หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (14)
พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานกันมานานเท่าใดแล้ว? (สี่เดือนครึ่ง) หลังจากที่สามัคคีธรรมเรื่องนี้มานานขนาดนี้แล้ว คราวนี้พวกเจ้าก็มีความเข้าใจที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับงานจำเพาะที่ผู้นำและคนทำงานควรทำกันแล้วใช่หรือไม่? (ใช่ พวกเรามีความเข้าใจที่ค่อนข้างชัดเจนขึ้นในเรื่องนี้) ควรชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อน สามัคคีธรรมของเรานั้นเจาะจงและชัดเจนเสียจนถ้าใครยังคงไม่เข้าใจ ก็ย่อมจะหมายความว่าพวกเขามีปัญหาด้านสติปัญญาแล้ว ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) พอมองเรื่องนี้ในตอนนี้ พวกเจ้าคิดว่าง่ายหรือไม่ที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่ดี? (ไม่ง่าย) จำเป็นต้องมีคุณสมบัติเช่นใดบ้าง? (ต้องมีขีดความสามารถและความเป็นมนุษย์ที่จำเป็นสำหรับผู้นำและคนทำงาน รวมทั้งความเป็นจริงความจริงและสำนึกรับผิดชอบ) อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีมโนธรรม เหตุผล และความจงรักภักดี รองจากนั้นจึงเป็นขีดความสามารถและฝีมือในการทำงาน เมื่อคนคนหนึ่งมีคุณสมบัติทั้งหมดนี้ พวกเขาย่อมจะสามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่ดีและลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้
ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่สอง)
ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องความรับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานคือ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น” ในความรับผิดชอบข้อนี้ อันดับแรกพวกเราสามัคคีธรรมกันในเบื้องต้นว่าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งใดบ้างที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักร ถ้าผู้นำและคนทำงานอยากหยุดยั้งและควบคุมผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนภายในคริสตจักร และอยากปฏิบัติงานนี้ให้ดี พวกเขาก็ต้องรู้และขบคิดให้ออกเสียก่อนว่าผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งใดบ้างที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักร หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องนำไปเทียบกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรตามที่เป็นจริง จากนั้นจึงดำเนินการต่างๆ เช่น หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ นี่คือข้อกำหนดที่มีต่อผู้นำและคนทำงาน ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมถึงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรกันไปบ้างแล้ว โดยเริ่มจากสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตคริสตจักร พวกเรายังจำแนกผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในชีวิตคริสตจักรที่มีธรรมชาติซึ่งก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนอยู่ในตัว รวมแล้วมีปัญหาอยู่กี่ข้อ? (สิบเอ็ดข้อ ข้อแรก มักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง ข้อสอง กล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยอมรับนับถือตน ข้อสาม พูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตน ข้อสี่ สร้างพลพรรค ข้อห้า แก่งแย่งสถานะ ข้อหก สร้างความร้าวฉาน ข้อเจ็ด เล่นงานและระรานผู้คน ข้อแปด แพร่มโนคติอันหลงผิด ข้อเก้า ระบายความคิดลบ ข้อสิบ แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล และข้อสิบเอ็ด ละเมิดหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือก) ปัญหาข้อหก สร้างความร้าวฉาน มีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนอยู่ในตัว แต่เทียบกับการทำชั่วที่เหลือแล้ว นี่เป็นปัญหาเล็กๆ เปลี่ยนข้อนี้เป็น “มีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร” เถิด ธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงกว่าการสร้างความร้าวฉาน ส่วนปัญหาข้อที่เจ็ด การเล่นงานและระรานผู้คนนั้น เปลี่ยนเป็น “ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน”—นี่มีธรรมชาติที่ร้ายแรงกว่า เจาะจงและเหมาะสมกว่ามิใช่หรือ? (ใช่) การเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันเป็นปัญหาชนิดที่เกิดขึ้นทั่วไปในชีวิตคริสตจักรซึ่งสัมพันธ์กับการขัดขวางและก่อกวน การปรับแก้ปัญหาสองข้อนี้แบบนี้ย่อมทำให้ประเด็นปัญหามีความเหมาะสมและใกล้เคียงกับปัญหาที่เกิดในชีวิตคริสตจักรมากขึ้น ปัญหาข้อที่สิบเอ็ด การละเมิดหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกนั้น เปลี่ยนเป็น “ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก” นี่เปลี่ยนแปลงเฉพาะการใช้คำเท่านั้น ธรรมชาติของปัญหาข้อนี้ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ปรับระดับให้เข้มข้น—คราวนี้ก็ย่อมสัมพันธ์กับธรรมชาติของการก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนมากขึ้น
ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร
V. แก่งแย่งสถานะ
คราวที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงปัญหาข้อที่สี่ การสร้างพลพรรค คราวนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อถึงปัญหาข้อที่ห้า แก่งแย่งสถานะ เรื่องการแข่งขันเพื่อสถานะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในชีวิตคริสตจักร และเป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปกติ สภาวะ พฤติกรรม และลักษณะเช่นไรที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกันเพื่อสถานะ? ลักษณะเช่นใดของการแข่งขันกันเพื่อสถานะที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเรื่องการขัดขวางและการก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามปกติของคริสตจักร? ไม่ว่าพวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหัวข้อหรือหมวดหมู่ใด ก็ต้องสอดคล้องกับสิ่งที่กล่าวไว้ในข้อสิบสองเรื่อง “ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามปกติของคริสตจักร” ต้องถึงขั้นขัดขวางและก่อกวน และต้องสอดคล้องกับธรรมชาติแบบนี้จึงจะควรแก่การสามัคคีธรรมและชำแหละ ลักษณะเช่นใดของการแข่งขันเพื่อสถานะที่มีธรรมชาติเกี่ยวข้องกับการขัดขวางและก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า? ที่พบมากที่สุดคือการแข่งขันกับบรรดาผู้นำคริสตจักรเพื่อให้ได้สถานะของพวกเขา ซึ่งโดยมากแล้วสำแดงออกมาเป็นการเอาข้อเสียและข้อผิดพลาดของผู้นำทั้งหลายมาใส่ร้ายและกล่าวโทษพวกเขา เจตนาเปิดโปงความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา รวมทั้งความล้มเหลวและข้อบกพร่องในความเป็นมนุษย์และขีดความสามารถของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นความเบี่ยงเบนและความผิดพลาดที่พวกเขาทำไว้ในงานของตนหรือเมื่อจัดการผู้คน นี่คือการสำแดงถึงการแข่งขันกับบรรดาผู้นำคริสตจักรเพื่อสถานะ ซึ่งพบเห็นกันมากที่สุดและโจ่งแจ้งที่สุด นอกจากนี้ ไม่ว่าผู้นำคริสตจักรจะทำงานของตนดีเพียงใด ไม่ว่าผู้นำจะทำตามหลักธรรมหรือไม่ หรือความเป็นมนุษย์ของผู้นำจะมีปัญหาหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ พวกเขาไม่เชื่อฟังผู้นำคริสตจักรโดยแท้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่เชื่อฟังผู้นำคริสตจักร? เพราะพวกเขาอยากเป็นผู้นำคริสตจักรเช่นกัน นี่คือความทะเยอทะยานของพวกเขา ความอยากได้อยากมีของพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ว่าผู้นำคริสตจักรจะทำงานหรือจัดการปัญหาอย่างไร พวกเขาก็เอาข้อเสียของผู้นำมาตัดสินและกล่าวโทษผู้นำเหล่านั้นอยู่เสมอ และถึงกับทำให้เรื่องลุกลามบานปลาย บิดเบือนข้อเท็จจริง และพูดเกินจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พวกเขาไม่ใช้มาตรฐานที่พระนิเวศของพระเจ้าพึงประสงค์จากบรรดาผู้นำและคนทำงานมาประเมินวัดว่าสิ่งที่ผู้นำคนนี้ทำเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่ ผู้นำคนนี้ใช่คนที่ถูกต้องหรือไม่ เป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ มีมโนธรรมและสำนึกหรือไม่ พวกเขาไม่ตัดสินตามหลักธรรมเหล่านี้ แต่กลับตัดสินตามเจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายของตนเอง จู้จี้จุกจิกตลอดเวลา หาเรื่องตำหนิผู้นำหรือคนทำงาน แพร่ข้อมูลลับหลังเกี่ยวกับสิ่งที่คนเหล่านี้ทำแล้วไม่สอดคล้องกับความจริง หรือหยิบยกข้อบกพร่องของพวกเขาขึ้นมา ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะพูดว่า “ครั้งหนึ่งผู้นำคนนั้นๆ ทำความผิดนี้และถูกเบื้องบนตัดแต่ง ซึ่งไม่มีพวกเธอคนใดรู้เรื่อง—พวกเขาเก่งในการเล่นละครถึงเพียงนั้น” พวกเขาไม่สนใจและไม่มองว่าผู้นำหรือคนทำงานคนนี้กำลังได้รับการฝึกฝนจากพระนิเวศของพระเจ้าอยู่หรือไม่ เป็นผู้นำหรือคนทำงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ แต่กลับเอาแต่ตัดสินคนเหล่านี้ บิดเบือนข้อเท็จจริง และวางอุบายเล่นงานผู้นำหรือคนทำงานลับหลังต่อไป แล้วพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อจุดหมายใด? นั่นเป็นเพราะพวกเขากำลังแข่งขันเพื่อสถานะมิใช่หรือ? มีจุดมุ่งหมายในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำ พวกเขาไม่ได้คิดถึงงานของคริสตจักร และการประเมินบรรดาผู้นำกับคนทำงานของพวกเขาก็ไม่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง และยิ่งไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือหลักธรรมซึ่งพระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ แต่เป็นไปตามเจตนาและจุดมุ่งหมายของพวกเขาเอง พวกเขาโต้แย้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้นำหรือคนทำงานพูดด้วย “ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก” ของพวกเขาเอง ไม่ว่าสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานกล่าวนั้นจะตรงตามความจริงมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่ยอมรับแม้แต่น้อย พวกเขาบอกปัดอะไรก็ตามที่เจ้าพูดด้วยความเห็นที่แตกต่างออกไปของพวกเขาเอง พวกเขายินดีเป็นพิเศษเมื่อผู้นำหรือคนทำงานเปิดกว้างและตีแผ่ตัวเอง และพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง กล่าวคือ พวกเขาคิดว่าพวกเขาสบโอกาสของพวกเขาแล้ว โอกาสใดหรือ? โอกาสที่จะใส่ร้ายผู้นำหรือคนทำงาน โอกาสที่จะให้ทุกคนรู้ว่ามีปัญหากับขีดความสามารถของคนเหล่านี้ รู้ว่าคนเหล่านี้ก็อ่อนแอได้ ว่าคนเหล่านี้เสื่อมทราม ว่าพวกเขาผิดพลาดอยู่บ่อยครั้งในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ ว่าพวกเขาไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นทุกคน นี่คือโอกาสของพวกเขาที่จะกดดันผู้นำหรือคนทำงาน เป็นโอกาสเหมาะของพวกเขาที่จะหนุนใจให้ทุกคนโค่นล้ม บ่อนทำลาย และวิจารณ์ผู้นำหรือคนทำงาน และแรงจูงใจสำหรับพฤติกรรมและการกระทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่อะไรนอกจากการแข่งขันเพื่อให้ได้สถานะ ถ้าทำตามหลักธรรมของการลงคะแนนคัดเลือกและหลักธรรมของการบ่มเพาะและใช้สอยผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้า บุคคลดังกล่าวจะไม่มีวันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานภายใต้รูปการณ์ที่ปกติ นี่คือสิ่งที่พวกเขามองเห็นและเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งมาโดยตลอด ดังนั้นจึงหันไปใช้วิธีเล่นงานและกล่าวโทษผู้นำและคนทำงาน ไม่ว่าใครจะได้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาก็ท้าทายคนเหล่านี้อยู่นั่นเอง จับผิดจุกจิกและออกความเห็นวิพากษ์วิจารณ์คนเหล่านี้อย่างไม่มีความรับผิดชอบเสมอ ต่อให้การกระทำหรือวาจาของผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ไม่มีอะไรผิด พวกเขาก็สามารถหาเรื่องตำหนิคนเหล่านี้ได้ตลอดเวลา—อันที่จริง ปัญหาที่พวกเขาหาเจอนั้นไม่ใช่ปัญหาด้านหลักธรรม แต่เป็นปัญหาจุกจิกโดยแท้ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงจับจดอยู่กับเรื่องจุกจิกเหล่านี้? เหตุใดพวกเขาจึงสามารถตัดสินและกล่าวโทษผู้นำและคนทำงานในเรื่องดังกล่าวได้อย่างเปิดเผยขนาดนี้? พวกเขามีจุดหมายเพียงอย่างเดียวคือ เพื่อแก่งแย่งอำนาจและสถานะ ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมอย่างไรถึงการสำแดงต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่เคยเชื่อมโยงการสำแดงเหล่านี้เข้ากับตัวเอง แต่กลับโยงไปหาผู้นำและคนทำงานทุกระดับโดยเฉพาะ เมื่อพวกเขาพบคนที่มีลักษณะตรงกัน พวกเขาก็คิดว่า “คราวนี้ฉันมีหลักฐานแล้ว ในที่สุดฉันก็พบสิ่งที่จะใช้คัดง้างกับพวกเขาและได้โอกาสดีๆ แล้ว” จากนั้นพวกเขาก็ยิ่งไม่ยั้งคิดในการเปิดโปง ตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์เพื่อประเมินผล และกล่าวโทษทุกสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ทำ บางเรื่องที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมานั้นดูภายนอกอาจจะเหมือนเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่เมื่อนำไปประเมินโดยเทียบตามหลักธรรมแล้ว กลับไม่มีนัยสำคัญ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงหยิบยกเรื่องเหล่านั้นขึ้นมา? มีสาเหตุเดียวคือเพื่อเปิดโปงผู้นำและคนทำงาน โดยมุ่งหมายที่จะกล่าวโทษและเอาชนะพวกเขา ถ้าผู้นำและคนทำงานถูกเล่นงานจนคิดลบ ขอความกรุณา และก้มหัวให้พวกเขา ถ้าพี่น้องชายหญิงมองว่าผู้นำเหล่านี้คิดลบและอ่อนแออยู่เสมอ มักจะผิดพลาดเมื่อลงมือกระทำการ และพี่น้องก็ไม่เลือกคนเหล่านี้เป็นผู้นำอีกต่อไป ถ้าพี่น้องชายหญิงไม่ตั้งใจฟังอีกต่อไปเวลาผู้นำเหล่านี้สามัคคีธรรมความจริง และถ้าผู้คนไม่ตั้งใจให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันอีกต่อไปยามที่ผู้นำเหล่านี้ลงมือดำเนินงาน เช่นนั้นแล้วคนที่คอยแก่งแย่งสถานะก็จะยินดี และจะมีโอกาสเอาเปรียบ นี่คือภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาอยากเห็นมากที่สุดและเป็นสิ่งที่พวกเขาหวังให้เกิดขึ้นมากที่สุด จุดหมายของทั้งหมดที่พวกเขาทำนี้คืออะไร? ไม่ใช่เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณในตัวผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ หรือเพื่อนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า จุดมุ่งหมายของพวกเขากลับเป็นการเอาชนะและดึงผู้นำและคนทำงานลงจากตำแหน่งเพื่อให้ทุกคนมองว่าพวกเขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะรับใช้ในฐานะผู้นำ ถึงจุดนี้พวกเขาย่อมจะสัมฤทธิ์จุดหมายของตนแล้ว และมีแต่ต้องรอให้พี่น้องชายหญิงเลือกตนเป็นผู้นำเท่านั้น มีผู้คนแบบนี้ในคริสตจักรหรือไม่? อุปนิสัยของพวกเขาเป็นเช่นไร? คนเหล่านี้มีอุปนิสัยที่ชั่วช้า พวกเขาไม่รักความจริงแต่อย่างใด และไม่ปฏิบัติความจริงอีกด้วย อยากกุมอำนาจเท่านั้น แล้วคนที่พอจะเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณบ้างเป็นเช่นไร—พวกเขาจะเต็มใจให้ผู้คนดังกล่าวกุมอำนาจหรือไม่? พวกเขาจะเต็มใจอยู่ใต้อำนาจของผู้คนเหล่านี้หรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่เต็มใจ? ถ้าผู้คนส่วนใหญ่สามารถมองเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของบุคคลเยี่ยงนี้ได้อย่างชัดเจน พวกเขาจะยังคงเลือกคนเหล่านี้เป็นผู้นำหรือไม่? (ไม่) พวกเขาจะไม่เลือก เว้นแต่ว่าทุกคนเพิ่งจะพบหน้าและไม่คุ้นเคยกันมากนัก แต่เมื่อพวกเขาคุ้นเคยกันและมองเห็นชัดเจนว่าคนไหนเลอะเลือนและมีขีดความสามารถอ่อนด้อย คนไหนชั่วและมีอุปนิสัยที่ชั่วช้าและหลอกลวง คนไหนกระเหี้ยนกระหือรือที่จะแก่งแย่งสถานะและเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ คนไหนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตนได้อย่างจงรักภักดี เป็นต้น เมื่อพวกเขาตระหนักรู้แก่นแท้ธรรมชาติและประเภทของผู้คน เมื่อนั้นการลงคะแนนคัดเลือกผู้นำก็จะเป็นไปอย่างค่อนข้างแม่นยำและสอดคล้องกับหลักธรรม
ผู้คนส่วนใหญ่จะอยากเลือกคนที่แก่งแย่งสถานะตลอดเวลามาเป็นผู้นำ หรือจะเลือกคนที่มีขีดความสามารถและฝีมือการทำงานค่อนข้างปานกลาง แต่ขยันและแน่วแน่? ในยามที่ไม่ชัดเจนว่าสองคนนี้มีลักษณะนิสัยและแก่นแท้ธรรมชาติเป็นเช่นไร หรือเดินอยู่บนเส้นทางสายใด ผู้คนส่วนใหญ่จะอยากลงคะแนนเลือกคนไหนเป็นผู้นำมากกว่ากัน? (คนที่สองที่แน่วแน่) ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะเลือกคนที่สอง สิ่งที่คนที่แก่งแย่งสถานะตลอดเวลาสำแดงออกมาคือเครื่องพิสูจน์ความเป็นมนุษย์และแก่นแท้ของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะสามารถรู้ทันและมีวิจารณญาณในสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมามิใช่หรือ? ผู้คนย่อมจะกล่าวว่า “คนคนนี้ทำให้ผู้นำคริสตจักรลำบากอยู่เสมอ ความทะเยอทะยานของเขาคือการมีสถานะเป็นผู้นำคริสตจักรให้ได้ เขาอยากเป็นผู้นำแทนเธอ ตั้งแต่เธอคนนั้นได้รับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักร เขาก็เพ่งเล็งเธอและไม่พอใจเธออยู่เสมอ เขาเถียงเธอเป็นประจำ และหาเรื่องตำหนิทุกสิ่งที่เธอทำ ฉกฉวยทุกสิ่งที่เขาฉวยได้ ทั้งยังตัดสินเธอและเปิดโปงข้อบกพร่องของเธอลับหลังเธออีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาชุมนุมหรือสามัคคีธรรมเรื่องงาน ถ้ามีช่วงที่เธอแสดงความคิดเห็นไม่ชัดเจน เขาย่อมพูดขัดจังหวะ แสดงให้เห็นความไม่อดทนอย่างมาก เขาถึงกับปรามาส หยัน เย้ย และหัวเราะเยาะเธอ ทำให้สิ่งต่างๆ กลายเป็นเรื่องยากสำหรับเธอทุกครั้งที่เขามีโอกาส และวางกับดักให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย” ด้วยการเปิดโปงพฤติกรรมเหล่านี้ให้ทุกคนเห็น ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะสามารถดูคนคนนี้ออกมิใช่หรือ? (ใช่) แล้วนี่เอื้อให้เขาชิงตำแหน่งผู้นำหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ ผู้คนที่แก่งแย่งสถานะนี้ฉลาดหรือว่าเขลา? ชัดเจนว่าพวกเขาไร้ปัญญา เป็นคนเขลา ยังมีประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงอีกเรื่องหนึ่งคือ ผู้คนเหล่านี้เป็นมาร และธรรมชาติของพวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้! ความอยากได้อยากมีอำนาจและสถานะของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ ถึงขั้นที่พวกเขาสิ้นสำนึก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ความอยากได้อยากมีนี้พ้นวิสัยของความมีเหตุผลและมโนธรรมตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติไปแล้ว ถึงระดับที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ หรือบริบทใด ผู้คนเหล่านี้ก็จะกระทำการเช่นนี้ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา และยิ่งไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการกระทำของตนเอง เหล่านี้คือท่าทีและการสำแดงที่ตรงตามแบบฉบับของคนที่แก่งแย่งสถานะมากที่สุด เมื่อใดก็ตามที่มีการชุมนุมหรือสามัคคีธรรมเรื่องงาน ทันทีที่ทุกคนมารวมตัวกัน คนเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดการรบกวนเหมือนแมลงวันที่น่ารำคาญ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตคริสตจักรและระเบียบปกติของการสามัคคีธรรมความจริง พฤติกรรมและท่าทีเช่นนี้มีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนอยู่ในตัว ควรเข้มงวดกวดขันผู้คนเยี่ยงนี้มิใช่หรือ? ในกรณีที่ร้ายแรงก็ควรขับไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไปใช่หรือไม่? (ใช่) บางครั้งการพึ่งพาแต่กำลังของผู้นำคริสตจักรให้ควบคุมคนชั่วเอาไว้ก็อาจเป็นความพยายามที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวและไร้ผลได้—หลังจากที่มองเห็นความร้ายแรงของการขัดขวางและรบกวนที่คนชั่วก่อให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน และมีวิจารณญาณในแก่นแท้ของพวกเขาอย่างรอบด้านแล้ว ถ้าพี่น้องชายหญิงสามารถผนึกกำลังกับผู้นำทั้งหลายในคริสตจักรเพื่อหยุดยั้งและควบคุมคนชั่วดังกล่าวเอาไว้ นี่ย่อมจะได้ผลมากกว่ามิใช่หรือ? (ใช่) ถ้าบางคนกล่าวว่า “การควบคุมคนชั่วเป็นความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผู้เชื่อทั่วไปอย่างพวกเรา พวกเราไม่ยุ่งด้วยหรอก! พวกคนชั่วแก่งแย่งสถานะกับผู้นำคริสตจักร พวกเขาแก่งแย่งสถานะกับคนที่มีสถานะ ส่วนพวกเราไม่มีสถานะ พวกเขาไม่ได้พยายามจะเอาอะไรไปจากพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ส่งผลต่อพวกเรา ปล่อยให้พวกเขาแก่งแย่งกันตามใจอยากเถิด ถ้าผู้นำคริสตจักรมีความสามารถ พวกเขาก็ควรควบคุมคนเหล่านั้นเอาไว้ ถ้าไม่มีความสามารถ ก็ควรปล่อยให้คนเหล่านั้นเป็นไป นี่เกี่ยวข้องกับพวกเราตรงไหน?” มุมมองนี้ดีหรือไม่? (ไม่ดี) เหตุใดจึงไม่ดี? (พวกเขาไม่ค้ำจุนระเบียบปกติของคริสตจักร) กล่าวให้เหมาะกว่านั้นก็คือ ระเบียบปกติของคริสตจักรหมายถึงสิ่งใด? หมายถึงชีวิตคริสตจักรที่ปกติมิใช่หรือ? (ใช่) นี่เกี่ยวข้องกับชีวิตคริสตจักรที่ปกติและมีแบบแผน—เกี่ยวพันกับการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามแบบแผน ซึ่งหมายความว่าผู้คนสามารถอ่านอธิษฐานและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าได้ สามารถแบ่งปันประสบการณ์ของตนได้ในชีวิตคริสตจักรที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ มีการสถิตและการทรงนำของพระเจ้า พร้อมกันนั้นก็สามารถน้อมรับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และได้มาซึ่งความสว่างอีกด้วย นี่คือสิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรได้ชื่นชมในชีวิตคริสตจักร ถ้ามีคนทำลายระเบียบปกตินี้ เช่นนั้นแล้วก็ควรหยุดยั้งและควบคุมคนเหล่านั้นตามหลักธรรม และไม่ควรทนยอมรับ นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบและภาระผูกพันของผู้นำและคนทำงานเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของทุกคนที่เข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณ แน่นอนว่าจะเป็นการดีที่สุดถ้าผู้นำคริสตจักรสามารถเป็นหัวหอกนำงานนี้ สามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงธรรมชาติในการกระทำของบุคคลเหล่านี้ว่า เมื่อดูสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมานั้น คนเหล่านี้เป็นคนจำพวกใด และพี่น้องชายหญิงควรใช้วิจารณญาณดูและเท่าทันคนเช่นนี้อย่างไร ถ้าไม่ควบคุมคนชั่วเหล่านี้เอาไว้ และพี่น้องชายหญิงทุกคนก็ถูกพวกเขาก่อกวน ชักพาให้หลงผิด และล่อลวง ส่วนผู้นำทั้งหลายในคริสตจักรก็ลงเอยด้วยการถูกโดดเดี่ยวแทนคนชั่วเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วคริสตจักรนี้ก็จะกลายเป็นอัมพาตและตกอยู่ในความอลหม่านอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แล้วชีวิตคริสตจักรที่ปกติจะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ภายใต้รูปการณ์ดังกล่าว? ถ้าดำเนินต่อไม่ได้ การชุมนุมของคริสตจักรจะยังคงเกิดผลหรือไม่? ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะยังคงได้บางสิ่งบางอย่างจากการชุมนุมดังกล่าวหรือไม่? ถ้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ได้อะไรจากการชุมนุม เช่นนั้นแล้วการชุมนุมแบบนั้นจะได้รับพรจากพระเจ้าหรือเป็นที่ชิงชังของพระองค์? แน่นอนว่าย่อมเป็นที่ชิงชังของพระเจ้า การชุมนุมที่ไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่มีพรจากพระเจ้าไม่อาจถือว่าเป็นชีวิตคริสตจักรได้อีกต่อไป แต่กลายเป็นที่พบปะของกลุ่มสังคม มีคนชื่นชอบชีวิตคริสตจักรที่ไร้ระเบียบบ้างหรือไม่? นั่นจะเป็นที่เจริญใจหรือเป็นประโยชน์แก่ใครหรือไม่? (ไม่) ในช่วงเวลานี้ ถ้าเจ้าไม่ได้อะไรจากการชุมนุมในแง่ของการเข้าสู่ชีวิต เช่นนั้นแล้วช่วงเวลานี้ก็ไม่มีคุณค่าหรือความหมายต่อเจ้า เจ้าผลาญเวลาช่วงนี้ไปแล้ว นี่หมายความว่าเจ้าสูญเสียการเข้าสู่ชีวิตไปแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) ในการชุมนุม ถ้ามีคนชั่วคอยแก่งแย่งสถานะ พิพาทและโต้เถียงกับผู้นำคริสตจักร ผู้คนลงเอยด้วยการรู้สึกกระวนกระวายเพราะเหตุนั้น และการชุมนุมก็มีบรรยากาศที่ไม่ดีแผ่ไปทั่ว เต็มไปด้วยพลังงานอันเลวของซาตาน และถ้านอกจากโต้วาทีในเรื่องต่างๆ เช่น ใครถูกใครผิดแล้ว ก็ไม่มีใครมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง ไม่มีใครกระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้วหลังการชุมนุมแบบนี้ ความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง? เจ้าจะเข้าใจและได้รับความจริงมากขึ้น หรือว่าความรู้สึกนึกคิดของเจ้าจะว้าวุ่นเพราะข้อพิพาทโดยที่เจ้าไม่ได้อะไรไว้เลย? บางครั้งเจ้าอาจจะคิดว่า “ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงเชื่อในพระเจ้า มีประโยชน์อะไรที่จะเชื่อในพระเจ้า? ผู้คนเหล่านี้ประพฤติตัวเช่นนี้ได้อย่างไร? พวกเขายังคงเป็นผู้เชื่อในพระเจ้ากันอยู่หรือ?” หัวใจของผู้คนว้าวุ่นและขุ่นมัวเพราะถูกเหล่าซาตานและหมู่มารก่อกวนเพียงครั้งเดียว พวกเขารู้สึกว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไร้ประโยชน์ และไม่รู้คุณค่าของการเชื่อในพระเจ้า ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขากระจัดกระจาย ถ้าทุกคนสามารถระแวดระวัง รับรู้เรื่องดังกล่าวได้ไวและแหลมคมเป็นพิเศษ แทนที่จะด้านชาและเชื่องช้า เช่นนั้นแล้วเมื่อคนชั่วกล่าวหรือทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตคริสตจักรอยู่เนืองๆ เพื่อแก่งแย่งสถานะ ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะตระหนักโดยเร็วว่ามีปัญหาที่ต้องแก้ไข พวกเขาจะสามารถใช้วิจารณญาณดูออกอย่างรวดเร็วว่าใครกำลังครอบงำสถานการณ์เหล่านี้ และแก่นนิสัยของคนเหล่านั้นเป็นเช่นไร พวกเขาจะตระหนักโดยเร็วถึงความร้ายแรงของปัญหา สามารถหยุดยั้งและควบคุมคนชั่วได้ในเวลาอันสั้น ชำระคนเหล่านั้นออกไปจากคริสตจักร และป้องกันไม่ให้ก่อกวนและตีกรอบผู้คนในคริสตจักรต่อไป นี่ย่อมเป็นประโยชน์และเป็นที่เจริญใจของผู้คนส่วนใหญ่มิใช่หรือ? (ใช่)
ถ้าพวกเจ้าเผชิญสถานการณ์ที่คนชั่วกำลังแก่งแย่งสถานะกัน พวกเจ้าจะจัดการอย่างไร? ทัศนะของผู้คนส่วนใหญ่เป็นเช่นไร? (พวกเราจะหยุดยั้งพฤติกรรมนี้) แค่หยุดยั้งกระนั้นหรือ? พวกเจ้าจะหยุดยั้งอย่างไร? เจ้าจะห้ามพวกเขาพูด หรือเจ้าจะกล่าวว่า “พวกเราไม่ชอบสิ่งที่คุณพูดออกมา เพราะฉะนั้น ในอนาคตเวลาชุมนุม คุณก็พูดให้น้อยลงด้วย!” นั่นจะได้ผลหรือไม่? พวกเขาจะฟังเจ้าหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นเจ้าควรทำเช่นไร? เจ้าจำเป็นต้องเปิดโปงและชำแหละเจตนา แรงจูงใจ และแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาออกมาอย่างหมดเปลือกตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้พี่น้องชายหญิงสามารถใช้วิจารณญาณดูและเฝ้าระวังผู้คนดังกล่าวและธรรมชาติในการกระทำของพวกเขาได้ แทนที่จะทำตัวเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน และเอาแต่รอให้ผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรเปิดโปงคนชั่วก่อน เจ้าจึงจะแสดงจุดยืนของตนและกล่าวว่า “ไม่ควรอนุญาตให้พวกเขาเข้าชุมนุมอีกต่อไป” การเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนนั้นดีหรือไม่? (ไม่ดี) เวลาเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว ผู้คนส่วนใหญ่อยากหลีกให้ห่างจากเรื่องเหล่านี้มากกว่าที่จะปะทะกับคนชั่วเหล่านั้น พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงไม่ไปล่วงเกินคนเหล่านั้นและไม่รู้สึกประดักประเดิดเวลามีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นในภายหลังมิใช่หรือ? ผู้คนส่วนใหญ่ยึดปฏิบัติตามหลักการดำรงชีวิตทางโลกด้วยการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนมิใช่หรือ? (ใช่) เช่นนั้นก็เป็นปัญหา สมมุติว่าในคริสตจักรแห่งหนึ่งมีคนชอบเอาใจผู้คนอยู่ร้อยละ 8 และเมื่อพวกเขามองเห็นคนชั่วดังกล่าวแก่งแย่งสถานะ ความเหนือกว่า และตำแหน่งผู้นำในชีวิตคริสตจักร แต่ก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาหยุดยั้งหรือควบคุมคนเหล่านั้น โดยคนส่วนใหญ่มีทัศนะดังนี้ว่า “ปัญหายิ่งน้อยยิ่งดี ฉันจะยั่วยุพวกเขาไม่ได้ ดังนั้นฉันก็แค่เลี่ยงพวกเขาไปไม่ได้หรือ? แค่ฉันอยู่ให้ห่างพวกเขาเอาไว้ก็หมดเรื่อง ปล่อยให้พวกเขาแก่งแย่งกันไป พอถึงเวลา พระเจ้าก็จะทรงลงโทษพวกเขา ไม่เห็นมีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย!” ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้ ชีวิตคริสตจักรจะยังคงสามารถให้ดอกผลหรือไม่? ผู้คนส่วนมากเกียจคร้านและพึ่งพาผู้อื่น เมื่อลงคะแนนคัดเลือกผู้นำคริสตจักรกันแล้ว พวกเขาก็ถือว่าเสร็จงานของตน และเอาแต่รอให้ผู้นำคริสตจักรทำทุกสิ่ง ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่ามีการแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าในคริสตจักรของพวกเขาหรือยัง มีการขัดขวางหรือรบกวนชีวิตคริสตจักรบ้างหรือไม่ หรือมีใครพร่ำกล่าววาจาและคำสอนอยู่เสมอหรือแก่งแย่งสถานะกับผู้นำบ้างหรือไม่ พวกเขาย่อมบอกว่า “ผู้นำคริสตจักรรู้เรื่องทั้งหมดนี้ ฉันไม่รู้และไม่จำเป็นต้องสนใจอยากรู้ พวกผู้นำจะดูแลเรื่องทั้งหมดเมื่อถึงเวลา” พวกเขาไม่สนใจหรือไถ่ถามเรื่องใด ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่รับรู้หรือใส่ใจเรื่องของผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคริสตจักร ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาควรรู้ ส่วนเรื่องที่ว่าพวกคนชั่วที่มีอยู่ในคริสตจักรพูดและทำสิ่งใดบ้างเวลาที่พวกเขาแก่งแย่งสถานะ รวมทั้งก่อให้เกิดการรบกวนและผลกระทบอันใดต่อชีวิตคริสตจักรบ้าง พวกเขาไม่แยแสโดยสิ้นเชิง และไม่สืบเสาะหรือซักถามถึงเรื่องเหล่านี้ หลังจากที่เรื่องราวทั้งหมดผ่านพ้นไปแล้ว ถ้าเจ้าถามพวกเขาว่าพวกเขาเกิดวิจารณญาณขึ้นมาบ้างหรือไม่ สามารถใช้วิจารณญาณดูคนชั่วและดูว่าการสำแดงของคนชั่วมีสิ่งใดบ้างหรือไม่ พวกเขาย่อมพูดได้เพียงว่า “ถามผู้นำคริสตจักรเถิด พวกเขารู้ทุกอย่าง” คนแบบนี้คือทาสมิใช่หรือ? พวกเขาเป็นทาส เป็นคนขลาดที่ไร้ประโยชน์ มีความเป็นอยู่ที่เลวทราม สถานการณ์ที่มีคนชั่วคอยแก่งแย่งสถานะอยู่นั้นจำต้องใช้วิจารณญาณ มีการจัดการ และมีหนทางแก้ไข นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้นำคริสตจักรแต่เพียงฝ่ายเดียว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้กันทุกคน ผู้นำส่วนใหญ่เข้าใจความจริงมากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง ตื่นตัวในประเด็นปัญหาเหล่านี้ และสามารถมองเห็นจุดมุ่งหมายและแก่นแท้ในการกระทำของผู้คนเหล่านี้ ในขณะเดียวกันผู้คนส่วนใหญ่ก็ควรเรียนรู้บทเรียนและมีวิจารณญาณมากขึ้นในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นกัน ผนึกกำลังกับคนในคริสตจักรที่มีสำนึกเที่ยงธรรม ทำความเข้าใจและไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อลงมืออย่างเหมาะควรในการจัดการคนชั่วที่ก่อกวนและขัดขวางชีวิตคริสตจักร พวกเขาควรแยกเดี่ยวหรือเอาตัวคนเหล่านั้นออกไป แทนที่จะยืนเป็นทองไม่รู้ร้อน เอาแต่ฟังสามัคคีธรรมบ้าง เปิดหูเปิดตานิดหน่อย และพอจะตระหนักรู้เรื่องดังกล่าวอยู่ในใจเวลาเผชิญปัญหาเหล่านี้ จากนั้นก็ถือว่าเสร็จงานของตน นี่เป็นเพราะชีวิตคริสตจักรไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้นำคริสตจักรเท่านั้น และการมีชีวิตคริสตจักรที่ดีและดำรงรักษาระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรเอาไว้ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้นำคริสตจักรเท่านั้น—ต้องอาศัยความพยายามร่วมกันของทุกฝ่ายในอันที่จะลุกขึ้นมาดำรงรักษาเอาไว้
ผู้คนที่แก่งแย่งสถานะ—ซึ่งเป็นคนจำพวกที่เอ่ยถึงในประเด็นปัญหาข้อที่ห้า—มักจะแสดงตัวให้เห็นในชีวิตคริสตจักร การสำแดงที่เห็นได้ชัดที่สุดของพวกเขาก็คือการแก่งแย่งสถานะกับผู้นำคริสตจักร ตามด้วยการแก่งแย่งสถานะกับคนที่มีขีดความสามารถดีและเข้าใจความจริงได้ค่อนข้างถ่องแท้ คนที่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และคนที่เข้าใจหลักธรรมความจริงในหมู่พี่น้องชายหญิง พวกเขามักจะท้าทายคนเหล่านี้ ผู้คนเหล่านี้สามัคคีธรรมถึงความสว่างและความเข้าใจบางอย่างที่ถ่องแท้ในชีวิตคริสตจักรอยู่เนืองๆ แบ่งปันประสบการณ์บางอย่างของตนที่มีคุณค่าและถ่ายทอดความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง นี่ช่วยพี่น้องชายหญิงและทำให้พี่น้องเจริญใจเป็นอันมาก หลังจากที่ฟังสามัคคีธรรมของพวกเขาแล้ว พี่น้องชายหญิงย่อมมีเส้นทาง รู้ว่าจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะอย่างไร และจะแก้ปัญหาของตนเองอย่างไร พวกเขารู้สึกขอบคุณการทรงนำของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และในเวลาเดียวกันก็เลื่อมใสและยอมรับนับถือผู้ที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ในความจริงและมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโน้มเอียงที่จะมองบุคคลเหล่านี้อย่างยกย่องและพาตัวเข้าไปใกล้ชิดมากขึ้น การเกิดขึ้นของสิ่งที่เป็นบวกซึ่งยังความยินดีแก่พระเจ้าในชีวิตคริสตจักร คือสิ่งที่คนที่แก่งแย่งสถานะไม่อยากเห็นเป็นที่สุด เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นใครสักคนสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเขาย่อมรู้สึกอึดอัดและอิจฉา รู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นพิเศษ ในความกระอักกระอ่วนนั้น พวกเขาก็แสดงอากัปกิริยาที่ท้าทาย ดูหมิ่น และไม่พอใจออกมา มักจะคิดคำนวณอยู่ในใจว่าจะทำให้คนที่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเข้าใจความจริงนั้นดูเบาปัญญาได้อย่างไร และจะทำให้พี่น้องชายหญิงมองเห็นข้อเสียและข้อบกพร่องของคนเหล่านั้น ไม่ยกย่องนับถือหรือพาตัวเข้าไปใกล้คนเหล่านั้นอีกต่อไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น คนที่แก่งแย่งสถานะจึงไม่แคล้วที่จะพูดบางสิ่งออกมาและดำเนินการบางอย่าง พวกเขาเล่นงานและกีดกันคนที่แบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ รวมทั้งคนที่สามัคคีธรรมความจริงอยู่เนืองๆ ซึ่งเป็นการช่วยจัดเตรียมและเกื้อกูลการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง พวกเขามักจะฉวยเอาลักษณะนิสัยที่เป็นบวกมาใช้คัดง้าง และมักจะเปิดโปงข้อบกพร่องของคนเหล่านี้โดยมุ่งหมายที่จะทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรออกห่างจากทุกคนที่มักจะสามัคคีธรรมความจริงและแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ สรุปแล้ว คนที่แก่งแย่งสถานะมีลักษณะนิสัยที่เป็นลบ แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักร และทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตาน
พี่น้องหญิงคนหนึ่งเคยทำเรื่องผิดพลาดในความสัมพันธ์ลึกซึ้งส่วนตัวก่อนที่จะมาเชื่อในพระเจ้า เธอกลับใจหลังจากที่มาเป็นผู้เชื่อและไม่เคยผิดพลาดเช่นนั้นอีก เธอรู้สึกเสียใจเป็นพิเศษที่เคยกระทำผิดในอดีต ดังนั้นจึงเปิดใจสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง จุดประสงค์และหลักธรรมของการเปิดใจสามัคคีธรรมคืออะไร? คือการส่งเสริมให้พี่น้องชายหญิงเข้าใจกันและขจัดกำแพงในใจระหว่างพี่น้อง หลังจากที่เข้าใจความจริงแล้ว พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่สามารถเปิดใจสามัคคีธรรมเรื่องที่ตนเผยความเสื่อมทรามออกมาและเคยกระทำผิดในอดีตได้ พลางแสดงความขอบคุณและสรรเสริญความรอดจากพระเจ้าไปด้วย การเปิดใจสามัคคีธรรมดังกล่าวจึงเหมาะควรใช่หรือไม่? (ใช่) หลังจากเข้าใจความจริงแล้ว พี่น้องชายหญิงส่วนมากก็สามารถเปิดใจสามัคคีธรรมในลักษณะนี้ นี่ก่อให้เกิดปัญหาหรือไม่? (ไม่) เป็นเรื่องปกติมากที่ผู้คนจะทำเรื่องผิดพลาดบางอย่างในความสัมพันธ์ลึกซึ้งส่วนตัวหรือในด้านอื่นก่อนที่จะมาเชื่อในพระเจ้า บางคนสามารถพูดถึงข้อผิดพลาดเหล่านี้ได้ ขณะที่บางคนก็ปิดบังและอำพรางตน และไม่ว่าผู้อื่นจะปฏิบัติด้วยการเปิดใจตีแผ่ตนเองอย่างไร พวกเขาเองกลับไม่ยอมพูดอะไร เชื่อไปว่าความผิดพลาดเหล่านี้คือโครงกระดูกในตู้ที่พวกเขาไม่อาจให้ใครรู้ได้ ด้วยเกรงว่าจะเสียชื่อเสียง เสียหน้า และเสียที่ยืนในสังคม อย่างไรก็ดี บางคนก็เข้าใจเรื่องราวต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อพวกเขามาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับความรอดจากพระเจ้าแล้ว ตอนนี้พวกเขาก็ควรเปิดใจสามัคคีธรรมถึงความผิดพลาดในอดีตและเส้นทางผิดๆ ที่ตนเคยเดิน นำออกมาชำแหละ และนี่เป็นเพียงเรื่องที่พวกเขาผ่านพ้นมาแล้วในฐานะมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ตอนนี้พวกเขาสามารถเปิดใจ ตีแผ่ตนเอง และสามัคคีธรรมได้ และไม่ว่านั่นจะเป็นการสรุปอดีตหรือจบอดีตเสียก็ตาม การที่ผู้คนเหล่านี้สามารถทำเช่นนี้ได้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการปฏิบัติความจริง นั่นคือ พวกเขาเต็มใจปฏิบัติความจริง และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริง แท้จริงแล้วคนเราจะปฏิบัติอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจและปณิธานของพวกเขา อย่างไรก็ดี การเปิดใจและตีแผ่ตัวเองไม่ใช่ความผิดพลาดอย่างแน่นอน และยิ่งไม่ใช่บาป จึงไม่ควรใช้เป็นเรื่องคัดง้างใคร และยิ่งไม่ควรกลายเป็นหลักฐานที่อีกคนจะใช้เล่นงานพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่สามารถปฏิบัติต่อเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง นั่นคือ พวกเขาเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้และตามหลักธรรมความจริง อย่างไรก็ดี คนชั่วย่อมเก็บงำเจตนาผิดๆ เอาไว้ ยืนกรานที่จะฉวยเอาเรื่องของผู้คนมาเยาะเย้ย ตัดสิน และปั่นหัวพวกเขาเล่น การประพฤติชั่วดังกล่าวเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนทีเดียว คนที่สามารถตีแผ่ตัวเอง เปิดใจ และสามัคคีธรรมถึงความเสื่อมทรามและเส้นทางผิดๆ ที่ตนเคยใช้เดินได้นั้น ย่อมมีหัวใจที่หิวและกระหายความชอบธรรมอยู่ในท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจึงเกิดความตระหนักรู้และความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยไม่รู้ตัว ความตระหนักรู้และความเข้าใจเชิงลึกที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้ช่วยให้พวกเขาค้นพบเส้นทางปฏิบัติยามเผชิญเรื่องยุ่งยากและสถานการณ์นานัปการที่เกิดขึ้นในชีวิต นำไปสู่การเข้าใจความจริงบางอย่างจากประสบการณ์โดยแท้ การสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่แท้จริงจากประสบการณ์นี้เป็นที่เจริญใจและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น พี่น้องชายหญิงย่อมจะมองบุคคลเหล่านี้ด้วยความเลื่อมใสและเคารพ พลางกล่าวว่า “ประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคุณนี้วิเศษจริง ฟังแล้วฉันพลอยรู้สึกร่วมไปด้วยอย่างมาก ฉันเห็นว่าวิธีปฏิบัติของคุณถูกต้องและได้รับการอวยพรจากพระเจ้า ฉันเต็มใจเช่นกันที่จะปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดและอคติของตนเอง ทิ้งสิ่งที่ถ่วงตัวฉันอยู่ ฉันอยากปฏิบัติความจริงในลักษณะที่เรียบง่าย ได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้าเหมือนคุณ เส้นทางนี้คือเส้นทางที่ถูกต้อง” การสำแดงเหล่านี้ปกติทีเดียวมิใช่หรือ? ถูกควรอย่างยิ่งมิใช่หรือที่สัมพันธภาพเช่นนี้จะเกิดขึ้นในหมู่พี่น้องชายหญิง? นี่คือชนิดของสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่ต่างไปจากชนิดที่พบเจอในหมู่คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เป็นสัมพันธภาพที่ได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าและพระองค์ก็ทรงปรารถนาที่จะเห็น เฉพาะเมื่อมีสัมพันธภาพที่ปกติเช่นนี้ในหมู่พี่น้องชายหญิงเท่านั้น ชีวิตคริสตจักรจึงจะเป็นปกติได้ อย่างไรก็ดี ย่อมจะมีคนชั่วหรือคนที่มีเจตนามุ่งร้ายอยู่บ้างเสมอ คนที่ลุกขึ้นมาเล่นงาน หาความ และกีดกันคนที่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง คนที่หิวและกระหายความจริง รวมทั้งคนที่เลื่อมใสและยอมรับนับถือผู้คนที่มีประสบการณ์ เหตุใดพวกเขาจึงเล่นงานคนเหล่านี้? จุดประสงค์ของพวกเขามีแต่การแก่งแย่งสถานะอย่างใดอย่างหนึ่งในคริสตจักร ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่รักและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจึงสวมรอยเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแต่งประสบการณ์เท็จขึ้นมาชักพาให้ทุกคนหลงผิดและยกย่องตน นี่คือการใช้วิธีของซาตานมาควบคุมและชักพาให้ผู้คนหลงผิดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์สถานะและอำนาจที่ตนอยากได้อยากมี เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในคริสตจักรทุกแห่งและทุกคนก็มองเห็นได้ ถ้าพวกเจ้าพบเห็นว่าพี่น้องชายหญิงบางคนมีความเป็นจริงความจริงบางอย่าง สามารถสามัคคีธรรมในการชุมนุมถึงความเข้าใจที่แท้จริงจากประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้า และได้รับคำสรรเสริญจากผู้คนจำนวนมาก แต่ด้วยสาเหตุบางอย่างกลับถูกบางคนเล่นงาน แก้เผ็ด และกดให้จมทุกข์ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ควรตื่นตัว และใช้วิจารณญาณดูว่าผู้คนจำพวกใดบ้างที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ เหตุใดคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงมักจะถูกเล่นงานและกีดกัน? แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในที่นี้? นี่บ่งชี้แน่นอนว่ามีปัญหา
ในชีวิตคริสตจักร ควรสนใจคนที่มักจะจับผิดผู้นำและคนทำงานให้มาก นอกจากนี้บางคนก็มักจะเยาะหยัน เย้ย หรือเล่นงานคนที่ค่อนข้างไล่ตามเสาะหาความจริงและถวิลหาพระวจนะของพระเจ้า ควรสอดส่องและจับตามองคนที่มีลักษณะนิสัยเชิงลบเหล่านี้เพื่อดูว่าพวกเขาจะกระทำการอันใดต่อไป ถ้าบางคนสามารถเปิดโปงข้อบกพร่องของผู้นำคริสตจักรหรือเล่นงานคนที่มีความเป็นจริงความจริงโดยไม่มีเหตุอันควร พลางเข้าร่วมในชีวิตคริสตจักรไปด้วย ก็แน่ชัดว่ามีปัญหาและสาเหตุอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีสาเหตุเป็นแน่ พี่น้องชายหญิงควรให้ความสนใจจริงจังในตัวผู้คนดังกล่าวเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก บางครั้งหลังจากที่ได้ฟังคำพยานจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและรู้สึกว่าได้ชื่นชมเต็มที่อยู่ในหัวใจ หรือหลังจากที่เพิ่งได้รับความสว่างและความเข้าใจบ้างแล้ว คนเราก็ยังสับสนได้อยู่ดีด้วยวาจาที่ชักพาให้หลงผิดไม่กี่คำซึ่งคนชั่วกล่าวออกมา และเพราะเหตุนั้นจึงสูญสิ้นทุกสิ่งที่เพิ่งได้มา ในยามที่เพิ่งจะเริ่มสั่งสมความเชื่อขึ้นมาบ้าง คนเรากลับถูกคนชั่วก่อกวนและคืนสู่สถานะดั้งเดิมของตน ยามที่พวกเขาเพิ่งจะเริ่มรู้สึกกระหายความจริงและพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมาบ้าง เกิดปณิธานที่จะปฏิบัติความจริงขึ้นมาบ้าง พวกเขากลับถูกคนชั่วก่อกวน หมดใจและสูญสิ้นแรงจูงใจ แล้วจากนั้นก็อยากรีบไปจากสถานที่ที่มีความขัดแย้งนี้ ผลสืบเนื่องเหล่านี้ร้ายแรงหรือไม่? ย่อมร้ายแรงมาก ดังนั้น ถ้ามีใครในคริสตจักรที่เริ่มมีข้อพิพาทเพราะบางเรื่องไม่เป็นไปตามความต้องการของตน เถียงว่าฝ่ายไหนถูก โต้วาทีเรื่องถูกผิด และถึงกับโต้แย้งว่าใครเหนือกว่าหรือใครต่ำกว่าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วบุคคลดังกล่าวก็ควรเป็นสัญญาณเตือนว่ามีภัย จงดูว่าพวกเขามีบทบาทอันใดในคริสตจักร ก่อให้เกิดผลเช่นไร และเมื่อทำดังนี้ เจ้าก็จะสามารถมองทะลุว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นอย่างไร
ในชีวิตคริสตจักรมีลักษณะที่สำแดงถึงการแก่งแย่งสถานะอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักร ตัวอย่างเช่น บางครั้งที่พี่น้องชายหญิงกำลังสามัคคีธรรมถึงปัญหากัน สามัคคีธรรมของทุกคนก็พอจะมีความสว่างอยู่บ้าง ยิ่งพวกเขาสามัคคีธรรม หลักธรรมความจริงก็ยิ่งกระจ่างและชัดแจ้ง และเส้นทางปฏิบัติก็เป็นที่เข้าใจโดยเร็ว อย่างไรก็ดี จู่ๆ บางคนอาจจะเสนอ “แนวคิดอันบรรเจิด” ขึ้นมา เป็นข้อเสนอแนะของพวกเขา ทำให้สามัคคีธรรมที่กำลังไหลลื่นนั้นหยุดชะงักและเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่องอื่น สามัคคีธรรมเรื่องหลักจึงถูกทิ้งค้างเอาไว้ ดูภายนอกก็ไม่เหมือนว่าพวกเขากำลังก่อให้เกิดการรบกวน และยิ่งดูไม่เหมือนว่าพวกเขากำลังยับยั้งไม่ให้ผู้อื่นสามัคคีธรรมความจริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เลือกเวลาที่เหมาะควรแก่การเสนอแนะเรื่องนี้ ด้วยการแทรกประเด็นใหม่เข้ามาสามัคคีธรรมและเสวนาในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งคือกำลังสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหากันอยู่ ตัดประเด็นปัญหาก่อนหน้านั้นทิ้งก่อนที่จะแก้ไขได้หมด นี่ไม่ใช่การทิ้งงานกลางคันหรอกหรือ? นี่ไม่ประวิงการแก้ปัญหาหรอกหรือ? ไม่เพียงไม่ได้แก้ปัญหาเท่านั้น แต่ยังถ่วงเวลาที่ผู้คนจะทำความเข้าใจความจริงอีกด้วย คนที่มีเหตุผลมีแนวโน้มที่จะทำเช่นนี้หรือไม่? เกินเหตุหรือไม่ถ้าจะกล่าวว่าเรื่องแบบนี้ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร? เราไม่คิดว่าเกินเหตุแต่อย่างใด การรบกวนการชุมนุมขณะที่กำลังสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหาเช่นนี้—นี่คือการจงใจขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรมิใช่หรือ? ถ้ามีใครทะลุกลางปล้องขึ้นมาในช่วงที่สำคัญยิ่งอยู่เสมอซึ่งก็คือเวลาที่กำลังสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา ถ้าพวกเขาพยายามรวบรัดตัดความ เช่นนี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาเรื่องการไม่มีเหตุผล นี่คือการจงใจรบกวนการชุมนุมขณะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา เป็นการทำชั่วด้วยการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรนั่นเอง—มีแต่ศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ มีแต่ผู้คนที่เกลียดชังความจริงเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ ไม่ว่าบริบทหรือรูปการณ์จะเป็นเช่นใด ผู้คนเยี่ยงนี้ต้องแสดง “แนวคิดอันบรรเจิด” ของตนออกมาเสมอ พวกเขาอยากให้สายตาทุกคู่มองมาที่ตนตลอดเวลา อยากเป็นจุดสนใจ ไม่ว่าหัวข้อที่ผู้คนกำลังสามัคคีธรรมกันจะสลักสำคัญเพียงใด พวกเขาก็ต้องทะลุกลางปล้องขึ้นมาเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนและพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งอยู่เสมอ อยากให้ตนเองดูผิดแผกจากผู้อื่น พวกเขากำลังพยายามทำเรื่องอะไรกันแน่? พวกเขากำลังแก่งแย่งสถานะมิใช่หรือ? พวกเขาอยากควบคุมสถานการณ์ ไม่อยากให้ผู้คนมีความเข้าใจและความกระจ่างเกี่ยวกับความจริงมากขึ้น สิ่งที่พวกเขาใส่ใจมากที่สุดก็คือการทำให้ทุกคนสนใจ รับฟัง และเชื่อฟังพวกเขา ให้ทุกคนทำตามที่พวกเขาบอก ชัดเจนว่านี่คือการแก่งแย่งสถานะ สำหรับบางคนแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอะไร พอเจ้าขอให้พวกเขาสามัคคีธรรมถึงแนวคิดและแผนการจำเพาะที่จะใช้ทำบางสิ่งให้เกิดผล รวมทั้งรายละเอียดของขั้นตอนจำเพาะที่จะใช้ดำเนินการดังกล่าว พวกเขากลับไม่สามารถพูดอะไรได้ กระนั้นพวกเขาก็ยังชื่นชอบที่จะพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่ง ทำตัวให้ดูแหวกแนว และทำสิ่งที่แปลกใหม่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะเป็นเช่นไร ทันทีที่เกิดแนวคิดแปลกใหม่ พวกเขาก็นำเสนอราวกับว่าได้รับแรงบันดาลใจ ผลีผลามเสนอแนวคิดให้ผู้อื่นยอมรับและเห็นด้วย ไม่มีการครุ่นคิดพิจารณา แต่เมื่อขอให้พวกเขาอภิปรายเส้นทางปฏิบัติที่เจาะจงลงไปในท้ายที่สุด พวกเขากลับพูดไม่ออก คนเหล่านี้ไม่มีความรู้ความสามารถมากพอ แต่ก็อยากอวดตัวอยู่ดี มุ่งหมายตลอดเวลาที่จะให้ผู้อื่นมองเห็นตน พวกเขาไม่เต็มใจเป็นรองใคร ไม่อยากเป็นเพียงผู้ติดตามทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น กลัวอยู่เสมอว่าผู้อื่นจะดูแคลนตน และอยากยืนยันอยู่เสมอว่าพวกเขามีตัวตน ดังนั้นพวกเขาจึงพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตน เหตุใดจึงทำเช่นนี้อยู่เสมอ? เวลาที่มีแนวคิดหนึ่งๆ ผุดขึ้นมาในสมอง พวกเขาก็คิดอย่างมืดบอดว่าดีและควรค่าแก่การปฏิบัติโดยไม่พิจารณาหรือรอให้แนวคิดนี้ตกผลึกเสียก่อน เมื่อพวกเขาผลีผลามนำเสนอแนวคิดนี้ ผู้อื่นย่อมไม่เข้าใจและตั้งคำถามบ้างเป็นธรรมดา พอตอบไม่ได้ พวกเขาก็ยืนกรานอยู่ดีว่าความคิดเห็นของตนถูกต้องและทุกคนควรยอมรับ นี่คืออุปนิสัยชนิดใด? การดึงดันในทัศนะของตนโดยไม่มีหลักการรองรับจะนำผลเช่นใดมาให้? นี่รบกวนหรือเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร? เป็นภัยหรือเป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร? พวกเขาสามารถพูดเช่นนี้ได้โดยไม่มีสำนึกรับผิดชอบแต่อย่างใด—พวกเขามีจุดประสงค์อะไร? เพื่อแสดงว่าพวกเขามีตัวตนเท่านั้นเอง พวกเขากลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าพวกเขามี “แนวคิดอันบรรเจิด” เช่นนั้น ไม่รู้ว่าพวกเขามีขีดความสามารถ สติปัญญา และฝีมือ พวกเขาพากเพียรที่จะได้รับการยอมรับเช่นนี้ พากเพียรที่จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ยกย่องตน ในที่สุดย่อมเกิดอะไรขึ้น? พวกเขาผลีผลามเสนอแนะ และในเบื้องต้นผู้อื่นก็คิดว่าพวกเขามีความสามารถบางอย่างอยู่จริง มีบางสิ่งที่จริงแท้ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไป กลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเพียงคนปัญญาทึบเท่านั้น ไม่มีความรู้หรือทักษะที่แท้จริง แต่ก็อยากมีสิทธิ์ชี้ขาดอยู่เสมอ นี่คือการแก่งแย่งสถานะ ทั้งที่ไม่มีความสามารถจริง พวกเขาก็ยังคงอยากตัดสินชี้ขาด พูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งอยู่เสมอโดยไม่เสนอแผนการที่เป็นรูปธรรม ไร้เส้นทางจำเพาะให้ใช้ปฏิบัติ ถ้าไว้วางใจมอบหมายงานให้ผู้คนเยี่ยงนี้จริง จะเกิดผลเช่นใดตามมา? แน่นอนว่าย่อมจะทำให้เกิดความล่าช้า เหตุใดพวกเขาจึงพยายามแก่งแย่งสถานะ พยายามกุมอำนาจอยู่ตลอดเวลาในเมื่อไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงได้? พวกเขาเป็นเพียงคนหัวทึบที่ในสมองมีแต่ขี้เลื่อย กล่าวให้สละสลวยขึ้นก็คือพวกเขาไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ มีคนแบบนี้อยู่มากเหลือเกิน เอาแต่พูดและไม่ลงมือทำ ผู้คนส่วนใหญ่สามารถใช้วิจารณญาณดูคนแบบนี้ได้บ้าง ถ้ามีใครพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งอยู่เสมอและอยากให้ตัวเองดูเป็นคนที่มีแนวคิดแปลกใหม่ คนเราก็ควรระวังจะได้ไม่หลงเชื่อพวกเขา ถ้าใครมีแนวคิดที่เต็มไปด้วยความเข้าใจเชิงลึกโดยแท้ ทั้งยังสามารถนำเสนอแผนการที่เป็นรูปธรรมได้อีกด้วย นั่นย่อมจะเป็นที่ยอมรับก็ต่อเมื่อนำไปทำได้จริงเท่านั้น ถ้าพวกเขาเอาแต่พูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งโดยไม่เสนอแผนการที่เป็นรูปธรรม เช่นนั้นแล้วคนเราก็ควรระวังพวกเขาเอาไว้ ควรดำเนินการสามัคคีธรรมเพื่อพิจารณาว่ามีเส้นทางให้นำแนวคิดของพวกเขาไปใช้งานได้จริงหรือไม่ ถ้าส่วนรวมรู้สึกว่าแนวคิดของพวกเขาทำได้จริงและมีเส้นทางปฏิบัติ เช่นนั้นก็ควรลองทำสักระยะหนึ่งเพื่อดูว่าผลเป็นอย่างไรแล้วจึงตัดสินใจ
ไม่ว่าคริสตจักรจะสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมใดหรือจะแก้ปัญหาใด ผู้คนสารพัดชนิดย่อมจะแสดงตัวออกมา หลังจากที่มีปฏิสัมพันธ์กันมานาน คนเราย่อมจะมองเห็นได้ว่าใครรักและสามารถยอมรับความจริงได้อย่างแท้จริง และใครคือคนที่ขัดขวางและก่อกวน ไม่ทำงานอันถูกควร พวกเจ้าคิดว่าคนที่ชอบพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและนำเสนอแนวคิดที่แปลกใหม่จะสามารถยอมรับความจริงและออกเดินไปในครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าได้หรือไม่? เราคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะทำเช่นนี้ ผู้คนเหล่านี้มีบทบาทอันใดในชีวิตคริสตจักร? ผลสืบเนื่องของการที่พวกเขามักจะพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและไม่ทำงานอันถูกควรย่อมเป็นเช่นใด? ย่อมขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรดังที่ผู้คนส่วนใหญ่สามารถมองเห็นได้ และถ้าเรื่องนี้ดำเนินต่อไปก็จะประวิงการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แม้คนที่ชอบพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งจะไม่จำเป็นต้องเป็นคนชั่ว แต่ผลจากการกระทำของพวกเขาก็สร้างความเสียหายให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นอันมาก และในเวลาเดียวกันการกระทำของพวกเขาก็ส่งผลต่องานของคริสตจักรและทำให้ล่าช้าอีกด้วย แล้วควรแก้ปัญหานี้อย่างไร? ควรรับมือผู้คนที่ชอบพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและนำเสนอแนวคิดที่แปลกใหม่นี้อย่างไรจึงจะเหมาะควร? วิธีแรกเป็นดังนี้คือ ถ้าพวกเขาชอบพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งและมีความคิดเห็นอยู่เสมอ ก็จงปล่อยให้พวกเขาพูดไปก่อน จากนั้นจึงใช้วิจารณญาณ ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนก็มีอิสระที่จะพูดและแสดงความคิดเห็น ข้อนี้ไม่มีใครควรห้าม ควรเปิดโอกาสให้ใครก็ตามที่มีแนวคิดและมีความเข้าใจเชิงลึกที่เปี่ยมปัญญาโดยแท้ได้กล่าวอธิบายแนวคิดเหล่านั้นให้กระจ่างชัด ปล่อยให้ทุกคนได้เห็น จากนั้นก็สามัคคีธรรมและเสวนาเพื่อดูว่านั่นถูกต้องหรือไม่ สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ และมีส่วนใดที่สามารถนำมาใช้ได้หรือไม่ ถ้าควรค่าที่จะเรียนรู้และสามารถได้ประโยชน์จากเรื่องนั้นๆ บ้าง นั่นย่อมเป็นเรื่องดี ถ้ามีการลงความเห็นหลังจากสามัคคีธรรมและเสวนากันแล้วว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวมานั้นไม่มีคุณค่าและไม่ควรทำ เช่นนั้นแล้วก็ควรทิ้งไปเสีย เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ ทุกคนก็จะมีวิจารณญาณมากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่เกิดบางสิ่งขึ้นมา พวกเขาก็จะรู้กันทุกคนว่าควรไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างไร และย่อมจะเข้าใจผู้คนต่างๆ ดีขึ้น การปฏิบัติเช่นนี้มีประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและจะไม่รบกวนงานของคริสตจักร วิธีปฏิบัติเช่นนี้จึงถูกต้อง วิธีที่สองมีดังนี้คือ ต่อให้มีการสามัคคีธรรมและเสวนากัน เมื่อสิ่งที่พูดออกมาไร้คุณค่าและไม่ให้ประโยชน์อันใด ก็ควรปฏิเสธข้อเสนอแนะดังกล่าวทันที และไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมหรือเสวนากันแต่อย่างใด ถ้าคนคนหนึ่งยังคงหยิบยกประเด็นที่ไร้ค่าและ “แนวคิดอันบรรเจิด” เยี่ยงนั้นขึ้นมา ทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเอือมระอาและไม่เต็มใจฟัง ก็ควรห้ามปรามคนที่ทำเช่นนั้นมิใช่หรือ? เป็นการดีที่สุดที่จะแนะนำให้พวกเขาแสดงเหตุผลให้มากขึ้น เว้นจากการพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งผลต่อผู้อื่น ถ้าคนคนนี้ไม่มีเหตุผลและยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ต่อไป ก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรและทำให้ทุกคนรำคาญเป็นพิเศษ ถึงขั้นโกรธเคืองอีกด้วย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือคนชั่วที่รบกวนชีวิตคริสตจักร ต้องจัดการพวกเขาตามหลักธรรมในพระนิเวศของพระเจ้าเรื่องการชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์—เอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรเสีย เช่นนี้จึงเหมาะควร จงบอกเราเถิดว่าคนที่ชอบพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคนจำพวกใด? ใช่ประเภทที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? พวกเขาสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ เช่นนั้นแล้ว พวกเขามีจุดประสงค์และเจตนาอันใดจึงรบกวนชีวิตคริสตจักรเช่นนี้? เรื่องนี้ต้องใช้วิจารณญาณ ถ้าทุกคนมีความเข้าใจในตัวผู้คนเช่นนี้มากพออยู่แล้ว รู้ว่าพวกเขาไม่มีสติปัญญา ขีดความสามารถ และเหตุผล—เป็นเพียงคนปัญญาทึบเท่านั้น—วิธีจัดการที่เหมาะควรที่สุดเวลาพวกเขาแสดง “แนวคิดอันบรรเจิด” ออกมาก็คือหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ ทำให้พวกเขาเงียบเสียง ถ้าพวกเขายืนกรานที่จะพูดและก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักร เช่นนั้นแล้วก็ควรเอาตัวพวกเขาออกจากคริสตจักรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่อไป บางคนกล่าวว่า “นี่จะไม่ทำลายโอกาสที่พวกเขาจะได้รับความรอดหรอกหรือ?” การกล่าวเช่นนี้ย่อมผิด เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนเยี่ยงนี้ให้รอด? ผู้คนที่มีอุปนิสัยเช่นนี้จะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่? พวกเขาจะสัมฤทธิ์ความรอดโดยที่ไม่ยอมรับความจริงเลยได้หรือ? การที่ไม่สามารถเท่าทันแม้แต่เรื่องเช่นนี้ย่อมเบาปัญญาและไม่รู้ความอย่างยิ่งมิใช่หรือ? ไม่ว่าอย่างไร คนที่มักจะก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรย่อมเป็นคนชั่ว และพระเจ้าก็จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด การให้คนที่พระเจ้าไม่ทรงช่วยให้รอดคงอยู่ในคริสตจักรต่อไป ก็คือการจงใจทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมิใช่หรือ? คนที่สงสารผู้คนที่ชั่วเช่นนั้นใช่คนที่เปี่ยมรักโดยแท้หรือไม่? เราไม่คิดว่าใช่ ความรักของพวกเขาเป็นรักที่เทียมเท็จ ที่จริงแล้วพวกเขาเจตนาทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เพราะฉะนั้น ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ต้องระแวดระวังคนที่คอยปกป้องคนชั่ว ไม่ถูกชักพาให้หลงผิดตามการพูดจาเยี่ยงมารของพวกเขา บางคนที่ชอบพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่ง แม้จะไม่ดูเป็นคนชั่วและไม่ได้ทำชั่วอย่างชัดเจน แต่ก็สามารถก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรได้ด้วยการพูดจ้อถึงแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งของตนอยู่เสมอ อย่างน้อยที่สุดผู้คนเหล่านี้ก็เลอะเลือน พวกเจ้าคิดอย่างไร ผู้คนที่เลอะเลือนสามารถได้รับความรอดหรือไม่? แน่นอนว่าไม่สามารถ ถ้าผู้คนที่เลอะเลือนรบกวนชีวิตคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง ก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรด้วย ผู้คนที่เลอะเลือนย่อมไม่ยอมรับความจริง เหลือวิสัยที่จะกลับใจได้ และปลายทางของพวกเขาก็เหมือนปลายทางของคนชั่ว ไม่ว่าจะชั่วหรือเลอะเลือนก็ตาม ถ้าพวกเขามักจะขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร ไม่ฟังคำแนะนำ และพูดจาอย่างไร้การควบคุมเหมือนรถเสียที่หยุดไม่อยู่ นี่ก็คือสัญญาณบ่งชี้เหตุผลที่ผิดปกติมิใช่หรือ? ถ้าผู้คนที่เลอะเลือนดังกล่าวยังคงรบกวนคริสตจักรในลักษณะนี้ต่อไปเป็นเวลานานๆ ผลสืบเนื่องจะเป็นเช่นใด? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะสามารถกลับใจได้จริงหรือไม่? พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนที่เลอะเลือนและมีเหตุผลที่ผิดปกติเช่นนั้นให้รอดหรือไม่? เมื่อเข้าใจคำถามเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ก็จะเห็นได้ชัดว่าควรจัดการผู้คนดังกล่าวอย่างไรจึงจะถูกควร ผู้คนที่เลอะเลือนย่อมไม่รักความจริงเป็นแน่ และความจริงก็พ้นวิสัยที่พวกเขาจะเข้าถึง ผู้คนที่เลอะเลือนไม่สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ กล่าวได้ว่าผู้คนที่เลอะเลือนนั้นกึ่งเสียสติและไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ—ว่ากันตามจริงแล้ว พวกเขาไร้ประโยชน์นั่นเอง ผู้คนที่เลอะเลือนสามารถทำงานรับใช้ได้ดีหรือไม่? กล่าวได้อย่างแน่ชัดว่าพวกเขาทำงานรับใช้ได้ไม่ถึงมาตรฐานด้วยซ้ำเพราะเหตุผลของพวกเขาใช้ไม่ได้ เป็นผู้คนที่จับต้นชนปลายไม่ถูก ถ้าใครอยากแสดงความรักแก่ผู้คนที่เลอะเลือน ก็ปล่อยให้พวกเขาเกื้อหนุนผู้คนที่เลอะเลือนนั้นไป ท่าทีที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อผู้คนที่เลอะเลือนก็คือต้องเอาตัวพวกเขาออกไป ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด ใครก็ตามที่ไม่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจ ทำอย่างสุกเอาเผากินเสมอ ถ้าพวกเขามักจะก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรก็ควรห้ามปรามเสีย ถ้าพวกเขาบางคนรู้สึกผิดและเต็มใจที่จะกลับใจ ก็ควรให้โอกาสแก่พวกเขา คนที่มีแก่นแท้ที่ไม่อาจมองทะลุได้ ก็ควรให้อยู่ในคริสตจักรเป็นการชั่วคราว เปิดโอกาสให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำกับดูแล สังเกตการณ์ และมีวิจารณญาณในตัวพวกเขามากขึ้น ถ้ามีคนที่ขัดขวางและก่อกวนอย่างต่อเนื่อง และแม้จะถูกตัดแต่งแล้วก็ยังคงเหลือวิสัยที่จะกลับใจ คอยแก่งแย่งชื่อเสียงและผลประโยชน์ต่อไป เล่นงานและกีดกันคนที่มีลักษณะนิสัยในทางที่เป็นบวก—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเล่นงานคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ได้ รวมทั้งคนที่สละตนเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจ—เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้ย่อมเป็นคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ สำหรับผู้คนเยี่ยงนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องของการหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้เท่านั้น ควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรทันทีเพื่อป้องกันปัญหาในวันหน้า การปฏิบัติเช่นนี้ล้วนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า
เหล่านี้คือนานาลักษณะที่สำแดงถึงการแก่งแย่งสถานะในระดับต่างๆ กัน ตั้งแต่สถานเบาไปจนถึงการสำแดงที่ร้ายแรง การสำแดงสถานเบาโดยมากหมายถึงการเยาะหยันผู้นำและคนทำงานด้วยวาจาที่เผ็ดร้อน วิจารณ์จุกจิก และเล่นงานการลงมือเชิงรุกของผู้นำและคนทำงาน โดยมีจุดหมายเป็นการทำลายพวกเขาให้เสียความน่าเชื่อถือ การสำแดงที่ร้ายแรงที่สุดก็คือการต่อต้านผู้นำและคนทำงานโดยตรงในลักษณะที่เปิดเผย หาสิ่งต่างๆ มาใช้เล่นงานพวกเขา ตัดสิน กล่าวโทษ โจมตี ผลักไส จากนั้นก็โดดเดี่ยวพวกเขา บีบบังคับให้ยอมรับข้อเสียและลาออกเพื่อจะได้ช่วงชิงสถานะของพวกเขา เหล่านี้คือปัญหาเรื่องการขัดขวางและก่อกวนที่ร้ายแรงที่สุดซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร คนที่ส่งเสียงโวยวายผู้นำหรือคนทำงานอย่างเปิดเผยและแก่งแย่งสถานะกับพวกเขา คือคนที่รบกวนงานของคริสตจักรและแข็งขืนต่อพระเจ้า พวกเขาคือคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ ไม่เพียงต้องหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้เท่านั้น—ถ้าสถานการณ์ร้ายแรงและจำเป็นต้องไล่หรือเอาตัวพวกเขาออกไป เช่นนั้นแล้วก็ควรจัดการพวกเขาตามหลักธรรม ยังมีการสำแดงให้เห็นการแก่งแย่งสถานะอีกอย่างหนึ่งคือ การกีดกันและเล่นงานผู้คนในคริสตจักรที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมากกว่าตน เนื่องจากผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีความเข้าใจอันถ่องแท้ มีประสบการณ์และรู้จักพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้ มักจะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหาในหมู่พี่น้องชายหญิง ดังนั้นจึงยังความเจริญใจแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และค่อยๆ มีเกียรติยศขึ้นมาในคริสตจักร คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้จึงอิจฉาและท้าทายพวกเขา กีดกันและเล่นงานพวกเขา พฤติกรรมใดๆ ที่เป็นการเล่นงานหรือกีดกันผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ย่อมก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรโดยตรง บางคนอาจไม่ได้เพ่งเล็งไปที่ผู้นำคริสตจักรโดยตรง แต่ก็มีความชิงชังและมีการดูหมิ่นเป็นพิเศษต่อผู้คนในคริสตจักรที่เข้าใจความจริงและมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเขากีดกันและกดขี่ผู้คนดังกล่าวเช่นกัน มักจะเย้ยหยัน หัวเราะเยาะ และถึงกับวางกับดักและออกอุบายเล่นงานคนเหล่านี้ เป็นต้น แม้ปัญหาเช่นที่กล่าวมานี้จะร้ายแรงน้อยกว่าการแก่งแย่งสถานะกับผู้นำคริสตจักรในแง่ของรูปการณ์และธรรมชาติของปัญหา แต่ก็ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรเช่นกัน จึงควรหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ ถ้าส่งผลต่อพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ในคริสตจักร และมักจะทำให้พี่น้องจมอยู่กับการคิดลบและความอ่อนแอ—ถ้าปัญหาพาให้เกิดผลสืบเนื่องจำพวกนี้ เช่นนั้นก็นับเป็นการขัดขวางและก่อกวน คนชั่วชนิดที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนนี้ไม่เพียงควรควบคุมเอาไว้เท่านั้น แต่ควรส่งไปแยกเดี่ยวที่กลุ่ม ข. ให้ทบทวนตัวเองด้วย หรือไม่ก็เอาตัวออกไปเสีย คนที่ลงมือทำสิ่งที่มีธรรมชาติเป็นการก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน ก็คือผู้คนที่ทำชั่วเป็นนิสัย ควรปฏิบัติต่อคนชั่วที่มักจะทำความชั่วให้ต่างจากคนที่ทำชั่วเป็นครั้งคราว คนที่ทำความชั่วนานาชนิดคือศัตรูของพระคริสต์ คนที่ทำความชั่วเป็นครั้งคราวคือคนที่ด้อยความเป็นมนุษย์ ถ้าคนสองคนโต้เถียงหรือมีข้อพิพาทกันเป็นครั้งคราวเพราะบุคลิกของพวกเขาเข้ากันไม่ได้ หรือเพราะมีทัศนะต่างกันเวลาทำสิ่งต่างๆ หรือเพราะมีวิธีพูดจาต่างกัน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตคริสตจักร เช่นนั้นแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่มีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน ต่างจากคนชั่วที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร ทุกสิ่งที่มีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรอยู่ในตัว ซึ่งพวกเรากำลังพูดถึงนี้ คือสิ่งที่สำแดงถึงการทำชั่วของคนชั่ว เมื่อคนชั่วทำความชั่ว นั่นคือนิสัยความเคยชิน สิ่งที่คนชั่วเกลียดที่สุดก็คือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อพวกเขามองเห็นว่าคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงสามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้ และด้วยเหตุนั้นจึงได้รับความเลื่อมใสเป็นพิเศษจากผู้อื่น พวกเขาก็รู้สึกอิจฉา จงเกลียดจงชัง และสายตาของพวกเขาก็ลุกโชนด้วยความเดือดดาล ใครก็ตามที่ทบทวนและรู้จักตนเอง ใครก็ตามที่แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และใครก็ตามที่เป็นคำพยานให้พระเจ้า ย่อมพบกับการเย้ยหยัน ใส่ร้าย กดขี่ กีดกัน ตัดสิน และถึงกับข่มเหงจากคนชั่วเหล่านี้ พวกเขาทำเช่นนี้ตามนิสัยที่เคยชิน ไม่เปิดโอกาสให้ใครดีกว่าตน ไม่อาจทนเห็นผู้คนดีกว่าตนได้ เมื่อพวกเขามองเห็นคนที่ดีกว่าตน พวกเขาก็อิจฉา โกรธเคือง บันดาลโทสะ คิดจะทำร้ายและระรานคนเหล่านั้น ผู้คนเยี่ยงนี้ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรและระเบียบของคริสตจักรไปแล้ว ผู้นำและคนทำงานควรร่วมมือกับพี่น้องชายหญิงในการเปิดโปง หยุดยั้ง และควบคุมผู้คนเยี่ยงนี้เอาไว้ ถ้าควบคุมพวกเขาไม่ได้ และหลังจากที่สามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่กลับใจหรือเปลี่ยนแปลงครรลอง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือคนชั่ว ควรประเมินและปฏิบัติต่อคนชั่วตามหลักธรรมในพระนิเวศของพระเจ้าเรื่องการชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ ถ้าผู้นำและคนทำงานมีมติเป็นเอกฉันท์และลงความเห็นผ่านทางการสามัคคีธรรมว่านี่เท่ากับการมีคนชั่วก่อกวนคริสตจักร เช่นนั้นแล้วก็ควรจัดการเรื่องนี้ตามหลักธรรมความจริง กล่าวคือ ควรเอาตัวคนคนนั้นออกไปจากคริสตจักร ไม่ควรยอมผ่อนปรนให้กับคนชั่วที่รบกวนชีวิตคริสตจักรเยี่ยงนี้อีกต่อไป ถ้าผู้นำและคนทำงานชัดเจนว่านี่เท่ากับการที่คนชั่วก่อให้เกิดการรบกวน กระนั้นพวกเขาก็ยังคงแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และยอมผ่อนปรนให้คนชั่วทำความชั่วและก่อให้เกิดการรบกวน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ทำตามความรับผิดชอบที่มีต่อพี่น้องชายหญิง ไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและพระบัญชาของพระเจ้า
เมื่อมองจากรูปลักษณ์ภายนอก บางคนอาจดูดี แต่ที่จริงแล้วระดับเชาวน์ปัญญาของพวกเขาเป็นเหมือนคนปัญญาทึบ พวกเขาพูดและทำโดยไม่เข้าใจว่าสิ่งใดถูกควร ไม่มีเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ผู้คนดังกล่าวยังชอบแก่งแย่งสถานะและความมีหน้ามีตาอีกด้วย ต่อสู้ให้ตนมีสิทธิ์ขาด และแข่งขันเพื่อให้ผู้อื่นยกย่องตน ในชีวิตคริสตจักร พวกเขามักจะนำเสนอทัศนะและข้อโต้แย้งที่ฟังดูใช้การได้ แต่ที่จริงแล้วคลาดเคลื่อน เพื่อให้ได้ความสนใจและการยกย่องจากผู้คนส่วนใหญ่ ก่อกวนความคิดอ่านของผู้คน ก่อกวนความรู้และความเข้าใจอันถูกต้องที่ผู้คนมีต่อพระวจนะของพระเจ้า และก่อกวนการเข้าใจทุกสิ่งในทางที่เป็นบวก ขณะที่ผู้อื่นสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและความเข้าใจอันถ่องแท้ของตนอยู่นั้น ผู้คนเหล่านี้มักจะดีดตัวขึ้นมาเหมือนตัวตลกเพื่อแสดงว่าพวกเขามีตัวตนและเพื่อตรึงความสนใจของทุกคนไว้ที่ตน อยากแสดงให้พี่น้องชายหญิงเห็นอยู่เสมอว่าตนรู้กลเม็ดเด็ดพรายอยู่อย่างสองอย่าง และเป็นผู้รอบรู้ มีการศึกษาและมีความรู้สูง เป็นต้น แม้พวกเขาจะยังไม่มีจุดหมายชัดเจนในแง่ที่ว่าจะเล็งเป้าหมายไปที่ผู้นำคนไหน หรือจะแย่งตำแหน่งของผู้นำคนไหน แต่ความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานของพวกเขาก็มีมากเสียจนคำพูดและการกระทำของพวกเขาก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักร ดังนั้นจึงควรเข้มงวดกวดขันพวกเขาตามความร้ายแรงและธรรมชาติของสถานการณ์ เป็นการดีที่สุดที่จะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเสียก่อนเพื่อให้การชี้แนะที่ถูกต้อง และมอบแนวทางประพฤติปฏิบัติตนแก่พวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถกลับตัวได้ และเข้าใจการมีชีวิตคริสตจักรที่ปกติ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การอยู่ในที่ทางอันถูกควรของตน และการเป็นคนมีเหตุผล ถ้าเป็นเพราะพวกเขาอายุยังน้อย ไม่มีความเข้าใจเชิงลึก และอวดดีตามความหนุ่มสาว และหลังจากที่สามัคคีธรรมไปครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าพวกเขากลับใจ ตระหนักว่าการกระทำของตนก่อนหน้านี้ผิด น่าละอาย ทำให้ทุกคนรังเกียจ นำปัญหามาให้ทุกคน และพวกเขาก็กล่าวขอโทษและสำนึกผิดในเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องถือสา—เพียงสามารถช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรักได้ก็พอ อย่างไรก็ดี ถ้าการทำความผิดที่พวกเขารบกวนทุกคนนั้นไม่ได้เกิดจากความอวดดีเพราะวัยหนุ่มสาวหรือการไม่เข้าใจความจริง แต่มีแรงจูงใจแอบแฝงคอยขับเคลื่อน และพวกเขายังทำพฤติกรรมเช่นนั้นต่อไปแม้จะมีการห้ามปรามอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพวกเขาถูกตัดแต่งไปแล้ว และพี่น้องชายหญิงก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ไปแล้ว—มีการให้ความช่วยเหลือและสามัคคีธรรมแก่พวกเขาทั้งในแง่ลบและแง่บวกไปแล้ว—แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถตระหนักรู้แก่นแท้ธรรมชาติของตนเองได้ ไม่สามารถมองเห็นการรบกวนที่การกระทำเหล่านี้ก่อให้เกิดแก่ผู้อื่น รวมทั้งผลสืบเนื่องอันร้ายแรงของการกระทำเหล่านี้ และก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนต่อไปโดยกระทำการเช่นเดิมทุกครั้งที่มีโอกาส ในกรณีเช่นนี้ก็สมควรใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น เมื่อมีโอกาสมากมายที่จะกลับใจ ถ้าพวกเขาไม่ทบทวนหรือพยายามรู้จักตนเองแต่อย่างใด และไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าควรกระทำการอย่างไรจึงจะมีเหตุผลและเป็นไปตามหลักธรรม แต่กลับดื้อดึงยึดวิถีทางของตนในการทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นแล้วผู้คนเหล่านี้ก็มีปัญหา อย่างน้อยที่สุด ตามมุมมองที่เป็นเหตุเป็นผล พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลของคนที่ปกติ นี่คือการมองเรื่องนี้จากภายนอก ถ้ามองตามแก่นแท้ ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถตระหนักรู้ความร้ายแรงของปัญหาได้ ไม่สามารถหาที่ทางอันถูกควรของตนพบ และไม่สามารถยอมรับการสามัคคีธรรมและความช่วยเหลือได้ หรือไม่พยายามที่จะปฏิบัติตามเส้นทางที่พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมให้ฟัง—ถ้าแม้แต่เรื่องเหล่านี้พวกเขาก็สัมฤทธิ์ไม่ได้ เช่นนั้นแล้วปัญหาของพวกเขาก็ไม่ใช่การไม่มีเหตุผลเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเอง แม้พวกเขาจะดูเหมือนไม่ได้เจตนาก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน แต่ก็แน่ชัดว่าการกระทำเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไร้เจตนา แต่ทำไปโดยมีจุดประสงค์และแรงจูงใจ หากวางเรื่องที่ว่าแรงจูงใจหรือจุดประสงค์ของคนเหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งใดเอาไว้ก่อน ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดและทำนั้นขัดขวางและก่อกวนการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงและชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรง ทำให้ผู้คนมากมายไม่ได้อะไรจากการใช้ชีวิตคริสตจักร ถึงขั้นที่ผู้อื่นไม่เต็มใจชุมนุมเพียงเพราะมีพวกเขาอยู่ด้วยเท่านั้น หรือเมื่อใดที่พวกเขาพูด ผู้คนก็หมดอารมณ์ฟังและอยากจากไป เช่นนั้นแล้ว ธรรมชาติของปัญหานี้ย่อมร้ายแรง ควรจัดการผู้คนดังกล่าวอย่างไร? ถ้าพวกเขายังคงดึงดันที่จะทำสิ่งเหล่านี้แม้จะสามัคคีธรรมและให้ความช่วยเหลือไปแล้วหลายครั้ง และให้โอกาสกลับใจไปหลายหน เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เป็นปัญหาก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา พวกเขาไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงและสามารถยอมรับความจริงได้ แต่กลับมีแผนการอย่างอื่นแทน เมื่อมองดูแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาแล้ว ก็แน่ชัดว่าการขัดขวางและรบกวนที่พวกเขาก่อให้เกิดในชีวิตคริสตจักรไม่ได้เป็นไปโดยไร้เจตนา แต่ผู้คนเหล่านี้กลับมีจุดประสงค์และแรงจูงใจ ถ้าให้โอกาสแก่ผู้คนเยี่ยงนี้ต่อไป นั่นจะยุติธรรมต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่กำลังใช้ชีวิตคริสตจักรกันตามปกติหรือไม่? (ไม่) มีการเผยปัญหาของผู้คนดังกล่าวออกมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้ายังคงให้โอกาสและรอคอยให้พวกเขากลับใจ โดยผลคือพวกเขาลงเอยด้วยการยิ่งทำความชั่วมากขึ้น พาให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นคิดลบ อ่อนแอ และไร้ทางออก เช่นนั้นแล้วใครจะชดใช้ความเสียหายนี้? เพราะฉะนั้น ถ้าคนเหล่านี้ได้รับการสามัคคีธรรมและความช่วยเหลืออันเปี่ยมรักไปแล้ว หรือมีการลงมือหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาแล้ว กระนั้นพวกเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงวิถีเดิมของตน และดึงดันที่จะประพฤติตัวเช่นเดิม ก็ควรจัดการพวกเขาตามหลักธรรมคือ ในกรณีที่ไม่ร้ายแรงก็ควรแยกเดี่ยว ในกรณีที่ร้ายแรงควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรเสีย หลักธรรมนี้ฟังดูเป็นอย่างไร? ใช่การกดใครสักคนให้จมอย่างไร้ความกรุณา โดยไม่ให้พวกเขามีโอกาสกลับใจหรือไม่? หรือว่าเป็นการตัดสินใจตามอำเภอใจ ไม่ใช้วิจารณญาณและไม่ทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นใด? (ไม่ใช่) ทั้งที่สามัคคีธรรมและให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ให้โอกาสกลับใจแล้ว ถ้าผู้คนเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลงวิถีและอุปนิสัยของตนแต่อย่างใด และไม่กลับใจ ยังคงเป็นเหมือนแต่ก่อน—โดยมีข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ สิ่งที่เมื่อก่อนนี้พวกเขาเคยทำอย่างเปิดเผยและมองเห็นได้ ตอนนี้พวกเขากลับแอบทำไม่ให้ใครเห็น แต่ยังคงขัดขวางและก่อกวนเหมือนเดิม—เมื่อเป็นเช่นนั้น คริสตจักรก็ไม่อาจให้พวกเขาอยู่ต่อ ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่ใช่สมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่แกะของพระเจ้า การมีพวกเขาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้ารังแต่จะก่อให้เกิดการรบกวนและขัดขวางเท่านั้น พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตาน ไม่ใช่พี่น้องชายหญิง ถ้าเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอ เกื้อหนุนและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง สามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา และลงท้ายด้วยการสิ้นเปลืองความพยายามไปมากมายโดยไม่มีผลงอกเงยขึ้นมา นั่นย่อมเบาปัญญามิใช่หรือ? นั่นยิ่งกว่าเบาปัญญาเสียอีก เป็นเรื่องโง่เขลา โง่เขลาอย่างสิ้นเชิง!
เมื่อมองดูธรรมชาติของปัญหาทั้งหลาย โดยพื้นฐานแล้วสามารถจำแนกการสำแดงต่างๆ และชนิดของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับการแก่งแย่งสถานะออกเป็นสามจำพวกดังที่กล่าวมานี้ การแก่งแย่งสถานะคือปัญหาที่พบได้ทั่วไปในชีวิตคริสตจักร เกิดขึ้นในกลุ่มคนต่างๆ และในแง่มุมที่หลากหลายของชีวิตคริสตจักร ส่วนคนที่ลงมือแก่งแย่งสถานะนั้น ในกรณีที่ไม่ร้ายแรงก็ควรสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาให้มากเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้ และควรให้โอกาสกลับใจ ถ้าเป็นกรณีที่ร้ายแรงก็ควรสอดส่องพวกเขาอย่างใกล้ชิด และทันทีที่พบว่าพวกเขาพูดหรือกระทำการโดยมุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์แรงจูงใจหรือจุดหมายบางอย่าง ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ทันที ถ้าเป็นกรณีที่ยิ่งร้ายแรงกว่านั้น ก็ควรรับมือและจัดการไปตามหลักธรรมของคริสตจักรเรื่องการขับไล่และเอาตัวผู้คนออกไป นี่คือความรับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงเมื่อมีผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับการแก่งแย่งสถานะเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร แน่นอนว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนก็ต้องเร่งให้ความร่วมมือกับผู้นำและคนทำงานในงานนี้ด้วย ช่วยกันควบคุมพฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ของคนชั่วที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตคริสตจักรจะไม่มีคนชั่วคอยขัดขวางหรือก่อกวนอีกต่อไป พากเพียรให้แน่ใจว่าทุกขณะในชีวิตคริสตจักรได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยสันติสุข ความเบิกบาน และการสถิตของพระเจ้า มีพรและการทรงนำจากพระเจ้า และให้แน่ใจว่าการชุมนุมแต่ละครั้งคือช่วงเวลาของการชื่นชมและการได้ประโยชน์ นี่คือชีวิตคริสตจักรชนิดที่ดีที่สุด เป็นชีวิตคริสตจักรที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเห็น การลงมือทำงานนี้ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับผู้นำและคนทำงาน เพราะเกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เกี่ยวพันกับหน้าตาและผลประโยชน์ของผู้คน และยังเกี่ยวข้องกับระดับการเข้าใจความจริงของผู้คนอีกด้วย ทำให้เรื่องนี้ท้าทายค่อนข้างมากขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา จงอย่าเลี่ยงปัญหา อย่าทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก และในที่สุดก็ปล่อยให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข และไม่ควรจัดการปัญหาโดยใช้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก ด้วยการทำเป็นมองไม่เห็น ยิ่งไปกว่านั้น จงอย่าเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คน แต่ให้ปฏิบัติต่อผู้คนประเภทต่างๆ ที่แก่งแย่งสถานะโดยให้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง สามัคคีธรรมนี้ชัดเจนหรือไม่? (ชัดเจน) เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จบสามัคคีธรรมของพวกเราเรื่องปัญหาข้อที่ห้าไว้เท่านี้
VI. มีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร
ประเด็นปัญหาข้อที่หกซึ่งขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรก็คือการมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ตราบใดที่ผู้คนมาพบปะและสามารถรวมตัวกันได้ ก็ย่อมจะมีชีวิตแบบชุมชนขึ้นมา และเกิดสัมพันธภาพต่างๆ จากชีวิตดังกล่าว แล้วสัมพันธภาพเหล่านี้มีแบบใดบ้างที่ถูกควร และแบบใดบ้างที่ไม่ถูกควร? พวกเรามาพูดกันก่อนเถิดว่าสัมพันธภาพที่ถูกควรประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง จากนั้นจึงสามัคคีธรรมถึงสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร เมื่อพี่น้องชายหญิงพบปะและทักทายกัน พวกเขาอาจกล่าวคำต่างๆ เช่น “หมู่นี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง? สุขภาพดีหรือไม่? ลูกของคุณเริ่มเรียนมัธยมปลายปีหน้าใช่ไหม? กิจการของคู่ครองเป็นอย่างไรบ้าง?” การทักทายกันเช่นนี้นับเป็นสัมพันธภาพที่ถูกควรหรือไม่? (เป็น) เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น? เพราะเมื่อคนสองคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน เกิดมาพบเจอกัน การกล่าวคำทักทายสักสองสามคำย่อมเป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุด และเป็นการแสดงความห่วงใยและทักทายกันขั้นพื้นฐานที่สุด ทั้งหมดนี้คือถ้อยคำ การกระทำ และหัวข้อสำคัญที่ผู้คนหยิบยกขึ้นมาภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ดูจากการสนทนาของพวกเขาที่มีมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าสัมพันธภาพของพวกเขานั้นถูกควรทีเดียว บทสนทนาของพวกเขาทั้งเป็นไปตามมารยาทและตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และจากประเด็นสองข้อนี้ก็สามารถพิจารณาได้ว่าสัมพันธภาพของคนทั้งสองที่สนทนากันอยู่นั้นถูกควร แสดงให้เห็นสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคล ถ้าคนสองคนคุ้นเคยกันมาก แต่พอพบเจอกัน ทั้งคู่กลับนิ่วหน้าและไม่พูดจากัน เวลามองไปที่อีกฝ่าย ดวงตาของพวกเขาก็ลุกโชนด้วยความไม่เป็นมิตร นี่ใช่สัมพันธภาพที่ปกติหรือไม่? (ไม่ใช่) เหตุใดจึงไม่ปกติ? แท้จริงแล้วควรนิยามสัมพันธภาพนี้ว่าอย่างไร? เมื่อคนสองคนพบหน้า แต่ไม่ทักทายกันหรือแม้แต่คำว่า “สวัสดี” ก็ไม่พูด และยิ่งไม่สนทนาพูดคุยกันตามปกติ ก็เห็นได้ชัดว่าการสำแดงของพวกเขานั้นไม่ได้สะท้อนสิ่งที่คาดหวังกันจากความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สัมพันธภาพของพวกเขาไม่ใช่สัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคล เป็นสัมพันธภาพที่ออกจะบิดเบี้ยว แต่ก็ยังไม่ใช่สัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ยังคงห่างจากเรื่องนั้นอยู่บ้าง โดยทั่วไปแล้ว ถ้าสัมพันธภาพระหว่างผู้คนตั้งอยู่บนความเป็นมนุษย์ที่ปกติ โดยที่ผู้คนสามารถมีปฏิสัมพันธ์และสมาคมกันตามปกติและตามหลักธรรม ช่วยเหลือ เกื้อหนุน และดูแลเจือจานกัน ทั้งหมดนี้ย่อมบ่งชี้สัมพันธภาพที่ถูกควรในหมู่ผู้คน นี่หมายถึงการจัดการเรื่องราวในลักษณะที่เป็นการเป็นงาน ไม่ทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน ไม่มีผลประโยชน์เข้ามาพัวพัน และยิ่งไปกว่านั้นก็คือไร้ซึ่งความเกลียดชัง และไม่มีการกระทำที่ขับเคลื่อนด้วยความอยากได้อยากมีของเนื้อหนัง ทั้งหมดนี้อยู่ในขอบเขตของสัมพันธภาพที่ถูกควร เป็นขอบเขตที่กว้างทีเดียวมิใช่หรือ? สัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคลประกอบด้วยบทสนทนาและการติดต่อสื่อสารภายในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มีปฏิสัมพันธ์และการคบค้าสมาคมกับผู้อื่น ทำงานด้วยกันตามมโนธรรมและเหตุผลในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และในระดับที่สูงขึ้นไป นี่ย่อมเกี่ยวพันกับการมีปฏิสัมพันธ์และคบค้าสมาคมกันตามหลักธรรมความจริง นี่คือนิยามทั่วไปของสัมพันธภาพที่ถูกควรระหว่างบุคคลซึ่งผู้คนมีต่อกัน การทักทายกันเมื่อพบหน้าคือปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบที่ปกติที่สุด การสามารถทักทายและสนทนากันตามปกติโดยไม่วางท่า ไม่แสร้งทำเป็นรักใคร่เอ็นดูทั้งที่ไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น ไม่ทำตัวเหนือกว่า พูดจาโดยไม่กดผู้อื่นหรือยกตน พูดจาสื่อสารตามปกติ—คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรพูดจาสื่อสารกันเช่นนี้ ซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานของการมีปฏิสัมพันธ์ภายในสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคล อย่างน้อยที่สุดประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ควรมีมโนธรรมและเหตุผล มีปฏิสัมพันธ์ คบค้าสมาคม และทำงานร่วมกับผู้อื่นตามหลักธรรมและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คน นี่คือแนวทางที่ดีที่สุด สามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ แล้วพระเจ้าทรงกำหนดหลักธรรมความจริงไว้ว่าอย่างไร? ว่าผู้คนพึงเข้าอกเข้าใจผู้อื่นในยามที่อีกฝ่ายอ่อนแอและคิดลบ คำนึงถึงความเจ็บปวดและความยุ่งยากของพวกเขา จากนั้นก็ไถ่ถามถึงเรื่องราวเหล่านี้ เสนอความช่วยเหลือและการเกื้อหนุน อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเลิกอ่อนแอ และพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การปฏิบัติเช่นนี้ตรงตามหลักธรรมมิใช่หรือ? การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมตรงตามหลักธรรมความจริง ตามปกติแล้วสัมพันธภาพแบบนี้ยิ่งสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงมากขึ้น เมื่อผู้คนจงใจก่อให้เกิดการรบกวนและขัดขวาง หรือจงใจทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน ถ้าเจ้ามองเห็นดังนี้และสามารถชี้สิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเห็นได้ ว่ากล่าว และช่วยเหลือพวกเขาตามหลักธรรม เช่นนี้ก็ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมความจริง ถ้าเจ้าทำเป็นมองไม่เห็น หรือเห็นดีเห็นงามไปกับพฤติกรรมของพวกเขาและปกปิดให้ และไปไกลถึงขั้นกล่าวสิ่งดีๆ เพื่อสรรเสริญและยกย่องพวกเขา การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน รับมือเรื่องต่างๆ และจัดการปัญหาด้วยวิธีเหล่านี้ย่อมเห็นได้ชัดว่าขัดกับหลักธรรมความจริง และไม่มีหลักการรองรับในพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและรับมือเรื่องต่างๆ ด้วยวิธีเหล่านี้จึงชัดเจนว่าไม่ถูกควร และแท้จริงแล้วก็ไม่ได้ค้นพบโดยง่ายถ้าไม่มีการชำแหละและใช้วิจารณญาณแยกแยะวิธีการเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงก็ไม่ค่อยจะตระหนักรู้ปัญหาเหล่านี้ และต่อให้พวกเขายอมรับรู้ว่าวิธีเหล่านี้เป็นปัญหา ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะแก้ไขได้โดยง่าย พวกเรามักจะกล่าวกันว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามล้วนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยของซาตาน และการสำแดงเหล่านี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันเรื่องนั้น คราวนี้พวกเจ้ามองเห็นชัดแล้วใช่หรือไม่?
สิ่งที่พวกเรามุ่งให้ความสนใจเป็นหลักในสามัคคีธรรมวันนี้ก็คือ การเปิดโปงลักษณะสี่จำพวกที่สำแดงถึงสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรซึ่งก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร ใครคือคนที่มีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรภายในคริสตจักร? แท้จริงแล้วสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง? การมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรเกี่ยวพันกับปัญหาใดบ้าง? ด้วยเหตุที่หัวข้อหลักในสามัคคีธรรมของพวกเราเกี่ยวพันกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักร การเสวนาถึงสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรในครั้งนี้จึงจำกัดอยู่เฉพาะคนที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร พวกเราจะไม่เหมารวมสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรทุกประเภทไว้ด้วยกันโดยไม่แยกแยะ และเรื่องราวภายนอกชีวิตคริสตจักรก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราให้ความสนใจ พวกเจ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ถ่องแท้โดยไม่มีการเบี่ยงเบน ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของการมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร มีปัญหาใดและสัมพันธภาพระหว่างบุคคลมีแบบใดบ้างที่ไม่ถูกควร? สัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรแบบใดบ้างที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรและผู้คนส่วนใหญ่? เรื่องเหล่านี้ควรค่าแก่การสามัคคีธรรมใช่หรือไม่? (ใช่) เหล่านี้คือเรื่องที่ต้องพูดกันให้ชัดเจนในสามัคคีธรรมของพวกเรา
ก. ความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรกับคนต่างเพศ
ในชีวิตคริสตจักร ชนิดของสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรซึ่งพบเจอมากที่สุด เข้าใจง่าย และมีการระบุลักษณะเอาไว้แล้วคือสัมพันธภาพชนิดใด? (สัมพันธภาพกับคนต่างเพศ) เวลาผู้คนนึกถึงสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร นี่คือแง่มุมแรกที่นึกถึงกัน บางคนเกี้ยวพาราสีเพศตรงข้ามเสมอเมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มหนึ่งๆ พวกเขาทำอากัปกิริยาและแสดงออกในทางเชิญชวน พูดจาแสดงอารมณ์ความรู้สึกเป็นพิเศษ และชอบอวดตน ถ้าใช้คำที่ไม่เหมาะควรก็คือ โอ้อวดความต้องการทางเพศของตน เวลาอยู่ต่อหน้าเพศตรงข้าม พวกเขาชอบให้ตัวเองดูมีไหวพริบ มีอารมณ์ขัน ชวนฝัน เป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้กล้า มีพลังดึงดูดผู้คน และรอบรู้ เป็นต้น สุขสำราญกับการอวดตัวเป็นพิเศษ เหตุใดพวกเขาจึงอวดตัว? ไม่ใช่เพื่อแก่งแย่งสถานะ แต่เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม ยิ่งมีเพศตรงข้ามให้ความสนใจ ชายตามองพวกเขาด้วยความเลื่อมใส เคารพ และชื่นชู พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นและกระปรี้กระเปร่า ขณะที่พวกเขาร่วมใช้เวลาอยู่ในชีวิตคริสตจักรนานขึ้นและไปมาหาสู่กับผู้คนจำนวนมากขึ้น พวกเขาก็เล็งเป้าหมายไปที่คนบางคน เกี้ยวพาราสีและเมียงมองกันไปมากับเพศตรงข้ามบางคน มักจะพูดจายั่วยวน และแม้กระทั่งแฝงนัยของการคุกคามทางเพศ สัมพันธภาพระหว่างผู้คนเช่นนี้ถูกควรหรือไม่? (ไม่) นี่คือการมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ผู้คนดังกล่าวถึงกับใช้เวลาชุมนุมมาอวดตัว พูดจาให้ตนดูมีไหวพริบและมีเสน่ห์เป็นพิเศษต่อหน้าคนที่ตนชอบหรือสนใจ ทำอากัปกิริยาและปรายตาในทางเชิญชวน ตื่นเต้นและแสดงออกนอกหน้าว่าตนเป็นผู้ชนะ ถึงกับเดินกรีดกรายไปทั่ว ทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายอันใด? เพื่อเย้ายวนให้เพศตรงข้ามยอมมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร แม้พี่น้องชายหญิงหลายคนจะรู้สึกรังเกียจเรื่องนี้ และแม้จะมีการตักเตือนมากมายจากผู้คนรอบตัว แต่พวกเขาก็ยังคงไม่เลิกราและดึงดันที่จะเย้ายวนโดยไม่ยั้งคิดต่อไป ถ้าความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรเช่นนี้เกี่ยวพันกับผู้คนที่เกี้ยวพาราสีกันนอกชีวิตคริสตจักรเพียงสองคนและไม่กระทบชีวิตคริสตจักรหรืองานของคริสตจักร เช่นนั้นแล้วก็สามารถวางเรื่องนี้ไว้ก่อนได้ชั่วคราว อย่างไรก็ดี ถ้าคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรทำพฤติกรรมดังกล่าวในชีวิตคริสตจักรเป็นประจำและก่อให้เกิดการรบกวนผู้อื่น ก็ควรตักเตือนและห้ามปรามพวกเขา ถ้าพวกเขายังคงแก้ไขตัวเองไม่ได้แม้จะว่ากล่าวตักเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าและรบกวนชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรงไปแล้ว ก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรโดยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรออกเสียงเลือก แนวทางนี้เหมาะควรหรือไม่? (เหมาะควร) ถ้าเป็นเพียงคนหนุ่มสาวคบหาดูใจกันตามปกติ ขณะชุมนุมกันก็ควรวางตัวเรียบร้อยเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อผู้อื่น คริสตจักรเป็นสถานที่นมัสการพระเจ้า อ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า และใช้ชีวิตคริสตจักร ไม่ควรเอาความรักใคร่ส่วนตัวเข้ามารบกวนผู้อื่นในชีวิตคริสตจักร ถ้าก่อให้เกิดการรบกวนผู้อื่น ส่งผลต่ออารมณ์ของผู้อื่นขณะชุมนุม มีผลกระทบต่อผู้อื่นในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ในการทำความเข้าใจและรู้จักพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ผู้คนว่อกแว่กและถูกรบกวนกันมากขึ้น เช่นนั้นแล้วก็ย่อมระบุว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร แม้กระทั่งการคบหาดูใจซึ่งเป็นที่ยอมรับ ถ้าก่อให้เกิดการรบกวนผู้อื่น ก็จะถูกระบุว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเย้ายวนเพศตรงข้ามที่ไม่ได้คบหาดูใจกัน เพราะฉะนั้น ถ้าใครมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรภายในชีวิตคริสตจักร ก็ไม่ควรเปิดโอกาสหรือตามใจพวกเขากันโดยปริยาย แต่ควรตักเตือน ห้ามปราม และแม้กระทั่งเอาตัวออกไปตามหลักธรรม นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินการ ถ้าพบว่าใครบางคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรและก่อให้เกิดการรบกวนผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักร โดยที่การมีอยู่ของพวกเขาพาให้ผู้อื่นว่อกแว่กและติดบ่วงความคิดอ่านที่มีแต่กำหนัด ถึงกับพาให้ครอบครัวแตกแยกและทำให้ผู้เชื่อใหม่บางคนหมดความสนใจในการชุมนุม ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า หรือแม้กระทั่งในตัวความเชื่อเอง กลับลุ่มหลงในตัวคนที่ตนชื่นชูหนักขึ้น อยากหนีไปใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน และทิ้งความเชื่อ—ถ้าสถานการณ์ร้ายแรงถึงขั้นนี้ แต่ผู้นำและคนทำงานกลับไม่จริงจังกับปัญหา คิดไปว่าแค่มีความกำหนัดของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปล้วนทำกัน ไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาหรือยิ่งไม่ตระหนักว่าปัญหาสามารถลุกลามไปไกลขนาดไหน กลับเพิกเฉย ตอบสนองเรื่องดังกล่าวอย่างมึนชาและเนือยเป็นพิเศษ และท้ายที่สุดก็ก่อให้เกิดผลพวงที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักร—เมื่อเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติของเหตุการณ์เหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนที่ร้ายแรง เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนที่ร้ายแรง? เพราะเหตุการณ์เหล่านี้รบกวนและทำลายระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักร ด้วยเหตุนั้นเมื่อมีผู้คนดังกล่าวแสดงตัวในคริสตจักร จึงควรห้ามปรามพวกเขาไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยหรือมากก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดการแก้ไขเป็นรายๆ ไป แต่ถ้าสถานการณ์นั้นร้ายแรง ก็ต้องให้แยกเดี่ยว ถ้าแยกเดี่ยวแล้วไม่เกิดผล และพวกเขายังคงเย้ายวนเพศตรงข้าม รบกวนชีวิตคริสตจักร และทำลายระเบียบปกติของคริสตจักรต่อไป เช่นนั้นแล้วก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรตามหลักธรรม แนวทางนี้ถูกควรหรือไม่? (ถูกควร) ผลกระทบที่เรื่องดังกล่าวมีต่อชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักรย่อมสร้างความเสียหายเป็นอันมาก เรื่องเช่นนี้ก็คล้ายโรคระบาด ต้องขจัดให้หมด
ทุกคนที่โน้มเอียงไปในทางที่จะเย้ายวนเพศตรงข้าม ย่อมทำเช่นนั้นไม่ว่าจะไปที่ใด ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอย่างไม่รู้เหนื่อย เป้าหมายที่พวกเขาเย้ายวนและคุกคามมักจะเป็นคนหนุ่มสาวที่มีหน้าตาชวนมอง แต่บางครั้งพวกเขาก็ข้องแวะกับผู้คนวัยกลางคนด้วย—ใครก็ได้ที่พวกเขาเห็นว่าดึงดูดใจ พวกเขาขมีขมันที่จะหาโอกาสเย้ายวน ถ้าพวกเขาตั้งใจเย้ายวนผู้อื่น บางคนก็ไม่อาจต้านทานการยั่วใจนั้นได้และหลงเชื่อ ซึ่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรได้ง่าย เนื่องจากผู้คนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และไม่เข้าใจความจริง แล้วพวกเขาจะเอาชนะการทดลองเหล่านี้และต้านทานการยั่วใจดังกล่าวได้อย่างไร? ผู้คนด้อยวุฒิภาวะเกินไป เมื่อเผชิญการทดลองและการยั่วใจเหล่านี้ พวกเขาจึงอ่อนแอและจนใจเป็นพิเศษ เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบ มีผู้นำชายคนหนึ่งที่พยายามเย้ายวนหญิงสวยทุกคนที่เขาพบเจอ บางครั้งการเย้ายวนเพียงคนเดียวก็ไม่เพียงพอ—เขาอาจจะเย้ายวนหญิงสามหรือสี่คน ทำให้ทุกคนหลงเสน่ห์เขาถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ และถึงกับหมดความอยากทำหน้าที่ของตน “เสน่ห์” ของชายคนนี้เป็นเช่นนั้น ถ้าเขาแค่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตามปกติ ไม่จงใจพยายามเย้ายวนพวกเธอ เขาก็จะไม่มีอิทธิพลมากมายขนาดนั้น เฉพาะเมื่อเขาเจตนาบริหารเสน่ห์และเย้ายวนผู้อื่นเท่านั้น จึงได้มีผู้คนหลงเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มจำนวนคนที่ถูกเย้ายวนให้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรกับเขามากขึ้น ผู้คนไม่มีกำลังที่จะแข็งขืนและตกอยู่ในการทดลองเหล่านี้ นี่คือ “เสน่ห์” ของความกำหนัด สิ่งที่เขาทำนั้นก่อให้เกิดการทดลอง การยั่วใจ และการก่อกวนแก่ทั้งสองฝ่าย ชายคนหนึ่งเย้ายวนผู้หญิงหลายคนพร้อมกัน—หัวใจของเขาย่อมเป็นกังวลมิใช่หรือ? จะใส่ใจผู้หญิงคนไหนก่อน จะทำให้คนไหนพอใจก่อน—เขาย่อมจะคิดจนเหนื่อยมิใช่หรือ? (ใช่) ถ้าเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้น เหตุใดเขาจึงยังคงประพฤติตัวเช่นนี้? นี่คือความเลวทราม เขาเป็นคนประเภทนี้ นี่คือธรรมชาติของเขา เมื่อเหยื่อถูกเย้ายวนและตกอยู่ในการทดลองแล้ว พวกเธอจะหนีจากการทดลองได้ง่ายหรือไม่? เมื่อติดอยู่ในการทดลองแล้ว ก็ยากที่จะหนีพ้น การกิน การนอน การเดินเหิน และปฏิบัติหน้าที่—ไม่ว่าพวกเธอจะทำสิ่งใด จิตใจก็ย่อมเต็มไปด้วยความนึกคิดเกี่ยวกับคนคนนี้ หัวใจของพวกเธอย่อมมีแต่คนคนนี้ การรบกวนเช่นนี้ร้ายแรงอย่างยิ่ง! สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือการนึกคิดอย่างต่อเนื่องว่าจะเอาใจคนคนนี้อย่างไร จะดึงความสนใจอย่างไร จะชนะใจพวกเขาได้อย่างไร จะผูกขาดพวกเขาเอาไว้ได้อย่างไร จะแข่งขันและต่อสู้กับคู่แข่งคนอื่นอย่างไร นี่คือผลที่เกิดจากการถูกรบกวนมิใช่หรือ? ง่ายหรือไม่ที่จะหนีจากสภาวะดังกล่าว? (ไม่ง่าย) ผลสืบเนื่องย่อมร้ายแรง ถึงตอนนี้หัวใจของคนเราจะยังคงสงบเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่? เมื่อคนเหล่านั้นอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาจะยังคงซึมซับพระวจนะได้หรือไม่? จะยังคงมีความสว่างได้หรือไม่? ขณะชุมนุม พวกเขาจะยังคงอยู่ในอารมณ์ที่จะจดจ่อและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า และรับฟังผู้อื่นแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ หัวใจของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความกำหนัด มีแต่คนที่พวกเขาชื่นชู ไร้ซึ่งเรื่องจริงจังใดๆ—แม้กระทั่งพระเจ้าก็จะหายไปจากหัวใจของพวกเขา สิ่งที่ตามมาก็คือการครุ่นคิดว่าจะมีประสบการณ์กับความรักอย่างไร จะเป็นคนชวนฝันได้อย่างไร เป็นต้น และย่อมหมดความประสงค์ที่จะเชื่อในพระเจ้าไปสิ้น ผลสืบเนื่องเหล่านี้ดีหรือไม่? นี่ใช่สิ่งที่ผู้คนอยากเห็นหรือไม่? (ไม่ใช่) ผลของการถูกเย้ายวนและตกอยู่ในการทดลองใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถป้องกันได้หรือไม่? ผู้คนสามารถควบคุมผลสืบเนื่องเหล่านี้ได้หรือไม่? นี่จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาได้หรือไม่? พวกเขาจะสามารถไปถึงขั้นที่เลิกได้เมื่อในใจอยากเลิกหรือไม่? ไม่มีใครสัมฤทธิ์เรื่องนี้ได้ นี่คือผลที่เกิดกับผู้คนเมื่อถูกความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรดังกล่าวรบกวน เมื่อไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของคนเรา และคนเราก็ไม่อยากอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกต่อไป ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นไร? ยังคงมีความหวังที่จะได้รับความรอดหรือไม่? ความหวังที่จะได้รับความรอดย่อมเป็นศูนย์ ทุกสิ่งย่อมสูญสิ้น คำสอนเพียงน้อยนิดที่เคยเข้าใจไปก่อนหน้านี้ ความมุ่งมั่นและปณิธานที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า และความประสงค์ที่จะได้รับความรอดจากพระเจ้าล้วนถูกทิ้งไปสิ้น—เหล่านี้คือผลที่เกิดตามมา ผู้คนพาตัวออกห่างจากพระเจ้าและปฏิเสธพระองค์อยู่ในหัวใจ และพวกเขาก็ถูกพระเจ้าปฏิเสธเช่นกัน ผลข้อนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ติดตามและเชื่อในพระเจ้าปรารถนาที่จะเห็น และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ผู้ติดตามพระเจ้าคนใดจะสามารถยอมรับได้ อย่างไรก็ดี เมื่อผู้คนตกอยู่ในการทดลองเช่นนี้และติดอยู่ในวังวนของความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรแล้ว พวกเขาย่อมพบว่าเป็นการยากที่จะถอนตัวและยิ่งไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เพราะฉะนั้นจึงควรห้ามปรามความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรดังกล่าว ในกรณีที่ร้ายแรง คือเป็นคนที่รบกวนและคุกคามเพศตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง ควรชำระพวกเขาออกจากคริสตจักรทันทีโดยไว พวกเขาจะได้ไม่รบกวนชีวิตคริสตจักร และยิ่งไปกว่านั้นจะได้ป้องกันไม่ให้มีผู้คนมาติดบ่วงการทดลองมากขึ้น แนวทางนี้สมเหตุสมผลใช่หรือไม่? (ใช่)
ในความรับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงาน ผู้นำและคนทำงานต้องทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ในงานแต่ละอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมีชีวิตคริสตจักรที่ปกติ พิทักษ์พี่น้องชายหญิงจากการแทรกแซงหรือก่อกวนในชีวิตคริสตจักร นี่หมายถึงการปกป้องพี่น้องชายหญิงทุกคนที่สามารถใช้ชีวิตคริสตจักรที่ปกติได้ แท้จริงแล้วควรปกป้องสิ่งใด? ควรปกป้องพี่น้องชายหญิงเพื่อให้พวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างสงบเงียบขณะชุมนุม อ่านอธิษฐานและแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างมีสันติสุข และพร้อมกันนั้นพี่น้องชายหญิงก็ควรที่จะสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยหัวใจและความรู้สึกนึกคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า แสวงหาความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า มีการสถิตของพระเจ้า ตลอดจนได้รับพรและการทรงนำจากพระเจ้า นี่คือผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดของพี่น้องชายหญิงทุกคน และเป็นสิ่งที่ทุกคนจะขาดเสียมิได้ นี่เกี่ยวข้องกับว่าพวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ และจะสามารถมีบั้นปลายอันดีงามหรือไม่ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องควบคุมคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรในคริสตจักรอย่างเข้มงวด แยกเดี่ยว หรือเอาตัวออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องกำกับดูแลคนที่มีความสัมพันธ์กับคนต่างเพศอย่างเคร่งครัด ที่ว่ากำกับดูแลนี้หมายความว่าอย่างไร? ถ้าเป็นเพียงกรณีที่ไม่ร้ายแรง ก็ควรเปิดโปงและตัดแต่งพวกเขา หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ทันที และป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อผู้อื่น ถ้าเป็นกรณีที่ร้ายแรงก็จำเป็นต้องลงมืออย่างเฉียบขาดโดยไม่ลังเล ควรเอาตัวพวกเขาออกจากคริสตจักรทันทีที่ทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้คนถูกรบกวนมากขึ้น ถ้าพวกเขาอยากก่อให้เกิดการรบกวน ก็จงปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนั้นในโลกภายนอก รบกวนใครก็ได้ตามใจอยาก สรุปว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนในชีวิตคริสตจักรที่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ควรถูกพวกเขารบกวน นี่คือหลักธรรมและจุดหมายเบื้องต้นในงานของผู้นำและคนทำงานในด้านความรับผิดชอบประการที่สิบสอง
ข. ความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ
ในประเด็นปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรนั้น สิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปส่วนใหญ่เป็นการมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรกับคนต่างเพศ ซึ่งเกี่ยวพันกับการเย้ายวน ยั่วใจ อวดตัว และหยอกล้อเพศตรงข้าม ขวนขวายที่จะเข้าหาและพยายามใกล้ชิดพวกเขา มักจะพยายามนั่งใกล้พวกเขาในที่ชุมนุมจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม นอกจากนี้ก็ไม่ได้เย้ายวนเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่หันไปหาอีกคนถ้าความพยายามครั้งแรกล้มเหลว สมาชิกมากมายที่เป็นเพศตรงข้ามในคริสตจักรจึงถูกคุกคาม จากนั้นปัญหานี้ก็กลายเป็นเรื่องร้ายแรง นี่ครอบคลุมความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรกับคนต่างเพศ นอกจากความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามแล้ว ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรในหมู่คนเพศเดียวกันอีกด้วย ถ้าคนเพศเดียวกันสองคนมีความเป็นมิตรให้กันเป็นพิเศษ รู้จักกันมานานและสนิทสนมกันมาก เช่นนั้นก็ถูกควรแล้วที่พวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยๆ อย่างไรก็ดี เมื่อความเป็นเพื่อนกลายเป็นความสัมพันธ์ทางเนื้อหนังที่เต็มไปด้วยความกำหนัด ความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ควรจัดว่าไม่ถูกควรเช่นกัน ถ้าคนเพศเดียวกันสองคนสัมผัสร่างกายกันบ่อยครั้ง ถึงขั้นใช้ภาษาที่มีลักษณะยั่วยวนกันเป็นประจำ และมักจะพบเห็นคนทั้งสองใช้แขนโอบกัน หรือมีพฤติกรรมและลักษณะการสำแดงที่ยิ่งชัดเจนกว่านั้น เช่นนั้นแล้ว นานเข้าก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนว่า “ไม่ใช่ว่าสองคนนี้กำลังช่วยเหลือกันหรือมีบุคลิกที่เข้ากันได้ พวกเขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือการรักคนเพศเดียวกัน!” ทั้งนี้ ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการรักเพศเดียวกันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร มีธรรมชาติที่ร้ายแรงและเป็นสิ่งที่ไม่ถูกควรยิ่งกว่าความสัมพันธ์ต่างเพศเสียอีก ถ้ามีความสัมพันธ์ดังกล่าวอยู่ในคริสตจักร ก็อาจแพร่เหมือนโรคระบาดได้ นำพาบางคนเข้าสู่การทดลองและการยั่วใจจำพวกนี้ บางคนกล่าวว่าในอดีตพวกตนก็เคยรักคนเพศเดียวกัน แต่ไม่ได้เต็มใจทำเช่นนั้น เมื่อวางเรื่องที่ว่าพวกเขาใช่คนที่รักเพศเดียวกันจริงหรือไม่ หรือว่ารสนิยมทางเพศของพวกเขาเป็นเช่นไรเอาไว้ก่อน ถ้าพวกเขาสามารถตกอยู่ในการทดลองดังกล่าวภายใต้การยั่วใจได้—โดยที่ตอนนี้จะพักไว้ก่อนว่าพวกเขาทำเช่นนั้นด้วยความเต็มใจหรือปล่อยเลยตามเลย—เช่นนั้นแล้วก่อนอื่นพวกเขาก็ถูกเรื่องนั้นรบกวนไปแล้ว ดูจากที่พวกเขากล่าวอ้างว่าพวกเขาไม่ได้ทำด้วยความเต็มใจ พวกเขาก็เคยเป็นเหยื่อ เพราะฉะนั้น ถ้าคนที่รักเพศเดียวกันเย้ายวนและยั่วใจผู้อื่นที่เป็นคนเพศเดียวกัน ฝ่ายที่ถูกเขายั่วใจ แม้จะไม่จำเป็นต้องรักคนเพศเดียวกันเสียเอง ก็สามารถกลายเป็นคนที่รักเพศเดียวกันได้หลังจากที่ถูกคนเช่นนั้นยั่วใจ นี่เป็นสถานการณ์ที่อันตรายมิใช่หรือ? เหตุใดจึงกล่าวว่าผู้คนดังกล่าวรักคนเพศเดียวกัน? คนที่รักต่างเพศและเย้ายวนผู้คนมากมายจัดอยู่ในจำพวกคนเจ้าชู้ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรอย่างหนึ่ง แล้วเมื่อคนเพศเดียวกันสองคนที่มีสัมพันธภาพใกล้ชิดและไปด้วยกันได้ดีกุมมือและโอบกอดกัน ซึ่งล้วนเป็นเรื่องปกติ นั่นบานปลายจนพวกเขาถูกนิยามว่าเป็นคนรักเพศเดียวกันได้อย่างไร? นี่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ทางเพศของพวกเขา—เมื่อความสัมพันธ์ระดับนี้เกิดขึ้น ก็ย่อมกลายเป็นรักร่วมเพศ เมื่อพวกเขาโอบไหล่กัน กอดคอกัน หรือโอบเอวกัน นี่ไม่ใช่การสัมผัสร่างกายระหว่างคนเพศเดียวกันตามปกติ แต่เป็นสัมผัสทางกายที่ขับเคลื่อนด้วยความกำหนัด มีธรรมชาติที่ต่างออกไป และด้วยเหตุนั้นจึงจัดอยู่ในหมวดความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรแล้ว การมองเห็นคนที่รักเพศเดียวกันเช่นนั้นเป็นเรื่องเจริญใจหรือไม่? (ไม่เจริญใจ) หลังจากที่มองเห็นเรื่องนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมรู้สึกว่าถูกรบกวนใช่หรือไม่? ถ้าเจ้าไม่รู้สถานการณ์มาก่อน แล้วพวกเขาเอาแขนมากอดคอหรือโอบเอวเจ้า หรือถึงกับหอมแก้มเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าถูกรบกวนหรือไม่? (รู้สึก) เมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวน เจ้าจะรู้สึกสบายใจหรือว่าอึดอัดใจ? (ข้าพระองค์ย่อมรู้สึกขยะแขยง) ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมจะมีความรู้สึกว่าทำบาปไปแล้วใช่หรือไม่? ถ้าเจ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าปัญหาแบบนี้มีแก่นแท้เป็นเช่นไร และเจ้าก็แค่ถูกคนเพศเดียวกันแตะต้องหรือสัมผัสร่างกายโดยที่เจ้าไม่ได้คิดอะไรมากในภายหลัง เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าเก็บไปคิดและคิดไม่หยุด จากนั้นเจ้าก็ไม่อาจปล่อยมือจากคนคนนี้ได้ คล้ายกับที่คนเราอาจจะคะนึงหาเพศตรงข้ามไม่ว่าเจ้าจะมีสติแข็งขืนเอาไว้หรือไม่ก็ตาม เช่นนั้นแล้วการที่ความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในตัวเจ้าก็บ่งชี้ว่าเจ้าถูกรบกวนไปเรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ? ดังนั้น ธรรมชาติของความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ ความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรชนิดนี้ จึงร้ายแรงกว่ามาก บางคนไม่สามารถมองเห็นว่าความเจ้าชู้ในหมู่คนรักต่างเพศแตกต่างจากการรักคนเพศเดียวกันอย่างไร และทำเหมือนสองเรื่องนี้เป็นปัญหาที่เหมือนกัน แท้จริงแล้วปัญหาของการรักคนเพศเดียวกันร้ายแรงกว่าปัญหาความเจ้าชู้ในหมู่คนรักต่างเพศมากนัก
ถ้ามีคนที่มีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศอยู่ในคริสตจักรและไม่มีการห้ามปราม พวกเขาก็จะคุกคามและรบกวนทุกคน เป็นการรบกวนชนิดใดบ้าง? เมื่อดูจากภายนอก ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อาจสังเกตพบปัญหาใดๆ ในความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเวลามีปฏิสัมพันธ์กัน แต่ปฏิสัมพันธ์ที่เนิ่นนานออกไปย่อมทำให้ความคิดของพวกเขาพร่ามัวและหัวใจก็มืดดำ พวกเขาย่อมสูญเสียความกระตือรือร้นที่จะเชื่อในพระเจ้า และเมื่อไม่ได้เผชิญปัญหาจำเพาะอันใด พวกเขาย่อมไม่เต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้า หมดความสนใจที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของพวกเขารู้สึกห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที และพวกเขาก็เกิดความคิดชั่วที่จะทิ้งความเชื่อของตนเสีย ด้วยเหตุนั้นจึงไม่เพียงควรหยุดยั้งและควบคุมความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศที่ไม่ถูกควรดังกล่าวภายในคริสตจักรเท่านั้น แต่ควรชำระคนที่มีความสัมพันธ์ดังกล่าวออกจากคริสตจักรทันที นี่ถือเป็นเด็ดขาด เมื่อพบตัวผู้คนดังกล่าว ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่หรือมีสถานะอันใด ก็ต้องชำระพวกเขาออกจากคริสตจักรทันที ไม่มีการผ่อนปรน! นี่คือข้อบังคับของคริสตจักร เหตุใดจึงมีการวางข้อบังคับเช่นนี้? นี่ตั้งอยู่บนหลักการที่เชื่อถือได้ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง หลังจากที่ทรงสร้างอาดัมแล้ว คู่ของอาดัมก็คือเอวา ไม่ใช่อาดัมอีกคน การลงมือต่อต้านคนที่มีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศเช่นนี้จึงเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า และถูกต้องเป็นที่สุด บางคนอาจจะกล่าวว่า “ทำไมไม่ให้ผู้คนเหล่านี้มีโอกาสกลับใจ? พวกเขายังหนุ่มสาว ไม่ควรเปิดโอกาสให้พวกเขาทำเรื่องน่าหัวร่อบ้างหรือไร?” ไม่! กับการกระทำอื่นๆ ที่น่าหัวร่ออาจจะมีการปฏิบัติที่ต่างออกไปตามรูปการณ์และธรรมชาตินั้นๆ แต่จำเพาะการกระทำที่น่าหัวร่อแบบนี้ นี่ไม่ได้เป็นเพียงการกระทำที่น่าหัวร่อเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ไม่อาจทนยอมรับได้อย่างเด็ดขาด ใครก็ตามที่ทำเรื่องเช่นนี้ในคริสตจักรต้องถูกชำระออกไปทันที! ถ้าคริสตจักรหนึ่งๆ มีแต่คนรักร่วมเพศทั้งคริสตจักร เช่นนั้นแล้วทุกคนย่อมจะถูกชำระออกไป คริสตจักรแบบนั้นไม่เป็นที่ต้องการแม้แต่แห่งเดียว! นี่คือหลักธรรม บางคนกล่าวว่า “บางคนมีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศด้วยการข้องแวะกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเย้ายวนคนอื่นหรือเริ่มรบกวนใครอื่น ควรจัดการเอาตัวผู้คนดังกล่าวออกไปกระนั้นหรือ?” ถ้าพวกเขารักคนเพศเดียวกันจริง การปล่อยให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรก็เหมือนการวางระเบิดเวลาเอาไว้ท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะระเบิดขึ้นมาเป็นแน่ ต่อให้พวกเขาไม่ได้รบกวน เย้ายวน หรือคุกคามคนเพศเดียวกัน นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ทำเช่นนั้นในอนาคต อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขายังไม่พบคนที่ตนอยากคบหา คนที่ตนนึกชอบ หรือยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม และทุกคนก็ยังไม่คุ้นเคยและยังไม่เข้าใจกัน แต่เมื่อถึงเวลาที่ใช่และเหมาะสมสำหรับผู้คนดังกล่าว พวกเขาย่อมจะเริ่มทำอะไรบางอย่าง เพราะฉะนั้น ต้องไม่มีวันยอมผ่อนปรนให้ผู้คนดังกล่าวหรืออนุญาตให้คงอยู่ในคริสตจักรเป็นอันขาด เพราะพวกเขาผิดธรรมชาติและไม่ใช่มนุษย์ คริสตจักรไม่ต้องการผู้คนดังกล่าว การจัดการคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรดังกล่าวในลักษณะนี้ย่อมไม่ผิดหรือเกินเหตุ อย่างไรก็ดี บางคนก็กล่าวว่า “คนที่รักร่วมเพศบางคนก็ดูเป็นคนดีทีเดียว พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี ปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับ เคารพผู้อาวุโสและรักผู้เยาว์ ทำความดีเสมอ บางคนถึงกับมีพรสวรรค์และทักษะ และบ้างก็บริจาคและให้ความช่วยเหลือในคริสตจักรเป็นพิเศษ พวกเราควรปล่อยให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักร” ความคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) ไม่ว่าความคิดของเจ้าจะถูกหรือผิด เจ้าก็ต้องสามารถเท่าทันธรรมชาติของคนรักร่วมเพศ หลักปฏิบัติของคริสตจักรสำหรับคนที่มีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศก็คือให้เอาตัวพวกเขาออกไป นี่คือกฎการปกครองที่ใครก็ไม่อาจละเมิดได้ ทุกคนต้องปฏิบัติตามหลักธรรมข้อนี้
การสำแดงถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรสองจำพวกที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนดูออก เท่าทัน และระบุได้ง่ายที่สุด ในส่วนของคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรดังกล่าว ด้านหนึ่ง ผู้นำและคนทำงานต้องลุล่วงความรับผิดชอบโดยใช้มาตรการต่างๆ มาจัดการพวกเขา เช่น หยุดยั้ง ควบคุม แยกเดี่ยว และเอาตัวออกไป อีกด้านหนึ่ง พี่น้องชายหญิงก็ควรใช้วิจารณญาณและอยู่ให้ห่างจากคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรสองจำพวกนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยั่วใจให้ตกอยู่ในการทดลอง ซึ่งสามารถส่งผลต่อความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อให้พวกเขาได้รับความรอด เมื่อติดบ่วงการทดลองแล้ว ก็ยากที่จะหลุดออกมา ผู้คนส่วนใหญ่ควรที่จะสามารถดูผู้คนสองจำพวกนี้ออก อย่าทำตัวเหมือนที่ผู้คนในสังคมประพฤติกัน แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าใครเกี้ยวพาราสีใคร ไม่มีมุมมองหรือจุดยืนที่ถูกต้องเกี่ยวกับคนที่ทำตัวเจ้าชู้ สามารถมีปฏิสัมพันธ์ตามปกติกับผู้คนดังกล่าวตราบเท่าที่ไม่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของตน พูดจาอย่างที่คนเราทำกันทั่วไป ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดผิดแปลก ผู้คนเช่นนั้นมีหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้อื่นหรือไม่? ไม่มีเลย ผู้ไม่มีความเชื่อทุกคนใช้ชีวิตตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก พากเพียรที่จะไม่ล่วงเกินใครก็เพื่อปกป้องตนเอง แต่แน่นอนว่าพระนิเวศของพระเจ้าย่อมแตกต่างจากสังคมที่ไม่มีความเชื่อ ความจริงครองอำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมความจริง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรล้วนยอมรับความจริง เตรียมตนให้พร้อมรับความจริง และใช้ความจริงในการแยกแยะและปฏิบัติต่อผู้อื่น ไม่เพียงเพื่อดำรงรักษาชีวิตคริสตจักรและปกป้องพี่น้องชายหญิงเอาไว้เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเพื่อปกป้องตนเองจากความทุกข์ที่เกิดจากการทดลองและหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกหลอกล่อเข้าสู่การทดลอง ยิ่งเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณดูผู้คนดังกล่าวและออกห่างได้เร็ว เจ้าก็จะยิ่งสามารถพาตัวออกห่างจากการทดลองและได้รับการคุ้มครอง นี่คือวิธีการที่เจ้าควรใช้ปฏิบัติต่อผู้คนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควร นี่เป็นไปตามหลักธรรมความจริงและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า
ค. สัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรจากการมีส่วนได้ส่วนเสีย
สัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรอีกชนิดหนึ่งก็คือสัมพันธภาพที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้คนทำสิ่งต่างๆ เช่น ป้อยอ ยกชู สรรเสริญ และทำตัวให้ถูกใจกันก็เพื่อผลประโยชน์ การนำเอาบรรยากาศอันเลวและการประพฤติปฏิบัติที่คดโกงเช่นนั้นเข้ามาในชีวิตคริสตจักรย่อมมีผลร้ายแรงต่อผู้อื่นที่กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือรับฟังการแบ่งปันประสบการณ์อยู่เงียบๆ เมื่อมีการสร้างสัมพันธภาพที่มีส่วนได้ส่วนเสีย บุคคลที่เกี่ยวข้องมักจะกล่าวหรือทำสิ่งที่ขัดกับความต้องการของตน เพื่อประโยชน์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าใครสักคนมองเห็นว่าอีกคนหนึ่งสามารถทำประโยชน์ให้แก่ธุรกิจหรือผลประโยชน์ของพวกเขาในหนทางบางอย่าง พวกเขาก็อาจจะเลือกคนคนนั้นเป็นผู้นำ เสนอชื่อคนคนนั้นทำหน้าที่จำเพาะ หรือเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่คนคนนั้นพูด โดยกล่าวอ้างว่าถูกต้องไม่ว่าจะตรงตามความจริงหรือไม่ก็ตาม เพื่อเป็นการประจบเอาใจ พวกเขาทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ตรงตามหลักธรรมและขัดกับความจริงเพื่อประจบเอาใจคนเหล่านั้น ซึ่งรบกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในการใช้วิจารณญาณดูผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย และในการเข้าสู่ความจริง พวกเขาบรรยายสิ่งที่ผิดและบิดเบี้ยวว่าถูก อธิบายมโนคติอันหลงผิดและเรื่องคิดฝันของมนุษย์ว่าตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า และอื่นๆ และด้วยเหตุนั้นจึงรบกวนความคิดอ่านของผู้คน รวมทั้งทิศทางและจุดหมายที่ถูกต้องในการไล่ตามเสาะหาของผู้คน พฤติกรรมทั้งหมดนี้เกิดจากการที่พวกเขาดำรงรักษาสัมพันธภาพที่มีส่วนได้ส่วนเสียเอาไว้ พวกเขาสามารถพูดจาขัดกับมโนธรรมและกระทำการขัดกับหลักธรรมเพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของตนเอง สิ่งที่พวกเขาพูดและทำย่อมรบกวนและทำลายชีวิตคริสตจักร ในที่สุดก็พาให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า อ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า หรือแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวในลักษณะที่ปกติและมีแบบแผน ส่งผลให้ผู้คนสูญเสียการเข้าสู่ชีวิต เวลาผู้คนสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจจากประสบการณ์ของตน พวกเขามักจะถูกสัมพันธภาพที่มีส่วนได้ส่วนเสียของผู้คนเข้าแทรกแซง บ้างก็เป็นการแทรกแซงด้วยวาจา บ้างเป็นการแทรกแซงทางพฤติกรรม และบ้างก็เป็นเรื่องของจุดหมายและทิศทาง ผู้คนมักจะพูดขัดจังหวะขณะสามัคคีธรรมความจริงและอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า พาออกนอกเรื่องอยู่เนืองๆ และมักจะส่งผลในระดับต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นจึงควรกวดขันคนที่มีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรจากการมีส่วนได้ส่วนเสียและมีพฤติกรรมที่เกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ ผู้นำคริสตจักรที่เผชิญปัญหาเหล่านี้ไม่ควรทำเป็นมองไม่เห็น และแน่นอนว่าไม่ควรปล่อยปละการทำชั่วดังกล่าว และเห็นดีเห็นงามกับการเกิดเรื่องเช่นนั้นในชีวิตคริสตจักร แต่พวกเขาควรระวังระไว จับสังเกตได้เร็ว และควรหยุดยั้งและควบคุมเรื่องดังกล่าวทันที
การมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรจากการมีส่วนได้ส่วนเสียเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปในคริสตจักร ตัวอย่างเช่น ถ้าใครสักคนวางแผนที่จะสมัครรับเลือกเป็นผู้นำคริสตจักรคนต่อไป พวกเขาก็อาจจะดึงคนกลุ่มหนึ่งมาบอกแนวคิดของตนให้พวกเขารู้ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เบาปัญญา พวกเขาจึงบอกใบ้ว่า “ถ้าพวกเราเลือกคุณ คุณจะทำประโยชน์อะไรให้พวกเราบ้าง?” ด้วยเหตุนี้ในหมู่พวกเขาจึงเกิดสัมพันธภาพที่อิงตามส่วนได้ส่วนเสีย ขณะชุมนุม พวกเขามักจะใช้จุดยืนเดียวกันในเรื่องต่างๆ เพื่อดำรงรักษาส่วนได้ส่วนเสียของพวกตนเอาไว้ และพวกเขาก็พูดคุยกันเสมอโดยที่ผู้อื่นไม่ตระหนักหรือล่วงรู้เบื้องหลัง ว่าคนคนหนึ่งดีอย่างไร สิ่งที่อีกคนหนึ่งทำได้รับอนุญาตและได้พรจากพระเจ้าอย่างไร ใครถวายของบ้างและถวายมากเท่าใด และใครทำคุณูปการอันใดให้แก่พระนิเวศของพระเจ้าบ้าง พวกเขามักจะสรรเสริญและชมเชยกัน และในชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็มักจะแถลงเรื่องเหล่านี้เพื่อสนับสนุนฉันทามติที่พวกเขาเพิ่งมีร่วมกันไปก่อนหน้านั้นและเพื่อค้ำจุนผลประโยชน์ที่พวกเขามีด้วยกัน ตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะบอกว่า “ถ้าคุณเลือกฉันเป็นผู้นำ พอฉันเข้ารับตำแหน่ง ฉันจะให้คุณเป็นหัวหน้ากลุ่ม” พวกเขาต่างก็มองหาผลประโยชน์ส่วนตนมิใช่หรือ? เพื่อที่จะบรรลุผลประโยชน์ของตน พวกเขาต้องกล่าวบางสิ่งหรือลงมือทำบางอย่างมิใช่หรือ? ดังนั้น พวกเขาจึงสำแดงสิ่งต่างๆ ออกมาขณะชุมนุม โดยทั้งหมดนั้นมุ่งหมายที่จะค้ำจุนฉันทามติที่พวกเขามีร่วมกันมาก่อน รวมทั้งผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่จะสัมฤทธิ์จุดหมายของตน สิ่งที่พวกเขาทำส่วนใหญ่ย่อมมีผลประโยชน์เป็นแรงขับเคลื่อน ดังนั้น เจตนาและจุดประสงค์เบื้องหลังสิ่งที่พวกเขากล่าวและทำจึงไม่ถูกควรอย่างยิ่งมิใช่หรือ? สัมพันธภาพที่สร้างขึ้นมาในหมู่พวกเขาจึงเป็นสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรใช่หรือไม่? ควรควบคุมสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรเยี่ยงนี้ภายในคริสตจักรใช่หรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ถ้าไม่พบเจอ พวกเราจะควบคุมได้อย่างไร?” เรื่องดังกล่าวเมื่อทำแล้วย่อมจะสามารถพบเจอและจะถูกเปิดโปง เว้นแต่จะไม่ได้ลงมือทำแต่อย่างใด ถ้าผู้คนสามัคคีธรรมความจริง สามัคคีธรรมถึงความเข้าใจและประสบการณ์ของตนอย่างถูกควร ไม่ได้ผสมสิ่งใดที่ไม่สัมพันธ์กับความจริงลงไป ทุกคนก็จะสามารถรับรู้เรื่องนี้ได้ ถ้ามีการปลอมปน ผู้คนก็จะสามารถดูออกเช่นกัน ดังนั้นจึงควรยับยั้งสัมพันธภาพเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อดำรงรักษาผลประโยชน์ที่มีร่วมกันในคริสตจักร อย่างน้อยที่สุดก็ควรตักเตือนและสามัคคีธรรมกับคนที่เกี่ยวข้อง ทำให้พวกเขาตระหนักถึงปัญหาของตนและเข้าใจผลอันร้ายแรงของการทำกิจกรรมดังกล่าว พร้อมกันนั้นก็ทำให้พี่น้องชายหญิงสามารถมีวิจารณญาณในธรรมชาติของเรื่องเหล่านี้อีกด้วย กิจกรรมจำพวกนี้มีผลเช่นใดต่อผู้คนส่วนมาก? พาให้ผู้คนนึกว่าคริสตจักรไม่แตกต่างจากสังคมเท่าใดนัก ต่างก็เป็นสถานที่ให้ทุกคนหาประโยชน์จากกัน ให้ผู้คนทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ของตน พฤติกรรมนี้ไม่ใช่การรบกวนแบบพอทำเนา แต่ก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรง จงบอกเราเถิดว่าคนที่ดึงผู้คนมาเข้าพวกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้เสียงจากพวกเขาในการลงคะแนนคัดเลือก ใช้ช่องทางที่ไม่ปกติมาชักใยการลงคะแนนคัดเลือกเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้นำ นี่ใช่คนดีหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าผู้นำที่ได้รับเลือกในลักษณะนี้ไม่ใช่คนดี แล้วพี่น้องชายหญิงที่ตกอยู่ในกำมือของพวกเขาจะสามารถคาดหวังสิ่งที่ดีได้บ้างหรือไม่? ถ้าใครบางคนได้เป็นผู้นำด้วยช่องทางที่ไม่ปกติ แทนที่จะได้รับเลือกตามหลักธรรม ผู้นำเช่นนั้นก็ไม่ใช่คนดีเป็นแน่ ถ้ายอมให้พวกเขาเป็นผู้นำ ก็เท่ากับส่งมอบพี่น้องชายหญิงให้กับคนชั่ว ให้กับศัตรูของพระคริสต์อย่างโจ่งแจ้ง เป็นการส่งผู้คนส่วนใหญ่เข้าสู่เงื้อมมือของซาตานอย่างได้ผล ในฉากเหตุการณ์ดังกล่าว ดอกผลที่พวกเขาจะได้จากชีวิตคริสตจักรย่อมชัดเจนในตัวเอง นี่คือชนิดของสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรและผูกอยู่กับผลประโยชน์ เมื่อสัมพันธภาพระหว่างผู้คนมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะระหว่างกลุ่มหรือตัวบุคคล การกระทำของผู้คนย่อมจะเอนเอียงเข้าหาผลประโยชน์ส่วนตนมากกว่าที่จะทำตามหลักธรรมเพื่อค้ำชูผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า สัมพันธภาพเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยมโนธรรมและเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่กลับสวนทางกับทั้งมโนธรรมและเหตุผล และยิ่งสวนทางกับหลักธรรมความจริง สิ่งที่พวกเขากล่าว ทำ และแสดงให้เห็น รวมทั้งเจตนา จุดประสงค์ แรงจูงใจ ที่มา และอื่นๆ ล้วนขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ ดังนั้นจึงอาจนิยามสัมพันธภาพเหล่านี้ได้ว่าไม่ถูกควร เนื่องจากการสร้างสัมพันธภาพเช่นนี้รบกวนการใช้ชีวิตคริสตจักรของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้เป็นเรื่องยากที่ผู้คนส่วนใหญ่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงกันเฉพาะพระพัตกร์พระเจ้าอย่างเงียบสงบ จึงควรห้ามปรามสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรเช่นนั้นภายในคริสตจักร ในกรณีที่ร้ายแรงและประกอบด้วยพฤติกรรมของคนชั่ว ควรมีการตักเตือน และถ้าไม่ว่าจะทำอย่างไร คนที่เกี่ยวข้องก็ไม่กลับใจ ก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร
ง. ความเกลียดชังระหว่างบุคคล
สัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรระหว่างบุคคลมีการสำแดงที่หลากหลาย ในจำนวนนั้นมีอีกหนึ่งคือความเกลียดชังส่วนตัว ตัวอย่างเช่น อาจเกิดความไม่ลงรอยหรือข้อพิพาทภายในครอบครัวระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน หรือระหว่างพี่น้องผู้ชาย หรืออาจเกิดขึ้นระหว่างเพื่อนบ้าน บางครั้งก็ถึงกับลุกลามเป็นความเกลียดชัง ต่อจากนั้นผู้คนเหล่านี้ก็ไม่สามารถร่วมมือหรือทำงานด้วยกัน ถึงขั้นไม่อาจมองหน้ากันได้ โต้เถียงและทะเลาะกันทุกครั้งที่ทำงานด้วยกันเหมือนเป็นคู่อริ เมื่อเห็นหน้ากันในที่ชุมนุม หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังอีกด้วย และพวกเขาก็ไม่สามารถสงบใจอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อชื่นชมพระวจนะของพระเจ้า ไม่สามารถทบทวนและทำความรู้จักตัวเอง และแน่นอนว่าไม่สามารถปล่อยมือจากอคติและความเกลียดชังของตนเพื่อที่จะมีการชุมนุมที่ปกติได้ แต่เมื่อใดที่พบหน้า พวกเขากลับทะเลาะเบาะแว้งและปะทะคารมกัน ต่างฝ่ายต่างเปิดโปงข้อบกพร่องและโจมตีกัน ถึงกับสบถใส่กัน ส่งผลในทางลบต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างยิ่ง ผู้คนดังกล่าวจึงเป็นผู้ไม่เชื่อ พวกเขาคือผู้ไม่มีความเชื่อ สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้าและรักความจริงอย่างจริงใจ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดหรือพวกเขาจะมีข้อพิพาทกับใคร หรือมีอคติกับใคร พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริง ทบทวนและทำความรู้จักตัวเอง และแก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริง ถ้าพวกเขาทำสิ่งใดผิดและติดค้างใครสักคน พวกเขาก็สามารถขอโทษและยอมรับความผิดของตนก่อน และจะไม่ก่อให้เกิดการโต้เถียงหรือปัญหาในการชุมนุมเป็นอันขาด การมีข้อพิพาทและก่อให้เกิดความวุ่นวายในคริสตจักรเป็นการผิดมารยาทของธรรมิกชนโดยสิ้นเชิง พฤติกรรมดังกล่าวนำความเสื่อมเสียมาให้พระเจ้าอย่างร้ายแรง ผู้คนที่กระทำการเช่นนี้ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ มโนธรรม และเหตุผลอย่างยิ่ง ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าอย่างแน่นอน ปัญหาข้อนี้พบได้ค่อนข้างบ่อยขึ้นในหมู่ผู้เชื่อใหม่ เนื่องจากผู้เชื่อใหม่ไม่เข้าใจความจริง และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาก็ยังไม่ได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ จึงง่ายที่พวกเขาจะมีข้อพิพาทในหลายๆ เรื่อง ถึงกับระเบิดความหัวร้อนของตนออกมาและทะเลาะเบาะแว้งกัน ถ้าอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข ผู้คนก็จะเก็บงำความเกลียดชังเอาไว้ในหัวใจ และแม้ในยามที่ใช้ชีวิตคริสตจักร พวกเขาก็จะยังคงมีข้อพิพาทกันอย่างไม่รู้จบด้วยความหัวร้อนและความเกลียดชังนี้ นี่ส่งผลต่อชีวิตคริสตจักร กระทบประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งกำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า และแบ่งปันความเข้าใจที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าจากประสบการณ์ของตน นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยตรงอีกด้วย ผู้เชื่อใหม่บางคนหลงทุ่มเถียงเพราะเห็นแย้งกันในเรื่องเล็กน้อยโดยง่าย ตัวอย่างเช่น ก่อนที่จะเริ่มการชุมนุม บางคนอาจจะอยากร้องเพลงนมัสการเพลงหนึ่ง ขณะที่ผู้อื่นอยากร้องอีกเพลงมากกว่า—แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ก็สามารถนำไปสู่ข้อพิพาทได้ง่าย ในทำนองเดียวกัน ความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องหนึ่งๆ บางครั้งก็สามารถกลายเป็นการโต้วาทีได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่การล่วงเกินบางคนเพราะไม่คำนึงถึงการใช้วาจาก็สามารถจุดชนวนให้โต้เถียงกันได้ เหตุการณ์จำพวกนี้เกิดขึ้นทั่วไปในหมู่ผู้เชื่อใหม่ เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นขณะชุมนุม ก็ย่อมรบกวนชีวิตคริสตจักรเป็นธรรมดา นี่ย่อมรบกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรด้วยมิใช่หรือ? คนที่มีแนวโน้มที่จะทุ่มเถียงและโต้วาทีเรื่องถูกผิดคือคนที่รบกวนชีวิตคริสตจักรได้ง่ายที่สุด พวกเขาสนใจแต่จะตอบสนองความไม่เป็นแก่นสารและหน้าตาของตนเท่านั้น ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เมื่อทำดังนี้ พวกเขาย่อมก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรมิใช่หรือ? (ใช่) คริสตจักรคือสถานที่ที่พี่น้องชายหญิงชุมนุมกันเพื่อกิน ดื่ม และชื่นชมพระวจนะของพระเจ้า เป็นสถานที่ให้นบนอบและนมัสการพระเจ้า แน่นอนที่สุดว่าไม่ใช่สถานที่ให้ระบายความขุ่นข้องหมองใจส่วนตัว และไม่ใช่ที่ให้ทะเลาะหรือทุ่มเถียงเรื่องถูกผิดกันเป็นแน่ เมื่อผู้คนดังกล่าวก่อให้เกิดการรบกวนเช่นนี้ ย่อมนำไปสู่ผลสืบเนื่องเช่นใด? ย่อมส่งผลโดยตรงให้ไร้ความรื่นรมย์ขณะชุมนุม พาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่สามารถได้รับความเจริญใจในชีวิต และถึงกับทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถพบเจอสันติสุข ทนทุกข์อย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ นานเข้า บ้างก็กลายเป็นคนที่นิ่งดูดายและอ่อนแอ ถึงกับลังเลที่จะเข้าชุมนุม สถานการณ์เช่นนี้พบได้ทั่วไปในคริสตจักรส่วนใหญ่และเป็นสิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนมีประสบการณ์มาโดยตลอด แล้วควรแก้ปัญหาเรื่องการโต้เถียงและทะเลาะกันเนืองๆ ในที่ชุมนุมอย่างไร? ควรคัดเลือกบทตอนในพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้มาหลายบทตอน และอ่านด้วยกันหลายๆ ครั้งระหว่างชุมนุม จากนั้นทุกคนก็ควรสามัคคีธรรมความจริงกัน แบ่งปันความเข้าใจของตน แนวทางนี้สามารถให้ผลบางอย่างได้ ไม่เพียงคนที่มีแนวโน้มที่จะโต้เถียงจะสามารถตระหนักรู้การกระทำผิดของตนและรู้สึกผิดได้เท่านั้น แต่แม้กระทั่งคนที่ดูอยู่รอบนอกก็สามารถคิดทบทวนได้ว่าในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนั้น พวกเขาเคยเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมาหรือไม่ และสามารถทุ่มเถียงกับผู้อื่นหรือไม่—เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ดูอยู่รอบนอกก็สามารถทำความรู้จักตัวเองได้เช่นกัน ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทด้วยหรือไม่ก็ตาม หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าไปหลายบทตอนและหลายครั้งแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถตระหนักรู้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนและมองเห็นว่าการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามหมายถึงการไร้ซึ่งมโนธรรมและเหตุผลโดยแท้ ไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย ผลของการใช้ชีวิตคริสตจักรเช่นนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม? แม้จะมีข้อพิพาทในตอนเริ่มชุมนุม ถ้าหลังจากนั้นทุกคนสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้า สงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตนเอง ใช้ความจริงแก้ปัญหา และกลับใจได้จริง—ถ้าสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้ได้—เช่นนี้ก็คือชีวิตคริสตจักรที่ปกติ เพราะฉะนั้นไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมจะเป็นเช่นใด ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องไม่ดี ตราบใดที่ทุกคนรวมหัวใจและความรู้สึกนึกคิดเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อแสวงหาความจริง และอ่านหลายๆ บทตอนที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้าร่วมกันสักสองสามครั้ง ต่อให้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้หมด ผู้คนก็จะสามารถเท่าทันปัญหาได้บ้างและมีวิจารณญาณบางอย่าง—ทุกคนจะได้ประโยชน์จากการนี้ พวกเจ้าว่าชีวิตคริสตจักรเช่นนี้หาได้ยากหรือไม่? นี่คือการเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ออกจะเป็นเรื่องดีในความโชคร้าย อย่างไรก็ดี นี่ไม่ควรพาให้ผู้คนสนับสนุนแนวคิดที่ว่าข้อพิพาทและการโต้วาทีเป็นสิ่งที่พึงทำในชีวิตคริสตจักร แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจสนับสนุนได้ ข้อพิพาทและการโต้วาทีสามารถทำให้ความหัวร้อนและความขัดแย้งระเบิดออกมาได้ง่าย ซึ่งไม่ดีต่อทุกคนและทำให้คนที่เกี่ยวข้องเกิดความทุกข์ใจในส่วนของตน เพราะฉะนั้น การแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และการเข้าใจความจริงก็สามารถป้องกันเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้อย่างมีประสิทธิผลในอนาคต คนฉลาดควรใช้ท่าทีที่อดทนอดกลั้นเมื่อเกิดความไม่ลงรอยและกระทบกระทั่งกัน ในเมื่อพวกเขาก็มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและสามารถทำร้ายผู้อื่นได้ง่ายเช่นกัน เวลาพวกเขาเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนออกมา พวกเขาก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาทันที เมื่อทำดังนี้ พอถึงเวลาชุมนุม ความขุ่นเคืองและความเกลียดชังส่วนตัวย่อมสลายไปสิ้น พาให้รู้สึกว่ามีเสรีในหัวใจ และทำให้เข้ากับพี่น้องชายหญิงฉันมิตรได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนั้นจึงส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว เมื่อใดก็ตามที่มีคนเห็นพี่น้องชายหญิงเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมา พวกเขาควรเสนอการช่วยเหลือด้วยความรัก ไม่ใช่ตัดสิน กล่าวโทษ หรือปฏิเสธพี่น้อง อาจเป็นไปได้ว่าหลังจากที่พยายามช่วยเหลือไปสักครั้งสองครั้ง กลับแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ก็ต้องใช้ความอดทนและอดกลั้นอยู่ดี ตราบใดที่พวกเขาไม่รบกวนชีวิตคริสตจักรหรือจงใจทำความชั่ว ก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความอดทนและอดกลั้นไปจนสุดทาง—ย่อมมีสักวันที่พวกเขาจะสำนึกรู้ตัว ถ้าใครสักคนมีความเป็นมนุษย์ที่ชั่วและไม่ยอมรับความช่วยเหลือใดๆ ไม่ยอมรับความจริงไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงให้ฟังอย่างไร เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจ และจำเป็นต้องรักษาระยะห่างจากบุคคลเช่นนี้ ถ้าพวกเขารบกวนชีวิตคริสตจักรครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ควรจัดการและปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักธรรม ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนชั่ว เพียงแต่มักจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมาเท่านั้น เกลียดตัวเอง แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีกำลังที่จะทำสิ่งที่ผิดแผกออกไปในเวลานั้นๆ เช่นนั้นแล้วก็ควรเกื้อกูลบุคคลดังกล่าวด้วยความรัก ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริง เกิดวิจารณญาณและตระหนักรู้ว่าตนเผยความเสื่อมทรามออกมา—เมื่อเป็นเช่นนี้ การเผยความเสื่อมทรามของพวกเขาก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ถ้าพี่น้องชายหญิงได้รับผลจากผู้คนเหล่านี้เป็นบางครั้งเท่านั้น ก็อาจให้อภัยพวกเขาได้ ตราบใดที่ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไม่มีปัญหาใหญ่โต และพวกเขาก็ไม่ใช่คนชั่วหรือคนหลอกลวง ตราบนั้นก็ควรเกื้อหนุนและช่วยเหลือพวกเขาโดยสามัคคีธรรมความจริง ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ ก็ควรปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรัก อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขาไม่ยอมกลับใจและส่งผลต่อชีวิตคริสตจักรในทางลบเป็นเวลานานๆ ผู้นำคริสตจักรก็ควรตักเตือนและกำหนดข้อห้ามขึ้นมา ถ้าพวกเขาดึงดันไม่ยอมรับความจริง บุคคลดังกล่าวก็เป็นคนชั่ว คนชั่วไม่อาจเข้ากับใครได้ พวกเขาคือปลาเน่าและเป็นปีศาจ การให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อไปมีแต่จะก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้จะว่ากล่าวไปแล้วหลายครั้งก็ควรถูกจัดการในฐานะคนชั่ว และเอาตัวออกไปจากคริสตจักร ใครก็ตามที่มักจะรบกวนชีวิตคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือผู้ไม่เชื่อและเป็นคนชั่ว ต้องเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครหรือพวกเขาจะกระทำการเช่นไรในอดีต ถ้าพวกเขามักจะรบกวนงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร ไม่ยอมถูกตัดแต่ง และปกป้องตนเองเสมอด้วยการให้เหตุผลในทางที่ผิด ก็ต้องเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร แนวทางนี้ล้วนเป็นไปเพื่อดำรงรักษาการดำเนินงานของคริสตจักรให้เป็นปกติและปกป้องผลประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าทุกประการ ข้อพิพาทและการสร้างปัญหาอย่างไร้เหตุผลของคนชั่วไม่กี่คนไม่ควรส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและงานของคริสตจักร—นี่ไม่คุ้มค่าและไม่ยุติธรรมต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย
ถ้าคนชั่วมักจะก่อให้เกิดการรบกวนในคริสตจักร ทำให้ชีวิตคริสตจักรไม่เกิดผล ทางแก้ที่ดีที่สุดก็คือการจำแนกชนิดของผู้คนและแบ่งการชุมนุมออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้แก่ คนที่รักความจริงและทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจก็ชุมนุมด้วยกัน คนที่อยากไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ไม่ทำหน้าที่ของตนก็ไปชุมนุมด้วยกัน และคนที่ชอบก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน นินทาผู้อื่น ตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่น ก็ให้ชุมนุมด้วยกัน เช่นนี้ในเบื้องต้นคริสตจักรก็จะสามารถแบ่งผู้คนออกเป็นสามกลุ่ม—เจ้าจะกล่าวก็ได้ว่าเป็นการแบ่งทุกคนไปตามประเภท—ด้วยเหตุนี้จึงแน่ใจได้ว่ากลุ่มเหล่านี้จะไม่พูดแทรกกันขณะชุมนุม ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี ไม่ว่าพวกเขาจะบุ่มบ่ามประพฤติผิดเช่นไร ก็จะไม่ส่งผลต่อผู้อื่น และจะทำร้ายแต่ตนเองเท่านั้น บางคนมีอุปนิสัยที่ชั่วช้า ถ้าใครสักคนพูดอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกหรือล่วงเกินพวกเขา พวกเขาก็จะเกลียดคนคนนั้น และคิดหาทางเล่นงานแก้เผ็ด ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาเช่นไร หรือตัดแต่งพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง พวกเขายอมตายมากกว่าจะยอมกลับใจ แล้วก็รบกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคือคนชั่ว พวกเราไม่อาจยอมผ่อนปรนให้แก่คนชั่วจำพวกนี้ไปเรื่อยๆ ได้ ควรเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรตามหลักธรรมความจริง นี่เป็นทางเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้หมด ไม่ว่าพวกเขาจะทำผิดในเรื่องใดหรือทำสิ่งใดที่ไม่ดี ผู้คนที่มีอุปนิสัยชั่วช้านี้จะไม่ยอมให้ใครเปิดโปงหรือตัดแต่งตน หากใครสักคนเปิดโปงและล่วงเกินพวกเขา พวกเขาก็จะบันดาลโทสะ โต้คืน และไม่มีวันยอมให้เรื่องจบ พวกเขาไม่มีความอดทนและอดกลั้นให้แก่ผู้อื่น และไม่มีการข่มใจ การประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขาเป็นไปตามหลักการใด? “ยอมทรยศเสียเองดีกว่าถูกทรยศ” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่ทนยอมให้ใครล่วงเกิน นี่คือตรรกะของคนชั่วมิใช่หรือ? แท้จริงแล้วนี่คือตรรกะของคนชั่ว พวกเขาไม่ยอมให้ใครล่วงเกินตน สำหรับพวกเขาแล้ว การมีคนมาสะกิดให้ตนโมโหแม้เพียงน้อยนิดก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และพวกเขาก็เกลียดคนที่ทำเช่นนั้น พวกเขาจะตามเล่นงานคนคนนั้นไม่เลิกและจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไป—คนชั่วย่อมเป็นเช่นนั้น เจ้าควรแยกเดี่ยวหรือเอาตัวคนชั่วออกไปทันทีที่พบว่าพวกเขามีแก่นแท้ของคนชั่ว ก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำความชั่วครั้งใหญ่ นี่จะลดความเสียหายจากพวกเขาให้เหลือน้อยที่สุด เป็นทางเลือกที่เปี่ยมปัญญา ถ้าผู้นำและคนทำงานรอจนคนชั่วก่อให้เกิดความวิบัติบางชนิดแล้วค่อยจัดการคนเหล่านั้น พวกเขาก็กำลังนิ่งดูดาย นั่นย่อมจะพิสูจน์ว่าผู้นำและคนทำงานเบาปัญญาอย่างยิ่ง และไม่มีหลักธรรมในการกระทำของตน มีผู้นำและคนทำงานบางคนที่เบาปัญญาและไม่รู้ความถึงเพียงนี้โดยแท้ พวกเขายืนกรานที่จะรอจนกว่าจะมีหลักฐานแน่ชัดแล้วค่อยจัดการคนชั่ว เพราะพวกเขาคิดว่านั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้ตนสบายใจ แต่ที่จริงแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานแน่ชัดแล้วค่อยแน่ใจว่าใครคนหนึ่งเป็นคนชั่ว เจ้าสามารถบอกได้จากวาจาและการกระทำในชีวิตประจำวันของพวกเขา เมื่อเจ้าแน่ใจว่าพวกเขาชั่ว เจ้าก็สามารถเริ่มควบคุมหรือแยกเดี่ยวพวกเขา นี่ก็เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งงานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะไม่มีภัย ผู้นำและคนทำงานบางคนไม่สามารถใช้วิจารณญาณดูว่าใครชั่ว และไม่สามารถจัดการคนชั่วได้ทันกาล ผลก็คืองานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักรได้รับผลกระทบ และการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็พลอยมีอุปสรรค นี่เป็นสิ่งที่โง่เขลามาก นี่คือวิธีดำเนินงานของผู้นำเทียมเท็จ ด้านหนึ่งพวกเขาไม่มีวิจารณญาณ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและกลัวการล่วงเกินผู้อื่น เวลาทำหน้าที่ผู้นำ ประการแรก ผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถทำงานได้จริง และประการที่สอง พวกเขาทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาไม่อาจแก้ปัญหาแม้แต่เรื่องการรบกวนที่คนชั่วก่อให้เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และไม่สามารถปกป้องพี่น้องชายหญิงได้ ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำและคนทำงาน จงบอกเราเถิด ถ้ามีใครถูกระบุว่าเป็นคนชั่ว ยังจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยพวกเขาอยู่หรือไม่? (ไม่) ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้โอกาสแก่พวกเขา บางคนมี “ความรัก” มากเกินไป ให้โอกาสกลับใจแก่คนชั่วอยู่เสมอ แต่นี่สัมฤทธิ์ผลอันใดได้หรือไม่? นี่เป็นไปตามหลักธรรมในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? เจ้าเคยเห็นคนชั่วคนไหนสามารถกลับใจได้จริงหรือไม่? ไม่มีใครเคยเห็น การหวังให้คนชั่วกลับใจก็เหมือนการสงสารงูพิษ เป็นการสงสารสัตว์ร้าย นี่เป็นเพราะสามารถระบุลงไปตามแก่นแท้ของคนชั่วว่าคนชั่วจะไม่มีวันรักสิ่งที่เป็นบวก ไม่มีวันยอมรับความจริง และไม่มีวันกลับใจ เจ้าจะไม่พบคำว่า “กลับใจ” ในพจนานุกรมของพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่วางแรงจูงใจและผลประโยชน์ของตน จะหาเหตุผลและข้ออ้างต่างๆ มาสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และไม่มีใครสามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ ถ้าพวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสีย พวกเขาย่อมไม่อาจทนรับได้ และจะคอยกวนใจผู้อื่นไม่รู้จบด้วยเรื่องนั้น ผู้คนที่ไม่เต็มใจทนทุกข์กับการสูญเสียใดๆ แบบนี้ จะสามารถกลับใจโดยแท้ได้อย่างไร? ผู้คนที่เห็นแก่ตัวอย่างยิ่งคือคนที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาคือคนชั่ว และจะไม่มีวันกลับใจ ถ้าเจ้าล่วงรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่าคนเช่นนี้ชั่ว และเจ้ายังคงให้โอกาสกลับใจแก่พวกเขา นั่นไม่เบาปัญญาหรอกหรือ? นั่นก็เท่ากับการกอดงูที่หนาวจนเยือกแข็งไว้กับอกเพื่อให้ความอบอุ่น เพียงเพื่อที่จะถูกมันกัดในภายหลัง มีแต่คนเบาปัญญาเท่านั้นที่จะทำเรื่องโง่เขลาดังกล่าว ในคริสตจักร การที่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกลียดชังคนชั่วเป็นปรากฏการณ์ที่ปกติ เพราะคนชั่วไม่มีความเป็นมนุษย์และทำเรื่องผิดศีลธรรมอยู่เสมอ การเกลียดคนชั่วเป็นวิธีคิดที่ถูกต้อง เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้คนควรมีตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ
จงบอกเราเถิดว่าคนที่ไม่มีความรักให้แก่พี่น้องชายหญิงเลยเป็นคนเช่นใด? เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติกับพี่น้องชายหญิงแม้แต่น้อย? คนแบบนี้ไม่ว่าพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร ย่อมเชื่อมโยงปฏิสัมพันธ์เหล่านี้เข้ากับผลประโยชน์และธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น ถ้าไม่มีผลประโยชน์หรือธุรกรรมแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้คน คนแบบนี้ชั่วมิใช่หรือ? บางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ชีวิตไปตามความรู้สึกเท่านั้น พาตัวเข้าไปใกล้ชิดใครก็ตามที่ปฏิบัติต่อพวกตนเป็นอย่างดี และคิดว่าใครก็ตามที่ช่วยเหลือพวกตนนั้นเป็นคนดี ผู้คนเช่นนี้ไม่มีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติเช่นกัน พวกเขาใช้ชีวิตตามความรู้สึกเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจะสามารถปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงอย่างยุติธรรมและเที่ยงธรรมได้หรือไม่? ย่อมทำเช่นนี้ไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ไม่มีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติกับพี่น้องชายหญิง หรือกับคนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง ย่อมเป็นคนที่ไร้มโนธรรมและเหตุผล ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และแน่ชัดว่าไม่ใช่คนที่รักความจริง คนเหล่านี้ไม่ต่างจากคนชั้นต่ำใจแคบในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ตามที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาและเมินคนที่ไม่มีประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกเขาเห็นใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงหรือสามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์—คนที่ทุกคนเลื่อมใสและชื่นชอบ—พวกเขากลับอิจฉา จงเกลียดจงชัง และพยายามทำทุกอย่างเพื่อรวบรวมข้อมูลไว้ใช้ตัดสินและกล่าวโทษผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง นี่คือสิ่งที่คนชั่วทำมิใช่หรือ? ผู้คนดังกล่าวไม่มีมโนธรรมและเหตุผล—พวกเขาเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนได้อย่างถูกต้อง ไม่สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ตามปกติ ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และถึงกับเกลียดชังคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้ลงคอ ผู้คนเช่นนี้ต้องรู้สึกเดียวดายและเงียบเหงาอยู่ในหัวใจอย่างยิ่ง พร่ำบ่นฟ้าสวรรค์และผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเขามีความเบิกบานหรือพบความหมายอันใดในการมีชีวิตอยู่บ้างหรือไม่? ผู้คนเหล่านี้มีอุปนิสัยที่ชั่วช้า และไม่ว่าพวกเขาจะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร พวกเขาก็สามารถเกิดความเกลียดชังในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ กล่าวโทษและแก้เผ็ดคนเหล่านั้น ทั้งยังนำความวิบัติมาให้ คนชั่วเยี่ยงนี้คือมารโดยแท้ นำความวิบัติมาให้คริสตจักรทุกวันตราบที่พวกเขายังคงอยู่ ถ้าพวกเขาอยู่นาน ความวิบัติก็จะไม่สิ้นสุด มีแต่การเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักรเท่านั้นจึงจะสามารถหลบหลีกความวิบัติได้ นอกจากนี้ยังมีคนที่ดูภายนอกเหมือนมีอารยะ แต่กลับชมชอบผลประโยชน์เป็นพิเศษ ด้วยเหตุนั้นการที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจึงเป็นไปเพื่อไล่ตามไขว่คว้าผลประโยชน์เช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่ได้หาประโยชน์เกินควรสักระยะหนึ่ง ใบหน้าของพวกเขาย่อมมีความหม่นมัวทาบทา ราวกับว่าใครสักคนติดเงินพวกเขาอยู่มากมาย ใครก็ตามที่มองเห็นใบหน้าที่ขุ่นเคืองและท้อแท้ของพวกเขาย่อมได้รับผลกระทบทางอารมณ์ทันที พวกเจ้าคิดว่าถ้ามีใบหน้าเช่นนั้นอยู่ในชีวิตคริสตจักร ย่อมจะนำผลพวงเช่นใดมาให้? ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนใหญ่ย่อมจะรู้สึกอึดอัดเมื่อได้เห็นเป็นแน่ การอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริงของพวกเขาก็จะถูกรบกวนและได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยังไม่ได้หยั่งรากลงไปในหนทางที่แท้จริง การมองเห็นใบหน้าที่หม่นมัวตลอดเวลาในชีวิตคริสตจักรอยู่บ่อยๆ ย่อมจะส่งผลต่อพวกเขาอย่างง่ายดายเหลือเกิน! คริสตจักรควรมีผู้คนที่มีบุคลิกร่าเริง พูดจาเรียบง่ายและเปิดเผยให้มากขึ้น มีผู้คนที่หัวใจเปี่ยมสันติสุขและความเบิกบาน ผู้คนที่มีวิญญาณเป็นอิสระและเสรีให้มากขึ้น นี่ย่อมจะทำให้ชีวิตคริสตจักรเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม พวกหน้าง้ำที่หม่นมัวตลอดเวลาควรอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ที่บ้านและปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตนก่อนมาชุมนุม เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาจึงจะอารมณ์ดีและได้บางสิ่งบางอย่างจากการชุมนุม นอกจากนี้ก็จะเป็นผลดีต่อผู้อื่นด้วย อย่างน้อยที่สุดผู้อื่นก็จะไม่ถูกรบกวน และเพื่อให้แน่ใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถมีชีวิตคริสตจักรที่ปกติ ผู้นำและคนทำงานควรเรียนรู้ที่จะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา ถ้าใครสักคนมาชุมนุมด้วยใบหน้าที่หม่นมัว ผู้นำและคนทำงานก็ควรก้าวออกไปถามว่า “คุณต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?” นี่เรียกว่าการใช้ความรักช่วยเหลือผู้อื่นในเชิงรุก ถ้าผู้นำและคนทำงานมองเห็นใครบางคนมีปัญหา แล้วกลับเพิกเฉย หลีกเลี่ยงและอยู่ห่างจาก “คนหน้าง้ำ” เหล่านั้นโดยไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อทำให้วันเวลาของคนเหล่านั้นสว่างไสวขึ้นมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ได้กำลังทำงานจริง การที่จะทำงานของคริสตจักรให้ได้ประสิทธิผลนั้น ก่อนอื่นผู้นำและคนทำงานต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคนรู้ใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร คล้ายกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกว่าเจ้าหน้าที่รัฐผู้เอาใจใส่ บางคนไม่เต็มใจที่จะมีบทบาทเช่นนั้น เลือกที่จะเป็นคนดูอยู่รอบนอกเสมอ—เมื่อเป็นดังนี้ พวกเขาจะสามารถนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้มีชีวิตคริสตจักรที่ดีได้อย่างไร? ที่จริงแล้ว การที่ใครบางคนมีปัญหาอยู่ในหัวใจหรือไม่ ในระดับหนึ่งสามารถดูได้จากสีหน้าของพวกเขา ถ้าใบหน้าของบางคนหม่นมัวอยู่เสมอ ก็หมายความเป็นแน่ว่าหัวใจของพวกเขามืดมิด ไม่มีความสว่างแม้แต่น้อย ถ้าวันทั้งวันพวกเขาจมอยู่กับข้อพิพาทเรื่องถูกผิด ใบหน้าของพวกเขาจะยังคงมีรอยยิ้มได้อย่างไร? ใบหน้าของผู้คนเหล่านี้มีเมฆดำปกคลุมอยู่ตลอดเวลา ไม่มีแสงอาทิตย์แม้สักขณะหนึ่ง และนี่ก็ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วย ถ้าผู้นำและคนทำงานเชื่องช้าในการจัดการแก้ปัญหาข้อนี้ ทำให้พี่น้องชายหญิงทนทุกข์กับการถูกรบกวนอย่างต่อเนื่องและทุกข์ทรมานอย่างที่ไม่อาจกล่าวออกมาได้ นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำและคนทำงานไม่สามารถปฏิบัติงานได้จริง ไม่สามารถใช้ความจริงแก้ปัญหา และไร้ค่าอย่างสิ้นเชิง ถ้าผู้นำและคนทำงานเข้าใจความจริงและสามารถระบุปัญหาของพี่น้องชายหญิงได้ สามารถให้การเกื้อหนุนและช่วยเหลือได้ทันกาล ไม่เพียงสามารถช่วยแก้ปัญหาให้ผู้คนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจหลักธรรมความจริงและลุล่วงหน้าที่ของตนได้อีกด้วย เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและการจัดการเรื่องราวทั้งหลายก็ย่อมจะมีประสิทธิภาพ และงานของคริสตจักรก็จะไม่ได้รับผลกระทบ ถ้าผู้นำและคนทำงานไม่สามารถระบุและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที นี่ย่อมส่งผลต่องานของคริสตจักร ถ้าผู้นำและคนทำงานไม่สามารถระบุและจัดการปัญหาได้ สร้างความเสียหายให้แก่งานของคริสตจักรและขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาก็ทำให้พระเจ้าและประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรผิดหวังไปแล้วมิใช่หรือ? พวกเขาไม่มีหลักธรรมในการจัดการเรื่องราวมิใช่หรือ? การจัดการปัญหาทันทีและไม่ลังเลหลังจากที่มองทะลุแก่นแท้ของปัญหาแล้ว—นี่เรียกว่าการลุล่วงความรับผิดชอบและมีความจงรักภักดี นี่คือการทำหน้าที่ของคนเราได้ตามมาตรฐาน
หัวข้อสามัคคีธรรมของวันนี้คือประเด็นปัญหาข้อที่หก—การมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ปัญหาจำพวกนี้ที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรโดยทั่วไปแล้ว ได้แก่ ความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรกับคนต่างเพศ ความสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน สัมพันธภาพที่มีส่วนได้ส่วนเสีย และความเกลียดชังระหว่างบุคคล ไม่ว่าจะเป็นสัมพันธภาพที่อิงความกำหนัดทางเนื้อหนัง ผลประโยชน์ทางเนื้อหนัง หรือมีอารมณ์ความรู้สึกทางเนื้อหนังเข้าไปพัวพัน ก็ล้วนจัดอยู่ในหมวดสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรทั้งสิ้น เพราะอยู่นอกขอบข่ายของมโนธรรมและเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การมีอยู่ของสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนไม่สบายใจอยู่บ้าง ที่ร้ายแรงกว่านั้นก็คือสามารถรบกวนการเข้าสู่ชีวิต การไล่ตามเสาะหาความจริง และการไล่ตามเสาะหาของผู้คนเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า สัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรนานาชนิดเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากมโนธรรมหรือเหตุผล และสวนทางกับความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เป็นการยากที่ผู้คนจะยอมรับและปฏิบัติความจริงในยามที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสัมพันธภาพที่ผิดปกติเหล่านี้ และนี่ก็รบกวนพวกเขาในการใช้ชีวิตคริสตจักรและไล่ตามเสาะหาการเติบโตในชีวิต รวมทั้งรบกวนระเบียบปกติของคริสตจักรอีกด้วย นี่ยังความเสียหายให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและสามารถทำร้ายงานของคริสตจักรเช่นกัน ด้วยเหตุทั้งปวงนี้จึงสำคัญยิ่งที่ผู้นำและคนทำงานจะต้องระบุและจัดการปัญหาเหล่านี้ให้ทันท่วงที
สำหรับสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควรนี้ พวกเราได้แจกแจงสถานการณ์ต่างๆ และจำแนกออกเป็นส่วนๆ แล้ว พวกเจ้าสามารถยกตัวอย่างเพื่อฝึกใช้วิจารณญาณได้หรือไม่? จุดประสงค์ของการเรียนรู้วิจารณญาณคืออะไร? คือการทำให้พวกเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณดูและนิยามแก่นแท้ของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย เพื่อที่จะตัดสินได้อย่างถูกต้อง แล้วจากนั้นก็ปฏิบัติต่อพวกเขาตามหลักธรรม นี่คือผลลัพธ์ในท้ายที่สุด เคยมีใครพูดหรือไม่ว่า “คุณพูดถึงเรื่องถูกผิดเหล่านี้ เรื่องในชีวิตประจำวันเหล่านี้ตลอดทั้งวัน—พวกเราไม่เต็มใจฟังเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว แม้กระทั่งการชุมนุม พวกเราก็ไม่อยากมาอีกต่อไป คุณควรสามัคคีธรรมความจริงไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงพูดเรื่องสถานการณ์เหล่านี้ตลอดเวลา”? พวกเจ้าเคยสังเกตเห็นผู้คนเช่นนี้บ้างหรือไม่? พวกเขาเป็นคนเช่นใด? (เป็นคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ) พวกเราสามัคคีธรรมกันเช่นนี้ ทว่าพวกเขากลับไม่เข้าใจความจริงอยู่ดี—พวกเขาไม่มีสติปัญญาอย่างคนปกติ ผู้คนเช่นนี้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ควรให้คนที่มีสติปัญญาไม่เท่ามนุษย์ฟังคำเทศนาอยู่อีกหรือไม่? บางทีพวกเขาก็อาจจะเสนอขึ้นมาว่า “การชุมนุมเป็นเรื่องของการสามัคคีธรรมความจริงเสมอ พูดถึงอะไรอย่างการปฏิบัติความจริงเสมอ—ฉันเหนื่อยที่จะฟังเรื่องนี้ ฉันไม่เต็มใจที่จะมาชุมนุมอีกต่อไป” ถ้าพวกเขามีทัศนะดังกล่าวจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นคนที่รังเกียจความจริง สำหรับผู้คนเช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ดึงดันที่จะให้พวกเขาเข้าร่วม รีบให้พวกเขาออกไปเสีย ถ้าตัวพวกเขาเองไม่เต็มใจมาชุมนุม และไม่เปิดใจรับสิ่งที่เสวนาให้ฟัง พวกเราก็ไม่ดึงดัน—พวกเราไม่ได้อยากจะทำให้พวกเขาลำบาก ผู้คนเช่นนี้ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาทั้งชีวิตก็จะไม่เข้าใจความจริงและจะไม่เข้าสู่ความเป็นจริง เปลืองความพยายามเปล่าๆ ถ้าพวกเขาชอบฟังความรู้ที่เป็นทฤษฎี เช่นนั้นแล้วก็ปล่อยให้พวกเขาไปศึกษาหาความรู้เชิงทฤษฎีเถิด สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาไม่ได้รับความจริงมาเป็นชีวิต พวกเขาย่อมจะเสียใจ
29 พฤษภาคม ค.ศ. 2021