ความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (15)
ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ตอนที่สาม)
ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร
ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมถึงความรับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานว่าให้ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น” ในส่วนของความรับผิดชอบที่ว่านี้ พวกเราสามัคคีธรรมกันไปในเบื้องต้นถึงปัญหาต่างๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตคริสตจักร ซึ่งแบ่งออกเป็น 11 ข้อ จงอ่านปัญหาเหล่านั้นให้ฟังเถิด (ข้อแรก มักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง ข้อสอง กล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยอมรับนับถือตน ข้อสาม พูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตน ข้อสี่ สร้างพลพรรค ข้อห้า แก่งแย่งสถานะ ข้อหก มีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ข้อเจ็ด ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน ข้อแปด แพร่มโนคติอันหลงผิด ข้อเก้า ระบายความคิดลบ ข้อสิบ แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล ข้อสิบเอ็ด ชักเชิดและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก) ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงปัญหาข้อที่ห้าซึ่งก็คือการแก่งแย่งสถานะ และข้อที่หก การมีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ปัญหาสองอย่างนี้ก็เหมือนปัญหาสี่ข้อก่อนหน้าคือก่อให้เกิดการรบกวนและขัดขวางชีวิตคริสตจักรและระเบียบปกติของคริสตจักรเช่นกัน เมื่อดูธรรมชาติของปัญหาสองอย่างนี้ ดูภัยที่เกิดแก่ชีวิตคริสตจักร และผลกระทบที่มีต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน ปัญหาทั้งสองจึงอาจประกอบไปด้วยผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรได้
VII. ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงปัญหาข้อที่เจ็ด—ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน ปัญหาทำนองนี้เกิดขึ้นทั่วไปในชีวิตคริสตจักรและทุกคนก็มองเห็น เวลาผู้คนชุมนุมกันเพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ส่วนตัว หรือเสวนาถึงปัญหาบางอย่างที่เป็นจริง มุมมองที่แตกต่างหรือการโต้วาทีเรื่องถูกผิดมักจะนำไปสู่การทุ่มเถียงและข้อพิพาทระหว่างผู้คน ถ้าผู้คนไม่ได้เห็นพ้องต้องกันและต่างก็มีมุมมองที่หลากหลาย แต่เรื่องนี้ไม่ได้รบกวนชีวิตคริสตจักร นี่จะนับเป็นการลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันหรือไม่? นี่ไม่มีลักษณะเช่นนั้น จัดเป็นสามัคคีธรรมที่ปกติ เพราะฉะนั้น ภายนอกแล้วปัญหามากมายอาจดูเหมือนเกี่ยวข้องกับปัญหาข้อที่เจ็ด แต่อันที่จริง เฉพาะปัญหาที่มีรูปการณ์และธรรมชาติร้ายแรงกว่านั้นอันเป็นการก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนเท่านั้นที่จัดอยู่ในปัญหาข้อนี้ คราวนี้พวกเราก็มาสามัคคีธรรมกันเถิดว่าธรรมชาติของปัญหาแบบใดที่ทำให้ปัญหาดังกล่าวจัดอยู่ในประเด็นปัญหาข้อนี้
อันดับแรก เมื่อดูการสำแดงที่เป็นการลงมือเล่นงานกัน ก็แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การสามัคคีธรรมความจริงหรือแสวงหาความจริงตามปกติ ไม่ใช่การมีความเข้าใจหรือความสว่างแตกต่างกันไปตามการสามัคคีธรรมความจริง หรือเป็นการแสวงหา สามัคคีธรรม เสวนาถึงหลักธรรมความจริง และแสวงหาเส้นทางปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจริงบางอย่าง กลับเป็นการโต้เถียงและพิพาทเรื่องถูกผิด นี่คือลักษณะที่สำแดงให้เห็นโดยทั่วไป บางครั้งก็เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นในชีวิตคริสตจักรใช่หรือไม่? (ใช่) เฉพาะที่เห็นภายนอกก็ชัดแจ้งว่าการกระทำ เช่น การลงมือเล่นงานกันนี้ไม่ใช่การแสวงหาความจริง หรือสามัคคีธรรมความจริงภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือการร่วมมือกันอย่างกลมเกลียวเป็นแน่ แต่กลับมีต้นตอเป็นความหัวร้อน ภาษาที่ใช้ก็มีการตัดสินและกล่าวโทษอยู่ในตัว มีแม้กระทั่งคำสาปแช่ง—การสำแดงเช่นนี้เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานโดยแท้ เมื่อผู้คนเล่นงานกัน ไม่ว่าภาษาของพวกเขาจะบาดหูหรือไว้ไมตรี ก็มีความหัวร้อน การปองร้าย และความเกลียดชังอยู่ในนั้น ไร้ซึ่งความรัก การยอมผ่อนปรน และความอดกลั้น และเป็นธรรมดาที่จะยิ่งไร้ซึ่งความร่วมมืออันกลมเกลียว วิธีการที่ผู้คนใช้เล่นงานกันนั้นหลากหลาย ตัวอย่างเช่น เมื่อคนสองคนหารือกันในเรื่องหนึ่งๆ นาย ก.ก็กล่าวแก่นาย ข.ว่า “บางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีและมีอุปนิสัยที่โอหัง เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำอะไรนิดหน่อย พวกเขาก็อวดตัวและไม่ฟังใคร พวกเขาเป็นเหมือนที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงคนที่ป่าเถื่อนและไม่มีความเป็นมนุษย์ดุจดังสัตว์ป่าไม่มีผิด” พอฟังดังนี้ นาย ข.ก็คิดว่า “ที่คุณเพิ่งพูดมานี่หมายถึงฉันใช่ไหม? คุณถึงกับอ้างพระวจนะของพระเจ้ามาเปิดโปงฉัน! ในเมื่อคุณพูดถึงฉัน ฉันก็จะไม่ยั้งปากเช่นกัน คุณร้ายกับฉัน ฉันก็จะหาเรื่องคุณบ้าง!” ดังนั้น นาย ข.จึงกล่าวว่า “บางคนภายนอกอาจจะดูเปี่ยมศรัทธามาก แต่ที่จริงแล้ว ลึกลงไปพวกเขาร้ายกาจกว่าใคร ถึงกับมีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกควรกับเพศตรงข้าม เหมือนพวกคณิกากับโสเภณีที่พระวจนะของพระเจ้าพูดถึงเลย—พระเจ้าทรงขยะแขยงผู้คนเช่นนี้เป็นที่สุด พระองค์ทรงรู้สึกรังเกียจพวกเขา ทำตัวให้ดูเปี่ยมศรัทธาแล้วมีประโยชน์อะไร? เสแสร้งทั้งนั้น พระเจ้าไม่โปรดคนที่เสแสร้งเป็นที่สุด ทุกคนที่เสแสร้งก็คือพวกฟาริสี!” หลังจากที่ได้ฟังเช่นนี้ นาย ก.ก็คิดว่า “นี่เล่นงานฉันกลับละสิ! ได้ คุณร้ายกับฉัน ก็อย่าโทษว่าฉันไม่ออมมือแล้วกัน!” ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันไปมา นี่ใช่การสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขาทำอะไรกันอยู่? (เล่นงานและทะเลาะเบาะแว้งกัน) พวกเขาถึงกับคว้าบางอย่างมาต่อรองและหา “หลักการ” มาใช้เล่นงาน อ้างพระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการรองรับ—นี่คือการลงมือเล่นงานกัน และพร้อมกันนั้นก็เป็นการต่อล้อต่อเถียงด้วย สามัคคีธรรมรูปแบบนี้บางครั้งก็มีให้เห็นในชีวิตคริสตจักรใช่หรือไม่? เป็นสามัคคีธรรมที่ปกติหรือไม่? นี่ใช่สามัคคีธรรมตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? (ไม่ใช่) เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัคคีธรรมรูปแบบนี้ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรหรือไม่? แล้วก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนเช่นใด? (ชีวิตคริสตจักรที่ปกติถูกรบกวน ผู้คนพิพาทกันเรื่องถูกผิด ด้วยเหตุนั้นจึงไม่สามารถใคร่ครวญและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากันอย่างสงบ) เมื่อผู้คนทะเลาะเบาะแว้งและโต้เถียงเรื่องถูกผิดกันเช่นนี้ เล่นงานกันเป็นการส่วนตัวในชีวิตคริสตจักร พระวิญญาณบริสุทธิ์จะยังทรงพระราชกิจหรือไม่? พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจ สามัคคีธรรมแบบนี้ทำให้หัวใจของผู้คนระส่ำระสาย มีพระวจนะบางคำอยู่ในพระคัมภีร์ พวกเจ้าจำได้หรือไม่? {“เราบอกพวกท่านอีกว่า ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกันทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลก พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ก็จะทรงทำสิ่งนั้นให้ เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น” (มัทธิว 18:19-20)} พระวจนะเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร? เมื่อผู้คนชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาต้องมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวและมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เฉพาะเมื่อผู้คนมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น พระเจ้าจึงจะประทานพรแก่พวกเขาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจ แต่ผู้คนทั้งสองที่โต้เถียงกันดังที่เราเพิ่งเอ่ยถึงไปนี้มีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่? (ไม่มี) พวกเขากำลังทำสิ่งใด? เล่นงานกัน ทะเลาะเบาะแว้ง และถึงกับตัดสินและกล่าวโทษกัน แม้ภายนอกพวกเขาจะไม่ได้ใช้คำสบถหยาบคายหรือเอ่ยชื่อใคร แต่แรงจูงใจเบื้องหลังวาจาของพวกเขาก็ไม่ใช่การสามัคคีธรรมความจริงหรือแสวงหาความจริง และพวกเขาก็ไม่ได้พูดจาตามมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ทุกคำที่พวกเขาพูดออกมาล้วนไม่รับผิดชอบ มีความก้าวร้าวและปองร้ายอยู่ในตัว แต่ละคำไม่ได้ตรงตามข้อเท็จจริง และไม่มีหลักการรองรับ ทุกคำไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตัดสินเรื่องราวตามพระวจนะของพระเจ้าและข้อกำหนดของพระเจ้า แต่เป็นการลงมือเล่นงาน ตัดสิน และกล่าวโทษเป็นการส่วนตัวตามที่ถูกใจตนและตามเจตจำนงที่จะเล่นงานคนที่ตนเกลียดและดูแคลน ทั้งหมดนี้ไม่มีสิ่งใดสำแดงว่ามีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่กลับเป็นวาจาและการสำแดงที่เกิดจากความหัวร้อนและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน และไม่เป็นที่ยินดีของพระเจ้า เพราะฉะนั้นจึงไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในที่นั้น นี่คือการสำแดงที่เป็นการลงมือเล่นงานกัน
ในชีวิตคริสตจักร ข้อพิพาทและความขัดแย้งระหว่างผู้คนมักจะเกิดขึ้นเพราะเรื่องเล็กน้อยหรือเพราะมุมมองและผลประโยชน์ขัดกัน นอกจากนี้ข้อพิพาทก็มักจะเกิดจากบุคลิก ความทะเยอทะยาน และความชอบส่วนตัวที่เข้ากันไม่ได้อีกด้วย ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันและความบาดหมางนานาชนิดเกิดขึ้นในหมู่คนก็เพราะความแตกต่างด้านสถานะทางสังคมและระดับการศึกษา หรือความแตกต่างในแง่ความเป็นมนุษย์และธรรมชาติของพวกเขาเช่นกัน และแม้แต่ความแตกต่างในแง่ของวิธีพูดจาและจัดการเรื่องราว และสาเหตุอื่นๆ ถ้าผู้คนไม่พยายามแก้ปัญหาเหล่านี้โดยใช้พระวจนะของพระเจ้า ถ้าไม่มีการเข้าใจ การยอมผ่อนปรน เกื้อหนุน และช่วยเหลือกัน และถ้าผู้คนกลับเก็บงำอคติและความเกลียดชังเอาไว้ในหัวใจของตนแทน ปฏิบัติต่อกันด้วยความหัวร้อนตามอุปนิสัยที่เสื่อมทราม เช่นนี้ก็มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเล่นงานและตัดสินกัน บางคนพอจะมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นมา พวกเขาจึงสามารถใช้ความอดทน กระทำการด้วยเหตุผล และช่วยเหลืออีกฝ่ายด้วยความรัก อย่างไรก็ดี บางคนก็สัมฤทธิ์เรื่องนี้ไม่ได้ พวกเขาไม่มีแม้แต่ความอดทน อดกลั้น ความเป็นมนุษย์ และเหตุผลขั้นพื้นฐานที่สุด มักจะเกิดอคติ ความระแวง และความเข้าใจผิดนานาในตัวผู้อื่นด้วยเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ หรือเพราะคำพูดคำเดียวหรือสีหน้า ซึ่งพาให้พวกเขามีความคิด ความสงสัย คำตัดสิน และคำกล่าวโทษนานาชนิดต่อผู้อื่นอยู่ในหัวใจของตน ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเนืองๆ ในคริสตจักรและมักจะส่งผลต่อสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างผู้คน ปฏิสัมพันธ์อันกลมเกลียวของพี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งสามัคคีธรรมของพวกเขาถึงพระวจนะของพระเจ้า เมื่อผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กัน ก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดข้อพิพาท แต่ถ้าปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นเนืองๆ ในชีวิตคริสตจักร ก็สามารถกระทบกระเทือน รบกวน และถึงขั้นทำลายชีวิตคริสตจักรที่ปกติได้ ยกตัวอย่างถ้าใครสักคนเริ่มโต้เถียงในที่ชุมนุม การชุมนุมนั้นๆ ก็จะถูกรบกวน ชีวิตคริสตจักรจะไม่เกิดผล และคนที่เข้าชุมนุมก็จะไม่ได้สิ่งใด ว่ากันตามหลักก็คือพวกเขาจะชุมนุมกันอย่างสูญเปล่าและสิ้นเปลืองเวลา ด้วยเหตุดังกล่าวปัญหาเหล่านี้ย่อมจะส่งผลต่อระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรไปเรียบร้อยแล้ว
ก. การสำแดงหลายชนิดที่เป็นการลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน
1. เปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกัน
เวลาชุมนุม บางคนชอบพูดพร่ำเรื่องในบ้านและหัวข้อที่ไม่สำคัญเสมอ พวกเขาพูดถึงเรื่องจุกจิกในครอบครัวและคุยเล่นกับพี่น้องชายหญิงทุกครั้งที่พบหน้า ซึ่งทำให้พี่น้องชายหญิงรู้สึกอับจนหนทาง บางคนก็อาจลุกขึ้นมาขัดจังหวะพี่น้อง แต่แล้วเกิดอะไรขึ้น? ถ้าพี่น้องถูกขัดจังหวะตลอดเวลา พวกเขาย่อมไม่มีความสุข และการที่พี่น้องไม่มีความสุขย่อมหมายถึงปัญหา พวกเขาคิดไปว่า “คุณพูดขัดจังหวะฉันเสมอและไม่ยอมให้ฉันพูด เอาอย่างนั้นก็ได้ เวลาคุณพูด ฉันจะขัดจังหวะคุณบ้าง! เวลาคุณสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ฉันจะเอาพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งมาพูดแทรก พอคุณสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตัวคุณเอง ฉันก็จะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาผู้คน พอคุณสามัคคีธรรมถึงการเข้าใจอุปนิสัยที่โอหังของคุณ ฉันก็จะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าว่าด้วยการกำหนดจุดจบและบั้นปลายของผู้คน ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ฉันก็จะพูดเรื่องที่ต่างออกไป!” ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าผู้อื่นเข้ามาร่วมขัดจังหวะด้วย คนคนนี้ย่อมลุกขึ้นมาเล่นงานคนเหล่านั้น พร้อมกันนั้น ด้วยเหตุที่ทางนี้เก็บงำความขุ่นเคืองและเกลียดชังเอาไว้ในหัวใจ ขณะชุมนุมพวกเขาจึงมักจะเปิดโปงข้อบกพร่องของคนที่พูดขัดจังหวะตน เล่าว่าก่อนที่จะมาเชื่อในพระเจ้า คนคนนั้นเคยโกงผู้อื่นในการทำธุรกิจอย่างไร ทำตัวผิดทำนองคลองธรรมในการติดต่อเจรจากับผู้อื่นอย่างไร และอื่นๆ—พวกเขาเล่าเรื่องเหล่านี้ทุกครั้งที่คนคนนั้นเอ่ยปากพูด ตอนแรกคนคนนั้นก็สามารถใช้ความอดทน แต่นานไปก็เริ่มคิดว่า “ฉันช่วยคุณเสมอ ฉันอดทนอดกลั้นกับคุณเสมอ แต่คุณกลับไม่ยอมผ่อนปรนให้ฉันเลย ถ้าคุณทำกับฉันอย่างนี้ ก็อย่าโทษว่าฉันไม่ออมมือแล้วกัน! พวกเราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันมานมนาน—เราทั้งคู่รู้จักกันดี คุณกลับเล่นงานฉันมาโดยตลอด ดังนั้นฉันก็จะเล่นงานคุณบ้าง คุณเปิดโปงข้อบกพร่องของฉัน แต่ตัวคุณเองกลับมีข้อบกพร่องเต็มไปหมด” ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า “ตอนอายุยังน้อย คุณเคยแม้กระทั่งขโมยของ การลักขโมยเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณเคยทำนั้นเสื่อมเสียกว่าด้วยซ้ำ! อย่างน้อยสิ่งที่ฉันทำลงไปก็เป็นธุรกิจ ล้วนทำไปเพื่อหาเลี้ยงชีวิต ในโลกนี้มีใครไม่ทำผิดบ้าง? แล้วพฤติกรรมของคุณเป็นอย่างไร? เป็นพฤติกรรมของโจร ของหัวขโมย!” นี่ไม่ใช่การลงมือเล่นงานกันหรอกหรือ? การเล่นงานเหล่านี้มีวิธีการอย่างไร? เป็นการเปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกันมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาถึงกับคิดในใจว่า “คุณเอาแต่เปิดโปงข้อบกพร่องของฉัน ทำให้ทุกคนรู้ข้อบกพร่องเหล่านั้นและรู้อดีตที่น่าอัปยศของฉันด้วย เพื่อที่ว่าคนอื่นจะได้ไม่ยอมรับนับถือฉันอีกต่อไป—ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ฉันก็จะไม่ยั้งมือเช่นกัน ฉันรู้หมดว่าคุณมีคู่ควงกี่คน เคยนอนกับเพศตรงข้ามมากี่คน ฉันมีข้อมูลทั้งหมดนี้พร้อมสรรพ ถ้าคุณเปิดโปงข้อบกพร่องของฉันอีกและบีบฉันมากเกินไป ฉันก็จะแฉความผิดของคุณให้หมด!” การเปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกันเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในหมู่คนที่คุ้นเคยและรู้จักกันดี บางทีอาจเพราะความเห็นไม่ตรงกัน หรือเพราะมีความขัดแย้งหรือมีเรื่องผูกใจเจ็บระหว่างกัน ทั้งสองฝ่ายจึงดึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เดิมมาใช้เป็นอาวุธเล่นงานกันขณะชุมนุม สองคนนี้เปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกัน เล่นงานและกล่าวโทษกัน เอาเวลาที่ทุกคนจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ และส่งผลต่อชีวิตคริสตจักรที่ปกติ แล้วการชุมนุมเช่นนั้นจะให้ผลได้หรือไม่? ผู้คนรอบตัวพวกเขาจะยังคงรู้สึกอยากชุมนุมหรือไม่? พี่น้องชายหญิงบางคนเริ่มคิดว่า “สองคนนี้สร้างปัญหาจริงๆ จะหยิบยกเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วพวกนั้นขึ้นมาทำไมกันนักกันหนา! ตอนนี้ทั้งคู่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ก็ควรปล่อยเรื่องพวกนั้นไป ใครบ้างไม่มีปัญหา? ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ากันแล้วไม่ใช่หรือ? ปัญหาทั้งหมดนี้แก้ไขได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า การเปิดโปงข้อบกพร่องไม่ใช่การปฏิบัติความจริง และไม่ใช่การเรียนรู้จุดแข็งของคนคนหนึ่งเพื่อชดเชยจุดอ่อนของอีกคน นี่คือการเล่นงานกัน เป็นพฤติกรรมเยี่ยงซาตาน” การที่พวกเขาเล่นงานกันรบกวนและทำลายชีวิตคริสตจักรที่ปกติ ไม่มีใครหยุดยั้งพวกเขาได้ และไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขา พวกเขาก็จะไม่รับฟัง บางคนแนะนำพวกเขาว่า “เลิกเปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกันเถิด ที่จริงแล้วเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น นี่ก็แค่มีเรื่องไม่เห็นพ้องต้องกันทางวาจานิดเดียวไม่ใช่หรือ? คุณสองคนไม่ได้เกลียดชังกันนักหนา ถ้าทั้งคู่เปิดใจตีแผ่ตัวเองได้ วางมือจากอคติ ความขุ่นเคือง และความเกลียดชังมาอธิษฐานและแสวงหาความจริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ ก็จะแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้” แต่คนทั้งสองก็ยังคุมเชิงกันอยู่ หนึ่งในนั้นบอกว่า “ถ้าเขาสามารถขอโทษฉันก่อน และถ้าเขายอมเปิดใจตีแผ่ตัวเองก่อน ฉันก็จะยอมทำแบบเดียวกัน แต่ถ้าเขาเป็นเหมือนแต่ก่อน ไม่ยอมวางเรื่องนี้ ฉันก็จะไม่ออมมือให้เขา! คุณขอให้ฉันปฏิบัติความจริง—ทำไมเขาไม่ปฏิบัติบ้าง? คุณขอให้ฉันปล่อยสิ่งต่างๆ ไป—ทำไมเขาไม่ทำก่อน?” นี่ไร้เหตุผลมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาเริ่มทำตัวไม่มีเหตุผล ไม่มีคำแนะนำของใครที่ส่งผลต่อพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ฟังการสามัคคีธรรมความจริง ทันทีที่เห็นหน้ากัน พวกเขาก็โต้เถียง เปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกัน และเล่นงานกัน ยกเว้นที่ไม่ชกต่อยกันแล้ว ทุกสิ่งที่พวกเขาทำต่อกันมีแต่ความเกลียดชัง และทุกคำที่พวกเขากล่าวก็มีเค้าของการเล่นงานและสาปแช่ง ในชีวิตคริสตจักร ถ้ามีคนเช่นนี้สองคนคอยเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันทันทีที่พบหน้า ชีวิตคริสตจักรแบบนี้จะให้ผลได้หรือไม่? ผู้คนจะสามารถได้สิ่งที่เป็นบวกจากชีวิตคริสตจักรแบบนี้หรือไม่? (ไม่) เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมกังวลพลางกล่าวว่า “ทุกครั้งที่พวกเราชุมนุม สองคนนั้นกลับทะเลาะกันเสมอและไม่ฟังคำแนะนำของใคร แล้วพวกเราควรทำอย่างไร?” ตราบใดที่มีพวกเขาอยู่ตรงนั้น การชุมนุมย่อมไม่มีสันติสุข และทุกคนก็ถูกพวกเขารบกวน ในกรณีดังกล่าว ผู้นำคริสตจักรควรเร่งแก้ปัญหา ต้องไม่อนุญาตให้ผู้คนเช่นนั้นรบกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป หลังจากที่ให้คำแนะนำ สามัคคีธรรม และให้แนวทางที่เป็นบวกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าไม่สัมฤทธิ์ผล และทั้งสองฝ่ายยังคงยึดมั่นในอคติของตนต่อไป ต่างก็ไม่ยอมให้อภัยกัน ยังคงเล่นงานกันและรบกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป เช่นนั้นก็จำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ตามหลักธรรม ควรบอกพวกเขาว่า “คุณสองคนอยู่ในสภาวะนี้มานานแล้ว นี่ก่อให้เกิดการรบกวนชีวิตคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงทุกคนอย่างร้ายแรง ผู้คนส่วนใหญ่โมโหพฤติกรรมของพวกคุณ แต่พวกเขาก็กลัวที่จะพูดอะไรออกมา ดูจากท่าทีและการสำแดงในปัจจุบันของพวกคุณ ตามหลักธรรมแล้วคริสตจักรจำต้องระงับการเข้าร่วมชีวิตคริสตจักรของพวกคุณเอาไว้ก่อน และให้แยกเดี่ยวเพื่อทบทวนตัวเอง เมื่อพวกคุณสามารถไปกันได้อย่างปรองดอง สามัคคีธรรมได้ตามปกติ และมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติ เมื่อนั้นพวกคุณก็สามารถกลับเข้าสู่ชีวิตคริสตจักรได้” ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่ คริสตจักรก็ควรตัดสินใจเช่นนี้ นี่คือการจัดการเรื่องราวตามหลักธรรม เรื่องเหล่านี้ควรจัดการในลักษณะดังกล่าว ด้านหนึ่ง นี่ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสองคนนั้น สามารถกระตุ้นให้พวกเขาทบทวนและทำความรู้จักตนเอง อีกด้านหนึ่งก็ปกป้องพี่น้องชายหญิงอีกมากในเบื้องต้นไม่ให้ถูกคนชั่วรบกวน บางคนกล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้ทำความชั่วอะไร ตามแก่นแท้ของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่ใช่คนชั่วอีกด้วย พวกเขาแค่มีข้อเสียเล็กน้อยในความเป็นมนุษย์ แค่เอาแต่ใจ มีแนวโน้มที่จะไร้เหตุผล มักจะอิจฉาและมีข้อพิพาทกันเท่านั้น ทำไมให้แยกเดี่ยวด้วยเรื่องแค่นี้?” ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของการรบกวนชีวิตคริสตจักร ผู้นำคริสตจักรก็ควรเข้าแทรกแซงเพื่อจัดการแก้ปัญหา ถ้าสองคนนี้ชั่ว เช่นนั้นแล้วทันทีที่ดูเรื่องนี้ออก การตอบสนองก็ไม่ควรเรียบง่ายอย่างการแยกเดี่ยวพวกเขา ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้นให้เอาตัวพวกเขาออกไปทันที ถ้าการกระทำของพวกเขาจำกัดอยู่เพียงเล่นงานกันเองและโต้เถียงเรื่องถูกผิดโดยไม่ก่อให้เกิดภัยแก่ผู้อื่นหรือทำเรื่องไม่ดีอื่นๆ ที่จะทำให้พระนิเวศของพระเจ้าเสียผลประโยชน์ และพวกเขาก็ไม่ได้ชั่ว เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอาตัวพวกเขาออกไป แต่ควรให้พวกเขาพักการใช้ชีวิตคริสตจักร และควรให้แยกเดี่ยวเพื่อทบทวนตนเอง แนวทางนี้เหมาะควรอย่างที่สุด จุดประสงค์ของการจัดการเรื่องราวเช่นนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตคริสตจักรจะเป็นไปตามระเบียบปกติ และเพื่อรับรองว่างานของคริสตจักรจะดำเนินต่อไปได้ตามปกติ
2. เปิดโปงและเล่นงานกัน
ในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า บางคนไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจและไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมเรื่องการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าจากประสบการณ์ของตนอย่างไร พวกเขารู้จักแต่การนำพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงผู้คนมาเชื่อมโยงเข้ากับผู้อื่น ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาสามัคคีธรรมถึงความจริงในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมมีแรงจูงใจส่วนตัวอยู่เสมอ อยากใช้โอกาสนั้นเปิดโปงและโจมตีผู้อื่นตลอดเวลา เป็นเหตุให้เกิดความไม่สงบในคริสตจักร ถ้าคนที่ถูกเปิดโปงสามารถรับมือสถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง เข้าใจว่าสถานการณ์เหล่านี้มาจากพระเจ้า เรียนรู้ที่จะนบนอบและอดทน ก็จะไม่เกิดข้อพิพาทใดๆ อย่างไรก็ดี เมื่อใครบางคนได้ฟังผู้อื่นเปิดโปงและสามัคคีธรรมถึงปัญหาของตน พวกเขาก็อาจรู้สึกอยากท้าทายขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คิดในใจว่า “ทำไมพออ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว คุณถึงไม่แบ่งปันความเข้าใจในพระวจนะจากประสบการณ์ของคุณ หรือพูดถึงการรู้จักตัวคุณเอง กลับเอาแต่เล่นงานและเพ่งเล็งฉันอย่างเดียว? คุณไม่ชอบหน้าฉันใช่ไหม? พระวจนะของพระเจ้าก็ระบุชัดเจนแล้วว่าฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม—แท้จริงแล้วจำเป็นด้วยหรือที่คุณจะต้องพูดเรื่องนั้นออกมา? ฉันอาจมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม แต่คุณก็มีเช่นกันไม่ใช่หรือ? คุณเพ่งเล็งฉันอยู่เสมอ บอกว่าฉันหลอกลวง แต่คุณก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหลี่ยมคูเหมือนกัน!” เมื่อเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและการท้าทาย พวกเขาก็อาจจะใช้ความอดทนสักครั้งสองครั้ง แต่นานเข้า พอความขุ่นข้องหมองใจของพวกเขาพอกพูนขึ้นมาก็ย่อมระเบิด เมื่อระเบิดแล้ว ก็สร้างความวิบัติ พวกเขากล่าวว่า “เวลาบางคนกระทำการและพูดจา ดูภายนอกพวกเขาแสร้งทำเป็นซื่อสัตย์และเปิดเผยอย่างยิ่ง แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเต็มไปด้วยกลอุบายสารพัดชนิด คอยวางแผนเล่นงานผู้อื่นอยู่เสมอ เวลาพวกเขาคุยด้วย ก็ไม่มีใครสามารถจับความคิดหรือเจตนาของพวกเขาได้ พวกเขาเป็นคนหลอกลวง เมื่อพบเจอคนเช่นนี้ พวกเราไม่อาจพูดคุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาได้ พวกเขาน่ากลัวเกินไป ถ้าไม่ระวังให้ดี คุณก็จะตกหลุมพรางของพวกเขา ถูกพวกเขาโกงและหลอกใช้ ผู้คนแบบนี้ชั่วที่สุด เป็นคนชนิดที่พระเจ้าทรงชิงชังและขยะแขยงที่สุด พวกเขาควรถูกโยนลงบาดาลลึก ลงบึงไฟและกำมะถัน!” เมื่อได้ฟังเช่นนี้ อีกฝ่ายก็คิดว่า “คุณมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม แต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นเปิดโปงคุณอย่างนั้นหรือ? คุณโอหังและคิดว่าตนเองถูกเสียขนาดนั้น ดังนั้นฉันก็จะหาพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งมาเปิดโปงคุณ และดูว่าเมื่อถึงตอนนั้นคุณมีอะไรจะพูดบ้าง!” หลังจากถูกเปิดโปง อีกฝ่ายก็ยิ่งโมโหมากขึ้นและคิดไปว่า “แบบนี้คุณจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้จบใช่ไหม? คุณจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปอยู่ดีใช่ไหม? คุณก็แค่ไม่ชอบหน้าฉัน คิดว่าฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามใช่ไหม? ได้ อย่างนั้นฉันก็จะเปิดโปงคุณด้วย!” ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า “บางคนก็เป็นศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ รักสถานะและคำสรรเสริญจากคนอื่น ชอบอบรมสั่งสอนคนอื่น ใช้พระวจนะของพระเจ้ามาเปิดโปงและกล่าวโทษคนอื่น ทำให้คนอื่นนึกว่าตัวพวกเขาไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พวกเขาล้วนสูงส่งและทรงอำนาจ นึกว่าตัวเองได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่พวกเขาก็เป็นแค่ปีศาจสกปรกไม่ใช่หรือ? เป็นแค่เหล่าซาตานและวิญญาณชั่วไม่ใช่หรือ? ศัตรูของพระคริสต์คืออะไร? ศัตรูของพระคริสต์ก็คือเหล่าซาตาน!” พวกเขาปะทะคารมกันไปกี่รอบแล้ว? มีผู้ชนะหรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาพูดอะไรที่อาจจะทำให้ผู้อื่นเจริญใจบ้างหรือไม่? (ไม่) ดังนั้น วาจาเหล่านี้คือสิ่งใด? (คำตัดสิน คำกล่าวโทษ) เป็นคำตัดสิน พวกเขาผลีผลามพูดโดยไม่นึกถึงสถานการณ์จริงหรือข้อเท็จจริง ตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่นตามอำเภอใจ ถึงกับสาปแช่งผู้อื่นอีกด้วย พวกเขามีข้อเท็จจริงรองรับในการเรียกอีกฝ่ายว่าศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? คนคนนั้นมีการกระทำและการสำแดงอันใดที่ชั่วเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์บ้าง? อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนคนนั้นเข้าขั้นแก่นแท้ในตัวศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ฟังพวกเขาเปิดโปงอีกฝ่าย ประชากรเหล่านั้นจะคิดว่านั่นเป็นไปตามข้อเท็จจริงและเป็นความสัตย์จริงหรือไม่? มีความเมตตาหรือเจตนาดีในถ้อยคำที่ทั้งสองคนนี้กล่าวออกมาหรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาต่างก็มีจุดประสงค์ที่จะช่วยให้อีกฝ่ายรู้จักตนเอง สามารถทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้หรือไม่? (ไม่) ถ้าเช่นนั้นพวกเขาทำดังนี้เพื่ออะไร? เพื่อระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัว เพื่อโจมตีและแก้แค้นอีกฝ่าย ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวหาอีกฝ่ายตามอำเภอใจด้วยเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงแต่อย่างใด พวกเขาไม่ได้ประเมินและระบุลักษณะของอีกฝ่ายให้ถูกต้องตามพระวจนะของพระเจ้า ตามแก่นแท้และสิ่งที่อีกฝ่ายเผยออกมา แต่กลับใช้พระวจนะของพระเจ้ามาโจมตีกัน แก้แค้น และระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัว พวกเขาไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงแต่อย่างใด นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรง พวกเขาฉวยเอาเรื่องราวเกี่ยวกับอีกฝ่ายมาเล่นงานและกล่าวโทษอยู่เสมอว่ามีอุปนิสัยที่โอหัง—ท่าทีเช่นนี้ร้ายกาจและมุ่งร้าย และแน่ชัดว่านี่ไม่ใช่การเปิดโปงเพราะมีเจตนาดี ผลที่ตามมามีแต่จะทำให้เป็นปฏิปักษ์และเกลียดชังกันเท่านั้น ถ้าการเปิดโปงดำเนินไปด้วยท่าทีของการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความรัก ผู้คนย่อมจะสามารถรับรู้ได้และสามารถตอบสนองต่อการเปิดโปงนั้นได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าใครสักคนฉวยเอาอุปนิสัยที่โอหังของอีกคนมากล่าวโทษและเล่นงาน นี่ก็คือการโจมตีและระรานคนคนนั้นโดยแท้ ทุกคนล้วนมีอุปนิสัยที่โอหัง แล้วจะเพ่งเล็งคนคนหนึ่งอยู่เสมอเพื่ออะไร? เหตุใดจึงมุ่งสนใจคนคนเดียวตลอดเวลาโดยไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป? การเปิดโปงอุปนิสัยที่โอหังของคนคนเดียวอย่างต่อเนื่อง—มีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้พวกเขาทิ้งอุปนิสัยนั้นไปจริงหรือ? (ไม่จริง) เช่นนั้นแล้วมีเหตุผลอันใด? เพราะพวกเขาไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย ดังนั้นจึงมองหาโอกาสที่จะโจมตีและเอาคืน อยากระรานอีกฝ่ายอยู่เสมอ เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขากล่าวว่าอีกฝ่ายคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นซาตาน เป็นมาร เป็นคนที่หลอกลวงและร้ายกาจ นั่นใช่ข้อเท็จจริงหรือไม่? อาจจะมีข้อเท็จจริงอยู่บ้าง แต่จุดประสงค์ที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลืออีกฝ่ายหรือเพื่อสามัคคีธรรมความจริง แต่เพื่อระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัวและแก้แค้น พวกเขาถูกระรานมา ดังนั้นจึงอยากตอบโต้ แล้วพวกเขาตอบโต้อย่างไร? ด้วยการเปิดโปงอีกฝ่าย กล่าวโทษอีกฝ่าย เรียกอีกฝ่ายเป็นมาร เป็นซาตาน เป็นวิญญาณชั่ว ศัตรูของพระคริสต์—แปะป้ายอะไรก็ได้ที่เลวทรามที่สุดและข้อกล่าวหาอะไรก็ได้ที่ร้ายแรงที่สุดให้แก่ฝ่ายนั้น นี่คือการตัดสินและกล่าวโทษตามอำเภอใจมิใช่หรือ? เจตนา จุดประสงค์ และแรงจูงใจของทั้งสองฝ่ายในการกล่าวสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อช่วยให้อีกฝ่ายรู้จักตนเองและแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และยิ่งไม่ใช่เพื่อช่วยให้อีกฝ่ายเข้าสู่ความเป็นจริงในพระวจนะของพระเจ้าหรือเข้าใจหลักธรรมความจริง แต่พวกเขากำลังพยายามเล่นงานและโจมตีอีกฝ่าย เปิดโปงฝ่ายนั้นเพื่อให้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนที่จะระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัวและแก้แค้น นี่คือการลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน แม้วิธีเล่นงานผู้อื่นเช่นนี้อาจจะดูมีหลักการรองรับมากกว่าการเปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกัน มีการเชื่อมโยงพระวจนะของพระเจ้าเข้ากับอีกฝ่ายเพื่อกล่าวว่าอีกฝ่ายมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและเป็นมาร เป็นซาตาน และเมื่อดูภายนอกก็เหมือนมีสภาวะฝ่ายวิญญาณอยู่มาก แต่วิธีการสองอย่างนี้กลับมีธรรมชาติที่เหมือนกัน ทั้งสองวิธีนี้ไม่มีอย่างไหนเป็นการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและความจริงตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ กลับไร้ซึ่งความรับผิดชอบและเป็นการตัดสิน กล่าวโทษ และสาปแช่งอีกฝ่ายตามอำเภอใจและตามความชอบส่วนตน รวมทั้งลงมือเล่นงานด้วยเรื่องส่วนตัว บทสนทนาที่มีธรรมชาติเช่นนี้ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรเช่นกัน แทรกแซงและทำลายการเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
พวกเจ้าควรทำอย่างไรเมื่อพบเจอคนสองคนลงมือเล่นงานกันโดยต่างก็เปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของอีกฝ่าย? จำเป็นต้องทุบโต๊ะและพูดจาสั่งสอนพวกเขาหรือไม่? จำเป็นต้องราดน้ำเย็นสักถังให้พวกเขาเย็นลง ทำให้พวกเขาตระหนักว่าทำไม่ถูกและให้ขอโทษกันหรือไม่? วิธีการเหล่านี้สามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่? (ไม่ได้) สองคนนี้ทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอทุกครั้งที่มีการชุมนุม และเมื่อการชุมนุมแต่ละครั้งสิ้นสุดลง พวกเขาก็เตรียมพร้อมที่จะทะเลาะกันในคราวต่อไป เวลาอยู่บ้าน พวกเขาก็มองหาพระวจนะของพระเจ้าและหลักการที่จะใช้เล่นงาน ถึงกับจดร่างเอาไว้ และขบคิดว่าจะเล่นงานอีกฝ่ายอย่างไร จะเล่นงานแง่มุมใด จะตัดสินและกล่าวโทษอีกฝ่ายอย่างไร ใช้น้ำเสียงแบบไหน และจะใช้พระวจนะคำใดของพระเจ้ามาลงมือเล่นงานและกล่าวโทษให้น่าเชื่อถือที่สุด พวกเขายังหาคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณที่หลากหลายและใช้วิธีแสดงออกต่างๆ มากล่าวโทษและโจมตีอีกฝ่ายด้วย ป้องกันไม่ให้พลิกสถานการณ์ได้ และพยายามคว่ำอีกฝ่ายให้ได้ในการปะทะคารมครั้งถัดไป ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก พฤติกรรมเหล่านี้จัดเป็นการลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันทั้งสิ้น ปัญหาเช่นนี้แก้ไขง่ายหรือไม่? หลังจากที่ได้รับคำแนะนำ ความช่วยเหลือ และสามัคคีธรรมความจริงจากผู้คนส่วนใหญ่แล้ว ถ้าพวกเขายังคงไม่กลับใจหรือพลิกครรลองของตนให้ถูกต้อง—กล่าวคือ พวกเขายังโต้เถียงและสาปแช่งกันเมื่อพบหน้า ไม่ฟังคำแนะนำของใคร และไม่ยอมรับความจริงเมื่อมีคนสามัคคีธรรมความจริงให้ฟังหรือตัดแต่งพวกเขา—ควรทำอย่างไร? นี่จัดการได้ง่าย กล่าวคือ ควรชำระพวกเขาออกไป นั่นย่อมจะแก้ปัญหามิใช่หรือ? นั่นง่ายมิใช่หรือ? จำเป็นต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขาต่อไปหรือไม่? จำเป็นต้องช่วยเหลือพวกเขาอย่างเปี่ยมรักต่อไปหรือไม่? จงบอกเราเถิด เหมาะควรหรือไม่ที่จะแสดงความอดทนอดกลั้นแก่ผู้คนเช่นนี้อย่างเปี่ยมรัก? (ไม่เหมาะควร) ทำไมจึงไม่เหมาะควร? (พวกเขาไม่ยอมรับความจริง—ไม่มีประโยชน์ที่จะสามัคคีธรรมกับพวกเขา) ถูกต้อง พวกเขาไม่ยอมรับความจริง พวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมก็เพื่อต่อล้อต่อเถียงกันเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และชอบแต่จะต่อล้อต่อเถียงกันเท่านั้น นี่ใช่การเผยและสำแดงความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? ความมีเหตุผลซึ่งความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีนั้น พวกเขามีหรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาไร้ซึ่งความมีเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ขณะชุมนุม ผู้คนเช่นนี้ย่อมไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยความสนใจในลักษณะที่ถูกควรเพื่อให้ตนสามารถเข้าใจและได้รับความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า และด้วยเหตุนั้นจึงแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและแก้ปัญหาของตนได้ แต่พวกเขากลับอยากแก้ปัญหาให้ผู้อื่นอยู่เสมอ ความสนใจของพวกเขามุ่งไปที่ผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง มองหาข้อเสียในตัวคนเหล่านั้น มุ่งหมายที่จะค้นหาปัญหาของผู้อื่นในพระวจนะของพระเจ้าตลอดเวลา พวกเขาใช้โอกาสในการอ่านและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ามาเปิดโปงและเล่นงานผู้อื่น ใช้พระวจนะของพระเจ้ามาตัดสิน ดูเบา และกล่าวโทษผู้อื่น ทว่าพวกเขากลับแยกตัวเองออกจากพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเป็นคนแบบใด? ใช่ผู้คนที่ยอมรับความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขาเก่งและเฉียบคมในเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษคือ หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขามักจะระบุปัญหา สภาวะ และการสำแดงต่างๆ ในตัวผู้อื่นออกมาได้ตามที่พระวจนะของพระองค์เปิดโปง ยิ่งพวกเขาระบุปัญหาเหล่านี้ออกมา ก็ยิ่งรู้สึกว่าตนแบกรับความรับผิดชอบอย่างสำคัญ และเชื่อว่ามีสิ่งที่ตนสามารถทำได้อยู่มากมาย คิดไปว่าตนควรเปิดโปงปัญหาเหล่านี้ออกมา พวกเขาจะไม่ยอมให้คนที่มีปัญหาเหล่านี้หลุดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว พวกเขาเป็นคนเช่นใด? ผู้คนแบบนี้มีเหตุผลหรือไม่? พวกเขามีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงหรือไม่? (ไม่มี) ในคริสตจักร ถ้าผู้คนเช่นนี้ไม่เอ่ยปากหรือก่อให้เกิดการรบกวน ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดการพวกเขา อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขาทำตัวเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เล่นงาน ตัดสิน และกล่าวโทษผู้อื่นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วคริสตจักรก็ควรลงมือจัดการพวกเขาไปตามนั้น ชำระพวกเขาออกไปเสีย ส่วนคนที่ถูกผู้คนเปิดโปง จากนั้นก็เล่นงาน ตัดสิน และกล่าวโทษคนที่เปิดโปงตนโดยใช้หนทางและวิธีการเดียวกัน ถ้ารูปการณ์นั้นร้ายแรงและพวกเขาก็ขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรไปแล้ว ก็ควรชำระพวกเขาออกไปและแยกพวกเขาออกจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเช่นกัน—ไม่อาจปรานีพวกเขาได้
สิ่งอื่นที่สำแดงถึงการลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันซึ่งมีลักษณะของธรรมชาติที่ขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรอยู่ในตัวมีสิ่งใดอีก? การเปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกัน การเปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของกันและกันเพื่อระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัวและแก้แค้นกัน ก็สำแดงถึงการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างชัดแจ้ง นอกจากการสำแดงสองอย่างนี้แล้ว ยังมีการแสร้งเปิดใจตีแผ่และชำแหละตนเองโดยจงใจที่จะเปิดโปงและชำแหละผู้อื่น—การเล่นงานเช่นนี้ก็สำแดงถึงการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักรเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่คนคนหนึ่งกล่าวออกมา ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาของตนเอง แต่เกี่ยวข้องกับปัญหาของผู้อื่น ไม่ว่าจะพูดในลักษณะที่ชี้ชัดลงไปหรือพูดผ่านๆ แบบอ้อมค้อมและแยบคายก็ตาม นั่นใช่การเล่นงานหรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้ว สถานการณ์เช่นใดจึงจะเป็นการเล่นงาน? ขึ้นอยู่กับเจตนาและจุดประสงค์เบื้องหลังสิ่งที่พูด ถ้าพูดบางสิ่งเพื่อโจมตีและแก้แค้นผู้คน หรือระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัว นี่ก็คือการเล่นงาน สถานการณ์เช่นนี้ก็อย่างหนึ่ง นอกจากนี้ การกระพือแง่มุมที่ผิวเผินของปัญหาให้เป็นเรื่องใหญ่เพื่อตัดสินและกล่าวโทษผู้คน โดยสวนทางกับข้อเท็จจริงและสิ่งที่จริงแท้ ด่วนสรุปโดยไร้ความรับผิดชอบและไม่ดูเลยว่าแก่นแท้ของปัญหาเป็นเช่นใด—นี่ก็คือการระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัวและแก้แค้นเช่นกัน เป็นการตัดสินและกล่าวโทษ และสถานการณ์เช่นนี้ก็เป็นการเล่นงานด้วย มีอะไรอีก? (การกุข่าวลือที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับผู้คน นี่ใช่หรือไม่?) การกุข่าวลือที่ไม่มีมูลย่อมนับด้วยแน่นอน ยิ่งใช่เข้าไปใหญ่ มีกี่สถานการณ์ที่เป็นการเล่นงาน? (สาม) จงสรุปสถานการณ์เหล่านี้มาเถิด (อย่างแรกคือการโจมตีผู้อื่นโดยมีจุดประสงค์จำเพาะ อย่างที่สองคือการตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่นในทางตรงข้ามกับข้อเท็จจริงและสิ่งที่จริงแท้ ซึ่งก็คือการระบุลักษณะผู้อื่นตามอำเภอใจอย่างไร้ความรับผิดชอบ อย่างที่สามคือการกุข่าวลือที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับผู้คน) ธรรมชาติของสถานการณ์ทั้งสามอย่างนี้ต่างก็มีลักษณะเป็นการเล่นงานส่วนตัว พวกเราจะแยกอย่างไรว่าสถานการณ์ใดเป็นการเล่นงานส่วนตัวและอย่างไหนไม่ใช่? เมื่อพูดถึงคนที่ลงมือเล่นงาน การกระทำหรือวาจาเช่นใดคือการเล่นงาน? สมมุติว่าวาจาของคนคนหนึ่งมีธรรมชาติเป็นการชี้นำอยู่บ้างในตัว และสามารถชี้นำผู้อื่นไปในทางที่ผิดได้ ทั้งยังมีลักษณะเป็นการกุข่าวลือในตัวอีกด้วย คนคนนั้นกำลังปั้นน้ำเป็นตัว กุข่าวลือและเรื่องโกหกเพื่อชักพาและชี้นำให้ผู้คนหลงผิด เจตนาและจุดประสงค์ของพวกเขาก็คือการทำให้ผู้คนอีกมากยอมรับรู้และเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้อง และเห็นด้วยว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นสอดคล้องกับความจริง ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็อยากแก้แค้นใครอื่นไปด้วย อยากทำให้คนเหล่านั้นคิดลบและอ่อนแอ พวกเขานึกไปว่า “คุณมีลักษณะนิสัยที่เลวทรามขนาดนั้น—ฉันต้องเปิดโปงสถานการณ์ที่แท้จริงของคุณ และกระทืบความโอหังของคุณเอาไว้ จากนั้นก็จะได้เห็นกันว่าคุณมีอะไรให้อวดและทำตัวเด่นอีกบ้าง! เทียบเคียงกับคุณแล้วฉันจะเด่นได้อย่างไร? ความเกลียดชังที่ฉันมีจะไม่สลายหายไปจนกว่าฉันจะฟาดฟันให้คุณคิดลบและโค่นคุณลงได้ ฉันจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าคุณก็สามารถคิดลบและมีความอ่อนแอเช่นกัน!” ถ้านี่คือจุดประสงค์ของพวกเขา เช่นนั้นแล้วคำพูดของพวกเขาก็เป็นการเล่นงาน แต่สมมุติว่าเจตนาของพวกเขามีเพียงการอธิบายข้อเท็จจริงและสิ่งที่จริงแท้ในเรื่องหนึ่งๆ ให้กระจ่างเท่านั้น—หลังจากที่มีความเข้าใจเชิงลึกที่ถูกต้องในเรื่องนั้นและค้นพบแก่นแท้ของปัญหาด้วยการผ่านประสบการณ์มาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าควรสามัคคีธรรมถึงเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าใจและรู้ว่าความเข้าใจที่ถ่องแท้ในเรื่องนี้เป็นเช่นใด กล่าวคือ จุดประสงค์ของพวกเขาคือการแก้ไขทัศนะที่มองด้านเดียวหรือบิดเบี้ยวของผู้คนอีกมากให้ถูกต้องในเรื่องนี้—นี่ใช่การเล่นงานหรือไม่? (ไม่ใช่) พวกเขาไม่ได้บีบให้ใครบางคนยอมรับความคิดเห็นส่วนตัวของพวกเขา และยิ่งไม่ได้เก็บงำเจตนาที่เป็นความคุมแค้นส่วนตัว แต่กลับปรารถนาที่จะชี้แจงสิ่งที่จริงแท้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ ให้กระจ่างเท่านั้น พวกเขากำลังใช้ความรักมาช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจ และใช้ความเข้าใจนี้มาป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายพลัดหลง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยอมรับเรื่องนี้หรือไม่ พวกเขาก็สามารถลุล่วงความรับผิดชอบของตน ดังนั้นพฤติกรรมนี้ แนวทางนี้ จึงไม่ใช่การเล่นงาน ด้วยภาษา การเลือกใช้คำ อากัปกิริยา น้ำเสียง และท่าทีที่ใช้พูดจาในการสำแดงที่ต่างกันสองอย่างนี้ คนเราย่อมบอกได้ว่าเจตนาและจุดประสงค์ของคนคนนั้นเป็นเช่นใด ถ้าคนคนหนึ่งหมายที่จะเล่นงานอีกฝ่าย ภาษาของพวกเขาย่อมจะบาดหูเป็นแน่ เจตนาและจุดประสงค์ของพวกเขาก็จะชัดเจนอยู่ในน้ำเสียงที่ใช้พูด ในการเปล่งเสียง การเลือกใช้คำ และท่าที ถ้าพวกเขาไม่บีบให้อีกฝ่ายยอมรับสิ่งที่พวกเขากำลังพูดอยู่ และแน่นอนว่าไม่ได้กำลังเล่นงานอีกฝ่าย เช่นนั้นแล้วก็แน่ชัดว่าวาจาของพวกเขาเป็นไปตามการสำแดงมโนธรรมและเหตุผลในความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นอกจากนี้ ท่าที น้ำเสียง และการเลือกใช้คำเวลาพูดจาก็ย่อมจะเป็นเหตุเป็นผล และอยู่ในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างแน่นอน
หลังการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมว่าด้วยการแยกแยะว่าสิ่งใดคือการเล่นงานส่วนตัวและสิ่งใดไม่ใช่ คราวนี้พวกเจ้าก็สามารถใช้วิจารณญาณดูเรื่องนี้ได้แล้วใช่หรือไม่? ถ้าพวกเจ้ายังคงไม่สามารถดูเรื่องนี้ออก เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะไม่สามารถรู้ทันแก่นแท้ของปัญหา ไม่ว่าสามัคคีธรรมของใครคนหนึ่งจะน่าฟังเพียงใด ถ้าพวกเขาไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม ถ้าพวกเขาไม่ได้มุ่งหมายที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควรและช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริง แต่กลับค้นหาสิ่งที่จะนำมาใช้เล่นงานผู้คนเพื่อที่จะตามรังควานอีกฝ่ายไม่เลิก พยายามเต็มที่ที่จะตัดสินและกล่าวโทษอีกฝ่าย และแม้ภายนอกจะดูเหมือนพวกเขากำลังใช้วิจารณญาณดูผู้คนอยู่ แต่แท้จริงแล้วเจตนาและจุดประสงค์ของพวกเขากลับเป็นการกล่าวโทษและเล่นงานผู้อื่น เช่นนั้นแล้วสถานการณ์นี้ก็เกี่ยวพันกับการเล่นงานส่วนตัว เรื่องเล็กน้อยที่ดำเนินอยู่ระหว่างผู้คนย่อมง่ายและเห็นได้ชัดเจนยิ่ง ถ้ามีการสามัคคีธรรมความจริงในเรื่องเหล่านี้ ก็จะใช้เวลาในการชุมนุมไม่เต็มครั้งดี เมื่อเป็นดังนั้น จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องยึดเอาเวลาของพี่น้องชายหญิงมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้เสียมากมายทุกครั้งที่มีการชุมนุม? ไม่จำเป็น ถ้ามีคนตามรังควานผู้อื่นไม่เลิก นั่นย่อมเป็นการเล่นงานผู้คนและก่อให้เกิดการรบกวน เหตุใดผู้คนจึงยึดมั่นในเรื่องหนึ่งๆ และพูดถึงเรื่องนั้นอย่างไม่จบสิ้น? เพราะไม่มีใครเต็มใจปล่อยมือจากเจตนาและจุดประสงค์ของตนเอง ไม่มีใครพยายามที่จะรู้จักตนเอง และไม่มีใครยอมรับความจริง หรือข้อเท็จจริงและสิ่งที่จริงแท้ ดังนั้นพวกเขาจึงตามรังควานผู้อื่นไม่หยุด ธรรมชาติของการตามรังควานผู้อื่นไม่หยุดนี้เป็นเช่นไร? เป็นการเล่นงาน นี่คือการหาสิ่งที่จะใช้เล่นงานผู้อื่น จับผิดคำที่ผู้อื่นเลือกใช้ และใช้ข้อบกพร่องของผู้อื่นมาเล่นงานพวกเขา หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเรื่องเดียวไม่เลิกและทุ่มเถียงจนใบหน้าแดงก่ำ ถ้าผู้คนสามัคคีธรรมตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เกื้อหนุนและช่วยเหลือกัน—ซึ่งเป็นการลุล่วงความรับผิดชอบของตน—เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพระหว่างพวกเขาก็ย่อมจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าพวกเขาลงมือเล่นงานและโต้เถียงกัน ต่างก็พาตัวเข้าไปวุ่นวายกันเพื่อที่จะชี้แจงเหตุผลอันชอบธรรมของตนให้ชัดแจ้ง อยากกุมความได้เปรียบอยู่เสมอ ไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้และไม่ยอมประนีประนอม ไม่ปล่อยมือจากความขุ่นข้องหมองใจส่วนตัว เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพระหว่างพวกเขาสองคนก็จะตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ และเลวร้ายลงไปทุกทีในที่สุด และจะไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติ ดวงตาของพวกเขาอาจถึงกับแดงฉานทุกครั้งที่พบหน้ากันด้วยซ้ำ ลองคิดดูเถิด เวลาสุนัขกัดกัน ดวงตาของตัวที่ดุร้ายย่อมแดงฉาน เหตุใดดวงตาของมันจึงแดงฉาน? เพราะเปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชังมิใช่หรือ? นี่ก็เหมือนผู้คนที่เล่นงานกันใช่หรือไม่? เวลาผู้คนสามัคคีธรรมความจริง ถ้าพวกเขาไม่เล่นงานกัน แต่สามารถชดเชยข้อบกพร่องของกันและกันด้วยการดึงจุดแข็งของอีกฝ่ายมาใช้ และเกื้อหนุนกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่สัมพันธภาพระหว่างพวกเขาจะไม่ดี? สัมพันธภาพของพวกเขาย่อมจะเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน เมื่อคนสองคนพูดจา คุยเล่น สามัคคีธรรม หรือแม้กระทั่งโต้วาทีกันตามมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สัมพันธภาพของพวกเขาย่อมจะเป็นปกติ และพวกเขาก็จะไม่โมโหหรือเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกันทันทีที่พบหน้า ถ้าผู้คนเกิดความเกลียดชังและความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไม่อาจอธิบายได้ในยามที่พวกเขายังไม่ได้เห็นหน้ากันด้วยซ้ำ แค่เพราะมีการเอ่ยถึงอีกฝ่าย เช่นนี้ก็ไม่ใช่การสำแดงว่ามีเหตุผลและมโนธรรมตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ผู้คนเล่นงานกันเพราะพวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม นี่ไม่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ล้วนเป็นเพราะผู้คนไม่รักความจริง ไม่สามารถยอมรับความจริง และไม่ยอมปฏิบัติความจริงหรือจัดการเรื่องราวตามหลักธรรมในยามที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเป็นปกติที่จะเกิดกรณีที่เปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกัน ตัดสิน และถึงกับเล่นงานและกล่าวโทษกันในชีวิตคริสตจักร เนื่องจากผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม มักจะอยู่ในสภาวะที่ไร้เหตุผล ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงบางอย่าง ก็ยากที่พวกเขาจะปฏิบัติความจริง ระหว่างพวกเขาจึงเกิดข้อพิพาทและการเล่นงานกันสารพัดชนิดโดยง่าย ถ้าการเล่นงานเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ก็จะกระทบกระเทือนชีวิตคริสตจักรเพียงชั่วคราว แต่คนที่มีแนวโน้มที่จะเล่นงานกันอย่างต่อเนื่อง ย่อมก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรง ทั้งยังแทรกแซงและส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอีกด้วย
3. การต่อล้อต่อเถียง
ในคริสตจักรยังมีคนอีกแบบหนึ่ง—คนแบบนี้ชอบสร้างความชอบธรรมให้ตนเองเป็นพิเศษ ยกตัวอย่างถ้าพวกเขาทำหรือกล่าวสิ่งใดผิด พวกเขาย่อมกลัวว่าผู้อื่นอาจจะมีความคิดเห็นที่ไม่ดีกับตน และเรื่องนี้ก็จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพวกเขาในสายตาของคนส่วนใหญ่ ดังนั้นขณะชุมนุม พวกเขาจึงสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและอธิบายเรื่องราว จุดประสงค์ที่พวกเขาอธิบายก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเกิดความคิดเห็นที่ไม่ดีกับตน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ความพยายามและความคิดในเรื่องนี้อย่างมาก ตรึกตรองตลอดวันว่า “ฉันจะชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างได้อย่างไร? จะอธิบายแก่คนคนนั้นให้ชัดเจนได้อย่างไร? ฉันจะหักล้างความคิดเห็นที่ไม่ดีที่พวกเขามีต่อฉันได้อย่างไร? การชุมนุมวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะพูดคุยเรื่องนี้” ในที่ชุมนุม พวกเขาจึงกล่าวว่า “สิ่งที่ฉันทำไปในครั้งก่อนไม่ได้หมายที่จะทำร้ายหรือเปิดโปงใคร ฉันเจตนาดีคืออยากจะช่วยผู้คน แต่บางคนก็เข้าใจฉันผิดอยู่เสมอ อยากเพ่งเล็งฉันอยู่เรื่อย และคิดตลอดเวลาว่าฉันละโมบ ทะเยอทะยาน และมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี แต่แท้จริงแล้วฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย จริงไหม? ฉันไม่เคยทำหรือพูดอะไรแบบนั้น เวลาฉันพูดถึงใครสักคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย ก็ไม่ใช่ว่าฉันตั้งใจจะทำให้พวกเขาเดือดร้อน เวลาผู้คนทำเรื่องไม่ดีลงไป พวกเขาจะไม่ยอมให้คนอื่นพูดถึงเรื่องนั้นได้อย่างไร?” พวกเขาพูดเสียมากมาย ทั้งปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง พลางเปิดโปงปัญหาของอีกฝ่ายไปด้วยไม่น้อย ทั้งหมดก็เพื่อแยกตัวออกมาจากเรื่องดังกล่าว ทำให้ทุกคนเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเผยออกมานั้นไม่ใช่อุปนิสัยที่เสื่อมทราม พวกเขาไม่ได้มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดีหรือว่าไม่ชอบความจริง และยิ่งไม่มีเจตนาปองร้าย แต่กลับทำให้ทุกคนนึกว่าพวกเขานั้นเจตนาดี โดยที่เจตนาอันดีของพวกเขาก็มักจะถูกเข้าใจผิด พวกเขามักจะถูกกล่าวโทษเพราะความเข้าใจผิดของผู้อื่น คำพูดของพวกเขาทำให้คนฟังรู้สึกทั้งโดยนัยและในทางที่ชัดแจ้งว่าพวกเขาบริสุทธิ์ใจ และผู้คนที่คิดว่าพวกเขาผิดและไม่ดีนั้นคือคนชั่ว เป็นคนที่ไม่รักความจริง เมื่อได้ฟังเช่นนี้ อีกฝ่ายก็เข้าใจไปว่า “คำพูดของคุณมีจุดประสงค์ที่จะบอกว่าคุณไม่ได้มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามไม่ใช่หรือ? นั่นก็เพื่อทำให้คุณดูดีเท่านั้นไม่ใช่หรือ? นี่ไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้จักตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเท่านั้นเองหรอกหรือ? ถ้าคุณไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ ก็ได้ แต่ทำไมพุ่งเป้ามาที่ฉัน? ฉันไม่ได้เจตนาเพ่งเล็งคุณ และไม่ได้อยากโจมตีคุณ คุณจะคิดอย่างไรก็ได้ตามที่อยากคิด นั่นเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?” ดังนั้นพวกเขาจึงยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่และกล่าวว่า “เวลาบางคนพบเจอปัญหาเล็กน้อย ทนทุกข์กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมหรือความเจ็บปวดบ้าง พวกเขากลับไม่เต็มใจยอมรับ อยากอธิบายและสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง พยายามพาตัวออกห่างจากปัญหาเสมอ อยากทำให้ตัวเองดูดีตลอดเวลา อยากชุบทองให้กับภาพลักษณ์ของตน พวกเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แล้วทำไมถึงพยายามทำให้ตัวเองดูดี พยายามบรรยายว่าตัวเองเพียบพร้อม? นอกจากนี้ฉันก็สามัคคีธรรมความจริง ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ใคร ไม่ได้คิดจะโจมตีหรือแก้แค้นใคร ผู้คนอยากคิดอะไรก็คิดไปแล้วกัน!” สองคนนี้กำลังสามัคคีธรรมความจริงกันหรือไม่? (ไม่) แล้วพวกเขากำลังทำอะไร? ฝ่ายหนึ่งบอกว่า “ฉันทำสิ่งเหล่านี้เพื่องานของคริสตจักร ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดอย่างไร” อีกฝ่ายก็บอกว่า “เมื่อมนุษย์ลงมือ สวรรค์ย่อมจับตามอง พระเจ้าทรงรู้ความคิดของผู้คน เพียงเพราะคุณมีไมตรีจิต มีความสามารถและวาทศิลป์อยู่บ้าง และไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ก็อย่าคิดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงพินิจพิเคราะห์ตัวคุณ อย่าคิดว่าถ้าคุณซ่อนเร้นความคิดของตัวเองไว้ลึกๆ พระเจ้าจะไม่สามารถมองเห็น พี่น้องชายหญิงสามารถมองเห็นความคิดของคุณกันทุกคน—ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพระเจ้า! คุณไม่รู้หรือว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกของผู้คน?” สองคนนี้เถียงกันเรื่องอะไร? ฝ่ายหนึ่งกำลังพยายามอย่างมากที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ทำให้ตนพ้นผิด ไม่อยากให้ผู้อื่นมีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับตน ส่วนอีกฝ่ายก็ยืนกรานที่จะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป ไม่ยอมให้คนคนนั้นดูดี และพร้อมกันนั้นก็มุ่งหมายที่จะใช้วาจาติเตียนมาเปิดโปงและกล่าวโทษพวกเขา ดูภายนอกสองคนนี้ไม่ได้สาปแช่งกันโดยตรงหรือเปิดโปงกันโดยตรง แต่วาจาของทั้งคู่มีจุดประสงค์คือ ฝ่ายหนึ่งก็พยายามป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใจตนผิด และเรียกร้องให้อีกฝ่ายกู้ชื่อให้ตน ขณะที่อีกฝั่งก็ไม่ยอมทำเช่นนั้น กลับยืนกรานที่จะตีตราและกล่าวโทษ เรียกร้องให้อีกฝ่ายยอมรับ การสนทนาแบบนี้ใช่การสามัคคีธรรมความจริงตามปกติหรือไม่? (ไม่ใช่) ใช่การสนทนาตามมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วธรรมชาติของการสนทนาแบบนี้เป็นอย่างไร? การสนทนาแบบนี้ใช่การลงมือเล่นงานกันหรือไม่? (ใช่) คนที่สร้างความชอบธรรมให้ตนเองกำลังสามัคคีธรรมอยู่หรือไม่ว่าพวกเขาสามารถยอมรับสิ่งต่างๆ จากพระเจ้า รู้จักตนเอง และค้นหาหลักธรรมที่ควรปฏิบัติได้อย่างไร? ไม่ พวกเขากำลังบอกเหตุผลอันชอบธรรมของตนให้ผู้อื่นฟัง พวกเขาอยากชี้แจงความนึกคิด มุมมอง เจตนา และจุดประสงค์ของตนแก่ผู้อื่น อยากอธิบายตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง และอยากให้อีกฝ่ายยืนยันว่าพวกเขาไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังอยากปฏิเสธการเปิดโปงและกล่าวโทษของอีกฝ่าย และไม่ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นจะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงหรือความจริงหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาไม่ยอมรับหรือไม่เต็มใจยอมรับ ตราบนั้นพวกเขาก็ถือว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้นผิด และอยากแก้ไขให้ถูกต้อง ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่อยากลบล้างความผิดให้พวกเขา แต่กลับเปิดโปงแทน บีบให้พวกเขายอมรับการกล่าวโทษจากตน คนหนึ่งไม่เต็มใจยอมรับ ส่วนอีกคนก็ยืนกรานให้ยอมรับ พาให้ทั้งสองเล่นงานกัน ธรรมชาติของบทสนทนาแบบนี้ก็คือธรรมชาติของการลงมือเล่นงานกัน ดังนั้น การเล่นงานแบบนี้มีธรรมชาติเป็นเช่นไร? การสนทนาเช่นนี้ย่อมมีลักษณะเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธ พร่ำบ่นกัน และกล่าวโทษกันใช่หรือไม่? (ใช่) มีบทสนทนารูปแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรด้วยหรือไม่? (มี) การสนทนาแบบนี้คือการต่อล้อต่อเถียงกันทั้งสิ้น
เหตุใดจึงเรียกบทสนทนาแบบนี้ว่าการต่อล้อต่อเถียง? (เพราะผู้คนที่เกี่ยวข้องกำลังโต้เถียงกันเรื่องถูกผิด ไม่มีใครพยายามทำความรู้จักตัวเอง และไม่มีใครได้รับสิ่งใด พวกเขาเอาแต่ดึงดันที่จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องดังกล่าว และบทสนทนานั้นก็ไร้ความหมาย) พวกเขาเอาแต่พูดจาเสียมากมายและเปลืองลมปากมาเถียงกันว่าใครทำตัวถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า พวกเขาเถียงกันไม่หยุดโดยที่ไม่เคยมีผู้ชนะ และแล้วพวกเขาก็เถียงกันต่อ ท้ายที่สุดพวกเขาได้อะไรจากการทำเช่นนี้? ใช่การเข้าใจความจริง ใช่การเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? ใช่ความสามารถที่จะกลับใจและยอมรับการพินิจพิเคราะห์จากพระเจ้าหรือไม่? ใช่ความสามารถที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ จากพระเจ้าและรู้จักตนเองมากขึ้นหรือไม่? พวกเขาไม่ได้สิ่งเหล่านี้ไว้เลย ข้อพิพาทที่ไร้ความหมายและบทสนทนาเรื่องถูกผิดเหล่านี้คือการต่อล้อต่อเถียง กล่าวง่ายๆ ก็คือ การต่อล้อต่อเถียงเป็นการสนทนาที่ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง ทุกสิ่งที่พูดมาล้วนไร้สาระ ไม่มีสักคำที่ชวนให้เจริญใจหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่ทุกคำที่พูดออกมากลับสร้างความเจ็บปวด และเกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ ความหัวร้อน ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และแน่นอนว่ายิ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คน ทุกคำที่พูดออกมาเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ภาพลักษณ์และความมีหน้ามีตาของตนเอง ไม่ใช่เพื่อที่จะเกื้อกูลหรือทำให้ผู้อื่นเจริญใจ ไม่ใช่เพื่อให้ตนเองเข้าใจแง่มุมบางอย่างของความจริงหรือเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อที่จะเสวนาว่าพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอันใดของตนออกมา อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนตรงกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ หรือว่าความเข้าใจของตนนั้นถูกต้องหรือไม่ ไม่ว่าเหตุผลที่ยกมาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและคำอธิบายที่ไร้ความหมายเหล่านี้จะฟังดูรื่นหู จริงใจ หรือเปี่ยมศรัทธาเพียงใด ก็ล้วนเป็นการต่อล้อต่อเถียง เล่นงาน และตัดสินกัน ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้อื่นและตนเอง สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำร้ายผู้อื่นและส่งผลต่อสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติของคนเราเท่านั้น แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในชีวิตของตนเองอีกด้วย สรุปแล้ว ไม่ว่าข้ออ้าง เจตนา ท่าที น้ำเสียงที่ใช้ หรือช่องทางและกลวิธีที่ใช้จะเป็นเช่นใด ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่นตามอำเภอใจ ตราบนั้นถ้อยคำ วิธีการ และอื่นๆ เหล่านี้ก็ล้วนจัดอยู่ในหมวดหมู่ของการเล่นงานผู้อื่น เป็นการต่อล้อต่อเถียงทั้งสิ้น ขอบข่ายนี้กว้างหรือไม่? (กว้างมาก) แล้วเวลาที่พวกเจ้าเผชิญการเล่นงาน ตัดสิน และกล่าวโทษจากผู้คน พวกเจ้าจะละเว้นพฤติกรรมที่เล่นงานและกล่าวโทษผู้อื่นได้หรือไม่? พวกเจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเวลาเผชิญสถานการณ์แบบนี้? (พวกเราต้องมาสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผ่านทางการอธิษฐาน จากนั้นก็จะไม่มีความเกลียดชังในหัวใจของพวกเราอีกต่อไป) ตราบใดที่คนคนหนึ่งมีความเข้าอกเข้าใจและมีเหตุผล ตราบใดที่พวกเขาสามารถสงบใจเบื้องหน้าพระเจ้า อธิษฐานถึงพระองค์ และยอมรับความจริงได้ สามารถควบคุมเจตนาและความอยากได้อยากมีของตนได้ ตราบนั้นพวกเขาก็จะสามารถไปถึงขั้นที่ทั้งไม่ตัดสินและไม่เล่นงานผู้อื่น ตราบใดที่เจตนาและจุดประสงค์ของบางคนไม่ใช่การระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัวหรือแสวงหาการแก้แค้น และแน่นอนว่าไม่ใช่การเล่นงานอีกฝ่าย แต่พวกเขากลับทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหรือเข้าใจอย่างตื้นเขินเกินไป และเพราะพวกเขาค่อนข้างเบาปัญญาและไม่รู้ความหรือเอาแต่ใจ ตราบนั้นด้วยการช่วยเหลือ เกื้อหนุน และสามัคคีธรรมจากผู้อื่น หลังจากที่เข้าใจความจริงแล้ว วาจาของพวกเขาย่อมจะถูกต้องมากขึ้น รวมทั้งการประเมินผู้อื่นและทัศนะที่พวกเขามีต่อผู้อื่นด้วย และพวกเขาก็จะสามารถรับมือการกระทำที่ไม่ถูกต้องและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามซึ่งผู้อื่นเผยออกมาได้อย่างถูกต้อง และด้วยเหตุนั้นจึงค่อยๆ ลดการเล่นงานและตัดสินผู้อื่น อย่างไรก็ดี ถ้าคนเราใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนตลอดเวลา หาโอกาสแก้แค้นใครก็ตามที่พวกเขาไม่ชอบหน้าหรือคนที่เคยล่วงเกินหรือทำร้ายพวกเขามาก่อน เก็บงำเจตนาดังกล่าวเอาไว้เสมอ ไม่แสวงหาความจริง ไม่พึ่งพาหรืออธิษฐานถึงพระเจ้าเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมสามารถเล่นงานผู้อื่นได้ทุกเมื่อและทุกหนแห่ง และนี่ก็ยากที่จะแก้ไข การเล่นงานผู้อื่นโดยไม่เจตนานั้นแก้ไขง่าย แต่การจงใจและเจตนาเล่นงานกลับไม่เป็นเช่นนั้น ถ้าคนคนหนึ่งเล่นงานและตัดสินผู้อื่นเป็นบางครั้งโดยไม่ได้เจตนา เมื่อผู้อื่นสามัคคีธรรมความจริงเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือพวกเขา ทันทีที่พวกเขาเข้าใจความจริงก็ย่อมจะสามารถพลิกครรลองของตนให้ถูกต้องได้ อย่างไรก็ดี ถ้าใครบางคนพยายามแก้แค้นและระบายความอาฆาตมาดร้ายของตนอย่างต่อเนื่อง อยากระรานหรือโค่นล้มผู้อื่นอยู่เสมอ และเล่นงานผู้อื่นด้วยเจตนาดังกล่าว ซึ่งทุกคนสามารถรู้สึกและมองเห็นได้ เช่นนั้นแล้วพฤติกรรมดังกล่าวย่อมกลายเป็นการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร เป็นการจงใจขัดขวางและก่อกวนทั้งสิ้น ด้วยเหตุนั้น การมีอุปนิสัยเล่นงานผู้อื่นนี้จึงยากที่จะเปลี่ยนแปลง
คราวนี้พวกเจ้าก็เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าควรแก้ปัญหาเรื่องการเล่นงานและกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไร? มีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือ—คนเราต้องพึ่งพาและอธิษฐานถึงพระเจ้า และแล้วความเกลียดชังของพวกเขาก็จะค่อยๆ หมดไป ผู้คนที่สามารถเล่นงานผู้อื่นมีอยู่สองประเภทหลักๆ หนึ่งคือคนที่พูดไม่คิด พูดจาโผงผางแบบขวานผ่าซาก และอาจกล่าวบางสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาไม่ชอบหน้าผู้คน อย่างไรก็ดี โดยมากแล้วพวกเขาไม่ได้จงใจหรือเจตนาเล่นงานผู้คน—เพียงแต่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ นี่เป็นอุปนิสัยของพวกเขาเท่านั้น และพวกเขาก็ลงมือเล่นงานผู้อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้าถูกตัดแต่ง พวกเขาก็สามารถยอมรับได้ นี่จึงไม่ใช่คนชั่ว และไม่ใช่เป้าหมายที่จะถูกชำระออกไป แต่คนชั่วย่อมไม่ยอมรับการถูกตัดแต่ง และมักจะก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร พวกเขาเล่นงาน ตัดสิน โจมตี และตอบโต้ผู้อื่นอยู่เนืองๆ ไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย พวกเขาก็คือคนชั่ว และเป็นคนที่คริสตจักรจำต้องจัดการชำระออกไปเสีย เหตุใดจึงจำเป็นต้องจัดการชำระพวกเขาออกไป? ดูจากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาแล้ว พฤติกรรมที่พวกเขาเล่นงานผู้อื่นไม่ใช่ไม่มีเจตนา แต่เป็นการจงใจ นี่เป็นเพราะผู้คนเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์ที่ปองร้าย—ไม่มีใครสามารถล่วงเกินหรือวิจารณ์พวกเขาได้ และถ้าใครสักคนกล่าวสิ่งที่บังเอิญทำร้ายความรู้สึกของพวกเขาอยู่บ้าง พวกเขาก็จะคิดหาโอกาสแก้แค้น—ดังนั้น ผู้คนดังกล่าวจึงสามารถวางแผนเล่นงานผู้อื่นได้ นี่เป็นคนจำพวกหนึ่งที่คริสตจักรจำเป็นต้องจัดการชำระออกไป ใครก็ตามที่ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน—ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ฝ่ายไหน ไม่ว่าจะเล่นงานอย่างแข็งขันหรือจำยอม—ตราบใดที่พวกเขามีส่วนร่วมในการเล่นงานเช่นนี้ พวกเขาก็คือคนชั่วที่มีเจตนาร้าย ไม่พอใจนิดเดียวก็ระรานผู้อื่น ผู้คนเช่นนี้ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรง เป็นคนชั่วจำพวกหนึ่งในคริสตจักร ในกรณีที่ไม่ร้ายแรงเท่านี้สามารถจัดการแยกเดี่ยวให้บุคคลดังกล่าวทบทวนตนเอง ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านี้ก็ต้องขับไล่หรือเอาตัวคนคนนั้นออกไป นี่คือหลักธรรมที่ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องเข้าใจเวลาจัดการเรื่องนี้
ด้วยสามัคคีธรรมนี้ คราวนี้พวกเจ้าก็เข้าใจความหมายของการเล่นงานผู้อื่นแล้วใช่หรือไม่? หลังจากที่เราให้คำจำกัดความว่าการเล่นงานคืออะไร บางคนก็คิดว่า “ด้วยคำนิยามกว้างๆ อย่างนั้นในเรื่องของการเล่นงานผู้อื่น วันหน้าใครจะกล้าเอ่ยปาก? มนุษย์อย่างพวกเราไม่มีใครเข้าใจความจริง ดังนั้นแค่เปิดปากก็จะส่งผลให้พวกเราเล่นงานคนอื่นแล้ว ซึ่งเลวร้ายมาก! ในอนาคต พวกเราควรกินอาหาร ดื่มน้ำ และอยู่เงียบๆ ก็พอ ปิดปากและไม่พูดจาโดยไม่ระวังตั้งแต่ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการเล่นงานคนอื่น นั่นคงจะเยี่ยมไปเลย วันเวลาของพวกเราคงจะมีสันติสุขขึ้นมาก” วิธีคิดแบบนี้ถูกต้องหรือไม่? การปิดปากตัวเองไม่ได้แก้ปัญหา แก่นแท้ของปัญหาเรื่องการเล่นงานผู้อื่นก็คือปัญหาที่หัวใจของคนเรา เป็นสิ่งที่เกิดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ปากของคนเรา สิ่งที่ผู้คนพูดออกจากปากย่อมมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและความคิดอ่านของพวกเขาคอยกำกับ ถ้าอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนคนหนึ่งได้รับการแก้ไข ตัวพวกเขาเข้าใจความจริงบางอย่างโดยแท้ และวาจาของพวกเขาก็ค่อนข้างมีหลักธรรมและผ่านการไตร่ตรองมาบ้างอีกด้วย เช่นนั้นแล้วปัญหาเรื่องที่พวกเขาเล่นงานผู้อื่นก็จะได้รับการแก้ไขเป็นบางส่วน แน่นอนว่าในชีวิตคริสตจักร การที่ผู้คนจะมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลตามปกติและไม่ลงมือเล่นงานหรือต่อล้อต่อเถียงกันนั้น พวกเขาจำเป็นต้องมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยๆ ขอการทรงนำจากพระเจ้า และพวกเขาก็จำเป็นต้องสงบเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหัวใจที่เคร่งศรัทธาและหิวกระหายความชอบธรรม เมื่อทำดังนั้น เวลาใครสักคนบังเอิญกล่าวบางสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกของเจ้า หัวใจของเจ้าก็จะสามารถสงบนิ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าจะไม่ถือสาพวกเขา และจะไม่อยากโต้เถียงอีกฝ่าย และยิ่งไม่อยากปกป้องและสร้างความชอบธรรมให้ตัวเจ้าเอง ในทางกลับกัน เจ้าจะน้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานโอกาสดีๆ ให้เจ้ารู้จักตัวเอง และขอบคุณพระองค์ที่เปิดโอกาสให้เจ้าตระหนักรู้ผ่านทางวาจาของผู้อื่นว่าเจ้ายังคงมีปัญหานั้นๆ นี่คือโอกาสอันดีที่เจ้าจะรู้จักตัวเอง นี่เป็นพระคุณของพระเจ้า และเจ้าก็ควรน้อมรับโอกาสจากพระเจ้าเอาไว้ เจ้าไม่ควรมีความขุ่นเคืองต่อคนที่ทำร้ายเจ้า และไม่ควรรู้สึกสะอิดสะเอียนและเกลียดชังคนที่บังเอิญหยิบยกข้อเสียของเจ้าขึ้นมาพูดหรือเปิดโปงข้อบกพร่องของเจ้า หลีกเลี่ยงพวกเขาหรือไม่ก็ใช้วิธีสารพัดชนิดมาตอบโต้ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แนวทางทั้งหมดนี้ไม่มีอย่างไหนเป็นที่ยินดีของพระเจ้า จงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าบ่อยครั้งเพื่ออธิษฐาน และหลังจากที่หัวใจของเจ้าสงบลงแล้ว เวลาที่ผู้อื่นทำร้ายเจ้าโดยไม่ได้เจตนา เจ้าก็จะสามารถรับมือได้อย่างถูกต้อง เจ้าจะสามารถอดทนและอดกลั้นต่อพวกเขา ถ้ามีใครเจตนาทำร้ายเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าจะมีท่าทีอย่างไร—เจ้าจะเถียงพวกเขาด้วยความหัวร้อน หรือจะสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง? แน่นอนว่าไม่ต้องให้เราบอกออกมา พวกเจ้าก็รู้ชัดกันทุกคนว่าหนทางเข้าสู่เช่นใดคือทางเลือกที่ถูกต้อง
เป็นการยากมากที่จะหลีกเลี่ยงการเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันในชีวิตคริสตจักรโดยพึ่งพาความเข้มแข็งของมนุษย์ การควบคุมตัวเองของมนุษย์ และความอดทนของมนุษย์ ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของเจ้าจะดีเพียงใด เจ้าจะอ่อนโยนและใจดีเพียงใด หรือเอื้ออารีขนาดไหน เจ้าก็ย่อมจะพบเจอบางคนหรือบางสิ่งที่ทำร้ายศักดิ์ศรี ความสุจริต และอื่นๆ ของเจ้าอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เจ้าควรมีหลักธรรมในใจว่าจะจัดการรับมือปัญหาจำพวกนี้อย่างไร ถ้าเจ้ารับมือปัญหาเหล่านี้ด้วยความหัวร้อน ก็ง่ายมากที่พวกเขาจะสาปแช่งเจ้า และเจ้าก็จะสาปแช่งพวกเขา พวกเขาเล่นงานเจ้า ส่วนเจ้าก็เล่นงานตอบ ใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ว่าพวกเขาจะโยนอะไรมา เจ้าก็ทำตอบโดยใช้วิธีการเดียวกัน เจ้าปกป้องศักดิ์ศรี ความสุจริต และหน้าตาของเจ้า นี่สัมฤทธิ์ง่ายมาก อย่างไรก็ดี เจ้าควรชั่งใจว่าวิธีการนี้สมควรหรือไม่ เป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเจ้าและผู้อื่นหรือไม่ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงยินดีหรือไม่ บ่อยครั้งเวลาผู้คนขบคิดแก่นแท้ของปัญหานี้ไม่ออก สิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมาได้เดี๋ยวนั้นกลับเป็นว่า “เขาไม่กรุณาฉัน แล้วฉันควรกรุณาเขาเพื่ออะไร? เขาไม่มีความรักให้ฉัน แล้วฉันควรปฏิบัติต่อเขาด้วยความรักเพื่ออะไร? เขาไม่มีความอดทนกับฉันและไม่ช่วยเหลือ แล้วฉันควรอดทนกับเขาหรือช่วยเขาเพื่ออะไร? เขาใจร้ายกับฉัน ฉันก็จะหาเรื่องเขาบ้าง ทำไมฉันจะตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันไม่ได้?” นี่คือความคิดแรกๆ ที่เกิดขึ้นในใจของผู้คน แต่พอเจ้าลงมือเช่นนี้จริง เจ้าย่อมรู้สึกมีสันติสุขภายในหรือว่าอึดอัดและเจ็บปวด? เมื่อเจ้าเลือกทางนี้เข้าจริง เจ้าย่อมได้สิ่งใดไว้? เจ้าได้รับอะไร? ผู้คนมากมายมีประสบการณ์ว่าพอพวกเขาทำเช่นนี้จริง กลับรู้สึกอึดอัดอยู่ข้างใน แน่นอนว่าสำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของการรู้สึกผิดทางมโนธรรม และยิ่งไม่ใช่ความอึดอัดเพราะรู้สึกว่าตนติดค้างพระเจ้า ผู้คนไม่มีวุฒิภาวะเช่นนั้น แล้วสิ่งใดก่อให้เกิดความอึดอัดในตัวพวกเขา? นี่เกิดจากความเกลียดชังของผู้คน การท้าทายศักดิ์ศรีและความสุจริตของพวกเขาเวลาที่พวกเขาถูกปรามาส รวมทั้งความเจ็บปวดที่พวกเขารู้สึก การระเบิดโทสะ ความเกลียดชัง การท้าทาย และความขัดเคืองที่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขาหลังจากที่ถูกยั่วยุทางวาจา ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด ผลสืบเนื่องของความอึดอัดนี้ย่อมเป็นเช่นใด? ทันทีที่รู้สึกดังนี้แล้ว เจ้าก็จะเริ่มตรึกตรองว่าจะใช้ภาษามาจัดการคนคนนั้นอย่างไร จะใช้ช่องทางที่มีเหตุผลและถูกกฎหมายมาโค่นพวกเขาลงได้อย่างไร เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าก็มีศักดิ์ศรี มีความสุจริต ไม่ใช่จะรังแกกันได้โดยง่าย เวลาที่เจ้ารู้สึกอึดอัด เวลาที่เจ้าเกิดความเกลียดชัง สิ่งที่เจ้าคิดไม่ใช่การแสดงความอดทนอดกลั้นให้คนคนนั้นเห็น หรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างถูกต้อง หรือสิ่งอื่นที่เป็นบวก แต่เจ้าคิดทุกสิ่งที่เป็นลบ เช่น ความอิจฉา ความสะอิดสะเอียน ความชัง ความเป็นอริ ความเกลียด และการกล่าวโทษ ถึงขั้นสาปแช่งพวกเขาอยู่ในหัวใจของเจ้านับครั้งไม่ถ้วน และไม่ว่าเมื่อใด—แม้ในยามที่เจ้ากำลังกินหรือกำลังหลับ—เจ้าก็คิดหาวิธีตอบโต้พวกเขา นึกภาพว่าถ้าพวกเขาเล่นงานหรือกล่าวโทษเจ้า เจ้าจะจัดการพวกเขาและรับมือสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร เป็นต้น เจ้าใช้เวลาทั้งวันครุ่นคิดว่าจะคว่ำอีกฝ่ายได้อย่างไร จะระบายความขุ่นเคืองและเกลียดชังของเจ้า และทำให้อีกฝ่ายยอมอ่อนข้อให้เจ้า กลัวเจ้า และไม่กล้ายั่วยุเจ้าอีกได้อย่างไร เจ้ามักจะคิดด้วยว่าจะสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายอย่างไร เพื่อให้พวกเขารู้ว่าเจ้านั้นมีอำนาจขนาดไหน เมื่อเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมา และเมื่อฉากเหตุการณ์ที่จินตนาการขึ้นมานั้นปรากฏอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ย่อมก่อให้เกิดการรบกวนและผลสืบเนื่องแก่เจ้าอย่างไม่อาจประมาณได้ เมื่อเจ้าตกอยู่ในสภาวะที่เข้าไปต่อล้อต่อเถียงและเล่นงานกันแล้ว ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นใด? ง่ายที่จะสงบใจเบื้องหน้าพระเจ้าหรือไม่เมื่อถึงตอนนั้น? นี่ย่อมประวิงการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) นี่ย่อมส่งผลกระทบต่อคนที่เลือกวิธีจัดการเรื่องราวแบบผิดๆ หากเจ้าเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง เมื่อใครบางคนพูดในลักษณะที่ทำความเสียหายต่อภาพลักษณ์หรือความภาคภูมิใจของเจ้า หรือดูแคลนความสุจริตและศักดิ์ศรีของเจ้า เจ้าสามารถเลือกที่จะอดกลั้นได้ เจ้าจะไม่ใช้ภาษาไม่ว่าชนิดใดโต้เถียงกับพวกเขา หรือแก้ต่างให้ตัวเอง หักล้าง และเล่นงานอีกฝ่ายโดยเจตนา ซึ่งก่อให้เกิดความเกลียดชังในตัวเจ้า อะไรคือแก่นแท้และนัยสำคัญของการอดกลั้น? เจ้ากล่าวว่า “บางสิ่งที่เขาพูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ว่าก่อนที่ทุกคนจะเข้าใจความจริงและได้รับความรอด พวกเขาล้วนเป็นเช่นนี้ และฉันก็เคยเป็นแบบนี้เช่นกัน ตอนนี้ฉันเข้าใจความจริง ฉันจึงไม่เดินไปบนเส้นทางของผู้ไม่มีความเชื่อที่โต้เถียงเรื่องถูกผิดหรือทำตามปรัชญาของการต่อสู้—ฉันเลือกที่จะอดกลั้นและปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความรัก บางสิ่งที่เขาพูดมาไม่ตรงกับข้อเท็จจริง แต่ฉันก็ไม่ใส่ใจ ฉันยอมรับสิ่งที่ฉันสามารถตระหนักรู้และเข้าใจได้ ฉันยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้าและนำมาอธิษฐานเบื้องหน้าพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงกำหนดสภาพการณ์ที่เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน เอื้ออำนวยให้ฉันรู้จักแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้และมีโอกาสที่จะเริ่มจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ค่อยๆ เอาชนะปัญหา และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ส่วนคนที่ใช้คำพูดทำร้ายฉันและสิ่งที่พวกเขาพูดมานั้นถูกต้องหรือไม่ หรือว่าพวกเขามีเจตนาเช่นไร ด้านหนึ่งฉันย่อมปฏิบัติด้วยการใช้วิจารณญาณในเรื่องนั้น และอีกด้านหนึ่งก็ยอมผ่อนปรนให้พวกเขา” หากคนคนนี้เป็นคนที่ยอมรับความจริง เจ้าย่อมสามารถนั่งลงสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างมีสันติสุขได้ หากพวกเขาไม่ใช่คนแบบนั้น หากพวกเขาเป็นคนชั่ว เช่นนั้นแล้วก็อย่าไปสนใจ จงรอจนกระทั่งพวกเขาทำผลงานได้มากพอ และพี่น้องชายหญิงทุกคน รวมถึงเจ้าด้วย ใช้วิจารณญาณดูพวกเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วผู้นำและคนทำงานก็กำลังจะจัดการเอาตัวพวกเขาออกไป—นั่นย่อมถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงจัดการพวกเขา และแน่นอนว่าเจ้าจะพลอยรู้สึกปีติยินดีไปด้วย อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่เจ้าควรเลือกไม่ใช่การเข้าไปต่อล้อต่อเถียงกับคนชั่วหรือโต้แย้งพวกเขาและพยายามสร้างความชอบธรรมให้ตนเองแต่อย่างใด แต่เป็นการปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเมื่อใดก็ตามที่มีบางสิ่งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรับมือผู้คนที่เคยทำร้ายเจ้าหรือคนที่ยังไม่เคยและกลับเป็นประโยชน์ต่อเจ้า หลักธรรมในการปฏิบัติควรเหมือนกัน เมื่อเจ้าเลือกเส้นทางนี้ หัวใจของเจ้าจะมีความเกลียดชังหรือไม่? อาจมีความอึดอัดเล็กน้อย ใครบ้างจะไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อถูกทำร้ายศักดิ์ศรี? ถ้าใครสักคนกล่าวอ้างว่าไม่รู้สึกอึดอัด นั่นย่อมเป็นคำโกหก หลอกลวง แต่เจ้าก็สามารถกล้ำกลืนและทนทุกข์กับความยากลำบากนี้เพื่อการปฏิบัติความจริง เมื่อเจ้าเลือกเส้นทางนี้ เจ้าจะมีมโนธรรมที่ชัดเจนยามที่เจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง เหตุใดมโนธรรมของเจ้าจึงจะชัดเจน? เพราะเจ้าจะรู้ชัดว่าวาจาของเจ้าไม่ได้เกิดจากความหัวร้อน เจ้าไม่ได้เข้าไปพิพาทกับผู้อื่นจนหน้าดำหน้าแดงเพราะความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง แต่เจ้ากลับทำตามหนทางของพระเจ้าและเดินไปบนเส้นทางของเจ้าเองโดยอิงตามรากฐานที่เป็นการเข้าใจความจริง เจ้าจะมีความชัดเจนในหัวใจของตนอย่างที่สุดว่าเส้นทางที่เจ้าเลือกนั้นมีพระเจ้าคอยชี้นำ เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าย่อมจะรู้สึกว่ามีสันติสุขเป็นพิเศษอยู่ภายใน เมื่อเจ้ามีสันติสุขเช่นนั้น ความเกลียดชังและการผูกใจเจ็บส่วนตัวระหว่างเจ้ากับผู้อื่นจะรบกวนเจ้าหรือไม่? (ไม่) เมื่อเจ้าปล่อยมือโดยแท้และเต็มใจเลือกเส้นทางที่เป็นบวก หัวใจของเจ้าย่อมจะสงบเงียบและมีสันติสุข เจ้าจะไม่ถูกความขุ่นเคือง ความเกลียดชัง กลอุบายและวิธีคิดตอบโต้ที่เกิดจากความเกลียดชังนั้น และอื่นๆ ที่เกิดจากความหัวร้อน มาคอยรบกวนอีกต่อไป เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินจะนำสันติสุขและหัวใจอันสงบเงียบมาให้เจ้า และสิ่งทั้งหลายที่เกิดจากความหัวร้อนก็จะไม่สามารถรบกวนเจ้าได้อีกต่อไป เมื่อไม่อาจรบกวนเจ้าได้อีกแล้ว เจ้าจะยังคงคิดหาทางเล่นงานคนที่ใช้วาจาทำร้ายเจ้าหรือเข้าไปต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขาหรือไม่? เจ้าจะไม่ทำ แน่นอนว่าบางครั้งบางคราวความหัวร้อน บุ่มบ่าม และความขุ่นเคืองของเจ้าย่อมจะถูกกระตุ้นเพราะเจ้าด้อยวุฒิภาวะหรือเพราะบริบทพิเศษบางอย่าง อย่างไรก็ดี ความมุ่งมั่น แน่วแน่ และเจตจำนงของเจ้าที่จะปฏิบัติความจริงย่อมจะป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาทำให้เจ้าวุ่นวายใจ กล่าวคือ สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถรบกวนเจ้า เจ้าอาจจะยังคงระเบิดความหัวร้อนออกมา เช่น คิดไปว่า “เขาทำให้ฉันลำบากอยู่เรื่อย ฉันควรคุยกับเขาให้รู้แล้วรู้รอดสักวัน และถามว่าทำไมถึงเพ่งเล็งฉันเสมอและทำให้ฉันลำบากตลอดเวลา ฉันควรถามเขาว่าทำไมถึงดูถูกและพูดจาถากถางฉันเป็นประจำ” บางครั้งเจ้าก็อาจมีความคิดแบบนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อคิดไปอีกหน่อย เจ้าย่อมจะตระหนักว่าพวกเขาผิด และการทำเช่นนั้นย่อมจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย เมื่อเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมา เจ้าจะกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยเร็วเพื่อพลิกสภาวะนี้ให้ถูกต้อง ดังนั้นความคิดที่ผิดพลาดเหล่านี้ก็จะไม่ครอบงำเจ้า ผลที่ตามมาคือในตัวเจ้าจะเริ่มมีสิ่งที่เป็นบวกเกิดขึ้น—เช่น การรู้จักตนเอง รวมทั้งความรู้แจ้งและความกระจ่างบางอย่างที่พระเจ้าประทานแก่เจ้า ซึ่งจะทำให้เจ้าสามารถมีวิจารณญาณในตัวผู้คนและเท่าทันเรื่องราว—และโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว สิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ก็จะทำให้เจ้าเข้าใจและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงมากขึ้น ถึงจุดนี้ การต้านทานของเจ้าซึ่งเป็น “ภูมิต้านทาน” ที่คอยปัดป้องความเกลียดชัง ความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัว และความหัวร้อน ย่อมจะแข็งแกร่งขึ้นทุกที และวุฒิภาวะของเจ้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สิ่งต่างๆ ที่เกิดจากความหัวร้อนย่อมจะไม่สามารถควบคุมเจ้าได้อีกต่อไป แม้บางครั้งเจ้าจะมีความคิดอ่าน แนวคิด และอารมณ์ชั่ววูบที่ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง สิ่งเหล่านี้ย่อมจะหายไปโดยเร็ว ถูกการต้านทานและวุฒิภาวะของเจ้ากำจัดและถอนรากถอนโคนออกไป ถึงตอนนี้ สิ่งที่เป็นบวก ความเป็นจริงของความจริง และพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะเป็นใหญ่ในตัวเจ้า เมื่อสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้เป็นใหญ่ เจ้าก็จะไม่ถูกผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายภายนอกครอบงำอีกต่อไป วุฒิภาวะของเจ้าจะเติบโต สภาวะของเจ้าจะเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวเจ้าจะไม่ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและไม่เติบโตไปในทิศทางที่เป็นวงจรอุบาทว์อีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ วุฒิภาวะของเจ้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ยามที่เจ้าอยู่ในคริสตจักรหรือในกลุ่มคน เมื่อถูกเล่นงานเป็นการส่วนตัวซึ่งทำร้ายศักดิ์ศรีและความสุจริตของเจ้า ถ้าเจ้าเลือกได้ที่จะอดกลั้นและอดทน สามารถเลือกเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็ย่อมเกิดประโยชน์ เจ้าอาจจะมองไม่เห็นประโยชน์ข้อนี้ แต่เมื่อเจ้ามีประสบการณ์เป็นเหตุการณ์แบบนี้ เจ้าจะค้นพบโดยไม่รู้ตัวว่าข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนและเส้นทางที่พระองค์ประทานแก่พวกเขาคือถนนที่สว่างไสวและเป็นหนทางที่แท้จริงในการใช้ชีวิต ทำให้ผู้คนสามารถได้รับความจริงและเป็นประโยชน์ต่อผู้คน ทั้งยังเป็นเส้นทางที่มีความหมายอย่างที่สุด เมื่อเจ้าอยู่ท่ามกลางผู้คนกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าอยู่ในชีวิตคริสตจักร เจ้าย่อมสามารถเอาชนะการทดลองและการยั่วใจต่างๆ ได้ เมื่อใครสักคนเล่นงานและทำร้ายเจ้าเพราะคิดปองร้าย หรือพยายามแก้แค้นเจ้าและระบายความเกลียดชังใส่เจ้าโดยเจตนา ก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เจ้าจะต้องสามารถรับมือเรื่องนี้และปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงได้ ด้วยเหตุที่พระเจ้าทรงเกลียดชังอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คน พระองค์จึงตรัสห้ามผู้คนรับมือสิ่งต่างๆ ที่พบเจอด้วยความหัวร้อน แต่ให้สงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แสวงหาความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า จากนั้นจึงทำความเข้าใจว่าแท้จริงแล้วข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนมีอะไรบ้าง ความอดทนของมนุษย์มีขีดจำกัด แต่เมื่อคนคนหนึ่งเข้าใจความจริง ความอดทนของพวกเขาก็จะพลอยมีหลักธรรม และนั่นก็สามารถกลายเป็นแรงขับเคลื่อนและช่วยให้คนคนนั้นปฏิบัติความจริง อย่างไรก็ดี ถ้าคนคนหนึ่งไม่รักความจริง ชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิดและชอบเล่นงานผู้อื่น มีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตตามความหัวร้อนของตน เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาถูกเล่นงาน พวกเขาย่อมโน้มเอียงที่จะเข้าไปต่อล้อต่อเถียงและเล่นงานกัน นี่ย่อมนำภัยมาสู่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ให้ความเจริญใจหรือช่วยเหลือใคร เมื่อใดก็ตามที่มีคนลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน พวกเขาย่อมหมดแรงในภายหลัง เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง และบาดเจ็บด้วยกันทั้งคู่ ไม่สามารถได้รับความจริงแต่อย่างใด และในที่สุดก็ไม่ได้รับสิ่งใด สิ่งที่เหลืออยู่มีแต่ความเกลียดชังและเจตนาที่จะตอบโต้เมื่อมีโอกาส นี่คือผลลัพธ์อันไม่พึงประสงค์ที่การเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันนำมาให้ผู้คนในท้ายที่สุด
สำหรับหัวข้อเรื่องการเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปนั้น คราวนี้พวกเจ้าก็เข้าใจหลักธรรมว่าด้วยการใช้วิจารณญาณแล้วใช่หรือไม่? พวกเจ้าสามารถแยกแยะได้หรือไม่ว่าสถานการณ์ใดบ้างที่เป็นการเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน? การเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันเกิดขึ้นเนืองๆ ตามกลุ่มคน และมักจะสังเกตเห็นได้ ในเบื้องต้นนั้น การเล่นงานกันประกอบด้วยการเจตนาเพ่งเล็งปัญหาของใครบางคนเพื่อที่จะเล่นงานพวกเขาเป็นการส่วนตัว ตัดสิน กล่าวโทษ และถึงกับสาปแช่งพวกเขา โดยมุ่งหมายที่จะแก้แค้น เล่นงานกลับ ระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัว และอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด การเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันก็ไม่เกี่ยวข้องกับการสามัคคีธรรมความจริง ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง และแน่นอนว่าไม่ได้สำแดงถึงการร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว กลับสำแดงให้เห็นการตอบโต้และโจมตีผู้คนเพราะความหัวร้อนและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน จุดประสงค์ของการเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันจึงไม่ใช่การสามัคคีธรรมความจริงให้ชัดเจนเป็นแน่ และยิ่งไม่ใช่การถกเถียงเพื่อที่จะเข้าใจความจริง แต่จุดประสงค์กลับเป็นการตอบสนองอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัว และความชอบส่วนตัวทางเนื้อหนังของคนเราเอง เห็นได้ชัดว่าการเล่นงานกันไม่ใช่การสามัคคีธรรมความจริง และแน่นอนว่าไม่ใช่การช่วยเหลือและปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความรัก แต่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์และวิธีการที่ซาตานใช้ระราน ปั่นหัว และหลอกผู้คน ผู้คนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและไม่เข้าใจความจริง ถ้าพวกเขาไม่เลือกที่จะปฏิบัติความจริง ก็ง่ายมากที่พวกเขาจะติดบ่วงอยู่ในการทดลองดังกล่าว รวมทั้งการต่อสู้ที่เป็นการเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน พวกเขาทุ่มเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง และถึงกับเถียงกันต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้เพราะคำคำเดียว วลีเดียว หรือเพราะมองหน้ากันครั้งเดียว สู้กันเป็นปีๆ เพื่อเอาชนะกัน จนกลายเป็นสถานการณ์ที่มีแต่แพ้กับแพ้เพียงเพราะเรื่องเรื่องเดียว ทันทีที่พบหน้า พวกเขาก็เถียงกันไม่รู้จบ และบ้างก็ถึงกับเล่นงาน สาปแช่ง และกล่าวโทษกันตามกลุ่มสนทนาทางคอมพิวเตอร์ ความเกลียดชังนี้กลายเป็นเรื่องร้ายแรงไปแล้ว! พวกเขาสาปแช่งกันในที่ชุมนุมไม่พอ ยังระบายความเกลียดชังของตนออกมาไม่หมด พวกเขายังไม่สัมฤทธิ์จุดประสงค์ของตน และพอกลับถึงบ้าน ยิ่งคิดเรื่องนี้ พวกเขาก็ยิ่งโมโห จึงสาปแช่งกันต่ออยู่ตรงนั้น นี่เป็นจิตวิญญาณจำพวกใด? ควรค่าแก่การส่งเสริมหรือไม่ ควรค่าที่จะสนับสนุนหรือไม่? (ไม่) “จิตวิญญาณที่ไม่สะทกสะท้าน” นี้เป็นเช่นใด? นี่คือจิตวิญญาณที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด เป็นจิตวิญญาณของความไร้ขื่อแป นี่คือผลของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม แน่นอนว่าพฤติกรรมและการกระทำเช่นนี้ย่อมนำการรบกวนและความสูญเสียมากมายมาให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของคนเหล่านี้ ทั้งยังก่อให้เกิดการรบกวนและขัดขวางชีวิตคริสตจักรอีกด้วย เพราะฉะนั้น เวลาเผชิญสถานการณ์เหล่านี้ ถ้าผู้นำและคนทำงานพบเห็นคนสองคนกำลังเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน สาบานว่าจะสู้กันให้ถึงที่สุด พวกเขาก็ต้องชำระคนเหล่านั้นออกไปโดยเร็ว ต้องไม่ยอมผ่อนปรนให้ และแน่นอนว่าต้องไม่ตามใจคนเหล่านั้น พวกเขาต้องปกป้องพี่น้องชายหญิงที่เหลือและดำรงรักษาชีวิตคริสตจักรที่ปกติเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าการชุมนุมแต่ละครั้งจะสัมฤทธิ์ผล และไม่เปิดโอกาสให้บุคคลดังกล่าวยึดเอาเวลาในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงไปจากพี่น้องชายหญิง รบกวนชีวิตคริสตจักรที่ปกติ ถ้าพบเห็นขณะชุมนุมว่าพวกเขาเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน ก็ต้องหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ทันที ถ้าควบคุมไม่ได้ ก็ต้องใช้การชุมนุมสักครั้งหนึ่งเปิดโปงและชำแหละผู้คนเหล่านั้นทันที และควรชำระพวกเขาออกไป คริสตจักรเป็นสถานที่สำหรับกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า นมัสการพระเจ้า ไม่ใช่สถานที่ให้เล่นงานหรือต่อล้อต่อเถียงกันเพื่อระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัว ใครก็ตามที่รบกวนชีวิตคริสตจักรบ่อยๆ ส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ย่อมต้องถูกชำระออกไป คริสตจักรไม่ต้อนรับผู้คนแบบนี้ และไม่อนุญาตให้พวกมารมารบกวนหรือให้มีคนชั่ว—จงชำระผู้คนเหล่านี้ออกไป แล้วปัญหาก็จะได้รับการแก้ไข
ในคริสตจักร ถ้าพบว่ามีบางคนลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะมีข้ออ้างและเหตุผลอันใด ไม่ว่าพวกเขาจะมุ่งเสวนากันเรื่องใด—จะเป็นเรื่องที่ทุกคนสนใจหรือไม่ก็ตาม—ตราบใดที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร ก็ต้องแก้ปัญหานี้ทันทีโดยไม่รั้งรอ ถ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดยั้งหรือควบคุมคนที่เกี่ยวข้องเอาไว้ ก็ควรชำระพวกเขาออกไป นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานควรทำเวลาเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว หลักธรรมข้อสำคัญไม่ได้ให้พวกเจ้าส่งเสริมพฤติกรรมที่ไม่ดีของผู้คนเหล่านี้ด้วยการยอมผ่อนปรนหรือตามใจพวกเขา และไม่ได้ให้เจ้าทำตัวเป็น “เจ้าหน้าที่ผู้เที่ยงตรง” คอยวินิจฉัยถูกผิดให้ผู้คนเหล่านี้ ดูว่าใครทำตัวถูกต้องและใครทำตัวไม่ถูกต้อง ใครเป็นฝ่ายถูกและใครไม่ใช่ แยกแยะคนถูกออกจากคนผิดให้ชัดเจน แล้วจากนั้นก็ตัดสินลงโทษทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน หรือลงโทษคนที่เจ้าเห็นว่าผิดและให้รางวัลอีกฝ่าย—นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เวลาจัดการเรื่องแบบนี้ เจ้าไม่ควรประเมินตามกฎหมาย และยิ่งไม่ควรประเมินและตัดสินตามมาตรฐานทางศีลธรรม แต่ควรประเมินและจัดการไปตามหลักธรรมของงานในคริสตจักร ในส่วนของทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเล่นงานกันนั้น ตราบใดที่พวกเขาก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร ผู้นำและคนทำงานของคริสตจักรก็ควรถือว่าเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้ให้ได้ หรือแยกเดี่ยวหรือเอาตัวพวกเขาออกไป แทนที่จะตั้งใจรับฟังที่ทั้งสองฝ่ายเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นและพูดถึงเหตุผลและข้ออ้างของพวกเขาแต่ละคน รวมทั้งเจตนา จุดประสงค์ และมูลเหตุเบื้องหลังการที่ต่างคนต่างเล่นงานอีกฝ่ายและต่อล้อต่อเถียงกัน—ผู้นำและคนทำงานไม่ควรต้องทำความเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ควรแก้ปัญหา กำจัดการขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร และจัดการคนที่ก่อเรื่อง สมมุติว่าผู้นำและคนทำงานไกล่เกลี่ยเรื่องราวและใช้วิธีแบบ “ทางสายกลาง” ใช้หลักการรอมชอมกับคนทั้งสองที่ลงมือเล่นงานกัน เปิดโอกาสให้พวกเขาขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรกันอย่างเมามันโดยไม่แทรกแซงหรือจัดการ—มัวแต่ตามใจผู้คนเหล่านี้ แต่ละครั้งพวกเขาก็เอาแต่เตือนสติและแนะนำคนเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาให้หมดไปได้ ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ละทิ้งความรับผิดชอบของตน ถ้ามีปัญหาที่ผู้คนลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันในคริสตจักร ก่อให้เกิดการรบกวนและทำความเสียหายแก่ชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้ผู้คนส่วนใหญ่เกิดความขุ่นเคืองและสะอิดสะเอียน ผู้นำและคนทำงานต้องลงมือโดยเร็ว แยกเดี่ยวหรือเอาตัวทั้งสองฝ่ายออกไปตามการจัดแจงแบ่งงานและหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าว่าด้วยการชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ พวกเขาไม่ควรทำตัวเป็น “เจ้าหน้าที่ผู้เที่ยงตรง” ที่วินิจฉัยคดีให้แก่คนที่เกี่ยวข้องและตัดสินเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งส่วนบุคคล พวกเขาไม่ควรตั้งใจฟังผู้คนเหล่านี้พูดจ้อเรื่องไร้สาระเน่าเหม็นเสียยืดยาวเพื่อที่จะดูว่าใครถูกใครผิด ใครทำตัวถูกต้องและใครทำตัวไม่ถูกต้อง และหลังจากที่ตัดสินเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็หาผู้คนมาเพิ่มเพื่อให้เสวนาและสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้ พาให้ผู้คนอีกมากเก็บงำความสะอิดสะเอียนและเกลียดชังเอาไว้ในหัวใจของตน นี่ย่อมจะเปลืองเวลาที่ผู้คนควรใช้กิน ดื่ม และสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้า นี่ยิ่งเป็นการละทิ้งความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และหลักปฏิบัติเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง ถ้าผู้คนที่ถูกควบคุมอยู่นั้นกลับใจเมื่อถึงจุดหนึ่ง และไม่เอาเวลาชุมนุมไปเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วก็ควรยกเลิกการแยกเดี่ยวพวกเขา ถ้าพวกเขาถูกเอาตัวออกไปในฐานะคนชั่ว และมีคนกล่าวอ้างว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ก็จำเป็นต้องดูว่าพวกเขาสำแดงให้เห็นการกลับใจโดยแท้หรือไม่ และต้องแสวงหาความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในเรื่องนี้ด้วย ต่อให้รับพวกเขากลับเข้ามา ก็ต้องสอดส่องพวกเขาเอาไว้อย่างใกล้ชิด ต้องเข้มงวดกวดขันระยะเวลาการพูดของพวกเขา และภายหลังก็ควรจัดการพวกเขาไปตามสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา เหล่านี้คือหลักธรรมที่ผู้นำคริสตจักรและคนทำงานควรเข้าใจและให้ความสนใจ แน่นอนว่าไม่อาจจัดการเรื่องนี้ตามการนึกคิดเอาเองได้ ต้องมีธรรมชาติที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนอยู่ในการเล่นงานกันของทั้งสองฝ่าย ไม่ควรห้ามผู้คนพูดจา และไม่ควรแยกเดี่ยวเพียงเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวสิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แล้วอีกฝ่ายก็ออกความเห็นตอบโต้ แท้จริงแล้วการจัดการผู้คนในลักษณะนั้นไม่ตรงตามหลักธรรม! ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจหลักธรรมอย่างถูกควร เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนรวมจะเห็นพ้องกันว่าการกระทำของพวกเขาตรงตามหลักธรรม แทนที่จะวิ่งพล่านทำสิ่งที่ไม่ดีหรือบรรยายปัญหาให้ร้ายแรงเกินจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อพูดถึงงานในแง่มุมนี้ ด้านหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณดูว่าสิ่งใดบ้างที่เป็นการเล่นงาน และอีกด้านหนึ่ง ผู้นำคริสตจักรและคนทำงานก็จำเป็นต้องรู้ด้วยว่าในการปฏิบัติงานนี้ควรเข้าใจหลักธรรมข้อใดและควรลุล่วงความรับผิดชอบใดบ้าง
4. กล่าวโทษผู้คนตามอำเภอใจ
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำแดงถึงการเล่นงานกัน บางคนรู้คำศัพท์ฝ่ายวิญญาณอยู่บ้าง พวกเขาจึงใช้บางคำในวาจาของตนเสมอ เช่น “มาร” “ซาตาน” “ไม่ปฏิบัติความจริง” “ไม่รักความจริง” “ฟาริสี” และอื่นๆ—พวกเขาใช้ศัพท์เหล่านี้ตัดสินบางคนตามอำเภอใจ นี่มีธรรมชาติเป็นการเล่นงานอยู่บ้างมิใช่หรือ? ก่อนหน้านี้เคยมีคนหนึ่งอยากสาปแช่งคนที่ไม่ทำตามความต้องการของเขายามที่เขามีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง แต่เขาก็คิดในใจว่า “ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้า การสาปแช่งผู้คนย่อมดูไม่ดี ทำให้ฉันดูเหมือนออกนอกขนบของธรรมิกชน ฉันจะสาปแช่งหรือใช้คำหยาบไม่ได้ แต่ถ้าไม่สาปแช่ง ฉันก็จะรู้สึกว้าวุ่น ไม่อาจบรรเทาความเกลียดชังได้—ฉันจะอยากสาปแช่งผู้คนตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นฉันควรจะสาปแช่งพวกเขาอย่างไร?” ดังนั้นเขาจึงประดิษฐ์ศัพท์ใหม่ขึ้นมา ใครก็ตามที่ล่วงเกินเขา ทำร้ายความรู้สึกของเขาด้วยการกระทำของตน หรือไม่ฟังเขา ย่อมจะถูกเขาสาปแช่งด้วยคำอย่าง “มารชั่ว!” “คุณเป็นมารชั่ว!” “คนนั้นๆ คือมารชั่ว!” เขาเติมคำว่า “ชั่ว” เข้าไปท้ายคำว่า “มาร”—แท้จริงแล้วเราไม่เคยได้ยินใครใช้วลีนี้มาก่อน นี่แปลกใหม่ทีเดียวมิใช่หรือ? พี่น้องชายหญิงถูกเขาสาปแช่งตามสบายว่าเป็น “มารชั่ว”—มีใครรู้สึกชูใจที่ได้ยินเช่นนั้นบ้าง? ยกตัวอย่าง ถ้าเขาขอให้พี่น้องชายหญิงสักคนเทน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่ง แล้วคนคนนั้นก็ยุ่งเหลือเกินจึงบอกให้เขาทำเอง เขาก็จะสาปส่งอีกฝ่ายว่า “เจ้ามารชั่ว!” ถ้าเขากลับจากการชุมนุมและเห็นว่ายังไม่มีการเตรียมอาหารให้ตน เขาก็จะโมโหว่า “พวกคุณนี่มารชั่ว ทุกคนขี้เกียจมาก ฉันออกไปทำหน้าที่ของตน แล้วพอกลับมา แม้แต่อาหารที่พร้อมให้ฉันกินก็ไม่มี!” ใครก็ตามที่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะถูกสาปแช่งให้เป็น “มารชั่ว” นี่เป็นคนชนิดใด? (คนชั่ว) เขาชั่วอย่างไร? ในสายตาของเขา ใครก็ตามที่ล่วงเกินเขาหรือไม่คล้อยตามความต้องการของเขาก็คือมารชั่ว—ตัวเขาเองไม่เป็น แต่คนอื่นเป็นกันหมด ที่พูดเช่นนี้ เขามีหลักการรองรับหรือไม่? ไม่มีเลย เขาเพียงแต่เลือกคำมาสาปแช่งผู้คนตามอำเภอใจซึ่งเปิดโอกาสให้เขาได้คลายความเกลียดชังและระบายอารมณ์ของตน เขาเชื่อว่าถ้าตนสาปแช่งใครสักคนเข้าจริงๆ ผู้อื่นก็จะกล่าวว่าเขานั้นดูไม่เหมือนผู้เชื่อในพระเจ้า แต่เขาก็คิดไปว่าถ้าเขาเรียกใครสักคนว่ามาร นั่นย่อมไม่ใช่การสาปแช่ง และควรที่จะดูมีเหตุผลในสายตาของผู้อื่น ทั้งยังตอบสนองความอยากของเขาเองโดยไม่เหลือช่องว่างให้ผู้อื่นหาอะไรมาตำหนิเขาได้ คนคนนี้เจ้าเล่ห์มากและชั่วทีเดียว เขาใช้ภาษาที่มุ่งร้ายอย่างที่สุด เป็นภาษาชนิดที่ไม่เหลือช่องทางให้ผู้คนขัดขืนได้ เพื่อที่จะแก้แค้นและกล่าวโทษผู้คน กระนั้นผู้คนก็ไม่สามารถกล่าวหาว่าเขาสาปแช่งหรือพูดจาไม่มีเหตุผลได้ เมื่อเผชิญหน้าคนแบบนี้ ผู้คนส่วนใหญ่จะหลีกเลี่ยงหรือเข้าไปใกล้? (พวกเขาย่อมจะหลีกเลี่ยง) เพราะเหตุใด? พวกเขาไม่สามารถยั่วยุเขาได้ ดังนั้นจึงได้แต่อยู่ห่างเขาเอาไว้ ผู้คนที่ฉลาดหลักแหลมย่อมจะทำเช่นนี้
ปรากฏการณ์ที่มีการกล่าวโทษ ตีตรา และระรานใครบางคนตามอำเภอใจมักจะเกิดขึ้นตามคริสตจักรทุกแห่ง ตัวอย่างเช่น บางคนมีอคติต่อผู้นำหรือคนทำงานคนใดคนหนึ่ง และออกความเห็นเกี่ยวกับพวกเขาลับหลังเพื่อแก้แค้น เปิดโปงและชำแหละพวกเขาโดยแสร้งทำเป็นสามัคคีธรรมความจริง เจตนาและจุดประสงค์เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวย่อมผิด ถ้าคนเราสามัคคีธรรมความจริงเพื่อกล่าวคำพยานให้พระเจ้าและยังประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยแท้ พวกเขาก็ควรสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์จริงของตน และยังประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการชำแหละและทำความรู้จักตนเอง การปฏิบัติเช่นนี้ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ย่อมจะเห็นชอบ ถ้าสามัคคีธรรมของคนเราเปิดโปง เล่นงาน และดูเบาอีกคนหนึ่งโดยพยายามที่จะโจมตีหรือแก้แค้นอีกฝ่าย เช่นนั้นแล้วเจตนาของสามัคคีธรรมนั้นก็ผิด ไม่มีเหตุอันชอบธรรม เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า และไม่ทำให้พี่น้องชายหญิงเจริญใจ ถ้าใครสักคนมีเจตนาที่จะกล่าวโทษหรือระรานผู้อื่น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นคนชั่วและกำลังทำความชั่ว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนควรมีวิจารณญาณในเรื่องของคนชั่ว ถ้าใครบางคนโจมตี เปิดโปง หรือดูเบาผู้คนตามใจชอบ เช่นนั้นแล้วก็ควรช่วยเหลือใครคนนั้นอย่างเปี่ยมรัก สามัคคีธรรมกับพวกเขา ชำแหละหรือตัดแต่งพวกเขา ถ้าพวกเขายอมรับความจริงไม่ได้และดื้อดึงไม่ยอมปรับปรุงตัว เช่นนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง เมื่อเป็นเรื่องของคนชั่วที่มักจะกล่าวโทษ ตีตรา และระรานผู้อื่นตามอำเภอใจ ก็ควรเปิดโปงพวกเขาอย่างหมดเปลือก เพื่อให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะใช้วิจารณญาณดูพวกเขา จากนั้นก็ควรควบคุมพวกเขาหรือไล่ไปจากคริสตจักร เรื่องนี้สำคัญยิ่งเพราะผู้คนเยี่ยงนี้รบกวนชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักร พวกเขามีแนวโน้มที่จะชักพาให้ผู้คนหลงผิดและนำความอลหม่านมาสู่คริสตจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนชั่วบางคนมักจะเล่นงานและกล่าวโทษผู้อื่น เพียงเพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดประสงค์ของตนซึ่งก็คือการอวดตัวและทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือตนเท่านั้น คนชั่วเหล่านี้ใช้โอกาสสามัคคีธรรมความจริงในที่ชุมนุมมาเปิดโปง ชำแหละ และข่มขี่ผู้อื่นทางอ้อมอยู่เนืองๆ พวกเขาถึงกับสร้างความชอบธรรมให้กับเรื่องนี้ด้วยการกล่าวว่าทำไปเพื่อช่วยผู้คนและแก้ปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักร และใช้ข้อแก้ตัวเหล่านี้มาปกปิดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดประสงค์ของตน พวกเขาเป็นคนจำพวกที่เล่นงานและระรานผู้อื่น ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นคนชั่วทั้งสิ้น ทุกคนที่เล่นงานและกล่าวโทษผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงล้วนชั่วช้าอย่างยิ่ง และมีแต่คนที่เปิดโปงและชำแหละคนชั่วเพื่อพิทักษ์รักษางานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้นที่มีสำนึกอันเที่ยงธรรมและเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ คนชั่วมักจะทำชั่วได้อย่างแยบยลมาก ทุกคนล้วนเก่งในการใช้คำสอนมาคิดหาเหตุที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและสัมฤทธิ์จุดประสงค์ที่จะชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด ถ้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่มีวิจารณญาณในตัวพวกเขาและไม่สามารถห้ามปรามคนชั่วเหล่านี้ได้ ชีวิตคริสตจักรและงานของคริสตจักรก็จะยุ่งเหยิงไปหมด—หรือถึงกับโกลาหล เมื่อคนชั่วสามัคคีธรรมถึงปัญหาและชำแหละปัญหาออกมา พวกเขาย่อมมีเจตนาและจุดประสงค์อยู่เสมอ และมุ่งหมายไปที่ใครสักคนตลอดเวลา พวกเขาไม่ได้ชำแหละหรือทำความรู้จักตนเอง ไม่ได้เปิดใจตีแผ่ตัวเองเพื่อแก้ปัญหาของตน—กลับฉวยโอกาสนั้นเปิดโปง ชำแหละ และเล่นงานผู้อื่น พวกเขามักจะใช้การสามัคคีธรรมถึงการรู้จักตัวพวกเขาเองมาชำแหละและกล่าวโทษผู้อื่น และพวกเขาก็ใช้การสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและความจริงมาเปิดโปง ดูเบา และว่าร้ายผู้คน พวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนและมีความเกลียดชังเป็นพิเศษต่อคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่แบกรับภาระเพื่องานของคริสตจักร และคนที่มักจะทำหน้าที่ของตน คนชั่วย่อมจะใช้เหตุผลอันชอบธรรมและข้ออ้างสารพัดชนิดมาโจมตีแรงจูงใจของผู้คนเหล่านี้และกีดกันไม่ให้พวกเขาดำเนินงานของคริสตจักร ความรู้สึกส่วนหนึ่งที่พวกเขามีต่อคนเหล่านี้ก็คือความอิจฉาและเกลียดชัง อีกส่วนหนึ่งคือความกลัวว่าหากผู้คนเหล่านี้ก้าวขึ้นมาทำงาน ก็จะคุกคามชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตน ดังนั้นพวกเขาจึงร้อนรนพยายามทำทุกทางที่ทำได้เพื่อตักเตือน ข่มขี่ และห้ามปรามผู้คนดังกล่าว พวกเขาทำแม้กระทั่งรวบรวมข้อมูลไว้ใช้ปรักปรำคนเหล่านี้และบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกล่าวโทษคนเหล่านี้ นี่เผยให้เห็นอย่างหมดสิ้นว่าอุปนิสัยของคนชั่วเหล่านี้คืออุปนิสัยที่เกลียดความจริงและสิ่งที่เป็นบวก พวกเขามีความเกลียดชังเป็นพิเศษต่อคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและรักสิ่งที่เป็นบวก รวมทั้งคนที่ค่อนข้างไร้เล่ห์มารยาและเป็นคนดีที่น่านับถือ พวกเขาอาจไม่พูดเช่นนั้น แต่นี่คือวิธีคิดชนิดที่พวกเขามี แล้วเหตุใดพวกเขาจึงพุ่งเป้าเป็นพิเศษไปยังผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรดาคนดีที่น่านับถือเพื่อที่จะเปิดโปง ดูเบา ข่มขี่ และกีดกันออกไป? เห็นได้ชัดว่านี่คือความพยายามของพวกเขาที่จะโค่นล้มและบดขยี้คนดีและคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เหยียบย่ำคนเหล่านี้ไว้ใต้ฝ่าเท้า เพื่อให้พวกตนสามารถควบคุมคริสตจักรเอาไว้ได้ บางคนไม่เชื่อว่าจะเป็นดังที่ว่ามานี้ สำหรับพวกเขาแล้ว เราถามคำหนึ่งว่าเวลาสามัคคีธรรมความจริง เหตุใดคนชั่วเหล่านี้จึงไม่เปิดโปงหรือชำแหละตัวเอง กลับเพ่งเล็งและเปิดโปงผู้อื่นเสมอ? เป็นไปได้จริงหรือที่พวกเขาไม่ได้เผยความเสื่อมทรามออกมาหรือไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงยืนกรานที่จะเพ่งเล็งผู้อื่นเพื่อที่จะเปิดโปงและชำแหละผู้อื่น? แท้จริงแล้วพวกเขาพยายามที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใด? คำถามนี้จำต้องใช้ความคิดเป็นอย่างมาก ถ้าคนเราเปิดโปงการกระทำอันชั่วของคนชั่วที่รบกวนคริสตจักรออกมา พวกเขาก็ย่อมทำสิ่งที่พึงทำ แต่ผู้คนเหล่านี้กลับเปิดโปงและระรานคนดี โดยแสร้งทำเป็นสามัคคีธรรมความจริง พวกเขามีเจตนาและจุดประสงค์อันใด? พวกเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะมองเห็นว่าพระเจ้าทรงช่วยคนดีให้รอดใช่หรือไม่? แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้น พระเจ้าไม่ทรงช่วยคนชั่วให้รอด ดังนั้นคนชั่วจึงเกลียดพระเจ้าและคนดี—ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก คนชั่วไม่ยอมรับหรือไล่ตามเสาะหาความจริง ตัวพวกเขาเองไม่อาจได้รับการช่วยให้รอด แต่กลับระรานคนดีที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถได้รับการช่วยให้รอด ปัญหาในที่นี้คืออะไร? ถ้าผู้คนเหล่านี้รู้จักตัวเองและความจริง พวกเขาย่อมจะสามารถเปิดใจสามัคคีธรรมได้ แต่พวกเขากลับเพ่งเล็งและยั่วยุผู้อื่นตลอดเวลา—โน้มเอียงที่จะเล่นงานผู้อื่นอยู่เสมอ—และกำหนดให้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นศัตรูในจินตนาการของตนอยู่เสมอ เหล่านี้คือลักษณะประจำตัวคนชั่ว คนที่สามารถทำความชั่วเช่นนี้ได้คือหมู่มารและเหล่าซาตานโดยแท้ เป็นศัตรูตัวจริงของพระคริสต์ที่ควรถูกควบคุมเอาไว้ และถ้าพวกเขาทำความชั่วมากมาย ก็ต้องจัดการทันที—ไล่ออกจากคริสตจักรไปเสีย คนที่โจมตีและกีดกันคนดีล้วนเป็นปลาเน่า เหตุใดเราจึงเรียกพวกเขาว่าปลาเน่า? เพราะพวกเขามีแนวโน้มที่จะยั่วยุให้เกิดข้อพิพาทและความขัดแย้งในคริสตจักรโดยไม่จำเป็น เป็นเหตุให้สภาพการณ์ในที่นั้นเลวร้ายลงเรื่อยๆ วันหนึ่งพวกเขาเพ่งเล็งคนหนึ่ง วันถัดไปก็เพ่งเล็งอีกคน เล็งเป้าหมายไปที่ผู้อื่นอยู่เสมอ ไปยังคนที่รักและไล่ตามเสาะหาความจริง นี่จึงมีแนวโน้มที่จะรบกวนชีวิตคริสตจักรและมีผลร้ายต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติ รวมทั้งการสามัคคีธรรมความจริงตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร คนชั่วเหล่านี้มักจะฉวยโอกาสที่ตนใช้ชีวิตคริสตจักรมาเล่นงานผู้อื่นในนามของการสามัคคีธรรมความจริง มีความไม่เป็นมิตรอยู่ในทุกสิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขาแสดงความคิดเห็นไปในทางยั่วยุเพื่อเล่นงานและกล่าวโทษคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและคนที่สละตนเพื่อพระเจ้า นี่จะส่งผลเช่นใด? จะขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร และเป็นเหตุให้ผู้คนไม่สบายใจและไม่สามารถสงบใจเบื้องหน้าพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องผิดทำนองคลองธรรมที่คนชั่วพวกนี้พูดออกมาเพื่อกล่าวโทษ โจมตี และสร้างบาดแผลให้แก่ผู้อื่น ย่อมสามารถยั่วยุให้เกิดแรงต้านได้ นี่ไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหา ตรงกันข้ามกลับกระตุ้นให้เกิดความกลัวและความกระวนกระวายในคริสตจักร ทำให้สัมพันธภาพระหว่างผู้คนมีความมึนตึง เกิดความตึงเครียดระหว่างพวกเขาและเป็นเหตุให้บาดหมางกัน พฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชีวิตคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความขัดแย้งในคริสตจักรอีกด้วย ถึงกับสามารถกระทบกระเทือนงานของคริสตจักรโดยรวมและการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เพราะฉะนั้น ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องตักเตือนคนจำพวกนี้ ต้องควบคุมและจัดการพวกเขาเช่นกัน ด้านหนึ่งพี่น้องชายหญิงต้องเข้มงวดในการควบคุมคนชั่วที่มักจะเล่นงานและกล่าวโทษผู้อื่น อีกด้านหนึ่งผู้นำคริสตจักรก็ควรเปิดโปงและหยุดยั้งคนที่โจมตีและกล่าวโทษผู้อื่นตามอำเภอใจทันที และถ้าพวกเขายังใม่ยอมแก้ไขตัวเอง ก็ให้เอาตัวออกไปจากคริสตจักร ต้องป้องกันไม่ให้คนชั่วรบกวนชีวิตคริสตจักรตามที่ชุมนุม และในเวลาเดียวกันก็ควรควบคุมผู้คนที่เลอะเลือนไม่ให้พูดจาในลักษณะที่กระทบกระเทือนชีวิตคริสตจักร ถ้าพบเจอคนชั่วกำลังทำความชั่ว ก็ต้องเปิดโปงพวกเขา แน่นอนว่าต้องไม่อนุญาตให้พวกเขากระทำการตามใจชอบ ทำความชั่วตามใจอยาก นี่จำเป็นต่อการดำรงรักษาชีวิตคริสตจักรที่ปกติเพื่อให้แน่ใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะชุมนุม กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และสามัคคีธรรมความจริงกันได้ตามปกติ เปิดโอกาสให้พวกเขาลุล่วงหน้าที่ของตนตามปกติ เมื่อนั้นเท่านั้นที่คริสตจักรจะดำเนินการตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และเช่นนี้เท่านั้นที่ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรจะสามารถเข้าใจความจริง เข้าสู่ความเป็นจริง และได้รับพรจากพระเจ้า พวกเจ้าเคยพบเจอคนชั่วเช่นนี้ในคริสตจักรบ้างหรือไม่? พวกเขาริษยาและเกลียดชังคนดีตลอดเวลา เพ่งเล็งคนเหล่านี้อยู่เสมอ วันนี้พวกเขาไม่ชอบคนดีหนึ่งคน พรุ่งนี้ก็ไม่ชอบอีกคน พวกเขาสามารถวิพากษ์วิจารณ์ใครก็ได้และแคะไค้ข้อเสียในตัวคนเหล่านั้นออกมาเสียมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่พวกเขากล่าวก็ฟังดูมีข้อมูลดีมากและมีเหตุผลมาก ในที่สุดพวกเขาก็จุดชนวนให้เกิดความโกรธแค้นอย่างกว้างขวาง กลายเป็นคนที่ทำให้ทั้งกลุ่มเดือดร้อน พวกเขาก่อกวนคริสตจักรจนทำให้หัวใจของผู้คนระส่ำระสาย ผู้คนมากมายคิดลบและอ่อนแอ ไม่ได้ประโยชน์หรือความเจริญใจจากการชุมนุม และบ้างก็ถึงกับหมดความประสงค์ที่จะเข้าร่วมการชุมนุม คนชั่วเช่นนี้คือปลาเน่ามิใช่หรือ? ถ้าพวกเขายังไม่ถึงขั้นที่ควรถูกเอาตัวออกไป ก็ควรแยกเดี่ยวหรือควบคุมเอาไว้ ยกตัวอย่างระหว่างการชุมนุม จงให้พวกเขานั่งแยกต่างหากเพื่อป้องกันไม่ให้ครอบงำผู้อื่น ถ้าพวกเขายืนกรานที่จะหาโอกาสพูดจาเล่นงานผู้คน ก็ควรควบคุมพวกเขาเอาไว้—คือห้ามพูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ถ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมและพวกเขาก็จวนเจียนจะระเบิดหรือขัดขืน ก็ควรนำตัวออกไปทันที นั่นคือ เมื่อพวกเขาไม่เต็มใจที่จะถูกห้ามปราม และกล่าวว่า “คุณมีเหตุผลอะไรมาห้ามฉันพูด? ทำไมทุกคนได้พูดห้านาที ส่วนฉันได้แค่หนึ่งนาที?”—เมื่อพวกเขาถามเช่นนี้อยู่เรื่อย นั่นก็หมายความว่าพวกเขากำลังจะขัดขืนแล้ว เวลาที่พวกเขากำลังจะขัดขืน พวกเขาย่อมกำลังท้าทายอยู่มิใช่หรือ? พวกเขากำลังพยายามสร้างปัญหาเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ? พวกเขากำลังจะก่อกวนชีวิตคริสตจักรมิใช่หรือ? พวกเขากำลังจะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ถึงเวลาจัดการพวกเขาแล้ว—ต้องรีบชำระพวกเขาออกไป นี่สมเหตุสมผลหรือไม่? ย่อมสมเหตุสมผล แท้จริงแล้วการทำให้แน่ใจว่าคนส่วนใหญ่จะสามารถใช้ชีวิตคริสตจักรได้ตามปกติไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อมีคนชั่ว วิญญาณชั่ว ปีศาจสกปรก และ “ผู้มีความสามารถพิเศษ” สารพัดจำพวกคอยจ้องจะทำให้เสียเรื่อง แล้วไหวหรือที่พวกเราจะไม่ควบคุมพวกเขาเอาไว้? “คนที่มีความสามารถพิเศษ” บางคนเริ่มดูเบาและเล่นงานผู้อื่นทันทีที่ฝ่ายแรกเปิดปากพูด—ถ้าเจ้าสวมแว่นหรือผมบางสักหน่อย พวกเขาก็เล่นงานเจ้า ถ้าเจ้าแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ของเจ้าระหว่างชุมนุมหรือทำหน้าที่ของตนในเชิงรุกและด้วยความรับผิดชอบ พวกเขาก็เล่นงานและตัดสินเจ้า ถ้าเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้าระหว่างบททดสอบ ถ้าเจ้าอ่อนแอ หรือถ้าเจ้าเอาชนะเรื่องยุ่งยากในครอบครัวได้โดยใช้ความเชื่อของเจ้าและไม่พร่ำบ่นพระเจ้า พวกเขาย่อมเล่นงานเจ้า การเล่นงานในที่นี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่ว่าผู้อื่นจะทำสิ่งใด ก็ไม่เคยทำให้ผู้คนเหล่านี้พอใจ พวกเขาไม่ชอบใจอยู่เสมอ มองหาข้อเสียที่ไม่มีอยู่จริงตลอดเวลา พยายามกล่าวหาผู้อื่นด้วยเรื่องต่างๆ เสมอ และสิ่งที่ผู้อื่นทำก็ไม่เคยถูกต้องในสายตาของพวกเขา ต่อให้เจ้าสามัคคีธรรมความจริงและจัดการปัญหาไปตามที่พระนิเวศของพระเจ้าจัดแจงแบ่งงานมาให้ พวกเขาก็จะจับผิดจุกจิกและวิพากษ์วิจารณ์ หาเรื่องติทุกสิ่งที่เจ้าทำ พวกเขาจงใจก่อปัญหา และทุกคนก็ถูกพวกเขาเล่นงานทั้งสิ้น ทุกครั้งที่พบเห็นคนเช่นนี้ในคริสตจักร เจ้าต้องจัดการพวกเขา ถ้าพบเจอสองคน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจัดการทั้งคู่ นี่เป็นเพราะภัยที่พวกเขาก่อให้เกิดแก่ชีวิตคริสตจักรมีมากนัก พวกเขาก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร และนี่ก็ส่งผลในทางที่เลวร้าย
ข. ลักษณะความเป็นมนุษย์ของผู้คนที่มักจะเล่นงานผู้อื่น
วันนี้พวกเราสามัคคีธรรมถึงแง่มุมที่สัมพันธ์กับปัญหาเรื่องการเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันไปหลายแง่มุมแล้ว พวกเจ้าเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่ผู้คนนานาประเภทสำแดงออกมาในแง่มุมเหล่านี้แล้วใช่หรือไม่? พวกเรามาเริ่มจากคนที่โน้มเอียงไปในทางที่จะเล่นงานผู้อื่นกันเถิด—พวกเขามีเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่? (ไม่) พวกเขาสำแดงความไม่มีเหตุผลออกมาอย่างไร? พวกเขามีท่าทีและหลักการเช่นใดต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย? พวกเขาเลือกใช้วิธีการและท่าทีเช่นใดมารับมือผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ? ยกตัวอย่างการชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิด นี่คือท่าทีอย่างหนึ่งที่พวกเขามีต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายมิใช่หรือ? (ใช่) การชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิดหมายถึงการพยายามชี้แจงว่าสิ่งใดถูกหรือผิดในทุกๆ เรื่อง ไม่ยอมเลิกราจนกว่าจะมีการอธิบายเรื่องนั้นให้ชัดเจนและเข้าใจกันว่าใครถูกใครผิด ดื้อดึงที่จะจดจ่ออยู่กับเรื่องไร้ประโยชน์ การทำเช่นนี้มีประโยชน์อย่างไรกันแน่? ท้ายที่สุดแล้วการโต้เถียงเรื่องถูกผิดนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูก) ผิดตรงไหน? มีความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องนี้กับการปฏิบัติความจริงหรือไม่? (ไม่มี) เหตุใดพวกเจ้าจึงบอกว่าไม่มีความเชื่อมโยง? การโต้เถียงเรื่องถูกผิดไม่ใช่การยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ไม่ใช่การเสวนาหรือสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริง แต่ผู้คนกลับคุยกันตลอดเวลาว่าใครถูกใครผิด ใครทำตัวถูกต้องและใครทำตัวผิดพลาด ใครเป็นฝ่ายถูกและใครไม่ใช่ ใครมีเหตุผลดีและใครไม่มี ใครแสดงคำสอนที่สูงส่งกว่า นี่คือสิ่งที่พวกเขาสืบสาวราวเรื่อง เมื่อพระเจ้าทรงให้ผู้คนก้าวผ่านบททดสอบ พวกเขาก็พยายามอยู่เสมอที่จะให้เหตุผลกับพระเจ้า อ้างเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งตลอดเวลา พระเจ้าทรงหารือเรื่องดังกล่าวกับเจ้ากระนั้นหรือ? พระเจ้าตรัสถามหรือไม่ว่าบริบทเป็นอย่างไร? พระเจ้าตรัสถามหรือไม่ว่าต้นตอและเหตุผลของเจ้าเป็นเช่นใด? พระองค์ไม่ได้ถาม พระเจ้ากลับตรัสถามว่าเวลาที่พระองค์ทรงทดสอบเจ้า เจ้ามีท่าทีที่นบนอบหรือต้านทาน พระเจ้าตรัสถามว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่ เจ้านบนอบหรือไม่ พระเจ้าตรัสถามเพียงเท่านี้ ไม่มีเรื่องอื่น พระเจ้าไม่ตรัสถามว่าสาเหตุที่เจ้าไร้ความนบนอบคืออะไร พระองค์ไม่ทรงมองว่าเจ้ามีเหตุผลที่ดีหรือไม่—แน่นอนที่สุดว่าพระองค์ไม่ทรงคำนึงถึงเรื่องดังกล่าว พระเจ้าทรงมองเพียงว่าเจ้านบนอบหรือไม่เท่านั้น ไม่ว่าสภาพความเป็นอยู่ของเจ้าและบริบทจะเป็นเช่นใด พระเจ้าก็ทรงพินิจพิเคราะห์เพียงว่าหัวใจของเจ้ามีความนบนอบหรือไม่ เจ้ามีท่าทีที่นบนอบหรือไม่ พระเจ้าไม่ทรงโต้วาทีเรื่องถูกผิดกับเจ้า พระเจ้าไม่สนพระทัยว่าเหตุผลของเจ้าเป็นเช่นไร พระเจ้าสนพระทัยเพียงว่าเจ้านบนอบจริงหรือไม่—นี่คือทั้งหมดที่พระเจ้าทรงถามเจ้า นี่คือหลักธรรมความจริงข้อหนึ่งมิใช่หรือ? ผู้คนประเภทที่ชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิด ชอบต่อล้อต่อเถียง—พวกเขามีหลักธรรมความจริงในหัวใจหรือไม่? (ไม่มี) เหตุใดจึงไม่มี? พวกเขาเคยสนใจหลักธรรมความจริงบ้างหรือไม่? เคยไล่ตามเสาะหาหลักธรรมความจริงบ้างหรือไม่? เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่เคยให้ความสนใจ หรือไล่ตามเสาะหา หรือแสวงหา และหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง ผลก็คือพวกเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่แต่ในมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้น หัวใจของพวกเขามีแต่เรื่องถูกผิด ทำตัวถูกต้องและไม่ถูกต้อง มีแต่ข้อแก้ตัว เหตุผล การใช้เหตุผลวิบัติ และข้อโต้เถียงเท่านั้น แล้วไม่นานต่อจากนั้นพวกเขาก็เล่นงาน ตัดสิน และกล่าวโทษกัน อุปนิสัยของผู้คนเช่นนี้ชอบโต้วาทีเรื่องถูกผิด ชอบตัดสินและกล่าวโทษผู้คน ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่มีความรักหรือการยอมรับความจริง โน้มเอียงที่จะพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้า ถึงกับตัดสินพระเจ้าและท้าทายพระเจ้า ในที่สุดพวกเขาย่อมจะลงเอยด้วยการถูกลงโทษ
คนที่ชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิดนั้นแสวงหาความจริงหรือไม่? พวกเขาแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระประสงค์ของพระเจ้า หรือหลักธรรมความจริงที่ควรปฏิบัติในสถานการณ์เหล่านี้ผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพบเจอในสถานการณ์เหล่านี้หรือไม่? ไม่ เวลาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ พวกเขากลับโน้มเอียงที่จะศึกษาว่า “เหตุการณ์นั้นๆ เป็นอย่างไร” หรือ “คนคนนั้นเป็นเช่นไร” นี่คือพฤติกรรมอันใด? นี่คือสิ่งที่ผู้คนมักจะเรียกว่าการจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไม่ลดละมิใช่หรือ? พวกเขาทุ่มเถียงเรื่องเหตุผลอันชอบธรรมของผู้คนและครรลองของเหตุการณ์ พวกเขายืนกรานที่จะชี้แจงเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจน แต่ไม่เอ่ยว่าพวกตนแสวงหาความจริง เข้าใจความจริง หรือได้รับความรู้แจ้งจากกระบวนการส่วนใดในสถานการณ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้ พวกเขาไม่มีประสบการณ์และวิธีการปฏิบัติเหล่านี้ เอาแต่กล่าวว่า “ชัดเจนว่าคุณใช้เรื่องนั้นมาเพ่งเล็งฉัน พูดจาสบประมาทฉัน คุณคิดว่าฉันโง่จนบอกไม่ได้อย่างนั้นหรือ? คุณสบประมาทฉันทำไม? ฉันไม่เคยล่วงเกินคุณ แล้วคุณจะเพ่งเล็งฉันทำไม? ในเมื่อคุณเพ่งเล็งฉัน ฉันก็จะไม่ยั้งมือแล้ว! ฉันอดทนให้คุณมานาน แต่ความอดทนของฉันก็มีขีดจำกัด อย่านึกว่าจะรังแกฉันได้ง่ายๆ ฉันไม่กลัวคุณหรอก!” เมื่อยึดมั่นในเรื่องเหล่านี้ พวกเขาจึงนำเสนอเหตุผลอันชอบธรรมของตนไม่หยุด หมกมุ่นอยู่กับความถูกผิดและความถูกต้องและไม่ถูกต้องของเรื่องราว แต่สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเหตุผลอันชอบธรรมนั้นก็ไม่ได้สอดคล้องกับความจริงแต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่คำเดียวที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายจนผู้อื่นนึกเอียนเต็มทีและไม่มีใครเต็มใจฟังพวกเขา กระนั้นพวกเขาเองกลับไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะพูดเรื่องเหล่านี้ ไปที่ใดก็คุยเรื่องเหล่านี้ราวกับถูกผีเข้า นี่เรียกว่าจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไม่ลดละ เป็นการไม่ยอมแสวงหาความจริงโดยแท้ ลักษณะข้อที่สองของผู้คนที่ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันก็คือชมชอบเป็นพิเศษที่จะจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไม่ลดละ คนที่จดจ่ออยู่กับผู้คนและเรื่องทั้งหลายอย่างไม่ลดละนั้นรักความจริงหรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่รักความจริง นี่เห็นได้อย่างชัดเจน แล้วคนเหล่านี้เข้าใจความจริงหรือไม่? พวกเขารู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วความจริงที่พระเจ้าตรัสถึงคืออะไร? ดูจากพฤติกรรมภายนอกที่พวกเขาจดจ่ออยู่กับผู้คนและเรื่องทั้งหลายอย่างไม่ลดละ พวกเขารู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วอะไรคือความจริง? ชัดเจนว่าพวกเขาไม่รู้ แล้วพวกเขาเคารพแนวคิดเช่นใด? เป็นแนวคิดที่ว่าคำพูดของใครก็ตามที่มีเหตุผลชอบธรรมที่สุดย่อมถูกต้อง การกระทำของใครก็ตามที่โปร่งใสและสามารถตีแผ่ให้ทุกคนมองเห็นได้ย่อมถูกต้อง และใครก็ตามที่กระทำการตามหลักศีลธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมดั้งเดิม ได้รับความเห็นชอบจากส่วนรวม ย่อมเป็นฝ่ายถูก ในทัศนะของพวกเขา คำว่า “ถูก” นี้เป็นตัวแทนของความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไม่ลดละได้ด้วยความเหิมเกริมยิ่ง ไม่เคยเลิกหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ พวกเขาเชื่อว่าการมีเหตุผลอันชอบธรรมเทียบเท่ากับการมีความจริง—นี่สร้างปัญหาอย่างมากมิใช่หรือ? บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่เคยขัดขวางหรือก่อกวนงานของคริสตจักร ไม่ได้เอาเปรียบคนอื่น ไม่ชอบขโมยของของคนอื่น ฉันไม่ใช่คนพาล และไม่ได้เป็นคนชั่ว” นี่แฝงนัยหรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนที่ปฏิบัติความจริงและมีความจริง? คนที่จดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไม่ลดละส่วนใหญ่แล้วเชื่อว่าตนเป็นคนที่เที่ยงตรง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข่าวลือ และคิดว่าตนนั้นเป็นคนที่มีเกียรติน่านับถือซึ่งจะไม่มีวันป้อยอผู้อื่น เพราะฉะนั้นเวลาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ พวกเขาจึงโน้มเอียงที่จะทุ่มเถียงและโต้วาที ยืนกรานที่จะใช้วิธีการเหล่านี้พิสูจน์ว่าเหตุผลอันชอบธรรมของตนนั้นถูกต้อง พวกเขาเชื่อว่าถ้าเหตุผลอันชอบธรรมของตนเชื่อถือได้ สามารถนำเสนอได้ในที่แจ้ง และผู้คนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีความจริง “ความจริง” ของพวกเขาเป็นเช่นไร? ใช้มาตรฐานใดวัด? พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนี้สามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? (ไม่ได้) ดังนั้น พวกเขาจึงจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างไม่ลดละและดื้อดึงที่จะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเหล่านี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงพูดอยู่เสมอว่า “ฉันไม่เคยล่วงเกินคุณ ทำไมคุณถึงเพ่งเล็งฉันอยู่เรื่อย? คุณผิดที่มาเพ่งเล็งฉัน!” พวกเขาเชื่อว่า “ถ้าฉันไม่เคยล่วงเกินคุณ คุณก็ไม่ควรทำกับฉันแบบนี้ ในเมื่อคุณทำกับฉันแบบนี้ ฉันก็จะเอาคืนบ้าง ฉันจะแก้เผ็ด และการแก้เผ็ดของฉันก็เป็นการป้องกันตัวโดยชอบ และถูกต้องตามกฎหมาย นี่คือหลักธรรมความจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณทำอยู่จึงไม่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง แต่สิ่งที่ฉันทำนี้สอดคล้อง ดังนั้นฉันก็จะจดจ่ออยู่กับเรื่องนี้ จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ และเอ่ยถึงคุณตลอดเวลา!” พวกเขาเชื่อไปว่าการจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไม่ลดละนั้นสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง แต่นี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่มิใช่หรือ? แท้จริงแล้วเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และพวกเขาก็เดินผิดทางแล้ว การจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไม่ลดละเป็นเรื่องที่แตกต่างจากการปฏิบัติความจริงโดยสิ้นเชิง นี่คือปัญหาข้อที่สองเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านี้—พวกเขาจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไม่ลดละ ปัญหาเรื่องความเป็นมนุษย์นี้สัมพันธ์กับสิ่งใด? สัมพันธ์กับธรรมชาติของคนเรามิใช่หรือ? ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่กลับไม่เข้าใจความจริง นึกว่าศัพท์ที่พวกเขารู้จัก เช่น เปิดกว้างและโปร่งใส เที่ยงตรงและซื่อสัตย์ เปิดเผยและไม่อ้อมค้อม ตรงไปตรงมาและน่านับถือ และอื่นๆ คือพื้นฐานสำคัญของการประพฤติปฏิบัติตน และพวกเขาก็ถือว่าสิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมความจริง นี่คือมุมมองที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
ผู้คนที่ลงมือเล่นงานกันและมีแนวโน้มที่จะต่อล้อต่อเถียงนั้นมีความเป็นมนุษย์ที่ผิดปกติ แง่มุมแรกของคนแบบนี้คือชอบโต้เถียงเรื่องถูกผิด แง่มุมที่สองคือจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไม่ลดละ แง่มุมที่สามคือสิ่งใด? ไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิงใช่หรือไม่? พวกเขายอมรับถ้อยแถลงที่ถูกต้องไม่ได้แม้แต่ข้อเดียว คิดไปว่า “ต่อให้สิ่งที่คุณพูดนั้นถูกต้อง คุณก็ยังต้องช่วยรักษาหน้าตาให้ฉัน ต้องพูดจาถนอมน้ำใจและไม่ทำร้ายความรู้สึกของฉัน ถ้าคำพูดของคุณเชือดเฉือนและสามารถทำให้ฉันเสียหน้า คุณก็ต้องพูดกับฉันเป็นการส่วนตัว ต้องไม่ทำร้ายความรู้สึกของฉันต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ไม่คำนึงถึงความภาคภูมิใจของฉันและไม่ให้ฉันมีทางออกจากสถานการณ์ที่น่าอับอายนี้ นอกจากนี้สิ่งที่คุณพูดมาก็ผิด ดังนั้นฉันต้องตอบโต้!” ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านี้ ผู้คนประเภทนี้ย่อมคัดค้านว่า “ไม่ว่าคำพูดของคุณจะถูกต้องขนาดไหน ฉันก็จะไม่ยอมรับ! ถ้าคุณพูดถึงคนอื่นก็ไม่เป็นไร แต่มาเพ่งเล็งฉันนี่รับไม่ได้ ต่อให้คุณเป็นฝ่ายถูกก็ตาม!” แม้ในยามที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ ถ้าพวกเขารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงหรือพุ่งเป้ามาที่พวกเขา พวกเขาย่อมรู้สึกรังเกียจพระวจนะเหล่านั้นและไม่เต็มใจรับฟังพระวจนะ—เพียงแต่ว่าในเมื่อพวกเขาพบเจอแต่พระวจนะของพระเจ้าที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น พวกเขาจึงไม่อาจเถียงพระองค์ได้ ถ้าใครชี้ให้พวกเขาเห็นปัญหาของตนหรือบอกพวกเขาซึ่งหน้า หรือเอ่ยถึงปัญหาเหล่านั้นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้หมายที่จะเพ่งเล็งพวกเขา พวกเขาก็สามารถตอบโต้และเป็นฝ่ายเริ่มต่อล้อต่อเถียงได้ นี่หมายความว่าคนเช่นนี้ไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ในตัวพวกเขา—ไม่ยอมรับความจริงอย่างเด็ดขาด ดังนั้น ไม่ว่าเนื้อหาที่พวกเขาต่อล้อต่อเถียงกันจะเป็นเรื่องใดหรือว่าต่อล้อต่อเถียงกันที่ไหน ความเป็นมนุษย์ของผู้คนดังกล่าวย่อมชัดแจ้ง พวกเขาไม่เข้าใจความจริง และต่อให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่กล่าวในการเทศนา พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง พวกเขายังคงลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันต่อไป หรือมักจะโน้มเอียงไปในทางเล่นงานผู้อื่น ดูจากการสำแดงของพวกเขาแล้ว พวกเขาเป็นคนชนิดใด? ก่อนอื่นพวกเขาใช่คนที่รักความจริงหรือไม่? พวกเขาใช่คนที่สามารถปฏิบัติความจริงเมื่อเข้าใจความจริงแล้วหรือไม่? (ไม่ใช่) เมื่อพวกเขาพบเจอปัญหา พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาหรือไม่? (ไม่สามารถ) เมื่อพวกเขาเก็บงำมโนคติอันหลงผิด และอคติหรือความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับผู้อื่น พวกเขาสามารถคิดริเริ่มที่จะวางสิ่งเหล่านั้นไปแสวงหาความจริงหรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อดูทุกสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ ก็ชัดเจนว่าทุกคนที่โน้มเอียงไปในทางเล่นงานผู้อื่นและต่อล้อต่อเถียงกันนี้เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ดูจากการสำแดงต่างๆ ของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่รักความจริงและไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความจริง ในเรื่องที่เกี่ยวพันกับความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดอคติหรือทัศนะอันใดที่ผิด พวกเขาก็ยังคงคิดว่าตนเองถูกและไม่แสวงหาความจริงแต่อย่างใด แม้ในยามที่มีการสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขาอย่างชัดเจน พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง และยิ่งไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง ในเวลาเดียวกันคนเหล่านี้ก็สำแดงให้เห็นสิ่งที่น่าชิงชังยิ่งขึ้นคือ หลังจากที่เกิดความเข้าใจในวาจาและคำสอนบางอย่างแล้ว พวกเขาก็ใช้คำสอนอันเลิศลอยที่พวกตนเข้าใจนี้มาเล่นงาน ตัดสิน และกล่าวโทษผู้อื่นตามอำเภอใจ และถึงกับใช้ตีกรอบและควบคุมผู้อื่น ถ้าพวกเขาไม่สามารถใช้คำตัดสินและคำกล่าวโทษมากำราบเจ้า พวกเขาก็จะคิดทำทุกวิถีทางที่จะใช้ทฤษฎีอันกลวงเปล่ามาตีกรอบเจ้า ถ้าเจ้ายังไม่ยอมลงให้ พวกเขาก็จะหันไปใช้วิธีที่ยิ่งเลวร้ายและน่าดูหมิ่นมาเล่นงานเจ้า จนกระทั่งเจ้ายอมลงให้พวกเขา กลายเป็นคนอ่อนแอและคิดลบ หรือเริ่มเลื่อมใสในตัวพวกเขาและถูกพวกเขาบงการ—เช่นนั้นพวกเขาจึงจะรู้สึกพอใจ ดังนั้นตามพฤติกรรม การสำแดง และท่าทีที่คนเหล่านี้มีต่อความจริง พวกเขาเป็นคนเช่นใด? พวกเขาไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง—นี่คือท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง แล้วความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นเช่นใด? คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคนชั่ว ประมาณอย่างต่ำๆ เกินร้อยละ 90 ของพวกเขาเป็นคนชั่ว คนชั่วชอบชี้แจงถูกผิดทุกเรื่อง มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่ยอมปล่อยไป และพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนี้เสมอ นอกจากนี้เวลาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ คนชั่วย่อมหมกมุ่นอยู่กับผู้คนและสิ่งทั้งหลาย จดจ่ออย่างไม่ลดละ นำเสนอเหตุผลอันชอบธรรมของตนตลอดเวลา พยายามอยู่เสมอที่จะให้ทุกคนเห็นด้วยและสนับสนุนตน ให้ทุกคนพูดว่าตนนั้นถูกต้อง และไม่ยอมให้ใครพูดถึงตนในทางที่ไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้น เวลาคนชั่วเผชิญสถานการณ์ต่างๆ พวกเขาก็มองหาโอกาสที่จะกักขังและควบคุมผู้คนอยู่เสมอ พวกเขาใช้วิธีใดควบคุมผู้คน? พวกเขากล่าวโทษทุกคน ทำให้ผู้อื่นเชื่อกันทุกคนว่าไม่มีใครดีพอ ทุกคนมีปัญหาและข้อเสีย และด้อยกว่าคนชั่วพวกนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกคนชั่วย่อมรู้สึกพอใจและมีความสุข เมื่อพวกเขาทุบผู้อื่นล้มหมดแล้ว เหลือแต่พวกตนเท่านั้นที่หยัดยืน พวกเขาย่อมควบคุมทุกคนไว้แล้วมิใช่หรือ? ด้วยการควบคุมผู้คนเอาไว้ พวกเขาย่อมสัมฤทธิ์จุดประสงค์ที่เป็นการกล่าวโทษและคว่ำทุกคน ทำให้ทุกคนเชื่อว่าตนเองไม่มีความสามารถ กลายเป็นคนที่คิดลบและอ่อนแอ สูญสิ้นความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าและความจริง สูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้าและไม่มีเส้นทางให้เดิน—หลังจากนี้คนชั่วเหล่านี้ย่อมรู้สึกเป็นสุขและพอใจ เมื่อมองแง่มุมเหล่านี้แล้ว ก็ชัดเจนมิใช่หรือว่าคนประเภทนี้ส่วนใหญ่คือคนชั่ว? จงดูว่าคนชนิดใดมีแนวโน้มที่จะเล่นงานผู้อื่นอยู่เสมอเวลามีพวกเขาอยู่ในกลุ่ม ถ้าไม่ทำซึ่งหน้าก็ทำลับหลัง ใช้วิธีการต่างๆ มาเล่นงานผู้อื่น—ผู้คนดังกล่าวคือคนชั่ว คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และไม่สามัคคีธรรมความจริง พวกเขามักจะใช้สถานการณ์หนึ่งๆ มาโอ่ว่าตนเป็นคนดี ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็มีเหตุอันชอบธรรมและมีเหตุผลรองรับ ประพฤติตนเที่ยงตรงและโปร่งใส—พวกเขาคุยโวอยู่เสมอว่าตนนั้นเป็นคนดีและมีเกียรติ เป็นคนที่ตรงไปตรงมาและเที่ยงธรรม ผู้คนเหล่านี้ไม่เคยเป็นพยานยืนยันความจริง และไม่เคยเป็นพยานยืนยันพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาชอบที่จะจดจ่ออยู่กับผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างไม่ลดละ และชอบนำเสนอเหตุผลอันชอบธรรมของตนเองเท่านั้น เจตนาและจุดประสงค์ของพวกเขาก็คือการทำให้ผู้คนเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนดี พวกเขาเข้าใจทุกสิ่ง ส่วนคนในคริสตจักรที่มักจะลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนที่เริ่มเล่นงานก่อนหรือถูกเล่นงานก็ตาม ถ้าชีวิตคริสตจักรถูกขัดขวางและรบกวน เช่นนั้นแล้วผู้คนส่วนใหญ่ก็ควรลุกขึ้นมาตักเตือนและห้ามปรามพวกเขา ไม่ควรให้ผู้คนเหล่านี้มีเวลาอาละวาดทำเรื่องไม่ดี และไม่ควรเปิดโอกาสให้พวกเขาส่งผลต่อผู้อื่นด้วยการระบายความอาฆาตมาดร้ายส่วนตัวและหาทางแก้แค้นเพราะผูกใจเจ็บเป็นการส่วนตัวและเกิดความโมโหชั่ววูบ แน่นอนว่าผู้นำคริสตจักรควรลุล่วงความรับผิดชอบของตนตามหน้าที่เช่นกัน ควบคุมผู้คนเหล่านี้อย่างมีประสิทธิผลไม่ให้ขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักร และปกป้องผู้คนส่วนใหญ่จากการถูกรบกวน เมื่อผู้คนลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน ผู้นำคริสตจักรควรสามารถหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาได้อย่างทันกาล ถ้าการพยายามหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาไม่อาจแก้ปัญหา และพวกเขายังคงเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันต่อไป รบกวนผู้อื่น และทำความเสียหายให้กับชีวิตคริสตจักรต่อไป เช่นนั้นแล้วก็ควรไล่หรือเอาตัวคนจำพวกนี้ออกไป นี่คือความรับผิดชอบของผู้นำคริสตจักร
พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพฤติกรรมและการสำแดงของคนที่ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันมามากแล้ว เมื่อครู่นี้พวกเรายังชำแหละและสามัคคีธรรมถึงความเป็นมนุษย์ของพวกเขาไปพอสังเขปอีกด้วย ซึ่งจะทำให้พวกเจ้ามีวิจารณญาณในตัวพวกเขามากขึ้น และทำให้พวกเจ้าส่วนใหญ่สามารถขบคิดออกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นและใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขาได้ทันกาลยามที่พวกเขาพูดจาและกระทำการ ยิ่งพวกเจ้าเข้าใจและรู้จักแก่นแท้ของผู้คนเหล่านี้อย่างถ่องแท้ พวกเจ้าก็จะยิ่งสามารถใช้วิจารณญาณดูพวกเขาออกได้เร็ว และผลก็คือพวกเจ้าจะถูกพวกเขารบกวนน้อยลงเรื่อยๆ พวกเจ้าส่วนใหญ่ควรชัดเจนว่าคนที่ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกันนั้นเป็นภัยต่อชีวิตคริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร ผู้คนเช่นนี้จะไม่ยอมทบทวนตนเองและเลิกต่อสู้กันเป็นแน่ ถ้าไม่จัดการเอาตัวพวกเขาออกไปทันที พวกเขาก็จะก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนชีวิตคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น การจัดการเอาตัวผู้คนเช่นนี้ออกไปจึงเป็นงานที่สำคัญมากของผู้นำคริสตจักรและไม่ควรมองข้าม
5 มิถุนายน ค.ศ. 2021