หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (13)

สามัคคีธรรมของพวกเราในการชุมนุมครั้งที่แล้วพูดถึงความรับผิดชอบประการที่สิบเอ็ดของผู้นำและคนทำงาน  พวกเราสามัคคีธรรมถึงความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงและงานที่พวกเขาควรทำเพื่อพิทักษ์รักษาของถวาย  ผู้นำและคนทำงานควรทำงานใดบ้างในการพิทักษ์รักษาของถวาย?  (งานแรกคือพิทักษ์รักษาของถวาย  งานที่สองคือตรวจดูบัญชี  งานที่สามคือติดตาม ตรวจตรา และสอบทานว่ารายจ่ายต่างๆ เป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่  ต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และรายจ่ายที่ไม่สมเหตุสมผลก็ต้องมีการเข้มงวดกวดขันกันอย่างเคร่งครัด  การป้องกันไม่ให้ใช้ทิ้งใช้ขว้างและสูญเปล่าก่อนที่เรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นย่อมดีที่สุด  ถ้าเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นแล้ว คนที่รับผิดชอบก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ  ไม่ควรเอาแต่แจ้งเตือนเท่านั้น แต่ต้องเรียกร้องให้ชดใช้ด้วย)  โดยพื้นฐานแล้วนั่นคือสิ่งที่ควรทำ  สิ่งสำคัญคือการพิทักษ์รักษาของถวาย แล้วก็ตรวจดูบัญชี หลังจากนั้นจึงติดตามและตรวจสอบรายจ่าย มีการใช้สอยและใช้จ่ายอย่างถูกต้อง  เมื่อพวกเราสามัคคีธรรมถึงความรับผิดชอบประการที่สิบเอ็ดจบแล้ว คราวนี้ผู้คนก็ย่อมรู้และเข้าใจเรื่องของถวายกันอย่างถูกต้อง และตอนนี้พวกเขาก็รู้จักงานที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องทำเพื่อพิทักษ์รักษาของถวาย รวมทั้งเรื่องที่ว่าผู้นำเทียมเท็จทำงานนี้กันอย่างไร มีพฤติกรรมจำเพาะอย่างไรในการทำเช่นนั้นอีกด้วย  ไม่ว่าสามัคคีธรรมของพวกเราจะเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือพฤติกรรมต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จ ไม่ว่าจะเป็นสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เป็นบวกหรือเปิดโปงสิ่งที่เป็นลบ จุดประสงค์หลักก็คือการทำให้ผู้คนเข้าใจว่าจะทำงานพิทักษ์รักษาของถวายให้ถูกควรกันอย่างไร และจะกำจัดแนวปฏิบัติที่ไม่สมเหตุสมผลในการพิทักษ์รักษา ใช้จ่าย และแจกจ่ายของถวายกันอย่างไร  ประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่ก็ตาม—ควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนในการพิทักษ์รักษาของถวาย  เมื่อเป็นดังนั้น ความรับผิดชอบนี้ย่อมเป็นเช่นใด?  เป็นการกำกับดูแลและรายงานปัญหาที่พบทันที—กล่าวคือ เป็นการปฏิบัติหน้าที่กำกับดูแลและรายงาน  จงอย่าคิดว่า “การพิทักษ์รักษาของถวายคือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราที่เป็นผู้เชื่อทั่วไป”  ทัศนะนี้ไม่ถูกต้อง  ในเมื่อผู้คนเข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของตน  สำหรับปัญหาที่ผู้นำและคนทำงานไม่สามารถระบุชี้ หรือจุดบอดต่างๆ เรื่องที่ไม่อาจระบุออกมาโดยง่าย ถ้าใครพบปัญหาอันใดที่เป็นความไม่สมเหตุสมผลหรือละเมิดหลักธรรมในการพิทักษ์รักษา แจกจ่าย และใช้ของถวาย พวกเขาก็ควรรายงานเรื่องเหล่านี้ต่อผู้นำและคนทำงานทันที เพื่อให้แน่ใจว่ามีการพิทักษ์รักษาอย่างมีเหตุผล ใช้อย่างสมเหตุสมผล และมีการแจกจ่ายของถวายอย่างเป็นเหตุเป็นผล  นี่คือความรับผิดชอบของประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรร

ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่หนึ่ง)

บัดนี้เมื่อสามัคคีธรรมเรื่องความรับผิดชอบประการที่สิบเอ็ดครบถ้วนแล้ว พวกเราก็จะสามัคคีธรรมเรื่องความรับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานกันต่อ ซึ่งก็คือ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น”  เนื้อหาหลักของความรับผิดชอบข้อนี้คืออะไร?  คือการกำหนดให้ผู้นำและคนทำงานจัดการแก้ไขผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ในคริสตจักรเป็นสำคัญ—รวมทั้งปัญหาต่างๆ—ที่ขัดขวาง ก่อกวน และทำลายระเบียบปกติของคริสตจักร  การที่จะระบุและแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิผล ลุล่วงความรับผิดชอบของตน และปฏิบัติงานนี้ให้ดีนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจสิ่งใดเสียก่อน?  ความรับผิดชอบนี้คือการ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ” นี่คือขอบข่ายของงานนี้  เมื่อมีจุดหมายและขอบข่าย ก็ย่อมชัดเจนว่าจำเป็นต้องแก้ปัญหาใดบ้าง และมีการคาดหวังให้ผู้นำและคนทำงานลงมือทำงานและทำตามความรับผิดชอบอันใด  ความรับผิดชอบประการที่สิบสองมีข้อกำหนดเบื้องต้นให้แก่ผู้นำและคนทำงานว่าอย่างไร?  ให้หยุดยั้งและควบคุมผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน และแก้ไขให้ดีขึ้น พลางสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นไปด้วย  การที่จะทำเช่นนี้ต้องทำตามเงื่อนไขเบื้องต้นข้อใด?  ถ้าเจ้ามองเห็นผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวาง ก่อกวน และทำลายระเบียบปกติของคริสตจักร แต่กลับคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา เช่นนั้นแล้วย่อมมีปัญหา  นี่บ่งชี้ว่าเจ้าไม่สามารถเท่าทันแก่นแท้ของปัญหา นั่นคือไม่เข้าใจอันตรายที่การขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรสามารถนำเข้ามาในงานของคริสตจักร รวมทั้งผลสืบเนื่องและผลกระทบที่อาจมีต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ผู้นำและคนทำงานแบบนี้ยังจะสามารถทำงานของคริสตจักรได้ดีหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาและแก้ไขให้ดีขึ้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เช่นนั้นแล้ว ประเด็นสำคัญที่ควรสามัคคีธรรมกันในที่นี้คืออะไร?  ก็คือเฉพาะเมื่อเข้าใจหลักธรรมความจริงเสียก่อนเท่านั้น ผู้นำและคนทำงานจึงจะสามารถรู้ทันแก่นแท้ของปัญหาและแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างมีประสิทธิผล  การที่จะทำงานของคริสตจักรให้ดีนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องรู้ก่อนว่าปัญหาที่เกิดเป็นปกติในงานของคริสตจักรมีอะไรบ้าง  จากนั้นพวกเขาก็ต้องเข้าใจ แยกแยะ และตัดสินธรรมชาติของปัญหาที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องว่าส่งผลต่องานของคริสตจักรและระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรหรือไม่ มีธรรมชาติที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่  นี่คือประเด็นสำคัญมากที่ผู้นำและคนทำงานควรเข้าใจแต่แรก  หลังจากเข้าใจเรื่องนี้แล้วเท่านั้นจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิผล และสามารถ “หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น” ดังที่กล่าวไว้ในความรับผิดชอบประการที่สิบสอง  สรุปว่าก่อนที่จะแก้ปัญหาหนึ่งๆ เจ้าต้องเข้าใจเสียก่อนว่าปัญหาอยู่ตรงไหน สภาวะและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องเป็นเช่นไร เข้าใจธรรมชาติของปัญหา เข้าใจว่าปัญหาร้ายแรงเพียงใด จะชำแหละและแยกแยะออกมาได้อย่างไร และทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานจำต้องเข้าใจเสียก่อน  ในเมื่อผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พวกเราก็มาสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหลายๆ ด้านกันเถิด เพื่อให้ทั้งผู้นำ คนทำงาน และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถเข้าใจได้ว่าจะเผชิญหน้าปัญหาเหล่านี้อย่างไรเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะเชื่อมโยงปัญหาเข้ากับพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร และจะใช้หลักธรรมความจริงแก้ปัญหาได้อย่างไร  ในหนทางนี้ เมื่อผู้นำและคนทำงานพบเจอเรื่องยากที่พวกเขาแก้ไขไม่ได้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนย่อมจะสามารถเผชิญปัญหาด้วยกันและแสวงหาความจริงเพื่อหาทางออก และเมื่อเผชิญปัญหาที่เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร ทุกคนก็จะสามารถลุกขึ้นมาหยุดยั้งและควบคุมปัญหาเหล่านั้น  ขณะเดียวกันสำหรับผู้คนและเรื่องราวที่เป็นลบ พวกเขาก็จะสามารถดำเนินการชำแหละ แยกแยะ และระบุกันอย่างเปิดเผยได้ว่าเป็นสิ่งใด อันเป็นการเปิดโอกาสให้หยุดยั้ง ควบคุม และถอนรากถอนโคนปัญหาเหล่านี้ที่มูลเหตุ  เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็มาสามัคคีธรรมโดยเริ่มจากปัญหาจำเพาะส่วนใหญ่กันเถิด

ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร

การที่จะระบุปัญหาที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรนั้น ผู้นำและคนทำงานควรเริ่มจากเรื่องใด?  พวกเขาควรเริ่มด้วยการตรวจตราชีวิตคริสตจักรเพื่อค้นหาปัญหาเหล่านี้  พวกเจ้าทุกคนพอจะรู้อยู่บ้างใช่หรือไม่ว่าในชีวิตคริสตจักรมักจะมีปัญหาอันใดเกิดขึ้น โดยที่ธรรมชาติของปัญหานั้นๆ เป็นธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน?  ไม่ว่าคริสตจักรหนึ่งๆ จะมีผู้คนมากเท่าใด ก็แน่นอนว่าย่อมมีคนไม่น้อยที่จะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร  การกระทำใดบ้างที่พวกเจ้าเรียนรู้มาว่าเป็นการขัดขวางและก่อกวน?  (พูดนอกเรื่องเสมอเวลาสามัคคีธรรมความจริงในที่ชุมนุม ไม่เอาประเด็นหลักเป็นศูนย์กลาง)  (นอกจากนี้ยังกล่าววาจาและคำสอนเป็นประจำอีกด้วย)  พูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง  ยกตัวอย่างเวลาผู้อื่นกำลังสามัคคีธรรมเรื่องการจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็จะพูดเรื่องการดูแลสามี (หรือภรรยา) และลูกๆ ของตนให้ดี  เวลาผู้อื่นสามัคคีธรรมว่าการจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนหมายที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและนบนอบพระองค์ พวกเขาก็จะพูดว่าการจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนนั้นหมายที่จะให้ครอบครัวและผู้ที่ตนรักได้พร  นี่คือการพูดนอกเรื่องมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าไม่ขัดจังหวะพวกเขา พวกเขาก็จะพูดต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ถ้าเจ้าห้ามปรามพวกเขา พวกเขาก็จะโกรธ และเดือดดาลเพราะอับอาย ซึ่งเป็นการยกระดับพฤติกรรมที่ไม่ดีของพวกเขาขึ้นไปอีกขั้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น ปัญหานี้จึงมีธรรมชาติอยู่ในระดับที่เป็นการขัดขวางและก่อกวนซึ่งร้ายแรงมาก  แม้ว่าการพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริงจะเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป แต่กล่าวตามข้อเท็จจริงแล้ว สามารถขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรได้  นี่คือปัญหาข้อแรก  ส่วนข้อที่สอง “การกล่าววาจาและคำสอน” นี่จะมีลักษณะเป็นการขัดขวางและก่อกวนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของกรณีนั้นๆ  บางคนกล่าววาจาและคำสอนเพราะพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง ทันทีที่เอ่ยปากจึงเป็นวาจาและคำสอนทั้งหมด มีแต่ทฤษฎีที่ว่างเปล่า  อย่างไรก็ดี เจตนาของพวกเขาไม่ใช่การชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดและยอมรับนับถือตน  ด้วยการเข้มงวดกวดขันและห้ามปราม พวกเขาย่อมจะเกิดความตระหนักรู้ตนเอง หลังจากนั้นก็จะกล่าววาจาและคำสอนน้อยลง และจะไม่ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงอีกต่อไป  นี่จึงไม่นับเป็นการขัดขวางและก่อกวน  อย่างไรก็ดี คนที่ตั้งใจกล่าววาจาและคำสอนโดยมีเจตนาที่จะชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดย่อมทำเช่นนั้นแม้ในยามที่พวกเขารู้แก่ใจดีว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวออกมาก็คือวาจาและคำสอน  วัตถุประสงค์ที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตน พวกเขาอยากดึงคนมาเข้าพวกและชักพาให้หลงผิด และอยากไขว่คว้าสถานะ  นี่มีธรรมชาติที่ร้ายแรงทีเดียว  เป็นธรรมชาติที่ต่างจากการได้แต่กล่าววาจาและคำสอนเพียงเพราะไม่เข้าใจความจริง  พฤติกรรมเช่นนี้ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน  ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนในชีวิตคริสตจักรนี้มีอยู่ทั่วไป  และไม่ใช่ปัญหาเหมือนการกล่าววาจาและคำสอนหรือการพูดนอกเรื่องเท่านั้น  มีอะไรอื่นอีกบ้าง?  (การสร้างพลพรรค สร้างความร้าวฉาน และบั่นทอนความเป็นบวกของผู้อื่น)  (ยังมีการระบายความคิดลบออกมา สร้างปัญหาและกวนใจผู้คนไม่เลิกอีกด้วย)  (เวลาที่บางคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดแจงเตรียมงานโดยพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็แพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้และระบายความคิดลบของตนออกมา ก่อให้เกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดแจงเตรียมงานในตัวผู้อื่นด้วย)  สิ่งเหล่านั้นมีลักษณะเป็นการขัดขวางและก่อกวน  หนึ่งนั้นคือการสร้างพลพรรค อีกหนึ่งคือการสร้างความร้าวฉาน รวมทั้งการระรานและเล่นงานผู้คน แพร่มโนคติอันหลงผิด ระบายความคิดลบ แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล และแก่งแย่งสถานะ—ทั้งหมดนี้คือการขัดขวางและก่อกวน ปัญหาเหล่านี้มีธรรมชาติที่ร้ายแรงกว่าการพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริงมากนัก  นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่สัมพันธ์กับการลงคะแนนคัดเลือก  ปัญหาเช่นใดที่เกิดขึ้นระหว่างการลงคะแนนคัดเลือกและเกี่ยวข้องกับการขัดขวางและก่อกวน?  ตัวอย่างเช่น มีการยักย้ายถ่ายเทคะแนนเสียง—สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์เพื่อให้ตนได้คะแนนเสียง  นี่คือวิธีบั่นทอนการลงคะแนนคัดเลือกอย่างหนึ่ง  และมีการกระทำลับหลัง—ปรับเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอยู่หลังฉากเพื่อดึงพวกเขามาอยู่ฝั่งเดียวกับตน ชักพาให้พวกเขาหลงผิด และให้พวกเขาลงคะแนนให้  ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างที่มีการลงคะแนนคัดเลือก  เหล่านี้ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนใช่หรือไม่?  (ใช่)  ปัญหาเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่าการละเมิดหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือก  อีกปัญหาหนึ่งก็คือการพูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตน  บางคนอาจมาชุมนุมเพื่อเรื่องนี้—ไม่ใช่เพื่อเข้าใจความจริงหรือสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า แต่เพื่อจัดการกิจธุระส่วนตน  ปัญหาเช่นนี้จัดว่าร้ายแรงหรือไม่?  (ร้ายแรง)  นี่เท่ากับเป็นการขัดขวางและก่อกวนเช่นกัน

คราวนี้ก็มาสรุปปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการขัดขวางและก่อกวนที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรกันเถิด  ข้อแรก มักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง ข้อสอง กล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยอมรับนับถือตน ข้อสาม พูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตน ข้อสี่ สร้างพลพรรค ข้อห้า แก่งแย่งสถานะ ข้อหก สร้างความร้าวฉาน ข้อเจ็ด เล่นงานและระรานผู้คน ข้อแปด แพร่มโนคติอันหลงผิด ข้อเก้า ระบายความคิดลบ ข้อสิบ แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล และข้อสิบเอ็ด ละเมิดหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือก  รวมทั้งหมดสิบเอ็ดข้อ  การสำแดงสิบเอ็ดข้อนี้คือปัญหาเรื่องการขัดขวางและก่อกวนที่มักจะเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร  เวลาใช้ชีวิตคริสตจักร ถ้าเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา ก็จำเป็นที่ผู้นำและคนทำงานต้องลุกขึ้นมาหยุดยั้ง ควบคุม และไม่เปิดโอกาสให้ลุกลามโดยไม่มีการควบคุม  ถ้าผู้นำและคนทำงานไม่สามารถควบคุมได้ เช่นนั้นแล้วพี่น้องชายหญิงทุกคนก็ควรมาร่วมควบคุม  ถ้าคนที่เกี่ยวข้องไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว และไม่ได้จงใจก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน เพียงแต่ขาดความเข้าใจในความจริงเท่านั้น ก็สามารถช่วยเหลือและเกื้อหนุนพวกเขาด้วยการสามัคคีธรรมความจริง  ถ้าคนที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนนั้นชั่ว และเป็นกรณีที่เล็กน้อย เช่นนั้นแล้วก็ควรหยุดยั้งและควบคุมการขัดขวางและก่อกวนของพวกเขาด้วยการสามัคคีธรรมและเปิดโปง  ถ้าพวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจ และไม่กล่าวหรือกระทำการในหนทางที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนอีกต่อไป เต็มใจเป็นสมาชิกที่มีความสำคัญน้อยที่สุดในคริสตจักร สามารถรับฟังและทำตามอย่างเคร่งครัด ทำทุกสิ่งที่คริสตจักรจัดเตรียมให้ทำ ยอมรับข้อกำหนดที่พี่น้องชายหญิงวางไว้ให้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็สามารถอยู่ในคริสตจักรได้ชั่วคราว  แต่ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับ กลับต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์กับคนส่วนใหญ่ เช่นนั้นแล้วก็ควรลงมือตามขั้นตอนที่สอง—คือการเอาตัวพวกเขาออกไป  แนวทางนี้เหมาะควรหรือไม่?  (เหมาะควร)

I. มักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง

คราวนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรซึ่งมีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน  สิ่งแรกก็คือการมักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง  จะพิจารณาได้อย่างไรว่าพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง?  ทำอย่างไรพวกเราจึงจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคำสามัคคีธรรมที่พูดนอกเรื่อง?  พวกเจ้าก็มักจะพูดนอกเรื่องกันใช่หรือไม่เวลาสามัคคีธรรมความจริง?  (ใช่)  ปัญหานี้ต้องลุกลามไปไกลเพียงใดจึงจะนับว่ามีธรรมชาติเป็นการขัดขวางและก่อกวน?  ถ้าระบุว่าทุกครั้งที่พูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริงคือการขัดขวางและก่อกวน ในอนาคตผู้คนย่อมกลัวที่จะพูดหรือสามัคคีธรรมในชีวิตคริสตจักรมิใช่หรือ?  และถ้าผู้คนกลัวที่จะสามัคคีธรรม นั่นก็หมายความมิใช่หรือว่าพวกเขายังไม่เข้าใจปัญหาอย่างชัดเจน?  (ใช่)  ดังนั้น เมื่อมีการกำหนดลงไปให้ถูกต้องว่าการพูดนอกเรื่องแบบใดเวลาสามัคคีธรรมความจริงก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะพ้นจากการตีกรอบตัวเองเอาไว้  ในเมื่อพวกเจ้าพูดนอกเรื่องแม้แต่ในการสนทนาตามปกติ การทำเช่นนั้นเวลาสามัคคีธรรมความจริงจึงยิ่งพบได้ทั่วไป  เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้ให้ชัดเจนมากๆ เพื่อไม่ให้พวกเจ้าถูกตีกรอบ  อย่าปล่อยให้ความกลัวการพูดนอกเรื่องและการก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน มายับยั้งไม่ให้เจ้าพูดและทำให้เจ้าไม่กล้าสามัคคีธรรมแม้ว่าเจ้าจะมีความรู้ หรือ—ในยามที่เจ้าอยากสามัคคีธรรม—บีบให้เจ้าต้องคำนึงก่อนว่า “สิ่งที่ฉันอยากพูดเกี่ยวโยงกับประเด็นหรือไม่?  นอกเรื่องหรือไม่?  ฉันควรร่างและสรุปความคิดเอาไว้ก่อนพูด จากนั้นก็ยึดตามเค้าโครงเพื่อไม่ให้พูดนอกเรื่องไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  ถ้าฉันพูดนอกเรื่อง ก็จะไม่เป็นประโยชน์กับใครและจะทำให้เวลาชุมนุมอันมีค่าสูญเปล่า ส่งผลต่อการทำความเข้าใจความจริงของพี่น้องชายหญิง  และถ้ามันร้ายแรง ก็จะถึงขั้นขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรได้”  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราควรมองการพูดนอกเรื่องว่าอย่างไร?  ก่อนอื่น พวกเราต้องพิจารณาว่าการพูดนอกเรื่องเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงหรือไม่ จากนั้นพวกเราก็ต้องมองให้ชัดเจนว่าการพูดนอกเรื่องมีผลต่อชีวิตคริสตจักรอย่างไร  เช่นนี้พวกเราก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการพูดนอกเรื่องไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อย ในกรณีที่ร้ายแรง ปัญหานี้อาจถึงกับก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักรได้  สมมุติว่าในบางหัวข้อ เจ้ามองหาข้อความในพระวจนะของพระเจ้ามาสามัคคีธรรมถึงสิ่งที่เจ้ารู้และสิ่งที่เจ้าเข้าใจ หรือสมมุติว่าในบางหัวข้อ เจ้าสามัคคีธรรมถึงความรู้ที่เจ้าได้มา ความจริงที่เจ้าเข้าใจ และเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่เจ้าเข้าใจจากสิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์ด้วย หรือสมมุติว่าสามัคคีธรรมของเจ้าในบางหัวข้อออกจะวกวนบ้าง และเจ้าก็แสดงความคิดของตนในเรื่องนั้นได้ไม่ชัดเจนนัก พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง—ในสถานการณ์เหล่านี้ เจ้ากำลังพูดนอกเรื่องหรือไม่?  ไม่มีเรื่องไหนในนี้นับเป็นการพูดนอกเรื่อง  เช่นนั้นแล้วการพูดนอกเรื่องเป็นอย่างไร?  เมื่อสิ่งที่เจ้ากล่าวมีความเชื่อมโยงน้อยหรือไม่เชื่อมโยงกับหัวข้อสามัคคีธรรม นั่นคือการพูดนอกเรื่อง เป็นเพียงการพร่ำพูดเรื่องภายนอก ซึ่งไม่ได้ทำให้ผู้คนเจริญใจแต่อย่างใด  นั่นคือการพูดนอกเรื่องอย่างสิ้นเชิง  ทีนี้พวกเราก็มาเสวนากันเถิดว่าอะไรคือการก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน  ในกรณีของการพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง วาจาและพฤติกรรมแบบใดที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน?  แก่นแท้ของปัญหาในที่นี้คืออะไร?  การพูดนอกเรื่องมีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนได้อย่างไร?  เรื่องนี้ควรค่าแก่การสามัคคีธรรมหรือไม่?  เมื่อสามัคคีธรรมเรื่องนี้จบ พวกเจ้าย่อมจะเข้าใจใช่หรือไม่ว่าการพูดนอกเรื่องหมายถึงสิ่งใด?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จงตอบคำถามนั้นเองเถิด  (เมื่อสามัคคีธรรมของใครบางคนเป็นเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กับความจริง—ยกตัวอย่างการคุยเล่นตามสบายและการเล่าเรื่องในบ้าน เสวนาถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกระแสนิยมในสังคมที่รบกวนจิตใจของผู้คน กีดกันพวกเขาจากการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์—สามัคคีธรรมนั้นย่อมพูดนอกเรื่อง)  นั่นกล่าวประเด็นหลักมากี่ข้อ?  (หนึ่งข้อคือเป็นเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กับความจริง)  การไม่สัมพันธ์กับความจริงนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมาก  ประเด็นหนึ่งคือการคุยเล่นตามสบายและพูดพร่ำถึงเรื่องราวภายในบ้าน  อีกหนึ่งคือการพูดถึงวัฒนธรรมดั้งเดิม การคิดอ่านทางศีลธรรมของมนุษย์ และสิ่งที่ผู้คนมองว่าประเสริฐราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง  นี่เป็นปัญหาเรื่องความเข้าใจที่บิดเบี้ยว ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับความจริง  ตัวอย่างเช่น พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนหนุ่มสาวไม่ควรปราศจากความมุ่งมาดปรารถนา”  บางคนก็สามัคคีธรรมว่า “ตั้งแต่โบราณกาลมา วีรบุรุษอุบัติขึ้นในช่วงที่ยังหนุ่มสาว” หรือ “ความทะเยอทะยานไม่ถูกจำกัดด้วยวัย”  หรือเวลาที่เจ้าพูดถึงการยำเกรงพระเจ้า พวกเขาก็จะสามัคคีธรรมว่า “มีเทพอยู่เหนือหัวขึ้นไปสามฟุต” “เมื่อมนุษย์ลงมือ สวรรค์ย่อมจับตามอง” “ถ้าชัดเจนในมโนธรรม ก็ไม่ต้องกลัวภูตผีมาเคาะประตู” หรือ “หัวใจของคนเราต้องอิงความดี”  นี่ไม่ใช่การพูดนอกเรื่องหรอกหรือ?  ถ้อยคำเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับความจริงมิใช่หรือ?  ถ้อยคำเหล่านี้คืออะไร?  (ปรัชญาของซาตาน)  เป็นปรัชญาของซาตาน และเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งอีกด้วย  สิ่งแรกที่สำแดงว่าพูดนอกเรื่องก็คือเมื่อเรื่องที่พูดนั้นไม่สัมพันธ์กับความจริง เมื่อคนเราพูดถึงปรัชญาและทฤษฎีที่ผู้ไม่มีความเชื่อยึดถือว่าถูกต้องและสูงส่ง และฝืนเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นเข้ากับความจริง  นั่นคือการพูดนอกเรื่อง  เรื่องดังกล่าวไม่สัมพันธ์กับความจริง—การสำแดงข้อนี้ควรที่จะเข้าใจได้ง่าย  การสำแดงข้อที่สองคือยามที่หัวข้อที่เสวนานั้นรบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  เวลาที่ไม่มีการสามัคคีธรรมความจริงในที่ชุมนุม และสิ่งที่สามัคคีธรรมนั้นเป็นเรื่องของความรู้ ทุนการศึกษา ปรัชญา และกฎหมาย หรือปรากฏการณ์ทางสังคม และสัมพันธภาพต่างๆ อันซับซ้อนระหว่างบุคคล เมื่อนั้นย่อมรบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  นี่คือยามที่ใครบางคนสามัคคีธรรมถึงเรื่องที่ตามหลักแล้วไม่เกี่ยวข้องกับความจริงและไม่มีส่วนในความจริงเลย ราวกับว่าเรื่องเหล่านั้นคือความจริง  นี่ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นสับสน และระหว่างที่ฟัง การคิดอ่านของพวกเขาก็ออกห่างจากการสามัคคีธรรมความจริงไปหาเรื่องราวภายนอก  จากนั้นผู้คนเหล่านี้ประพฤติตนอย่างไร?  พวกเขาเริ่มมุ่งเน้นความรู้และการศึกษาวิจัยทางวิชาการ  การรบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนโดยธรรมชาติของตัวมันเองเป็นเรื่องร้ายแรง  การสำแดงข้อที่สามก็คือเมื่อหัวข้อที่เสวนากันอยู่ทำให้ผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิด ส่งผลให้ไม่มีความชัดเจนในนิมิต  บางคนเองก็ไม่ชัดเจนเท่าใดนักในเรื่องของความจริง กระนั้นก็ยังอยากแสร้งทำเป็นว่าตนนั้นมีความชัดเจนและมีความเข้าใจ  ดังนั้นเวลาพวกเขาสามัคคีธรรมความจริง จึงใส่คำสอนอันลุ่มลึกบางข้อเข้าไปในสิ่งที่ตนพูด เอาคำสอนทางศาสนาที่พวกเขาเคยฟังและเข้าใจมาปนกันยุ่ง พูดจาฟุ้งซ่านไร้หลักการ  พอฟังพวกเขาแล้ว ผู้คนก็สูญเสียความชัดเจนเกี่ยวกับนิมิต ไม่รู้ว่าคนคนนั้นหมายที่จะเสวนาถึงความจริงข้อใดกันแน่  ยิ่งฟัง ผู้คนก็ยิ่งเลอะเลือนและความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าก็ยิ่งลดลง พวกเขาอาจถึงกับเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  ผู้คนไม่เพียงฟังการพูดคุยนี้จบโดยที่ไม่เกิดความเข้าใจในความจริงเท่านั้น—แต่ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขายังถูกทำให้เลอะเลือนอีกด้วย  นี่ส่งผลในทางลบ  เป็นสิ่งที่เกิดจากการพูดนอกเรื่อง

การพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริงสำแดงให้เห็นได้หลายทาง แต่ละทางก็มีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการรบกวนการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน  เมื่อผู้คนได้ฟังสามัคคีธรรมดังกล่าว ไม่เพียงพวกเขาจะไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงและเส้นทางปฏิบัติเท่านั้น  แต่ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขายังถูกทำให้เลอะเลือน พวกเขาสับสนในเรื่องของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดการตีความที่ผิดและแนวคิดบางอย่างที่ผิดอีกด้วย  นี่คือผลกระทบและผลสืบเนื่องอันไม่พึงประสงค์ที่การพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริงมีต่อผู้คน  การสำแดงสามข้อนี้ต่างก็มีธรรมชาติที่ร้ายแรงทีเดียว  ตัวอย่างเช่น การสำแดงข้อแรกคือ “เรื่องที่พูดนั้นไม่สัมพันธ์กับความจริง”  การกล่าวสิ่งที่ฟังเหมือนถูกต้อง แต่ไม่ถูก และการนำสิ่งที่เป็นของซาตาน เช่น ความรู้ของมนุษย์ ปรัชญา ทฤษฎี วัฒนธรรมดั้งเดิม และคำกล่าวที่มีชื่อเสียงของบุคคลที่เรืองนาม เข้ามาประกาศและวิเคราะห์ในคริสตจักร ใช้โอกาสสามัคคีธรรมความจริงมาชักพาให้ผู้คนหลงผิด นี่ก่อให้เกิดการรบกวนพวกเขา  และมีธรรมชาติที่ร้ายแรงยิ่ง  ถ้าคนที่มีวิจารณญาณได้ฟังสามัคคีธรรมดังกล่าว พวกเขาย่อมจะกล่าวว่า “สิ่งที่คุณพูดอยู่นั้นไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ความจริง  สิ่งที่คุณกำลังพูดถึงเป็นเรื่องของพฤติกรรมและคำกล่าวทางศีลธรรมที่ผู้ไม่มีความเชื่อคิดว่าดี  นั่นเป็นหลักปรัชญาของผู้ไม่มีความเชื่อในเรื่องที่ว่าควรประพฤติปฏิบัติตนและดำรงชีวิตทางโลกอย่างไร ซึ่งตามหลักแล้วไม่สัมพันธ์กับความจริง”  อย่างไรก็ดี บางคนก็ไม่มีวิจารณญาณ พอได้ฟังความเชื่อที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ พวกเขาก็ถึงกับคล้อยตาม และยึดปฏิบัติเหมือนเป็นความจริง  ถ้าผู้นำและคนทำงานไม่หยุดยั้งและควบคุมเรื่องนี้เอาไว้ในห้วงเวลาดังกล่าว ถ้าพวกเขาไม่สามัคคีธรรมและชำแหละเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนเกิดวิจารณญาณ เช่นนั้นแล้วประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนก็อาจถูกชักพาให้หลงผิดได้  ผลของการถูกชักพาให้หลงผิดย่อมเป็นเช่นใด?  พวกเขาจะเชื่อไปว่าสิ่งที่ประกาศโดยผู้มีชื่อเสียงในโลกที่ไม่มีความเชื่อ ซึ่งผู้คนนึกว่าถูกต้อง ดีงาม และลุ่มลึก เช่น สุภาษิตพื้นบ้าน รวมทั้งคติประจำใจและทฤษฎีเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติตนของผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายนั้น ล้วนถูกต้องและเป็นความจริงเหมือนพระวจนะของพระเจ้าไม่มีผิด  พวกเขาถูกชักพาให้หลงผิดไปแล้วมิใช่หรือ?  ดูภายนอกก็เหมือนพวกเขากำลังสามัคคีธรรมความจริงอยู่ แต่แท้จริงแล้วกลับผสมแนวคิดบางอย่างของมนุษย์และปรัชญาบางอย่างที่ชักพาให้หลงผิดของซาตานเข้าไป และนี่ก็เห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดการรบกวนผู้คน  ถ้าใครบางคนชักพาให้ผู้คนหลงผิดด้วยการหลอกว่าปรัชญาของซาตานและความรู้ของมนุษย์คือความจริง เช่นนั้นแล้วผู้นำและคนทำงานก็ควรเปิดโปงและชำแหละเรื่องราว เพื่อให้พี่น้องชายหญิงเกิดวิจารณญาณและเข้าใจว่าแท้จริงแล้วสิ่งใดคือความจริง  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ  การสำแดงข้อที่สองคือ “รบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คน”  บางคนฉวยโอกาสสามัคคีธรรมความจริงมากล่าวสิ่งที่ฟังเหมือนถูกต้อง แต่ไม่ถูก ยกชูความรู้ของมนุษย์ การศึกษาวิจัยทางวิชาการ พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษอยู่เสมอ  พวกเขายังพูดถึงบรรทัดฐานทางศีลธรรม วัฒนธรรมดั้งเดิม และอื่นๆ อีกด้วย  หลอกว่าสิ่งที่มาจากซาตานนี้คือสิ่งที่เป็นบวก เป็นความจริง พาให้ผู้คนเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่านี่คือสิ่งที่พึงสนับสนุน เผยแพร่ และเชิดชูในคริสตจักร ซึ่งทุกคนควรยึดปฏิบัติ ทำให้มีความเชื่อที่คลาดเคลื่อนและความคิดนอกรีตทั้งหลายเพิ่มขึ้น ซึ่งในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนก็ดูเหมือนจะถูกต้อง แต่ไม่ถูก ทั้งยังทำให้ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนสับสน ทำให้พวกเขารู้สึกเคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วความจริงคืออะไร หรือเมื่อเผชิญปัญหาควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง หรือว่าเส้นทางใดคือเส้นทางที่ถูกต้อง  นี่กดให้หัวใจของพวกเขาดำดิ่งอยู่ในความมืด  นี่คือผลของการเผยแพร่ความคิดนอกรีตและความเชื่อที่คลาดเคลื่อนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิด  ส่วนการสำแดงข้อที่สามนั้น พวกเราจะไม่สามัคคีธรรมกันในรายละเอียด  สรุปว่าการเสวนาที่ออกนอกเรื่องนั้นบ้างก็เกี่ยวข้องกับความรู้ บ้างก็เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และบ้างก็เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอันดีงามทางศีลธรรม และอื่นๆ  แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดสัมพันธ์กับความจริง—ตรงข้ามกับความจริงทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา ผู้นำและคนทำงานควรหยุดยั้งและควบคุมปัญหาเอาไว้  หลังจากที่ฟังสามัคคีธรรมของใครบางคน ถ้าผู้คนไม่เพียงไม่มีความชัดเจนในหัวใจเกี่ยวกับความจริง แต่ยังถูกรบกวนอีกด้วย ความรู้สึกนึกคิดที่เคยชัดเจนก็เลอะเลือน ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกควร เช่นนั้นแล้วก็ควรหยุดยั้งและควบคุมสามัคคีธรรมของบุคคลดังกล่าวเสีย  ตัวอย่างเช่น เวลาสามัคคีธรรมความจริงเรื่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติ บางคนกล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าโปรดมากที่สุดในความเป็นมนุษย์ที่ปกติก็คือความสามารถที่จะสู้ทนความยากลำบาก ไม่ละโมบในความสุขสำราญหรือความสุขสบายทางเนื้อหนัง งดเว้นอาหารรสอร่อย ไม่สุขสำราญกับสิ่งที่คนเราควรสุขสำราญหรือสิ่งที่พระเจ้าทรงตระเตรียมไว้ให้ สามารถขัดขืนความต้องการของเนื้อหนังเหล่านี้ได้ ควบคุมแรงปรารถนาทั้งปวงของเนื้อหนังได้ กำราบร่างกายของตนได้ และไม่ปล่อยให้เนื้อหนังทำอะไรตามใจชอบ  ดังนั้นเวลาค่ำคืนที่คุณอยากนอน คุณก็ต้องขัดขืนเนื้อหนัง  ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ต้องหาทางควบคุมมันไว้  ยิ่งคุณมีเจตจำนงที่จะขัดขืนเนื้อหนัง และยิ่งคุณลงมือขัดขืนเนื้อหนัง นี่ก็จะยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณมีสิ่งที่สำแดงถึงการปฏิบัติความจริงและมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้า  ฉันคิดว่าสิ่งที่สำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้อย่างโดดเด่นที่สุด—และเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนที่สุด—ก็คือการกำราบร่างกายของคนเรา ขัดขืนความต้องการของเนื้อหนัง ไม่ละโมบในความสุขสบายทางเนื้อหนัง และไม่ฟุ้งเฟ้ออยู่กับความสุขสำราญทางวัตถุ  ยิ่งคุณไม่ฟุ้งเฟ้อ คุณก็จะยิ่งสั่งสมพรในราชอาณาจักรสวรรค์เอาไว้”  วาจาเหล่านี้ฟังดูเป็นบวกทีเดียวมิใช่หรือ?  มีที่ผิดพลาดหรือไม่?  ในกลุ่มศาสนาหรือกลุ่มสังคมใดๆ ถ้อยคำเหล่านี้ย่อมจะผ่านการประเมินด้วยตรรกะ หลักปรัชญา และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ทุกคนจะยกนิ้วหัวแม่มือให้เพื่อแสดงความเห็นชอบและบอกว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวมานั้นถูกต้อง ความเชื่อของพวกเขาดีงามและบริสุทธิ์  บางคนในคริสตจักรก็เชื่อเช่นนี้ด้วยมิใช่หรือ?  เมื่อประเมินตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ถ้อยคำทั้งหมดนี้ย่อมถูกต้อง—ถ้อยคำเหล่านี้มีอะไรถูกต้อง?  บางคนอาจกล่าวว่า “พระเจ้าโปรดผู้คนแบบนั้น  และนั่นก็เป็นวิถีชีวิตที่ไม่ฟุ้งเฟ้อของพระองค์ด้วย”  นี่คือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์มิใช่หรือ?  ผู้คนเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเช่นนี้เอาไว้ ดังนั้นถ้าใครสักคนสามัคคีธรรมเช่นนี้จริง ก็ย่อมสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนส่วนใหญ่พอดีมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อผู้คนโอบรับมโนคติอันหลงผิดเช่นนี้ พวกเขาก็กำลังเห็นพ้องกับมุมมองของคนคนนั้นมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าเห็นด้วยและยอมรับมุมมองของคนคนนั้น เมื่อนั้นเจ้าก็กำลังเห็นด้วยกับการกระทำของพวกเขามิใช่หรือ?  จากนั้นเจ้าจะไม่พยายามเลียนแบบพวกเขาหรอกหรือ?  และเมื่อเจ้าทำได้แล้ว เมื่อนั้นเส้นทางที่เจ้าเดินอยู่ เส้นทางปฏิบัติของเจ้าจะไม่ตายตัวหรอกหรือ?  ที่ว่าตายตัวนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้ามุ่งมั่นว่าจะกระทำการและปฏิบัติในลักษณะดังกล่าว  เมื่อเจ้าเชื่ออยู่ในหัวใจว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนแบบนั้นและโปรดที่เจ้ากระทำการเช่นนั้น และเฉพาะเมื่อทำเช่นนั้นเจ้าจึงจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงยอมรับ เป็นคนที่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ ได้รับพรบนสวรรค์ และมีบั้นปลายที่ดีงาม เมื่อนั้นเจ้าย่อมตั้งใจแน่วแน่ที่จะกระทำการในหนทางนั้น  เมื่อตั้งปณิธานไว้เช่นนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็ถูกความคิดและมุมมองจำพวกนี้รบกวนและชักพาให้หลงผิดแล้วมิใช่หรือ?  นี่คือข้อเท็จจริง นี่คือผลที่ตามมา  ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าถูกรบกวน และเจ้าก็ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ  ในที่นี้ยังมีปัญหาอีกข้อหนึ่งเช่นกันคือ เมื่อความรู้สึกนึกคิดของเจ้าถูกความคิดและมุมมองดังกล่าวรบกวนและทำให้เป็นอัมพาต เมื่อนั้นเจ้าย่อมสูญเสียความชัดเจนในเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เมื่อนั้นเจ้าย่อมเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพาตัวออกห่างจากพระองค์มิใช่หรือ?  นี่บ่งชี้มิใช่หรือว่าเจ้าไม่ชัดเจนในเรื่องของนิมิต?  จงคิดดูให้รอบคอบเถิดว่าเมื่อเจ้าถูกความคิดหรือมุมมองบางอย่างที่ผู้คนมองว่าถูกต้อง แต่กลับผิดนี้ชักจูงไปในทางที่ผิด เมื่อนั้นความรู้สึกนึกคิดของเจ้าย่อมถูกรบกวนมิใช่หรือ?  เมื่อนั้นนิมิตในหัวใจของเจ้าจะยังชัดเจนอยู่ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับพระเจ้าจะถูกต้องหรือเป็นความเข้าใจผิด?  ชัดเจนว่าเป็นความเข้าใจผิด  แล้วสิ่งที่เจ้าเข้าใจและสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องนั้นแท้จริงแล้วใช่ความจริงหรือไม่?  ไม่ใช่—กลับขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า ความจริง สวนทางกันหมด  เพราะฉะนั้น การพูดนอกเรื่องแบบนี้เวลาสามัคคีธรรมความจริงจึงเป็นการรบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนโดยแท้  ในเมื่อการพูดนอกเรื่องเช่นนี้รบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอย่างร้ายแรงดังกล่าว สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่านี่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า?  นี่ชักนำผู้คนเข้าหามโนคติอันหลงผิด รวมทั้งปรัชญาและตรรกะของซาตาน ดังนั้นก็ย่อมดึงผู้คนออกห่างจากการสถิตของพระเจ้ามิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนเข้าใจพระเจ้าผิด เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติตามเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระองค์ได้ แต่กลับปฏิบัติตามตรรกะของซาตานและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์แทน เมื่อนั้นพวกเขาย่อมเข้าใกล้พระเจ้าหรือออกห่างจากพระองค์มากขึ้น?  (ออกห่างจากพระองค์มากขึ้น)  พวกเขาออกห่างจากพระองค์มากขึ้น  ดังนั้นระหว่างชุมนุมจึงควรควบคุมการสามัคคีธรรมเรื่องแบบนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ธรรมชาติของการพูดนอกเรื่องแบบนี้ก็คือธรรมชาติของการก่อกวนผู้คน ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุมโดยแท้  ถ้าไม่ถูกหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ ก็จะมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่เลอะเลือน ด้านชา และมีขีดความสามารถอ่อนด้อย—โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ—มาเลียนแบบและทำตามคนที่พูดนอกเรื่อง  นี่คือยามที่ผู้นำและคนทำงานควรลุกขึ้นมาหยุดยั้งเรื่องนี้ทันที  พวกเขาต้องไม่อนุญาตให้คนคนนั้นพูดนอกเรื่องต่อไป ต้องไม่ยอมให้เรื่องที่คนเหล่านั้นสามัคคีธรรมรบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนและชักพาให้ผู้คนหลงผิดในจำนวนที่มากขึ้น  นี่คือความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วง เป็นบทบาทหน้าที่ที่พวกเขาควรทำ

สามัคคีธรรมของพวกเราในหัวข้อการพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริงก็มีอยู่เท่านี้  ถัดไป พวกเราจะสรุปว่าคนเราต้องออกนอกเรื่องไปไกลเพียงใดเวลาสามัคคีธรรมความจริงและต้องสามัคคีธรรมเรื่องใด จึงจะมีธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นการขัดขวางและก่อกวน  การพูดนอกเรื่องบางชนิดก็ชัดแจ้งคือพอใครบางคนออกนอกเรื่องโดยสิ้นเชิง พอพวกเขาเริ่มคุยเล่นตามสบายหรือเอาเรื่องราวในบ้านมาเสวนา นั่นย่อมดูออกได้ง่าย  ตัวอย่างเช่น เวลาที่ทุกคนกำลังสามัคคีธรรมว่าควรทำหน้าที่ของตนอย่างไร ก็อาจมีคนสามัคคีธรรมถึงอดีต “อันรุ่งโรจน์” ของตน พูดถึงการกระทำอันดีงามที่พวกตนเคยทำหรือเล่าว่าช่วยพี่น้องชายหญิงเอาไว้อย่างไรบ้าง และอื่นๆ  ไม่มีใครอยากฟังเรื่องแบบนี้ และยิ่งฟัง พวกเขาก็ยิ่งนึกรังเกียจจนกระทั่งเลิกสนใจคนคนนั้น  และแล้วคนคนนั้นก็จะเห็นว่านั่นน่าอับอาย  ตราบใดที่คนส่วนใหญ่สามารถดูคนแบบนี้ออก ฝ่ายหลังย่อมจะพูดต่อไม่ได้  ไม่ต้องเข้าใจความจริงมากนักก็สามารถใช้วิจารณญาณดูการพูดนอกเรื่องต่างๆ นี้ได้  การคุยเล่นตามสบาย การพูดพร่ำเรื่องในบ้าน การยกชูตัวเอง การอวดตน และการฉวยโอกาสเอาหัวข้อสามัคคีธรรมมาเล่าอดีต “อันรุ่งโรจน์” ของตนเอง—การพูดนอกเรื่องแบบนี้ดูออกง่าย  โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ได้ก่อให้เกิดการรบกวนมากนัก เพราะผู้คนส่วนใหญ่รังเกียจเรื่องแบบนี้และไม่เต็มใจฟัง พวกเขารู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังอวดตน ไม่ได้สามัคคีธรรมความจริง และพูดนอกเรื่อง  คนในกลุ่มอาจจะพยายามไม่ทำให้คนเหล่านั้นอับอายทันทีที่พวกเขาเริ่มพูด แต่นานเข้าผู้คนก็เริ่มสะอิดสะเอียนและไม่เต็มใจฟังต่อ รู้สึกว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเองกลับจะดีเสียกว่า  ถ้าคนคนนั้นยังคงพูดต่อ พวกเขาก็จะลุกเดินจากไป  เมื่อคนคนนั้นมองเห็นว่าสิ่งต่างๆ เกิดพลิกผัน และกำลังทำให้ตนเองได้อาย พวกเขาก็จะไม่พูดต่อ  การพูดนอกเรื่องชนิดใดที่มีอิทธิพลต่อผู้คนในทางไม่ดีไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงมองไม่ออกว่านั่นคือสิ่งที่เป็นลบ กลับมองว่าเนื้อหาที่ออกนอกเรื่องนั้นคือความจริงและตั้งใจฟัง?  การพูดนอกเรื่องแบบนี้สามารถก่อให้เกิดการรบกวนผู้คนได้ และคนเราก็ควรใช้วิจารณญาณดูกรณีดังกล่าวให้ออก  จงยกตัวอย่างการพูดนอกเรื่องประเภทนี้มาเถิด  (เมื่อบางคนไม่ทบทวนตนเองหลังการถูกตัดแต่ง แต่มุ่งเน้นที่จะพูดถึงความถูกผิดของปัญหาเท่านั้น นี่ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของทุกคนสับสน  ไม่เพียงทำให้ผู้คนไม่อาจเกิดวิจารณญาณได้เท่านั้น แต่ผู้คนยังรู้สึกด้วยว่าสิ่งที่คนคนนี้พูดเป็นไปตามความจริง คนคนนี้ถูกต้อง  นี่ทำให้ทุกคนเข้าข้างคนเหล่านี้)  พวกเขาแก้ตัวและสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองโดยอ้างการสามัคคีธรรมเรื่องควรยอมรับการถูกตัดแต่งอย่างไร ทำให้ผู้คนนึกว่าพวกเขาถูกตัดแต่งอย่างไม่เป็นธรรม ดึงผู้คนมาเข้าข้างและเห็นใจตน นอกจากนี้ยังทำให้ผู้คนเลื่อมใสว่าตนนั้นสามารถนบนอบและยอมรับการตัดแต่งภายใต้รูปการณ์เช่นนั้นได้  นี่ชักพาให้ผู้คนหลงผิด เป็นตัวอย่างของการตั้งใจและจงใจพูดนอกเรื่อง ซึ่งไม่เพียงทำให้คนฟังไม่อาจนบนอบเวลาเผชิญการตัดแต่ง ไม่อาจยอมรับการตัดแต่ง ไม่อาจทบทวนและทำความรู้จักตนเองได้เท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาระวังตัวและแข็งขืนต่อการตัดแต่งอีกด้วย  สามัคคีธรรมดังกล่าวจึงไม่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจนัยสำคัญของการตัดแต่ง ไม่ช่วยให้เข้าใจว่าผู้คนควรใช้ท่าทีเช่นไรเวลาเผชิญการตัดแต่งจึงจะถูกต้อง จะยอมรับการตัดแต่งอย่างไร และควรปฏิบัติอย่างไร  กลับชักนำให้ผู้คนเลือกหนทางอีกแบบหนึ่งมารับมือการตัดแต่ง เป็นหนทางที่ไม่ใช่การปฏิบัติความจริงและไม่ใช่การทำตามหลักธรรมความจริง แต่เป็นหนทางที่ทำให้ผู้คนกลิ้งกลอกมากขึ้น  สามัคคีธรรมดังกล่าวทำหน้าที่ชักพาให้ผู้คนหลงผิด  การพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริงจึงเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร  ถ้าปัญหาชนิดนี้ลุกลามถึงขั้นขัดขวางและก่อกวน ผู้นำและคนทำงานก็ควรเร่งหยุดยั้งและควบคุมให้ได้ สามัคคีธรรมและชำแหละเรื่องนี้ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีวิจารณญาณมากขึ้น เรียนรู้จากประสบการณ์ดังกล่าว และเรียนรู้บทเรียน

II. การกล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยอมรับนับถือตน

การสำแดงข้อที่สองของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนในชีวิตคริสตจักรก็คือ ยามที่ผู้คนกล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยอมรับนับถือตน  ปกติแล้วผู้คนส่วนใหญ่อาจกล่าววาจาและคำสอนบ้าง  คนส่วนใหญ่ทำเช่นนี้มาโดยตลอด  พวกเราควรมองเหตุการณ์ที่คนเรากล่าววาจาและคำสอนกันเป็นปกตินี้ว่าเป็นผลจากการที่คนคนนั้นด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริง  ตราบใดที่พวกเขาไม่ใช้เวลานานเกินไป ไม่ได้ทำเช่นนั้นโดยเจตนา ไม่ได้ผูกขาดการสนทนา ไม่เรียกร้องให้ทุกคนยอมให้พวกเขาพูดจาตามอำเภอใจ ไม่บังคับให้ทุกคนฟังพวกเขา ไม่ชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดและไม่พยายามให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตน ตราบนั้นย่อมไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือก่อกวน  ด้วยเหตุที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความเป็นจริงความจริง การกล่าววาจาและคำสอนจึงเป็นเหตุการณ์ที่พบเห็นกันมาก  กล่าวอย่างไม่ค่อยเหมาะควรเท่าใดนักก็คือเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ สามารถที่จะไม่ถือโทษและไม่ทำเหมือนเป็นเรื่องร้ายแรงนักได้  อย่างไรก็ดี มียกเว้นอยู่ข้อหนึ่งคือเมื่อผู้คนจงใจกล่าววาจาและคำสอน  สิ่งที่พวกเขาจงใจทำคืออะไร?  สิ่งที่พวกเขาจงใจทำไม่ใช่การกล่าววาจาและคำสอน เพราะพวกเขาก็ไม่มีความเป็นจริงความจริงเช่นกัน  การกระทำของพวกเขา เช่น การกล่าววาจาและคำสอน ร้องบอกคติชวนเชื่อ และพูดถึงทฤษฎีต่างๆ ก็เหมือนการกระทำของทุกคน  อย่างไรก็ดี มีข้อแตกต่างอยู่อย่างหนึ่งคือเวลาพวกเขากล่าววาจาและคำสอน พวกเขาอยากให้ผู้อื่นยอมรับนับถือพวกเขาเสมอ อยากนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้นำ คนทำงาน และคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  ที่ยิ่งไร้เหตุผลเข้าไปใหญ่ก็คือ ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวสิ่งใดหรือกล่าวอย่างไร จุดหมายของพวกเขาก็คือการดึงผู้คนมาเข้าข้างตน ชักพาหัวใจของผู้คนให้หลงผิด ทั้งหมดก็เพื่อให้ตนเป็นที่ยอมรับนับถือ  การแสวงหาความยอมรับนับถือมีจุดประสงค์อันใด?  พวกเขาอยากมีสถานะและเกียรติยศในหัวใจของผู้คน กลายเป็นคนเด่นหรือเป็นผู้นำของฝูงชน กลายเป็นคนที่เหนือธรรมดาหรือไม่ธรรมดา กลายเป็นบุคคลที่พิเศษ คนที่วาจามีอำนาจสั่งการ  สถานการณ์เช่นนี้ต่างจากเหตุการณ์ทั่วไปที่ผู้คนกล่าววาจาและคำสอน และก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน  สิ่งที่แยกผู้คนเหล่านี้ออกจากคนที่กล่าววาจาและคำสอนได้มากขึ้นในลักษณะที่มองเห็นกันทั่วไปคืออะไร?  ก็คือความอยากพูดอยู่ตลอดเวลาของพวกเขา ได้โอกาสเมื่อใด พวกเขาย่อมจะพูด  ตราบใดที่มีการชุมนุมหรือมีคนรวมกลุ่มกัน—ตราบใดที่พวกเขามีคนฟัง—พวกเขาก็จะพูด มีความอยากอันแรงกล้าเป็นพิเศษที่จะทำเช่นนั้น จุดประสงค์ในการพูดของพวกเขาไม่ใช่เพื่อแบ่งปันสิ่งที่ตนคิดอยู่ในใจ สิ่งที่ตนได้มา ประสบการณ์ ความเข้าใจ หรือความตระหนักรู้เชิงลึก ให้กับพี่น้องชายหญิงเพื่อส่งเสริมการเข้าใจความจริงหรือเส้นทางปฏิบัติความจริง  จุดประสงค์ของพวกเขากลับเป็นการใช้โอกาสนั้นๆ กล่าวคำสอนเพื่ออวดตน ให้ผู้อื่นรู้ว่าตนนั้นรอบรู้เพียงใด แสดงให้เห็นว่าตนมีสมอง มีความรู้ และมีการศึกษา ยืนอยู่เหนือคนทั่วไป  พวกเขาอยากเป็นที่รู้จักในฐานะบุคคลที่มีความสามารถ ไม่ได้เป็นเพียงคนธรรมดา  พวกเขามีความต้องการเช่นนั้นเพื่อที่ว่าไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ทุกคนจะได้หันไปปรึกษาพวกเขา  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดในคริสตจักรหรือความยุ่งยากอันใดที่พี่น้องชายหญิงประสบ พวกเขาก็อยากเป็นคนแรกที่ผู้อื่นนึกถึง พวกเขาอยากให้เป็นเช่นนั้นเพื่อที่ผู้อื่นจะได้ทำอะไรไม่ได้หากไม่มีพวกเขา ไม่กล้าจัดการเรื่องใดถ้าไม่มีพวกเขา ให้ทุกคนรอคำสั่งจากพวกเขา  นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเขาอยากได้  จุดประสงค์ที่พวกเขากล่าววาจาและคำสอนก็เพื่อหลอกให้ติดกับและควบคุมผู้คน  สำหรับพวกเขาแล้ว การกล่าววาจาและคำสอนเป็นเพียงวิธีการ เป็นแนวทางอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงจึงได้กล่าววาจาและคำสอน แต่ด้วยการทำเช่นนั้น พวกเขากลับมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนเลื่อมใสตนจากหัวใจ เคารพยกย่องตน และถึงกับกลัวพวกเขา ถูกพวกเขาตีกรอบและควบคุมเอาไว้  ด้วยเหตุนี้การกล่าววาจาและคำสอนแบบนี้จึงเป็นการขัดขวางและก่อกวน  ในชีวิตคริสตจักรจึงควรเข้มงวดกวดขันผู้คนดังกล่าวเอาไว้ และควรหยุดยั้งพฤติกรรมที่เป็นการกล่าววาจาและคำสอนเช่นนี้อีกด้วย ไม่ปล่อยให้ดำเนินต่อไปโดยไร้การควบคุม  บางคนอาจจะกล่าวว่า “ควรเข้มงวดกวดขันผู้คนดังกล่าว แล้วยังควรให้พวกเขามีโอกาสพูดหรือไม่?”  ในแง่ของความยุติธรรมก็ให้พวกเขามีโอกาสพูดได้ แต่ทันทีที่พวกเขากลับไปอวดตัวเหมือนเดิม ความทะเยอทะยานของพวกเขากำลังจะปะทุขึ้นมาอีก ก็ควรตัดบททันทีเพื่อให้พวกเขามีสติและสงบลง  แล้วควรทำอย่างไรถ้าพวกเขามักจะอวดตัวอยู่เช่นนี้ ยังคงเผยให้เห็นความทะเยอทะยานอยู่บ่อยๆ และความอยากได้อยากมีของพวกเขาก็ยากที่จะควบคุม?  ควรห้ามปรามพวกเขาทันทีและไม่ให้พูด  ถ้าไม่มีใครอยากฟังพวกเขาเวลาพวกเขาพูด ถ้าน้ำเสียง ท่าทาง แววตา และอากัปกิริยาของพวกเขาน่าสะอิดสะเอียนสำหรับทุกคนที่จะเห็นและได้ยิน เช่นนั้นแล้วก็เป็นปัญหาชนิดที่ร้ายแรง  นี่ลามไปถึงจุดที่ทุกคนรังเกียจแล้ว  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนในคริสตจักรที่เล่นบทตัวประกอบเสริมความเด่นเยี่ยงนี้ก็ควรลงจากเวทีมิใช่หรือ?  ถึงเวลาที่บทของพวกเขาต้องลาโรงแล้ว  นั่นหมายความว่าพวกเขาทำงานรับใช้จบแล้วมิใช่หรือ?  ควรทำเช่นไรเมื่อพวกเขาทำงานรับใช้ครั้งสุดท้ายเสร็จแล้ว?  ควรชำระพวกเขาออกไปเสีย  ทันทีที่พวกเขาเริ่มพูด พวกเขาก็พูดเรื่องเดิมๆ ซึ่งการห้ามปรามไม่อาจหยุดยั้งได้  ทุกคนเหนื่อยหน่ายที่จะฟัง  และใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของพวกเขา ใบหน้าของซาตาน ของมาร ก็เริ่มปรากฏชัด  นี่เป็นผู้คนจำพวกใด?  พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์  ถ้าเอาตัวพวกเขาออกไปเร็วเกินไป ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะมีมโนคติอันหลงผิด ไม่ปักใจเชื่อ และกล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่มีความรัก เอาตัวใครสักคนออกไปโดยที่ไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาเฝ้าสังเกตพวกเขา ไม่ให้พวกเขามีโอกาสกลับใจ  พวกเขาแค่กล่าววาจาของคนนอกไม่กี่คำ เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนิดหน่อย และโอหังบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี  การทำกับพวกเขาแบบนี้ไม่ยุติธรรม”  อย่างไรก็ดี เมื่อคนส่วนใหญ่สามารถใช้วิจารณญาณดูและรู้ทันแก่นแท้ของคนชั่ว เมื่อนั้นการปล่อยให้คนชั่วเยี่ยงนี้ทำความผิด ขัดขวาง และก่อกวนโดยไม่ยั้งคิดอยู่ในคริสตจักรต่อไป จะเหมาะควรหรือไม่?  (ไม่)  ย่อมไม่ยุติธรรมต่อพี่น้องชายหญิงทั้งปวง  ในกรณีดังกล่าว การเอาตัวพวกเขาออกไปก็คือการแก้ปัญหา  เมื่อพวกเขาทำงานรับใช้ครั้งสุดท้ายไปแล้วและคนส่วนใหญ่ก็ดูพวกเขาออกแล้ว เมื่อนั้นผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะไม่คัดค้านที่เจ้าเอาตัวพวกเขาออกไป—จะไม่มีใครบ่นหรือเข้าใจพระเจ้าผิด  ถ้ายังมีผู้คนที่ปกป้องพวกเขา เจ้าก็สามารถกล่าวว่า “คนคนนั้นทำความชั่วมากมายในคริสตจักร  พวกเขาถูกระบุว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์และถูกเอาตัวออกไปแล้ว  แต่คุณกลับเห็นใจพวกเขามากนักหนา คุณยังคงนึกถึงความใจดีมีเมตตาที่พวกเขาเคยมีต่อคุณ และมาปกป้องพวกเขา  อารมณ์ของคุณอ่อนไหวเกินไป และคุณก็ไม่มีหลักธรรมโดยสิ้นเชิง  นี่ย่อมส่งผลเช่นใด?  พวกเขาให้ความช่วยเหลือนิดหน่อย คุณก็ลืมไม่ลง ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร คุณก็ตั้งใจเชื่อฟัง อยากตอบแทนพวกเขาอยู่เสมอ  มาตอนนี้พวกเขาถูกเอาตัวออกไปแล้ว  คุณอยากไปกับพวกเขากระนั้นหรือ?  ถ้าอยากให้เอาตัวคุณออกไปด้วย ก็ให้เป็นเช่นนั้นเถิด”  วิธีรับมือสถานการณ์เช่นนี้เหมาะควรหรือไม่?  ถึงขั้นนี้ย่อมเหมาะควร  ถ้าผู้คนเยี่ยงนี้กล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดอย่างต่อเนื่อง รบกวนผู้คนกันอย่างเหลือรับจนผู้คนไม่อยากมาชุมนุมอีกต่อไป นี่ย่อมเป็นเพราะผู้นำและคนทำงานด้านชาและหัวช้า ไม่มีวิจารณญาณและไม่สามารถรับมือผู้คนเหล่านี้ได้ทันกาลมิใช่หรือ?  นี่คือการที่พวกเขาไม่สามารถทำงานของตน ล้มเหลวในการลุล่วงความรับผิดชอบของตน

ถึงตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ก็มีวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์ที่กล่าววาจาและคำสอนบ้างแล้ว  ถ้าพวกเขาไม่ก้มหัวเอาไว้ ทันทีที่พวกเขาชูคอขึ้นมา ปฏิบัติในหนทางต่างๆ ที่เฉพาะตัวมากพอ และสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาก็เพียงพอที่จะให้ผู้คนระบุว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ เมื่อนั้นก็ไม่ควรรอช้าหรือลังเลอีกต่อไป  พวกเขาควรถูกควบคุมและแยกเดี่ยวทันที  ถ้าการรับใช้ของพวกเขาไม่มีคุณค่าอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไปทันที  เป็นการง่ายที่จะใช้วิจารณญาณดูศัตรูของพระคริสต์ที่หน้าซื่อใจคด และกล่าววาจาและคำสอนเยี่ยงนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าผู้คนเช่นนี้คือศัตรูของพระคริสต์  เพียงแต่ว่าศัตรูของพระคริสต์จำพวกนี้อยากชักพาให้ผู้คนหลงผิดอยู่เสมอโดยใช้โอกาสในการกล่าววาจาและคำสอนมาสัมฤทธิ์จุดหมายของตนที่จะกุมอำนาจ  นี่คือลักษณะหนึ่งที่ศัตรูของพระคริสต์สำแดงออกมา และเป็นเรื่องที่ดูออกได้ง่าย  หัวข้อนี้มีการเสวนาไปก่อนหน้านี้มากพอแล้ว ดังนั้นก็จะไม่ลงรายละเอียดในที่นี้  สรุปว่าผู้นำและคนทำงานควรสนใจผู้คนดังกล่าวให้มาก เข้าใจและจับความเคลื่อนไหว ความคิด มุมมอง แผนการ และการกระทำของพวกเขาได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที รวมทั้งความคิดเห็นในทางที่ผิดที่พวกเขาเผยแพร่ และจัดการพวกเขาไปตามนั้นทันที  นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  ดังนั้นอย่างน้อยที่สุด ผู้นำและคนทำงานก็ควรมีความหลักแหลมทางฝ่ายวิญญาณและมีความรู้สึกนึกคิดที่ละเอียดถี่ถ้วนในงานนี้ ไม่ด้านชาและเซื่องซึม  ถ้าศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้ผู้คนมากมายหลงผิดด้วยการกล่าววาจาและคำสอนระหว่างการชุมนุม และผู้นำคริสตจักรยังคงไม่ตระหนักว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ ไม่สามารถเปิดโปงและจัดการพวกเขาได้ทันที นี่ย่อมเป็นความล้มเหลวในการลุล่วงความรับผิดชอบของตน  ถ้ามีผู้คนถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดไปมากมายแล้ว และผู้คนก็เห็นว่าการชุมนุมไม่มีความหมายเมื่อไม่อาจได้ฟังศัตรูของพระคริสต์กล่าววาจาและคำสอนในที่นั้น ดังนั้นจึงไม่เต็มใจเข้าชุมนุม หรือถึงกับไม่เต็มใจที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนา อยากฟังศัตรูของพระคริสต์ประกาศมากกว่า—ถ้าผู้นำคริสตจักรตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์และเริ่มลงมือแก้ไขให้ดีขึ้นเฉพาะเมื่อผู้คนถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้ถึงขั้นนี้แล้วเท่านั้น—นี่ย่อมก่อให้เกิดความล่าช้าอย่างยิ่ง!  การเข้าสู่ชีวิตของประชากรมากมายที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็จะได้รับผลกระทบเพราะความด้านชาและความเบาปัญญาของผู้นำเทียมเท็จจำพวกนี้  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ถูกชำแหละ แยกแยะ และเอาตัวออกไป บางคนก็อาจถูกชักพาให้หลงผิดและติดตามพวกเขาไป  บ้างก็อาจถึงขั้นกล่าวว่า “ถ้าคุณเอาตัวพวกเขาออกไป พวกเราก็จะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว  ถ้าคุณให้พวกเขาจากไป พวกเราก็จะไปกันหมด!”  ถึงจุดนี้ก็ย่อมชัดเจนด้วยประการทั้งปวงแล้วว่าผู้นำคริสตจักรไม่ได้ทำงานจริงแต่อย่างใด ซึ่งเป็นความล้มเหลวอย่างร้ายแรงในการลุล่วงความรับผิดชอบของตน

ในชีวิตคริสตจักร สิ่งแรกที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำก็คือทำความเข้าใจสภาวะของแต่ละคน  พวกเขาต้องตั้งใจจับสังเกตและทำความเข้าใจผ่านทางการมีปฏิสัมพันธ์ว่าสมาชิกแต่ละคนของคริสตจักรใช้เส้นทางใดอยู่และแก่นนิสัยของพวกเขาเป็นเช่นใด ค้นหาและระบุให้แม่นยำและทันท่วงทีว่าใครบ้างที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และใครมีแก่นแท้แบบศัตรูของพระคริสต์  จากนั้นก็ควรมุ่งเน้นคนเหล่านั้น ให้ความสนใจใกล้ชิด ทำความเข้าใจและตระหนักรู้มุมมองและถ้อยแถลงที่พวกเขาเผยแพร่ให้ทันท่วงที รู้ว่าพวกเขากำลังเตรียมกระทำการอันใดอยู่ในตอนนี้  เมื่อพวกเขาอยากชักพาให้ผู้คนหลงผิด หลอกให้ติดกับและควบคุมผู้คน ผู้นำและคนทำงานก็ควรรีบลุกขึ้นมาหยุดยั้งพวกเขา แทนที่จะรออยู่เฉยๆ  ถ้าเจ้ารอจนพระเจ้าทรงเผยตัวพวกเขาออกมา หรือจนพี่น้องชายหญิงถูกชักพาให้หลงผิด หรือรอให้พี่น้องชายหญิงมีความเข้าใจและมีวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์ก่อนจึงจะเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ นั่นย่อมจะประวิงเรื่องต่างๆ ให้ล่าช้าไปเรียบร้อยแล้ว  เพราะฉะนั้น ในการเฝ้าระวังศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำและคนทำงานควรริเริ่มเล่นงานก่อนและเตรียมการไว้ล่วงหน้า  ขั้นแรกคือส่งเสริมและบ่มเพาะคนที่ค่อนข้างซื่อตรงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ นั่นคือ ให้น้ำและเสบียงอย่างถูกควรแก่คนที่มีบทบาทเป็นผู้นำในงานชิ้นต่างๆ และบ่มเพาะให้พวกเขาเป็นเสาหลักในคริสตจักร  เช่นนี้เท่านั้นงานชิ้นต่างๆ ของคริสตจักรจึงจะสามารถเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่นและไม่ติดขัด และงานข่าวประเสริฐก็จะสามารถเผยแผ่ต่อไปได้  ไม่ว่าจะเป็นงานใด ถ้าขาดผู้นำที่ดี เช่นนั้นแล้วก็เป็นเรื่องยากมากที่จะดำเนินงานนั้นๆ  เรื่องหลักที่สำแดงถึงการที่ศัตรูของพระคริสต์ท้าทายพระเจ้าก็คือการชักพาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลงผิดไปติดตามพวกเขาเพื่อที่จะขัดขวางและก่อกวนงานทุกชิ้นในพระนิเวศของพระเจ้า  ในคริสตจักรหนึ่งๆ สิ่งแรกที่ศัตรูของพระคริสต์มุ่งหมายที่จะทำก็คือการทำร้ายผู้ที่มีสำนึกเที่ยงธรรมและผู้ที่มีบทบาทเป็นผู้นำในงานชิ้นต่างๆ  พวกเขาดึงคนที่ตนสามารถชักพาให้หลงผิดและควบคุมได้มาเข้าพวก แล้วปรักปรำ วางกับดัก และโค่นล้มคนที่พวกเขาไม่สามารถชักพาให้หลงผิดหรือควบคุมได้ และท้ายที่สุดก็เอาตัวคนเหล่านั้นออกไป  นี่ปูทางให้ศัตรูของพระคริสต์เข้าควบคุมคริสตจักร  พวกเขาโค่นบุคคลหลักๆ จำนวนน้อยคนที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงก่อน คนส่วนใหญ่ที่เหลือก็คือคนที่จะปลิวไปตามทิศทางที่กระแสลมพัดพาไป  หลังจากนั้นก็ย่อมง่ายขึ้นมากที่พวกเขาจะจัดการผู้นำและคนทำงานโดยเฉพาะ  เมื่อไม่มีความร่วมมือและความช่วยเหลือจากผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง โดยแก่นแท้แล้วผู้นำและคนทำงานย่อมต่อสู้อยู่ตามลำพัง ไร้ความช่วยเหลือ  เจ้าอยู่ในความสว่าง ส่วนศัตรูของพระคริสต์แฝงตัวอยู่ในความมืด พร้อมที่จะซุ่มโจมตี ปรักปรำ วางกับดัก และให้ร้ายเจ้าทุกเมื่อ ต่อยเจ้าลงไปกองกับพื้นเพื่อให้เจ้าไม่อาจลุกขึ้นมาได้  จากนั้นศัตรูของพระคริสต์ก็จะหาผู้คนมาซ้ำเติมเจ้า ทิ้งให้เจ้าท้อใจและหมดหวังอย่างสิ้นเชิง  เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมาร่วมผนึกกำลังต่อสู้ ก็ยากมากที่จะแก้ปัญหาเรื่องศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างรอบด้าน  ในชีวิตคริสตจักร สิ่งแรกที่ผู้นำและคนทำงานต้องทำก็คือการดำรงรักษาระเบียบปกติของคริสตจักรเอาไว้  เมื่อมีคนชั่วที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อยู่ด้วย ชีวิตคริสตจักรก็จะไม่เกิดผลดี การเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องย่อมจะไม่ง่าย และผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะถูกก่อกวนและครอบงำ  ด้วยเหตุนี้ การค้นพบ เข้าใจ ตระหนักรู้ และระบุตัวคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ และคนที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์จึงเป็นงานแรกที่สำคัญที่สุดซึ่งผู้นำและคนทำงานพึงทำในส่วนของชีวิตคริสตจักร  ด้วยการควบคุมหรือเอาตัวผู้คนเหล่านี้ออกไปเท่านั้นจึงจะสามารถดำรงรักษาระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรเอาไว้ได้  ถ้าไม่ควบคุมและปล่อยให้พวกเขากระทำการตามอำเภอใจโดยไม่ยั้งคิดและก่อให้เกิดการรบกวน งานชิ้นต่างๆ ของคริสตจักรก็จะหยุดนิ่ง  เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ขาดวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์และไม่อาจรู้ทันแก่นแท้ของพวกเขาได้ ถึงกับถูกความคิดและมุมมองที่คลาดเคลื่อนของพวกเขารบกวนและชักพาให้หลงผิด จึงเป็นการยากที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะอยู่ในครรลองที่ถูกต้องและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงในชีวิตคริสตจักร  ในช่วงเวลานี้ ถ้าชีวิตคริสตจักรเป็นปกติมาก ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมได้ประโยชน์และก้าวหน้าในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริง และในที่สุดก็มีการเข้าสู่ชีวิตบ้าง มีความเป็นจริงความจริงบ้าง แต่แล้วพวกเขากลับถูกก่อกวนและชักพาให้หลงผิดโดยศัตรูของพระคริสต์ที่กล่าววาจาและคำสอน จากนั้นไม่เพียงพวกเขาจะสูญเสียความตระหนักรู้อันบริสุทธิ์และความเข้าใจที่แท้จริงที่พวกเขาเพิ่งได้มาเท่านั้น แต่ยังรับเอาความคิดนอกรีตที่ลวงโลกและความเชื่อที่คลาดเคลื่อนเอาไว้เป็นอันมากอีกด้วย—กลายเป็นคนที่เลอะเลือนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เหมือนฝีพายถูกกระแสน้ำตีกลับเมื่อพวกเขาหยุดมือ ซึ่งทำให้เดือดร้อนอย่างยิ่ง  ไม่ง่ายที่ผู้คนจะเติบโตในชีวิตได้จริง อาจใช้เวลาหลายปีกว่าจะมองเห็นความก้าวหน้าบ้าง ซึ่งก็ช้ามาก  เป็นการยากที่ผู้คนจะได้มาซึ่งวุฒิภาวะอันน้อยนิดที่พวกเขามี—นี่ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่าย  เมื่อถูกศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดและก่อกวน ความตระหนักรู้อันบริสุทธิ์ที่ผู้คนมีอยู่น้อยนิดย่อมสูญหาย  สิ่งที่ยิ่งร้ายแรงขึ้นไปอีกก็คือหลังการก่อกวนของซาตานและศัตรูของพระคริสต์แล้ว ผู้คนกลับเต็มไปด้วยปรัชญามากมายของซาตาน อุบายและกลโกงของซาตาน รวมทั้งพิษที่ซาตานวางไว้ในตัวของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักและนบนอบพระเจ้าเท่านั้น ตรงกันข้ามกลับทำให้ผู้คนเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และออกห่างจากพระองค์อีกด้วย ทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนยิ่งร้ายแรงกว่าเดิม พาให้พวกเขาสามารถทรยศพระเจ้ามากขึ้น  ผลสืบเนื่องของการนี้จึงร้ายแรงมาก  จงบอกเราเถิดว่าเมื่อเผชิญผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงเช่นนี้ การหยุดยั้งและควบคุมคนที่ใช้วาจาและคำสอนมาชักพาให้ผู้คนหลงผิดมีความจำเป็นหรือไม่?  นี่คืองานสำคัญที่ผู้นำคริสตจักรควรทำมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น การควบคุมคนชั่วและผู้ไม่เชื่อจึงเป็นงานสำคัญของคริสตจักร  บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันไม่มีวิจารณญาณ  ฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร”  อันที่จริง ตราบใดที่เจ้ามีเจตจำนง ตั้งใจสังเกตการณ์ ตรวจสอบเจตนาและแรงจูงใจของผู้คนอยู่เสมอ เจ้าก็จะค่อยๆ เกิดวิจารณญาณ  ทันทีที่ผู้ไม่เชื่อและคนชั่วเหล่านี้แสดงตัว พวกเขาย่อมมีเจตนาและแรงจูงใจของตนเอง ทุกสิ่งล้วนมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนเคารพยกย่องและเชิดชูบูชาในตัวพวกเขา ให้ผู้คนฟังสิ่งที่พวกเขาพูด  ถ้าเจ้าสามารถรับรู้เจตนาและแรงจูงใจของพวกเขาได้ นี่ก็คือการมีวิจารณญาณบ้างแล้ว  ถ้าเจ้าไม่แน่ใจ เจ้าก็สามารถสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับบางคนที่ค่อนข้างเข้าใจความจริง  ระหว่างที่สามัคคีธรรม ด้านหนึ่งพวกเจ้าสามารถลงความเห็นตามความจริงที่ทุกคนเข้าใจร่วมกันและหลักฐานชิ้นต่างๆ ที่หามาได้ตามข้อเท็จจริง  อีกด้านหนึ่งพวกเจ้าก็สามารถได้รับการยืนยัน—ผ่านทางความรู้แจ้งจากพระเจ้า การทรงนำและความสว่างที่พระเจ้าประทานระหว่างการสามัคคีธรรม—เกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นการยืนยันว่าคนที่พวกเจ้ากำลังพูดถึงอยู่นั้นเป็นศัตรูของพระคริสต์จริงหรือไม่ ใช่คนที่ควรถูกเข้มงวดกวดขันจริงหรือไม่  ด้วยการสามัคคีธรรม ถ้าทุกคนได้รับการยืนยันและเห็นพ้องต้องกันว่าคนคนนี้คือศัตรูของพระคริสต์ที่ควรเข้มงวดกวดขันจริง—หลังจากที่มีการลงมติกับพี่น้องชายหญิง และทุกคนมีมุมมองร่วมกันแล้ว—ขั้นต่อไปสำหรับผู้นำและคนทำงานก็คือรีบจัดการเอาตัวคนคนนี้ออกไปตามหลักธรรมความจริง  นี่คือหลักธรรม  เมื่อผู้คนเข้าใจหลักธรรมข้อนี้ พวกเขาก็พึงลงมือทำงานจริง ซึ่งหมายถึงการลุล่วงความรับผิดชอบของตนและจงรักภักดี  การเข้าใจหลักธรรมไม่ใช่เพื่อประกาศหรือเอามาใส่ให้เต็มสมอง แต่เพื่อประยุกต์ใช้กับงานจริงในหน้าที่ของเจ้า  ในงานจริงๆ นั้น การเข้าใจหลักธรรมเปิดโอกาสให้เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของตนได้ดีขึ้นและถี่ถ้วนขึ้น  ด้วยเหตุนี้ นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งในงานของผู้นำและคนทำงานเช่นกัน  การที่จะดำรงรักษาระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรและเปิดโอกาสให้พี่น้องชายหญิงใช้ชีวิตคริสตจักรได้ตามปกติและเข้าสู่ความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้น เมื่อศัตรูของพระคริสต์ที่กล่าววาจาและคำสอนแสดงตัวให้เห็น ผู้นำและคนทำงานควรเป็นคนแรกๆ ที่ลุกขึ้นมาหยุดยั้งและควบคุมพวกเขา  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ที่กล่าววาจาและคำสอน นี่ไม่ใช่การควบคุมพวกเขาเพียงเพราะพวกเขาพูดเรื่องที่ผิดบ้างเท่านั้น  ถ้าการเฝ้าสังเกตในระยะยาวหรือความคิดเห็นจากคนส่วนใหญ่และเรื่องจำเพาะที่พวกเขาสำแดงออกมานั้นเพียงพอที่จะกำหนดลงไปว่าพวกเขาเป็นคนจำพวกศัตรูของพระคริสต์จริง เช่นนั้นแล้วผู้นำและคนทำงานก็ควรออกมาหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้ ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาดำเนินการต่อไปโดยไม่ควบคุม  การปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบก็เหมือนปล่อยให้หมู่มาร เหล่าซาตาน พวกปีศาจสกปรก และวิญญาณชั่ว เที่ยวอาละวาดอยู่ในคริสตจักร ซึ่งหมายความว่าผู้นำและคนทำงานดังกล่าวกำลังละเลยความรับผิดชอบของตน ซึ่งตามแก่นแท้แล้วก็คือกำลังทำงานให้ซาตาน  สามัคคีธรรมถึงปัญหาประเภทที่สองเกี่ยวกับการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรก็จบลงเท่านี้

III. การพูดพร่ำเรื่องในบ้าน การสร้างเครือข่ายส่วนตัว และการจัดการกิจธุระส่วนตน

ถัดไป พวกเรามาสามัคคีธรรมถึงประเด็นปัญหาข้อที่สามกันเถิดคือ พูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตน  ปัญหาเหล่านี้รวมอยู่ในประเด็นปัญหาข้อที่สาม ซึ่งจะพูดถึงในสามัคคีธรรมของพวกเรา และเห็นได้ชัดว่าไม่ควรเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร  เวลาใช้ชีวิตคริสตจักร ผู้คนย่อมมากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แบ่งปันพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง และสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์ส่วนตัว พลางแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าและแสวงหาการเข้าใจความจริงไปด้วย  ดังนั้น ควรหยุดยั้งและควบคุมปัญหาอย่างการพูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตนในชีวิตคริสตจักรหรือไม่?  (ควร)  บางคนถามว่า “การทักทายกันเป็นไรหรือไม่?  ถ้าคนสองคนค่อนข้างสนิทและเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ถ้าพวกเขาพบเจอกันในชีวิตคริสตจักรและคุยเล่นกันบ้าง นั่นใช่การพูดพร่ำเรื่องในบ้านหรือไม่?  นี่ก็ควรเข้มงวดด้วยหรือไม่?”  ประเด็นปัญหาข้อที่สามหมายถึงปัญหาจำพวกนี้หรือไม่?  (ไม่)  ชัดเจนว่าไม่ใช่  ถ้าแม้แต่คำทักทายง่ายๆ และสุภาพยังถูกกวดขัน เช่นนั้นแล้วผู้คนย่อมกลัวที่จะพูดจาเมื่อพบหน้ากันในอนาคต  ประเด็นปัญหาข้อที่สาม—พูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตน—อาจประกอบด้วยวลีเพียงสามข้อนี้เท่านั้น แต่ปัญหาที่วลีเหล่านี้นำเสนอไม่ใช่คำทักทายหรือการคุยเล่นง่ายๆ อย่างมีอัธยาศัย  ปัญหาคือการทำชั่วที่สามารถขัดขวาง ก่อกวน และสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตคริสตจักร  ในเมื่อก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน ก็คู่ควรที่จะสามัคคีธรรม  แล้วควรสามัคคีธรรมสิ่งใด?  ก็คือเรื่องที่ว่ามีปัญหาใดบ้าง คำใดที่ผู้คนพูด สิ่งใดที่พวกเขาทำ วาจา พฤติกรรม และท่าทางเช่นใดของผู้คนที่เข้าขั้นขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรได้  พวกเรามาเสวนาถึงตัวอย่างจำเพาะบางตัวอย่างเพื่อดูว่าปัญหาเหล่านี้ร้ายแรงหรือไม่ ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนหรือไม่ และควรหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้หรือไม่กันเถิด

ในชีวิตคริสตจักร บางคนมักจะเล่าเรื่องจุกจิกในครอบครัว รวมทั้งมโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของตน ราวกับว่าเป็นหัวข้อพูดคุยที่สำคัญ  เธอคนนั้นบอกว่า “สังคมตอนนี้มืดมนมาก การใช้ชีวิตและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อก็เหน็ดเหนื่อยยิ่ง  ผู้ไม่มีความเชื่อนี่สามารถทำได้ทุกอย่าง เหลือรับจริงๆ!”  จากนั้นพี่น้องชายหญิงบางคนก็กล่าวว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเผชิญหน้าสถานการณ์แบบใด พวกเราก็ต้องสามารถใช้วิจารณญาณได้ แสวงหาความจริงและเส้นทางปฏิบัติได้  ถ้าคุณใช้ชีวิตแบบนี้ คุณก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยล้า”  กระนั้นเธอก็บอกว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่ก็ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล  ฉันกังวลว่าสามีของฉันกำลังนอกใจ แล้วก็กลายเป็นเรื่องจริง—เขาพบคนที่สาวกว่าและสวยกว่าฉัน  แล้วฉันควรจะใช้ชีวิตอย่างไร?”  พอพูดพร่ำเช่นนี้ เธอก็เริ่มร้องไห้ด้วยความเศร้าเสียใจ  การที่เธอพูดจาเช่นนี้ย่อมกระตุ้นความเศร้าในตัวผู้อื่นบางคน  บางคนที่พบเจอสถานการณ์เลวร้ายเหมือนเธอย่อมเข้าใจทันทีและเริ่มพูดคุยกันตรงนั้นเอง  ตลอดสองชั่วโมงของการชุมนุม เธอเล่าอย่างถี่ถ้วนว่าเธอกับสามีทะเลาะกันอย่างไรหลังจากที่เขานอกใจ เธอพยายามคิดหาทางถ่ายโอนทรัพย์สินที่พวกเขามีร่วมกันอย่างไร เธอปรึกษาทนายอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียหลังการหย่าร้าง และอื่นๆ อีกมากมาย  นี่ใช่ประเภทของเรื่องที่ควรเสวนากันในชีวิตคริสตจักรหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าเจ้าสะสางเรื่องในครอบครัวไม่เรียบร้อยและจิตใจว่อกแว่กไม่อยู่กับการชุมนุม ไม่มาเสียเลยย่อมเป็นการดีกว่า  สถานที่ชุมนุมของคริสตจักรไม่ใช่ที่ให้เจ้าระบายความขัดข้องหมองใจส่วนตัว หรือให้เจ้าพูดพร่ำเรื่องในบ้าน  ถ้าเจ้าเผชิญเรื่องยุ่งยากที่บ้านและไม่อยากถูกปัญหาเหล่านี้พัวพัน บีบคั้น หรือฉุดรั้งเอาไว้ และอยากแสวงหาความจริงเพื่อทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า อยากปล่อยมือจากเรื่องทั้งหมดนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถสามัคคีธรรมสั้นๆ ถึงปัญหาของเจ้าระหว่างการชุมนุม พี่น้องชายหญิงจะได้สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยเจ้าได้  นี่จึงจะสามารถช่วยให้เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและกลายเป็นคนที่เข้มแข็งขึ้น ไม่ถูกปัญหาเหล่านี้บีบคั้น ก้าวออกจากการคิดลบและความอ่อนแอ และเลือกเส้นทางที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเจ้าเอง  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรสามัคคีธรรม  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้านำเรื่องจุกจิกน่ารำคาญจากบ้านมาระบายและใช้สั่งสอนในชีวิตคริสตจักร และผู้คนส่วนใหญ่ก็อายที่จะห้ามหรือขัดจังหวะเจ้า กลับเอาแต่รวบรวมความอดทนและบังคับตัวเองให้ฟังเจ้าพูดเรื่องจุกจิกน่ารำคาญเหล่านี้เท่านั้น เช่นนี้เหมาะควรหรือไม่?  นี่ใช่การแสดงความรักหรือไม่?  ใช่การอดทนอดกลั้นหรือไม่?  พฤติกรรมเช่นนี้ของเจ้ารบกวนชีวิตคริสตจักรไปเรียบร้อยแล้ว  แล้วใครทนทุกข์เพราะเรื่องนี้?  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่เป็นจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งชุมนุมกันไม่ง่ายและผู้เชื่อก็ต้องซ่อนตัวกันทุกหนแห่ง ถึงกับต้องจัดตารางต่างๆ ล่วงหน้า—ถ้ามีใครมาระบายเรื่องน่าหงุดหงิดในครอบครัวตามสถานที่ชุมนุมให้ทุกคนรับฟังและออกความเห็น นี่เหมาะควรหรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่มาชุมนุมเพื่อที่จะเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่ได้มาฟังเรื่องจุกจิกน่ารำคาญเหล่านี้ ไม่ได้มาฟังเจ้าพูดพร่ำเรื่องในบ้าน  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่มีใครอื่นที่สนิทด้วย ดังนั้นการพูดเรื่องเหล่านี้กับพี่น้องชายหญิงมีอะไรผิด?”  เจ้าอาจพูดเรื่องเหล่านี้ก็ได้ แต่ช่วงเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญ  ถ้าอยู่นอกเวลาชุมนุม ตราบใดที่อีกฝ่ายเต็มใจรับฟัง เจ้าก็อาจเล่าเรื่องเหล่านี้ได้ เจ้ามีอิสระเช่นนั้น และพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่ห้ามปรามเจ้า  อย่างไรก็ดี ในตอนนี้สถานที่และเวลาที่เจ้าเลือกพูดเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้อง  นี่อยู่ในชีวิตคริสตจักร เป็นช่วงเวลาชุมนุม และการพูดไปเรื่อยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวก็ทำให้พี่น้องชายหญิงว้าวุ่นตลอดเวลา และควรมีการควบคุม  นี่คือกฎมิใช่หรือ?  แท้จริงแล้วนี่คือกฎเกณฑ์ข้อหนึ่ง  การไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ เพราะสามารถนำไปสู่การกระทำที่ไร้เหตุผลและรบกวนผู้อื่น  ควรมีการควบคุมพฤติกรรม วาจา และอากัปกิริยาที่ก่อให้เกิดการรบกวน นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังเป็นความรับผิดชอบของพี่น้องชายหญิงทุกคน  บางคนโดยปกติแล้วไม่ค่อยมีอะไรมาสามัคคีธรรมในที่ชุมนุม แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหาขึ้นในชีวิตครอบครัวของพวกเขา พวกเขากลับระบายเรื่องจุกจิกน่ารำคาญเหล่านี้ให้ผู้อื่นฟัง  ผู้อื่นจำเป็นต้องฟังหรือไม่?  พวกเขาจำเป็นต้องตัดสินถูกผิดให้เจ้าหรือไม่?  พวกเขาไม่มีภาระผูกพันเช่นนั้น  เรื่องเหล่านั้นเป็นกิจธุระส่วนตัวของเจ้า และเจ้าก็ควรจัดการเรื่องเหล่านั้นด้วยตนเอง ไม่ควรเอากิจธุระส่วนตัวมาเล่าในเวลาชุมนุม  นี่ผิดกฎและไม่สมเหตุสมผล พฤติกรรมเยี่ยงนี้ควรมีการกวดขัน

บางคนมีลูกเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว และเริ่มกังวลถึงโอกาสที่ลูกๆ จะประสบความสำเร็จ เที่ยวหาเส้นสายให้พวกเขา ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “ครอบครัวของพวกเราไม่มีใครเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วลูกชายของฉันจะหางานแบบไหนได้บ้างหลังเรียนจบมหาวิทยาลัย?  อนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร?  เขาจะสามารถหาเลี้ยงฉันได้หรือไม่เวลาฉันแก่เฒ่า?  ฉันต้องหาทางทำให้แน่ใจว่าเขาจะมีงานดีๆ ทำหลังเรียนจบ”  เวลาเข้าชุมนุม พวกเขาจึงพูดว่า “ลูกชายของฉันเชื่อฟังมาก  เขาไม่เพียงสนับสนุนความเชื่อที่ฉันมีในพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังต้องการที่จะเชื่อหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วย  แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งคือต่อให้พวกเราเชื่อในพระเจ้า พวกเราก็ยังต้องทำมาหาเลี้ยงชีวิตใช่ไหม?  ฉันไม่รู้ว่าเขาจะหางานแบบไหนได้หลังเรียนจบ  ตอนนี้มีงานอะไรที่รายได้ดีบ้าง?  พี่น้องหญิงนี้ๆ ฉันได้ยินมาว่าสามีของคุณเป็นผู้จัดการ  เขามีทางช่วยบ้างไหม?  ลูกชายของฉันมีการศึกษา เขาออกไปดูโลกมาแล้ว ขีดความสามารถก็ดีกว่าฉัน และเก่งคอมพิวเตอร์ ในอนาคตเขาสามารถทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้  แต่ตอนนี้จำเป็นต้องหาทางออกเรื่องหางานก่อน ถ้าหางานไม่ได้ เขาก็จะลำบาก”  ทุกครั้งที่มาชุมนุม พวกเขาย่อมหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา และการพูดคุยก็จะดำเนินไปอย่างไม่สิ้นสุด  พวกเขามองหาว่าจะมีใครเห็นใจพวกเขาบ้าง จากนั้นก็พยายามสร้างเครือข่ายกับผู้คนเหล่านี้  ระหว่างการชุมนุม พวกเขาจะพยายามตีสนิทกับคนเหล่านี้ จัดหาสิ่งที่ชอบมาให้ และถึงกับมอบของกำนัล บางครั้งก็นำอาหารรสเลิศหรือซื้อของเล็กๆ น้อยๆ มาฝาก  นี่คือการสร้างเครือข่ายส่วนตัวและวางรากฐานมิใช่หรือ?  จุดประสงค์ของการวางรากฐานคือสิ่งใด?  คือการใช้ผู้อื่นจัดการกิจธุระส่วนตัวให้แก่ตน สัมฤทธิ์จุดหมายของตนเอง  ระหว่างการชุมนุม พวกเขาไม่เต็มใจฟังพี่น้องชายหญิงแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ ไม่สนใจงานใดๆ ที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ และไม่เต็มใจฟังพี่น้องชายหญิงที่พยายามช่วยแนะนำเรื่องสภาวะของพวกเขา  พวกเขากระตือรือร้นเป็นพิเศษเรื่องลูกชายหางานทำเท่านั้น พูดเรื่องนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเขาไม่เพียงพูดกับทุกคนที่พบเจอเท่านั้น แต่ยังพูดในที่ชุมนุมอีกด้วย  สรุปแล้วพวกเขาสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษและทุ่มเทความพยายามมากมายในเรื่องนี้  ในการชุมนุมทุกครั้ง พวกเขาต้องเอาเวลาบางส่วนของพี่น้องชายหญิงมาพูดเรื่องนี้  แม้ในยามที่สามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตนเอง พวกเขาก็ไม่ลืมเอ่ยถึงเรื่องนี้ พูดจนทุกคนหมดความอดทนและนึกรังเกียจ โดยที่ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกอายเกินกว่าจะหยุดยั้งพวกเขา  ถึงจุดนี้ผู้นำและคนทำงานก็ควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนและห้ามปรามพวกเขาว่า “ทุกคนตระหนักรู้สถานการณ์ของคุณ  ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดเต็มใจช่วย นั่นก็เป็นสัมพันธภาพส่วนตัวของพวกคุณ  ถ้าคนอื่นไม่เต็มใจช่วย คุณก็ไม่ควรบีบบังคับพวกเขา  การช่วยหางานให้ลูกชายของคุณไม่ใช่ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบของพี่น้องชายหญิง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณและไม่ควรใช้เวลาอันล้ำค่าของพี่น้องชายหญิงในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริง  อย่าแทรกแซงผู้อื่นที่กำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยการสามัคคีธรรมถึงกิจธุระส่วนตัวของคุณเอง  หลังการชุมนุม คุณสามารถพูดคุยกับใครก็ได้ตามต้องการ แสวงหาความช่วยเหลือจากใครก็ได้ตามต้องการ แต่อย่าใช้เวลาชุมนุมมาพูดคุยเรื่องนี้  การใช้เวลาชุมนุมมาจัดการกิจธุระส่วนตนนี้ไร้เหตุผลและน่าละอาย เป็นสิ่งที่สำแดงถึงการรบกวนชีวิตคริสตจักร  เรื่องนี้ควรหยุดลงตรงนี้”  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ

ระหว่างการชุมนุม สุภาพสตรีสูงอายุบางคนพบว่าพี่น้องหญิงที่ยังสาวในครอบครัวเจ้าภาพนั้นหน้าตาดี ซื่อสัตย์ เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ ดังนั้นพวกเธอจึงชื่นชอบพี่น้องหญิงเหล่านี้และอยากได้พี่น้องสาวๆ เหล่านี้มาเป็นลูกสะใภ้ของตน  พวกเธอไม่เพียงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตลอดเวลาที่ชุมนุมกันเท่านั้น แต่ยังให้ของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ และเอาใจใส่พี่น้องสาวๆ เป็นพิเศษทุกครั้งที่ฝ่ายหลังมาชุมนุม  แม้ในยามที่พี่น้องสาวๆ ไม่เห็นด้วย พวกเธอก็เซ้าซี้และกวนใจพี่น้องไม่เลิก ไม่ยอมปล่อยไป  นี่เป็นผู้คนเช่นใด?  เป็นคนที่มีลักษณะนิสัยต่ำทรามมิใช่หรือ?  เนื่องจากทุกคนเป็นพี่น้องหญิงร่วมความเชื่อ ส่วนใหญ่จึงได้แต่สามัคคีธรรมถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้  อย่างไรก็ดี บางคนก็ไม่มีมโนธรรม เหตุผล และการตระหนักรู้ตนเอง กลับมีความอยากได้อยากมีส่วนตนมากมายยิ่ง และอยากทำให้ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดเกิดผลโดยไม่สำนึกละอายแก่ใจ  ดังนั้น บางคนจึงกลายเป็นเหยื่อและรู้สึกอึดอัดขณะชุมนุม  นี่คือการก่อกวนผู้อื่นมิใช่หรือ?  ควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้?  ผู้นำคริสตจักรต้องก้าวออกมาห้ามปรามและกำจัดเรื่องราวเช่นนี้ออกไปจากชีวิตคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง  ยิ่งไปกว่านั้น บางคนก็พกเอาอารมณ์สารพัดชนิดมายังที่ชุมนุม—ลูกชายไม่กตัญญู ลูกสะใภ้หยิบข้าวของไปยังบ้านพ่อแม่ของเธอเองอยู่เสมอ มีเรื่องขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้...  พวกเขาพูดถึงเรื่องจุกจิกน่ารำคาญเหล่านี้ทุกครั้งที่ชุมนุม เริ่มพร่ำบ่นด้วยการกล่าวนำว่า “ทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นเป็นเรื่องจริง มวลมนุษย์เสื่อมทรามอย่างมากในเวลานี้!  ดูลูกชายกับลูกสะใภ้ของฉันก็พอ ไม่มีมโนธรรม ไร้เหตุผล—นี่คือการไร้ความเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าตรัสถึง พวกเขาเลวยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก  แม้แต่ลูกแกะยังรู้จักคุกเข่าเวลากินนม แต่ลูกชายของฉันกลับลืมแม่ของตัวเองทันทีที่เขามีภรรยา!”  ทุกครั้งที่พวกเขามาร่วมชุมนุม พวกเขาย่อมกล่าวถ้อยคำพร่ำบ่นเหล่านี้  ทั้งยังมีผู้คนที่พอเข้าชุมนุมก็พูดเรื่องในบริษัทของตน—ใครมีผลงานมากและได้เงินโบนัสสูงกว่า ใครจะได้เลื่อนตำแหน่งเดือนหน้า แต่พวกเขากลับไม่มีความหวัง ใครแต่งตัวดีที่สุดและซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียงที่สุด ใครแต่งงานมีสามีที่มั่งคั่ง...  สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าและพอมีรากฐานบ้างแล้ว พวกเขาไม่อยากฟังและรู้สึกรังเกียจการพูดคุยดังกล่าว  อย่างไรก็ดี ผู้เชื่อใหม่บางคนที่ยังไม่ได้วางรากฐานหรือเกิดความสนใจในพระวจนะของพระเจ้า ย่อมเห็นว่าหัวข้อดังกล่าวน่าสนใจ เชื่อไปว่าตนค้นพบสถานที่ไว้คุยเล่นและสร้างเครือข่ายส่วนตัวแล้ว  ระหว่างการชุมนุม พวกเขาจึงพูดคุยกันไปมา และทั้งสองฝ่ายก็ค่อยๆ พบว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ใช้ได้ จึงสร้างเครือข่าย อันเป็นการพัฒนาสัมพันธภาพส่วนตัว  ที่ชุมนุมกลายเป็นสถานที่ทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนไปเสียแล้ว เป็นที่ให้ผู้คนคุยเล่นตามสบาย สร้างเครือข่ายส่วนตัว ดำเนินการเจรจาทางธุรกิจ และลงมือทำการค้าขาย  ปัญหาเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรระบุออกมาและหยุดยั้งทันที

บางคนเข้าร่วมการชุมนุมด้วยจุดมุ่งหมายที่จะหางานดีๆ ให้ตนเอง บ้างก็เพื่อช่วยให้สามีของตนได้เลื่อนตำแหน่ง บ้างก็หางานที่ดีให้ลูกๆ และบ้างก็เพื่อที่จะซื้อของลดราคา  ส่วนคนอื่นก็มาหาหัวหน้าแพทย์ฝีมือดีให้ผู้ป่วยในครอบครัวของตนโดยที่ไม่ต้องมอบของกำนัลมากมายนัก  สรุปแล้ว ผู้ไม่เชื่อที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีแรงจูงใจแอบแฝงเหล่านี้ เห็นว่าช่วงเวลาชุมนุมของคริสตจักรคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสร้างเครือข่ายส่วนตัวและจัดการกิจธุระส่วนตน  บ่อยครั้งภายใต้เปลือกปลอมของการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า หรือการทำความรู้จักโลกเลวใบนี้และแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม พวกเขาหยิบยกเรื่องยุ่งยากของตนเองและเรื่องราวที่อยากหารือขึ้นมา และในท้ายที่สุดก็เปิดเผยแรงจูงใจอันเห็นแก่ตัวที่ซ่อนเร้นอยู่และกิจธุระส่วนตนที่พวกเขามุ่งหมายจะทำให้สำเร็จออกมาทีละน้อย  พวกเขาเผยเจตนาของตนเอง และทำให้ผู้อื่นเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขากำลังเผชิญความยุ่งยาก บอกเป็นนัยว่าทุกคนควรแสดงความรักและช่วยเหลือพวกเขาโดยไม่มีข้อแม้และไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน  พวกเขาชูธงว่าเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อหาประโยชน์จากช่องโหว่ต่างๆ ค้นหาคนที่พวกเขาอยากผูกมิตรด้วยและคนที่สามารถทำสิ่งต่างๆ ให้พวกเขาได้สำเร็จตามสถานที่ชุมนุม  บางคนอยากซื้อรถในราคาของคนในแวดวงนั้น ก็สำรวจพี่น้องชายหญิงว่าใครทำงานในธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์หรือมีเครือข่ายรู้จักเจ้าของธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์  เมื่อพวกเขาระบุเป้าเหมายได้แล้ว ก็ขยับเข้าไปตีสนิทกับคนเหล่านั้น และสร้างเครือข่าย  ถ้าคนคนนั้นชอบอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็หมั่นไปเยี่ยมที่บ้านเพื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกัน และในที่ชุมนุมก็จะนั่งข้างกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ที่ตนจะติดต่อได้  จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มรุกไล่ มุ่งมั่นที่จะไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของตน  ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดขึ้นเนืองๆ ในคริสตจักรและในหมู่ผู้คน  ถ้าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นตามสถานที่ชุมนุมและในเวลาชุมนุม ผลก็คือพวกเขาย่อมจะก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร ส่งผลต่อชีวิตคริสตจักร  ถ้าไม่มีชีวิตคริสตจักรในคริสตจักรหนึ่งๆ เป็นเวลานาน เช่นนั้นแล้วคริสตจักรแห่งนั้นย่อมกลายเป็นกลุ่มสังคม เป็นสถานที่ดำเนินธุรกรรมแลกเปลี่ยน สถานที่สร้างเครือข่ายส่วนตัว แสวงหาการเอื้อประโยชน์ผ่านช่องทางพิเศษ และจัดการกิจธุระส่วนตน  ธรรมชาติของสถานที่แห่งนี้จึงเปลี่ยนแปลง และนี่ย่อมมีผลเช่นใด?  อย่างน้อยที่สุดก็พาให้สูญเสียชีวิตคริสตจักร ซึ่งหมายถึงสูญเสียเวลาอันล้ำค่าที่จะใช้อ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าพร้อมกับพี่น้องชายหญิงและเข้าใจความจริง  นอกจากนี้ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดก็คือพาให้สูญเสียโอกาสอันล้ำค่าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจ ประทานความรู้แจ้งแก่ผู้คนให้เข้าใจความจริงอีกด้วย  ทั้งหมดนี้ทำร้ายการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน  เพราะฉะนั้น เพื่อประโยชน์และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และเพื่อเป็นการรับผิดชอบชีวิตของทุกคน จึงจำเป็นต้องหยุดยั้งและควบคุมบุคคลดังกล่าว นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ  แน่นอนว่าถ้าพี่น้องชายหญิงทั่วไปสามารถรู้ทันผู้คนเหล่านี้และการกระทำของพวกเขาได้ พี่น้องก็ควรลุกขึ้นมาปฏิเสธและกล่าวแก่พวกเขาว่า “ไม่”  เช่นกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักรอยู่ ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คน ถ้าใครสักคนยึดเอาเวลาชุมนุมไปพูดคุยและจัดการเรื่องเหล่านี้ พี่น้องชายหญิงก็มีสิทธิ์ที่จะเมินพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือมีสิทธิ์ที่จะหยุดยั้งและปฏิเสธเรื่องดังกล่าว  การทำเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  บางคนคิดไปว่าการที่พระนิเวศของพระเจ้าทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีความอบอุ่นของมนุษย์  ความอบอุ่นของมนุษย์ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  ความอบอุ่นของมนุษย์สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  ถ้าเจ้ามีความอบอุ่นของมนุษย์และยึดเอาเวลาชุมนุมมาทำกิจธุระส่วนตน ถึงขั้นทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต้องอยู่เป็นเพื่อนและเกื้อหนุนเจ้า สัมฤทธิ์จุดประสงค์ของเจ้าที่จะจัดการกิจธุระส่วนตน และรบกวนระเบียบปกติที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริง เป็นเหตุให้พวกเขาสูญเสียเวลาอันล้ำค่า นี่ยุติธรรมกับพวกเขาหรือไม่?  สอดคล้องกับการมีความอบอุ่นของมนุษย์หรือไม่?  นี่เป็นแนวทางที่ไม่มีมนุษยธรรมและไร้ศีลธรรมอย่างที่สุด และผู้คนก็ควรลุกขึ้นมาประณามเรื่องนี้  ถ้าผู้นำและคนทำงานเป็นพวกปวกเปียก ทำอะไรไม่ได้ผล ไร้ประโยชน์ และไม่สามารถหยุดยั้งและควบคุมพฤติกรรมดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที ไม่ลงมือทำงานจริง เช่นนั้นแล้วพี่น้องชายหญิงที่มีสำนึกอันเที่ยงธรรมก็ควรรวมตัวกันป้องกันพฤติกรรมดังกล่าวและบรรยากาศแบบนี้ไม่ให้แพร่ไปในคริสตจักร  ถ้าเจ้าไม่อยากสูญเสียเวลาอันล้ำค่าในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริง ไม่อยากให้การเข้าสู่ชีวิตของเจ้าถูกรบกวนและเกิดความสูญเสีย ทำลายโอกาสที่เจ้าจะได้รับความรอด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรลุกขึ้นมาปฏิเสธ หยุดยั้ง และควบคุมเหตุการณ์เหล่านี้  การทำเช่นนี้ย่อมเหมาะควรและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเจ้าบางคนอายที่จะทำเช่นนั้น เจ้าอาจอาย แต่คนเลวหาได้อายไม่  พวกเขากล้ายึดเอาเวลาชุมนุมอันล้ำค่าของเจ้าไป ซึ่งเป็นเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจและพระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า  ถ้าเจ้าเห็นว่าการปฏิเสธพวกเขานั้นน่าอาย เช่นนั้นเจ้าก็สมควรพบกับความสูญเสียในชีวิตของเจ้าแล้ว!  ถ้าเจ้าเต็มใจแสดงความรักแก่เหล่าซาตาน หมู่มาร และผู้ไม่เชื่อ เสนอความช่วยเหลือแก่พวกเขา พลีอุทิศตัวเจ้าเองให้ผู้อื่นและมองข้ามหลักธรรม เจ้าจะโทษใครได้เมื่อชีวิตของเจ้าประสบกับความสูญเสีย?  เพราะฉะนั้น การสร้างเครือข่ายส่วนตัวและจัดการกิจธุระส่วนตนจึงต้องถูกกวาดล้างให้หมดไปจากชีวิตคริสตจักร  ถ้ามีคนดึงดันที่จะทำตามวิธีของตน และยืนกรานที่จะพูดพร่ำเรื่องในบ้าน คุยเล่นตามสบาย จัดการกิจธุระส่วนตน หรือหางานและคู่รักให้ผู้อื่นในเวลาชุมนุม หาข้ออ้างฆ่าเวลาช่วงนี้ในลักษณะนี้ ก็ควรรับมือคนเช่นนี้อย่างไร?  ก่อนอื่นควรหยุดพวกเขาเอาไว้ ถ้าพวกเขายังคงไม่รับฟัง เช่นนั้นแล้วก็ควรลงมือแยกเดี่ยวและเข้มงวดกวดขัน  ถ้าพวกเขายังคงก่อกวนอยู่หลังฉาก ตีสนิททุกคนที่ทำได้และรังควานชีวิตที่ปกติของพี่น้องชายหญิงไปทั่วทุกแห่ง เช่นนั้นแล้วก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปและไม่ถือว่าเป็นพี่น้องชายหญิง  พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้ชีวิตคริสตจักรและไม่คู่ควรที่จะเข้าชุมนุม  ควรห้ามปรามและปฏิเสธผู้คนเช่นนี้  แน่นอนว่างานนี้ก็เป็นกิจสำคัญที่ผู้นำและคนทำงานทุกระดับควรทำ  เมื่อเกิดเรื่องและสถานการณ์ดังกล่าวขึ้นมา ผู้นำและคนทำงานควรเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาหยุดยั้งพวกเขา  เจ้าควรหยุดยั้งพวกเขาอย่างไร?  เจ้าควรกล่าวแก่พวกเขาว่า “คุณรู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมของคุณก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรไปแล้ว?  นี่เป็นเรื่องที่พี่น้องชายหญิงทุกคนนึกชังและเห็นว่าน่ารังเกียจ และพระเจ้าก็ทรงกล่าวโทษอีกด้วย  คุณควรเลิกพฤติกรรมนี้เสีย  ถ้าเกลี้ยกล่อมแล้วไม่ฟังและดึงดันที่จะทำตามใจตัวเอง เช่นนั้นชีวิตคริสตจักรของคุณก็จะสิ้นสุดลง หนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่คุณมีก็จะถูกริบคืน และคริสตจักรจะไม่ยอมรับคุณอีกต่อไป!”  แน่นอนว่ามีบางคนที่เนื่องจากด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริง ก็อาจจะคุยเล่นถึงเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายกับใครบางคน หรือจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างเป็นครั้งคราว และสถานการณ์ก็ไม่ได้ร้ายแรงเกินไป  นี่เป็นเรื่องที่รับได้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ภายใต้รูปการณ์ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการรบกวนทุกคนแต่อย่างใด การที่พี่น้องชายหญิงจะช่วยเหลือกันและแสดงความรักต่อกันบ้างย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับได้  แต่พวกเรากำลังสามัคคีธรรมเรื่องใด?  เรื่องที่ว่าเมื่อพฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรที่ปกติไปแล้ว ในกรณีเช่นนั้น คนที่เกี่ยวข้องควรถูกหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้  พวกเราไม่ควรปล่อยให้พวกเขาขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป  การทำเช่นนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง  บางคนแสดงพฤติกรรมที่คล้ายกันออกมา แต่สถานการณ์ไม่ได้ร้ายแรงและไม่ได้ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน เป็นเพียงปฏิสัมพันธ์ตามปกติในหมู่พี่น้องชายหญิง ช่วยเหลือกันและปรึกษาขอข้อมูลกันตามปกติ หรือไถ่ถามถึงความรู้ทั่วไปที่ตนไม่เข้าใจ  ตราบใดที่ไม่ได้ยึดเอาเวลาชุมนุมไปและตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยินยอมและเต็มใจโดยที่ไม่ได้บังคับให้อีกฝ่ายทำตาม เป็นปฏิสัมพันธ์ที่อยู่ในขอบข่ายของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เช่นนั้นแล้วก็อนุญาตให้ทำได้ คริสตจักรจะไม่ห้ามปราม  แต่มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ ถ้าวาจาและการกระทำที่ไม่รอบคอบของใครบางคนในชีวิตคริสตจักรไปรังควานหรือรบกวนพี่น้องชายหญิง และมีบางคนรู้สึกรังเกียจเรื่องนี้และแสดงการต่อต้าน เช่นนั้นแล้วผู้นำและคนทำงานก็ควรก้าวออกมาแก้ปัญหานี้  หรือถ้าผู้อื่นรายงานใครสักคนไปแล้ว โดยระบุว่าคนคนนี้ไม่สามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าในเวลาชุมนุม แต่กลับพูดพร่ำเรื่องในบ้านและสร้างเครือข่ายส่วนตัว ทำเหมือนที่ชุมนุมเป็นสถานที่ไว้สร้างเครือข่ายส่วนตัวและจัดการกิจธุระส่วนตน ร้องขอให้ผู้อื่นอำนวยประโยชน์และเบียดเบียนทุกคนที่สามารถเบียดเบียนได้ ทั้งยังกล่าวว่าคนคนนี้มีลักษณะนิสัยที่ต่ำทราม เป็นคนเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น เลวทราม และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับแสวงหาความได้เปรียบไปทุกที่ มองหาโอกาสต่างๆ ที่จะเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง เช่นนั้นแล้วคนเยี่ยงนั้นก็ควรถูกแยกออกไป

บางคนหาประโยชน์จากพี่น้องชายหญิงบางส่วนที่มั่งคั่งและมีอิทธิพล เพื่อให้ดำเนินการต่างๆ ให้แก่ตน และถ้าคำร้องขอของตนไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาก็มักจะตัดสินพี่น้องเหล่านั้นลับหลัง กล่าวอ้างว่าผู้คนเหล่านั้นไม่มีความรักและไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง และถึงกับอยากรายงานเรื่องของพี่น้องเหล่านั้น  พวกเจ้าเคยพบเจอผู้คนเช่นนี้บ้างหรือไม่?  ควรจัดการผู้คนเยี่ยงนี้เสียมิใช่หรือ?  เวลาเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ควรทำอย่างไร?  ผู้นำและคนทำงานควรก้าวเข้ามาแก้ปัญหา กระทำการตามหลักธรรม เพื่อให้แน่ใจว่าพี่น้องชายหญิงจะไม่ถูกรบกวน  การที่ใครบางคนไม่ยอมทำบางสิ่งให้พวกเขานั้นผิดหรือไม่?  การปฏิเสธที่จะช่วยพวกเขาเทียบเท่ากับการไม่ปฏิบัติความจริงหรือไม่มีความรักให้พระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  พี่น้องมีอิสระที่จะช่วยหรือไม่ช่วยใครบางคน พวกเขามีสิทธิ์เลือก  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้กำหนดว่าพี่น้องชายหญิงต้องช่วยกันแก้ไขเรื่องยุ่งยากในครอบครัวเมื่ออยู่ในชีวิตคริสตจักร  ชีวิตคริสตจักรไม่ใช่สถานที่แก้ปัญหาครอบครัว แต่เป็นที่ชุมนุมเพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเติบโตในชีวิต  บางคนนำชีวิตคริสตจักรมาใช้แก้ปัญหาของตนเอง—นี่จะสามารถนำผลเช่นใดมาให้?  ย่อมส่งผลต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและการเตรียมตนให้พร้อมรับความจริงของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมิใช่หรือ?  ปัญหาชีวิตส่วนตัวของคนเราสามารถแก้ไขร่วมกับพี่น้องชายหญิงเป็นการส่วนตัวได้  ไม่จำเป็นต้องนำมาแก้ไขในชีวิตคริสตจักร  เมื่อการจัดการกิจธุระส่วนตนเข้ามาแทรกแซงการใช้ชีวิตคริสตจักรของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทุกคนควรรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร  เมื่อผู้นำและคนทำงานพบเจอเรื่องดังกล่าว พวกเขาควรก้าวเข้ามาแก้ไข  ควรปกป้องผู้คนในคริสตจักรที่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ ปกป้องคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ เข้มงวดกวดขันคนชั่ว และป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนได้  นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  ควรมีการแยกแยะให้ชัดเจนว่าพึงปฏิบัติต่อกรณีปกติในปัญหาข้อที่สามอย่างไร สิ่งใดบ้างที่สำแดงธรรมชาติหรือรูปการณ์อันร้ายแรง คนแบบใดและการสำแดงเช่นใดที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน  เมื่อแยกแยะความร้ายแรงของรูปการณ์ให้ชัดเจนแล้ว ก็ควรจัดการตามธรรมชาติของความร้ายแรงนั้นๆ  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจ และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรตระหนักรู้อีกด้วย

IV. การสร้างพลพรรค

ข้อที่สี่ของการสำแดงถึงการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรก็คือการสร้างพลพรรค ซึ่งมีธรรมชาติที่ร้ายแรงมาก  พฤติกรรมใดบ้างที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพลพรรค?  ถ้าคนสองคนที่เชื่อในพระเจ้า เป็นผู้เชื่อมานานพอกัน มีวัย สภาพครอบครัว ความสนใจ บุคลิกภาพ และอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน และพวกเขาก็ไปด้วยกันได้ดี มักจะนั่งชุมนุมด้วยกัน และเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน นี่นับเป็นการสร้างพลพรรคหรือไม่?  (ไม่)  นี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปของการมีปฏิสัมพันธ์ที่ปกติระหว่างบุคคล ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการรบกวนผู้อื่น ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการสร้างพลพรรค  แล้วการสร้างพลพรรคที่เอ่ยถึงในที่นี้หมายถึงสิ่งใด?  ตัวอย่างเช่น ในบรรดาพี่น้องชายหญิงห้าคนที่ชุมนุมอยู่ด้วยกัน สามคนทำงานในตัวเมืองและอีกสองคนเป็นเกษตรกรในชนบท  สามคนที่ทำงานในเมืองมักจะเกาะกลุ่มกัน คุยกันว่าชีวิตในเมืองดีกว่าและชีวิตในชนบทแย่กว่าอย่างไรบ้าง ผู้คนในชนบทไม่มีการศึกษา ไม่มีโลกทัศน์กว้างขวาง และไร้มารยาท  พวกเขาดูแคลนคนชนบท พูดจาเหยียดคนชนบทสองคนนั้นเสมอ ซึ่งหลังจากนั้นทั้งสองก็รู้สึกขุ่นเคืองและอยากจะคัดค้านพวกเขาว่าคนเมืองก็จุกจิกและคำนวณรายละเอียดทุกอย่าง ส่วนคนชนบทนั้นมีน้ำใจ  ในการชุมนุมก็ดูเหมือนพวกเขาไม่เคยลงรอยกันเลย มักจะเกิดข้อพิพาทและเรื่องโต้เถียงที่ไม่จำเป็น  ห้าคนนี้มีความกลมเกลียวไปด้วยกันได้หรือไม่?  พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาเข้ากันได้หรือไม่?  (ไม่)  เมื่อคนเมืองพูดอยู่เสมอว่า “พวกเราคนเมือง” และคนชนบทก็พูดอยู่เสมอว่า “พวกเราคนชนบท” พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่?  (สร้างพลพรรค)  นี่คือปัญหาข้อที่สี่ที่พวกเรากำลังจะสามัคคีธรรมกัน ซึ่งก็คือการสร้างพลพรรค  พฤติกรรมที่เอาแต่สมัครพรรคพวกนี้หมายถึงการตั้งกลุ่มและสร้างฝักฝ่ายขึ้นมา  การตั้งกลุ่ม แบ่งฝ่าย และสร้างสมัครพรรคพวกแบบอื่นโดยแบ่งตามภูมิภาค สภาพเศรษฐกิจ และชนชั้นทางสังคม รวมทั้งมุมมองที่ต่างกัน ก่อให้เกิดการสร้างพลพรรค  ไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำของพลพรรคเหล่านี้ภายในคริสตจักร การตั้งกลุ่มและฝักฝ่ายต่างๆ การสร้างกลุ่มที่เข้ากันไม่ได้ขึ้นมา ล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างพลพรรคทั้งสิ้น  ในที่บางแห่ง ครอบครัวใหญ่ทั้งตระกูลเชื่อในพระเจ้า และในที่ชุมนุม นอกจากผู้คนสักสองคนที่ใช้ชื่อสกุลต่างออกไปแล้ว ที่เหลือก็เป็นคนสกุลเดียวกันหมด  และแล้วครอบครัวนี้จึงตั้งกลุ่มหรือฝักฝ่าย ทำให้คนสกุลอื่นสองคนนั้นกลายเป็นคนนอก  ไม่ว่าใครในครอบครัวนี้จะเผชิญปัญหาหรือถูกตัดแต่ง ถ้าคนคนหนึ่งแสดงความขุ่นข้องหมองใจ ที่เหลือก็จะร่วมสะท้อนความรู้สึกนั้นๆ ด้วย  ถ้าใครกระทำการขัดหลักธรรม คนที่เหลือก็จะกลบเกลื่อนและปกปิดการกระทำให้พวกเขา ห้ามใครเปิดโปงการกระทำเหล่านั้น การเอ่ยเรื่องนั้นขึ้นมาแม้แต่น้อยก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เรื่องการตัดแต่งจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  เจ้าสามารถแยกแยะออกหรือไม่?  เมื่อสมาชิกครอบครัวนี้รวมตัวกัน ก็เหมือนพวกเขาทุกคนร้องเพลงเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง ดูว่าลมพัดไปทางไหนและคอยฟังสัญญาณก่อนที่จะพูด  ถ้าหัวหน้ากลุ่มเลือกจุดยืนใดจุดยืนหนึ่ง ทุกคนก็จะทำตาม และผู้อื่นย่อมไม่กล้าตอแยพวกเขาหรือส่งเสียงคัดค้าน  การเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ในชีวิตคริสตจักรก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนระเบียบปกติในคริสตจักรมิใช่หรือ?  เวลาชุมนุม ผู้คนกลุ่มนี้ก็คอยบอกบทว่าจะกินและดื่มข้อความใดในพระวจนะของพระเจ้า และทุกคนก็ต้องฟัง แม้กระทั่งผู้นำคริสตจักรก็ต้องรักษาหน้าให้พวกเขาและไม่สามารถท้วงติง  พวกเขาป่าวประกาศว่าใครควรได้รับเลือกให้เป็นผู้นำและคนทำงานบ้าง และผู้นำคริสตจักรก็ต้องคำนึงถึงความคิดเห็นของพวกเขาว่าสำคัญที่สุด ต้องไม่ดูเบา  ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็มองหา “ผู้มีความสามารถ” อย่างต่อเนื่อง ดึงคนที่จะฟังพวกเขา คนที่พวกเขาสามารถไว้ใจได้ และคนที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเข้ากลุ่มเพื่อใช้สอยตามจุดประสงค์ของกลุ่ม ขยายอิทธิพลของตนไม่หยุด  พลพรรคเช่นนี้มุ่งหมายที่จะควบคุมชีวิตคริสตจักร หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาอยากควบคุมคริสตจักร  กลุ่มนี้มีอำนาจมาก พวกเขารวมตัวกันเพื่อกระทำการภายในคริสตจักร  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักร พวกเขาก็อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง  ผู้อื่นต้องคอยอ่านสีหน้าของพวกเขาก่อนจึงจะพูดจาหรือจัดการอะไรสักอย่าง ถึงขนาดที่เนื้อหาสำหรับกินและดื่มในการชุมนุมแต่ละครั้งก็ต้องยึดตามการจัดแจงและความต้องการของพวกเขา  ต่อให้ผู้นำคริสตจักรอยากทำบางสิ่ง ก็ต้องปรึกษาขอความคิดเห็นและรับฟังแนวคิดของพวกเขาก่อน  พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ก็ถูกพวกเขาควบคุม และเรื่องต่างๆ มากมายในงานของคริสตจักรก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาเช่นกัน  ผู้คนที่สร้างพลพรรคเหล่านี้ขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักรอย่างร้ายแรง  ปัญหานี้ร้ายแรงหรือไม่?  ควรควบคุมการกระทำเหล่านี้หรือไม่?  ควรจัดการแก้ไขหรือไม่?  หัวหน้ากลุ่มของพลพรรคเหล่านี้ควรได้รับการห้ามปรามและเอาตัวออกไปหรือไล่ออก ส่วนคนเลอะเลือนที่เดินตามอย่างมืดบอดก็ควรสามัคคีธรรมให้ฟังและให้ความช่วยเหลือก่อน  ถ้าพวกเขาไม่กลับใจหรือกลับตัว เช่นนั้นแล้วก็ต้องเข้มงวดกวดขัน  จงอย่าไว้ไมตรีให้คนเหล่านี้!

สิ่งใดก่อให้เกิดการสร้างพลพรรค—เรื่องนี้เข้าใจง่ายหรือไม่?  ถ้าคนคนหนึ่งหยิบยกปัญหาขึ้นมา แล้วอีกหลายคนส่งเสียงตามความคิดเห็นของคนคนนั้น นั่นนับเป็นการสร้างพลพรรคหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าพี่น้องชายหญิงบางคนที่ค่อนข้างมีภาระและสำนึกอันเที่ยงธรรมมากกว่า เรียกให้ผู้อื่นมาร่วมทำงานสำคัญกับตนให้แล้วเสร็จ หรือถ้าพวกเขานำทุกคนสามัคคีธรรมโดยมีจุดประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์ผลต่างๆ ในการชุมนุม และสามารถเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในเรื่องที่มีนัยสำคัญได้ และทุกคนก็สามัคคีธรรมและอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าตามแนวคิดของพวกเขา นี่นับเป็นการสร้างพลพรรคหรือไม่?  (ไม่)  ในคริสตจักร ผู้คนกลุ่มใดมีแนวโน้มที่จะสร้างพลพรรค?  พฤติกรรมเช่นใดก่อให้เกิดการสร้างพลพรรค?  (ผู้คนหลายคนปกปิดให้กันและตามใจกัน หรืออิจฉาและบาดหมางกัน ซึ่งล้วนขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร—นี่คือการสร้างพลพรรค)  นี่คือแง่หนึ่ง  ประเด็นสำคัญในที่นี้คืออะไร?  การปกปิดให้กันและตามใจกันนำไปสู่การขัดขวางและก่อกวน การรู้ว่าการทำบางสิ่งนั้นผิดและไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง แต่ก็ยังจงใจปิดบัง ใช้ตรรกะวิบัติมาโต้แย้ง และไม่พูดเรื่องจริง เลือกที่จะทำให้งานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายเพียงเพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของใครบางคน ช่วยปกปิดให้คนทำชั่วที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน โดยยอมทรยศผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า—นี่คือการสร้างพลพรรค  สถานการณ์อีกแบบหนึ่งเกี่ยวข้องกับการยุยงส่งเสริมและชักจูงให้ผู้คนร่วมกันต่อต้านการจัดเตรียมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  นี่มีธรรมชาติที่ร้ายแรง เป็นรูปแบบหนึ่งของการขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรเช่นกัน  การสร้างพลพรรคมีจุดประสงค์หลักเป็นสิ่งใด?  เป็นการควบคุมคริสตจักรและควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร

ยังมีการสร้างพลพรรคอีกแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้คนที่พูดจาน่าฟังเพื่อเอาชนะใจคนประเภทต่างๆ  ดูภายนอกก็เหมือนว่าทุกคนในกลุ่มจำพวกนี้สามารถพูดจาอย่างเป็นอิสระและแสดงความคิดเห็นของตนได้  อย่างไรก็ดี เมื่อดูผลในท้ายที่สุด เจ้าก็สามารถมองเห็นว่าแท้จริงแล้วพวกเขากำลังเดินตามคำชี้นำของคนคนหนึ่ง—คนคนนั้นคือกังหันชี้ทิศทางลมของพวกเขา  แล้วคนคนนั้นดึงผู้อื่นมาเข้าพวกได้อย่างไร?  พวกเขาดูว่าตนจะสามารถดึงใครมาเป็นพวกได้บ้างและใครบ้างที่ดึงง่าย พวกเขาจะเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนเหล่านั้น เสนอความช่วยเหลืออันเปี่ยมรักให้บ้าง  จากนั้นก็หาข้อมูลเกี่ยวกับคนเหล่านั้น ค้นหาว่าพวกเขาชอบสิ่งใด ชอบพูดอย่างไร มีบุคลิกเช่นไร และทำอะไรเป็นงานอดิเรก  พร้อมกันนั้นก็มักจะเห็นด้วยกับคนเหล่านั้นในการสนทนาเพื่อเอาชนะใจพวกเขา และในที่สุดก็ค่อยๆ “ขยับ” คนเหล่านั้นทีละนิดให้เข้ามาเป็นพลพรรคและร่วมกลุ่มของพวกตนโดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัว  กล่าวโดยทั่วไปแล้ว การพูดจาน่าฟังเพื่อเอาชนะใจผู้คนเป็นวิธีการที่นุ่มนวลมาก เต็มไปด้วย “ความอบอุ่นของมนุษย์” และมีประสิทธิผลอย่างยิ่ง  ตัวอย่างเช่น ถ้าใครบางคนแสดงความรักแก่อีกคนเป็นประจำ เห็นด้วยเวลาสนทนา แสดงความเข้าอกเข้าใจและยอมผ่อนปรนให้ อีกฝ่ายย่อมจะเกิดความประทับใจซึ่งเป็นผลดีต่อใครคนนั้นและพาตัวเข้าไปใกล้พวกเขาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็จะถูกดึงเข้าไปเป็นกำลังคนของพวกเขา  ในสถานการณ์เช่นใดที่กลุ่มและฝักฝ่ายดังกล่าวเริ่มส่งผล?  ทันทีที่หนึ่งในผู้ติดตามเดนตายของพวกเขาถูกเปิดโปง รู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีใครหรืออะไรนอกกลุ่มของตนมาวุ่นวายหรือทำให้ผลประโยชน์ สถานะ หรือความมีหน้ามีตาของตนเสียหาย คนชนิดนี้ก็จะลุกขึ้นมาพูดแทนพวกเขา ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์และสิทธิ์ของพวกเขา—นี่คือการสร้างพลพรรคของพวกเขา  การสร้างพลพรรคที่เห็นได้ชัดมีอยู่สองอย่างคือการปกปิดให้ผู้คนและตามใจพวกเขา และการรวมตัวต่อต้าน  อย่างไรก็ดี การสร้างพลพรรคด้วยการพูดจาน่าฟังดูไม่เป็นการบังคับเท่าสองแบบที่กล่าวมา และปกติแล้วสมาชิกของพลพรรคดังกล่าวในคริสตจักรก็มักจะไม่เป็นที่สังเกตเห็น  แต่เมื่อถึงเวลาที่ผู้คนจะตัดสินใจเลือกและมีจุดยืนที่ชัดเจน ก็จะเริ่มมองเห็นฝักฝ่ายดังกล่าวได้อย่างชัดเจน  ตัวอย่างเช่น ถ้าหัวโจกฝ่ายหนึ่งกล่าวว่าผู้นำคริสตจักรแห่งหนึ่งมีขีดความสามารถ ผู้ติดตามของพวกเขาก็จะยกตัวอย่างมากมายขึ้นมาทันทีว่าผู้นำคนนั้นแสดงขีดความสามารถนี้ออกมาอย่างไรบ้าง  ถ้าหัวโจกฝ่ายนั้นกล่าวว่าผู้นำคริสตจักรไม่มีความสามารถในการทำงาน มีขีดความสามารถอ่อนด้อย และมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี สมาชิกที่เหลือก็จะพูดตาม บอกว่าผู้นำคริสตจักรคนนั้นไร้ความสามารถอย่างไรบ้าง ไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร กล่าววาจาและคำสอนอย่างไรบ้าง แล้วพวกเขาก็จะพูดว่าทุกคนควรเลือกคนที่เหมาะสมแทน  นี่คือพลพรรคที่ไม่ปรากฏชนิดหนึ่ง  แม้พวกเขาจะไม่ได้ออกมายึดอำนาจและควบคุมผู้คนในคริสตจักรอย่างเปิดเผย แต่ก็มีกำลังบังคับที่มองไม่เห็นอยู่ในกลุ่มและฝักฝ่ายดังกล่าวซึ่งควบคุมชีวิตคริสตจักรและระเบียบของคริสตจักร  นี่คือการสร้างพลพรรครูปแบบหนึ่งที่ยิ่งน่ากลัวและซ่อนเร้น  นอกจากสถานการณ์ทั้งสองที่แยกแยะได้ง่ายของการสร้างพลพรรคซึ่งเอ่ยไปก่อนหน้านี้และเป็นปัญหาที่ผู้นำคริสตจักรควรแก้ไขแล้ว การสร้างพลพรรคในรูปแบบที่ซ่อนเร้นนี้ก็เป็นปัญหาที่ผู้นำคริสตจักรควรที่จะแก้ไขและเอาใจใส่ดูแลให้มากขึ้นอีก  พวกเขาควรดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร?  พวกเขาต้องพูดกับหัวโจกของกลุ่มจำพวกนี้ผ่านทางการสามัคคีธรรมโดยตรง  เหตุใดจึงมุ่งเน้นการสามัคคีธรรมกับหัวหน้ากลุ่มคนนี้เป็นอันดับแรก?  ดูภายนอกก็เหมือนว่าสมาชิกของพลพรรคดังกล่าวไม่ได้ถูกใครควบคุม แต่อันที่จริงพวกเขาทุกคนรู้อยู่ลึกๆ ว่าตนเชื่อฟังใคร และอยากเชื่อฟังคนคนนั้น  เพราะฉะนั้นจึงควรจัดการและพูดจากับคนที่พวกเขาหลงใหลได้ปลื้มและเป็นคนที่ควบคุมพวกเขาอยู่ และควรสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาเพื่อให้พวกเขาเข้าใจธรรมชาติในการกระทำของตน  แม้หัวหน้ากลุ่มจะไม่ต่อต้านพระนิเวศของพระเจ้าหรือส่งเสียงประท้วงผู้นำอย่างเปิดเผย แต่พวกเขาก็ควบคุมสิทธิ์ที่จะพูดของผู้คนเหล่านี้ ควบคุมความคิด มุมมอง และเส้นทางที่คนเหล่านี้เดินอยู่  พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ที่ซ่อนเร้น  คนแบบนี้ต้องมีการระบุตัวออกมา จากนั้นก็ใช้วิจารณญาณดูและชำแหละ  ถ้าพวกเขาไม่กลับใจ ก็ควรกวดขันและแยกเดี่ยว  จากนั้นก็ควรลงมือสืบเสาะดูว่าสมาชิกแต่ละคนของพวกเขามีใครเป็นคนประเภทเดียวกันบ้าง  ก่อนอื่นจงแยกคนเหล่านี้ออกมา แล้วสามัคคีธรรมกับพวกคนเลอะเลือนที่ขลาด กลัว และหลงผิดไปแล้ว  ถ้าพวกเขาสามารถกลับใจและเลิกติดตามศัตรูของพระคริสต์ได้ พวกเขาก็อาจอยู่ในคริสตจักรต่อไป ถ้าทำไม่ได้ พวกเขาก็ควรถูกแยกเดี่ยว  นี่เป็นแนวทางที่เหมาะควรหรือไม่?  (เป็น)  มีปรากฏการณ์เช่นนี้ในคริสตจักรบ้างหรือไม่?  ปัญหาจำพวกนี้ควรแก้ไขหรือไม่?  (ควร)  เหตุใดจึงควรแก้ไข?  นับตั้งแต่พระนิเวศของพระเจ้าเริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ก็มีกองกำลังแห่งศัตรูของพระคริสต์อยู่ในชีวิตคริสตจักรทุกหนแห่ง และประชากรมากมายที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ได้รับผลกระทบ ถูกกองกำลังเหล่านี้บีบคั้นหรือควบคุมในระดับที่แตกต่างกันไป  เมื่อใดก็ตามที่ประชากรเหล่านี้พูดจาหรือกระทำการ พวกเขาไม่ได้อยู่ในสภาวะที่เป็นอิสระและเสรี แต่กลับถูกความคิดและมุมมองของคนบางคนคอยโยกคลอน ครอบงำ ควบคุม และกักขังเอาไว้  ประชากรเหล่านี้รู้สึกว่าถูกบีบให้พูดและกระทำการในหนทางบางอย่าง ถ้าพวกเขาไม่ทำ ก็จะวิตกกังวลและกลัวการแบกรับผลสืบเนื่องที่จะเกิดขึ้น  นี่รบกวนและส่งผลต่อชีวิตคริสตจักรไปแล้วมิใช่หรือ?  นี่สำแดงถึงชีวิตคริสตจักรที่ปกติหรือไม่?  (ไม่)  ชีวิตคริสตจักรแบบนี้ไม่ใช่ระเบียบปกติ แต่ถูกคนชั่วควบคุมเอาไว้  ตราบใดที่คนชั่วกุมอำนาจในคริสตจักร สิ่งที่เป็นใหญ่ในที่นั้นย่อมไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง  ผู้นำ คนทำงาน และพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงก็จะถูกกดขี่  คริสตจักรแบบนั้นคือคริสตจักรที่ถูกกองกำลังแห่งศัตรูของพระคริสต์ควบคุม  นี่เป็นปัญหาและ ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่พระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรถูกขัดขวางและก่อกวน ซึ่งผู้นำและคนทำงานควรจัดการและแก้ไข  บางคนที่อยู่ในกลุ่มศัตรูของพระคริสต์ กลัวที่จะเสียความไว้วางใจของกลุ่ม เสียคนหนุนหลัง เสียเพื่อน ไม่มีแรงสนับสนุนในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ และอื่นๆ  ดังนั้น พวกเขาจึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคงอยู่ในกลุ่ม  นี่เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงมิใช่หรือ?  ควรได้รับการแก้ไขมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ในคริสตจักร ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกได้หรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่ดูออกหรือไม่?  บางคนก็ถูกใครบางคนควบคุมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ต้องทำตามความคิดและมุมมอง ถ้อยแถลงและการกระทำ รวมทั้งคำสอนของคนคนนั้นเสมอ กลัวที่จะพูดว่า “ไม่” กลัวที่จะขัดแย้งกับคนคนนั้น ถึงกับต้องพยักหน้าเห็นด้วยและยิ้มให้อย่างไร้ความจริงใจเมื่อคนคนนั้นพูดจา เพราะกลัวว่าจะล่วงเกินฝ่ายนั้น  มีสถานการณ์เช่นนี้หรือไม่?  ปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขในที่นี้คืออะไร?  ผู้นำคริสตจักรควรพูดคุยและจัดการหัวหน้ากลุ่มที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ซึ่งสามารถควบคุมและชักนำผู้อื่นให้หลงผิดได้  ก่อนอื่นพวกเขาควรสามัคคีธรรมความจริงเพื่อทำให้ผู้คนส่วนใหญ่สามารถมีวิจารณญาณในตัวศัตรูของพระคริสต์คนนี้ จากนั้นก็เข้มงวดกวดขันกับตัวศัตรูของพระคริสต์เอง  ถ้าศัตรูของพระคริสต์ไม่กลับใจ พวกเขาก็ควรเอาตัวออกไปทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายรบกวนระเบียบปกติของคริสตจักรต่อไป

สรุปว่าในชีวิตคริสตจักรที่ปกติ พี่น้องชายหญิงควรที่จะสามารถสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาตระหนักรู้ในเชิงลึก ความเข้าใจ ประสบการณ์ และความยากเย็นต่างๆ ได้อย่างอิสระโดยไม่ถูกควบคุมเอาไว้  แน่นอนว่าพวกเขาควรมีสิทธิ์ที่จะเสนอแนะ วิพากษ์วิจารณ์ และเปิดโปงการกระทำของผู้นำและคนทำงานที่ละเมิดหลักธรรมด้วย และมีสิทธิ์ที่จะให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำเช่นกัน  ทั้งหมดนี้ควรเป็นไปอย่างอิสระ และแง่มุมทั้งหมดนี้ก็ควรเป็นไปตามปกติ ไม่ควรถูกใครคนใดควบคุม พาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรถูกบีบคั้น—นั่นย่อมจะไม่ใช่ชีวิตคริสตจักรที่ปกติ  พระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนด กฎเกณฑ์ และหลักธรรมว่าพี่น้องชายหญิงควรพูด ทำ และประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ควรสร้างสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคลในชีวิตคริสตจักรอย่างไร และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีใครคนใดเป็นผู้กำหนด  เมื่อพี่น้องชายหญิงกระทำการบางอย่าง พวกเขาไม่จำเป็นต้องตรวจดูสีหน้าของใคร ไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของใครหรือถูกใครตีกรอบเอาไว้  ไม่ควรมีใครทำตัวเป็นกังหันกำหนดทิศทางลมหรือเป็นนายท้าย สิ่งเดียวที่สามารถให้ทิศทางได้ก็คือพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง  เพราะฉะนั้น สิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องยึดปฏิบัติตามก็คือพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และหลักธรรมของการสามัคคีธรรมความจริงในที่ชุมนุม  ถ้าเจ้าถูกอีกคนหนึ่งตีกรอบอยู่เสมอ คอยรับสัญญาณจากพวกเขาเสมอ และไม่กล้าพูดต่อเวลาเห็นสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์หรือใบหน้าที่ขมวดคิ้วของพวกเขา ถ้าเจ้าถูกคนคนนั้นควบคุมอยู่ตลอดเวลาระหว่างที่เจ้าสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและความเข้าใจที่เจ้าได้จากประสบการณ์ส่วนตัว รู้สึกว่าถูกตีกรอบอยู่เสมอ ไม่สามารถกระทำการตามหลักธรรมความจริงได้ และถ้าคำพูด แววตา สีหน้า น้ำเสียง และการคุกคามที่แฝงอยู่ในวาจาของพวกเขาพันธนาการเจ้าเอาไว้อย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังถูกพลพรรคที่นำโดยคนคนนี้ควบคุมเอาไว้  นี่ทำให้เดือดร้อน นี่ไม่ใช่ชีวิตคริสตจักร แต่เป็นชีวิตในพลพรรคหนึ่งๆ ที่มีศัตรูของพระคริสต์คอยกำกับ  เมื่อเป็นปัญหาจำพวกนี้ ผู้นำและคนทำงานควรก้าวออกมาแก้ไข และพี่น้องชายหญิงก็มีภาระผูกพันและสิทธิ์ที่จะปกป้องระเบียบปกติของคริสตจักรเอาไว้เช่นกัน  คนที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สร้างพลพรรคและอยากควบคุมคริสตจักร ควรถูกหยุดยั้ง เปิดโปง และชำแหละ อันเป็นการทำให้ทุกคนสามารถเกิดวิจารณญาณและรู้ทันแก่นแท้ของปัญหา ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการพยายามสถาปนาอาณาจักรเอกเทศ  คริสตจักรไม่อนุญาตให้มีการสร้างพลพรรคและแบ่งแยกคริสตจักรออกจากกันไม่ว่าจะด้วยเหตุใด  ยกตัวอย่างการแบ่งออกเป็นกลุ่มตามอัตลักษณ์และสถานะทางสังคม ย่านที่อยู่ ภูมิภาค หรือนิกายทางศาสนา หรือแบ่งออกเป็นกลุ่มตามระดับการศึกษา ความมั่งคั่ง เชื้อชาติและสีผิว และอื่นๆ—ทั้งหมดนี้ขัดกับหลักธรรมความจริงและไม่ควรเกิดขึ้นในคริสตจักร  ไม่ว่าจะใช้ข้ออ้างอันใดในการแบ่งแยกผู้คนออกเป็นชนชั้น ลำดับชั้น ฝักฝ่าย และพลพรรค ก็ย่อมจะขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรและระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร นี่เป็นปัญหาที่ผู้นำและคนทำงานควรแก้ไขทันที  สรุปแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะแบ่งแยกเป็นกลุ่ม พลพรรค หรือฝักฝ่ายด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้าพวกเขารวบรวมกำลังคนไว้จำนวนหนึ่ง รวมตัวกันก่อกวนงานของคริสตจักรและระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้  ถ้าไม่อาจชักจูงให้สมาชิกของพลพรรคดังกล่าวเลิกราได้ ก็สามารถแยกและเอาตัวคนชั่วเหล่านี้ออกไป  การจัดการปัญหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของงานและความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติเช่นกัน  ดังนั้น สิ่งที่ต้องเข้าใจเอาไว้ในที่นี้คืออะไร?  ก็คือเมื่อบางคนจัดตั้งกำลังคนขึ้นมาในคริสตจักร สามารถต่อต้านและขับเคี่ยวกับผู้นำคริสตจักร งานของคริสตจักร และพระวจนะของพระเจ้า สามารถก่อกวนและสร้างความเสียหายให้กับระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร ก็ควรควบคุมและจัดการพฤติกรรม สิ่งที่พวกเขาสำแดง และสถานการณ์ดังกล่าวทันที  เมื่อเป็นเรื่องของการสร้างพลพรรค จำนวนคนที่เกี่ยวข้องย่อมไม่มีความแตกต่าง  ถ้าคนสองคนไปด้วยกันได้ดีและไม่ก่อให้เกิดการรบกวนคริสตจักรแต่อย่างใด ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซง  อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขาเริ่มก่อให้เกิดการรบกวนและจัดตั้งกำลังคนเพื่อควบคุมคริสตจักร ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมผู้คนเหล่านี้เอาไว้  ถ้าพวกเขาไม่กลับใจ ก็ควรไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปทันที  นี่คือหลักธรรม

22 พฤษภาคม ค.ศ. 2021

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (1)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger