสามารถเพียงใด  แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าบัดนี้ตนเป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว ตนจึงมีสิทธิพิเศษและสถานะ ครอบครองอัตลักษณ์ที่โดดเด่น และเป็นเจ้าของและผู้ใช้ของถวาย  ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้รู้เพียงแค่การสุขสำราญกับสิทธิพิเศษในการใช้จ่ายของถวาย—พวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือค้นพบกรณีใดๆ ของการใช้จ่ายของถวายอย่างไม่สมเหตุสมผลและตามอำเภอใจได้เลย และถึงแม้พวกเขาอาจจะเห็น แต่ก็ไม่คิดจะทำอะไรเพื่อจัดการกับของถวายเหล่านั้นเลย  นี่เป็นเพราะเหตุใด?  เป็นเพราะพวกเขารู้เพียงแค่การสุขสำราญกับความรู้สึกเหนือกว่าที่มาพร้อมกับการเป็นผู้นำหรือคนทำงาน—พวกเขาไม่มีความเข้าใจใดๆ เลยเกี่ยวกับข้อกำหนดของพระเจ้าต่อผู้นำและคนทำงาน หรือเกี่ยวกับหลักธรรมในการทำงานของพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาเป็นเพียงพวกไม่เอาไหน เป็นเพียงขยะ และเป็นเพียงพวกปัญญาทึบ  การที่คนหัวทึบเช่นนี้ยังคงต้องการสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะนั้น ไม่น่าขยะแขยงหรอกหรือ?  พวกเจ้าเข้าใจอะไรบ้างจากการเปิดโปงผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ของเรา?  ทันทีที่คนประเภทนี้ได้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็ต้องการที่จะวางแผนชั่วร้ายเกี่ยวกับของถวาย และดวงตาของพวกเขาก็จับจ้องอยู่ที่ของถวาย  เพียงมองแวบเดียวก็บอกได้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยและผลาญของถวายมาเป็นเวลานานแล้ว  บัดนี้ ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาส  พวกเขาสามารถใช้จ่ายเงินตามอำเภอใจในลักษณะนั้น และใช้ของถวายของพระเจ้าตามที่ตนต้องการ สุขสำราญกับสิ่งที่ตนไม่ได้ลงแรงทำมา  ธาตุแท้ที่ละโมบของพวกเขาจึงถูกเปิดโปงออกมาอย่างสิ้นเชิง  พวกเจ้าเห็นคนเช่นนี้ในหมู่ผู้นำและคนทำงาน ทั้งในอดีตและปัจจุบันหรือไม่?  พวกเขามักจะตีความหน้าที่รับผิดชอบและคำจำกัดความของผู้นำและคนทำงานผิดไปเสมอ  และทันทีที่พวกเขาได้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็มองว่าตนเองเป็นเจ้านายของพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาจัดตัวเองอยู่ในกลุ่มปุโรหิต และคิดว่าตนเองเป็นบุคคลที่โดดเด่น  นี่ไม่ใช่ว่าปัญญาทึบไปหน่อยหรือ?  เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าเมื่อใครบางคนได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ที่เสื่อมทรามอีกต่อไป?  เป็นความจริงหรือไม่ที่ว่าพวกเขากลายเป็นบุคคลที่บริสุทธิ์ในทันที?  พอได้เป็นผู้นำแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครอีกต่อไป และคิดว่าตนพึงสุขสำราญกับของถวาย—คนเช่นนี้ปัญญาทึบมิใช่หรือ?  คนเช่นนี้ปัญญาทึบอย่างแน่นอน  พวกเขาไม่มีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  แม้หลังจากที่เราได้สามัคคีธรรมเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่รู้ว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานคืออะไร  มีผู้นำและคนทำงานเช่นนี้อย่างแน่นอน  และการสำแดงของคนเช่นนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนและโดดเด่น

โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จประเภทต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์รักษาของถวาย  ส่วนผู้ที่มีปัญหาร้ายแรงกว่านั้นไม่ได้จัดอยู่ในหมวดหมู่ของผู้นำเทียมเท็จ—พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์  ดังนั้น พวกเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจขอบเขตนี้ให้ดี  ถ้าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จ นั่นก็คือสิ่งที่เขาเป็น—เขาไม่สามารถถูกระบุลักษณะว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้  ศัตรูของพระคริสต์นั้นเลวร้ายกว่าผู้นำเทียมเท็จมากในแง่ของความเป็นมนุษย์ การกระทำ การสำแดง และแก่นแท้  ผู้นำเทียมเท็จส่วนใหญ่มีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาปัญญาทึบ พวกเขาขาดความสามารถในการทำงาน ความเข้าใจของพวกเขาบิดเบือนและไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ลักษณะนิสัยของพวกเขาต่ำทราม พวกเขาเห็นแก่ตัวและเลวทราม และจิตใจของพวกเขาไม่ถูกที่ถูกทาง  สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถและไม่ทำงานจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์รักษาของถวาย และมันส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการที่สมเหตุสมผลและการพิทักษ์รักษาของถวายอย่างเหมาะสม  ของถวายส่วนหนึ่งถึงกับตกไปอยู่ในมือของคนชั่วเพราะผู้นำเทียมเท็จละเลยหน้าที่รับผิดชอบของตน ไม่ทำงานจริง และไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมและข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า—ปัญหาประเภทนี้ก็เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยเช่นกัน  การสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จในการพิทักษ์รักษาของถวายโดยพื้นฐานแล้วถูกเปิดโปงดังนี้คือ ลักษณะนิสัยของพวกเขาต่ำทราม พวกเขาเห็นแก่ตัวและเลวทราม ความเข้าใจของพวกเขาบิดเบือน พวกเขาขาดความสามารถในการทำงาน ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำ พวกเขาไม่แสวงหาหลักธรรมความจริงเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาเป็นเหมือนคนโง่เขลาและปัญญาทึบ  บางคนอาจพูดว่า “พวกเรายอมรับการสำแดงอื่นๆ ทั้งหมดที่คุณเปิดโปง แต่ถ้าพวกเขาโง่เขลาและปัญญาทึบ พวกเขาจะเป็นผู้นำได้อย่างไร?”  พวกเจ้ายอมรับหรือไม่ว่าผู้นำและคนทำงานบางคนโง่เขลาและปัญญาทึบ?  มีคนเช่นนั้นอยู่จริงหรือ?  บางคนอาจพูดว่า “คุณดูถูกพวกเราเกินไปแล้ว  พวกเราทุกคนเป็นคนสมัยใหม่ เป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับวิทยาลัยหรือมัธยมปลาย—พวกเรามีพลังในการแยกแยะที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับสังคมนี้และมวลมนุษย์  พวกเราจะเลือกคนปัญญาทึบมาเป็นผู้นำของพวกเราได้อย่างไร?  นั่นเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”  อะไรที่เป็นไปไม่ได้กันล่ะ?  พวกเจ้าส่วนใหญ่ก็ปัญญาทึบ และมีสติปัญญาไม่เพียงพอเช่นกัน  ดังนั้นจึงง่ายมากที่พวกเจ้าจะเลือกคนปัญญาทึบมาเป็นผู้นำ  เหตุใดฉันจึงพูดว่าพวกเจ้าส่วนใหญ่ปัญญาทึบ?  เพราะพวกเจ้าส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะมีประสบการณ์มากเพียงใด ก็ไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ และไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมได้  พวกเจ้าสามารถยืนหยัดอยู่กับการปฏิบัติตามข้อบังคับปีแล้วปีเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยใช้วิธีการเดิมๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และยังคงไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมไม่ว่าความจริงจะถูกสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าอย่างไรก็ตาม  ปัญหาตรงนี้อยู่ที่ไหนกัน?  ขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำเกินไป  พวกเจ้าไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้หรือรากเหง้าของปัญหา และไม่สามารถค้นหารูปแบบการพัฒนาของสิ่งต่างๆ ได้  นับประสาอะไรกับการปฏิบัติตามหลักธรรมที่ควรจะมีในการทำสิ่งต่างๆ—นี่แหละที่เรียกว่าการเป็นคนปัญญาทึบ  พวกเจ้าทุกคนใช้เวลานานเท่าใดในการเข้าใจหลักธรรมสำหรับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเจ้า?  มีบางคนที่ทำงานด้านข้อเขียนมาหลายปีแล้ว แต่ถึงตอนนี้ บทความและบทละครที่พวกเขาเขียนก็ยังคงเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า  พวกเขายังคงไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมได้ และไม่รู้ว่าอะไรคือความเป็นจริง หรือจะพูดถึงสิ่งที่เป็นจริงอย่างไร  นี่คือการมีขีดความสามารถที่ต่ำเกินไปและสติปัญญาที่ต่ำเกินไป  ด้วยสติปัญญาที่พวกเจ้ามีอยู่ จะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียเหลือเกินหรือที่พวกเจ้าจะเลือกคนปัญญาทึบมาเป็นผู้นำ?  และพวกเจ้าก็จะไม่เพียงแค่เลือกพวกเขาเท่านั้น พวกเจ้ายังจะมอบใจให้พวกเขาอีกด้วย  เมื่อพวกเขาจะถูกปลดออก เจ้าก็จะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น  สองปีต่อมา เมื่อเจ้ามองพวกเขาออกและได้รับความเข้าใจแล้ว นั่นแหละเจ้าจึงจะสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  แต่ในตอนนั้น ไม่ว่าจะบอกอะไรแก่เจ้า เจ้าก็จะไม่ยอมให้พวกเขาถูกปลดออก  เจ้าไม่ได้ปัญญาทึบยิ่งกว่าพวกเขาอีกหรือ?  เหตุใดฉันจึงพูดว่าผู้นำและคนทำงานบางคนมีสติปัญญาไม่เพียงพอ?  เป็นเพราะพวกเขารู้เพียงแค่วิธีทำงานที่ง่ายที่สุดเท่านั้น  เมื่อเป็นเรื่องงานที่ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่รู้วิธีทำ  เมื่อพวกเขาประสบกับความยากลำบากเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่รู้วิธีจัดการ  และเมื่อพวกเขาได้รับมอบหมายงานเพิ่มเติม พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเอง  นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับสติปัญญาของพวกเขาหรอกหรือ?  ผู้นำเช่นนี้ไม่ได้ถูกเลือกโดยพวกเจ้าหรอกหรือ?  และพวกเจ้าก็กราบกรานนับถือพวกเขาว่า “พวกเขาเชื่อในพระเจ้าโดยไม่มองหาคู่ครอง และพวกเขาได้สละตนเพื่อพระเจ้ามากว่ายี่สิบปีแล้ว  พวกเขามีเจตจำนงที่จะทนทุกข์อย่างแท้จริง และพวกเขาก็จริงจังกับงานของตนมาก”  “แต่พวกเขาเข้าใจหลักธรรมในงานของตนหรือเปล่า?”  “ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจ แล้วใครจะเข้าใจล่ะ?”  และปรากฏว่างานของพวกเขาก็เละเทะไปหมดเมื่อถูกตรวจสอบ—พวกเขาไม่สามารถดำเนินงานใดๆ ได้เลย  พวกเขาได้รับการบอกหลักธรรมสำหรับงานของตน แต่พวกเขาก็ไม่เคยรู้วิธีทำ  พวกเขาเอาแต่ถามคำถาม และพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอะไรเว้นแต่จะถูกบอกโดยตรง  การบอกหลักธรรมแก่พวกเขาก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรเลย  ต่อให้มีการระบุหลักธรรมไว้เป็นข้อๆ พวกเขาก็ยังคงไม่รู้วิธีดำเนินงาน  มีผู้นำเช่นนี้หรือไม่?  ไม่ว่าหลักธรรมจะถูกบอกแก่พวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เข้าใจ และพวกเขาไม่สามารถดำเนินงานได้  สามัคคีธรรมกับพวกเขาหรือสั่งสอนพวกเขาเกี่ยวกับคำพูดหรือสิ่งเดียวกันหลายครั้ง พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจ และปัญหาจะยังคงไม่ได้รับการแก้ไขเลยหลังจากนั้น—พวกเขาก็จะยังคงถามว่าจะทำอย่างไร และถ้าขาดไปแม้แต่ประโยคเดียวก็ใช้ไม่ได้  พวกเขาปัญญาทึบมิใช่หรือ?  พวกเจ้าเลือกผู้นำที่ปัญญาทึบเหล่านี้มาไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้าปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?  มีผู้นำเช่นนี้อย่างแน่นอน

การสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จที่เราได้สามัคคีธรรมกันในวันนี้ หลักๆ เกี่ยวข้องกับงานบริหารจัดการของถวาย  จากการเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จของเรานี้ ผู้คนควรทราบว่าการบริหารจัดการของถวายเป็นงานที่สำคัญสำหรับผู้นำและคนทำงาน และพวกเขาไม่ควรละเลยงานนี้  แม้ว่างานธุรการชิ้นนี้จะแตกต่างจากงานอื่นๆ แต่ก็เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานปกติของงานอื่นๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ การบริหารจัดการของถวายจึงเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวด  สำคัญอย่างไร?  สิ่งของที่พิทักษ์รักษาไว้ในงานบริหารจัดการของถวายนั้นเป็นของพระเจ้า—หากจะกล่าวอย่างไม่ค่อยเหมาะสมนัก สิ่งของเหล่านั้นก็คือทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระเจ้า  ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานจึงยิ่งต้องทุ่มเททั้งใจ มีมโนธรรม และขยันหมั่นเพียรในงานนี้ให้มากยิ่งขึ้น  หากเรามองงานนี้ในแง่ของธรรมชาติของงาน เราก็ไม่คิดว่าเป็นการกล่าวเกินจริงที่จะจัดให้อยู่ในหมวดงานบริหารจัดการ  เหตุผลที่เราจัดให้อยู่ในหมวดหมู่งานบริหารจัดการนั้นก็เพราะว่า การทำงานนี้เกี่ยวข้องกับท่าทีของผู้คนต่อพระเจ้าและต่อทรัพย์สินของพระองค์  ดังนั้น จึงจำเป็นที่ผู้คนจะต้องมีท่าทีที่ถูกต้องและเข้าใจหลักธรรมที่ถูกต้องในการทำงานนี้  เหตุผลที่เราจัดให้อยู่ในหมวดหมู่งานบริหารจัดการก็เพื่อให้ผู้นำและคนทำงานเข้าใจว่าการทำงานชิ้นนี้สำคัญมากเพียงใด และงานนี้เป็นงานมอบหมายที่หนักหน่วงและเป็นภาระที่หนักมาก  ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าไม่ควรเข้าหางานนี้ราวกับว่าเป็นเพียงงานธุรการทั่วไป—แต่พวกเขาต้องมีความรู้ที่ถูกต้องและลึกซึ้งเกี่ยวกับความสำคัญของงานนี้ แล้วจึงมาทุ่มเททั้งใจ มีมโนธรรม และขยันหมั่นเพียรในงานนี้  ผู้คนสามารถไม่ใส่ใจต่อคนอื่นๆ ได้—ต่อให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่  แต่เราขอกระตุ้นเตือนผู้คนไม่ให้เลอะเลือน ไม่ให้สุกเอาเผากิน และไม่ให้เอาแต่พูดแต่ไม่ลงมือทำในวิธีที่พวกเขาเข้าหาพระเจ้า  การทำงานบริหารจัดการของถวายให้ดีนั้นเป็นพระบัญชาที่สำคัญยิ่งสำหรับผู้นำและคนทำงานจากพระเจ้า

8 พฤษภาคม ค.ศ.2021

ก่อนหน้า: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (11)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (14)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger