หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (16)

ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่สี่)

ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร

VIII. แพร่มโนคติอันหลงผิด

ก. สิ่งที่สำแดงถึงการแพร่มโนคติอันหลงผิด

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานกันต่อ ได้แก่ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น  นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น”  ส่วนปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการขัดขวางและก่อกวนที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรนั้น พวกเราทำรายการไว้สิบเอ็ดข้อ  ครั้งที่แล้วสามัคคีธรรมกันถึงปัญหาข้อที่เจ็ดคือ ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงปัญหาข้อที่แปดเรื่องการแพร่มโนคติอันหลงผิด  การแพร่มโนคติอันหลงผิดก็เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตคริสตจักรเช่นกัน  บางคนที่ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใดกลับเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดบางอย่างเพื่อก่อกวนชีวิตคริสตจักร  คริสตจักรจึงต้องควบคุมพฤติกรรมนี้เอาไว้และแก้ไขด้วยการสามัคคีธรรมความจริงในชีวิตคริสตจักร  มองตามตัวอักษรแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถเห็นได้ว่าการแพร่มโนคติอันหลงผิดไม่ใช่พฤติกรรมที่ถูกควร ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก แต่เป็นลบ  เพราะฉะนั้นจึงควรหยุดยั้งและควบคุมพฤติกรรมเช่นนี้ในชีวิตคริสตจักรเอาไว้  ไม่ว่าผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดจะเป็นคนชนิดใด มีเหตุจูงใจอันใด กำลังแพร่มโนคติอันหลงผิดโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิด นั่นย่อมจะขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร ก่อให้เกิดผลเสีย  ดังนั้นร้อยทั้งร้อยจึงต้องควบคุมเรื่องนี้เอาไว้  ไม่ว่าจะมองในแง่ใดก็เป็นไปไม่ได้ที่การแพร่มโนคติอันหลงผิดจะสามารถมีบทบาทเชิงบวกที่สนับสนุนการไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่ตามเสาะหาที่จะรู้จักพระเจ้า หรือการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของผู้คน ทำได้เพียงส่งผลเป็นการก่อกวนและสร้างความเสียหายให้แก่เรื่องเหล่านี้เท่านั้น  ดังนั้นเมื่อมีคนแพร่มโนคติอันหลงผิดในชีวิตคริสตจักร ทุกคน—ทั้งผู้นำและพี่น้องชายหญิง—ควรใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้ เร่งหยุดยั้งและควบคุมคนคนนั้นทันที แทนที่จะตามใจพวกเขาอย่างมืดบอดให้แพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อรบกวนและชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด  พวกเรามาสามัคคีธรรมกันก่อนเถิดว่าวาจาเช่นใดจัดเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด  เมื่อมีวิจารณญาณข้อนี้แล้ว ผู้คนย่อมจะนิยามได้อย่างถูกต้องว่าการแพร่มโนคติอันหลงผิดคืออะไร ทั้งยังสามารถหยุดยั้งและควบคุมเรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างถูกต้องอีกด้วย แทนที่จะเพิกเฉยและทำเหมือนไม่แยแสเรื่องนี้

1. แพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า

มโนคติอันหลงผิดที่แพร่ออกไปย่อมมีเป้าหมาย  ก่อนอื่นพวกเราต้องดูว่ามโนคติเหล่านั้นมีใครเป็นเป้าหมายและเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดในเรื่องใด  การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เจ้ารู้ว่าถ้อยแถลงใดที่ผู้คนพูดและมุมมองใดที่ผู้คนเผยแพร่จัดว่าเป็นมโนคติอันหลงผิด  การรู้ว่าวาจาเช่นใดคือมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและการกระทำใดจัดเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด ย่อมจะทำให้ผู้คนสามารถควบคุมการแพร่มโนคติอันหลงผิดได้อย่างถูกต้องมากขึ้นและตรงจุดยิ่งขึ้น  ก่อนอื่น การแพร่มโนคติอันหลงผิดที่ร้ายแรงที่สุดย่อมเกี่ยวพันกับแนวคิดและความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้า  นี่เป็นหมวดหมู่ที่สำคัญ  การแพร่มุมมองและถ้อยแถลงที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า พระอุปนิสัย พระวจนะ พระราชกิจ และการมีอยู่ของพระเจ้าล้วนเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดทั้งสิ้น  นี่เป็นการกล่าวทั่วๆ ไป หากกล่าวอย่างเจาะจง ถ้อยแถลงเช่นใดจัดเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดบ้าง?  การแพร่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แพร่ถ้อยคำที่ตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้า และแม้กระทั่งถ้อยคำที่หมิ่นประมาทพระเจ้า ล้วนเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด  กล่าวง่ายๆ ก็คือ การแพร่ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง ถ้อยแถลงและการตีความผิดๆ ที่ไม่ตรงกับอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า ล้วนเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด  ยกตัวอย่างในชีวิตคริสตจักร บางคนมักจะพูดคุยถึงอัตลักษณ์ของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้า  พวกเขาไม่มีความเข้าใจอันแท้จริงในอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า  มักจะสงสัยและเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่ในหัวใจ ไม่สามารถนบนอบสภาพความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ของตนซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ และอื่นๆ  เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงแพร่ความเข้าใจผิดที่ตนมีเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งแนวคิดที่ไม่เข้าใจพระเจ้า  สรุปแล้ว แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยอมรับและนบนอบอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้าตามมุมมองของมนุษย์ทรงสร้าง แต่กลับเต็มไปด้วยอคติ ความเข้าใจผิด และแม้กระทั่งคำตัดสินและคำกล่าวโทษส่วนตัว  หลังจากที่ได้ฟังสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้อื่นก็เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและระแวดระวังพระองค์ สูญสิ้นความเชื่ออันแท้จริงที่ตนมีในพระเจ้าเพราะเหตุนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีความนบนอบที่แท้จริง

บางคนคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าควรนำสันติสุขและความเบิกบานมาให้ และถ้าพวกเขาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ก็เพียงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าเท่านั้น แล้วพระเจ้าก็จะทรงสดับฟัง ประทานพระคุณและพรแก่พวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างมีสันติสุขและราบรื่นสำหรับพวกเขา  จุดประสงค์ที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อแสวงหาพระคุณ ได้รับพร และสำราญกับความสุขและสันติ  เป็นเพราะทัศนะเหล่านี้ พวกเขาจึงละทิ้งครอบครัวหรือออกจากงานมาสละตนเพื่อพระเจ้า สามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้  พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาละทิ้งสิ่งต่างๆ สละตนเพื่อพระเจ้า สู้ทนความยากลำบากและขยันทำงาน แสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ดีเลิศ พวกเขาก็จะได้รับพรและความโปรดปรานจากพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญความยุ่งยากอันใด ตราบใดที่พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงแก้ไขเรื่องยุ่งยากและเปิดทางให้แก่พวกเขาในทุกเรื่อง  นี่คือมุมมองของผู้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้า  ผู้คนรู้สึกว่ามุมมองนี้เป็นไปโดยชอบและถูกต้อง  การที่ผู้คนมากมายสามารถดำรงความเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไม่ทิ้งความเชื่อของตนก็เกี่ยวเนื่องกับมุมมองนี้โดยตรง  พวกเขาคิดว่า “ฉันสละเพื่อพระเจ้าไปมากมายนัก พฤติกรรมของฉันก็ดียิ่งมาโดยตลอด แล้วฉันก็ไม่เคยทำเรื่องชั่วอะไร พระเจ้าจะทรงอวยพรฉันแน่นอน  ด้วยเหตุที่ฉันทนทุกข์มามากและจ่ายราคาเพื่อกิจทุกอย่างไปมาก ทำทุกสิ่งตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าโดยไม่มีอะไรผิดพลาด พระเจ้าก็ควรประทานพรแก่ฉัน พระองค์ควรดูให้แน่ใจว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับฉัน ให้ตัวฉันมักจะมีสันติสุขและความเบิกบานในหัวใจ ได้ชื่นชมการสถิตของพระเจ้า”  นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มิใช่หรือ?  ตามมุมมองของมนุษย์ ผู้คนย่อมได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าและได้รับประโยชน์ต่างๆ ดังนั้นการต้องทนทุกข์เพื่อเรื่องนี้บ้างจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และคุ้มค่าที่จะใช้ความทุกข์นี้มาแลกเป็นพรจากพระเจ้า  นี่เป็นวิธีคิดที่จะเจรจาต่อรองกับพระเจ้า  อย่างไรก็ดี ตามมุมมองของพระเจ้าและความจริง โดยพื้นฐานแล้วนี่ไม่ตรงกับหลักธรรมในพระราชกิจของพระเจ้าและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดแก่ผู้คน  ทั้งหมดนี้เป็นการคิดฝันเฟื่อง เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่มนุษย์มีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าโดยแท้  ไม่ว่านี่จะเกี่ยวพันกับการเรียกร้องสิ่งต่างๆ หรือเจรจาต่อรองกับพระเจ้า หรือมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์อยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ทั้งหมดนี้ไม่ได้สอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า และไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมและมาตรฐานของการที่พระเจ้าจะทรงอวยพรผู้คน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดและมุมมองเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนนี้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า แต่ผู้คนก็ไม่ทันตระหนัก  เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาก็เกิดคำพร่ำบ่นและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระองค์ในหัวใจของตนอย่างรวดเร็ว  ถึงกับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และแล้วจึงเริ่มให้เหตุผลกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นตัดสินและกล่าวโทษพระองค์  ไม่ว่าผู้คนจะเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเช่นไร ตามมุมมองของพระเจ้าแล้ว พระองค์ไม่เคยทรงกระทำการหรือปฏิบัติต่อผู้ใดตามมโนคติอันหลงผิดหรือความปรารถนาของมนุษย์  พระเจ้าทรงทำตามพระประสงค์ของพระองค์เองเสมอ ด้วยวิธีการของพระองค์เองและตามแก่นนิสัยของพระองค์เอง  พระเจ้าทรงมีหลักธรรมที่ทรงใช้ปฏิบัติต่อทุกคน สิ่งที่พระองค์ทรงทำแก่บุคคลแต่ละคนนั้นไม่ได้เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน หรือความถูกใจของมนุษย์—นี่คือแง่มุมในพระราชกิจของพระเจ้าที่ขัดกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์มากที่สุด  เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้แก่ผู้คนซึ่งตรงข้ามกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาโดยสิ้นเชิง พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิด มีคำตัดสินและคำกล่าวโทษพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน และอาจถึงกับปฏิเสธพระองค์  เมื่อทำเช่นนั้น เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงตอบสนองความต้องการของพวกเขา?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงวิธีทรงพระราชกิจและพระประสงค์ของพระองค์ตามโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อย่างเด็ดขาด  เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝ่ายที่จำเป็นต้องเปลี่ยนคือใคร?  ย่อมเป็นผู้คน  ผู้คนจำเป็นต้องปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตน ยอมรับ นบนอบ ผ่านประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ และแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนเอง แทนที่จะประเมินสิ่งที่พระเจ้าทรงทำโดยใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาดูว่าถูกต้องหรือไม่  เมื่อผู้คนยืนกรานที่จะยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็เกิดการไม่ยอมรับพระเจ้า—นี่ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  มูลเหตุของการไม่ยอมรับนี้อยู่ที่ใด?  อยู่ในข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งที่ปกติแล้วผู้คนมีอยู่ในหัวใจของตนอย่างไม่ต้องสงสัยก็คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ไม่ใช่ความจริง  เพราะฉะนั้น เมื่อเผชิญหน้าพระราชกิจของพระเจ้าที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ผู้คนจึงสามารถท้าทายพระเจ้าและตัดสินพระองค์  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าโดยพื้นฐานแล้ว ผู้คนไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาห่างไกลจากการถูกชำระให้บริสุทธิ์ และในแก่นแท้แล้วพวกเขาก็ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  พวกเขายังคงห่างไกลจากการได้รับความรอดอย่างเหลือเชื่อ

เมื่อผู้คนเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและไม่ยอมรับพระองค์อยู่ในหัวใจ คนที่พอจะมีมโนธรรมอยู่บ้างย่อมจะจำใจยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทำ พยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ และยอมรับอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือผู้คน  ผู้คนจะปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดได้มากเท่าใดและถึงขั้นไหน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของพวกเขา อีกส่วนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขายอมรับความจริงและเป็นคนที่รักความจริงหรือไม่  บางคนเผชิญหน้าสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้อย่างกระตือรือร้นโดยอ่านพระวจนะของพระเจ้า แสวงหา สามัคคีธรรม และใคร่ครวญ  พวกเขาค่อยๆ เกิดความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่ง อันเป็นการเพิ่มพูนความนบนอบและความเชื่อของตน  อย่างไรก็ดี บางคนนั้นไม่ว่าจะเผชิญสภาพแวดล้อมเช่นไรก็ไม่แสวงหาความจริง  กลับประเมินสภาพแวดล้อมทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเองว่ามีประโยชน์กับตนหรือไม่  ความคิดคำนึงของพวกเขาวนเวียนอยู่กับผลประโยชน์ของตนเองเสมอ พวกเขาใส่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะสามารถได้ประโยชน์มากเท่าใด ความสนใจของพวกเขาจะได้รับการตอบสนองมากเท่าใดในแง่ของวัตถุสิ่งของ เงินทอง และความสุขสำราญทางเนื้อหนัง พวกเขาตัดสินใจและปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ตามปัจจัยเหล่านี้เสมอ  ท้ายที่สุด หลังจากที่เค้นสมองคิดดูแล้ว พวกเขาก็เลือกที่จะไม่นบนอบสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ แต่กลับเลือกที่จะหนีและหลีกเลี่ยง  เป็นเพราะการไม่ยอมรับ ปฏิเสธ และหลีกเลี่ยงของพวกเขา พวกเขาจึงพาตัวออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้า พลาดประสบการณ์ชีวิต และทนทุกข์กับการสูญเสีย นำความเจ็บปวดและทรมานมาสู่หัวใจของตนเอง  ยิ่งพวกเขาต่อต้านสภาพแวดล้อมดังกล่าว ความทุกข์ที่พวกเขาสู้ทนก็ยิ่งเพิ่มพูนและหนักหนา  เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นมา ความเชื่ออันน้อยนิดที่พวกเขามีในพระเจ้าจึงถูกขยี้แหลกไปในที่สุด  ถึงตอนนี้มโนคติอันหลงผิดที่ครอบงำหัวใจของพวกเขาก็พากันกรูขึ้นมาหมดในคราวเดียวว่า “ฉันสละตนเพื่อพระเจ้ามานานขนาดนี้ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าพระเจ้าจะทำกับฉันแบบนี้  พระเจ้าไม่ยุติธรรม พระองค์ไม่รักผู้คน!  พระเจ้าบอกว่าคนที่สละตนเพื่อพระองค์ด้วยใจจริง จะได้รับพรมากมายเป็นแน่  ฉันสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงตลอดมา ทิ้งงานและครอบครัว สู้ทนความยากลำบาก และทำงานหนัก—แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่เคยอวยพรฉันมากๆ?  พรจากพระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ทำไมฉันไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกถึงพร?  ทำไมพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับผู้คน?  ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทำตามที่พูด?  ผู้คนบอกว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้?  ถ้าวางทุกอย่างเอาไว้ก่อน เอาแค่ภายในสภาพแวดล้อมนี้ ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ!”  เพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาจึงถูกมโนคติเหล่านี้หลอกพาไปในทางที่ผิดโดยง่าย  แม้ในยามที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและการเติบโตในชีวิตของผู้คน พวกเขาก็ยังพบว่ายากที่จะยอมรับ และเข้าใจพระเจ้าผิด  พวกเขานึกว่านี่ไม่ใช่พรจากพระเจ้า และพระเจ้าไม่โปรดตน  พวกเขาเชื่อว่าได้สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงแล้ว แต่พระเจ้าไม่ทรงทำตามสัญญาของพระองค์  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงถูกบททดสอบที่เป็นสภาพแวดล้อมเล็กๆ น้อยๆ เพียงอย่างเดียวนี้เผยตัวออกมาโดยง่าย  เมื่อถูกเผยตัว ในที่สุดพวกเขาก็กล่าวสิ่งที่ตนอยากพูดเป็นที่สุดออกมาว่า “พระเจ้าไม่ได้ชอบธรรม  พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่สัตย์ซื่อ  วจนะของพระเจ้าแทบไม่เคยลุล่วง  พระเจ้าบอกว่า ‘พระเจ้าทรงหมายความตามที่พระองค์ตรัส สิ่งที่พระองค์ตรัสย่อมจะเป็นไปตามนั้น และสิ่งที่พระองค์ทำย่อมจะยืนยงตลอดกาล’  แล้วลุล่วงตามวจนะเหล่านี้ตรงไหน?  ทำไมฉันไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกได้?  ดูเธอคนนั้นสิ ตั้งแต่เชื่อในพระเจ้า เธอก็ไม่เคยละทิ้งหรือสละตนเพื่อพระเจ้ามากเท่าฉัน ไม่เคยถวายอะไรมากเท่าฉัน  แต่ลูกๆ ของเธอกลับได้เข้ามหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ สามีได้เลื่อนตำแหน่ง ธุรกิจของพวกเขาก็เจริญรุ่งเรือง กระทั่งพืชผลของพวกเขายังให้ผลผลิตมากกว่าของคนอื่น  แล้วฉันได้อะไร?  ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว!”  คำพูดพวกนี้คือความคิดที่แท้จริงของผู้คนเหล่านี้ เป็นคติประจำใจของพวกเขา  พวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ เต็มไปด้วยความคิดและมุมมองที่เหลวไหลพวกนี้ และเต็มไปด้วยการคำนึงถึงผลประโยชน์และธุรกรรมแลกเปลี่ยน  พวกเขาเข้าใจและรับรู้พระราชกิจของพระเจ้าและเจตนารมณ์ที่จริงจังของพระองค์ในลักษณะนี้ ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เช่นนี้  เพราะฉะนั้น ในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงอุตสาหะจัดเตรียมไว้ให้ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขากลับประเมินและเข้าใจพระเจ้าผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะมโนคติอันหลงผิดของตน สะดุดและล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังพยายามยืนยันอยู่เสมอว่ามโนคติอันหลงผิดของตนนั้นถูกต้อง  เมื่อพวกเขาเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้รับการยืนยันแล้ว และเป็นหลักฐานเพียงพอให้พวกเขาประเมิน ตัดสิน และกล่าวโทษพระเจ้าตามอำเภอใจ พวกเขาก็เริ่มแพร่มโนคติอันหลงผิด เพราะหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้มีสิ่งใดผสมอยู่บ้าง?  มีคำพร่ำบ่น ความไม่พอใจ และความคับข้องใจ  เมื่อพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็มองหาโอกาสที่จะระบาย  หวังว่าจะพบเจอฝูงชนที่จะรับฟัง “เรื่องอยุติธรรม” ที่พวกเขาพบเจอ อยากระบายเรื่องเหล่านี้และเล่าให้ผู้คนเหล่านี้ฟังถึงการปฏิบัติที่อยุติธรรมซึ่งพวกเขา “ทนทุกข์” มา  มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเหล่านี้เผยแพร่จึงเกิดขึ้นเช่นนี้ในชีวิตคริสตจักร มโนคติอันหลงผิดดังกล่าวก่อเกิดขึ้นเช่นนี้  หัวใจของผู้คนเหล่านี้เต็มไปด้วยความคับข้องใจ การแข็งขืน และความไม่พอใจ รวมทั้งเรื่องเข้าใจผิดและคำพร่ำบ่นพระเจ้า มีแม้กระทั่งคำตัดสินและคำกล่าวโทษพระเจ้า ซึ่งในที่สุดย่อมพาให้หัวใจของพวกเขามีแต่การหมิ่นประมาท  พวกเขากลัวว่าตนจะไม่ได้พร ดังนั้นจึงไม่เต็มใจที่จะจากไป ด้วยเหตุนี้จึงแพร่ความเข้าใจผิดและความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้าไปในหมู่คน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังแพร่คำตัดสินและคำกล่าวโทษพระเจ้า รวมทั้งถ้อยคำที่พวกเขาใช้หมิ่นประมาทพระองค์อีกด้วย  พวกเขาหมิ่นประมาทว่าอย่างไร?  พวกเขาหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยบอกว่าพระองค์ไม่ยุติธรรมกับพวกเขา ไม่ตอบแทนอย่างเหมาะควรและทัดเทียมกับสิ่งที่พวกเขาทำให้  พวกเขาตัดสินพระเจ้าว่าไม่ประทานพระคุณและพรอันยิ่งใหญ่แก่ตนหลังจากที่พวกเขาถวายของและพลีอุทิศไปแล้ว  พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่จำเป็นต่อเนื้อหนังจากพระเจ้า—พวกวัตถุสิ่งของ เงินทอง และอื่นๆ—ที่พวกเขาหวังว่าจะได้ เป็นเหตุให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและความคับข้องใจ  จุดประสงค์ที่พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดนี้ นัยหนึ่งก็เพื่อระบายและหาทางแก้แค้น ซึ่งทำให้สัมฤทธิ์ความรู้สึกว่าเกิดสมดุลทางจิตใจ อีกนัยหนึ่งก็เพื่อยุยงให้ผู้คนอีกมากเกิดความเข้าใจผิดและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า อันเป็นการทำให้ผู้คนเหล่านี้ระแวดระวังพระเจ้าเหมือนที่พวกเขาทำไม่มีผิด  ถ้ามีผู้คนอีกมากกล่าวว่า “พวกเราจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” พวกเขาก็จะรู้สึกพอใจอยู่ภายใน  นี่คือจุดประสงค์และเหตุผลเบื้องหลังการแพร่มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา

คติประจำใจของผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดคืออะไร?  พวกเขามักจะกล่าวคำใดซ้ำๆ?  หลังจากที่มีประสบการณ์กับบางสิ่งและไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ต้องการ พวกเขาก็บอกตัวเองไม่หยุดว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว”  แม้หลังจากที่พูดเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าคลายความเกลียดชังหรือบรรลุจุดหมายของตน  เวลาเข้าชุมนุม ไม่ว่าผู้อื่นจะสามัคคีธรรมเรื่องใด พวกเขาก็ฟังไม่เข้าหู  พวกเขาต้องพูดวลีนี้อีกครั้ง ทวนซ้ำหลายหน เกินสิบเที่ยวด้วยซ้ำ  “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว”—วลีนี้เต็มไปด้วยความหมายมิใช่หรือ?  เบื้องหลังวลีนี้มีเรื่องราว  พวกเขา “เชื่อ” สิ่งใด?  เคยเชื่อในพระเจ้ามาก่อนหรือไม่?  ความเชื่อของพวกเขาแต่ก่อนนี้ใช่ความเชื่อที่จริงแท้หรือไม่?  ความเชื่อนั้นรวมเอาความนบนอบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีไว้ด้วยหรือไม่?  (ไม่)  ไม่มีเลย  พวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้า  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเต็มไปด้วยข้อเรียกร้องและคำขอต่อพระเจ้า ไร้ซึ่งความนบนอบโดยสิ้นเชิง  “ความเชื่อ” ของพวกเขามีความหมายว่าอย่างไร?  “ฉันเชื่อว่าพระเจ้าเป็นองค์เดียวที่มีอธิปไตยเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง  ฉันเชื่อว่าพระเจ้าสามารถคุ้มครองฉันจากการถูกคนอื่นรังแก  ฉันเชื่อว่าพระเจ้าสามารถทำให้ฉันสุขสำราญกับความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง มีชีวิตที่ดีและรุ่งเรือง ทำให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างมีสันติสุขและน่ายินดีสำหรับฉัน  ฉันเชื่อว่าพระเจ้าสามารถเปิดโอกาสให้ฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์และได้รับพรอันยิ่งใหญ่ ได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้ และมีชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง!”  นี่ใช่ความเชื่อหรือไม่?  “ความเชื่อ” เหล่านี้ไม่มีร่องรอยของความนบนอบ และไม่มีความเชื่อใดที่สอดคล้องกับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน  ความเชื่อเหล่านี้เกิดจากมุมมองที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น  พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจในตัวผู้คน  พระเจ้าเคยตรัสเมื่อใดว่าพระองค์จะทรงทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตที่สุขสันต์ ดำรงชีวิตอยู่เหนือผู้อื่น หรือรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ พร้อมจุดหมายปลายทางที่ไร้ข้อจำกัดในอนาคต?  (ไม่เคยตรัส)  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงมองว่า “ความเชื่อ” ของตนล้ำค่าขนาดนั้น?  ถึงกับพูดว่าพวกเขาจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว  ความเชื่อของพวกเขาคู่ควรกับสิ่งใดบ้างหรือไม่?  พระเจ้าทรงยอมรับความเชื่อของพวกเขาหรือไม่?  พวกเขาไม่มีวี่แววของความเป็นจริงความจริง ไม่มีวี่แววของการนบนอบพระเจ้า อยากแต่จะได้รับพร ได้รับผลประโยชน์ และข้อได้เปรียบจากพระเจ้าเท่านั้น แล้วก็เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการเชื่อในพระเจ้า  นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ผู้คนจำพวกนี้เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและถูกเจตนาที่จะได้พรเข้าครอบงำ  พวกเขาไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าแม้แต่น้อยและไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  จุดหมายและเหตุจูงใจในทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีแต่ประโยชน์ของเนื้อหนังของพวกเขาเองทั้งสิ้น  พวกเขารู้สึกดีกับตัวเอง และมองว่าสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้านั้นล้ำค่าเป็นพิเศษ  ถ้าความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าล้ำค่าและสูงส่งนัก แล้วเหตุใดเมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้เจ้า เจ้ากลับไม่สามารถเข้าใจความจริงจากสภาพแวดล้อมนั้น หรือตั้งมั่นในคำพยานของตนได้?  นี่เกิดอะไรขึ้น?  เวลาที่พระเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของเจ้า เจ้าตอบแทนพระเจ้าด้วยสิ่งใด?  เป็นไปได้หรือที่ความเข้าใจผิด คำพร่ำบ่น และการไม่ยอมรับที่เจ้าใช้ตอบแทนพระเจ้าคือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ?  สิ่งเหล่านี้ตรงตามความจริงหรือไม่?  ชัดเจนว่าไม่  เพราะฉะนั้น การที่ผู้คนเหล่านี้สามารถแพร่มโนคติอันหลงผิดในคริสตจักรได้อย่างเปิดเผยย่อมพิสูจน์ให้เห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าและยิ่งไปกว่านั้น ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง—พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อนั้นไม่มีอยู่จริงโดยสิ้นเชิง  เมื่อผู้คนเหล่านี้แพร่มโนคติอันหลงผิดอย่างเปิดเผยเพื่อชักพาให้ผู้คนอีกมากหลงผิดและดึงพวกเขาเข้าพวกมาร่วมแข็งขืน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ย่อมป่าวประกาศแก่สาธารณชนโดยไม่รู้ตัวว่าตนนั้นไม่ใช่ผู้ติดตามของพระเจ้าอีกต่อไป ไม่ใช่ผู้เชื่ออีกต่อไป และไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้างอีกต่อไป  มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่อยู่นั้นไม่ใช่แนวคิดหรือถ้อยแถลงธรรมดาๆ แต่พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดเพราะพวกเขาสร้างกำแพงที่ไม่อาจทะลวงได้ระหว่างตนกับพระเจ้าขึ้นมาแล้ว เพราะพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าการใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอย่างมนุษย์มาปฏิบัติต่อพระเจ้า จัดการสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้า และปฏิบัติต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้านั้นถูกต้องแล้ว และเป็นวิธีปฏิบัติที่พวกเขาควรใช้  เมื่อผู้คนดังกล่าวแพร่มโนคติอันหลงผิดในชีวิตคริสตจักรอย่างเปิดเผย ควรหรือไม่ที่จะควบคุมพวกเขาเอาไว้?  หรือเมื่อเห็นแล้วว่าพวกเขาด้อยวุฒิภาวะและมีรากฐานที่ตื้นเขิน ควรหรือไม่ที่จะให้พวกเขามีอิสระในการแสดงทัศนะ ทั้งยังมีเวลาและพื้นที่มากพอที่จะกลับใจ?  แนวการปฏิบัติที่เหมาะควรนั้นเป็นเช่นใด?  (หยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้จึงเหมาะควร)  เหตุใดการหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้จึงเหมาะควร?  บางคนกล่าวว่า “ถ้าคุณควบคุมและไม่ยอมให้พวกเขาพูดจาอย่างอิสระ แล้วพวกเขาเลิกเชื่อและเลิกเข้าชุมนุม นั่นจะไม่เป็นการทำร้ายพวกเขาหรอกหรือ?  นั่นย่อมจะน่าเสียดายยิ่ง!  พระเจ้ายอมช่วยทุกคนให้รอดดีกว่ายอมให้มีคนหนึ่งทนทุกข์กับความพินาศไม่ใช่หรือ?  แม้จะมีแกะหลงฝูงเพียงตัวเดียวก็ต้องไปตามกลับมา—หลังจากใช้ความพยายามทั้งหมดนั้นตามแกะพลัดหลงตัวหนึ่งกลับมาแล้ว พระองค์จะยังยอมให้มันพลัดหลงได้อีกหรือ?”  ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  (เพราะผู้คนแบบนั้นไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาเพียงแต่เชื่อในพระเจ้าเพราะหวังจะได้รับพร และการเชื่อของพวกเขาก็มีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ผสมอยู่)  ใครบ้างที่ไม่มีสิ่งไม่บริสุทธิ์ผสมอยู่ในการเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า?  เจ้าไม่มีบ้างหรอกหรือ?  เหตุผลนี้ใช้ได้หรือไม่?  จงพิจารณาถ้อยแถลงของผู้คนดังกล่าวที่ว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว”  นี่เป็นวาจาแบบใด?  มีความแตกต่างระหว่างคำพวกนี้กับคำหมิ่นประมาทของผู้ไม่มีความเชื่อ หมู่มาร และซาตานหรือไม่?  (ไม่มี)  ถ้อยแถลงนี้แฝงนัยว่าอย่างไร?  “ฉันไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป  ที่ผ่านมาฉันติดตามและเชื่อในพระเจ้าอย่างสุดใจ แต่พระเจ้าก็ไม่ได้อวยพรฉัน  กลับจัดเตรียมสภาพแวดล้อมแบบนั้นเพื่อทำให้ฉันเดือดร้อนและเป็นเหตุให้ฉันสะดุดล้ม  สิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่ได้ตรงกับสิ่งที่พระองค์ทำเลย ฉันเลยไม่กล้าเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว!  แต่ก่อนนี้ฉันโง่มาก  ละทิ้ง สละตน และสู้ทนความยากลำบากมากมายขนาดนั้นเพื่อพระเจ้า แต่พอฉันถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและข่มเหง กลับมองไม่เห็นความคุ้มครองจากพระเจ้า  ธุรกิจของครอบครัวฉันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าของคนอื่นอีกด้วย  ฉันไม่เคยหาเงินได้มากเท่าคนอื่น แล้วพ่อแม่ของฉันก็ยังคงไม่สบาย  ฉันไม่เคยได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้ามาหลายต่อหลายปี  พระเจ้าตรัสไม่ใช่หรือว่าพระองค์จะให้พรมากมายแก่ผู้คน?  แล้วฉันได้รับพรอะไรจากพระเจ้า?  วจนะของพระเจ้าไม่ได้กลายเป็นจริงแต่อย่างใด ดังนั้นฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว!”  ถ้อยแถลงที่ว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว!” บรรจุอะไรเอาไว้มากมายนัก  เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น ความไม่พอใจ และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  สรุปว่าหลังจากที่พวกเขาสู้ทนความยากลำบากและสละตนด้วยวิธีคิดอ่านที่ฝันเฟื่องแล้ว พระเจ้ากลับไม่ได้ประทานพรแก่พวกเขาตามที่พวกเขาเรียกร้อง และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงจ่ายค่าจ้างหรือประทานรางวัลแก่พวกเขาตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พอใจและเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อพระเจ้า พวกเขากล่าวประโยคนี้ออกมาภายใต้รูปการณ์เช่นนี้  ประโยคนี้ไม่ได้ไร้ที่มา ตอนที่พวกเขาพูดออกมา พวกเขาก็แสดงพฤติกรรมและสำแดงอะไรออกมามากมาย และถูกเผยตัวไปเรียบร้อยแล้ว  สัมพันธภาพระหว่างผู้คนดังกล่าวกับพระเจ้ามีปัญหาอันใด?  ปัญหาใหญ่ที่สุดในสัมพันธภาพที่ผู้คนเยี่ยงนี้มีกับพระเจ้าคือสิ่งใด?  คือพวกเขาไม่เคยมองเลยว่าตนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่เคยมองพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างที่ควรนมัสการแม้แต่น้อย  ตั้งแต่เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนต้นไม้เงินตรา เป็นหีบสมบัติ พวกเขามองพระองค์ในฐานะพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยให้พวกเขาพ้นจากความทุกข์และความวิบัติ และมองตนเองเป็นผู้ติดตามของพระโพธิสัตว์นี้ รูปเคารพนี้  พวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าก็เหมือนการเชื่อในพระพุทธที่เพียงกินอาหารมังสวิรัติ สวดท่องพระสูตร จุดกำยานและกราบกรานบ่อยๆ พวกเขาก็จะสามารถได้สิ่งที่ต้องการ  ด้วยเหตุนี้เรื่องราวทั้งหมดที่ดำเนินมาหลังจากที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจึงเกิดขึ้นภายในขอบเขตของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา  พวกเขาไม่ได้แสดงสิ่งใดที่สำแดงให้เห็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่น้อมรับความจริงจากพระผู้สร้าง และไม่ได้แสดงความนบนอบใดๆ ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีต่อพระผู้สร้าง มีแต่การเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง การคิดคำนวณอย่างต่อเนื่อง และการร้องขอไม่หยุด  ทั้งหมดนี้ทำให้สัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าพังทลายในที่สุด  สัมพันธภาพเช่นนี้เป็นธุรกรรมแลกเปลี่ยนและจะไม่มีวันตั้งมั่นได้ มีแต่รอเวลาให้ผู้คนเยี่ยงนี้ถูกเผยตัวออกมาเท่านั้น  ต่อให้พวกเขามีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร ไม่แพร่มโนคติอันหลงผิด และสามัคคีธรรมเป็นครั้งคราวว่าตลอดมาพระเจ้าทรงนำพวกเขาอย่างไร พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขาอย่างไร พวกเขาได้ชื่นชมสิ่งใดบ้าง และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาพูดถึงส่วนใหญ่ย่อมเกี่ยวพันกับพระคุณ ความสุขสำราญ และผลประโยชน์ทางเนื้อหนังที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า  เรื่องเสวนาเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับความจริงและการนบนอบพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด  เมื่อรูปการณ์เอื้ออำนวย พวกเขาก็แสดงความเชื่อในพระเจ้าและความรักที่มีต่อพระองค์ให้เห็น รวมทั้งความอดทนและอดกลั้นต่อผู้อื่น ทั้งหมดนี้เพื่อบรรลุจุดหมายข้อเดียวคือ ได้รับพรทั้งปวงจากพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงริบพระคุณ ผลประโยชน์ และความได้เปรียบทางวัตถุที่พวกเขาเคยได้สุขสำราญไปจากพวกเขา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาก็เผยตัวออกมา  ผู้คนที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตนและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนได้เป็นอันดับแรก ย่อมเดือดดาลเมื่อไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมี พวกเขาเริ่มแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อระบายความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้า พร้อมกับพยายามที่จะดึงผู้คนอีกมากให้มาเห็นใจตนและยอมรับมโนคติอันหลงผิดที่ตนมีเกี่ยวกับพระเจ้าไปด้วย  ควรหยุดยั้งและควบคุมผู้คนเช่นนี้เอาไว้หรือไม่?  (ควร)  หัวข้อ ความคิด และมุมมองที่พวกเขาสามัคคีธรรมนั้นไม่ได้สะท้อนความเข้าใจอันถ่องแท้ในความจริง และไม่ได้ช่วยให้ผู้คนนบนอบพระเจ้าและมีความเชื่อที่จริงแท้ในพระองค์  พวกเขากลับนำผู้คนออกห่างพระเจ้า ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด การระแวดระวัง และแม้กระทั่งการปฏิเสธพระเจ้า ทำให้คนที่รับฟังมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเหล่านี้เผยแพร่คอยเตือนตัวเองอยู่เงียบๆ ว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” เหมือนพวกเขาไม่มีผิด  นี่คือการรบกวนผู้อื่นซึ่งก่อเกิดจากมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเยี่ยงนี้เผยแพร่

2. แพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า

ผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดนั้นใช้มโนคติอันหลงผิดของตนเองมาประเมินพระวจนะของพระเจ้า ประเมินพระราชกิจของพระเจ้า ทั้งยังประเมินแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีกด้วย  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดของตน มองพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดของตน จับสังเกตและพินิจพิเคราะห์ทุกคำที่พระเจ้าตรัส ทุกพระราชกิจที่พระเจ้าทำ และทุกสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ ตามมโนคติอันหลงผิดของตน  เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทำนั้นสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็ส่งเสียงสรรเสริญพระเจ้าดังๆ ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระเจ้าทรงบริสุทธิ์  เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทำไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์เป็นอันมาก และสู้ทนความเจ็บปวดมากมาย พวกเขาก็ออกมาปฏิเสธพระวจนะที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทำ พวกเขาถึงกับแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อยุยงให้ผู้คนอีกมากเข้าใจพระเจ้าผิดและระแวดระวังพระองค์ โดยกล่าวว่า “อย่าเชื่อวจนะของพระเจ้าง่ายอย่างนั้น และอย่าปฏิบัติตามวจนะของพระเจ้าง่ายๆ อีกด้วย ไม่อย่างนั้น ถ้าคุณถูกเอาเปรียบและทนทุกข์กับการสูญเสีย ก็จะไม่มีใครรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น” และอื่นๆ  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสว่า “สำหรับพวกเจ้าที่สละเพื่อเราอย่างจริงใจ เราจะอวยพรเจ้าอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน!”—พระวจนะเหล่านี้คือความจริงมิใช่หรือ?  พระวจนะเหล่านี้คือความจริงเต็มร้อย  ไม่มีความมุทะลุหรือการหลอกลวง  ไม่ใช่คำโกหกหรือแนวคิดที่ฟังดูเลิศลอย และยิ่งไม่ใช่ทฤษฎีบางอย่างทางฝ่ายวิญญาณ—พระวจนะเหล่านี้คือความจริง  พระวจนะที่เป็นความจริงนี้มีแก่นแท้ว่าอย่างไร?  ว่าเจ้าต้องจริงใจเวลาสละตนเพื่อพระเจ้า  คำว่า “จริงใจ” หมายความว่าอย่างไร?  เต็มใจและปราศจากสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีเหตุจูงใจเป็นเงินหรือชื่อเสียง และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อเจตนา ความอยากได้อยากมี และจุดหมายของตัวเจ้าเอง  เจ้าไม่ได้สละตนเพราะว่าถูกบีบบังคับ หรือถูกยุ ถูกหว่านล้อม หรือดึงตัวมา แต่การสละตนมาจากภายในตัวเจ้า ด้วยความเต็มใจ การสละตนเกิดจากมโนธรรมและเหตุผล  นี่คือความหมายของคำว่าจริงใจ  ในส่วนของความเต็มใจที่จะสละตนเพื่อพระเจ้านั้น นี่คือความหมายของคำว่าจริงใจ  เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาที่เจ้าสละตนเพื่อพระเจ้า ความจริงใจย่อมสำแดงตัวเช่นไรในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง?  เจ้าไม่ทำสิ่งที่เทียมเท็จหรือคดโกง ไม่ใช้เล่ห์กลเพื่อเลี่ยงงาน และไม่ทำสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน เจ้าอุทิศหัวใจทั้งดวงและความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของเจ้า ทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ และอื่นๆ—มีรายละเอียดมากมายเกินจะกล่าวไว้ในที่นี้!  สรุปว่าการเป็นคนจริงใจนั้นผสมผสานหลักธรรมความจริงต่างๆ เอาไว้  มีมาตรฐานและหลักธรรมอยู่เบื้องหลังข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์  บางคนกล่าวว่า “ในการเชื่อในพระเจ้า ถ้าฉันถวายความจริงใจและเงินออมทั้งหมดที่มีอยู่น้อยนิด ฉันจะได้รับมากขึ้นไหม?  ถ้าฉันสามารถได้รับมากขึ้น เช่นนั้นก็คุ้มกับการถวายทุกสิ่งทุกอย่าง!”  หลังจากถวายแล้ว พวกเขาก็มองเห็นว่าพระเจ้าไม่เคยประทานพรแก่ตน พวกเขาจึงครุ่นคิดเรื่องนี้ว่า “บางทีฉันอาจจะยังถวายไม่มากพอ อย่างนั้นฉันก็จะถวายให้มากขึ้น  ฉันจะออกไปประกาศข่าวประเสริฐ”  เมื่อพบเจอเรื่องยุ่งยากระหว่างประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็อธิษฐาน  บางครั้งเมื่อพวกเขาอดมื้อกินมื้อและไม่ได้นอนดีๆ พวกเขาก็ยังคงอธิษฐานต่อไป  คิดไปว่า “พระเจ้าตรัสว่าคนที่สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจย่อมจะได้รับพรมากมายเป็นแน่  บางทีความจริงใจของฉันอาจจะยังไม่มากพอ ดังนั้นฉันก็จะอธิษฐานให้มากขึ้น”  ด้วยการอธิษฐาน พวกเขาจึงมีความเชื่อและไม่รังเกียจที่จะสู้ทนความยากลำบากบ้าง  แท้จริงแล้วพวกเขาเริ่มมองเห็นผลลัพธ์บางอย่างจากการประกาศข่าวประเสริฐและคิดว่า “คราวนี้ฉันก็มีความจริงใจบ้างแล้ว  ฉันจะรีบกลับบ้านไปดูว่าครอบครัวของฉันมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือยัง อาการป่วยของลูกดีขึ้นหรือยัง และธุรกิจของครอบครัวดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่—ดูว่ามีพรจากพระเจ้าหรือไม่”  นี่ใช่การสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คืออะไร?  (ธุรกรรมแลกเปลี่ยน)  นี่คือการเจรจาต่อรองกับพระเจ้า  พวกเขากำลังใช้วิธีการของตนเองและสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น “ความจริงใจ” ตามมโนคติอันหลงผิดของตนมาทำสิ่งที่อยากทำ และได้สิ่งที่อยากได้จากการทำเช่นนั้น  พวกเขาใช้ “ความจริงใจ” ในความเข้าใจของตนมาตรวจสอบยืนยันพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอาไว้นี้อย่างต่อเนื่อง สอดส่องตลอดเวลาว่าพระเจ้าตั้งพระทัยจะทำสิ่งใดกันแน่ พระองค์ทรงทำสิ่งใดไปแล้วและยังไม่ได้ทำสิ่งใดบ้าง ทั้งยังคาดคะเนอยู่เสมอว่าพระเจ้าจะประทานพรแก่ตนหรือไม่ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะประทานพรมากมายแก่ตนหรือไม่  พวกเขาคิดคำนวณอย่างต่อเนื่องว่าตนถวายสิ่งใดไปแล้วบ้างและควรได้รับมากเท่าใด พระเจ้าประทานสิ่งนั้นแก่ตนหรือยัง และพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงแล้วหรือยัง  พวกเขามองหาข้อเท็จจริงที่จะสามารถใช้ทดสอบพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอาไว้นั้นอยู่ตลอดเวลา  ขณะที่สละตนเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็อยากตรวจสอบยืนยันอยู่เสมอว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นจริงหรือไม่  จุดประสงค์ของพวกเขาคือจะดูว่า การสละตนเพื่อพระเจ้าสามารถทำให้พวกเขาได้พรจากพระเจ้าหรือไม่  พวกเขาทดสอบพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ อยากเห็นพรจากพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อจะได้ยืนยันพระวจนะของพระองค์  เมื่อพวกเขาพบว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ลุล่วงง่ายดายดังที่จินตนาการเอาไว้ ทั้งยังยากที่จะยืนยันความสัตย์จริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก  ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มเชื่ออย่างหนักแน่นว่าทุกคำที่พระเจ้าตรัสไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง  เมื่อมีเรื่องนี้ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจ พวกเขาจึงเริ่มสงสัยและตั้งคำถามกับพระเจ้า มักจะเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์  บางครั้งบางคราวผู้คนที่หัวใจเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็เผยมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าออกมาระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักรและมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง  พวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาประเมินพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของตนอย่างต่อเนื่องและตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้โดยสิ้นเชิง พวกเขาก็แพร่มโนคติอันหลงผิดของตนเพื่อระบายความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสว่าพระราชกิจของพระองค์ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และผู้คนควรละทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเจ้าและสละตนเพื่อพระองค์ ให้ความร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จทางโลก การมีครอบครัวที่กลมเกลียว และอื่นๆ ในทำนองนั้นอีกต่อไป  หลังจากที่พระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจต่อไปอีกมากมาย  สามปี ห้าปี เจ็ดหรือแปดปีล่วงผ่าน บางคนก็มองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้ายังคงก้าวหน้าไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีสัญญาณว่าพระราชกิจของพระองค์กำลังจะสิ้นสุดหรือมหันตภัยกำลังจะมาและผู้เชื่อก็มีที่หลบภัยกันหมดแล้ว  คนที่ใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาประเมินพระราชกิจของพระเจ้าย่อมตั้งหน้าตั้งตารอให้พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลงโดยเร็ว ผู้เชื่อจะได้สามารถมีส่วนร่วมในพรอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า  แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงกระทำการในลักษณะนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงสำเร็จลุล่วงเรื่องนี้ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์  คนที่รอไม่ไหวย่อมกระสับกระส่ายและเริ่มมีความเคลือบแคลงต่างๆ พลางกล่าวว่า “งานของพระเจ้าใกล้จะจบแล้วไม่ใช่หรือ?  ควรจะสิ้นสุดในไม่ช้านี้แล้วไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าบอกไว้ไม่ใช่หรือว่ามหันตภัยกำลังจะมาถึง?  แล้วทำไมพระนิเวศของพระเจ้ายังคงทำงานกันมากมายอย่างนี้?  งานของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อไรกันแน่?  จะจบลงเมื่อไร?”  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้สนใจความจริงหรือข้อกำหนดของพระเจ้าแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่สนใจที่จะปฏิบัติความจริง นบนอบพระเจ้า หรือหนีให้พ้นอิทธิพลของซาตานเพื่อให้ได้รับความรอด  พวกเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษเฉพาะเรื่องจำพวกพระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด จุดจบของพวกเขาจะเป็นชีวิตหรือความตาย พวกเขาจะเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อสุขสำราญกับพรได้เมื่อใด และทัศนียภาพอันงดงามของราชอาณาจักรจะเป็นเช่นใด  นี่คือสิ่งที่พวกเขานึกพะวงมากที่สุด  เพราะฉะนั้น หลังจากที่สู้ทนมาระยะหนึ่งและมองเห็นว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ประเทศต่างๆ ในโลกก็ยังคงเป็นปกติ พวกเขาจึงกล่าวว่า “เมื่อไรพระวจนะของพระเจ้าจะเป็นจริง?  ฉันรอมาหลายปีแล้ว—ทำไมถึงยังไม่เป็นจริง?  แท้จริงแล้วพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นจริงได้หรือไม่?  พระเจ้าทำตามวจนะของพระองค์หรือไม่?”  และแล้วผู้คนเหล่านี้ก็หมดความอดทน กระสับกระส่าย และเริ่มอยากหาโอกาสกลับไปยังโลกปุถุชนเพื่อใช้ชีวิตของตนเอง

พระราชกิจของพระเจ้าและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นอยู่นอกเหนือความคิดฝันและพ้นวิสัยมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เสมอ  ไม่ว่าผู้คนจะพยายามเช่นไร ก็ไม่สามารถหยั่งรู้หรือประเมินพระราชกิจและความจริงได้  พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพระราชกิจของพระเจ้าใช้วิธีการใดบ้างหรือตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์จุดหมายอันใด ดังนั้นในท้ายที่สุดบางคนจึงเริ่มสงสัยว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่?  พระเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่?  พระเจ้าแสดงความจริงอยู่เรื่อย แต่นี่ก็แสดงมากไปแล้วไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าพระองค์จะพาพวกเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์?  พวกเราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ได้เมื่อไร?  ทำไมเรื่องเหล่านี้ถึงยังไม่เป็นจริงหรือลุล่วงเสียที?  แท้จริงแล้วจะใช้เวลาอีกกี่ปี?  พูดกันอยู่เสมอว่าใกล้ถึงวันของพระเจ้าแล้ว แต่คำว่า ‘ใกล้ถึง’ นี้ก็พูดกันมาหลายปีแล้ว—ทำไมถึงห่างไกลและดูเหมือนไม่สิ้นสุดขนาดนี้?”  พวกเขาไม่เพียงคิดเช่นนี้เท่านั้น แต่ยังแพร่ข้อสงสัยเหล่านี้ไปทั่วทุกที่อีกด้วย  นี่บ่งชี้ปัญหาอันใด?  หลังจากที่ฟังคำเทศนาไปมากมายนัก เหตุใดพวกเขาจึงยังคงไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย?  เหตุใดพวกเขาจึงใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มาตีกรอบพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เสมอ?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถมองเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้า?  พวกเขายืนยันได้หรือไม่ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง สามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าระบุเส้นทางไปสู่ความรอดได้หรือไม่?  พวกเขาเข้าใจหรือไม่ว่าทุกคำที่พระเจ้าตรัสและทุกสิ่งที่พระองค์ทำนี้เป็นไปเพื่อช่วยผู้คนให้รอด?  พวกเขาเข้าใจหรือไม่ว่าด้วยการได้รับความจริงและเข้าถึงความรอดเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถได้รับพรทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสัญญากับมวลมนุษย์เอาไว้?  จากที่พวกเขาพูดและมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่ ก็ชัดเจนว่าโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดอยู่หรือพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้และตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด  พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อโดยแท้!  หลังจากที่ฟังคำเทศนามานานหลายปีและทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ ในพระนิเวศของพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาได้อะไรไว้บ้าง?  พวกเขายืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือไม่ พวกเขาไม่มีคำตอบที่แน่ชัดในเรื่องนี้  พวกเขามีบทบาทเช่นใดในคริสตจักร?  หลังจากที่ลงแรงไประยะหนึ่งโดยไม่ได้รับพร พวกเขากลับคิดไม่ซื่อ แพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อรบกวนและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด  สิ่งที่พวกเขาพูดออกมาโดยไม่คิดอะไรก็คือถ้อยคำที่ตัดสินพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  พวกเขาบางคนกล่าวว่า “ฉันเคยนึกว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นภายในสามถึงห้าปี ไม่เคยคาดคิดว่าตอนนี้ผ่านไปสิบปีก็ยังคงไม่แล้วเสร็จ  เมื่อไรพระราชกิจนี้ถึงจะเสร็จสมบูรณ์?  บทความคำพยานก็เขียนกันอย่างต่อเนื่อง วิดีโอแสดงการร้องเพลงนมัสการและภาพยนตร์ก็ยังคงผลิตกันอยู่ ข่าวประเสริฐก็ประกาศกันตลอดเวลา—เมื่อไรถึงจะสิ้นสุด?”  พวกเขาถึงกับถามผู้อื่นว่า “พวกคุณไม่คิดเหมือนกันหรอกหรือ?  เอาเถอะ ไม่ว่าพวกคุณจะคิดอย่างไร ฉันก็คิดอย่างนี้  ฉันเป็นคนซื่อสัตย์ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่เหมือนบางคนที่ไม่พูดความในใจออกมา มัวแต่อมพะนำทุกอย่าง”  พวกเขาช่าง “ซื่อสัตย์” เสียจริง กล้าที่จะพูดอะไรก็ได้!  ที่แย่กว่านั้นก็คือพวกเขากล่าวว่า “ถ้าพระราชกิจของพระเจ้าไม่จบลงเร็วๆ นี้ ฉันจะไปหางานทำ หาเงิน และมีชีวิตของฉันเองก็แล้วกัน  ตลอดหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานี้ ฉันพลาดอาหารดีๆ ไปหลายมื้อเหลือเกิน พลาดสถานที่สนุกๆ ไปมากมาย รวมทั้งความสุขสำราญมากมายทางวัตถุ!  ถ้าฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ฉันก็คงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่ มีรถ และอาจจะถึงกับท่องโลกไปหลายรอบแล้วในช่วงหลายปีมานี้  นึกย้อนไปแล้ว ชีวิตที่ไม่มีการเชื่อในพระเจ้านั้นดีมาก ฉันมีความสุขทีเดียว  แม้จะว่างเปล่าสักหน่อย แต่ฉันก็สามารถสุขสำราญกับสิ่งที่ให้ความหรรษาทางเนื้อหนังได้ กินดื่มได้ดี และทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ไม่มีข้อห้าม  ช่วงเวลาหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานี้ ฉันทนทุกข์มากนัก เข้มงวดกับตัวเองเกินไป!  แม้ฉันจะได้รับความจริงมาบ้างและรู้สึกมั่นคงมากขึ้นอีกหน่อยในหัวใจ แต่ความจริงเหล่านี้ก็ไม่อาจแทนที่ความหรรษาทางเนื้อหนังได้!  นอกจากนั้น พระราชกิจของพระเจ้าก็ไม่เคยสิ้นสุด พระเจ้าไม่เคยปรากฏให้ผู้คนเห็น ฉันเลยไม่เคยรู้สึกมั่นคงอย่างแท้จริง  พวกเขาบอกว่าการเข้าใจและได้รับความจริงย่อมนำสันติสุขและความเบิกบานมาให้ แต่มีสันติสุขและความเบิกบานแล้วดีอย่างไร?  ฉันไม่มีความสุขสำราญทางเนื้อหนังอยู่ดี!”  ความคิดเหล่านี้วิ่งวนอยู่ในใจของพวกเขานับครั้งไม่ถ้วน และพวกเขาก็พูดทวนให้ตัวเองฟังซ้ำอยู่หลายคราว  เมื่อพวกเขาเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดของตนมีเหตุผลอันชอบธรรมมากพอที่จะตั้งมั่นได้ และรู้สึกว่าเวลาสุกงอมแล้ว พวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะจับผิดพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแพร่ความคิดเห็นและมโนคติอันหลงผิดตามที่ยกมาข้างต้น  พวกเขาแพร่กระจายความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้า รวมทั้งมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดที่ตนมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พยายามชักพาให้ผู้คนอีกมากพลอยเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ไปในทางที่ผิด  แน่นอนว่ายังมีบางคนที่มีเหตุจูงใจแอบแฝงอีกด้วยและอยากกีดกันผู้คนให้สละตนเพื่อพระเจ้าน้อยลง อยากให้ผู้คนละทิ้งหน้าที่ในปัจจุบันของตนและปฏิเสธพระเจ้า ถ้ามีอันต้องยุบคริสตจักรไป สำหรับพวกเขาแล้วนั่นย่อมจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด  จุดหมายของพวกเขาคืออะไร?  “ถ้าฉันไม่ได้รับพร พวกคุณก็ไม่ควรหวังว่าจะได้เช่นกัน  ฉันจะทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงเข้าไว้สำหรับพวกคุณทุกคน จะได้ไม่มีพวกคุณคนไหนมุ่งหวังได้ว่าจะได้รับความจริงหรือพรที่พระเจ้าสัญญาไว้!”  เมื่อมองไม่เห็นความหวังที่จะได้รับพร พวกเขาก็สิ้นความอดทนที่จะรอคอยต่อไป  ตัวพวกเขาเองไม่ได้รับพร และไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับเช่นกัน  เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิด ด้านหนึ่งพวกเขาก็กำลังระบายความไม่พอใจของตน พร่ำบ่นที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และวิธีการทรงพระราชกิจของพระเจ้าก็ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้คน  ขณะเดียวกันพวกเขาก็อยากดึงและชักพาให้ผู้คนอีกมากพร่ำบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิด เกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และสูญสิ้นความเชื่อ  พวกเขาอยากให้ผู้คนละทิ้งพระเจ้ากันมากขึ้นเพราะความเข้าใจผิดและมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระองค์ เหมือนที่พวกเขามีโดยแท้

ข. วิธีรับมือผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด

เมื่อมีคนในคริสตจักรแพร่มโนคติอันหลงผิดและความไม่พอใจในพระเจ้า ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นใด?  ย่อมกระทบผลลัพธ์ของชีวิตคริสตจักรโดยตรงใช่หรือไม่?  รบกวนชีวิตคริสตจักรที่ปกติและงานของคริสตจักรใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่ย่อมส่งผลต่อความเชื่อที่ผู้คนมีในพระเจ้าและกระทบความสามารถในการทำหน้าที่ของพวกเขาตามปกติ  เพราะฉะนั้นจึงต้องควบคุมผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด  ต่อให้พวกเขาเอ่ยเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเป็นครั้งคราว ก็ต้องควบคุมและใช้วิจารณญาณคอยดูพวกเขา จงดูว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์เช่นใด การแพร่มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเป็นเพราะการคิดลบและความอ่อนแอชั่วครู่หรือเพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขามีปัญหา—ดูว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างต่อเนื่องและตั้งใจแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาให้ผู้คนอีกมากพลอยหลงผิด เพื่อรบกวนและทำให้ชีวิตคริสตจักรเสียหายหรือไม่  ถ้าเป็นเพียงการคิดลบและความอ่อนแอชั่วคราว การสามัคคีธรรมความจริงเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือพวกเขาย่อมเพียงพอ  ถ้าพวกเขาไม่สนใจฟังคำแนะนำ ยังคงแพร่มโนคติอันหลงผิดและรบกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป—ถึงขั้นทำให้ผู้อื่นคิดลบและอ่อนแอ ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ตามปกติของผู้อื่น—เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตานและควรถูกเอาตัวออกไปตามหลักธรรม  เหตุใดจึงไม่ให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง?  พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเยี่ยงนี้ใช่ผู้ไม่เชื่อหรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ผู้คนเยี่ยงนี้ก็คือผู้ไม่เชื่อ  ผู้ไม่เชื่อก็เหมือนข้าวละมานท่ามกลางข้าวสาลี—ควรหยิบออกไปเสีย  ถ้าพวกเขาเพียงแต่สำแดงลักษณะบางอย่างของผู้ไม่เชื่อและไม่เคยก่อให้เกิดการรบกวนในชีวิตคริสตจักร ยังคงสามารถเป็นมิตรกับคริสตจักรและทำงานรับใช้ได้ ก็ปล่อยพวกเขาเอาไว้ได้  แต่คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดอยู่เสมอย่อมแสดงมุมมองและความเห็นของผู้ไม่เชื่อตลอดเวลา  พวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งต่างๆ โดยไม่คิดอะไร กลับมีจุดประสงค์ที่จะยุยง ชักพาให้หลงผิด และดึงผู้คนอีกมากให้มาร่วมตีตัวออกห่างจากพระเจ้า  เจตนาของพวกเขาก็คือ “ถ้าฉันไม่สามารถได้รับพร ฉันก็จะไม่เชื่ออีกต่อไป  พวกคุณก็ไม่ควรมีใครหวังว่าจะได้รับพร และไม่ควรเชื่อเช่นกัน!  ถ้าพวกคุณยังเชื่อต่อไป ถ้าพวกคุณยืนหยัดต่อไปและในที่สุดก็ได้รับพรเข้าสักวัน จะเป็นเช่นไร—นั่นจะไม่ทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากเหรอกหรือ?  ถึงตอนนั้นในใจฉันจะรู้สึกว่ามีสมดุลได้อย่างไร?  ไม่ได้การ  เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียใจในอนาคต ฉันจะก่อกวนพวกคุณ ทำให้ความเชื่อของพวกคุณคลอนแคลน ทำให้พวกคุณตีตัวออกห่างจากพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และผละจากคริสตจักรพร้อมฉัน—นั่นจะเป็นการดีที่สุด”  นี่คือจุดประสงค์ของพวกเขา  ผู้ไม่เชื่อแบบนี้ควรเอาตัวออกไปมิใช่หรือ?  (ใช่)  ควรเอาตัวพวกเขาออกไป  ถ้าผู้ไม่เชื่อบางคนเลิกเชื่อ คริสตจักรก็เพียงรับหนังสือพระวจนะของพระเจ้าคืนจากพวกเขาและลบชื่อของพวกเขาออกก็พอ  มีผู้ไม่เชื่อคนอื่นที่มีความรู้สึกเป็นบวกต่อการเชื่อในพระเจ้าและผู้เชื่อ  พวกเขาไม่ได้มีบทบาทเชิงบวกที่คอยสนับสนุนอยู่ในคริสตจักร เพียงแต่ช่วยเหลือเป็นครั้งคราวในฐานะที่เป็นมิตรกับคริสตจักร  ผู้คนเช่นนี้แม้จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือสามัคคีธรรมความจริง แต่ก็ไม่ได้แพร่มโนคติอันหลงผิดหรือรบกวนชีวิตคริสตจักร  ตราบใดที่พวกเขาทำงานรับใช้ได้บ้าง ก็ควรจะเปิดโอกาสให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักร ไม่จำเป็นต้องเอาตัวออกไป  อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ไม่เชื่อที่แพร่มโนคติอันหลงผิดอยู่เสมอ ไม่ควรกรุณาพวกเขา  พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดที่มีเกี่ยวกับพระเจ้า รบกวนชีวิตคริสตจักรและก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวนงานของคริสตจักร  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้คือข้ารับใช้ของซาตาน  พวกเขามีมโนคติอันหลงผิด อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่เพียงไม่แสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติของตนเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรพลอยหลงผิดไปด้วย  พวกเขาทรยศพระเจ้าและต้องการที่จะลากบางคนให้ย่อยยับไปพร้อมกับตน  ด้วยเจตนาเช่นนี้เอง พวกเขาจึงรบกวนงานของคริสตจักร  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงอภัยให้พวกเขา?  ไม่ ต้องไม่เก็บพวกเขาเอาไว้  นี่ไม่ใช่เรื่องของการต้องควบคุมหรือแยกเดี่ยวพวกเขา พวกเขาต้องถูกชำระออกไปและลบชื่อออกอย่างถาวร ไม่มีการปรานีแต่อย่างใด!

ในคริสตจักร บางคนไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เคยเข้าใจว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร  หลังจากที่มีประสบการณ์กับบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาก็เกิดความเข้าใจผิด เกิดการไม่ยอมรับ และคำพร่ำบ่นพระเจ้า บางสิ่งที่พวกเขาพูดและทำนั้นทำหน้าที่แพร่มโนคติอันหลงผิด  มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาแพร่ไปนี้ไม่ได้เป็นเพียงความเข้าใจที่เบี่ยงเบนเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น  บางอย่างก็ร้ายแรงกว่านั้น เป็นการปฏิเสธโดยตรงในเรื่องที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง—พวกเขาตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้าทุกด้าน  แม้แต่มโนคติอันหลงผิดอื่นๆ ที่พวกเขาเผยแพร่ก็เล่นงานและหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างเปิดเผย  พวกเขาไม่ได้ชำแหละหรือพยายามรู้จักความเสื่อมทรามและการกบฏของตนด้วยหัวใจที่นบนอบ ยืนดูจากมุมของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือผู้ติดตามของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง ไม่สามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ตนมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและการตระหนักรู้เจตนารมณ์ของพระองค์  มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาพูดออกมานั้นแท้จริงแล้วตรงข้ามกับความเข้าใจที่เป็นบวกเหล่านี้  เมื่อผู้อื่นฟังมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ก็ไม่ได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ได้เกิดความเชื่อที่จริงแท้ และแน่นอนว่าความเชื่อที่ผู้อื่นมีในพระเจ้าก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเช่นกัน  แต่ความเชื่อที่ผู้อื่นมีในพระเจ้ากลับคลุมเครือ ลดน้อยลง หรือถึงกับสูญสิ้น  พร้อมกันนั้นนิมิตที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าก็พร่ามัว  ยิ่งผู้คนฟังมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่ หัวใจของผู้คนก็ยิ่งเลอะเลือน ถึงขั้นที่ผู้คนไม่แน่ใจว่าเหตุใดตนจึงควรเชื่อในพระเจ้า และเริ่มสงสัยว่าพระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่  ส่วนเรื่องที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าใช่ความจริงหรือไม่ พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้หรือไม่ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน—ทั้งหมดนี้เลือนรางและน่าสงสัยสำหรับพวกเขา  เมื่อผู้คนได้ฟังมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดที่ผู้คนดังกล่าวเผยแพร่ พวกเขาก็เริ่มสงสัยและระแวดระวังพระเจ้า เริ่มตีกรอบพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน เกิดความเข้าใจผิดและพร่ำบ่นพระเจ้า ถึงกับเอาใจออกห่างจากพระเจ้า  นี่เป็นปัญหาอย่างมาก  เมื่อพวกเขามีความคิด ทัศนะ แผนการ และจุดมุ่งหมายที่เป็นลบและไม่พึงประสงค์เหล่านี้ ก็ชัดเจนว่าข้อมูลและความเห็นที่พวกเขายอมรับนั้นไม่สอดคล้องกับความต้องการตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความจริง—แน่นอนว่าร้อยทั้งร้อยสิ่งเหล่านั้นย่อมมาจากซาตาน  ไม่ว่าเจตนาหรือเหตุจูงใจของคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดจะเป็นเช่นใด ไม่ว่าพวกเขาจะเผยแพร่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและข่าวลือที่ไม่มีมูลโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นภัยภายในคริสตจักร ก็ควรควบคุมพวกเขาเอาไว้  แน่นอนว่านอกชีวิตคริสตจักร ถ้าพบเจอและดูผู้คนดังกล่าวออก ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาทันทีเช่นกัน  ถ้าคนที่เข้าใจความจริงสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าหรือความเข้าใจของตนเองมาหักล้างและเปิดโปงคนที่แพร่เรื่องดังกล่าว ช่วยให้พี่น้องชายหญิงดูพวกเขาออก นี่ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก  นี่คือการสู้รบกับซาตาน  ถ้าเจ้าไม่มีวุฒิภาวะ เจ้าก็ควรเรียนรู้ที่จะดูพวกเขาให้ออกและอยู่ให้ห่าง  ถ้าเจ้ามีวุฒิภาวะ เจ้าก็ควรเปิดโปงพวกเขาเสีย  พวกเจ้ากล้าทำดังนี้หรือไม่?  เจ้ารู้วิธีทำเรื่องนี้หรือไม่?  นี่เผยได้มากที่สุดว่าใครสักคนมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่  เมื่อผู้เชื่อใหม่บางคนได้ฟังมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดที่ผู้คนดังกล่าวเผยแพร่เกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาย่อมตกใจมากและถามว่า “คนที่เชื่อในพระเจ้าพูดจาแบบนี้ได้อย่างไร?”  ถ้าผู้คนที่ไม่มีรากฐานได้ฟังมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ พวกเขาจะคิดลบและอ่อนแอหรือไม่?  พวกเขาจะยอมรับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้หรือไม่?  พวกเขาจะถูกชักพาให้หลงผิดและผละจากคริสตจักรหรือไม่?  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปได้  เมื่อใครบางคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดกล่าวว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาวะใดตอนที่พูดเช่นนี้ ก็บ่งชี้ว่าพวกเขาสูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไปสิ้นแล้วและเป็นผู้ไม่เชื่อ  ไม่ว่าจุดประสงค์ที่พวกเขาเผยแพร่ถ้อยคำดังกล่าวจะเป็นเช่นใด เจ้าสามารถได้รับความเจริญใจจากการฟังถ้อยคำเหล่านี้หรือไม่?  (ไม่)  เมื่อเจ้าอ่อนแอและได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าอาจจะรู้สึกว่า “คนคนนี้เจ็บปวดเหมือนฉัน เวลาที่พวกเขาพูดถึงมโนคติอันหลงผิดของตน ก็เหมือนพวกเขากำลังพูดถึงความคิดที่อยู่ลึกสุดในใจฉันออกมา”  อย่างไรก็ดี ถ้าคนที่มีความเชื่อได้ฟังคำเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะคิดว่า “นี่ช่างเหิมเกริมและเป็นกบฏ!  พูดคำพวกนี้ออกมาได้อย่างไร?  นี่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ฉันไม่กล้าพูดเรื่องพวกนี้หรอกเพราะเป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า!”  การที่พวกเขาสามารถแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้ย่อมบ่งชี้ว่าแนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นนานแล้วและหยั่งรากลงไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว  ถ้าแนวคิดดังกล่าวเพิ่งเริ่มก่อตัวและยังคงอยู่ในระยะที่กำลังแตกหน่อ ยังไม่พัฒนาเต็มที่จนเป็นมโนคติอันหลงผิด ตราบใดที่คนเราไม่ได้กล่าวแนวคิดพวกนี้ออกมาและยังไม่ได้รบกวนหรือชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีเหตุผลอยู่บ้าง พวกเขาสามารถระวังปาก อันเป็นการหลีกเลี่ยงผลสืบเนื่องซึ่งก็คือการถูกเอาตัวออกไป  แต่ถ้าพวกเขาเอ่ยปากออกมาและรบกวนชีวิตคริสตจักร เช่นนั้นแล้วก็ไม่อาจมีมารยาทกับพวกเขาได้ ควรเปิดโปงและเอาตัวพวกเขาออกไป  ผู้คนที่ไม่รักความจริงและไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงย่อมโน้มเอียงไปในทางที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิดอยู่เนืองๆ  อย่างไรก็ดี คนที่มักจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามารถที่จะเข้าใจได้ ย่อมแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน ต่อให้มีมโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้นก็ตาม  ส่วนคนที่มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดย่อมถูกพระราชกิจของพระเจ้าเผยตัวและกำจัดออกไป พวกเขาคือผู้คนที่ไม่รักความจริงแต่อย่างใดและไม่สามารถยอมรับความจริง พวกเขาล้วนรังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริง  เรื่องนี้อยู่เหนือข้อสงสัยทั้งมวล

ชีวิตคริสตจักรตามประเทศและสถานที่ต่างๆ นั้นย่อมมีปัญหาเรื่องการแพร่มโนคติอันหลงผิดอย่างแน่นอน เพราะผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมมีอยู่ทุกหนแห่ง  คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง คนที่รังเกียจความจริง คนที่แสวงหาความหรรษาทางเนื้อหนัง ตลอดจนผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และอื่นๆ เนื่องจากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง จึงเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อยู่เสมอ  หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิด มีแต่ความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าและข้อเรียกร้องต่อพระองค์ และพวกเขาก็ไม่อาจตระหนักรู้และเข้าใจทุกคำที่พระเจ้าตรัสได้อย่างถ่องแท้ ได้แต่เข้าใจตามมโนคติอันหลงผิด ความชอบส่วนตน และแม้กระทั่งผลได้และผลเสียส่วนตัวเท่านั้น  หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ รวมทั้งข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้า ตลอดจนความเข้าใจผิดและคำตัดสินต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า และอื่นๆ  ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนเหล่านี้จะแพร่มโนคติอันหลงผิด—นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่  ตราบใดที่ยังมีผู้คนจำพวกนี้ การแพร่มโนคติอันหลงผิดก็จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและสามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้  เมื่อบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือทำนั้นไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความปรารถนาของพวกเขา ทั้งยังทำร้ายผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็เดือดดาลและเริ่มเอ่ยปากเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เริ่มขับเคี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์  ผู้คนเหล่านี้ยืนคัดค้านความจริงและพระเจ้าอยู่เสมอ วิเคราะห์และพินิจพิจารณาพระวจนะของพระเจ้า พระอุปนิสัย และพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาพินิจพิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องของพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง และอยากตรวจดูอีกด้วยว่าเนื้อหนังที่บังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้าสอดคล้องกับอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าหรือไม่  ระหว่างที่พวกเขาตรวจสอบอยู่นั้น พวกเขาก็พบว่ายากมากที่จะได้คำตอบที่เที่ยงตรง ในสายตาของพวกเขานั้น แม้กระทั่งการที่พระวจนะของพระเจ้าจะลุล่วงและกลายเป็นจริงก็ยากมาก  เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีเรื่องมากมายให้พูดเวลาแพร่มโนคติอันหลงผิด  พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดของตนโดยไม่เลือกเวลา สถานที่ หรือบริบท  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกไม่พอใจพระเจ้าไม่ว่าในทางใด พวกเขาก็ใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาประเมินสิ่งต่างๆ  ถ้าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาย่อมรีบแสดงมโนคติอันหลงผิดของตนออกมา  พวกเราระบุว่าการแสดงออกเช่นนี้คือการแพร่  เหตุใดจึงเรียกว่า “การแพร่”?  เพราะสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมานั้นไม่มีผลในทางบวกต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ชีวิตคริสตจักร หรืองานในพระนิเวศของพระเจ้า  กลับก่อให้เกิดแต่การรบกวน ขัดขวาง และความเสียหายเท่านั้น  ดังนั้นจึงถูกต้องแล้วที่เรียกการออกความเห็นเช่นนี้ว่า “การแพร่”

หลังจากที่พวกเจ้ามีวิจารณญาณพื้นฐานในปัญหาเรื่องการแพร่มโนคติอันหลงผิดบ้างแล้ว พวกเจ้าก็ควรชำแหละและใช้วิจารณญาณดูมโนคติอันหลงผิดและความเห็นต่างๆ ที่ผิดพลาดของผู้คนตามความจริง จากนั้นจึงจัดการและแก้ไขมโนคติและความเห็นเหล่านั้นตามข้อบังคับในพระนิเวศของพระเจ้า  แน่นอนว่าผู้นำและคนทำงานย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวโดยไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้  พร้อมกันนั้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน หลังจากที่ฟังสามัคคีธรรมนี้แล้วย่อมมีภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่จะเปิดโปงและชำแหละผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด รวมทั้งถ้อยคำและพฤติกรรมของพวกเขาเช่นกัน  ถ้าเจ้าไม่มีความกล้าที่จะหยุดยั้งหรือควบคุมพวกเขา เจ้าก็สามารถสามัคคีธรรมและโต้วาทีกับพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่เจ้าเข้าใจได้  การโต้วาทีเช่นนี้มีจุดประสงค์อันใด?  เพื่อทำให้คนที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริงตระหนักหลังจากที่ได้ฟังการโต้วาทีแล้วว่าคำพูดของใครตรงตามความจริงบ้าง แทนที่จะสับสนและถูกชักพาให้หลงผิดตามมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่บางคนเผยแพร่  นี่เป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและชีวิตคริสตจักร  เมื่อพบคนกล่าวคำที่ไม่ตรงตามความจริง—ไม่ว่าจะเป็นมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของมนุษย์—ก็ควรมีการโต้วาที  การโต้วาทีเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนเจริญใจ  อย่างน้อยที่สุด หลังจากที่รับฟังการโต้วาทีเหล่านี้แล้ว คนดูย่อมสามารถมองเห็นชัดเจนว่าถ้อยคำของคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดนั้นเป็นมโนคติอันหลงผิดอย่างแท้จริง และสามารถเข้าใจได้ว่ามีแง่มุมใดของมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้บ้างที่ไม่ตรงกับความจริง มโนคติอันหลงผิดมีแก่นแท้เป็นเช่นไร เหตุใดจึงไม่ตรงตามความจริง เหตุใดจึงถูกระบุว่าเป็นมโนคติอันหลงผิด เหตุใดผู้คนที่แพร่มโนคติเหล่านี้จึงถูกควบคุม และอื่นๆ—พวกเขาย่อมเกิดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องเหล่านี้ได้ แทนที่จะถูกชักพาให้หลงผิดและปั่นหัวเล่นในสภาพที่เลอะเลือน  แม้มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเผยแพร่จะสามารถก่อให้เกิดการรบกวนและความเสียหายบางอย่างแก่การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและชีวิตคริสตจักร แต่การมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วไม่ใช่ไม่ดีต่อผู้คน  อย่างน้อยที่สุดก็เปิดโอกาสให้พวกเขามีวิจารณญาณมากขึ้น มองเห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดเป็นอย่างไร มองเห็นว่าพวกเขาเผยอุปนิสัยเช่นใดออกมาเวลาแพร่มโนคติอันหลงผิด และมองเห็นความแตกต่างระหว่างความจริงกับมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่  นัยหนึ่ง ผู้คนย่อมจะสามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะความเห็นเหล่านี้และมีภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้  อีกนัยหนึ่ง พวกเขาก็จะมีวิจารณญาณในตัวผู้คนดังกล่าวบ้างอีกด้วย รู้ว่าถ้อยคำชนิดใดบ้างที่กล่าวโดยผู้ไม่เชื่อ โดยคนที่ไม่มีความจริงแต่อย่างใดและมักจะเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ ทั้งยังรู้ว่าความเชื่อของคนเหล่านี้ไม่จริงแท้—อย่างน้อยที่สุด ผู้คนก็สามารถมีวิจารณญาณเช่นนี้  แน่นอนว่าถ้าเจ้ายังไม่เคยเผชิญปัญหาเหล่านี้ ก็จงอย่าบุ่มบ่ามอธิษฐานโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อให้ข้าพระองค์มองเห็นได้ว่า ‘มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเผยแพร่’ นั้นมีความหมายว่าอย่างไร”  การเป็นพยานรู้เห็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สามารถทำให้เจ้าถูกชักพาให้หลงผิดโดยง่าย  และเมื่อเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นแล้ว เจ้าก็ควรรับมือให้ถูกต้อง  อย่าหลีกเลี่ยงหรือเปิดโอกาสให้เรื่องเหล่านี้หลุดรอดไปได้ จงเผชิญหน้าอย่างถูกต้อง และรับมือสภาพแวดล้อมแต่ละอย่างที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าด้วยท่าทีที่จริงจังและถี่ถ้วน  นี่คือท่าทีซึ่งคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรมีเพื่อที่จะได้รับความจริง  เมื่อเจ้าพบเจอคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด เจ้าควรเรียนรู้ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์ด้วยเถิด ประทานความรู้แจ้ง และชี้แนะข้าพระองค์ เพื่อให้มีวิจารณญาณในถ้อยคำเหล่านี้และคนแบบนี้ได้ และทำให้ตระหนักรู้ได้ว่ามีมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเหล่านี้อยู่ในตัวข้าพระองค์บ้างหรือไม่”  และแล้วหลังการอธิษฐานจึงค่อยไปมีประสบการณ์กับเรื่องนี้  แน่นอนว่านี่ยังเป็นช่วงเวลาที่เจ้าจะถูกทดสอบว่าแท้จริงแล้วเจ้าเข้าใจความจริงมากเพียงใดและมีวุฒิภาวะมากเท่าใด  เวลาที่ใครบางคนกำลังแพร่มโนคติอันหลงผิดอยู่ ถ้าเจ้าได้ยินพวกเขาและไม่มีปฏิกิริยาหรือความคิดใดๆ อยู่ข้างใน กลับทำตัวเหมือนวิทยุเครื่องหนึ่งเท่านั้น—ยอมรับมโนคติอันหลงผิดทุกอย่างที่พวกเขาแสดงออกและเผยแพร่ ไร้ซึ่งการไม่ยอมรับหรือความสามารถที่จะปฏิเสธ และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความสามารถที่จะใช้วิจารณญาณแยกแยะอีกด้วย—นี่ย่อมเป็นปัญหาอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  บางคนพอได้ฟังใครแสดงมโนคติอันหลงผิดออกมา ก็รู้สึกอยู่ในหัวใจว่าสิ่งที่พูดอยู่นั้นผิด อยากสามัคคีธรรมและโต้วาทีกับคนคนนั้น แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรจึงจะเหมาะควร หรือควรเปิดโปงและชำแหละอีกฝ่ายอย่างไร  พวกเขายังกลัวด้วยว่าถ้าตัวเองไม่สามารถเถียงกลับได้อย่างมีประสิทธิผล พวกตนก็จะหน้าแดงเถือก แล้วพอเถียงแพ้ในที่สุด พวกเขาก็จะเสียหน้าและตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำตัวไม่ถูก  อย่างไรก็ดี พวกเขารู้สึกไม่เต็มใจเช่นกันที่จะปล่อยผ่านโดยไม่โต้วาที คิดไปว่า “ฉันฟังคำเทศนามามากและเข้าใจไม่ใช่น้อย แล้วทำไมถึงไม่มีคำพูดมาหักล้างพวกเขา?  ฉันไม่มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แล้วก็มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า แล้วตอนนี้พอถึงเวลาที่จะหักล้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของพวกเขา ทำไมฉันถึงอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนไม่ได้?”  พวกเขาเฝ้าดูคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดพูดจามากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่คำพูดของฝ่ายนั้นก็เหิมเกริมและน่าชิงชังมากขึ้นทุกที แต่พวกเขาก็ไม่อาจหักล้างหรือชำแหละถ้อยคำเหล่านั้นได้เลย ไม่สามารถลุกขึ้นมาเปิดโปง และยิ่งไม่สามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกร้อนใจและหนักใจอย่างยิ่ง  ตอนนี้เองที่พวกเขาตระหนักว่าตนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และมองเห็นว่าความเข้าใจที่ตนมีในความจริงยังไม่ได้ก่อตัวเป็นมุมมองที่ถูกต้องและรอบด้าน เป็นเพียงวลีปลีกย่อย เป็นความสว่างและแนวคิดที่กระจัดกระจาย ไม่ใช่การรู้ความจริงโดยแท้แต่อย่างใด  พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าคนคนนี้กำลังแพร่มโนคติอันหลงผิดและชักพาให้ผู้คนหลงผิด คนคนนี้คือผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาก็อยากเปิดโปงอีกฝ่าย หักล้างทัศนะของอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่มีการใช้ภาษาที่เหมาะควรและทรงพลังไว้ทำเช่นนั้น  พวกเขาทำได้เพียงกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่พระเจ้าทำนั้นดีงาม คุณต้องยอมรับข้อนี้  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และเพียบพร้อม พระองค์ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดเลย  พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และผู้คนก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พวกเขาควรนบนอบพระเจ้า  ผู้คนไม่ได้สูญเสียอะไรเพราะนบนอบพระเจ้า”  พวกเขาได้แต่กล่าวทฤษฎีที่ตื้นเขินเหล่านี้ซึ่งไม่ได้เข้าประเด็นสำคัญเลย  หลังจากที่มีประสบการณ์กับเหตุการณ์พิเศษนี้แล้ว พวกเขาค่อยตระหนักว่าวุฒิภาวะของตนอ่อนด้อยเกินไปและคิดว่า “ทำไมฉันถึงไร้ความสามารถขนาดนี้?  ปกติแล้วฉันก็กล่าวคำสอนอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้อย่างยืดยาว พูดได้คมคายทีเดียว ฉันสามารถพูดในที่ชุมนุมได้นานหนึ่งชั่วโมงโดยไม่มีปัญหา เขียนบันทึกคำเทศนาได้สามถึงห้าหน้าโดยไม่กะพริบตา รู้สึกมั่นใจในเรื่องนี้มาก  แต่พอเผชิญหน้าคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดแบบนี้ ตัดสินและหมิ่นประมาทพระเจ้าแบบนี้ เพราะอะไรฉันถึงไม่มีความตื่นตัว ไม่มีคำตอบ?  ทำไมฉันถึงเปิดโปงและพูดจาหักล้างให้ฟังดูมีพลังไม่ได้?”  พวกเขาค้นพบสิ่งใดจากเรื่องนี้?  ไม่ใช่พวกเขาตระหนักว่าตนเองไม่เข้าใจความจริงหรอกหรือ?  การตระหนักเช่นนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี?  (เป็นเรื่องดี)  ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบวุฒิภาวะที่แท้จริงของตน  ถ้าพวกเขาไม่ได้พบเจอคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด พวกเขาก็อาจจะยังคงคิดว่าตนนั้นมีวุฒิภาวะ เข้าใจความจริง มีวิจารณญาณ สามารถมองทะลุทุกสิ่ง สามารถประกาศคำสอนฝ่ายวิญญาณได้หลากหลาย และพอจะสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงทุกประการได้ด้วยความคุ้นเคยยิ่ง  อย่างไรก็ดี เมื่อเผชิญหน้าคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด แม้พวกเขาจะรู้ว่านั่นผิด แต่ก็พบว่าตนเองกลับอับจนหนทาง ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ และลงเอยด้วยความพ่ายแพ้  นี่น่าอายหรือไม่?  ใช่เรื่องที่เกรียงไกรหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วควรแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร?  ถ้าเจ้าไม่มีถ้อยคำที่ถูกต้องมาถกเถียงกับพวกเขา และเจ้าก็อยากหลีกเลี่ยงความอับอายขายหน้า อยากตั้งมั่นในคำพยานของตนเพื่อที่จะทำให้ซาตานอับอายและพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงอีกด้วย เจ้าควรทำอย่างไร?  เราจะบอกวิธีที่ได้ผลแก่พวกเจ้าว่า ถ้าเจ้าเห็นพวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดกันไม่จบเสียที และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีวิจารณญาณ ทั้งยังถูกพวกเขาครอบงำ แต่เจ้าก็ไม่สามารถเถียงชนะพวกเขาได้ เช่นนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดศึก จงทุบโต๊ะและบอกว่า “หยุดพูด!  คุณพูดเรื่องอะไรอยู่?  ฉันอาจจะเถียงชนะคุณไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าคุณคือผู้ไม่เชื่อ!  ดูเรื่องที่คุณพูดสิ มีสักคำไหมที่ตรงกับความจริง?  คุณได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามาหลายปี—เคยเอ่ยคำสรรเสริญหรือคำพยานให้พระเจ้าสักคำไหม?  คุณมีเรื่องคับข้องใจเกี่ยวกับพระเจ้า ถ้าคุณทำได้ ก็ตรงไปที่สวรรค์ชั้นที่สามและพูดกับพระเจ้าซึ่งหน้าเลย  เลิกก่อกวนที่นี่  คราวนี้ฉันขอสั่งคุณอย่างเป็นทางการให้ไปเสีย!”  พวกเจ้ากล้าพูดเช่นนี้หรือไม่?  นี่ใช่การทำตัวมุทะลุหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือการป่าวประกาศต่อซาตาน  จงทำเช่นนี้ก็พอ  บอกพวกเขาไปว่า “ผู้ไม่เชื่ออย่างคุณน่ะ ไปเสีย!  วายร้ายที่ไร้มโนธรรมอย่างคุณได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไปมากมายอย่างสูญเปล่า คุณไม่คู่ควรที่จะเป็นมนุษย์!”  เพียงสองคำก็พอ “ไปเสีย!”  ฟังดูเป็นเช่นไร?  มีพลัง แต่จะใช้อย่างผลีผลามไม่ได้  เจ้าไม่ควรกล่าวเช่นนี้กับพี่น้องชายหญิงที่เป็นผู้เชื่อใหม่และยังไม่เข้าใจความจริง แต่ควรกล่าวกับผู้ไม่เชื่อและข้ารับใช้ของซาตาน เจ้าสามารถออกคำสั่งเช่นนี้อย่างไร้ความกรุณาได้ว่า “นี่คือพระนิเวศของพระเจ้า เป็นบ้านของพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง บ้านของผู้ติดตามพระเจ้า  นี่ไม่ใช่บ้านของหมู่มารและเหล่าซาตาน  ที่นี่ไม่ต้องการหมู่มารและเหล่าซาตาน  คุณเป็นมาร เป็นซาตาน ดังนั้นจงไปเสีย!”  นี่เหมาะควรหรือไม่?  (เหมาะควร)  นี่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่าด้วยเหตุที่วุฒิภาวะของพวกเจ้ามีน้อย เพราะพวกเจ้าไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะสู้รบกับซาตาน เราจึงสอนวิธีการนี้ให้  ที่จริงแล้วนี่ไม่ดีเท่าใดนัก  วิธีการที่ควรจะเป็นก็คือ—ถ้าพวกเจ้าเข้าใจความจริงได้มาก มีความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้าและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง—เจ้าย่อมสามารถหักล้างพวกเขาได้ และเจ้าย่อมหักล้างได้ทุกเรื่องจนพวกเขาละอายแก่ใจอย่างสิ้นเชิง แล้วในที่สุดพวกเขาก็กล่าวแก่ทุกคนว่า “ฉันไม่อาจรักษาความเชื่อของตนเอาไว้ได้ ฉันละอายเกินกว่าจะสู้หน้าพวกคุณได้  ฉันเป็นมาร เป็นซาตาน ฉันจะไปจากคริสตจักรเอง”  ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าไม่มีความสามารถเช่นนี้ พวกเจ้าก็ควรรับมือคนที่มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดด้วยวิธีการที่เราเพิ่งสอนพวกเจ้าไป

ทีนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วใช่ไหมว่าควรจัดการคนที่มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดในคริสตจักรอย่างไร?  คราวนี้พวกเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณดูคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดกันได้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  วาจาชนิดที่สำคัญในการแพร่มโนคติอันหลงผิดมีอะไรบ้าง?  ชนิดหนึ่งนั้นเพ่งเล็งพระวจนะของพระเจ้า อีกชนิดหนึ่งเพ่งเล็งพระราชกิจของพระเจ้า ส่วนอีกชนิดก็เพ่งเล็งพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า  วาจาเหล่านี้มีตั้งแต่ชนิดที่เบา—ได้แก่ ความคิดฝันและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า—ไปจนถึงชนิดที่ร้ายแรง เช่น การตัดสิน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทพระเจ้า  นอกเหนือจากนี้ยังมีความเห็นเชิงลบของผู้คนที่ไม่ยอมรับ—เป็นการกล่าวสิ่งต่างๆ เช่น คำพร่ำบ่น การท้าทาย และความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  สรุปแล้ว ถ้อยคำที่แพร่มโนคติอันหลงผิดล้วนมีธรรมชาติที่ท้าทาย ตัดสิน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทพระเจ้าทั้งสิ้น ผลสืบเนื่องที่เกิดจากถ้อยคำเหล่านี้ก็คือการทำให้ผู้คนระแวงและระแวดระวังพระเจ้า เข้าใจพระองค์ผิดและพาตัวออกห่างจากพระองค์ ถึงขั้นปฏิเสธพระองค์  สิ่งเหล่านี้ควรใช้วิจารณญาณดูออกโดยง่าย

ค. หลักธรรมและเส้นทางแก้ไขมโนคติอันหลงผิด

ยังมีบางสิ่งเกี่ยวกับการแพร่มโนคติอันหลงผิดที่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมกัน  บางคนกล่าวว่า “ขณะใช้ชีวิตคริสตจักร เมื่อเป็นเรื่องของการแพร่มโนคติอันหลงผิด พวกเราต้องลงมือเปิดโปง ชำแหละ และควบคุมเอาไว้  อย่างไรก็ดี ระหว่างที่เชื่อในพระเจ้า พวกเรามีแนวโน้มที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิดต่างๆ นานา เรื่องนี้เหลือวิสัยที่พวกเราจะควบคุมได้  ดังนั้นในเรื่องของมโนคติอันหลงผิด พวกเราควรใช้เส้นทางปฏิบัติแบบใด เพื่อให้ตนเองสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และไม่ก่อให้เกิดการรบกวนและขัดขวางขณะใช้ชีวิตคริสตจักร ส่งผลเสียต่อผู้อื่น หรือทำให้ชีวิตของผู้อื่นเกิดการสูญเสีย?  วิธีปฏิบัติตนที่เหมาะควรนั้นเป็นเช่นไร?”  การที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเป็นข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนกล่าวว่า “มีแต่คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิด”  ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่?  นี่ถูกเพียงบางส่วนเท่านั้น  คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็อาจเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้เป็นครั้งคราวเช่นกันเมื่อพวกเขาพบเจอสถานการณ์ที่พิเศษ เพราะก่อนที่ผู้คนจะเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า และก่อนที่พวกเขาจะรู้จักพระเจ้านั้น พวกเขาย่อมจะเกิดมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็คือแนวคิดบางอย่างของมนุษย์ที่คลาดเคลื่อนและไม่เป็นไปตามความจริง  มโนคติอันหลงผิดบางอย่างอาจตรงตามหลักศีลธรรม ปรัชญา วัฒนธรรมดั้งเดิม ทฤษฎีทางจริยธรรม และอื่นๆ และดูภายนอกอาจเหมือนว่าแนวคิดเหล่านี้ถูกต้อง  อย่างไรก็ดี แนวคิดเหล่านี้กลับไม่สอดคล้องกับความจริง และรังแต่จะขัดแย้งกับความจริงเท่านั้น  นี่คือข้อเท็จจริง  ผู้คนควรเผชิญมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อย่างไร?  ก่อนที่ผู้คนจะไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็มีมโนคติอันหลงผิดมากมายอยู่กับตัวเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นมโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่กับตัว  ระหว่างที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง ในตัวพวกเขาย่อมจะเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นมาใหม่มากมายทีเดียวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและบริบทต่างๆ นี่คือมโนคติอันหลงผิดที่ได้รับมา  มโนคติอันหลงผิดทั้งสองชนิดนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนจำต้องเผชิญในการเดินทางของตนซึ่งก็คือการเชื่อในพระเจ้า  แล้วมีหนทางแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบ้างหรือไม่?  มีเส้นทางปฏิบัติหรือไม่?  บ้างก็กล่าวว่า “เรื่องนี้จัดการได้ง่าย  พวกเราสามารถขบถต่อมโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่กับตัวได้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจมโนคติเหล่านี้  พวกเราแน่ใจว่าระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริง มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและถูกกำจัดออกไปพร้อมกับที่พวกเราเข้าใจความจริง  ส่วนมโนคติอันหลงผิดที่ได้รับมานั้น พวกเราพึ่งพาการแก้ไขของพระเจ้า พวกเราจึงไม่ถูกมโนคติเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้เช่นกัน  ฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้ พวกเราจึงยังไม่เกิดมโนคติอันหลงผิดในหัวใจ ที่สามารถนำไปสู่สิ่งต่างๆ เช่น การไม่ยอมรับ การกล่าวโทษ หรือการหมิ่นประมาทพระเจ้า”  วิธีปฏิบัติเช่นนี้ วิธีเผชิญหน้าและจัดการมโนคติอันหลงผิดเช่นนี้เป็นอย่างไร?  สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดได้หรือไม่?  มีข้อเสียหรือไม่?  นี่ใช่ท่าทีเชิงรุกที่เป็นบวกต่อมโนคติอันหลงผิดหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ท่าทีเช่นนี้ให้ผลบวกต่อผู้คนในทางใดบ้างหรือไม่?  ถ้าวิธีที่เจ้าใช้นั้นเฉยเมยคือเจ้าเมินมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ เก็บเอาไว้ในหัวใจส่วนที่ลับตาที่สุด เหยียบเอาไว้ อธิษฐานทุกครั้งที่มันผุดขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ถือว่าแก้ไขแล้ว เมื่อใดที่มโนคติเหล่านี้แสดงตัวออกมาอีก เจ้าก็รับมือแบบเดิม หลังจากนั้นก็ไม่นึกถึงและทำเหมือนว่านี่ไม่ใช่ปัญหา เชื่อไปว่า “ไม่ว่าอย่างไร พระเจ้าที่ฉันเชื่อก็ยังคงเป็นพระเจ้าของฉัน ฉันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า และพระเจ้าก็ยังคงเป็นพระผู้สร้างของฉัน นี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”—การแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเช่นนี้ใช่วิธีที่มีประสิทธิผลที่สุดหรือไม่?  สัมฤทธิ์ผลที่เป็นบวกหรือไม่?  การปฏิบัติเช่นนี้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่ต้นเหตุได้อย่างรอบด้านหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  ไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จะใหญ่หรือเล็ก มากหรือน้อย ตราบใดที่ยังมีอยู่ในหัวใจของผู้คน ก็ย่อมจะมีผลลบต่อการเข้าสู่ชีวิตและสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้า ก่อให้เกิดการรบกวน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนอ่อนแอ เมื่อพวกเขาเผชิญสภาพแวดล้อมที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่มีเส้นทางปฏิบัติ และไม่รู้ว่าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร และเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนนั้นไม่มีหวังในความรอด มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ย่อมจะผุดขึ้นมาในตัวพวกเขาอย่างรวดเร็ว ครอบงำความคิดของพวกเขา ยึดครองหัวใจ และอาจถึงกับส่งผลต่อการที่พวกเขาจะอยู่หรือจากไป ทั้งยังมีอิทธิพลต่อเส้นทางที่พวกเขาเลือก  อาจเป็นไปได้ว่ามีมโนคติอันหลงผิดที่เจ้าไม่เคยสนใจและตัวมันเองก็ไม่เคยส่งผลต่อเจ้าหรือพาเจ้าล้ม—เจ้าจึงเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้านั้นเป็นนายของมัน เจ้าสามารถควบคุมมันได้—แต่พอมีประสบการณ์กับความล้มเหลวบางอย่าง ถูกปลดหรือถูกกำจัดออกไป หรือถูกพระเจ้าบ่มวินัยและสั่งสอนอย่างหนัก หรือแม้ในยามที่เจ้ารู้สึกเหมือนว่าเจ้านั้นตกลงไปในบาดาลลึกเสียแล้ว ถึงเวลานั้น มโนคติอันหลงผิดนั้นๆ ก็ไม่ได้เป็นเพียงของประดับตัวเจ้าอีกต่อไป  ต่อให้เจ้าไม่สนใจ มันก็สามารถรบกวนและชักพาความคิดของเจ้าให้หลงผิดได้ ถึงกับครอบงำความคิดและมุมมองของเจ้า ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า  ถ้าเจ้าไม่มีวิธีการหรือหลักปฏิบัติที่เหมาะควรไว้รับมือมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ หรือไม่เข้าใจมโนคติเหล่านี้อย่างชัดเจน มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็จะส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตหรือตัวเลือกเฉพาะหน้าของเจ้าเป็นระยะ  และอาจถึงกับมีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าและท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า  ดังนั้นเวลาเผชิญหน้ามโนคติอันหลงผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริบทใดก็ตาม ผู้คนควรใช้ท่าทีและวิธีการเช่นใดมาเผชิญหน้าและจัดการมโนคติเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงภัยและสัมฤทธิ์ผลบวกที่เป็นประโยชน์?  นี่เป็นเรื่องที่ควรสามัคคีธรรมให้ชัดเจน

ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังย่อมมีเจตจำนงเสรีและความคิดที่เป็นอิสระ  ไม่ว่าพวกเขาจะมีการศึกษาหรือไม่ มีขีดความสามารถเช่นใด หรือเป็นเพศใด ตราบใดที่ผู้คนมีความคิด พวกเขาย่อมจะเกิดมโนคติอันหลงผิด  ถ้ามโนคติอันหลงผิดหนึ่งๆ ครอบงำอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า เจ้าก็จะท้าทายพระเจ้าเพราะมโนคติอันหลงผิดข้อนี้  ดังนั้นจึงต้องแก้ปัญหาเรื่องผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด  คนที่เกิดมโนคติอันหลงผิดไม่ได้มีแต่คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดเท่านั้น เพียงแต่ฝ่ายหลังแพร่มโนคติอันหลงผิดของตน ยืนคัดค้านพระเจ้า เผยแพร่ทัศนะและถ้อยคำที่ตัดสินพระองค์โดยไม่สนใจสิ่งใด  แต่ใช่หรือที่บอกว่าคนที่ไม่แพร่มโนคติอันหลงผิดย่อมไม่มีสิ่งเหล่านี้?  ทุกคนล้วนมีมโนคติอันหลงผิด นี่เป็นข้อเท็จจริง  ความแตกต่างอยู่ตรงที่คนที่จงใจแพร่มโนคติอันหลงผิดมีแก่นแท้ธรรมชาติที่รังเกียจความจริงอยู่ในตัว  ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ยอมรับความจริงและถึงกับเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดของตนนั้นถูกต้องและล้วนสอดคล้องกับความจริงทั้งสิ้น ถ้ามโนคติอันหลงผิดของพวกเขาขัดแย้งกับความจริง พวกเขาย่อมเลือกที่จะยอมรับมโนคติอันหลงผิดของตนแทนที่จะยอมรับความจริง  พวกเขาล้มเหลวตรงนี้และนี่เองคือสาเหตุที่มีการควบคุมและกล่าวโทษพวกเขา  แล้วเมื่อผู้คนธรรมดาทั่วไปเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นมา เหตุใดจึงไม่กล่าวโทษพวกเขา?  นี่เป็นเพราะพวกเขาส่วนใหญ่พูดและทำด้วยความมีเหตุผล และรู้อยู่แก่ใจว่ามโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ไม่สอดคล้องกับความจริงและไม่ถูกต้อง แม้พวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนได้ทันที แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะละทิ้ง  ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเขาเลือกที่จะยอมรับความจริง มโนคติอันหลงผิดในตัวพวกเขาจึงถูกความจริงเข้าแทนที่และได้รับการแก้ไข พวกเขาปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนและไม่อยู่ใต้อิทธิพล การควบคุม หรือการครอบงำของสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป  ดังนั้น แม้ผู้คนเหล่านี้จะมีมโนคติอันหลงผิด แต่พวกเขาก็ไม่แพร่มันออกไป  พวกเขายังคงสามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ ติดตามพระเจ้าได้ตามปกติ ยอมรับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า นบนอบอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้า และนบนอบความรอดของพระเจ้าได้  พวกเขารับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าตนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระเจ้าก็คือพระผู้สร้าง  ไม่ว่าพวกเขาจะเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเช่นใดเอาไว้ในหัวใจ พวกเขาก็สามารถดำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า ดำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง ยับยั้งชั่งใจไม่ให้ทิ้งหน้าที่ของตน ยับยั้งชั่งใจไม่ให้ละทิ้งพระนามของพระเจ้า และความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง  แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่เคยแก้ไขมโนคติอันหลงผิด มโนคติเหล่านี้ก็สามารถทำลายผู้คนและพาให้พวกเขาย่อยยับได้  เพราะฉะนั้น พวกเราจึงยังคงต้องสามัคคีธรรมกันว่าควรเผชิญหน้าและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดอย่างไรจึงจะดีที่สุด

พวกเจ้าคิดว่าสิ่งใดแก้ไขง่ายกว่ากัน มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีอยู่กับตัวตั้งแต่ก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า หรือมโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นเพราะสภาพแวดล้อมและบริบทพิเศษหลังจากที่ผู้คนมาเชื่อในพระเจ้า?  (มโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่กับตัวแก้ไขง่ายกว่า)  ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระองค์ในตอนแรกแก้ไขง่ายกว่า ส่วนมโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าหลังจากที่มาเชื่อในพระองค์แล้วแก้ไขไม่ง่ายเท่า—นี่เป็นถ้อยแถลงเชิงทฤษฎี แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง  คำว่า “เชิงทฤษฎี” หมายความอย่างไร?  หมายความว่าผู้คนมีข้อสรุปเช่นนี้ตามหลักปรัชญาและเหตุผล  หลังจากที่ผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริงเกี่ยวกับนิมิตเป็นครั้งแรก พวกเขาก็ทิ้งและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบางอย่างของตน  ในความเป็นจริง การแก้ไขนี้สัมฤทธิ์ในระดับคำสอนเท่านั้น ดูภายนอกเหมือนว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว แต่มโนคติอันหลงผิดมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้คนติดตามพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีอยู่กับตัว  ในทางทฤษฎีแล้ว ระหว่างมโนคติอันหลงผิดสองชนิดนี้ มโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่กับตัวแก้ไขง่ายกว่า แต่ในความเป็นจริง ตราบใดที่ผู้คนสามารถยอมรับความจริงและรักสิ่งที่เป็นบวกได้ ตราบใดที่พวกเขาสัมฤทธิ์ความเข้าใจในความจริงได้ ก็ย่อมแก้ไขมโนคติอันหลงผิดทั้งสองชนิดนี้ได้ง่าย  ตัวอย่างเช่น พวกเจ้าบางคนบอกว่ามโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่กับตัวนั้นแก้ไขง่ายกว่า แต่เจ้าอาจพบเจอบางคนที่มีความเข้าใจบิดเบี้ยว ดื้อรั้นมาก และจับจ้องแต่รายละเอียดที่ไม่สำคัญ คนที่สืบค้นพระคัมภีร์ คัมภีร์โบราณทางฝ่ายวิญญาณ และการตีความของผู้ให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ผู้คนเหล่านี้นำสิ่งที่ตนค้นพบมากล่าวซ้ำให้เจ้าฟัง และไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง  พวกเขาไม่อาจยอมรับคำเทศนาที่บริสุทธิ์ ความจริง หรือถ้อยคำที่ถูกต้องได้ เวลาฟังสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงฟังไม่เข้าหู  นัยหนึ่ง ความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขามีปัญหา อีกนัยหนึ่ง พวกเขาไม่รักสิ่งที่เป็นบวกหรือความจริง กลับรักที่จะดื้อรั้นและจับจ้องแต่รายละเอียดที่ไม่สำคัญ ชอบเล่นกับภาษา ชอบทฤษฎีและศาสนศาสตร์  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ดูจากข้อเท็จจริง อุปนิสัย และความชอบส่วนตัวของผู้คนดังกล่าวแล้ว พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง  มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีอยู่กับตัวนั้นแท้จริงแล้วตื้นเขินและผิวเผินมาก จึงแก้ไขได้ง่ายมาก  ถ้าคนคนหนึ่งมีการคิดอ่านที่ปกติ มีความสามารถที่จะทำความเข้าใจตามปกติ เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเรื่องนิมิต ตราบใดที่พวกเขาเข้าใจ พวกเขาย่อมปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้ง่าย  แต่มีผู้คนประเภทหนึ่งที่ไม่มีการคิดอ่านที่ปกติ ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ และไม่ยอมรับความจริง  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  เพราะฉะนั้น มโนคติอันหลงผิดของผู้คนดังกล่าวจึงแก้ยาก  ถ้าคนคนหนึ่งมีเหตุผลที่ปกติและสามารถยอมรับความจริง เช่นนั้นหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดมโนคติอันหลงผิดเช่นใดเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมหรือบริบทเช่นใด พวกเขาก็ไม่โต้เถียงพระเจ้า  พวกเขาย่อมกล่าวว่า “ฉันเป็นมนุษย์ ฉันมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม การคิดอ่านและการกระทำของฉันอาจผิดได้  พระเจ้าคือความจริง พระเจ้าไม่เคยผิด  ไม่ว่าความคิดของฉันจะมีเหตุผลอย่างไร ก็ยังคงเป็นความนึกคิดของมนุษย์ เกิดจากมนุษย์ และไม่ใช่ความจริง  ถ้าความนึกคิดขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าความคิดเหล่านี้จะมีเหตุผลอย่างไร ก็ย่อมผิด”  ตอนนี้พวกเขาอาจไม่รู้แน่ว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ผิดตรงไหน แล้วพวกเขาปฏิบัติเช่นไร?  พวกเขาก็ปฏิบัติเรื่องการนบนอบ ไม่ดื้อรั้น ไม่จับจ้องแต่รายละเอียดบางอย่าง และปล่อยให้เรื่องราวผ่านไป เชื่อว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงเผยเรื่องราวออกมา  บางคนถามพวกเขาว่า “แล้วถ้าพระเจ้าไม่ทรงเผย จะเป็นเช่นใด?”  พวกเขาก็ตอบว่า “เช่นนั้นฉันก็จะนบนอบตลอดไป  พระเจ้าไม่เคยผิด และสิ่งที่พระเจ้าทำก็ไม่เคยผิด  ถ้าสิ่งที่พระเจ้าทำไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าผิด แต่หมายความว่ามนุษย์ไม่สามารถตระหนักรู้หรือเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทำได้  เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้คนควรทำมากที่สุดก็คือไม่พินิจพิเคราะห์ ไม่หมกมุ่นอยู่กับมโนคติอันหลงผิดของตน และไม่ใช้มโนคติอันหลงผิดของตนไปจับผิดพระเจ้า ไม่ใช้มโนคติอันหลงผิดเป็นเหตุผลและข้ออ้างที่จะไม่นบนอบพระเจ้าและกลับท้าทายพระองค์”  พวกเขาจัดการมโนคติอันหลงผิดของตนกันอย่างนี้  การปฏิบัติเช่นนี้ใช่การปฏิบัติความจริงหรือไม่?  แท้จริงแล้วนี่คือการปฏิบัติความจริง  เมื่อพวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิด พวกเขาจะไม่นำพระเจ้าไปเปรียบเทียบกับมโนคติเหล่านั้นหรือใช้มโนคติของตนมาพินิจพิเคราะห์พระเจ้า ตรวจสอบยืนยันว่าเป็นพระเจ้าจริงหรือไม่ หรือว่าพระองค์มีอยู่จริงหรือไม่  แต่พวกเขากลับปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตน พากเพียรที่จะยอมรับความจริงและรู้จักพระเจ้า  แต่แม้พวกเขาจะพยายามอย่างที่สุดที่จะรู้จักพระเจ้า พวกเขาก็ไม่สามารถรู้จักพระองค์อยู่ดี  แล้วพวกเขาทำเช่นใด?  พวกเขายังคงนบนอบ  พวกเขากล่าวว่า “พระเจ้าไม่เคยผิด  พระเจ้าเป็นพระเจ้าเสมอ  พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวที่แสดงความจริง  พระเจ้าคือผู้ให้กำเนิดความจริง”  เวลารับมือมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ก่อนอื่นพวกเขาวางพระเจ้าไว้ในฐานะของพระเจ้าและวางตนไว้ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  เพราะฉะนั้น ต่อให้พวกเขายังไม่ได้วางมโนคติอันหลงผิดของตนหรือยังไม่ได้แก้ไขมโนคติที่มี ท่าทีที่พวกเขานบนอบพระเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป  ท่าทีนี้คุ้มครองพวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขายังคงเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเบื้องหน้าพระองค์  ดังนั้นมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเช่นนี้แก้ง่ายหรือไม่?  (ง่าย)  นี่สัมฤทธิ์ได้อย่างไร?  สมมุติว่าเวลาเผชิญสถานการณ์บางอย่าง พวกเขาพูดจาดังนี้ว่า “การพูดว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทำคือความจริงและถูกต้อง พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และไม่มีทางผิดพลาด—นั่นไม่ถูกต้องไม่ใช่หรือ?  แม้จะกล่าวกันว่าพระเจ้าไม่มีทางผิดพลาด แต่นี่ก็เป็นเพียงถ้อยแถลงทางทฤษฎีเท่านั้น  อันที่จริงมีบางสิ่งที่พระเจ้าทำซึ่งไม่สอดคล้องและไม่คำนึงถึงความรู้สึกของมนุษย์  ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก  สำหรับเรื่องที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าใดนี้ ฉันไม่จำเป็นต้องนบนอบหรือยอมรับ จริงไหม?  แม้ว่าฉันจะไม่ได้ปฏิเสธพระนามของพระเจ้าหรืออัตลักษณ์ของพระองค์ แต่มโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นในตัวฉันตอนนี้ก็ทำให้ฉันมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้นและเข้าใจพระเจ้าดีขึ้น—พระเจ้าทำบางอย่างผิดได้เช่นกันและมีบางครั้งที่พระองค์ก็ผิดพลาด  ดังนั้น แต่นี้ไปเวลาผู้คนบอกว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม เพียบพร้อม และบริสุทธิ์ ฉันจะไม่เชื่อ  ฉันจะใส่เครื่องหมายคำถามเล็กๆ ท้ายถ้อยแถลงเหล่านี้  แม้พระเจ้าจะเป็นพระผู้สร้าง และฉันจะสามารถยอมรับอธิปไตยของพระองค์ได้ แต่ในอนาคตฉันจำเป็นต้องเลือกยอมรับ จะนบนอบอย่างสับสนและมืดบอดไม่ได้  ถ้าฉันนบนอบผิดจะเป็นเช่นไร?  ฉันจะไม่ทนทุกข์กับการสูญเสียหรอกหรือ?  ฉันไม่อาจเป็นคนที่นบนอบอย่างเบาปัญญาได้”  ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าและมโนคติอันหลงผิดของตนด้วยท่าทีเช่นนี้ พวกเขาจะปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้ง่ายหรือไม่?  การปฏิบัติเช่นนี้ใช่การปฏิบัติความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  สัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้ามีปัญหาไปแล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาพินิจพิเคราะห์พระเจ้าตลอดเวลามิใช่หรือ?  พระเจ้ากลายเป็นผู้ที่พวกเขาพินิจพิเคราะห์แทนที่จะเป็นองค์อธิปัตย์ผู้ปกครองชะตากรรมของพวกเขา  แม้พวกเขาจะยอมรับว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง แต่สิ่งที่พวกเขาทำอยู่กลับไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่และภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อพระผู้สร้างตามฐานะดั้งเดิมของตนที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง กลับยืนคัดค้านพระผู้สร้าง พินิจพิจารณาพระผู้สร้าง และวิเคราะห์การกระทำและพฤติกรรมของพระผู้สร้าง เลือกว่าจะนบนอบและยอมรับหรือไม่ตามดุลยพินิจของตนเอง  ท่าทีและวิธีปฏิบัติเช่นนี้ใช่การสำแดงซึ่งคนที่ยอมรับความจริงควรมีหรือไม่?  มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาสามารถแก้ไขได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ย่อมจะไม่มีวันแก้ไขได้  นี่เป็นเพราะสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้านั้นบิดเบี้ยวไปแล้ว ไม่ใช่สัมพันธภาพที่ปกติ ไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง  พวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนวัตถุไว้พินิจพิเคราะห์ คอยพินิจพิเคราะห์พระองค์อย่างต่อเนื่อง  พวกเขายอมรับว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้องและดีงาม แต่ในใจกลับไม่ยอมรับและนึกเถียงพระเจ้าในเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์หรือไม่ถูกใจมนุษย์ และกลายเป็นคนแปลกหน้ากับพระเจ้า  คนแบบนี้ใช่คนที่ยอมรับความจริงหรือไม่?  ดูภายนอก ยามที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ และมโนคติอันหลงผิดอันใดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็สามารถนบนอบพระวจนะที่พระเจ้าตรัสได้  แต่พอพวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดแล้ว การนบนอบของพวกเขากลับหายวับ มองไปทางใดก็ไม่เห็น และไม่อาจทำได้  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้?  ชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ปฏิบัติความจริง  พวกเขาไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือผู้ให้กำเนิดความจริงหรือเป็นความจริง  ไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด ก็ยากที่ผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงจะปล่อยมือหรือแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน

ดูจากเนื้อหาของสามัคคีธรรมข้างต้นแล้ว พวกเจ้าคิดว่ามโนคติอันหลงผิดจำพวกใดแก้ไขง่ายกว่ากัน?  นี่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์  สำหรับคนที่ยอมรับความจริงได้ มีเหตุผล และเป็นคนที่ถูกควร มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาย่อมแก้ไขง่ายไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม  ส่วนคนที่ยอมรับความจริงไม่ได้นั้น มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ยากที่จะแก้ไข  บางคนเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว แต่แม้กระทั่งตอนนี้สิ่งที่พวกเขากล่าวกลับไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับความจริง ทุกคำเป็นเพียงวาจา คำสอน และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้น  พวกเขาไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย—แล้วพวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนเมื่อมันเกิดขึ้นมาได้หรือไม่?  เรื่องนี้พูดยาก  ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ก็จะไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตน  การที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้  ความรู้สึกนึกคิดของทุกคนสามารถก่อเกิดมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นมโนคติที่มีอยู่กับตัวหรือได้รับมา  หัวใจของทุกคนย่อมมีมโนคติอันหลงผิดไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม  ดังนั้นควรทำอย่างไร?  ปัญหาข้อนี้แก้ไขไม่ได้เลยกระนั้นหรือ?  สามารถแก้ไขได้ มีหลักธรรมให้จดจำอยู่ไม่กี่ข้อ  หลักธรรมเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งยวด  เมื่อเจ้าเผชิญสถานการณ์ดังกล่าว ก็จงปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้เถิด  หลังจากปฏิบัติไประยะหนึ่ง เจ้าก็จะเห็นผล และจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อมีมโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมโนคติอันหลงผิดในเรื่องใด ก่อนอื่นจงใคร่ครวญและวิเคราะห์อยู่ในใจว่าการคิดอ่านเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่  ถ้าเจ้ารู้สึกชัดเจนว่าการคิดอ่านเช่นนี้ไม่ถูกต้องและบิดเบี้ยว ทั้งยังหมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นก็จงอธิษฐานทันที ขอให้พระเจ้าประทานความรู้แจ้งและชี้แนะให้เจ้าตระหนักรู้แก่นแท้ของปัญหานี้ หลังจากนั้นก็จงนำความเข้าใจของเจ้าไปเสวนาในที่ชุมนุม  ระหว่างที่กำลังได้รับความเข้าใจและมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ จงมุ่งแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้า  ถ้าการปฏิบัติเช่นนี้ไม่สัมฤทธิ์ผลที่ชัดเจน เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมนี้กับใครสักคนที่เข้าใจความจริง พากเพียรให้ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นและหนทางแก้ไขจากพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยพระวจนะของพระเจ้าและประสบการณ์ของเจ้าเอง เจ้าจะค่อยๆ ตรวจสอบยืนยันได้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง และเจ้าจะได้รับผลอันยิ่งใหญ่ในเรื่องของการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง  ด้วยการยอมรับและมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจดังกล่าวของพระเจ้า ในที่สุดเจ้าก็จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าขึ้นมาบ้าง ทำให้เจ้าสามารถแก้ไขและปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้  เจ้าจะไม่ระแวดระวังหรือเข้าใจพระเจ้าผิดอีกต่อไป และจะไม่มีข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผล  นี่อยู่ในส่วนของมโนคติอันหลงผิดที่แก้ไขได้ง่าย  แต่ยังมีมโนคติอันหลงผิดอีกชนิดหนึ่งซึ่งยากที่ผู้คนจะเข้าใจและแก้ไขได้  สำหรับมโนคติอันหลงผิดที่ยากแก่การแก้ไข เจ้าจำเป็นต้องรักษาหลักธรรมข้อหนึ่งเอาไว้คือ อย่าแสดงหรือแพร่มโนคติเหล่านั้นออกไป เพราะการแสดงมโนคติอันหลงผิดเช่นนั้นออกไปไม่เป็นผลดีต่อผู้อื่น แต่เป็นการท้าทายพระเจ้า  ถ้าเจ้าเข้าใจธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการแพร่มโนคติอันหลงผิด เจ้าก็ควรประเมินเรื่องนั้นให้ชัดเจนด้วยตนเองและงดเว้นจากการพูดจาแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง จึงจะเป็นการดีที่สุด  ถ้าเจ้ากล่าวว่า “รู้สึกแย่มากที่ต้องสะกดกลั้นคำพูดของตัวเองเอาไว้เวลาอยู่ในคริสตจักร ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองสามารถระเบิดออกมาได้” เจ้าก็ควรคำนึงอยู่ดีว่าการแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจริงหรือไม่  ถ้าไม่เป็นประโยชน์และสามารถพาให้ผู้อื่นมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือถึงกับท้าทายและตัดสินพระเจ้า เจ้าก็กำลังทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่มิใช่หรือ?  เจ้ากำลังทำร้ายผู้คน นี่ไม่ต่างจากการแพร่โรคระบาด  ถ้าเจ้ามีเหตุผลจริง เจ้าก็ควรสู้ทนความเจ็บปวดเสียเองแทนที่จะแพร่มโนคติอันหลงผิดและทำร้ายผู้อื่น  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าพบว่าการสะกดกลั้นวาจาของตนเอาไว้เป็นเรื่องทุกข์ทรมาน เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้า  ถ้าปัญหาได้รับการแก้ไข นั่นย่อมเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าตัดสินและเข้าใจพระเจ้าผิดเพราะมโนคติอันหลงผิดของตนแม้กระทั่งในยามที่เจ้าอธิษฐานถึงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนเท่านั้น  เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีความคิดเหล่านี้ และอยากปล่อยมันไป แต่กลับทำไม่ได้  ได้โปรดบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด เผยข้าพระองค์ออกมาทางสภาพแวดล้อมต่างๆ และเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์ตระหนักว่ามโนคติอันหลงผิดของข้าพระองค์นั้นผิด  ไม่ว่าจะทรงบ่มวินัยอย่างไร ข้าพระองค์ก็เต็มใจน้อมรับ”  วิธีคิดแบบนี้ย่อมถูกต้อง  หลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยวิธีคิดเช่นนี้แล้ว เจ้าย่อมจะคลายความรู้สึกอึดอัดลงมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าอธิษฐานและแสวงหาต่อไป ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า เจ้าย่อมเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และหัวใจของเจ้าก็จะสว่างไสว เจ้าจะไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป  ถึงเวลานั้นปัญหาย่อมจะได้รับการแก้ไขใช่หรือไม่?  มโนคติอันหลงผิด การไม่ยอมรับ และความเป็นกบฏที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ย่อมจะอันตรธานไปเป็นส่วนใหญ่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องกล่าวมโนคติเหล่านั้นออกไป  ถ้าวิธีนี้ยังไม่ได้ผล ยังไม่อาจแก้ปัญหาได้หมด ก็จงหาใครสักคนที่มีประสบการณ์มาช่วยเจ้าแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่มี  ให้พวกเขาหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่เจ้ามีมาสักสองสามบทตอน แล้วจงอ่านบทตอนเหล่านั้นสักหลายสิบหรือหลายร้อยเที่ยว บางทีมโนคติอันหลงผิดของเจ้าอาจจะสลายไปหมด  บางคนอาจจะกล่าวว่า “ถ้าฉันกล่าวมโนคติอันหลงผิดออกมาขณะชุมนุมกับพี่น้องชายหญิง นั่นย่อมจะกลายเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด ดังนั้นฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก  แต่การสะกดกลั้นเอาไว้ก็ทำให้รู้สึกแย่มาก  ฉันพูดถึงมโนคติเหล่านั้นให้ครอบครัวฟังได้ไหม?”  ถ้าคนในครอบครัวของเจ้าเป็นพี่น้องชายหญิงร่วมความเชื่อเช่นกัน การกล่าวมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ออกมาโดยมีพวกเขาอยู่ด้วยย่อมจะรบกวนพวกเขาด้วย  นี่เหมาะควรหรือไม่?  (ไม่)  ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดออกมาจะเป็นผลร้ายต่อผู้อื่น ทำร้ายและชักพาให้พวกเขาหลงผิด เจ้าก็ต้องไม่พูดออกมาเป็นอันขาด  แต่จงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อแก้ปัญหานี้แทน  ตราบใดที่เจ้าอธิษฐาน กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจที่เปี่ยมศรัทธา เป็นหัวใจที่หิวและกระหายความชอบธรรม ก็ย่อมจะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนได้  พระวจนะของพระเจ้ามีความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่ง สามารถแก้ปัญหาอันใดก็ได้  ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ เต็มใจปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ และสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้หรือไม่เท่านั้น  ถ้าเจ้าเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้ารวบรวมความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่ง เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา  หลังจากที่อธิษฐานไประยะหนึ่ง ถ้าเจ้ายังคงไม่รู้สึกว่าได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าและไม่ได้รับพระวจนะที่ชัดเจนว่าควรทำอย่างไรจากพระเจ้า แต่โดยไม่ทันรู้ตัว มโนคติอันหลงผิดของเจ้ากลับไม่ส่งผลในตัวเจ้าอีกต่อไป ไม่รบกวนชีวิตของเจ้า เลือนหายไปเรื่อยๆ ไม่ส่งผลต่อสัมพันธภาพตามปกติที่เจ้ามีกับพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยพื้นฐานแล้วมโนคติอันหลงผิดนี้ย่อมได้รับการแก้ไขแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  เส้นทางปฏิบัติก็เป็นเช่นนี้

คนที่ไม่เข้าใจความจริง ต้องจดจำให้ได้เสียก่อนว่าเมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิด ก็ควรแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติเหล่านั้น  ต้องไม่แพร่มโนคติหรือพูดจาไม่ระวังปากเป็นอันขาดว่า “ฉันมีเสรีภาพที่จะพูด  ถึงอย่างไรก็เป็นปากของฉันเอง อยากพูดอะไร อยากพูดกับใคร และอยากพูดที่ไหนก็ย่อมพูดได้”  การพูดจาเช่นนี้ผิด  วาจาที่ดีหรือถูกต้องบางอย่างเมื่อพูดออกมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่วาจาที่เป็นมโนคติอันหลงผิดหรือเป็นการทดลองของซาตานนั้น เมื่อพูดออกมาก็อาจส่งผลที่ไม่อาจประมาณได้  ดูจากผลสืบเนื่องเหล่านี้แล้ว ถ้าเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดซึ่งเจ้าดึงดันที่จะกล่าวออกมา รู้สึกว่าทำเช่นนั้นแล้วรู้สึกดีและทำให้ตนเองเป็นสุข ก็ต้องระบุว่าการกระทำของเจ้าคือการทำชั่ว พระเจ้าจะทรงบันทึกไว้เล่นงานเจ้า  เหตุใดจึงจะบันทึกไว้เล่นงานเจ้า?  มีการบอกกล่าววิธี เส้นทาง และหลักปฏิบัติมากมายที่เป็นบวกให้แก่เจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ไม่เลือกสิ่งเหล่านั้น กลับเลือกเส้นทางที่นำภัยมาให้ผู้คน—นี่จงใจมิใช่หรือ?  เมื่อเป็นเช่นนั้น เกินเหตุหรือไม่ที่เรียกการกระทำของเจ้าว่าการทำชั่ว?  (ไม่)  เจ้าสามารถเลือกที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยตนเองทุกประการผ่านทางประสบการณ์ การอธิษฐานถึงพระเจ้า และการแสวงหา แทนที่จะเอามโนคติอันหลงผิดของเจ้ามารบกวนและชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด  คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลควรเลือกทางนี้  แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เลือกทางนี้?  เหตุใดจึงเลือกทางที่ทำร้ายและเป็นภัยต่อผู้อื่น?  นี่คือสิ่งที่ซาตานทำมิใช่หรือ?  คนชั่วทำสิ่งที่เป็นภัยต่อผู้อื่นและตนเอง  ถ้าเจ้าทำเรื่องเช่นนั้นด้วย พระเจ้าย่อมเกลียดที่เจ้าทำเช่นนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าด้วยตนเอง และต้องมีเส้นทางที่จะปฏิบัติความจริง  ถ้าวิธีการรับมือมโนคติอันหลงผิดของเจ้าคือการแพร่ออกไปเพื่อทำร้ายและชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดโดยเจตนา รบกวนชีวิตคริสตจักร การเข้าสู่ชีวิต และสภาวะที่ปกติของพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นแล้วการกระทำของเจ้าก็เป็นการทำชั่ว  เวลาเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ คนเราควรเลือกสิ่งใด?  คนที่มีความเป็นมนุษย์และไล่ตามเสาะหาความจริงจะไม่เลือกหนทางที่ทำร้ายและชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด พวกเขาย่อมเลือกที่จะปฏิบัติและยึดมั่นในหลักธรรมเชิงรุกที่เป็นบวก มาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง และขอให้พระเจ้าช่วยแก้ปัญหาให้  บางคนกล่าวว่า “เวลาฉันขอให้พระเจ้าช่วย ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าความช่วยเหลือของพระองค์นั้นจับต้องไม่ได้และมองไม่เห็น  ฉันเลือกแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้คนแทนได้หรือไม่?”  ได้ เจ้าสามารถเลือกใครสักคนที่เข้าใจความจริงมากกว่าและมีวุฒิภาวะมากกว่าเจ้า คนที่เจ้าเชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาให้เจ้าได้โดยไม่ถูกมโนคติอันหลงผิดของเจ้ารบกวนและครอบงำจนกลายเป็นคนอ่อนแอ ใครสักคนที่เคยมีประสบการณ์กับปัญหาที่คล้ายคลึงกันมาแล้วและสามารถบอกเจ้าได้ว่าควรแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร—เส้นทางนี้ก็เหมาะควรเช่นกัน  ถ้าเจ้าเลือกใครสักคนที่ตามปกติแล้วเลอะเลือนเป็นอย่างยิ่งและไม่สามารถมองทะลุสิ่งใด แล้วพอพวกเขาได้ฟังเรื่องนี้ ก็สร้างความวุ่นวายทันที อยากป่าวประกาศมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นไปทุกที่และก่อให้เกิดการรบกวน อยากเลิกเชื่อ—เช่นนั้นการกระทำของเจ้าย่อมจะรบกวนชีวิตคริสตจักรไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ  เมื่อนั้นการกระทำของเจ้าก็จะถูกระบุว่าเป็นการทำชั่วมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะฉะนั้น ในเรื่องที่ว่าเจ้าควรจัดการมโนคติอันหลงผิดอย่างไร เจ้าต้องรอบคอบและระมัดระวัง ต้องไม่กระทำการในลักษณะที่เลอะเลือนหรือหุนหันพลันแล่น และต้องไม่ทำเหมือนว่ามโนคติอันหลงผิดคือความจริงเป็นอันขาด—ไม่ว่าความคิดของมนุษย์จะถูกต้องเพียงใดก็ไม่ใช่ความจริง  ทำเช่นนี้แล้ว เจ้าย่อมจะรู้สึกสงบลงมาก และมโนคติอันหลงผิดของเจ้าก็จะไม่อาจสร้างปัญหาได้  การมีมโนคติอันหลงผิดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว—ตราบใดที่เจ้าแสวงหาความจริง มโนคติเหล่านั้นย่อมจะได้รับการแก้ไขในที่สุด  บางคนกล่าวว่า “แต่มโนคติอันหลงผิดแก้ไม่ง่าย”  มโนคติอันหลงผิดบางอย่างแก้ไขยากโดยแท้ แล้วควรทำอย่างไร?  เรื่องนี้ง่าย  มโนคติอันหลงผิดบางอย่างในความนึกคิดและจิตใจของคนบางคนไม่เคยมีการแก้ไข  นี่เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แต่ไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดหนึ่งๆ จะแก้ยากเพียงใดก็ไม่ใช่ความจริงอยู่ดี  ตราบใดที่เจ้าเข้าใจประเด็นนี้ ก็ย่อมแก้ปัญหาได้ง่าย  ในที่นี้มีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่เราต้องบอกพวกเจ้าเอาไว้คือ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้ทุกคนต้องตระหนักรู้ทุกอย่างหรือมีความเข้าใจอันถ่องแท้ในทุกสิ่งที่พระองค์ทำ พระองค์ไม่ได้กำหนดว่าทุกคนต้องรู้ความจริงในเรื่องนั้นหรือรู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงกระทำการในวิถีทางบางอย่าง  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ พระองค์ไม่ได้ทรงกำหนดมาตรฐานเหล่านี้ให้แก่ผู้คน  ถ้าขีดความสามารถของเจ้าดีพอ เจ้าสัมฤทธิ์ความเข้าใจได้ในขั้นดี—เจ้าก็ทำให้ดีที่สุดก็พอ  ถ้าเจ้าไม่อาจเข้าใจได้ เมื่อเจ้าอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์ของเจ้าลงลึกไปเรื่อยๆ และเจ้าก็สั่งสมประสบการณ์มากขึ้น ความเข้าใจที่เจ้ามีในความจริงย่อมจะลงลึกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน และมโนคติอันหลงผิดของเจ้าก็จะลดน้อยลง  อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจเรื่องพิเศษบางอย่างและไม่เคยเข้าใจ  แล้วพระเจ้าทรงบังคับให้พวกเขาเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  พระองค์ไม่ทรงบังคับ พระเจ้าไม่ทรงปลูกฝังความเข้าใจให้แก่พวกเขาด้วยการบีบบังคับ  ตัวอย่างเช่น ท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างของพระเจ้ามีความล้ำลึกมากมายที่ผู้คนอยากรู้จัก แต่ไม่สามารถทำได้  อย่างไรก็ดี ในพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์กลับทรงมุ่งเน้นเฉพาะการแสดงความจริงเพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดเท่านั้น  พระองค์แทบไม่ตรัสถึงเรื่องอื่น และแม้ในยามที่พระองค์ตรัสถึงเป็นครั้งคราว ก็เป็นไปพอสังเขปเท่านั้น พระเจ้าไม่เคยตรัสอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ผู้คนฟังอย่างยืดยาว  เพราะเหตุใด?  เพราะผู้คนไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้  ในพระราชกิจที่พระเจ้าทำในตัวผู้คน ด้านหนึ่งพระองค์ทรงเผยแก่นนิสัยของพระองค์เองให้เห็น อีกด้านหนึ่งพระเจ้าย่อมมีพระดำริของพระองค์ แผนการของพระองค์ ที่มาและที่ไปของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ หนทางและวิธีการที่พระองค์ใช้ทรงพระราชกิจในตัวผู้คนต่างๆ หนทางและวิธีการที่พระองค์ทรงใช้ครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และอื่นๆ  พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าผู้คนต้องเข้าใจและเข้าสู่ความจริงทั้งปวง จึงจะถือว่าพวกเขาได้รับความรอดแล้ว  นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์เหลือเกิน!  วิธีที่พระองค์ทรงใช้กระทำการ ตรัส ทรงพระราชกิจ และครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งย่อมเผยพระอุปนิสัย แก่นแท้ อัตลักษณ์ และอื่นๆ ของพระองค์ไปเอง  แม้เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงเผยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเรียกร้องให้ผู้คนเข้าใจหรือสังเกตเห็นทั้งหมดนี้  นี่เป็นเพราะพระเจ้าย่อมจะเป็นพระเจ้าเสมอ และพระองค์ก็ทรงมหิทธิฤทธิ์ ส่วนมวลมนุษย์ทรงสร้างนั้นเล็กกระจิริดและไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าจึงมีความแตกต่างกันอย่างยิ่ง!  ดังนั้นจึงเป็นธรรมดามากที่ผู้คนจะเกิดมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยในเรื่องนี้ แต่เจ้ากลับจริงจังและดื้อรั้นที่จะจับจ้องแต่เรื่องนี้อยู่เสมอ  แนวทางนี้ใช้การไม่ได้  ถ้าเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีขีดความสามารถสูง ตราบใดที่เจ้าเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ย่อมจะได้รับการแก้ไขไปเอง  ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมความจริงกับเจ้า เจ้าก็ไม่ยอมรับและยึดถือมโนคติอันหลงผิดของตนอยู่เสมอ นี่ย่อมจะให้ผลเช่นใด?  ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นว่าต่อให้เจ้าลุถึงปลายทางชีวิตหรือไปถึงจุดที่พระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ เจ้าก็จะไม่ได้ความจริงไว้ แต่กลับจะถูกมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้าพาไปหาความตาย  ต่อให้เจ้ามองเห็นกายวิญญาณของพระเจ้าปรากฏ เจ้าก็จะยังคงไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ตนมีเกี่ยวกับพระเจ้า  พระเจ้าจะตรัสบอกข้อเท็จจริงทั้งหมดและสิ่งที่จริงแท้แก่เจ้าเพียงเพราะเจ้าไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้กระนั้นหรือ?  นัยหนึ่ง ไม่จำเป็นที่พระองค์จะต้องทำเช่นนั้น อีกนัยหนึ่งย่อมมีข้อเท็จจริงอยู่ว่าสมองและจิตใจของมนุษย์ไม่มีความสามารถอันมหาศาลที่จำเป็นต่อการรับรู้สิ่งเหล่านี้  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำนั้นเหลือวิสัยที่มนุษย์จะจินตนาการได้และพ้นวิสัยของสรรพสิ่ง  เมื่อเทียบกับสรรพสิ่งแล้ว มนุษย์ก็เหมือนทรายเม็ดหนึ่งบนชายหาด  คำบรรยายนี้ใกล้เคียงข้อเท็จจริงและถือได้ว่าเหมาะควร  ต่อให้พระเจ้าทรงต้องการที่จะบอกทุกสิ่งแก่เจ้า แล้วเจ้ามีความสามารถที่จะรับรู้ทั้งหมดนั้นหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ทำไมฉันจะรับรู้ทั้งหมดนั้นไม่ได้?  ถ้าพระเจ้าตรัสมากขึ้น ฉันก็สามารถเข้าใจมากขึ้นและรับไว้ได้มากขึ้น  เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันก็จะเป็นที่โปรดปราน!”  นั่นคือการวาดวิมานในอากาศ เจ้าประเมินความสามารถของตนเองสูงไปแล้ว  แท้จริงแล้วสิ่งทั้งหลายไม่ได้เป็นเช่นนั้น  ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ตรัสบอกเจ้าล้วนเรียบง่ายและชัดเจนมาก เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้  แท้จริงแล้วมีสิ่งต่างๆ มากมายที่พระเจ้าไม่เคยตรัสถึงเพราะผู้คนไม่สามารถทำความเข้าใจได้  ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติมากที่จะไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบางอย่างของเจ้าได้ในท้ายที่สุด  สิ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เจ้าเข้าใจและต้องการที่จะตรัสบอกเจ้า หรือสิ่งที่เจ้าสามารถรับรู้และเข้าใจได้นั้น เจ้าย่อมจะเข้าใจ  ส่วนสิ่งที่เจ้าไม่อาจรับรู้หรือเข้าใจได้ ตาเนื้อของเจ้าไม่อาจมองทะลุได้ ต่อให้พระเจ้าตรัสบอกเจ้า ก็ย่อมจะไร้ประโยชน์และเสียแรงเปล่า  ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจึงไม่ตรัสบอกเรื่องเหล่านี้แก่เจ้า  ส่วนเรื่องมโนคติอันหลงผิดดังกล่าว ต่อให้ถึงเวลาตายของเจ้าหรือถึงเวลาที่พระราชกิจของพระเจ้าแล้วเสร็จ เจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เรื่องนี้ส่งผลต่อสิ่งใดบ้าง?  ส่งผลต่อความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้าหรือไม่?  ส่งผลต่อการดำรงบทบาทสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้าหรือไม่?  ส่งผลต่อการที่เจ้าจะทำความรู้จักอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  ถ้าไม่ได้ส่งผลต่อเจ้าในหนทางเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดแล้ว  ดังนั้น มโนคติอันหลงผิดเช่นนี้ยังจำเป็นต้องแก้ไขหรือไม่?  ไม่จำเป็น  นี่คือมโนคติอันหลงผิดชนิดสุดท้าย เป็นประเภทที่ไม่อาจแก้ไขได้แม้ถึงเวลาตาย  บางคนกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ยังไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระองค์ทำไว้ พระวจนะที่พระองค์ตรัสมาโดยตลอด และสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้นี้  ก่อนที่ข้าพระองค์จะตาย พระองค์จะตรัสบอกเพื่อให้ข้าพระองค์สิ้นลมอยู่ในสันติสุขได้หรือไม่?”  พระเจ้าไม่สนพระทัยคำขอแบบนี้  เจ้าจากไปอย่างมีสันติสุขเถิด เมื่ออยู่ในโลกวิญญาณ เจ้าก็จะเข้าใจทุกสิ่ง

พระเจ้าทรงมีมาตรฐานของพระองค์เองในการช่วยผู้คนให้รอด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนได้ดีเพียงใดหรือว่าปล่อยมือจากมโนคติเหล่านั้นไปเท่าใดแล้ว  แต่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้าอย่างไรและนบนอบพระองค์อย่างไร เจ้ายำเกรงและนบนอบพระองค์โดยแท้หรือไม่  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนมีความหมาย และไม่ว่าการนั้นจะง่ายหรือยากที่เจ้าจะยอมรับ อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นในตัวเจ้าหรือไม่ ไม่ว่ากรณีใดก็ไม่ส่งผลให้พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ พระองค์จะทรงเป็นพระผู้สร้างเสมอ และเจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเสมอ  หากมโนคติอันหลงผิดอันใดก็ไม่อาจจำกัดเจ้าได้ และเจ้ายังคงธำรงสัมพันธภาพกับพระเจ้าในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงของพระเจ้า  หากมโนคติอันหลงผิดอันใดก็ไม่อาจรบกวนหรือมีอิทธิพลต่อเจ้า และส่วนลึกของหัวใจของเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง อีกทั้งไม่ว่าความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงนั้นลุ่มลึกหรือตื้นเขิน หากเจ้าสามารถละวางมโนคติอันหลงผิด และไม่ถูกจำกัดโดยมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น โดยเชื่อเพียงว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าตลอดกาล และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่เคยผิด เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถได้รับการช่วยให้รอด  ในข้อเท็จจริงนั้น วุฒิภาวะของทุกคนมีขีดจำกัด  ในสมองของผู้คนสามารถอัดแน่นสิ่งทั้งหลายได้มากน้อยเพียงใดกัน?  พวกเขาสามารถหยั่งถึงพระเจ้าได้หรือ?  นั่นคือการวาดวิมานในอากาศ!  จงอย่าลืมว่า เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ผู้คนจะเป็นเด็กทารกเสมอ  หากเจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดแยบยล หากเจ้าพยายามทำตัวฉลาดเฉลียวอยู่เสมอและพยายามขบคิดทุกสิ่งทุกอย่างให้ออก โดยคิดว่า “ถ้าฉันไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ เช่นนั้นฉันก็ไม่อาจยอมรับรู้ว่า ท่านเป็นพระเจ้าของฉัน ฉันย่อมไม่อาจยอมรับได้ว่า ท่านเป็นพระเจ้าของฉัน ฉันย่อมไม่อาจยอมรับรู้ว่า ท่านเป็นพระผู้สร้าง  ถ้าท่านไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดของฉัน ถ้าท่านคิดว่าฉันจะยอมรับรู้ว่าท่านคือพระเจ้า ว่าฉันจะยอมรับอธิปไตยของท่าน และฉันจะนบนอบท่าน ท่านก็ฝันไปเสียแล้ว” เช่นนั้น นี่ย่อมสร้างความเดือดร้อน  เดือดร้อนอย่างไรหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงโต้เถียงถึงสิ่งเช่นนั้นกับเจ้า  กับมนุษย์นั้น พระองค์จะทรงเป็นดังต่อไปนี้ตลอดไป นั่นคือ หากเจ้าไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับว่าเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์  เมื่อพระเจ้าไม่ทรงยอมรับว่าเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นในสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าอันเป็นผลลัพธ์มาจากท่าทีที่เจ้ามีต่อพระองค์  หากเจ้าไม่สามารถนบนอบพระเจ้า อีกทั้งยอมรับพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า รวมถึงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ ในอัตลักษณ์ของเจ้าก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง  เจ้ายังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้าอยู่หรือไม่?  พระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้ในตัวเจ้า ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียง  และหากเจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อีกทั้งพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ในตัวเจ้า เจ้ายังคงมีหวังที่จะได้รับความรอดอยู่กระนั้นหรือ?  (ไม่มี)  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคำนึงถึงเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  เจ้าไร้ความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้าซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าพึงทำ และเจ้าไม่ปฏิบัติต่อพระผู้สร้างจากตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  แล้วพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?  พระองค์จะทรงมีทัศนะต่อเจ้าอย่างไร?  พระเจ้าก็จะไม่ทรงมองว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้ตามมาตรฐาน แต่จะทรงมองว่าเจ้าเป็นคนทราม เป็นมารและเป็นซาตาน  เจ้าเคยคิดว่าตัวเองฉลาดแยบยลไม่ใช่หรือ?  อย่างไรเล่าเจ้าจึงทำให้ตนเองกลายเป็นมารและเป็นซาตานไปเสียได้?  นี่ไม่ใช่ฉลาดแยบยล นี่โง่เง่า  คำพูดเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนเข้าใจสิ่งใดหรือ?  ให้เข้าใจว่าผู้คนต้องไม่ล้ำเส้นเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ต่อให้เจ้ามีเหตุผลสำหรับมโนคติอันหลงผิดของตน ก็จงอย่าคิดว่าเจ้ามีความจริง และมีต้นทุนที่จะโหวกเหวกใส่พระเจ้าและตีกรอบพระองค์  ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม ก็จงอย่าเป็นเยี่ยงนั้น  ทันทีที่เจ้าสูญเสียอัตลักษณ์ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าย่อมจะถูกทำลาย—นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลย  แน่แท้ว่าเป็นเพราะยามที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาใช้แนวทางที่ต่างกันและรับวิธีแก้ปัญหาที่ต่างกันมาใช้ จุดจบจึงแตกต่างกันไปโดยทั้งหมดทั้งสิ้น

พวกเจ้ามีหลักธรรมหรือไม่ว่าควรปฏิบัติอย่างไรในเรื่องของมโนคติอันหลงผิด?  หลักธรรมเหล่านี้คุ้มครองพวกเจ้าให้สามารถประพฤติปฏิบัติตนดุจดังสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างถูกควรใช่หรือไม่?  เส้นทางนี้ดีงามหรือไม่?  (ดีงาม)  เช่นนั้นก็จงสรุปมาเถิด  (ถ้าเป็นมโนคติอันหลงผิดที่แก้ไขได้ค่อนข้างง่าย พวกเราต้องอธิษฐานและแสวงหา ค้นหาความจริงที่ชำแหละมโนคติอันหลงผิดชนิดนี้จากพระวจนะของพระเจ้า และพวกเราก็สามารถสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงอีกด้วย เช่นนี้พวกเราก็จะสามารถมองทะลุแง่มุมที่คลาดเคลื่อนของมโนคติอันหลงผิดได้ และแก้ไขได้ด้วยเหตุนั้น  ยังมีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างที่แก้ไม่ง่าย แต่พวกเราก็ต้องไม่ยึดถือมัน  พวกเราจำเป็นต้องมีท่าทีที่ยอมรับความจริงและนบนอบพระเจ้า รู้ว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสิ่งที่พระเจ้าทำย่อมถูกต้องแน่นอน เพียงแต่พวกเราไม่ได้ตระหนักเช่นนี้เท่านั้น  ไม่ว่าพวกเราจะเข้าใจหรือไม่ พวกเราก็ไม่อาจแพร่มโนคติอันหลงผิดได้  พวกเราควรเรียนรู้ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาบ่อยๆ แล้วมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็จะค่อยๆ แก้ไขไปได้เช่นกัน  สถานการณ์แบบที่สามก็คือท้ายที่สุดแล้ว มโนคติอันหลงผิดบางอย่างอาจไม่สลายไปอยู่ดี  ในกรณีดังกล่าว ตราบใดที่พวกเราไม่ถูกมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้และไม่แพร่มโนคติเหล่านี้ออกไป นั่นย่อมไม่เป็นไร  ต่อให้มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ไม่สลายไปในท้ายที่สุด ตราบใดที่พวกเราไม่ยึดถือเอาไว้และไม่ทำความชั่วเพราะมโนคติเหล่านี้เป็นเหตุ พระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษพวกเรา และเรื่องนี้ก็จะไม่ส่งผลต่อความรอดของพวกเรา)  รวมแล้วมีหลักธรรมกี่ข้อ?  (สามข้อ)  รวมแล้วมีหลักธรรมอยู่สามข้อ  พวกเจ้าจดเอาไว้หมดแล้วใช่หรือไม่?  เมื่อพวกเจ้าเข้าใจความจริงและตระหนักรู้หลักธรรมเหล่านี้แล้ว มโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าก็จะสลายไปเอง  เจ้าต้องไม่ปล่อยให้มโนคติอันหลงผิดมาขวางหรือขัดขาเจ้า จงแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่ไม่อาจสลายได้นั้นอย่างสุดความสามารถของเจ้า ส่วนมโนคติที่แก้ไขไม่ได้ชั่วคราว อย่างน้อยก็อย่าปล่อยให้มันส่งผลต่อเจ้า  มโนคติเหล่านั้นไม่ควรขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และไม่ควรส่งผลต่อสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้า  สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าก็คืออย่างน้อยต้องไม่แพร่มโนคติอันหลงผิด ไม่ทำความชั่ว ไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือรบกวน และไม่ทำตัวเป็นข้ารับใช้หรือคนส่งสารของซาตาน  ไม่ว่าเจ้าจะใช้ความอุตสาหะมากเท่าใด ถ้าสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบางอย่างได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ไม่อาจแก้ไขได้หมด เช่นนั้นก็แค่เมินมันไปก็พอ  อย่าปล่อยให้มโนคติอันหลงผิดส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า  จงแตกฉานในหลักธรรมเหล่านี้ แล้วเจ้าก็จะได้รับการคุ้มครองภายใต้รูปการณ์ที่ปกติ  ถ้าเจ้าเป็นคนที่ยอมรับความจริง รักสิ่งที่เป็นบวก ไม่ใช่คนชั่ว ไม่เต็มใจที่จะก่อให้เกิดการขัดขวางหรือรบกวน และไม่ได้จงใจก่อให้เกิดการขัดขวางและรบกวน เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าเผชิญปัญหาตามปกติคือมีมโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วเจ้าย่อมจะได้รับการคุ้มครอง  หลักปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุดมีดังนี้คือ ถ้าเกิดมีมโนคติอันหลงผิดที่แก้ยาก อย่ารีบเร่งลงมือทำอะไรกับมโนคติอันหลงผิดนั้นๆ  จงรอและแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคตินั้นเสียก่อน พลางเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่อาจผิดได้  จงจำหลักธรรมข้อนี้ไว้  นอกจากนี้ จงอย่าละเลยหน้าที่หรือปล่อยให้มโนคติอันหลงผิดส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ถ้าเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและคิดว่า “ฉันจะทำหน้าที่นี้แค่ให้เสร็จไปก็พอ ฉันอารมณ์ไม่ดี ก็เลยจะไม่ทำงานดีๆ ให้คุณ!” นี่ใช้ไม่ได้  เมื่อท่าทีของเจ้ากลายเป็นลบและสุกเอาเผากิน นั่นย่อมสร้างปัญหา นี่คือการที่มโนคติอันหลงผิดกำลังอาละวาดอยู่ในตัวเจ้า  เมื่อมโนคติอันหลงผิดอาละวาดอยู่ในตัวเจ้าและส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นก็หมายความว่าถึงตอนนี้ สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยแท้  มโนคติอันหลงผิดบางอย่างสามารถส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ซึ่งเป็นปัญหาที่ร้ายแรง และต้องแก้ไขมโนคติเหล่านั้นทันที  มโนคติอันหลงผิดอื่นๆ ไม่ได้ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้า จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่  ถ้ามโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นในตัวเจ้าสามารถส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ทำให้เจ้าสงสัยพระเจ้า ไม่ขยันทำหน้าที่ของตน—ถึงขั้นรู้สึกว่าการไม่ทำหน้าที่ของเจ้าจะไม่มีผลตามมา—และไม่มีความหวาดกลัวหรือหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เช่นนี้อันตราย  นี่หมายความว่าเจ้าย่อมจะตกอยู่ในการทดลอง ถูกซาตานหลอกจับตัวไป  ท่าทีที่เจ้ามีต่อมโนคติอันหลงผิดของตนและสิ่งที่เจ้าเลือกนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดได้หรือไม่ และไม่ว่าจะแก้ไขได้ถึงขั้นใด สัมพันธภาพที่ปกติระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็ต้องไม่เปลี่ยนแปลง  ด้านหนึ่งเจ้าควรที่จะสามารถนบนอบต่อสภาพแวดล้อมทุกอย่างที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ให้ และยืนยันว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทำล้วนถูกต้องและมีความหมาย สำหรับเจ้าแล้ว เรื่องที่เจ้ารู้นี้และความจริงแง่มุมนี้ไม่ควรเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด  อีกด้านหนึ่ง เจ้าต้องไม่ละเลยหน้าที่ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เจ้าต้องไม่ละทิ้งหน้าที่นี้  ถ้าเจ้าไม่มีการต่อต้าน ไม่ยอมรับ หรือความเป็นกบฏต่อพระเจ้าไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก พระเจ้าก็จะทรงมองเห็นแต่ความนบนอบของเจ้า และเห็นว่าเจ้ากำลังรอคอย  เจ้าอาจจะมีมโนคติอันหลงผิดอยู่ดี แต่พระเจ้าไม่ทรงมองเห็นความเป็นกบฏของเจ้า  เมื่อไม่มีความเป็นกบฏและการไม่ยอมรับในตัวเจ้า พระเจ้าก็จะยังทรงมองว่าเจ้าคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์  ในทางกลับกัน ถ้าหัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและการท้าทาย เจ้ามองหาโอกาสตอบโต้ และไม่อยากทำหน้าที่ของตน กลับอยากทิ้งหน้าที่แทน—ถึงขั้นมีคำพร่ำบ่นพระเจ้าทุกรูปแบบอยู่ในหัวใจของเจ้า และมีการเผยให้เห็นบางสิ่งที่สำแดงถึงการท้าทายและความขุ่นเคืองระหว่างที่เจ้าทำหน้าที่ของตนอยู่—เช่นนั้นแล้วสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าย่อมเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วเมื่อถึงตอนนี้  เจ้าเปลี่ยนฐานะของตนที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไปแล้ว เจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกต่อไป แต่กลายเป็นคนส่งสารของหมู่มารและซาตาน—ดังนั้นพระเจ้าก็จะไม่ทรงเมตตาเจ้า  เมื่อใครบางคนมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็กำลังเข้าเขตอันตราย  ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใด พวกเขาก็จะไม่สามารถตั้งมั่นในคริสตจักรได้  ดังนั้นในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวพันกับประเด็นปัญหาอย่างการแก้ไขมโนคติอันหลงผิด—ผู้คนต้องใส่ใจหลีกเลี่ยงการทำสิ่งต่างๆ ที่ล่วงเกินพระเจ้า หรือสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ หรือสิ่งที่ทำร้ายหรือเป็นภัยต่อผู้อื่น  นี่คือหลักธรรม

ปัญหาเรื่องผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!  สำคัญยิ่งที่ผู้คนจะต้องดำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าเอาไว้ แต่สิ่งที่ส่งผลต่อสัมพันธภาพนี้มากที่สุดก็คือมโนคติอันหลงผิดของผู้คน  ต่อเมื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถดำรงรักษาสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าได้  ปัจจุบันนี้ผู้คนมากมายมีปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี แม้พวกเขาจะสามารถสู้ทนความทุกข์และจ่ายราคาในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขากลับไม่อาจแก้ไขมโนคติอันหลงผิดได้หมด  เรื่องนี้ส่งผลต่อสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าอย่างร้ายแรง และส่งผลโดยตรงต่อความรักและความนบนอบที่พวกเขามีให้พระเจ้า  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้คนจะเกิดมโนคติอันหลงผิดเช่นใดเกี่ยวกับพระเจ้า ก็ต้องไม่มองข้ามเรื่องร้ายแรงนี้  มโนคติอันหลงผิดก็เหมือนกำแพง มันตัดขาดสัมพันธภาพที่ผู้คนมีกับพระเจ้า ทำให้พวกเขาไม่เชื่อมโยงกับพระราชกิจแห่งการช่วยให้รอดของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ การที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าจึงเป็นปัญหาร้ายแรงมากที่ไม่อาจเพิกเฉยได้!  ถ้าผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและไม่สามารถแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติของตนได้อย่างทันท่วงที นี่ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการคิดลบ การไม่ยอมรับพระเจ้า และแม้กระทั่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ได้ง่าย  ถึงตอนนั้นพวกเขาจะยังสามารถยอมรับความจริงได้อีกหรือ?  การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาก็จะหยุดอยู่กับที่  เส้นทางของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านั้นมีขึ้นมีลงและขรุขระ  ด้วยเหตุที่ผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พวกเขาจึงสามารถใช้ทางอ้อมมากมาย และอาจลงเอยด้วยการก่อเกิดมโนคติอันหลงผิดในสถานการณ์ต่างๆ  ถ้าไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริง ผู้คนก็อาจกบฏต่อพระเจ้าและท้าทายพระองค์ได้ เดินไปบนเส้นทางของการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์  เมื่อผู้คนเลือกเส้นทางของการเป็นศัตรูของพระคริสต์ พวกเจ้าคิดหรือว่าพวกเขาจะมีโอกาสของความรอดเหลืออยู่?  ถึงตอนนั้นย่อมจัดการไม่ง่าย และจะไม่มีโอกาสเหลืออีกแล้ว  เพราะฉะนั้น ก่อนที่พระเจ้าจะทรงปฏิเสธว่าเจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ เจ้าก็ควรเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า  อย่าพยายามพินิจพิเคราะห์พระผู้สร้างหรือพยายามขบคิดว่าจะพิสูจน์และยืนยันได้อย่างไรว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นคือพระผู้สร้าง  นี่ไม่ใช่ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบของเจ้า  สิ่งที่เจ้าควรคิดและตรึกตรองอยู่ในหัวใจทุกวันก็คือทำอย่างไรจึงจะลุล่วงหน้าที่ของตนและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน แทนการคิดว่าทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้างหรือไม่ พระองค์คือพระเจ้าจริงหรือไม่ หรือพินิจพิเคราะห์ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดไปแล้วบ้าง และการกระทำของพระองค์ถูกต้องหรือไม่  สิ่งที่เจ้าควรพินิจพิเคราะห์ไม่ใช่เรื่องเหล่านี้

19 มิถุนายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า: ความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (15)

ถัดไป: หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (21)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger