หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (16)
ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่สี่)
ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร
VIII. แพร่มโนคติอันหลงผิด
ก. สิ่งที่สำแดงถึงการแพร่มโนคติอันหลงผิด
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานกันต่อ ได้แก่ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น” ส่วนปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการขัดขวางและก่อกวนที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรนั้น พวกเราทำรายการไว้สิบเอ็ดข้อ ครั้งที่แล้วสามัคคีธรรมกันถึงปัญหาข้อที่เจ็ดคือ ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงปัญหาข้อที่แปดเรื่องการแพร่มโนคติอันหลงผิด การแพร่มโนคติอันหลงผิดก็เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตคริสตจักรเช่นกัน บางคนที่ไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใดกลับเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตน มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดบางอย่างเพื่อก่อกวนชีวิตคริสตจักร คริสตจักรจึงต้องควบคุมพฤติกรรมนี้เอาไว้และแก้ไขด้วยการสามัคคีธรรมความจริงในชีวิตคริสตจักร มองตามตัวอักษรแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถเห็นได้ว่าการแพร่มโนคติอันหลงผิดไม่ใช่พฤติกรรมที่ถูกควร ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก แต่เป็นลบ เพราะฉะนั้นจึงควรหยุดยั้งและควบคุมพฤติกรรมเช่นนี้ในชีวิตคริสตจักรเอาไว้ ไม่ว่าผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดจะเป็นคนชนิดใด มีเหตุจูงใจอันใด กำลังแพร่มโนคติอันหลงผิดโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิด นั่นย่อมจะขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร ก่อให้เกิดผลเสีย ดังนั้นร้อยทั้งร้อยจึงต้องควบคุมเรื่องนี้เอาไว้ ไม่ว่าจะมองในแง่ใดก็เป็นไปไม่ได้ที่การแพร่มโนคติอันหลงผิดจะสามารถมีบทบาทเชิงบวกที่สนับสนุนการไล่ตามเสาะหาความจริง การไล่ตามเสาะหาที่จะรู้จักพระเจ้า หรือการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของผู้คน ทำได้เพียงส่งผลเป็นการก่อกวนและสร้างความเสียหายให้แก่เรื่องเหล่านี้เท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีคนแพร่มโนคติอันหลงผิดในชีวิตคริสตจักร ทุกคน—ทั้งผู้นำและพี่น้องชายหญิง—ควรใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้ เร่งหยุดยั้งและควบคุมคนคนนั้นทันที แทนที่จะตามใจพวกเขาอย่างมืดบอดให้แพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อรบกวนและชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด พวกเรามาสามัคคีธรรมกันก่อนเถิดว่าวาจาเช่นใดจัดเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด เมื่อมีวิจารณญาณข้อนี้แล้ว ผู้คนย่อมจะนิยามได้อย่างถูกต้องว่าการแพร่มโนคติอันหลงผิดคืออะไร ทั้งยังสามารถหยุดยั้งและควบคุมเรื่องนี้เอาไว้ได้อย่างถูกต้องอีกด้วย แทนที่จะเพิกเฉยและทำเหมือนไม่แยแสเรื่องนี้
1. แพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า
มโนคติอันหลงผิดที่แพร่ออกไปย่อมมีเป้าหมาย ก่อนอื่นพวกเราต้องดูว่ามโนคติเหล่านั้นมีใครเป็นเป้าหมายและเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดในเรื่องใด การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เจ้ารู้ว่าถ้อยแถลงใดที่ผู้คนพูดและมุมมองใดที่ผู้คนเผยแพร่จัดว่าเป็นมโนคติอันหลงผิด การรู้ว่าวาจาเช่นใดคือมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและการกระทำใดจัดเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด ย่อมจะทำให้ผู้คนสามารถควบคุมการแพร่มโนคติอันหลงผิดได้อย่างถูกต้องมากขึ้นและตรงจุดยิ่งขึ้น ก่อนอื่น การแพร่มโนคติอันหลงผิดที่ร้ายแรงที่สุดย่อมเกี่ยวพันกับแนวคิดและความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้า นี่เป็นหมวดหมู่ที่สำคัญ การแพร่มุมมองและถ้อยแถลงที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า พระอุปนิสัย พระวจนะ พระราชกิจ และการมีอยู่ของพระเจ้าล้วนเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดทั้งสิ้น นี่เป็นการกล่าวทั่วๆ ไป หากกล่าวอย่างเจาะจง ถ้อยแถลงเช่นใดจัดเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดบ้าง? การแพร่ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า แพร่ถ้อยคำที่ตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้า และแม้กระทั่งถ้อยคำที่หมิ่นประมาทพระเจ้า ล้วนเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด กล่าวง่ายๆ ก็คือ การแพร่ความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง ถ้อยแถลงและการตีความผิดๆ ที่ไม่ตรงกับอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า ล้วนเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด ยกตัวอย่างในชีวิตคริสตจักร บางคนมักจะพูดคุยถึงอัตลักษณ์ของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้า พวกเขาไม่มีความเข้าใจอันแท้จริงในอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า มักจะสงสัยและเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่ในหัวใจ ไม่สามารถนบนอบสภาพความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมในการทำหน้าที่ของตนซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ และอื่นๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงแพร่ความเข้าใจผิดที่ตนมีเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งแนวคิดที่ไม่เข้าใจพระเจ้า สรุปแล้ว แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยอมรับและนบนอบอธิปไตยและการจัดเตรียมของพระเจ้าตามมุมมองของมนุษย์ทรงสร้าง แต่กลับเต็มไปด้วยอคติ ความเข้าใจผิด และแม้กระทั่งคำตัดสินและคำกล่าวโทษส่วนตัว หลังจากที่ได้ฟังสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้อื่นก็เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและระแวดระวังพระองค์ สูญสิ้นความเชื่ออันแท้จริงที่ตนมีในพระเจ้าเพราะเหตุนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีความนบนอบที่แท้จริง
บางคนคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าควรนำสันติสุขและความเบิกบานมาให้ และถ้าพวกเขาเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ก็เพียงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าเท่านั้น แล้วพระเจ้าก็จะทรงสดับฟัง ประทานพระคุณและพรแก่พวกเขา เพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างมีสันติสุขและราบรื่นสำหรับพวกเขา จุดประสงค์ที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อแสวงหาพระคุณ ได้รับพร และสำราญกับความสุขและสันติ เป็นเพราะทัศนะเหล่านี้ พวกเขาจึงละทิ้งครอบครัวหรือออกจากงานมาสละตนเพื่อพระเจ้า สามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้ พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาละทิ้งสิ่งต่างๆ สละตนเพื่อพระเจ้า สู้ทนความยากลำบากและขยันทำงาน แสดงให้เห็นพฤติกรรมที่ดีเลิศ พวกเขาก็จะได้รับพรและความโปรดปรานจากพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญความยุ่งยากอันใด ตราบใดที่พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงแก้ไขเรื่องยุ่งยากและเปิดทางให้แก่พวกเขาในทุกเรื่อง นี่คือมุมมองของผู้คนส่วนใหญ่ที่เชื่อในพระเจ้า ผู้คนรู้สึกว่ามุมมองนี้เป็นไปโดยชอบและถูกต้อง การที่ผู้คนมากมายสามารถดำรงความเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไม่ทิ้งความเชื่อของตนก็เกี่ยวเนื่องกับมุมมองนี้โดยตรง พวกเขาคิดว่า “ฉันสละเพื่อพระเจ้าไปมากมายนัก พฤติกรรมของฉันก็ดียิ่งมาโดยตลอด แล้วฉันก็ไม่เคยทำเรื่องชั่วอะไร พระเจ้าจะทรงอวยพรฉันแน่นอน ด้วยเหตุที่ฉันทนทุกข์มามากและจ่ายราคาเพื่อกิจทุกอย่างไปมาก ทำทุกสิ่งตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้าโดยไม่มีอะไรผิดพลาด พระเจ้าก็ควรประทานพรแก่ฉัน พระองค์ควรดูให้แน่ใจว่าทุกสิ่งจะดำเนินไปอย่างราบรื่นสำหรับฉัน ให้ตัวฉันมักจะมีสันติสุขและความเบิกบานในหัวใจ ได้ชื่นชมการสถิตของพระเจ้า” นี่คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มิใช่หรือ? ตามมุมมองของมนุษย์ ผู้คนย่อมได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าและได้รับประโยชน์ต่างๆ ดังนั้นการต้องทนทุกข์เพื่อเรื่องนี้บ้างจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และคุ้มค่าที่จะใช้ความทุกข์นี้มาแลกเป็นพรจากพระเจ้า นี่เป็นวิธีคิดที่จะเจรจาต่อรองกับพระเจ้า อย่างไรก็ดี ตามมุมมองของพระเจ้าและความจริง โดยพื้นฐานแล้วนี่ไม่ตรงกับหลักธรรมในพระราชกิจของพระเจ้าและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดแก่ผู้คน ทั้งหมดนี้เป็นการคิดฝันเฟื่อง เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่มนุษย์มีเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าโดยแท้ ไม่ว่านี่จะเกี่ยวพันกับการเรียกร้องสิ่งต่างๆ หรือเจรจาต่อรองกับพระเจ้า หรือมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์อยู่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ทั้งหมดนี้ไม่ได้สอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า และไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมและมาตรฐานของการที่พระเจ้าจะทรงอวยพรผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดและมุมมองเชิงธุรกรรมแลกเปลี่ยนนี้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า แต่ผู้คนก็ไม่ทันตระหนัก เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน พวกเขาก็เกิดคำพร่ำบ่นและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระองค์ในหัวใจของตนอย่างรวดเร็ว ถึงกับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และแล้วจึงเริ่มให้เหตุผลกับพระเจ้า และอาจถึงขั้นตัดสินและกล่าวโทษพระองค์ ไม่ว่าผู้คนจะเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเช่นไร ตามมุมมองของพระเจ้าแล้ว พระองค์ไม่เคยทรงกระทำการหรือปฏิบัติต่อผู้ใดตามมโนคติอันหลงผิดหรือความปรารถนาของมนุษย์ พระเจ้าทรงทำตามพระประสงค์ของพระองค์เองเสมอ ด้วยวิธีการของพระองค์เองและตามแก่นนิสัยของพระองค์เอง พระเจ้าทรงมีหลักธรรมที่ทรงใช้ปฏิบัติต่อทุกคน สิ่งที่พระองค์ทรงทำแก่บุคคลแต่ละคนนั้นไม่ได้เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน หรือความถูกใจของมนุษย์—นี่คือแง่มุมในพระราชกิจของพระเจ้าที่ขัดกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์มากที่สุด เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้แก่ผู้คนซึ่งตรงข้ามกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาโดยสิ้นเชิง พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิด มีคำตัดสินและคำกล่าวโทษพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน และอาจถึงกับปฏิเสธพระองค์ เมื่อทำเช่นนั้น เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะทรงตอบสนองความต้องการของพวกเขา? ไม่ได้อย่างแน่นอน พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงวิธีทรงพระราชกิจและพระประสงค์ของพระองค์ตามโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อย่างเด็ดขาด เมื่อเป็นเช่นนั้น ฝ่ายที่จำเป็นต้องเปลี่ยนคือใคร? ย่อมเป็นผู้คน ผู้คนจำเป็นต้องปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตน ยอมรับ นบนอบ ผ่านประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ และแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนเอง แทนที่จะประเมินสิ่งที่พระเจ้าทรงทำโดยใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาดูว่าถูกต้องหรือไม่ เมื่อผู้คนยืนกรานที่จะยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็เกิดการไม่ยอมรับพระเจ้า—นี่ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มูลเหตุของการไม่ยอมรับนี้อยู่ที่ใด? อยู่ในข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งที่ปกติแล้วผู้คนมีอยู่ในหัวใจของตนอย่างไม่ต้องสงสัยก็คือมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้น เมื่อเผชิญหน้าพระราชกิจของพระเจ้าที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ผู้คนจึงสามารถท้าทายพระเจ้าและตัดสินพระองค์ นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าโดยพื้นฐานแล้ว ผู้คนไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาห่างไกลจากการถูกชำระให้บริสุทธิ์ และในแก่นแท้แล้วพวกเขาก็ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน พวกเขายังคงห่างไกลจากการได้รับความรอดอย่างเหลือเชื่อ
เมื่อผู้คนเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและไม่ยอมรับพระองค์อยู่ในหัวใจ คนที่พอจะมีมโนธรรมอยู่บ้างย่อมจะจำใจยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทำ พยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ และยอมรับอธิปไตยที่พระองค์ทรงมีเหนือผู้คน ผู้คนจะปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดได้มากเท่าใดและถึงขั้นไหน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของพวกเขา อีกส่วนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขายอมรับความจริงและเป็นคนที่รักความจริงหรือไม่ บางคนเผชิญหน้าสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้อย่างกระตือรือร้นโดยอ่านพระวจนะของพระเจ้า แสวงหา สามัคคีธรรม และใคร่ครวญ พวกเขาค่อยๆ เกิดความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่ง อันเป็นการเพิ่มพูนความนบนอบและความเชื่อของตน อย่างไรก็ดี บางคนนั้นไม่ว่าจะเผชิญสภาพแวดล้อมเช่นไรก็ไม่แสวงหาความจริง กลับประเมินสภาพแวดล้อมทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเองว่ามีประโยชน์กับตนหรือไม่ ความคิดคำนึงของพวกเขาวนเวียนอยู่กับผลประโยชน์ของตนเองเสมอ พวกเขาใส่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าจะสามารถได้ประโยชน์มากเท่าใด ความสนใจของพวกเขาจะได้รับการตอบสนองมากเท่าใดในแง่ของวัตถุสิ่งของ เงินทอง และความสุขสำราญทางเนื้อหนัง พวกเขาตัดสินใจและปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ตามปัจจัยเหล่านี้เสมอ ท้ายที่สุด หลังจากที่เค้นสมองคิดดูแล้ว พวกเขาก็เลือกที่จะไม่นบนอบสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ แต่กลับเลือกที่จะหนีและหลีกเลี่ยง เป็นเพราะการไม่ยอมรับ ปฏิเสธ และหลีกเลี่ยงของพวกเขา พวกเขาจึงพาตัวออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้า พลาดประสบการณ์ชีวิต และทนทุกข์กับการสูญเสีย นำความเจ็บปวดและทรมานมาสู่หัวใจของตนเอง ยิ่งพวกเขาต่อต้านสภาพแวดล้อมดังกล่าว ความทุกข์ที่พวกเขาสู้ทนก็ยิ่งเพิ่มพูนและหนักหนา เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้นมา ความเชื่ออันน้อยนิดที่พวกเขามีในพระเจ้าจึงถูกขยี้แหลกไปในที่สุด ถึงตอนนี้มโนคติอันหลงผิดที่ครอบงำหัวใจของพวกเขาก็พากันกรูขึ้นมาหมดในคราวเดียวว่า “ฉันสละตนเพื่อพระเจ้ามานานขนาดนี้ แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าพระเจ้าจะทำกับฉันแบบนี้ พระเจ้าไม่ยุติธรรม พระองค์ไม่รักผู้คน! พระเจ้าบอกว่าคนที่สละตนเพื่อพระองค์ด้วยใจจริง จะได้รับพรมากมายเป็นแน่ ฉันสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงตลอดมา ทิ้งงานและครอบครัว สู้ทนความยากลำบาก และทำงานหนัก—แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่เคยอวยพรฉันมากๆ? พรจากพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ทำไมฉันไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกถึงพร? ทำไมพระเจ้าไม่ยุติธรรมกับผู้คน? ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทำตามที่พูด? ผู้คนบอกว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้? ถ้าวางทุกอย่างเอาไว้ก่อน เอาแค่ภายในสภาพแวดล้อมนี้ ฉันก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าพระเจ้าสัตย์ซื่อ!” เพราะผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาจึงถูกมโนคติเหล่านี้หลอกพาไปในทางที่ผิดโดยง่าย แม้ในยามที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและการเติบโตในชีวิตของผู้คน พวกเขาก็ยังพบว่ายากที่จะยอมรับ และเข้าใจพระเจ้าผิด พวกเขานึกว่านี่ไม่ใช่พรจากพระเจ้า และพระเจ้าไม่โปรดตน พวกเขาเชื่อว่าได้สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงแล้ว แต่พระเจ้าไม่ทรงทำตามสัญญาของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงจึงถูกบททดสอบที่เป็นสภาพแวดล้อมเล็กๆ น้อยๆ เพียงอย่างเดียวนี้เผยตัวออกมาโดยง่าย เมื่อถูกเผยตัว ในที่สุดพวกเขาก็กล่าวสิ่งที่ตนอยากพูดเป็นที่สุดออกมาว่า “พระเจ้าไม่ได้ชอบธรรม พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่สัตย์ซื่อ วจนะของพระเจ้าแทบไม่เคยลุล่วง พระเจ้าบอกว่า ‘พระเจ้าทรงหมายความตามที่พระองค์ตรัส สิ่งที่พระองค์ตรัสย่อมจะเป็นไปตามนั้น และสิ่งที่พระองค์ทำย่อมจะยืนยงตลอดกาล’ แล้วลุล่วงตามวจนะเหล่านี้ตรงไหน? ทำไมฉันไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกได้? ดูเธอคนนั้นสิ ตั้งแต่เชื่อในพระเจ้า เธอก็ไม่เคยละทิ้งหรือสละตนเพื่อพระเจ้ามากเท่าฉัน ไม่เคยถวายอะไรมากเท่าฉัน แต่ลูกๆ ของเธอกลับได้เข้ามหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติ สามีได้เลื่อนตำแหน่ง ธุรกิจของพวกเขาก็เจริญรุ่งเรือง กระทั่งพืชผลของพวกเขายังให้ผลผลิตมากกว่าของคนอื่น แล้วฉันได้อะไร? ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว!” คำพูดพวกนี้คือความคิดที่แท้จริงของผู้คนเหล่านี้ เป็นคติประจำใจของพวกเขา พวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ เต็มไปด้วยความคิดและมุมมองที่เหลวไหลพวกนี้ และเต็มไปด้วยการคำนึงถึงผลประโยชน์และธุรกรรมแลกเปลี่ยน พวกเขาเข้าใจและรับรู้พระราชกิจของพระเจ้าและเจตนารมณ์ที่จริงจังของพระองค์ในลักษณะนี้ ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เช่นนี้ เพราะฉะนั้น ในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงอุตสาหะจัดเตรียมไว้ให้ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขากลับประเมินและเข้าใจพระเจ้าผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะมโนคติอันหลงผิดของตน สะดุดและล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังพยายามยืนยันอยู่เสมอว่ามโนคติอันหลงผิดของตนนั้นถูกต้อง เมื่อพวกเขาเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้รับการยืนยันแล้ว และเป็นหลักฐานเพียงพอให้พวกเขาประเมิน ตัดสิน และกล่าวโทษพระเจ้าตามอำเภอใจ พวกเขาก็เริ่มแพร่มโนคติอันหลงผิด เพราะหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้มีสิ่งใดผสมอยู่บ้าง? มีคำพร่ำบ่น ความไม่พอใจ และความคับข้องใจ เมื่อพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็มองหาโอกาสที่จะระบาย หวังว่าจะพบเจอฝูงชนที่จะรับฟัง “เรื่องอยุติธรรม” ที่พวกเขาพบเจอ อยากระบายเรื่องเหล่านี้และเล่าให้ผู้คนเหล่านี้ฟังถึงการปฏิบัติที่อยุติธรรมซึ่งพวกเขา “ทนทุกข์” มา มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเหล่านี้เผยแพร่จึงเกิดขึ้นเช่นนี้ในชีวิตคริสตจักร มโนคติอันหลงผิดดังกล่าวก่อเกิดขึ้นเช่นนี้ หัวใจของผู้คนเหล่านี้เต็มไปด้วยความคับข้องใจ การแข็งขืน และความไม่พอใจ รวมทั้งเรื่องเข้าใจผิดและคำพร่ำบ่นพระเจ้า มีแม้กระทั่งคำตัดสินและคำกล่าวโทษพระเจ้า ซึ่งในที่สุดย่อมพาให้หัวใจของพวกเขามีแต่การหมิ่นประมาท พวกเขากลัวว่าตนจะไม่ได้พร ดังนั้นจึงไม่เต็มใจที่จะจากไป ด้วยเหตุนี้จึงแพร่ความเข้าใจผิดและความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้าไปในหมู่คน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังแพร่คำตัดสินและคำกล่าวโทษพระเจ้า รวมทั้งถ้อยคำที่พวกเขาใช้หมิ่นประมาทพระองค์อีกด้วย พวกเขาหมิ่นประมาทว่าอย่างไร? พวกเขาหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยบอกว่าพระองค์ไม่ยุติธรรมกับพวกเขา ไม่ตอบแทนอย่างเหมาะควรและทัดเทียมกับสิ่งที่พวกเขาทำให้ พวกเขาตัดสินพระเจ้าว่าไม่ประทานพระคุณและพรอันยิ่งใหญ่แก่ตนหลังจากที่พวกเขาถวายของและพลีอุทิศไปแล้ว พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่จำเป็นต่อเนื้อหนังจากพระเจ้า—พวกวัตถุสิ่งของ เงินทอง และอื่นๆ—ที่พวกเขาหวังว่าจะได้ เป็นเหตุให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและความคับข้องใจ จุดประสงค์ที่พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดนี้ นัยหนึ่งก็เพื่อระบายและหาทางแก้แค้น ซึ่งทำให้สัมฤทธิ์ความรู้สึกว่าเกิดสมดุลทางจิตใจ อีกนัยหนึ่งก็เพื่อยุยงให้ผู้คนอีกมากเกิดความเข้าใจผิดและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า อันเป็นการทำให้ผู้คนเหล่านี้ระแวดระวังพระเจ้าเหมือนที่พวกเขาทำไม่มีผิด ถ้ามีผู้คนอีกมากกล่าวว่า “พวกเราจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” พวกเขาก็จะรู้สึกพอใจอยู่ภายใน นี่คือจุดประสงค์และเหตุผลเบื้องหลังการแพร่มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา
คติประจำใจของผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดคืออะไร? พวกเขามักจะกล่าวคำใดซ้ำๆ? หลังจากที่มีประสบการณ์กับบางสิ่งและไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ต้องการ พวกเขาก็บอกตัวเองไม่หยุดว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” แม้หลังจากที่พูดเช่นนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้สึกว่าคลายความเกลียดชังหรือบรรลุจุดหมายของตน เวลาเข้าชุมนุม ไม่ว่าผู้อื่นจะสามัคคีธรรมเรื่องใด พวกเขาก็ฟังไม่เข้าหู พวกเขาต้องพูดวลีนี้อีกครั้ง ทวนซ้ำหลายหน เกินสิบเที่ยวด้วยซ้ำ “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว”—วลีนี้เต็มไปด้วยความหมายมิใช่หรือ? เบื้องหลังวลีนี้มีเรื่องราว พวกเขา “เชื่อ” สิ่งใด? เคยเชื่อในพระเจ้ามาก่อนหรือไม่? ความเชื่อของพวกเขาแต่ก่อนนี้ใช่ความเชื่อที่จริงแท้หรือไม่? ความเชื่อนั้นรวมเอาความนบนอบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีไว้ด้วยหรือไม่? (ไม่) ไม่มีเลย พวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเต็มไปด้วยข้อเรียกร้องและคำขอต่อพระเจ้า ไร้ซึ่งความนบนอบโดยสิ้นเชิง “ความเชื่อ” ของพวกเขามีความหมายว่าอย่างไร? “ฉันเชื่อว่าพระเจ้าเป็นองค์เดียวที่มีอธิปไตยเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง ฉันเชื่อว่าพระเจ้าสามารถคุ้มครองฉันจากการถูกคนอื่นรังแก ฉันเชื่อว่าพระเจ้าสามารถทำให้ฉันสุขสำราญกับความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง มีชีวิตที่ดีและรุ่งเรือง ทำให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างมีสันติสุขและน่ายินดีสำหรับฉัน ฉันเชื่อว่าพระเจ้าสามารถเปิดโอกาสให้ฉันเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์และได้รับพรอันยิ่งใหญ่ ได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้ และมีชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง!” นี่ใช่ความเชื่อหรือไม่? “ความเชื่อ” เหล่านี้ไม่มีร่องรอยของความนบนอบ และไม่มีความเชื่อใดที่สอดคล้องกับข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน ความเชื่อเหล่านี้เกิดจากมุมมองที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น พระเจ้าทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจในตัวผู้คน พระเจ้าเคยตรัสเมื่อใดว่าพระองค์จะทรงทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตที่สุขสันต์ ดำรงชีวิตอยู่เหนือผู้อื่น หรือรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ พร้อมจุดหมายปลายทางที่ไร้ข้อจำกัดในอนาคต? (ไม่เคยตรัส) แล้วเหตุใดพวกเขาจึงมองว่า “ความเชื่อ” ของตนล้ำค่าขนาดนั้น? ถึงกับพูดว่าพวกเขาจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว ความเชื่อของพวกเขาคู่ควรกับสิ่งใดบ้างหรือไม่? พระเจ้าทรงยอมรับความเชื่อของพวกเขาหรือไม่? พวกเขาไม่มีวี่แววของความเป็นจริงความจริง ไม่มีวี่แววของการนบนอบพระเจ้า อยากแต่จะได้รับพร ได้รับผลประโยชน์ และข้อได้เปรียบจากพระเจ้าเท่านั้น แล้วก็เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการเชื่อในพระเจ้า นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ผู้คนจำพวกนี้เต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและถูกเจตนาที่จะได้พรเข้าครอบงำ พวกเขาไม่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าแม้แต่น้อยและไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า จุดหมายและเหตุจูงใจในทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีแต่ประโยชน์ของเนื้อหนังของพวกเขาเองทั้งสิ้น พวกเขารู้สึกดีกับตัวเอง และมองว่าสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้านั้นล้ำค่าเป็นพิเศษ ถ้าความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าล้ำค่าและสูงส่งนัก แล้วเหตุใดเมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้เจ้า เจ้ากลับไม่สามารถเข้าใจความจริงจากสภาพแวดล้อมนั้น หรือตั้งมั่นในคำพยานของตนได้? นี่เกิดอะไรขึ้น? เวลาที่พระเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของเจ้า เจ้าตอบแทนพระเจ้าด้วยสิ่งใด? เป็นไปได้หรือที่ความเข้าใจผิด คำพร่ำบ่น และการไม่ยอมรับที่เจ้าใช้ตอบแทนพระเจ้าคือสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ? สิ่งเหล่านี้ตรงตามความจริงหรือไม่? ชัดเจนว่าไม่ เพราะฉะนั้น การที่ผู้คนเหล่านี้สามารถแพร่มโนคติอันหลงผิดในคริสตจักรได้อย่างเปิดเผยย่อมพิสูจน์ให้เห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าและยิ่งไปกว่านั้น ไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง—พระเจ้าที่พวกเขาเชื่อนั้นไม่มีอยู่จริงโดยสิ้นเชิง เมื่อผู้คนเหล่านี้แพร่มโนคติอันหลงผิดอย่างเปิดเผยเพื่อชักพาให้ผู้คนอีกมากหลงผิดและดึงพวกเขาเข้าพวกมาร่วมแข็งขืน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ย่อมป่าวประกาศแก่สาธารณชนโดยไม่รู้ตัวว่าตนนั้นไม่ใช่ผู้ติดตามของพระเจ้าอีกต่อไป ไม่ใช่ผู้เชื่ออีกต่อไป และไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้างอีกต่อไป มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่อยู่นั้นไม่ใช่แนวคิดหรือถ้อยแถลงธรรมดาๆ แต่พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดเพราะพวกเขาสร้างกำแพงที่ไม่อาจทะลวงได้ระหว่างตนกับพระเจ้าขึ้นมาแล้ว เพราะพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าการใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอย่างมนุษย์มาปฏิบัติต่อพระเจ้า จัดการสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้า และปฏิบัติต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้านั้นถูกต้องแล้ว และเป็นวิธีปฏิบัติที่พวกเขาควรใช้ เมื่อผู้คนดังกล่าวแพร่มโนคติอันหลงผิดในชีวิตคริสตจักรอย่างเปิดเผย ควรหรือไม่ที่จะควบคุมพวกเขาเอาไว้? หรือเมื่อเห็นแล้วว่าพวกเขาด้อยวุฒิภาวะและมีรากฐานที่ตื้นเขิน ควรหรือไม่ที่จะให้พวกเขามีอิสระในการแสดงทัศนะ ทั้งยังมีเวลาและพื้นที่มากพอที่จะกลับใจ? แนวการปฏิบัติที่เหมาะควรนั้นเป็นเช่นใด? (หยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้จึงเหมาะควร) เหตุใดการหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้จึงเหมาะควร? บางคนกล่าวว่า “ถ้าคุณควบคุมและไม่ยอมให้พวกเขาพูดจาอย่างอิสระ แล้วพวกเขาเลิกเชื่อและเลิกเข้าชุมนุม นั่นจะไม่เป็นการทำร้ายพวกเขาหรอกหรือ? นั่นย่อมจะน่าเสียดายยิ่ง! พระเจ้ายอมช่วยทุกคนให้รอดดีกว่ายอมให้มีคนหนึ่งทนทุกข์กับความพินาศไม่ใช่หรือ? แม้จะมีแกะหลงฝูงเพียงตัวเดียวก็ต้องไปตามกลับมา—หลังจากใช้ความพยายามทั้งหมดนั้นตามแกะพลัดหลงตัวหนึ่งกลับมาแล้ว พระองค์จะยังยอมให้มันพลัดหลงได้อีกหรือ?” ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? (เพราะผู้คนแบบนั้นไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาเพียงแต่เชื่อในพระเจ้าเพราะหวังจะได้รับพร และการเชื่อของพวกเขาก็มีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ผสมอยู่) ใครบ้างที่ไม่มีสิ่งไม่บริสุทธิ์ผสมอยู่ในการเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า? เจ้าไม่มีบ้างหรอกหรือ? เหตุผลนี้ใช้ได้หรือไม่? จงพิจารณาถ้อยแถลงของผู้คนดังกล่าวที่ว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” นี่เป็นวาจาแบบใด? มีความแตกต่างระหว่างคำพวกนี้กับคำหมิ่นประมาทของผู้ไม่มีความเชื่อ หมู่มาร และซาตานหรือไม่? (ไม่มี) ถ้อยแถลงนี้แฝงนัยว่าอย่างไร? “ฉันไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป ที่ผ่านมาฉันติดตามและเชื่อในพระเจ้าอย่างสุดใจ แต่พระเจ้าก็ไม่ได้อวยพรฉัน กลับจัดเตรียมสภาพแวดล้อมแบบนั้นเพื่อทำให้ฉันเดือดร้อนและเป็นเหตุให้ฉันสะดุดล้ม สิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่ได้ตรงกับสิ่งที่พระองค์ทำเลย ฉันเลยไม่กล้าเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว! แต่ก่อนนี้ฉันโง่มาก ละทิ้ง สละตน และสู้ทนความยากลำบากมากมายขนาดนั้นเพื่อพระเจ้า แต่พอฉันถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุมและข่มเหง กลับมองไม่เห็นความคุ้มครองจากพระเจ้า ธุรกิจของครอบครัวฉันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าของคนอื่นอีกด้วย ฉันไม่เคยหาเงินได้มากเท่าคนอื่น แล้วพ่อแม่ของฉันก็ยังคงไม่สบาย ฉันไม่เคยได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้ามาหลายต่อหลายปี พระเจ้าตรัสไม่ใช่หรือว่าพระองค์จะให้พรมากมายแก่ผู้คน? แล้วฉันได้รับพรอะไรจากพระเจ้า? วจนะของพระเจ้าไม่ได้กลายเป็นจริงแต่อย่างใด ดังนั้นฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว!” ถ้อยแถลงที่ว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว!” บรรจุอะไรเอาไว้มากมายนัก เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น ความไม่พอใจ และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า สรุปว่าหลังจากที่พวกเขาสู้ทนความยากลำบากและสละตนด้วยวิธีคิดอ่านที่ฝันเฟื่องแล้ว พระเจ้ากลับไม่ได้ประทานพรแก่พวกเขาตามที่พวกเขาเรียกร้อง และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงจ่ายค่าจ้างหรือประทานรางวัลแก่พวกเขาตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พอใจและเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่อพระเจ้า พวกเขากล่าวประโยคนี้ออกมาภายใต้รูปการณ์เช่นนี้ ประโยคนี้ไม่ได้ไร้ที่มา ตอนที่พวกเขาพูดออกมา พวกเขาก็แสดงพฤติกรรมและสำแดงอะไรออกมามากมาย และถูกเผยตัวไปเรียบร้อยแล้ว สัมพันธภาพระหว่างผู้คนดังกล่าวกับพระเจ้ามีปัญหาอันใด? ปัญหาใหญ่ที่สุดในสัมพันธภาพที่ผู้คนเยี่ยงนี้มีกับพระเจ้าคือสิ่งใด? คือพวกเขาไม่เคยมองเลยว่าตนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และไม่เคยมองพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างที่ควรนมัสการแม้แต่น้อย ตั้งแต่เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนต้นไม้เงินตรา เป็นหีบสมบัติ พวกเขามองพระองค์ในฐานะพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยให้พวกเขาพ้นจากความทุกข์และความวิบัติ และมองตนเองเป็นผู้ติดตามของพระโพธิสัตว์นี้ รูปเคารพนี้ พวกเขาคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าก็เหมือนการเชื่อในพระพุทธที่เพียงกินอาหารมังสวิรัติ สวดท่องพระสูตร จุดกำยานและกราบกรานบ่อยๆ พวกเขาก็จะสามารถได้สิ่งที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้เรื่องราวทั้งหมดที่ดำเนินมาหลังจากที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจึงเกิดขึ้นภายในขอบเขตของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา พวกเขาไม่ได้แสดงสิ่งใดที่สำแดงให้เห็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่น้อมรับความจริงจากพระผู้สร้าง และไม่ได้แสดงความนบนอบใดๆ ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีต่อพระผู้สร้าง มีแต่การเรียกร้องอย่างต่อเนื่อง การคิดคำนวณอย่างต่อเนื่อง และการร้องขอไม่หยุด ทั้งหมดนี้ทำให้สัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าพังทลายในที่สุด สัมพันธภาพเช่นนี้เป็นธุรกรรมแลกเปลี่ยนและจะไม่มีวันตั้งมั่นได้ มีแต่รอเวลาให้ผู้คนเยี่ยงนี้ถูกเผยตัวออกมาเท่านั้น ต่อให้พวกเขามีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร ไม่แพร่มโนคติอันหลงผิด และสามัคคีธรรมเป็นครั้งคราวว่าตลอดมาพระเจ้าทรงนำพวกเขาอย่างไร พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขาอย่างไร พวกเขาได้ชื่นชมสิ่งใดบ้าง และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาพูดถึงส่วนใหญ่ย่อมเกี่ยวพันกับพระคุณ ความสุขสำราญ และผลประโยชน์ทางเนื้อหนังที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า เรื่องเสวนาเหล่านี้ไม่สัมพันธ์กับความจริงและการนบนอบพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และไม่มีความเป็นจริงความจริงแต่อย่างใด เมื่อรูปการณ์เอื้ออำนวย พวกเขาก็แสดงความเชื่อในพระเจ้าและความรักที่มีต่อพระองค์ให้เห็น รวมทั้งความอดทนและอดกลั้นต่อผู้อื่น ทั้งหมดนี้เพื่อบรรลุจุดหมายข้อเดียวคือ ได้รับพรทั้งปวงจากพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงริบพระคุณ ผลประโยชน์ และความได้เปรียบทางวัตถุที่พวกเขาเคยได้สุขสำราญไปจากพวกเขา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาก็เผยตัวออกมา ผู้คนที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตนและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนได้เป็นอันดับแรก ย่อมเดือดดาลเมื่อไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมี พวกเขาเริ่มแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อระบายความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้า พร้อมกับพยายามที่จะดึงผู้คนอีกมากให้มาเห็นใจตนและยอมรับมโนคติอันหลงผิดที่ตนมีเกี่ยวกับพระเจ้าไปด้วย ควรหยุดยั้งและควบคุมผู้คนเช่นนี้เอาไว้หรือไม่? (ควร) หัวข้อ ความคิด และมุมมองที่พวกเขาสามัคคีธรรมนั้นไม่ได้สะท้อนความเข้าใจอันถ่องแท้ในความจริง และไม่ได้ช่วยให้ผู้คนนบนอบพระเจ้าและมีความเชื่อที่จริงแท้ในพระองค์ พวกเขากลับนำผู้คนออกห่างพระเจ้า ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด การระแวดระวัง และแม้กระทั่งการปฏิเสธพระเจ้า ทำให้คนที่รับฟังมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเหล่านี้เผยแพร่คอยเตือนตัวเองอยู่เงียบๆ ว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” เหมือนพวกเขาไม่มีผิด นี่คือการรบกวนผู้อื่นซึ่งก่อเกิดจากมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเยี่ยงนี้เผยแพร่
2. แพร่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า
ผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดนั้นใช้มโนคติอันหลงผิดของตนเองมาประเมินพระวจนะของพระเจ้า ประเมินพระราชกิจของพระเจ้า ทั้งยังประเมินแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดของตน มองพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดของตน จับสังเกตและพินิจพิเคราะห์ทุกคำที่พระเจ้าตรัส ทุกพระราชกิจที่พระเจ้าทำ และทุกสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ ตามมโนคติอันหลงผิดของตน เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทำนั้นสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาก็ส่งเสียงสรรเสริญพระเจ้าดังๆ ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทำไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาสูญเสียผลประโยชน์เป็นอันมาก และสู้ทนความเจ็บปวดมากมาย พวกเขาก็ออกมาปฏิเสธพระวจนะที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจที่พระองค์ทำ พวกเขาถึงกับแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อยุยงให้ผู้คนอีกมากเข้าใจพระเจ้าผิดและระแวดระวังพระองค์ โดยกล่าวว่า “อย่าเชื่อวจนะของพระเจ้าง่ายอย่างนั้น และอย่าปฏิบัติตามวจนะของพระเจ้าง่ายๆ อีกด้วย ไม่อย่างนั้น ถ้าคุณถูกเอาเปรียบและทนทุกข์กับการสูญเสีย ก็จะไม่มีใครรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น” และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสว่า “สำหรับพวกเจ้าที่สละเพื่อเราอย่างจริงใจ เราจะอวยพรเจ้าอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน!”—พระวจนะเหล่านี้คือความจริงมิใช่หรือ? พระวจนะเหล่านี้คือความจริงเต็มร้อย ไม่มีความมุทะลุหรือการหลอกลวง ไม่ใช่คำโกหกหรือแนวคิดที่ฟังดูเลิศลอย และยิ่งไม่ใช่ทฤษฎีบางอย่างทางฝ่ายวิญญาณ—พระวจนะเหล่านี้คือความจริง พระวจนะที่เป็นความจริงนี้มีแก่นแท้ว่าอย่างไร? ว่าเจ้าต้องจริงใจเวลาสละตนเพื่อพระเจ้า คำว่า “จริงใจ” หมายความว่าอย่างไร? เต็มใจและปราศจากสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่มีเหตุจูงใจเป็นเงินหรือชื่อเสียง และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อเจตนา ความอยากได้อยากมี และจุดหมายของตัวเจ้าเอง เจ้าไม่ได้สละตนเพราะว่าถูกบีบบังคับ หรือถูกยุ ถูกหว่านล้อม หรือดึงตัวมา แต่การสละตนมาจากภายในตัวเจ้า ด้วยความเต็มใจ การสละตนเกิดจากมโนธรรมและเหตุผล นี่คือความหมายของคำว่าจริงใจ ในส่วนของความเต็มใจที่จะสละตนเพื่อพระเจ้านั้น นี่คือความหมายของคำว่าจริงใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาที่เจ้าสละตนเพื่อพระเจ้า ความจริงใจย่อมสำแดงตัวเช่นไรในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง? เจ้าไม่ทำสิ่งที่เทียมเท็จหรือคดโกง ไม่ใช้เล่ห์กลเพื่อเลี่ยงงาน และไม่ทำสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน เจ้าอุทิศหัวใจทั้งดวงและความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดของเจ้า ทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ และอื่นๆ—มีรายละเอียดมากมายเกินจะกล่าวไว้ในที่นี้! สรุปว่าการเป็นคนจริงใจนั้นผสมผสานหลักธรรมความจริงต่างๆ เอาไว้ มีมาตรฐานและหลักธรรมอยู่เบื้องหลังข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ บางคนกล่าวว่า “ในการเชื่อในพระเจ้า ถ้าฉันถวายความจริงใจและเงินออมทั้งหมดที่มีอยู่น้อยนิด ฉันจะได้รับมากขึ้นไหม? ถ้าฉันสามารถได้รับมากขึ้น เช่นนั้นก็คุ้มกับการถวายทุกสิ่งทุกอย่าง!” หลังจากถวายแล้ว พวกเขาก็มองเห็นว่าพระเจ้าไม่เคยประทานพรแก่ตน พวกเขาจึงครุ่นคิดเรื่องนี้ว่า “บางทีฉันอาจจะยังถวายไม่มากพอ อย่างนั้นฉันก็จะถวายให้มากขึ้น ฉันจะออกไปประกาศข่าวประเสริฐ” เมื่อพบเจอเรื่องยุ่งยากระหว่างประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาก็อธิษฐาน บางครั้งเมื่อพวกเขาอดมื้อกินมื้อและไม่ได้นอนดีๆ พวกเขาก็ยังคงอธิษฐานต่อไป คิดไปว่า “พระเจ้าตรัสว่าคนที่สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจย่อมจะได้รับพรมากมายเป็นแน่ บางทีความจริงใจของฉันอาจจะยังไม่มากพอ ดังนั้นฉันก็จะอธิษฐานให้มากขึ้น” ด้วยการอธิษฐาน พวกเขาจึงมีความเชื่อและไม่รังเกียจที่จะสู้ทนความยากลำบากบ้าง แท้จริงแล้วพวกเขาเริ่มมองเห็นผลลัพธ์บางอย่างจากการประกาศข่าวประเสริฐและคิดว่า “คราวนี้ฉันก็มีความจริงใจบ้างแล้ว ฉันจะรีบกลับบ้านไปดูว่าครอบครัวของฉันมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือยัง อาการป่วยของลูกดีขึ้นหรือยัง และธุรกิจของครอบครัวดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่—ดูว่ามีพรจากพระเจ้าหรือไม่” นี่ใช่การสละตนเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่? (ไม่ใช่) นี่คืออะไร? (ธุรกรรมแลกเปลี่ยน) นี่คือการเจรจาต่อรองกับพระเจ้า พวกเขากำลังใช้วิธีการของตนเองและสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น “ความจริงใจ” ตามมโนคติอันหลงผิดของตนมาทำสิ่งที่อยากทำ และได้สิ่งที่อยากได้จากการทำเช่นนั้น พวกเขาใช้ “ความจริงใจ” ในความเข้าใจของตนมาตรวจสอบยืนยันพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอาไว้นี้อย่างต่อเนื่อง สอดส่องตลอดเวลาว่าพระเจ้าตั้งพระทัยจะทำสิ่งใดกันแน่ พระองค์ทรงทำสิ่งใดไปแล้วและยังไม่ได้ทำสิ่งใดบ้าง ทั้งยังคาดคะเนอยู่เสมอว่าพระเจ้าจะประทานพรแก่ตนหรือไม่ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะประทานพรมากมายแก่ตนหรือไม่ พวกเขาคิดคำนวณอย่างต่อเนื่องว่าตนถวายสิ่งใดไปแล้วบ้างและควรได้รับมากเท่าใด พระเจ้าประทานสิ่งนั้นแก่ตนหรือยัง และพระวจนะของพระเจ้าลุล่วงแล้วหรือยัง พวกเขามองหาข้อเท็จจริงที่จะสามารถใช้ทดสอบพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอาไว้นั้นอยู่ตลอดเวลา ขณะที่สละตนเพื่อพระเจ้า พวกเขาก็อยากตรวจสอบยืนยันอยู่เสมอว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นจริงหรือไม่ จุดประสงค์ของพวกเขาคือจะดูว่า การสละตนเพื่อพระเจ้าสามารถทำให้พวกเขาได้พรจากพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาทดสอบพระเจ้าอยู่เรื่อยๆ อยากเห็นพรจากพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อจะได้ยืนยันพระวจนะของพระองค์ เมื่อพวกเขาพบว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ลุล่วงง่ายดายดังที่จินตนาการเอาไว้ ทั้งยังยากที่จะยืนยันความสัตย์จริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มเชื่ออย่างหนักแน่นว่าทุกคำที่พระเจ้าตรัสไม่จำเป็นต้องเป็นความจริง เมื่อมีเรื่องนี้ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจ พวกเขาจึงเริ่มสงสัยและตั้งคำถามกับพระเจ้า มักจะเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ บางครั้งบางคราวผู้คนที่หัวใจเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็เผยมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าออกมาระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักรและมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง พวกเขาเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาประเมินพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของตนอย่างต่อเนื่องและตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้โดยสิ้นเชิง พวกเขาก็แพร่มโนคติอันหลงผิดของตนเพื่อระบายความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้า ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสว่าพระราชกิจของพระองค์ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และผู้คนควรละทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเจ้าและสละตนเพื่อพระองค์ ให้ความร่วมมือในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จทางโลก การมีครอบครัวที่กลมเกลียว และอื่นๆ ในทำนองนั้นอีกต่อไป หลังจากที่พระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจต่อไปอีกมากมาย สามปี ห้าปี เจ็ดหรือแปดปีล่วงผ่าน บางคนก็มองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้ายังคงก้าวหน้าไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีสัญญาณว่าพระราชกิจของพระองค์กำลังจะสิ้นสุดหรือมหันตภัยกำลังจะมาและผู้เชื่อก็มีที่หลบภัยกันหมดแล้ว คนที่ใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาประเมินพระราชกิจของพระเจ้าย่อมตั้งหน้าตั้งตารอให้พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลงโดยเร็ว ผู้เชื่อจะได้สามารถมีส่วนร่วมในพรอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงกระทำการในลักษณะนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงสำเร็จลุล่วงเรื่องนี้ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ คนที่รอไม่ไหวย่อมกระสับกระส่ายและเริ่มมีความเคลือบแคลงต่างๆ พลางกล่าวว่า “งานของพระเจ้าใกล้จะจบแล้วไม่ใช่หรือ? ควรจะสิ้นสุดในไม่ช้านี้แล้วไม่ใช่หรือ? พระเจ้าบอกไว้ไม่ใช่หรือว่ามหันตภัยกำลังจะมาถึง? แล้วทำไมพระนิเวศของพระเจ้ายังคงทำงานกันมากมายอย่างนี้? งานของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อไรกันแน่? จะจบลงเมื่อไร?” ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้สนใจความจริงหรือข้อกำหนดของพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกเขาไม่สนใจที่จะปฏิบัติความจริง นบนอบพระเจ้า หรือหนีให้พ้นอิทธิพลของซาตานเพื่อให้ได้รับความรอด พวกเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษเฉพาะเรื่องจำพวกพระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด จุดจบของพวกเขาจะเป็นชีวิตหรือความตาย พวกเขาจะเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อสุขสำราญกับพรได้เมื่อใด และทัศนียภาพอันงดงามของราชอาณาจักรจะเป็นเช่นใด นี่คือสิ่งที่พวกเขานึกพะวงมากที่สุด เพราะฉะนั้น หลังจากที่สู้ทนมาระยะหนึ่งและมองเห็นว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ประเทศต่างๆ ในโลกก็ยังคงเป็นปกติ พวกเขาจึงกล่าวว่า “เมื่อไรพระวจนะของพระเจ้าจะเป็นจริง? ฉันรอมาหลายปีแล้ว—ทำไมถึงยังไม่เป็นจริง? แท้จริงแล้วพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นจริงได้หรือไม่? พระเจ้าทำตามวจนะของพระองค์หรือไม่?” และแล้วผู้คนเหล่านี้ก็หมดความอดทน กระสับกระส่าย และเริ่มอยากหาโอกาสกลับไปยังโลกปุถุชนเพื่อใช้ชีวิตของตนเอง
พระราชกิจของพระเจ้าและความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นอยู่นอกเหนือความคิดฝันและพ้นวิสัยมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เสมอ ไม่ว่าผู้คนจะพยายามเช่นไร ก็ไม่สามารถหยั่งรู้หรือประเมินพระราชกิจและความจริงได้ พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพระราชกิจของพระเจ้าใช้วิธีการใดบ้างหรือตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์จุดหมายอันใด ดังนั้นในท้ายที่สุดบางคนจึงเริ่มสงสัยว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงหรือไม่? พระเจ้าอยู่ที่ไหนกันแน่? พระเจ้าแสดงความจริงอยู่เรื่อย แต่นี่ก็แสดงมากไปแล้วไม่ใช่หรือ? พระเจ้าตรัสไว้ไม่ใช่หรือว่าพระองค์จะพาพวกเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์? พวกเราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ได้เมื่อไร? ทำไมเรื่องเหล่านี้ถึงยังไม่เป็นจริงหรือลุล่วงเสียที? แท้จริงแล้วจะใช้เวลาอีกกี่ปี? พูดกันอยู่เสมอว่าใกล้ถึงวันของพระเจ้าแล้ว แต่คำว่า ‘ใกล้ถึง’ นี้ก็พูดกันมาหลายปีแล้ว—ทำไมถึงห่างไกลและดูเหมือนไม่สิ้นสุดขนาดนี้?” พวกเขาไม่เพียงคิดเช่นนี้เท่านั้น แต่ยังแพร่ข้อสงสัยเหล่านี้ไปทั่วทุกที่อีกด้วย นี่บ่งชี้ปัญหาอันใด? หลังจากที่ฟังคำเทศนาไปมากมายนัก เหตุใดพวกเขาจึงยังคงไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย? เหตุใดพวกเขาจึงใช้มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มาตีกรอบพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เสมอ? เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถมองเรื่องเหล่านี้ตามพระวจนะของพระเจ้า? พวกเขายืนยันได้หรือไม่ว่าพระเจ้ามีอยู่จริง สามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าระบุเส้นทางไปสู่ความรอดได้หรือไม่? พวกเขาเข้าใจหรือไม่ว่าทุกคำที่พระเจ้าตรัสและทุกสิ่งที่พระองค์ทำนี้เป็นไปเพื่อช่วยผู้คนให้รอด? พวกเขาเข้าใจหรือไม่ว่าด้วยการได้รับความจริงและเข้าถึงความรอดเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถได้รับพรทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสัญญากับมวลมนุษย์เอาไว้? จากที่พวกเขาพูดและมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่ ก็ชัดเจนว่าโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดอยู่หรือพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้และตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อโดยแท้! หลังจากที่ฟังคำเทศนามานานหลายปีและทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ ในพระนิเวศของพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาได้อะไรไว้บ้าง? พวกเขายืนยันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือไม่ พวกเขาไม่มีคำตอบที่แน่ชัดในเรื่องนี้ พวกเขามีบทบาทเช่นใดในคริสตจักร? หลังจากที่ลงแรงไประยะหนึ่งโดยไม่ได้รับพร พวกเขากลับคิดไม่ซื่อ แพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อรบกวนและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด สิ่งที่พวกเขาพูดออกมาโดยไม่คิดอะไรก็คือถ้อยคำที่ตัดสินพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ พวกเขาบางคนกล่าวว่า “ฉันเคยนึกว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นภายในสามถึงห้าปี ไม่เคยคาดคิดว่าตอนนี้ผ่านไปสิบปีก็ยังคงไม่แล้วเสร็จ เมื่อไรพระราชกิจนี้ถึงจะเสร็จสมบูรณ์? บทความคำพยานก็เขียนกันอย่างต่อเนื่อง วิดีโอแสดงการร้องเพลงนมัสการและภาพยนตร์ก็ยังคงผลิตกันอยู่ ข่าวประเสริฐก็ประกาศกันตลอดเวลา—เมื่อไรถึงจะสิ้นสุด?” พวกเขาถึงกับถามผู้อื่นว่า “พวกคุณไม่คิดเหมือนกันหรอกหรือ? เอาเถอะ ไม่ว่าพวกคุณจะคิดอย่างไร ฉันก็คิดอย่างนี้ ฉันเป็นคนซื่อสัตย์ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่เหมือนบางคนที่ไม่พูดความในใจออกมา มัวแต่อมพะนำทุกอย่าง” พวกเขาช่าง “ซื่อสัตย์” เสียจริง กล้าที่จะพูดอะไรก็ได้! ที่แย่กว่านั้นก็คือพวกเขากล่าวว่า “ถ้าพระราชกิจของพระเจ้าไม่จบลงเร็วๆ นี้ ฉันจะไปหางานทำ หาเงิน และมีชีวิตของฉันเองก็แล้วกัน ตลอดหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานี้ ฉันพลาดอาหารดีๆ ไปหลายมื้อเหลือเกิน พลาดสถานที่สนุกๆ ไปมากมาย รวมทั้งความสุขสำราญมากมายทางวัตถุ! ถ้าฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ฉันก็คงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังใหญ่ มีรถ และอาจจะถึงกับท่องโลกไปหลายรอบแล้วในช่วงหลายปีมานี้ นึกย้อนไปแล้ว ชีวิตที่ไม่มีการเชื่อในพระเจ้านั้นดีมาก ฉันมีความสุขทีเดียว แม้จะว่างเปล่าสักหน่อย แต่ฉันก็สามารถสุขสำราญกับสิ่งที่ให้ความหรรษาทางเนื้อหนังได้ กินดื่มได้ดี และทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ไม่มีข้อห้าม ช่วงเวลาหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานี้ ฉันทนทุกข์มากนัก เข้มงวดกับตัวเองเกินไป! แม้ฉันจะได้รับความจริงมาบ้างและรู้สึกมั่นคงมากขึ้นอีกหน่อยในหัวใจ แต่ความจริงเหล่านี้ก็ไม่อาจแทนที่ความหรรษาทางเนื้อหนังได้! นอกจากนั้น พระราชกิจของพระเจ้าก็ไม่เคยสิ้นสุด พระเจ้าไม่เคยปรากฏให้ผู้คนเห็น ฉันเลยไม่เคยรู้สึกมั่นคงอย่างแท้จริง พวกเขาบอกว่าการเข้าใจและได้รับความจริงย่อมนำสันติสุขและความเบิกบานมาให้ แต่มีสันติสุขและความเบิกบานแล้วดีอย่างไร? ฉันไม่มีความสุขสำราญทางเนื้อหนังอยู่ดี!” ความคิดเหล่านี้วิ่งวนอยู่ในใจของพวกเขานับครั้งไม่ถ้วน และพวกเขาก็พูดทวนให้ตัวเองฟังซ้ำอยู่หลายคราว เมื่อพวกเขาเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดของตนมีเหตุผลอันชอบธรรมมากพอที่จะตั้งมั่นได้ และรู้สึกว่าเวลาสุกงอมแล้ว พวกเขามีคุณสมบัติพอที่จะจับผิดพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแพร่ความคิดเห็นและมโนคติอันหลงผิดตามที่ยกมาข้างต้น พวกเขาแพร่กระจายความไม่พอใจที่ตนมีต่อพระเจ้า รวมทั้งมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดที่ตนมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พยายามชักพาให้ผู้คนอีกมากพลอยเข้าใจพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ไปในทางที่ผิด แน่นอนว่ายังมีบางคนที่มีเหตุจูงใจแอบแฝงอีกด้วยและอยากกีดกันผู้คนให้สละตนเพื่อพระเจ้าน้อยลง อยากให้ผู้คนละทิ้งหน้าที่ในปัจจุบันของตนและปฏิเสธพระเจ้า ถ้ามีอันต้องยุบคริสตจักรไป สำหรับพวกเขาแล้วนั่นย่อมจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด จุดหมายของพวกเขาคืออะไร? “ถ้าฉันไม่ได้รับพร พวกคุณก็ไม่ควรหวังว่าจะได้เช่นกัน ฉันจะทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงเข้าไว้สำหรับพวกคุณทุกคน จะได้ไม่มีพวกคุณคนไหนมุ่งหวังได้ว่าจะได้รับความจริงหรือพรที่พระเจ้าสัญญาไว้!” เมื่อมองไม่เห็นความหวังที่จะได้รับพร พวกเขาก็สิ้นความอดทนที่จะรอคอยต่อไป ตัวพวกเขาเองไม่ได้รับพร และไม่อยากให้ผู้อื่นได้รับเช่นกัน เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิด ด้านหนึ่งพวกเขาก็กำลังระบายความไม่พอใจของตน พร่ำบ่นที่พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และวิธีการทรงพระราชกิจของพระเจ้าก็ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้คน ขณะเดียวกันพวกเขาก็อยากดึงและชักพาให้ผู้คนอีกมากพร่ำบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิด เกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และสูญสิ้นความเชื่อ พวกเขาอยากให้ผู้คนละทิ้งพระเจ้ากันมากขึ้นเพราะความเข้าใจผิดและมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระองค์ เหมือนที่พวกเขามีโดยแท้
ข. วิธีปฏิบัติต่อผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด
เมื่อมีคนในคริสตจักรแพร่มโนคติอันหลงผิดและความไม่พอใจในพระเจ้า ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นใด? ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ของชีวิตคริสตจักรหรือไม่? รบกวนชีวิตคริสตจักรที่เป็นปกติและงานของคริสตจักรใช่หรือไม่? (ใช่) เรื่องนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อที่ผู้คนมีในพระเจ้าและส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ตามปกติของพวกเขา เพราะฉะนั้น จึงต้องควบคุมพวกที่แพร่มโนคติอันหลงผิด ต่อให้พวกเขาเอ่ยเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเป็นครั้งคราวเท่านั้นก็ตาม ก็ต้องควบคุมและแยกแยะพวกเขา เพื่อดูว่าพวกเขามีความเป็นมนุษย์ประเภทใด การแพร่มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาเกิดจากการคิดลบและความอ่อนแอชั่วครั้งชั่วคราวหรือเพราะแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขามีปัญหา—หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างต่อเนื่องและเจตนาแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาผู้คนจำนวนมากขึ้นให้หลงผิด เพื่อรบกวนและทำให้ชีวิตคริสตจักรเสียหายหรือไม่ หากเป็นเพียงการคิดลบและความอ่อนแอชั่วคราว การสามัคคีธรรมความจริงเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือพวกเขาย่อมเพียงพอ หากพวกเขาไม่สนใจฟังคำแนะนำ ยังคงแพร่มโนคติอันหลงผิดและก่อกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป—ถึงขั้นทำให้ผู้อื่นคิดลบและอ่อนแอ ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ตามปกติของผู้อื่น—เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตานและควรถูกเอาตัวออกไปตามหลักธรรม เหตุใดจึงไม่ให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง? พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนี้คือผู้ไม่เชื่อหรือไม่? (ใช่) ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ผู้คนเยี่ยงนี้ก็คือผู้ไม่เชื่อ ผู้ไม่เชื่อก็เหมือนข้าวละมานท่ามกลางข้าวสาลี—ควรถูกถอนออกไปเสีย หากพวกเขาเพียงแต่สำแดงลักษณะบางอย่างของผู้ไม่เชื่อและไม่เคยทำให้เกิดการก่อกวนในชีวิตคริสตจักร อีกทั้งยังสามารถเป็นมิตรกับคริสตจักรและทำงานรับใช้ ก็สามารถปล่อยพวกเขาเอาไว้ได้ แต่พวกที่แพร่มโนคติอันหลงผิดอย่างสม่ำเสมอย่อมแสดงออกถึงมุมมองและความคิดเห็นของผู้ไม่เชื่อตลอดเวลา พวกเขาไม่ได้กล่าวสิ่งต่างๆ อย่างเรื่อยเปื่อย แต่จุดประสงค์ของพวกเขาคือยุยง ชักพาให้หลงผิด และดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นตีตัวออกหากจากพระเจ้า เจตนาของพวกเขาก็คือ “หากฉันไม่สามารถได้รับพร ฉันก็จะไม่เชื่ออีกต่อไป พวกคุณก็ไม่ควรหวังว่าจะมีใครได้รับพร และไม่ควรเชื่อด้วย! ถ้าพวกคุณยังเชื่อต่อไป ถ้าพวกคุณยืนกรานที่จะเชื่อต่อไปและในที่สุดก็ได้รับพรขึ้นมาสักวันเล่า—นั่นจะไม่ทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากหรือ? แล้วฉันจะรู้สึกว่ามีสมดุลภายในใจได้อย่างไร? แบบนั้นไม่ได้การ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียใจในภายหน้า ฉันจะก่อกวนพวกคุณ ทำให้ความเชื่อของพวกคุณคลอนแคลน ทำให้พวกคุณตีตัวออกหากจากพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และผละจากคริสตจักรไปกับฉัน—นั่นจะเป็นการดีที่สุด” นี่คือจุดประสงค์ของพวกเขา ผู้ไม่เชื่อแบบนี้ควรถูกเอาตัวออกไปมิใช่หรือ? (ใช่) ควรเอาตัวพวกเขาออกไป หากผู้ไม่เชื่อบางคนเลิกเชื่อ คริสตจักรก็จะเพียงเรียกหนังสือพระวจนะของพระเจ้าคืนจากพวกเขาและลบชื่อของพวกเขาออกไป มีผู้ไม่เชื่อคนอื่นที่มีความรู้สึกเป็นบวกต่อการเชื่อในพระเจ้าและต่อผู้เชื่อ พวกเขาไม่ได้มีบทบาทที่เป็นบวกในคริสตจักร พวกเขาเพียงช่วยเหลือเป็นครั้งคราวในฐานะที่เป็นมิตรกับคริสตจักรเท่านั้น แม้ผู้คนเช่นนี้จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือสามัคคีธรรมความจริง แต่ก็ไม่แพร่มโนคติอันหลงผิดหรือก่อกวนชีวิตคริสตจักร ตราบใดที่พวกเขาทำงานรับใช้ได้บ้าง ก็ควรจะเปิดโอกาสให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักร ไม่จำเป็นต้องเอาตัวออกไป อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ไม่เชื่อที่แพร่มโนคติอันหลงผิดอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ควรแสดงความกรุณาต่อพวกเขา พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าของตน รบกวนชีวิตคริสตจักรและทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนงานของคริสตจักร ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้คือข้ารับใช้ของซาตาน พวกเขามีมโนคติอันหลงผิด อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่เพียงไม่แสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนเท่านั้น แต่ถึงขั้นแพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดไปด้วย พวกเขาทรยศพระเจ้าและต้องการที่จะลากคนบางคนให้ย่อยยับไปพร้อมกับตน ด้วยเจตนาเช่นนี้เอง พวกเขาจึงก่อกวนงานของคริสตจักร พระเจ้าจะทรงอภัยให้พวกเขาได้หรือ? ไม่ได้ ต้องไม่ปล่อยพวกเขาเอาไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องของการต้องควบคุมหรือแยกเดี่ยวพวกเขา พวกเขาต้องถูกชำระออกไปและลบชื่อออกเป็นการถาวร โดยไม่มีการปรานีใดๆ ทั้งสิ้น!
ในคริสตจักร บางคนไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่เคยเข้าใจว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร หลังจากที่มีประสบการณ์กับบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาก็เกิดความเข้าใจผิด เกิดการไม่ยอมรับ และคำพร่ำบ่นพระเจ้า บางสิ่งที่พวกเขาพูดและทำนั้นทำหน้าที่แพร่มโนคติอันหลงผิด มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาแพร่ไปนี้ไม่ได้เป็นเพียงความเข้าใจที่เบี่ยงเบนเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น บางส่วนก็ร้ายแรงกว่านั้น เป็นการปฏิเสธโดยตรงในเรื่องที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง—พวกเขาตัดสินและกล่าวโทษพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และมโนคติอันหลงผิดอื่นๆ ที่พวกเขาเผยแพร่ก็ถึงขั้นโจมตีและหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างเปิดเผย พวกเขาไม่ได้ชำแหละหรือพยายามรู้จักความเสื่อมทรามและการกบฏของตนเองด้วยหัวใจที่นบนอบ ไม่ได้ยืนอยู่ในมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือผู้ติดตามพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ไม่สามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ตนมีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและการหยั่งรู้เจตนารมณ์ของพระองค์ มโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาแสดงออกมานั้นตรงข้ามกับความเข้าใจที่เป็นบวกเหล่านี้อย่างแท้จริง เมื่อผู้อื่นฟังมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ก็ไม่ได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่เกิดความเชื่อที่แท้จริง และแน่นอนว่าความเชื่อที่ผู้อื่นมีในพระเจ้าก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเช่นกัน แต่ความเชื่อที่ผู้อื่นมีในพระเจ้ากลับกลายเป็นคลุมเครือ ลดน้อยลง หรือถึงกับสูญสิ้นไปหมด พร้อมกันนั้นนิมิตที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าก็เริ่มพร่ามัว ยิ่งผู้คนฟังมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่ หัวใจของผู้คนก็ยิ่งเลอะเลือน ถึงขั้นที่ผู้คนรู้สึกไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดตนจึงควรเชื่อในพระเจ้า และเริ่มสงสัยว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่ ส่วนเรื่องที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงหรือไม่ พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าสามารถชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้หรือไม่ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน—สิ่งเหล่านี้ล้วนเลือนรางและน่าสงสัยสำหรับพวกเขา เมื่อผู้คนได้ฟังมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดที่บุคคลดังกล่าวเผยแพร่ พวกเขาก็เริ่มสงสัยและระแวดระวังพระเจ้า เริ่มตีกรอบพระเจ้าในหัวใจของตน เกิดความเข้าใจผิดและพร่ำบ่นพระเจ้า ถึงกับเอาใจออกหากจากพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นปัญหาอย่างมาก เมื่อพวกเขามีความคิด ทัศนะ แผนการ และความมุ่งหมายที่เป็นลบเหล่านี้ ก็ชัดเจนว่าข้อมูลและความคิดเห็นที่พวกเขายอมรับแล้วนั้นไม่สอดคล้องกับความต้องการตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความจริง—แน่นอนว่าร้อยทั้งร้อยของสิ่งเหล่านั้นมาจากซาตาน ไม่ว่าเจตนาหรือเหตุจูงใจของคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดจะเป็นเช่นใด ไม่ว่าพวกเขาจะเผยแพร่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและข่าวลือที่ไม่มีมูลโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นภัยภายในคริสตจักร ก็ควรควบคุมพวกเขาเอาไว้ แน่นอนว่าหากมีการพบเจอและแยกแยะผู้คนดังกล่าวนอกชีวิตคริสตจักร ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาในทันทีเช่นกัน หากคนที่เข้าใจความจริงสามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าหรือความเข้าใจของตนมาหักล้างและเปิดโปงพวกที่แพร่เรื่องดังกล่าว ช่วยให้พี่น้องชายหญิงแยกแยะคนพวกนั้นได้ นี่ก็ดียิ่งขึ้นไปอีก นี่คือการต่อสู้กับซาตาน หากเจ้าขาดวุฒิภาวะ เจ้าก็ควรเรียนรู้ที่จะแยกแยะและอยู่ให้ห่างจากพวกเขา หากเจ้ามีวุฒิภาวะ เจ้าก็ควรเปิดโปงพวกเขาเสีย พวกเจ้ากล้าทำดังนี้หรือไม่? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจะทำอย่างไร? นี่เผยได้มากที่สุดว่าใครสักคนมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่ เมื่อผู้เชื่อใหม่บางคนได้ฟังมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดที่ผู้คนดังกล่าวเผยแพร่เกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาย่อมตกใจและกล่าวว่า “คนที่เชื่อในพระเจ้าพูดจาแบบนี้ได้อย่างไร?” หากผู้คนที่ไม่มีรากฐานได้ฟังมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ พวกเขาจะกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอหรือไม่? พวกเขาจะยอมรับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้หรือไม่? พวกเขาจะถูกชักพาให้หลงผิดและไปจากคริสตจักรหรือไม่? ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปได้ เมื่อใครบางคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดกล่าวว่า “ฉันจะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว” ไม่ว่าในยามที่กล่าวเช่นนี้ พวกเขาจะอยู่ในสภาวะใด นั่นย่อมบ่งชี้ว่าพวกเขาสูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไปหมดสิ้นแล้วและเป็นผู้ไม่เชื่อ ไม่ว่าจุดประสงค์ที่พวกเขาแพร่คำพูดดังกล่าวจะเป็นเช่นใด เจ้าสามารถได้รับความเจริญใจจากการฟังคำพูดเหล่านี้หรือไม่? (ไม่) เมื่อเจ้าอ่อนแอและได้ฟังคำพูดเหล่านี้ เจ้าอาจจะรู้สึกว่า “คนคนนี้เข้าใจความเจ็บปวดของฉัน เวลาที่เขาพูดถึงมโนคติอันหลงผิดของเขา ก็เหมือนเขากำลังพูดถึงความคิดที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดในใจฉัน” อย่างไรก็ดี หากคนที่มีความเชื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ เขาย่อมจะคิดว่า “นี่คือการเป็นกบฏที่ร้ายแรงนัก! พูดคำพูดพวกนี้ออกมาได้อย่างไร? นี่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ฉันคงจะไม่กล้าพูดถึงสิ่งเหล่านี้หรอกเพราะเป็นการล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า!” ข้อเท็จจริงที่เขาสามารถแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ย่อมบ่งชี้ว่าแนวคิดเหล่านี้เกิดขึ้นมานานแล้วและได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของเขาแล้ว หากแนวคิดดังกล่าวเพิ่งเริ่มก่อตัวและยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังไม่พัฒนาเต็มที่จนเป็นมโนคติอันหลงผิด ตราบใดที่คนเราไม่ได้กล่าวแนวคิดพวกนี้ออกมาและยังไม่ได้รบกวนหรือชักพาให้ผู้อื่นหลงผิด นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่าเขาพอมีสำนึกอยู่บ้าง เขาสามารถระวังปาก อันเป็นการหลีกเลี่ยงผลสืบเนื่องซึ่งก็คือการถูกเอาตัวออกไป แต่หากเขาเอ่ยปากออกมาและรบกวนชีวิตคริสตจักร เช่นนั้นก็ไม่อาจมีมารยาทกับเขาได้ ควรเปิดโปงและเอาตัวเขาออกไป ผู้คนที่ไม่รักความจริงและไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงย่อมโน้มเอียงไปในทางที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิดอยู่เนืองๆ อย่างไรก็ดี คนที่มักจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมีความสามารถที่จะเข้าใจได้ ย่อมจะแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน ต่อให้มีมโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้นก็ตาม ส่วนคนที่มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดย่อมถูกพระราชกิจของพระเจ้าเผยให้เห็นและกำจัดออกไป พวกเขาคือผู้คนที่ไม่รักความจริงแม้แต่น้อยและไม่สามารถยอมรับความจริง พวกเขาล้วนรังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริง ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย
ชีวิตคริสตจักรในประเทศและสถานที่ต่างๆ ย่อมมีปัญหาเรื่องการแพร่มโนคติอันหลงผิดอย่างแน่นอน เพราะผู้คนที่ไม่รักความจริงย่อมมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกที่รังเกียจความจริง พวกที่แสวงหาความหรรษาทางเนื้อหนัง ตลอดจนผู้ไม่เชื่อ คนชั่ว และอื่นๆ มักจะเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าและพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อยู่เสมอ เนื่องจากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิด เต็มไปด้วยความคิดฝันเกี่ยวกับพระเจ้าและข้อเรียกร้องต่อพระองค์ และพวกเขาก็ไม่อาจหยั่งรู้และเข้าใจทุกพระวจนะที่พระเจ้าตรัสได้อย่างถ่องแท้ พวกเขาได้แต่เข้าใจไปตามมโนคติอันหลงผิด ความชอบส่วนตน และแม้กระทั่งเข้าใจไปตามผลได้และผลเสียส่วนตัวเท่านั้น หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันต่างๆ นานา รวมทั้งข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลต่อพระเจ้า ตลอดจนความเข้าใจผิดและคำตัดสินต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้า และอื่นๆ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผู้คนเหล่านี้จะแพร่มโนคติอันหลงผิด—นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตราบใดที่ยังมีผู้คนเช่นนี้ การแพร่มโนคติอันหลงผิดก็จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและสามารถเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เมื่อบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือทำนั้นไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความปรารถนาของพวกเขา ทั้งยังทำร้ายผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาก็เดือดดาลและเริ่มเอ่ยปากเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เริ่มขับเคี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ ผู้คนเหล่านี้ยืนหยัดต่อต้านความจริงและพระเจ้าอยู่เสมอ พิจารณาและพินิจพิเคราะห์พระวจนะของพระเจ้า พระอุปนิสัย และพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาพินิจพิเคราะห์และตรวจสอบความถูกต้องของพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง และต้องการยืนยันด้วยว่าเนื้อหนังที่บังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเจ้าสอดคล้องกับอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าหรือไม่ ระหว่างที่พวกเขาตรวจสอบอยู่นั้น พวกเขาก็พบว่ายากมากที่จะได้คำตอบที่ถูกต้องแม่นยำ ในสายตาของพวกเขานั้น แม้กระทั่งการทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงและกลายเป็นจริงก็เป็นเรื่องยากมาก เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีเรื่องมากมายให้พูดเวลาแพร่มโนคติอันหลงผิด พวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดของตนโดยไม่เลือกเวลา สถานที่ หรือบริบท เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกไม่พอใจพระเจ้าไม่ว่าในหนทางใด พวกเขาก็ใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาประเมินสิ่งต่างๆ หากพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาย่อมรีบแสดงมโนคติอันหลงผิดของตนออกมา พวกเราระบุว่าการแสดงออกเช่นนี้คือการแพร่ เหตุใดจึงเรียกว่า “การแพร่”? เพราะสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาแสดงออกมานั้นไม่มีผลที่เป็นบวกต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ชีวิตคริสตจักร หรืองานในพระนิเวศของพระเจ้า ตรงกันข้าม กลับก่อให้เกิดแต่การก่อกวน การขัดขวาง และความเสียหายเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นการถูกต้องที่เรียกการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ว่า “การแพร่”
หลังจากที่เจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะปัญหาเรื่องการแพร่มโนคติอันหลงผิดในขั้นพื้นฐานบ้างแล้ว เจ้าก็ควรแยกแยะและชำแหละมโนคติอันหลงผิดและความเห็นต่างๆ ที่ผิดพลาดของผู้คนตามความจริง จากนั้นจึงจัดการและแก้ไขมโนคติและความเห็นเหล่านั้นตามข้อบังคับของพระนิเวศของพระเจ้า แน่นอนว่าผู้นำและคนทำงานย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวโดยไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้ พร้อมกันนั้น หลังจากที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนฟังสามัคคีธรรมนี้แล้วย่อมมีภาระผูกพันและความรับผิดชอบในการเปิดโปงและชำแหละผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด รวมทั้งคำพูดและพฤติกรรมของพวกเขาด้วย หากเจ้าไม่มีความกล้าที่จะหยุดยั้งหรือควบคุมพวกเขา เจ้าก็สามารถสามัคคีธรรมและถกเถียงกับพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้าและตามความจริงที่เจ้าเข้าใจ การถกเถียงเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด? เพื่อให้คนที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริงตระหนักได้หลังจากที่ฟังการถกเถียงแล้วว่าคำพูดของใครตรงตามความจริงบ้าง แทนที่จะสับสนและถูกชักพาให้หลงผิดโดยมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนซึ่งบางคนเผยแพร่ นี่เป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและชีวิตคริสตจักร เมื่อพบว่าใครสักคนกำลังกล่าวคำพูดที่ไม่ตรงตามความจริง—ไม่ว่าจะเป็นมโนคติอันหลงผิดหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของมนุษย์—ก็ควรมีการถกเถียงกัน การถกเถียงกันเช่นนี้ย่อมเจริญใจผู้คน อย่างน้อยที่สุด หลังจากที่รับฟังการถกเถียงเหล่านี้แล้ว คนดูย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคำพูดของพวกที่แพร่มโนคติอันหลงผิดนั้นเป็นมโนคติอันหลงผิดอย่างแท้จริง และสามารถเข้าใจได้ว่ามีแง่มุมใดของมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้บ้างที่ไม่ตรงกับความจริง มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้มีแก่นแท้เช่นไร เหตุใดจึงไม่สอดคล้องกับความจริง เหตุใดจึงถูกระบุว่าเป็นมโนคติอันหลงผิด เหตุใดผู้คนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จึงควรถูกควบคุม และอื่นๆ—พวกเขาย่อมเกิดความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องเหล่านี้ได้ แทนที่จะถูกชักพาให้หลงผิดและปั่นหัวให้สับสนเลอะเลือน แม้มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเผยแพร่จะสามารถก่อให้เกิดการรบกวนและความเสียหายบางอย่างแก่การเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและต่อชีวิตคริสตจักร แต่การมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วไม่ใช่สิ่งเลวร้ายสำหรับผู้คน อย่างน้อยที่สุดก็เปิดโอกาสให้พวกเขามีวิจารณญาณแยกแยะมากขึ้น มองเห็นว่าตัวตนที่แท้จริงของคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดเป็นอย่างไร มองเห็นว่าพวกเขาเผยอุปนิสัยเช่นใดออกมาเวลาแพร่มโนคติอันหลงผิด และมองเห็นความแตกต่างระหว่างความจริงกับมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขาเผยแพร่ ประการหนึ่ง ผู้คนย่อมจะสามารถแยกแยะความเห็นเหล่านี้และมีภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้ อีกประการหนึ่ง พวกเขาก็จะมีวิจารณญาณแยกแยะบางอย่างต่อผู้คนดังกล่าวอีกด้วย และรู้ว่าคำพูดประเภทใดบ้างที่กล่าวโดยผู้ไม่เชื่อ โดยคนที่ไม่มีความจริงแต่อย่างใดและมักจะเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเอาไว้ ทั้งยังรู้ว่าความเชื่อของคนเหล่านี้ไม่แท้จริง—อย่างน้อยที่สุด ผู้คนก็สามารถมีวิจารณญาณแยกแยะเช่นนี้ แน่นอนว่าหากเจ้ายังไม่เคยเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ก็จงอย่าบุ่มบ่ามอธิษฐานโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อให้ข้าพระองค์สามารถมองเห็นได้ว่า ‘มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนเผยแพร่’ นั้นมีความหมายว่าอย่างไร” การเป็นพยานรู้เห็นการแพร่มโนคติอันหลงผิดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สามารถทำให้เจ้าถูกชักพาให้หลงผิดโดยง่าย และเมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น เจ้าก็ควรรับมือให้ถูกต้อง จงอย่าหลีกเลี่ยงหรือเปิดโอกาสให้เรื่องเหล่านี้หลุดรอดไปได้ จงเผชิญหน้าอย่างถูกต้อง และจัดการกับสภาพแวดล้อมแต่ละอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าด้วยท่าทีจริงจังและเข้มงวด นี่คือท่าทีซึ่งคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงควรมีเพื่อที่จะได้มาซึ่งความจริง เมื่อเจ้าพบเจอคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด เจ้าควรเรียนรู้ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์ด้วยเถิด ประทานความรู้แจ้ง และชี้แนะข้าพระองค์ เพื่อให้สามารถแยกแยะในคำพูดเหล่านี้และคนประเภทนี้ได้ และทำให้ข้าพระองค์รับรู้ได้ว่ามีมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเหล่านี้อยู่ในตัวข้าพระองค์บ้างหรือไม่” แล้วหลังการอธิษฐาน จงออกไปมีประสบการณ์กับเรื่องนี้ แน่นอนว่านี่ยังเป็นช่วงเวลาที่เจ้าจะถูกทดสอบเช่นกันว่าเจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงมากเพียงใดและมีวุฒิภาวะมากเท่าใด เวลาที่ใครสักคนกำลังแพร่มโนคติอันหลงผิด หากเจ้าได้ยินเขาและไม่มีปฏิกิริยาหรือความคิดใดๆ อยู่ข้างใน กลับทำตัวเหมือนวิทยุเครื่องหนึ่งเท่านั้น—ยอมรับมโนคติอันหลงผิดทุกอย่างที่พวกเขาแสดงออกและเผยแพร่ ปราศจากการไม่ยอมรับหรือความสามารถที่จะปฏิเสธ และยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีความสามารถที่จะแยกแยะอีกด้วย—นี่เป็นปัญหาอย่างยิ่งมิใช่หรือ? เมื่อได้ยินใครแสดงมโนคติอันหลงผิดออกมา บางคนก็รู้สึกอยู่ในหัวใจว่าสิ่งที่คนคนนั้นพูดไม่ถูกต้อง ต้องการสามัคคีธรรมและถกเถียงกับคนคนนั้น แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสม หรือควรเปิดโปงและชำแหละคนคนนั้นอย่างไร พวกเขายังกลัวด้วยว่าหากตัวเองไม่สามารถโต้กลับได้อย่างมีประสิทธิผล พวกตนก็จะหน้าแดง แล้วเมื่อพ่ายแพ้ในที่สุด พวกเขาก็จะเสียหน้าและตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด อย่างไรก็ดี พวกเขารู้สึกไม่เต็มใจเช่นกันที่จะปล่อยผ่านโดยไม่ถกเถียง และคิดว่า “ฉันฟังคำเทศนามาแล้วมากมายและเข้าใจไม่ใช่น้อย แล้วทำไมถึงไม่มีคำพูดมาหักล้างพวกเขา? ฉันไม่มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า แล้วตอนนี้เมื่อถึงเวลาที่จะหักล้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของพวกเขา ทำไมฉันถึงอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนไม่ได้?” พวกเขาเฝ้าดูคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดพูดจามากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่คำพูดของฝ่ายนั้นก็ยิ่งรุนแรงและน่าชิงชังมากขึ้นทุกที แต่พวกเขาก็ไม่สามารถหักล้างหรือชำแหละคำพูดเหล่านั้นได้เลย ไม่สามารถลุกขึ้นมาเปิดโปง และยิ่งไม่สามารถหยุดยั้งอีกฝ่ายได้ ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกร้อนใจและหนักใจอย่างยิ่ง ตอนนี้นี่เองที่พวกเขาตระหนักว่าตนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และมองเห็นว่าความเข้าใจในความจริงที่ตนมียังไม่ได้ก่อตัวเป็นมุมมองที่ถูกต้องและรอบด้าน เป็นเพียงวลีปลีกย่อย เป็นความสว่างและแนวคิดที่กระจัดกระจาย ไม่ใช่การรู้ความจริงโดยแท้แต่อย่างใด พวกเขารู้ดีมากว่าคนคนนี้กำลังแพร่มโนคติอันหลงผิดและชักพาผู้คนให้หลงผิด คนคนนี้คือผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาก็ต้องการเปิดโปงอีกฝ่าย หักล้างทัศนะของอีกฝ่าย เพียงแต่พวกเขาไม่มีถ้อยคำที่เหมาะสมและทรงพลังที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาทำได้แค่เพียงกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีงาม คุณต้องยอมรับในเรื่องนี้ พระเจ้าทรงบริสุทธิ์และเพียบพร้อม พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นอย่างที่คุณพูดเลย พระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และผู้คนก็เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาควรนบนอบพระเจ้า ผู้คนไม่ได้สูญเสียอะไรเพราะนบนอบพระเจ้า” พวกเขาได้แต่กล่าวทฤษฎีที่ตื้นเขินเหล่านี้ซึ่งไม่ตรงกับประเด็นสำคัญเลย หลังจากที่มีประสบการณ์กับเหตุการณ์พิเศษนี้แล้ว พวกเขาจึงตระหนักว่าวุฒิภาวะของตนน้อยเกินไปและคิดว่า “ทำไมฉันถึงไร้ความสามารถขนาดนี้? ปกติแล้ว ฉันสามารถกล่าวคำสอนอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายได้อย่างยืดยาว พูดได้คมคายทีเดียว ฉันสามารถพูดในที่ชุมนุมได้นานหนึ่งชั่วโมงโดยไม่มีปัญหา เขียนบันทึกคำเทศนาได้สามถึงห้าหน้าโดยไม่สะทกสะท้านเลย รู้สึกมั่นใจในเรื่องนี้มาก แต่เมื่อเผชิญหน้าคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิดแบบนี้ คนที่ตัดสินและหมิ่นประมาทพระเจ้าเช่นนี้ เพราะอะไรฉันถึงไม่มีความตื่นตัว ไม่มีการตอบสนองเลย? ทำไมฉันถึงเปิดโปงและโต้แย้งอย่างทรงพลังไม่ได้?” พวกเขาค้นพบสิ่งใดจากเรื่องนี้? ไม่ใช่พวกเขาตระหนักว่าตนไม่เข้าใจความจริงหรอกหรือ? การตระหนักเช่นนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี? (เป็นเรื่องดี) ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบวุฒิภาวะที่แท้จริงของตน หากพวกเขาไม่เคยพบเจอคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด พวกเขาก็อาจจะยังคงคิดว่าตนนั้นมีวุฒิภาวะ เข้าใจความจริง มีวิจารณญาณแยกแยะ สามารถมองทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง สามารถประกาศคำสอนฝ่ายวิญญาณได้หลากหลาย และพอจะสามารถสามัคคีธรรมความจริงทุกประการได้ด้วยความคุ้นเคยยิ่ง อย่างไรก็ดี เมื่อเผชิญหน้าคนที่แพร่มโนคติอันหลงผิด แม้เขาจะรู้ว่านั่นไม่ถูกต้อง แต่ก็พบว่าตนเองอับจนหนทาง ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ และลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ นี่เป็นเรื่องน่าอับอายหรือไม่? เป็นเรื่องที่สง่างามหรือไม่? (ไม่ใช่) แล้วควรแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร? หากเจ้าไม่มีคำพูดที่ถูกต้องมาถกเถียงกับพวกเขา และเจ้าต้องการหลีกเลี่ยงความอับอายขายหน้า ต้องการตั้งมั่นในคำพยานของตนเพื่อที่จะทำให้ซาตานอับอายและพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงอีกด้วย เจ้าควรทำอย่างไร? เราจะบอกวิธีที่ได้ผลแก่พวกเจ้าว่า หากเจ้าเห็นพวกเขาแพร่มโนคติอันหลงผิดอย่างไม่จบไม่สิ้น และผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ ทั้งยังได้รับอิทธิพลจากพวกเขา แต่เจ้าก็ไม่สามารถเถียงชนะพวกเขาได้ เช่นนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่จะเลิกเกรงใจกัน จงทุบโต๊ะและบอกว่า “หุบปาก! คุณพูดเรื่องอะไรอยู่? ฉันอาจจะเถียงชนะคุณไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าคุณคือผู้ไม่เชื่อ! ดูเรื่องที่คุณพูดสิ มีสักคำไหมที่ตรงกับความจริง? คุณได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามานานหลายปี—เคยเอ่ยคำสรรเสริญหรือคำพยานให้พระเจ้าสักคำไหม? คุณมีความคับข้องใจเกี่ยวกับพระเจ้า หากคุณสามารถทำได้ ก็ตรงไปที่สวรรค์ชั้นที่สามและทูลต่อพระเจ้าโดยตรงเลย เลิกทำการก่อกวนที่นี่ ตอนนี้ฉันขอสั่งคุณอย่างเป็นทางการให้ไปให้พ้น!” พวกเจ้ากล้าพูดเช่นนี้หรือไม่? นี่คือการหุนหันพลันแล่นหรือไม่? (ไม่ใช่) นี่คือการป่าวประกาศต่อซาตาน จงทำเช่นนี้ก็พอ จงบอกพวกเขาว่า “ไปเสีย เจ้าผู้ไม่เชื่อ! คนเลวทรามที่ไร้มโนธรรมอย่างคุณได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไปมากมายอย่างสูญเปล่า คุณไม่คู่ควรที่จะเป็นมนุษย์!” เพียงสองคำก็พอ “ไปเสีย!” ฟังดูเป็นเช่นไร? ทรงพลัง แต่จะใช้อย่างไม่ยั้งคิดไม่ได้ เจ้าไม่ควรกล่าวเช่นนี้กับพี่น้องชายหญิงที่เป็นผู้เชื่อใหม่และยังไม่เข้าใจความจริง แต่ควรกล่าวกับผู้ไม่เชื่อและข้ารับใช้ของซาตาน เจ้าสามารถออกคำสั่งอย่างไร้ความกรุณาเช่นนี้ได้ว่า “นี่คือพระนิเวศของพระเจ้า เป็นบ้านของพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง บ้านของผู้ติดตามพระเจ้า นี่ไม่ใช่บ้านของหมู่มารและเหล่าซาตาน ที่นี่ไม่ต้องการหมู่มารและเหล่าซาตาน คุณเป็นมารและเป็นซาตาน ดังนั้นจงไปเสีย!” เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? (เหมาะสม) นี่ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด เพียงเพราะวุฒิภาวะของพวกเจ้ามีน้อย เพราะพวกเจ้าไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะสู้รบกับซาตาน เราจึงสอนวิธีการนี้ให้ แท้จริงแล้ว นี่ไม่ใช่วิธีการที่สมบูรณ์แบบ วิธีการที่สมบูรณ์แบบก็คือ—หากพวกเจ้าเข้าใจความจริงมากมาย มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง—พวกเจ้าย่อมสามารถหักล้างพวกเขาได้ และพวกเจ้าย่อมหักล้างได้ทุกเรื่องจนพวกเขาอับอายโดยสิ้นเชิง แล้วในที่สุดพวกเขาก็กล่าวแก่ทุกคนว่า “ฉันไม่อาจรักษาความเชื่อของตนเอาไว้ได้ ฉันละอายเกินกว่าจะสู้หน้าพวกคุณได้ ฉันเป็นมาร เป็นซาตาน ฉันจะไปจากคริสตจักรเอง” ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าไม่มีความสามารถเช่นนี้ พวกเจ้าก็ควรปฏิบัติต่อคนที่มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดด้วยวิธีการที่เราเพิ่งสอนพวกเจ้าไป
ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วใช่ไหมว่าควรจัดการคนที่มักจะแพร่มโนคติอันหลงผิดในคริสตจักรอย่างไร? คราวนี้พวกเจ้าสามารถแยกแยะพวกที่แพร่มโนคติอันหลงผิดเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดได้แล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ประเภทหลักของถ้อยคำที่แพร่มโนคติอันหลงผิดมีอะไรบ้าง? ประเภทหนึ่งนั้นมุ่งเป้าไปที่พระวจนะของพระเจ้า อีกประเภทหนึ่งมุ่งเป้าไปที่พระราชกิจของพระเจ้า ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็มุ่งเป้าไปที่พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า ประเภทของถ้อยคำเหล่านี้มีตั้งแต่ระดับเบา—คือความคิดฝันและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า—จนถึงร้ายแรง เช่น การตัดสิน การกล่าวโทษ และการหมิ่นประมาทพระเจ้า นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ ยังมีความคิดเห็นที่เป็นลบและไม่ยอมรับจากผู้คน—ที่แสดงออกถึงสิ่งต่างๆ เช่น คำพร่ำบ่น การท้าทาย และความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อพระเจ้า สรุปแล้ว คำพูดที่แพร่มโนคติอันหลงผิดล้วนมีธรรมชาติของการท้าทาย การตัดสิน การกล่าวโทษ และการหมิ่นประมาทพระเจ้าทั้งสิ้น ผลสืบเนื่องที่เกิดจากถ้อยคำเหล่านี้ก็คือการทำให้ผู้คนระแวงและระแวดระวังพระเจ้า เข้าใจพระองค์ผิดและพาตัวออกห่างจากพระองค์ ถึงขั้นปฏิเสธพระองค์ สิ่งเหล่านี้ควรแยกแยะได้โดยง่าย
ค. หลักธรรมและเส้นทางแก้ไขมโนคติอันหลงผิด
ยังมีบางสิ่งเกี่ยวกับการแพร่มโนคติอันหลงผิดที่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมกัน บางคนกล่าวว่า “เมื่อเป็นเรื่องของการแพร่มโนคติอันหลงผิดในชีวิตคริสตจักร พวกเราต้องปฏิบัติการเปิดโปง ชำแหละ และควบคุมเอาไว้ อย่างไรก็ดี ระหว่างที่เชื่อในพระเจ้า พวกเรามีแนวโน้มที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิดต่างๆ นานา นี่คือสิ่งเหลือวิสัยที่พวกเราจะควบคุมได้ ดังนั้นในเรื่องของมโนคติอันหลงผิด พวกเราควรทำตามเส้นทางปฏิบัติแบบใดเพื่อให้ตนสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และไม่ทำให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวางขณะใช้ชีวิตคริสตจักร ไม่ส่งผลเสียต่อผู้อื่น หรือทำให้ชีวิตของผู้อื่นเกิดการสูญเสีย? หนทางปฏิบัติตนที่เหมาะสมคืออะไร?” นี่คือข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดมิใช่หรือ? (ใช่) บางคนกล่าวว่า “มีแต่คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่จะเกิดมโนคติอันหลงผิด” ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่? ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็อาจเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าได้เป็นครั้งคราวเช่นกันเมื่อพวกเขาพบเจอสถานการณ์พิเศษ เพราะก่อนที่ผู้คนจะเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้า และก่อนที่พวกเขาจะรู้จักพระเจ้านั้น พวกเขาย่อมจะเกิดมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเกี่ยวกับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็คือแนวคิดบางอย่างของมนุษย์ที่คลาดเคลื่อนและไม่เป็นไปตามความจริง มโนคติอันหลงผิดบางอย่างอาจสอดคล้องกับศีลธรรม ปรัชญา วัฒนธรรมดั้งเดิม ทฤษฎีทางจริยธรรม และอื่นๆ และภายนอกอาจดูเหมือนว่าแนวคิดเหล่านี้ถูกต้อง อย่างไรก็ดี แนวคิดเหล่านี้ล้วนไม่สอดคล้องกับความจริงและรังแต่จะขัดแย้งกับความจริงเท่านั้น นี่คือข้อเท็จจริง ผู้คนควรเผชิญหน้ากับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อย่างไร? ก่อนที่ผู้คนจะไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็มีมโนคติอันหลงผิดมากมายอยู่ในตัวพวกเขาแล้ว นี่เป็นมโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม ระหว่างขั้นตอนที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง ในตัวพวกเขาย่อมจะเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นมาใหม่อย่างมากมายทีเดียวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและตามบริบทต่างๆ นี่คือมโนคติอันหลงผิดที่ได้รับมา มโนคติอันหลงผิดทั้งสองรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องเผชิญในการเดินทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของตน แล้วมีหนทางแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบ้างหรือไม่? มีเส้นทางปฏิบัติหรือไม่? บางคนกล่าวว่า “เรื่องนี้จัดการได้ง่าย พวกเราสามารถขบถต่อมโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่แต่เดิมของตนได้ จึงไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ พวกเราแน่ใจว่าระหว่างที่ไล่ตามเสาะหาความจริง มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและถูกกำจัดออกไปเมื่อพวกเราเข้าใจความจริง ส่วนมโนคติอันหลงผิดที่ได้รับมานั้น พวกเราพึ่งพาการแก้ไขของพระเจ้า พวกเราจึงไม่ถูกมโนคติเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้เช่นกัน เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้ ในหัวใจของพวกเราจึงยังไม่เกิดมโนคติอันหลงผิดที่สามารถนำไปสู่สิ่งต่างๆ เช่น การไม่ยอมรับ การกล่าวโทษ หรือการหมิ่นประมาทพระเจ้า” วิธีการปฏิบัติเช่นนี้ วิธีเผชิญหน้าและจัดการกับมโนคติอันหลงผิดเช่นนี้เป็นอย่างไร? จะสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดได้หรือไม่? มีข้อเสียหรือไม่? นี่คือท่าทีในเชิงรุกที่เป็นบวกต่อมโนคติอันหลงผิดหรือไม่? (ไม่) ท่าทีเช่นนี้มีผลที่เป็นบวกต่อผู้คนบ้างหรือไม่? หากเจ้าใช้วิธีการเฉยเมยโดยที่เจ้าเพิกเฉยต่อมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ เก็บเอาไว้ส่วนที่ลับที่สุดในหัวใจของเจ้า เหยียบเอาไว้ อธิษฐานทุกครั้งที่มันผุดขึ้นมา จากนั้นก็ถือว่าได้แก้ไขแล้ว เมื่อใดที่มโนคติเหล่านี้ปรากฏตัวออกมาอีก ก็จัดการเช่นเดิม หลังจากนั้นก็ไม่คิดถึงอีกและทำราวกับว่านี่ไม่ใช่ปัญหา โดยเชื่อว่า “ไม่ว่าอย่างไร พระเจ้าที่ฉันเชื่อก็ยังคงเป็นพระเจ้าของฉัน ฉันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า และพระเจ้าก็ยังคงเป็นพระผู้สร้างของฉัน เรื่องนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”—นี่คือหนทางแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่มีประสิทธิผลที่สุดหรือไม่? จะสัมฤทธิ์ผลที่เป็นบวกหรือไม่? การปฏิบัติเช่นนี้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่ต้นตอได้อย่างครบถ้วนหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าไม่ ไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จะใหญ่หรือเล็ก มากหรือน้อย ตราบใดที่ยังดำรงอยู่ในหัวใจของผู้คน ย่อมจะมีผลกระทบที่เป็นลบต่อการเข้าสู่ชีวิตและสัมพันธภาพที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ทำให้เกิดการก่อกวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้คนอ่อนแอ เมื่อพวกเขาเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่อาจเอาชนะได้ เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่มีเส้นทางปฏิบัติ และไม่รู้ว่าจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้อย่างไร และเมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนไม่มีหวังในความรอด มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็จะผุดขึ้นมาในตัวพวกเขาอย่างรวดเร็ว ครอบงำความคิดของพวกเขา ยึดครองหัวใจ และอาจถึงกับส่งผลต่อการที่พวกเขาจะอยู่หรือจากไป รวมทั้งมีอิทธิพลต่อเส้นทางที่พวกเขาเลือก อาจเป็นไปได้ว่ามีมโนคติอันหลงผิดที่เจ้าไม่เคยใส่ใจและไม่เคยส่งผลต่อเจ้าหรือทำให้เจ้าล้มลงเลย—เจ้าจึงเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้าเป็นนายของมัน เจ้าสามารถควบคุมมันได้—แต่หลังจากมีประสบการณ์กับความล้มเหลวบางอย่าง การถูกปลดหรือการถูกกำจัดออกไป หรือถูกพระเจ้าบ่มวินัยและสั่งสอนอย่างหนัก หรือแม้ในยามที่เจ้ารู้สึกเหมือนเจ้าตกลงไปในบาดาลลึกเสียแล้ว ในเวลานั้น มโนคติอันหลงผิดนั้นๆ ก็ไม่ได้เป็นเพียงของประดับสำหรับเจ้าอีกต่อไป ต่อให้เจ้าเพิกเฉย มันก็สามารถรบกวนและชักพาความคิดของเจ้าให้หลงผิดได้ ถึงกับครอบงำความคิดและมุมมองของเจ้า ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า หากเจ้าไม่มีวิธีการหรือหลักธรรมของการปฏิบัติที่เหมาะสมไว้จัดการกับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ หรือหากเจ้าไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนต่อมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็จะส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตหรือตัวเลือกเฉพาะหน้าของเจ้าเป็นระยะ อาจถึงกับมีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าและท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ดังนั้น เวลาเผชิญหน้ากับมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริบทใดก็ตาม ผู้คนควรใช้ท่าทีและวิธีการเช่นใดมาเผชิญหน้าและจัดการกับมโนคติเหล่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่เป็นบวก? นี่คือคำถามที่ควรสามัคคีธรรมกันให้ชัดเจน
ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังย่อมมีเจตจำนงเสรีและความคิดที่เป็นอิสระ ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับการศึกษาหรือไม่ มีขีดความสามารถเช่นใด หรือเป็นเพศใด ตราบใดที่ผู้คนมีความคิด พวกเขาย่อมจะเกิดมโนคติอันหลงผิด หากมีมโนคติอันหลงผิดครอบงำอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าก็จะต่อต้านพระเจ้าเพราะมโนคติอันหลงผิดนี้ ดังนั้น จึงต้องแก้ปัญหาเรื่องผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด ไม่เพียงพวกที่แพร่มโนคติอันหลงผิดเท่านั้นที่ทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิด เพียงแต่คนเหล่านั้นแพร่มโนคติอันหลงผิดของตน ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพระเจ้า เผยแพร่ทัศนะและถ้อยคำที่ตัดสินพระองค์โดยไม่ใส่ใจ แต่พวกที่ไม่แพร่มโนคติอันหลงผิดไม่มีสิ่งเหล่านี้เลยหรือ? ทุกคนล้วนมีมโนคติอันหลงผิด นี่คือข้อเท็จจริง ความแตกต่างก็คือคนที่จงใจแพร่มโนคติอันหลงผิดมีแก่นแท้ธรรมชาติที่รังเกียจความจริงโดยกำเนิด เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริงและถึงกับเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดของตนนั้นถูกต้องและสอดคล้องกับความจริงทั้งสิ้น หากมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาขัดแย้งกับความจริง พวกเขาย่อมเลือกที่จะยอมรับมโนคติอันหลงผิดของตนแทนที่จะยอมรับความจริง นี่คือจุดที่พวกเขาล้มเหลวและคือสาเหตุที่พวกเขาถูกควบคุมและกล่าวโทษ แล้วเมื่อผู้คนธรรมดาทั่วไปเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นมา เหตุใดจึงไม่กล่าวโทษพวกเขา? เป็นเพราะพวกเขาส่วนใหญ่พูดและปฏิบัติตนด้วยความมีเหตุผล และรู้อยู่แก่ใจว่ามโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ไม่สอดคล้องกับความจริงและไม่ถูกต้อง แม้พวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนได้ในทันที แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะละทิ้ง ด้วยเหตุนี้เมื่อพวกเขาเลือกที่จะยอมรับความจริง มโนคติอันหลงผิดในตัวพวกเขาจึงถูกความจริงเข้าแทนที่และได้รับการแก้ไข พวกเขาปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนและไม่ได้รับอิทธิพล ถูกควบคุม หรือครอบงำจากสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป ดังนั้น แม้ผู้คนเหล่านี้จะมีมโนคติอันหลงผิด แต่พวกเขาก็ไม่เผยแพร่ออกไป พวกเขายังคงสามารถทำหน้าที่ของตนได้ตามปกติ ติดตามพระเจ้าได้ตามปกติ ยอมรับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า นบนอบอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า และนบนอบความรอดของพระเจ้า พวกเขายอมรับอยู่ตลอดเวลาว่าตนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระเจ้าคือพระผู้สร้าง ไม่ว่าพวกเขาจะเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเช่นใดเอาไว้ในหัวใจ พวกเขาก็สามารถรักษาสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า รักษาสัมพันธภาพที่เป็นปกติระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง ยับยั้งชั่งใจไม่ให้ละทิ้งหน้าที่ของตน ยับยั้งชั่งใจไม่ให้ละทิ้งพระนามของพระเจ้า และความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่หากไม่เคยแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเลย มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็สามารถทำลายผู้คนและนำพวกเขาไปสู่ความย่อยยับได้ เพราะฉะนั้น พวกเราจึงยังคงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมกันว่าควรเผชิญหน้าและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดอย่างไรจึงจะดีที่สุด
พวกเจ้าคิดว่าสิ่งใดแก้ไขง่ายกว่ากัน มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีมาแต่เดิมก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า หรือมโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นเพราะสภาพแวดล้อมและบริบทพิเศษหลังจากที่ผู้คนมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว? (มโนคติอันหลงผิดที่มีมาแต่เดิมแก้ไขง่ายกว่า) ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อพวกเขาเริ่มเชื่อในพระองค์ในตอนแรกแก้ไขง่ายกว่า ส่วนมโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าหลังจากที่มาเชื่อในพระองค์แล้วนั้นแก้ไขไม่ง่ายนัก—นี่เป็นถ้อยแถลงเชิงทฤษฎี แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง คำว่า “เชิงทฤษฎี” หมายความอย่างไร? หมายความว่าผู้คนมีข้อสรุปเช่นนี้ตามหลักปรัชญาและเหตุผล หลังจากที่ผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริงเกี่ยวกับนิมิตเป็นครั้งแรก พวกเขาก็ทิ้งและแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบางอย่างของตน ในความเป็นจริง การแก้ไขนี้สัมฤทธิ์ในระดับคำสอนเท่านั้น ดูเหมือนว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว แต่มโนคติอันหลงผิดมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้คนติดตามพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับมโนคติอันหลงผิดที่พวกเขามีอยู่แต่แรก ในทางทฤษฎีแล้ว ระหว่างมโนคติอันหลงผิดสองประเภทนี้ มโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่แต่เดิมแก้ไขง่ายกว่า แต่ในความเป็นจริง ตราบใดที่ผู้คนสามารถยอมรับความจริงและรักสิ่งที่เป็นบวกได้ ตราบใดที่พวกเขาบรรลุถึงความเข้าใจในความจริงได้ มโนคติอันหลงผิดทั้งสองประเภทนี้ก็ย่อมแก้ไขได้โดยง่าย ตัวอย่างเช่น พวกเจ้าบางคนบอกว่ามโนคติอันหลงผิดที่มีอยู่แต่เดิมนั้นแก้ไขง่ายกว่า แต่เจ้าอาจพบเจอคนบางคนที่มีความเข้าใจบิดเบี้ยว ดื้อรั้นมาก และจดจ่ออยู่กับรายละเอียดที่ไม่สำคัญ คนที่สืบค้นพระคัมภีร์ คัมภีร์โบราณทางฝ่ายวิญญาณ และการตีความของผู้ให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ผู้คนเหล่านี้นำสิ่งที่ตนค้นพบมากล่าวซ้ำให้เจ้าฟัง และไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับ พวกเขาไม่อาจยอมรับคำเทศนาที่บริสุทธิ์ ความจริง หรือคำพูดที่ถูกต้องได้ เวลาฟังสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจึงไม่ซึมซับ นัยหนึ่ง ความสามารถในการทำความเข้าใจของพวกเขามีปัญหา อีกนัยหนึ่ง พวกเขาไม่รักสิ่งที่เป็นบวกหรือความจริง แต่กลับรักที่จะดื้อดึงและจดจ่ออยู่กับรายละเอียดที่ไม่สำคัญ ชอบเล่นกับภาษา ชอบทฤษฎีและเทววิทยา ผู้คนเช่นนี้จะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้หรือไม่? (ไม่ได้) เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง อุปนิสัย และความชอบส่วนตัวของผู้คนดังกล่าว พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง มโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีแต่เดิมนั้น แท้จริงแล้วตื้นเขินและผิวเผินมาก จึงแก้ไขได้ง่ายมาก หากคนคนหนึ่งมีการคิดอ่านที่เป็นปกติ มีความสามารถในการทำความเข้าใจตามปกติ เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับเขาในเรื่องนิมิต ตราบใดที่เขาเข้าใจ เขาย่อมปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้อย่างง่ายดาย แต่มีผู้คนประเภทหนึ่งที่ไม่มีการคิดอ่านที่เป็นปกติ ไม่สามารถเข้าใจความจริง และไม่ยอมรับความจริง ผู้คนเช่นนี้จะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้หรือไม่? (ไม่ได้) เพราะฉะนั้น มโนคติอันหลงผิดของผู้คนดังกล่าวจึงแก้ไขยาก หากคนคนหนึ่งมีสำนึกที่ปกติและสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นหลังจากที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเขาจะเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเช่นใด และไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้จะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมหรือบริบทใด เขาย่อมไม่โต้แย้งพระเจ้า เขาย่อมกล่าวว่า “ฉันเป็นมนุษย์ ฉันมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม การคิดอ่านและการกระทำของฉันอาจผิดได้ พระเจ้าคือความจริง พระเจ้าไม่เคยผิด ไม่ว่าความคิดของฉันจะมีเหตุผลอย่างไร ก็ยังคงเป็นความคิดของมนุษย์ เกิดจากมนุษย์ และไม่ใช่ความจริง หากความคิดเหล่านี้ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าความคิดเหล่านี้จะมีเหตุผลอย่างไร มันก็ผิด” ตอนนี้เขาอาจไม่รู้แน่ชัดว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ผิดตรงไหน แล้วเขาจะปฏิบัติอย่างไร? เขาก็ปฏิบัติเรื่องการนบนอบ ไม่ดื้อรั้น ไม่หมกมุ่นอยู่กับรายละเอียดบางอย่าง และปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไป เชื่อว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงเผยเรื่องนั้น บางคนถามเขาว่า “แล้วหากพระเจ้าไม่ทรงเผยเรื่องนั้นเล่า จะเป็นเช่นใด?” เขาก็ตอบว่า “เช่นนั้นฉันก็จะนบนอบตลอดไป พระเจ้าไม่เคยผิด และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำก็ไม่เคยผิด หากสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าผิด แต่หมายความว่ามนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้หรือเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงทำได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้คนควรทำมากที่สุดก็คือไม่พินิจพิเคราะห์ ไม่จมอยู่กับมโนคติอันหลงผิดของตน และไม่ใช้มโนคติอันหลงผิดของตนไปจับผิดพระเจ้า ไม่ใช้มโนคติอันหลงผิดเป็นเหตุผลและข้ออ้างที่จะไม่นบนอบพระเจ้าและต่อต้านพระองค์” นี่คือวิธีที่เขาปฏิบัติต่อมโนคติอันหลงผิดของตน การปฏิบัติเช่นนี้คือการปฏิบัติความจริงหรือไม่? แท้จริงแล้วนี่คือการปฏิบัติความจริง เมื่อเขาเกิดมโนคติอันหลงผิด เขาย่อมไม่เปรียบเทียบพระเจ้ากับมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นหรือใช้มโนคติอันหลงผิดของตนมาพินิจพิเคราะห์พระเจ้า พิสูจน์เพื่อยืนยันว่าเป็นพระเจ้าจริงหรือไม่ หรือว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริงหรือไม่ แต่เขากลับปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตน พากเพียรที่จะยอมรับความจริงและรู้จักพระเจ้า ทว่าแม้เขาจะพยายามอย่างที่สุดที่จะรู้จักพระเจ้า เขาก็ยังคงไม่สามารถรู้จักพระองค์ แล้วเขาทำอย่างไร? เขายังคงนบนอบ เขากล่าวว่า “พระเจ้าไม่เคยผิด พระเจ้าเป็นพระเจ้าเสมอ พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวที่แสดงความจริง พระเจ้าคือผู้ให้กำเนิดความจริง” เวลาจัดการกับมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ก่อนอื่นเขาวางพระเจ้าไว้ในฐานะของพระเจ้าและวางตนไว้ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เพราะฉะนั้น ต่อให้เขายังไม่ได้วางมโนคติอันหลงผิดของตนหรือยังไม่ได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่มี ท่าทีนบนอบพระเจ้าของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ท่าทีนี้คุ้มครองเขา เปิดโอกาสให้เขายังคงเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ดังนั้น มโนคติอันหลงผิดของผู้คนดังกล่าวแก้ไขง่ายหรือไม่? (ง่าย) เรื่องนี้จะสัมฤทธิ์ได้อย่างไร? สมมติว่าเวลาเผชิญสถานการณ์บางอย่าง เขาพูดดังนี้ว่า “การพูดว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทำคือความจริงและถูกต้อง พระเจ้ามีมหิทธิฤทธิ์และไม่มีทางทำผิด—นั่นไม่ถูกต้องหรือ? แม้จะบอกกันว่าพระเจ้าไม่มีทางทำผิดพลาด แต่นี่เป็นเพียงถ้อยแถลงทางทฤษฎี อันที่จริง มีบางสิ่งที่พระเจ้าทำโดยไม่สอดคล้องและไม่คำนึงถึงความรู้สึกของมนุษย์ ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก สำหรับสิ่งที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก ฉันก็ไม่จำเป็นต้องนบนอบหรือยอมรับ จริงไหม? แม้ฉันจะไม่ได้ปฏิเสธพระนามของพระเจ้าหรืออัตลักษณ์ของพระองค์ แต่มโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นในตัวฉันตอนนี้ก็ทำให้ฉันมีความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้นและเข้าใจพระเจ้าดีขึ้น—พระเจ้าก็ทำบางอย่างผิดได้เช่นกันและมีบางครั้งที่พระองค์ทำผิด ดังนั้น นับแต่นี้ไปฉันจะไม่เชื่อเวลาที่ผู้คนบอกว่าพระเจ้าชอบธรรม เพียบพร้อม และบริสุทธิ์ ฉันจะใส่เครื่องหมายคำถามเล็กๆ ท้ายถ้อยแถลงเหล่านี้ แม้พระเจ้าจะเป็นผู้สร้าง และฉันสามารถยอมรับอธิปไตยของพระองค์ได้ แต่ในอนาคตฉันจำเป็นต้องเลือกยอมรับ จะนบนอบอย่างสับสนและมืดบอดไม่ได้ หากฉันนบนอบผิดไปเล่า? ฉันจะไม่ทนทุกข์กับการสูญเสียอย่างนั้นหรือ? ฉันไม่อาจเป็นคนที่นบนอบอย่างโง่เขลาได้” หากเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าและมโนคติอันหลงผิดของตนด้วยท่าทีเช่นนี้ เขาจะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้อย่างง่ายดายหรือ? การปฏิบัติเช่นนี้คือการปฏิบัติความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) สัมพันธภาพระหว่างเขากับพระเจ้าย่อมมีปัญหาแล้วมิใช่หรือ? เขาพินิจพิเคราะห์พระเจ้าอยู่ตลอดเวลามิใช่หรือ? พระเจ้ากลายเป็นผู้ที่เขาพินิจพิเคราะห์แทนที่จะเป็นองค์อธิปัตย์ผู้ปกครองชะตากรรมของเขา แม้เขาจะยอมรับว่าตนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่กลับไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่และภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อพระผู้สร้างตามฐานะเดิมของตนที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่กลับยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพระผู้สร้าง พินิจพิเคราะห์พระผู้สร้าง รวมถึงวิเคราะห์การกระทำและพฤติกรรมของพระผู้สร้าง เลือกว่าจะนบนอบและยอมรับหรือไม่ตามดุลยพินิจของตนเอง ท่าทีและวิธีปฏิบัติเช่นนี้คือการสำแดงซึ่งคนที่ยอมรับความจริงควรมีหรือไม่? มโนคติอันหลงผิดของเขาสามารถแก้ไขได้หรือไม่? (ไม่สามารถแก้ไขได้) ไม่สามารถแก้ไขได้เลย นี่เป็นเพราะสัมพันธภาพที่เขามีกับพระเจ้านั้นบิดเบี้ยวไปแล้ว ไม่ใช่สัมพันธภาพที่ปกติ ไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง เขาปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนวัตถุสำหรับพินิจพิเคราะห์ คอยพินิจพิเคราะห์พระองค์อย่างต่อเนื่อง เขายอมรับว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้องและดีแล้ว แต่ในใจกลับไม่ยอมรับและนึกเถียงพระเจ้าในเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์หรือความชอบของมนุษย์ และกลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้า คนแบบนี้คือคนที่ยอมรับความจริงหรือไม่? ดูจากภายนอก ยามที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ และปราศจากมโนคติอันหลงผิดใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้า เขาก็สามารถนบนอบพระวจนะที่พระเจ้าตรัสได้ แต่เมื่อเขาเกิดมโนคติอันหลงผิด การนบนอบของเขาก็หายวับไป มองไม่เห็นอีกเลย และไม่สามารถนำมาปฏิบัติได้ เกิดอะไรขึ้นในที่นี้? ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่ผู้คนที่ปฏิบัติความจริง เขาไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือผู้ให้กำเนิดความจริงหรือเป็นความจริง ไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด ก็เป็นเรื่องยากสำหรับผู้คนที่ไม่ยอมรับความจริงจะปล่อยมือหรือแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตน
เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาของสามัคคีธรรมข้างต้นแล้ว พวกเจ้าคิดว่ามโนคติอันหลงผิดจำพวกใดแก้ไขง่ายกว่ากัน? เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สำหรับคนที่ยอมรับความจริงได้ คนที่มีสำนึก และเป็นคนที่ถูกต้อง มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาย่อมแก้ไขง่ายไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตาม ส่วนคนที่ยอมรับความจริงไม่ได้นั้น ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นเมื่อใด ก็แก้ไขได้ยาก บางคนเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว และแม้กระทั่งเวลานี้ สิ่งที่พวกเขากล่าวกลับไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับความจริง ทั้งหมดเป็นเพียงคำพูดและคำสอน เป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้น พวกเขาไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อย—แล้วพวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนเมื่อเกิดขึ้นมาได้หรือไม่? เรื่องนี้พูดยาก หากพวกเขาไม่ยอมรับความจริง ก็จะไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้ การที่ผู้คนจะมีมโนคติอันหลงผิดย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรู้สึกนึกคิดของทุกคนสามารถก่อกำเนิดมโนคติอันหลงผิดต่างๆ ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นมโนคติที่มีอยู่แต่เดิมหรือได้รับมา หัวใจของทุกคนย่อมมีมโนคติอันหลงผิดไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีแล้วก็ตาม แล้วควรทำอย่างไร? ปัญหานี้แก้ไขไม่ได้เลยกระนั้นหรือ? สามารถแก้ไขได้ มีหลักธรรมให้จดจำอยู่ไม่กี่ข้อ หลักธรรมเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งยวด เมื่อเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว จงปฏิบัติตามหลักธรรมเหล่านี้เถิด หลังจากปฏิบัติไปสักระยะหนึ่ง เจ้าจะเห็นผลลัพธ์ และจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง เมื่อเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมโนคติอันหลงผิดใด ก่อนอื่นจงใคร่ครวญและวิเคราะห์ในหัวใจของเจ้าว่าการคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ หากเจ้ารู้สึกอย่างชัดเจนว่าการคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้องและบิดเบี้ยว ทั้งยังหมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นก็จงอธิษฐานทันที ขอให้พระเจ้าประทานความรู้แจ้งและชี้แนะให้เจ้าตระหนักรู้แก่นแท้ของปัญหานี้ แล้วหลังจากนั้นก็จงนำความเข้าใจของเจ้าไปเสวนากันระหว่างชุมนุม ขณะที่ได้รับความเข้าใจและมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ จงมุ่งเน้นที่การแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้า หากการปฏิบัติเช่นนี้ไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ชัดเจน เจ้าก็ควรสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมนี้กับใครสักคนที่เข้าใจความจริง พากเพียรให้ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นและได้รับหนทางแก้ไขจากพระวจนะของพระเจ้า ด้วยพระวจนะของพระเจ้าและประสบการณ์ของเจ้า เจ้าจะค่อยๆ ตรวจสอบยืนยันได้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้อง และเจ้าจะตระหนักถึงผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ในประเด็นของการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง ด้วยการยอมรับและมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจดังกล่าวของพระเจ้า ในที่สุดเจ้าก็จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและรู้จักพระอุปนิสัยบางอย่างของพระเจ้า ทำให้เจ้าสามารถแก้ไขและปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตน เจ้าจะไม่ระแวดระวังหรือเข้าใจพระเจ้าผิดอีกต่อไป และจะไม่ทำการเรียกร้องที่ไร้เหตุผล นี่คือมโนคติอันหลงผิดที่แก้ไขง่าย แต่ยังมีมโนคติอันหลงผิดอีกชนิดหนึ่งซึ่งยากที่ผู้คนจะเข้าใจและแก้ไข สำหรับมโนคติอันหลงผิดที่ยากแก่การแก้ไข เจ้าจำเป็นต้องค้ำชูหลักธรรมข้อหนึ่งเอาไว้คือ อย่าแสดงหรือแพร่มโนคติเหล่านั้นออกไป เพราะการแสดงมโนคติอันหลงผิดเช่นนั้นออกมาย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้อื่น แต่เป็นข้อเท็จจริงของการต่อต้านพระเจ้า หากเจ้าเข้าใจธรรมชาติและผลสืบเนื่องของการแพร่มโนคติอันหลงผิด เจ้าก็ควรประเมินเรื่องนั้นให้ชัดเจนด้วยตนเองและงดเว้นจากการพูดจาแบบไม่ยั้งคิด จึงจะเป็นการดีที่สุด หากเจ้ากล่าวว่า “รู้สึกแย่มากที่ต้องสะกดกลั้นคำพูดของตัวเองเอาไว้เวลาอยู่ในคริสตจักร ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองอาจจะระเบิดออกมาได้” เจ้าก็ยังควรคำนึงว่าการแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจริงหรือไม่ หากไม่เป็นประโยชน์และสามารถนำพาผู้อื่นให้มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า หรือถึงกับต่อต้านและตัดสินพระเจ้า เจ้าก็กำลังทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่มิใช่หรือ? เจ้ากำลังทำร้ายผู้คน นี่ไม่ต่างจากการแพร่โรคระบาด หากเจ้ามีสำนึกที่แท้จริง เจ้าก็ควรสู้ทนกับความเจ็บปวดเสียเองแทนที่จะแพร่มโนคติอันหลงผิดและทำร้ายผู้อื่น อย่างไรก็ดี หากเจ้าพบว่าการสะกดกลั้นวาจาของตนเอาไว้เป็นเรื่องทุกข์ทรมาน เจ้าก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้า หากปัญหาได้รับการแก้ไข นั่นย่อมเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ? หากเจ้าตัดสินและเข้าใจพระเจ้าผิดเพราะมโนคติอันหลงผิดของตนแม้กระทั่งในยามที่เจ้าอธิษฐานถึงพระองค์ เช่นนั้นเจ้าก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนเท่านั้น เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มีความคิดเหล่านี้ และอยากปล่อยมันไป แต่กลับทำไม่ได้ โปรดทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด เผยข้าพระองค์ผ่านสภาพแวดล้อมต่างๆ และขอให้ข้าพระองค์ยอมรับว่ามโนคติอันหลงผิดของข้าพระองค์นั้นผิด ไม่ว่าจะทรงบ่มวินัยอย่างไร ข้าพระองค์เต็มใจยอมรับ” วิธีคิดแบบนี้ถูกต้อง หลังจากอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยวิธีคิดเช่นนี้แล้ว เจ้าย่อมจะคลายความรู้สึกอึดอัดลงมิใช่หรือ? หากเจ้าอธิษฐานและแสวงหาต่อไป ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า เจ้าย่อมเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และหัวใจของเจ้าก็จะสว่างไสว เจ้าจะไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป ถึงเวลานั้นปัญหาย่อมจะได้รับการแก้ไขไม่ใช่หรือ? มโนคติอันหลงผิด การไม่ยอมรับ และความเป็นกบฏที่เจ้ามีต่อพระเจ้าย่อมจะอันตรธานไปเป็นส่วนใหญ่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องแสดงมโนคติเหล่านั้นออกมา หากนั่นยังไม่ได้ผล ยังแก้ปัญหาไม่ได้ทั้งหมด ก็จงหาใครสักคนที่มีประสบการณ์มาช่วยเจ้าแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่เจ้ามี ให้พวกเขาหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่เจ้ามีมาสักสองสามบทตอน แล้วจงอ่านบทตอนเหล่านั้นสักหลายสิบหรือหลายร้อยเที่ยว นั่นอาจจะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าได้อย่างครบถ้วน บางคนอาจจะกล่าวว่า “หากฉันแสดงมโนคติอันหลงผิดออกมาขณะชุมนุมกับพี่น้องชายหญิง นั่นย่อมจะกลายเป็นการแพร่มโนคติอันหลงผิด ดังนั้นฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก แต่การสะกดกลั้นเอาไว้ก็ทำให้รู้สึกแย่มาก ฉันพูดถึงมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นให้ครอบครัวฟังได้ไหม?” หากคนในครอบครัวของเจ้าเป็นพี่น้องชายหญิงที่เชื่อเช่นเดียวกัน การแสดงมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ต่อหน้าพวกเขาย่อมจะรบกวนพวกเขาด้วย เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? (ไม่) หากสิ่งที่เจ้าพูดออกมาจะเป็นผลร้ายต่อผู้อื่น ทำร้ายและชักพาพวกเขาให้หลงผิด เจ้าก็ต้องไม่พูดออกมาเป็นอันขาด แต่จงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อแก้ปัญหานี้แทน ตราบใดที่เจ้าอธิษฐาน กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจที่เปี่ยมศรัทธา เป็นหัวใจที่หิวและกระหายความชอบธรรม ก็ย่อมจะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าได้ พระวจนะของพระเจ้ามีความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่ง สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ เต็มใจปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ และสามารถปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดของตนได้หรือไม่เท่านั้น หากเจ้าเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้ามีความจริงที่ครอบคลุมทุกสิ่ง เจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงมาแก้ไขเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา หลังจากที่อธิษฐานไปสักระยะหนึ่ง หากเจ้ายังคงไม่รู้สึกว่าได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าและไม่ได้รับพระวจนะที่ชัดเจนว่าควรทำอย่างไรจากพระเจ้า แต่โดยไม่ทันรู้ตัว มโนคติอันหลงผิดของเจ้ากลับไม่ส่งผลต่อเจ้าอีกต่อไป ไม่รบกวนชีวิตของเจ้า เลือนหายไปเรื่อยๆ ไม่ส่งผลต่อสัมพันธภาพตามปกติที่เจ้ามีกับพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยพื้นฐานแล้วมโนคติอันหลงผิดนี้ย่อมได้รับการแก้ไขแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) นี่ก็คือเส้นทางปฏิบัติ
คนที่ไม่เข้าใจความจริงต้องจดจำให้ได้เสียก่อนว่าเมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาก็ควรแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น ต้องไม่แพร่มโนคติอันหลงผิดหรือพูดจาไม่ระวังปากเป็นอันขาดว่า “ฉันมีเสรีภาพที่จะพูด ถึงอย่างไรนี่เป็นปากของฉัน อยากพูดอะไร อยากพูดกับใคร และอยากพูดที่ไหนก็พูดได้” การพูดเช่นนี้นั้นผิด คำพูดที่ดีหรือถูกต้องบางคำเมื่อพูดออกมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่คำพูดที่เป็นมโนคติอันหลงผิดหรือเป็นการทดลองของซาตานนั้น อาจส่งผลที่ไม่อาจประมาณได้เมื่อพูดออกมา ตามผลสืบเนื่องเหล่านี้ หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดที่เจ้าดึงดันจะกล่าวออกมา หากรู้สึกว่าทำเช่นนั้นแล้วรู้สึกดีและทำให้เจ้ามีความสุข ก็ต้องระบุว่าการกระทำของเจ้าคือการทำชั่ว พระเจ้าจะทรงบันทึกไว้เป็นหลักฐานเล่นงานเจ้า เหตุใดจึงจะบันทึกไว้เป็นหลักฐานเล่นงานเจ้า? มีการบอกกล่าววิธี เส้นทาง และหลักธรรมของการปฏิบัติมากมายที่เป็นบวกให้แก่เจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ไม่เลือกสิ่งเหล่านั้น เจ้ากลับเลือกเส้นทางที่นำอันตรายมาสู่ผู้คน—นี่เป็นการจงใจมิใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว เป็นการเกินเหตุหรือไม่ที่เรียกการกระทำของเจ้าว่าการทำชั่ว? (ไม่) เจ้าสามารถเลือกที่จะแก้ไขปัญหานี้ด้วยตนเองทุกประการผ่านทางประสบการณ์ การอธิษฐานถึงพระเจ้า และการแสวงหา แทนที่จะนำมโนคติอันหลงผิดของเจ้าไปก่อกวนและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด คนที่มีมโนธรรมและสำนึกควรเลือกหนทางนี้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เลือกหนทางนี้? เหตุใดจึงเลือกหนทางที่ทำร้ายและเป็นอันตรายต่อผู้อื่น? นี่คือสิ่งที่ซาตานจะทำมิใช่หรือ? คนชั่วย่อมทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นและตนเอง หากเจ้าทำเรื่องเช่นนั้นด้วย พระเจ้าย่อมเกลียดที่เจ้าทำเช่นนั้นใช่หรือไม่? (ใช่) ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็ต้องแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเจ้าด้วยตนเอง และต้องมีเส้นทางที่จะปฏิบัติความจริง หากหนทางจัดการกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าคือการแพร่ออกไปเพื่อทำร้ายและชักพาผู้อื่นให้หลงผิดโดยเจตนา รบกวนชีวิตคริสตจักร การเข้าสู่ชีวิต และสภาวะที่เป็นปกติของพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นแล้ว การกระทำของเจ้าก็คือการทำชั่ว เวลาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ คนเราควรเลือกสิ่งใด? คนคนหนึ่งที่มีความเป็นมนุษย์และไล่ตามเสาะหาความจริงจะไม่เลือกหนทางที่ทำร้ายและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด เขาย่อมเลือกที่จะปฏิบัติและยึดมั่นในหลักธรรมเชิงรุกที่เป็นบวก มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง และขอให้พระเจ้าทรงช่วยแก้ปัญหาให้ บางคนกล่าวว่า “เวลาฉันขอให้พระเจ้าช่วย ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าความช่วยเหลือของพระองค์นั้นจับต้องไม่ได้และมองไม่เห็น ฉันเลือกแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้คนแทนได้หรือไม่?” ได้ เจ้าสามารถเลือกใครสักคนที่เข้าใจความจริงมากกว่าและมีวุฒิภาวะมากกว่าเจ้า คนที่เจ้าเชื่อว่าสามารถแก้ไขปัญหาให้เจ้าได้โดยไม่ถูกรบกวนหรือได้รับอิทธิพลจากมโนคติอันหลงผิดของเจ้าจนกลายเป็นคนอ่อนแอ ใครสักคนที่เคยมีประสบการณ์กับปัญหาที่คล้ายคลึงกันมาแล้วและสามารถบอกเจ้าได้ว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร—เส้นทางนี้ก็เหมาะสมเช่นกัน หากเจ้าเลือกใครสักคนที่ปกติแล้วเลอะเลือนเป็นอย่างยิ่งและไม่สามารถมองทะลุสิ่งใดได้เลย เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ ก็สร้างความวุ่นวายทันที ต้องการป่าวประกาศมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นไปทุกที่และก่อให้เกิดการรบกวน ปรารถนาที่จะเลิกเชื่อ—เช่นนั้นการกระทำของเจ้าย่อมจะรบกวนชีวิตคริสตจักรไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อนั้นการกระทำของเจ้าก็จะถูกระบุว่าเป็นการทำชั่วมิใช่หรือ? (ใช่) เพราะฉะนั้น ในเรื่องที่ว่าเจ้าควรจัดการมโนคติอันหลงผิดอย่างไร เจ้าต้องรอบคอบและระมัดระวัง ต้องไม่กระทำการในลักษณะที่เลอะเลือนหรือหุนหันพลันแล่น และต้องไม่ปฏิบัติต่อมโนคติอันหลงผิดว่าเป็นความจริงอย่างเด็ดขาด—ไม่ว่าความคิดของมนุษย์จะถูกต้องเพียงใดก็ไม่ใช่ความจริง ในหนทางนี้ เจ้าจะรู้สึกสงบลงมาก และมโนคติอันหลงผิดของเจ้าก็จะไม่สามารถสร้างปัญหาได้ การมีมโนคติอันหลงผิดไม่ใช่เรื่องน่ากลัว—ตราบใดที่เจ้าแสวงหาความจริง มโนคติเหล่านั้นย่อมจะได้รับการแก้ไขในที่สุด บางคนกล่าวว่า “แต่การแก้ไขมโนคติอันหลงผิดนั้นไม่ง่ายเลย” มโนคติอันหลงผิดบางอย่างแก้ไขยากจริงๆ แล้วควรทำอย่างไร? เรื่องนี้ง่ายมาก มโนคติอันหลงผิดบางอย่างในความคิดและจิตใจของคนบางคนไม่เคยมีการแก้ไขเลย นี่เป็นข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แต่ไม่ว่ามโนคติอันหลงผิดจะแก้ไขยากเพียงใด นั่นก็ยังไม่ใช่ความจริงอยู่ดี ตราบใดที่เจ้าเข้าใจประเด็นนี้ เจ้าย่อมรับมือกับปัญหาได้ง่าย เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่เราต้องบอกพวกเจ้าก็คือ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้ทุกคนเข้าใจอย่างถ่องแท้หรือหยั่งรู้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระองค์ไม่ได้ทรงกำหนดว่าทุกคนต้องรู้ความจริงในเรื่องนั้นหรือรู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงกระทำการในบางหนทาง นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนา พระองค์ไม่ได้ทรงกำหนดมาตรฐานเหล่านี้ให้แก่ผู้คน หากขีดความสามารถของเจ้าดีพอ เจ้าสัมฤทธิ์ความเข้าใจในระดับใดก็ตามย่อมถือว่าดีแล้ว—เพียงทำให้ดีที่สุด หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ เมื่อเจ้าอายุมากขึ้น และประสบการณ์ของเจ้าลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งสั่งสมประสบการณ์มากขึ้น ความเข้าใจในความจริงของเจ้าจะค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นเช่นกัน และมโนคติอันหลงผิดของเจ้าก็จะลดน้อยลง อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องพิเศษบางเรื่องอย่างและไม่เคยเข้าใจ พระเจ้าทรงบังคับให้พวกเขาเข้าใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่? พระองค์ไม่ทรงบังคับ พระเจ้าไม่ทรงปลูกฝังความเข้าใจให้แก่พวกเขาด้วยการบีบบังคับ ตัวอย่างเช่น ท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างของพระเจ้ามีความล้ำลึกมากมายที่ผู้คนต้องการที่จะรู้ แต่ไม่สามารถทำได้ อย่างไรก็ดี ในพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า พระองค์กลับทรงมุ่งเน้นเฉพาะการแสดงความจริงเพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดเท่านั้น พระองค์แทบไม่ตรัสถึงเรื่องอื่น และแม้ในยามที่พระองค์ตรัสถึงเป็นครั้งคราว ก็เป็นไปแค่พอสังเขปเท่านั้น พระเจ้าไม่เคยตรัสอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ผู้คนฟังอย่างยืดยาว เพราะเหตุใด? เพราะผู้คนไม่จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ในพระราชกิจที่พระเจ้าทำในตัวผู้คน ด้านหนึ่งพระองค์ทรงเผยแก่นนิสัยของพระองค์ให้เห็น อีกด้านหนึ่งพระเจ้าย่อมมีพระดำริของพระองค์ แผนการของพระองค์ ที่มาและเป้าประสงค์ของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ หนทางและวิธีการที่พระองค์ทรงใช้ในการทรงพระราชกิจในตัวผู้คนต่างๆ หนทางและวิธีการที่พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และอื่นๆ พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าผู้คนต้องเข้าใจและเข้าสู่ความจริงทั้งปวง จึงถือว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์เหลือเกิน! หนทางที่พระองค์ทรงกระทำการ ตรัส ทรงพระราชกิจ และครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งย่อมเผยพระอุปนิสัย แก่นแท้ อัตลักษณ์ และอื่นๆ ของพระองค์โดยธรรมชาติ แม้เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงเผยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นเหล่านี้ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเรียกร้องให้ผู้คนเข้าใจหรือหยั่งรู้ทั้งหมดนี้ นี่เป็นเพราะพระเจ้าย่อมจะเป็นพระเจ้าเสมอ และพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ ขณะที่มวลมนุษย์ทรงสร้างนั้นเล็กกระจิริดและไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าจึงมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว! เพราะฉะนั้น จึงเป็นธรรมดามากที่ผู้คนจะเกิดมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าไม่ใส่พระทัยในเรื่องนี้ แต่เจ้ากลับถือเป็นเรื่องจริงจังและยึดติดกับเรื่องนี้อย่างดื้อรั้นอยู่เสมอ แนวทางนี้ใช้ไม่ได้ หากเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีขีดความสามารถสูง ตราบใดที่เจ้าเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ย่อมจะได้รับการแก้ไขไปเอง หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมความจริงกับเจ้า เจ้าก็ไม่ยอมรับและยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดของตนอยู่เสมอ ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด? ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นว่า ต่อให้เจ้าไปถึงปลายทางชีวิตหรือถึงจุดที่พระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ เจ้าก็จะไม่ได้ความจริง แต่กลับจะถูกมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของเจ้านำไปสู่ความตาย ต่อให้เจ้ามองเห็นกายวิญญาณของพระเจ้าปรากฏ เจ้าก็จะยังคงไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่ตนมีเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าจะตรัสบอกข้อเท็จจริงทั้งหมดและสิ่งที่เป็นจริงแก่เจ้าเพียงเพราะเจ้าไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ได้กระนั้นหรือ? ในแง่หนึ่ง ไม่จำเป็นที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้น ในอีกแง่หนึ่ง มีข้อเท็จจริงอยู่ว่าสมองและจิตใจของมนุษย์ไม่มีความสามารถมหาศาลที่จำเป็นต่อการได้รับสิ่งเหล่านี้ พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำนั้นเหลือวิสัยที่มนุษย์จะจินตนาการได้และอยู่เหนือสรรพสิ่ง เมื่อเทียบกับสรรพสิ่งแล้ว มนุษย์ก็เหมือนทรายเม็ดหนึ่งบนชายหาด คำบรรยายนี้ใกล้เคียงข้อเท็จจริงและถือได้ว่าเหมาะสม ต่อให้พระเจ้าทรงต้องการที่จะบอกทุกสิ่งแก่เจ้า แล้วเจ้ามีความสามารถที่จะรับทั้งหมดนั้นหรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ทำไมฉันจะรับทั้งหมดนั้นไม่ได้? หากพระเจ้าตรัสมากขึ้น ฉันก็สามารถเข้าใจมากขึ้นและได้รับมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันก็จะเป็นที่โปรดปราน!” นั่นคือความฝันลมๆ แล้งๆ เจ้าประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไปแล้ว สิ่งทั้งหลายไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ตรัสบอกเจ้าล้วนเรียบง่ายและชัดเจนมาก เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้ แท้จริงแล้ว มีสิ่งต่างๆ มากมายที่พระเจ้าไม่เคยตรัสถึงเพราะผู้คนไม่สามารถทำความเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องปกติมากที่ไม่สามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบางอย่างของเจ้าได้ในท้ายที่สุด เจ้าจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เจ้าเข้าใจและต้องประสงค์ที่จะตรัสบอกเจ้า หรือสิ่งที่เจ้าสามารถแบกรับและเข้าใจได้ ส่วนสิ่งที่เจ้าไม่อาจแบกรับหรือเข้าใจได้ ตาเนื้อของเจ้าไม่อาจมองทะลุได้ ต่อให้พระเจ้าตรัสบอกเจ้า นั่นก็จะไร้ประโยชน์และเสียแรงเปล่า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่ตรัสบอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า ส่วนมโนคติอันหลงผิดดังกล่าว ต่อให้ถึงเวลาตายของเจ้าหรือถึงเวลาที่พระราชกิจของพระเจ้าแล้วเสร็จ เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี เรื่องนี้ส่งผลต่อสิ่งใดบ้าง? ส่งผลต่อการนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้าหรือไม่? ส่งผลต่อการดำรงบทบาทสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของเจ้าหรือไม่? ส่งผลต่อการที่เจ้าจะรู้จักอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่? หากไม่ส่งผลต่อเจ้าในหนทางเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดแล้ว ดังนั้น มโนคติอันหลงผิดประเภทนี้ยังจำเป็นต้องแก้ไขหรือไม่? ไม่จำเป็น นี่คือมโนคติอันหลงผิดประเภทสุดท้าย เป็นประเภทที่ไม่สามารถแก้ไขได้แม้ถึงเวลาตายก็ตาม บางคนกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ยังไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไว้ พระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสเอาไว้ และสภาพแวดล้อมที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้นี้ พระองค์จะตรัสบอกข้าพระองค์ก่อนที่ข้าพระองค์จะตายเพื่อให้ข้าพระองค์สิ้นลมอย่างสงบสุขได้หรือไม่?” พระเจ้าไม่สนพระทัยคำขอเช่นนี้ เจ้าจากไปอย่างสงบสุขเถิด เจ้าจะเข้าใจทุกสิ่งในโลกวิญญาณ
พระเจ้าทรงมีมาตรฐานของพระองค์เองในการช่วยผู้คนให้รอด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนได้ดีเพียงใดหรือว่าได้ปล่อยมือจากมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นไปมากเท่าใดแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้าอย่างไรและนบนอบพระองค์อย่างไร เจ้ายำเกรงและนบนอบพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนมีความหมาย และไม่ว่าการนั้นจะง่ายหรือยากที่เจ้าจะยอมรับ อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นในตัวเจ้าหรือไม่ ไม่ว่ากรณีใดก็ไม่ส่งผลให้พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ พระองค์จะทรงเป็นพระผู้สร้างเสมอ และเจ้าจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเสมอ หากมโนคติอันหลงผิดอันใดก็ไม่อาจจำกัดเจ้าได้ และเจ้ายังคงธำรงสัมพันธภาพกับพระเจ้าในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง เช่นนั้นเจ้าย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงของพระเจ้า หากมโนคติอันหลงผิดอันใดก็ไม่อาจรบกวนหรือมีอิทธิพลต่อเจ้า และส่วนลึกของหัวใจของเจ้าสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง อีกทั้งไม่ว่าความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงนั้นลุ่มลึกหรือตื้นเขิน หากเจ้าสามารถละวางมโนคติอันหลงผิด และไม่ถูกจำกัดโดยมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้น โดยเชื่อเพียงว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต ว่าพระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าตลอดกาล และสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่เคยผิด เช่นนั้นเจ้าย่อมสามารถได้รับการช่วยให้รอด ในข้อเท็จจริงนั้น วุฒิภาวะของทุกคนมีขีดจำกัด ในสมองของผู้คนสามารถอัดแน่นสิ่งทั้งหลายได้มากน้อยเพียงใดกัน? พวกเขาสามารถหยั่งถึงพระเจ้าได้หรือ? นั่นคือการวาดวิมานในอากาศ! จงอย่าลืมว่า เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ผู้คนจะเป็นเด็กทารกเสมอ หากเจ้าคิดว่าเจ้าฉลาดแยบยล หากเจ้าพยายามทำตัวฉลาดเฉลียวอยู่เสมอและพยายามขบคิดทุกสิ่งทุกอย่างให้ออก โดยคิดว่า “หากฉันไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ เช่นนั้นฉันก็ไม่อาจยอมรับรู้ว่า ท่านเป็นพระเจ้าของฉัน ฉันย่อมไม่อาจยอมรับได้ว่า ท่านเป็นพระเจ้าของฉัน ฉันย่อมไม่อาจยอมรับรู้ว่า ท่านเป็นพระผู้สร้าง หากท่านไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดของฉัน หากท่านคิดว่าฉันจะยอมรับรู้ว่าท่านคือพระเจ้า ว่าฉันจะยอมรับอธิปไตยของท่าน และฉันจะนบนอบท่าน ท่านก็ฝันไปเสียแล้ว” เช่นนั้น นี่ย่อมสร้างความเดือดร้อน เดือดร้อนอย่างไรหรือ? พระเจ้าไม่ทรงโต้เถียงถึงสิ่งเช่นนั้นกับเจ้า กับมนุษย์นั้น พระองค์จะทรงเป็นดังต่อไปนี้ตลอดไป นั่นคือ หากเจ้าไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า พระองค์ก็จะไม่ทรงยอมรับว่าเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ เมื่อพระเจ้าไม่ทรงยอมรับว่าเจ้าเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นในสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าอันเป็นผลลัพธ์มาจากท่าทีที่เจ้ามีต่อพระองค์ หากเจ้าไม่สามารถนบนอบพระเจ้า อีกทั้งยอมรับพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า รวมถึงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ ในอัตลักษณ์ของเจ้าก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง เจ้ายังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้าอยู่หรือไม่? พระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้ในตัวเจ้า ไม่มีประโยชน์ที่จะโต้เถียง และหากเจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อีกทั้งพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ในตัวเจ้า เจ้ายังคงมีหวังที่จะได้รับความรอดอยู่กระนั้นหรือ? (ไม่มี) เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงคำนึงถึงเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? เจ้าไร้ความสามารถที่จะลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของเจ้าซึ่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าพึงทำ และเจ้าไม่ปฏิบัติต่อพระผู้สร้างจากตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แล้วพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร? พระองค์จะทรงมีทัศนะต่อเจ้าอย่างไร? พระเจ้าก็จะไม่ทรงมองว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้ตามมาตรฐาน แต่จะทรงมองว่าเจ้าเป็นคนทราม เป็นมารและเป็นซาตาน เจ้าเคยคิดว่าตัวเองฉลาดแยบยลไม่ใช่หรือ? อย่างไรเล่าเจ้าจึงทำให้ตนเองกลายเป็นมารและเป็นซาตานไปเสียได้? นี่ไม่ใช่ฉลาดแยบยล นี่โง่เง่า คำพูดเหล่านี้ช่วยให้ผู้คนเข้าใจสิ่งใดหรือ? ให้เข้าใจว่าผู้คนต้องไม่ล้ำเส้นเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ต่อให้เจ้ามีเหตุผลสำหรับมโนคติอันหลงผิดของตน ก็จงอย่าคิดว่าเจ้ามีความจริง และมีต้นทุนที่จะโหวกเหวกใส่พระเจ้าและตีกรอบพระองค์ ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดก็ตาม ก็จงอย่าเป็นเยี่ยงนั้น ทันทีที่เจ้าสูญเสียอัตลักษณ์ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าย่อมจะถูกทำลาย—นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลย แน่แท้ว่าเป็นเพราะยามที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิด พวกเขาใช้แนวทางที่ต่างกันและรับวิธีแก้ปัญหาที่ต่างกันมาใช้ จุดจบจึงแตกต่างกันไปโดยทั้งหมดทั้งสิ้น
พวกเจ้ามีหลักธรรมว่าควรปฏิบัติอย่างไรกับมโนคติอันหลงผิดหรือไม่? หลักธรรมเหล่านี้ปกป้องพวกเจ้าให้สามารถประพฤติปฏิบัติตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างถูกควรใช่หรือไม่? เส้นทางนี้ดีงามหรือไม่? (ดีงาม) เช่นนั้นก็จงสรุปมาเถิด (หากเป็นมโนคติอันหลงผิดที่แก้ไขได้ค่อนข้างง่าย พวกเราต้องอธิษฐานและแสวงหา โดยค้นหาความจริงที่ชำแหละมโนคติอันหลงผิดประเภทนี้จากพระวจนะของพระเจ้า และพวกเราก็สามารถสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริงอีกด้วย ในหนทางนี้ พวกเราจะสามารถมองทะลุแง่มุมที่คลาดเคลื่อนของมโนคติอันหลงผิด และแก้ไขมโนคติอันหลงผิดนี้ได้ ยังมีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างที่แก้ไขได้ไม่ง่ายเลย แต่พวกเราก็ต้องไม่ยึดติดกับมัน พวกเราจำเป็นต้องมีท่าทีที่ยอมรับความจริงและนบนอบพระเจ้า รู้ว่าตนเองเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสิ่งที่พระเจ้าทรงทำย่อมถูกต้องแน่นอน เพียงแต่พวกเราไม่ได้ตระหนักถึงเท่านั้น ไม่ว่าพวกเราเข้าใจหรือไม่ พวกเราก็ไม่สามารถแพร่มโนคติอันหลงผิดได้ พวกเราควรเรียนรู้ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาบ่อยๆ แล้วมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็จะค่อยๆ แก้ไขได้เช่นกัน สถานการณ์แบบที่สามก็คือมโนคติอันหลงผิดบางอย่างอาจจะยังคงไม่ได้รับการแก้ไขในที่สุด ในกรณีดังกล่าว ตราบใดที่พวกเราไม่ถูกมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ตีกรอบเอาไว้และไม่แพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ออกไป นั่นย่อมไม่เป็นไร ต่อให้มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขในท้ายที่สุด ตราบใดที่พวกเราไม่ยึดติดกับมันและไม่กระทำความชั่วเพราะมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ พระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษพวกเรา และเรื่องนี้จะไม่ส่งผลต่อความรอดของพวกเรา) รวมแล้วมีหลักธรรมกี่ประการ? (สามประการ) รวมแล้วมีหลักธรรมอยู่สามประการ พวกเจ้าจดบันทึกเอาไว้หมดแล้วใช่หรือไม่? เมื่อพวกเจ้าเข้าใจความจริงและหยั่งรู้หลักธรรมเหล่านี้แล้ว มโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าก็จะแก้ไขไปเองตามธรรมชาติ เจ้าต้องไม่ปล่อยให้มโนคติอันหลงผิดมาขัดขวางหรือทำให้เจ้าสะดุด จงแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่ไม่อาจแก้ไขได้นั้นอย่างสุดความสามารถของเจ้า ส่วนมโนคติอันหลงผิดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ชั่วคราว อย่างน้อยก็อย่าปล่อยให้ส่งผลต่อเจ้า มโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นไม่ควรขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และไม่ควรส่งผลต่อสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้า สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าก็คือ อย่างน้อยต้องไม่แพร่มโนคติอันหลงผิด ไม่ทำความชั่ว ไม่ทำให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน และไม่ปฏิบัติตนเป็นข้ารับใช้หรือช่องทางของซาตาน ไม่ว่าเจ้าจะใช้ความอุตสาหะมากเท่าใด หากสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดบางอย่างได้เพียงผิวเผินและไม่อาจแก้ไขได้อย่างหมดจด เช่นนั้นก็แค่เพิกเฉยเสีย อย่าปล่อยให้มโนคติอันหลงผิดส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า จงแตกฉานในหลักธรรมเหล่านี้ และเจ้าจะได้รับการคุ้มครองภายใต้รูปการณ์ที่ปกติ หากเจ้าเป็นคนที่ยอมรับความจริง รักสิ่งที่เป็นบวก ไม่ใช่คนชั่ว ไม่เต็มใจที่จะทำให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน และไม่ได้จงใจทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน เช่นนั้นเมื่อเจ้าเผชิญปัญหาเรื่องมโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยทั่วไปแล้วเจ้าย่อมจะได้รับการคุ้มครอง หลักธรรมของการปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่สุดก็คือ หากเกิดมีมโนคติอันหลงผิดที่แก้ไขยาก จงอย่ารีบเร่งกระทำการตามมโนคติอันหลงผิดนั้น จงรอและแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดนั้นเสียก่อน โดยเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่อาจผิดได้ จงจดจำหลักธรรมนี้ไว้ นอกจากนี้ จงอย่าละทิ้งหน้าที่หรือปล่อยให้มโนคติอันหลงผิดส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดและคิดว่า “ฉันจะทำหน้าที่นี้อย่างขอไปทีก็พอ ฉันอารมณ์ไม่ดี ก็เลยจะไม่ทำงานดีๆ ให้คุณ!” แบบนี้ใช้ไม่ได้ เมื่อท่าทีของเจ้ากลายเป็นลบและสุกเอาเผากิน นั่นย่อมกลายเป็นปัญหา นี่คือการที่มโนคติอันหลงผิดกำลังอาละวาดอยู่ในตัวเจ้า เมื่อมโนคติอันหลงผิดเกิดขึ้นในตัวเจ้าและส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นหมายความว่าถึงตอนนี้ สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยแท้จริง มโนคติอันหลงผิดบางอย่างอาจส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ร้ายแรง และต้องแก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นในทันที มโนคติอันหลงผิดอื่นๆ ไม่ได้ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า ดังนั้น จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากมโนคติอันหลงผิดที่เกิดขึ้นในตัวเจ้าสามารถส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ทำให้เจ้าสงสัยพระเจ้า ไม่ทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็ง—ถึงขั้นรู้สึกว่าการไม่ทำหน้าที่ของเจ้าจะไม่มีผลตามมา—และไม่มีความหวาดกลัวหรือหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่คืออันตราย นี่หมายความว่าเจ้าจะตกอยู่ในการทดลอง ถูกซาตานหลอกล่อและจับตัวไป ท่าทีที่เจ้ามีต่อมโนคติอันหลงผิดของตนและสิ่งที่เจ้าเลือกนั้นสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะสามารถแก้ไขมโนคติอันหลงผิดได้หรือไม่ และไม่ว่าจะแก้ไขได้ถึงระดับใด สัมพันธภาพที่ปกติระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็ต้องไม่เปลี่ยนแปลง ด้านหนึ่งเจ้าควรจะสามารถนบนอบต่อสภาพแวดล้อมทุกอย่างที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงเอาไว้ให้ และยืนยันว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้องและมีความหมาย สำหรับเจ้าแล้ว เรื่องที่เจ้ารู้และความจริงแง่มุมนี้ไม่ควรเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด อีกด้านหนึ่ง เจ้าต้องไม่ละเลยหน้าที่ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำ เจ้าต้องไม่ปลดภาระหน้าที่นี้จากตัวเจ้า หากเจ้าไม่มีการต่อต้าน ไม่ยอมรับ หรือความเป็นกบฏต่อพระเจ้าไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก พระเจ้าก็จะทรงมองเห็นเพียงความนบนอบของเจ้า และเห็นว่าเจ้ากำลังรอคอย เจ้าอาจจะยังคงมีมโนคติอันหลงผิด แต่พระเจ้าไม่ทรงมองเห็นความเป็นกบฏของเจ้า เมื่อไม่มีความเป็นกบฏและการไม่ยอมรับในตัวเจ้า พระเจ้าก็ยังทรงมองว่าเจ้าคือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ ในทางกลับกัน หากหัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและการต่อต้าน เจ้ากำลังมองหาโอกาสที่จะตอบโต้ และไม่อยากทำหน้าที่ของตน แต่ปรารถนาที่จะปลดภาระหน้าที่ของเจ้าแทน—ถึงขั้นมีคำพร่ำบ่นพระเจ้าทุกรูปแบบอยู่ในหัวใจของเจ้า และมีการเผยให้เห็นการสำแดงบางอย่างที่เป็นการต่อต้านและความขุ่นเคืองในระหว่างการทำหน้าที่ของเจ้า—แล้วเมื่อถึงตอนนี้ สัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้าย่อมเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เจ้าได้เปลี่ยนฐานะของตนจากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไปแล้ว เจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างอีกต่อไป แต่กลายเป็นสื่อกลางของหมู่มารและซาตาน—ดังนั้นพระเจ้าก็จะไม่ทรงแสดงความเมตตาต่อเจ้า เมื่อใครมาถึงจุดนี้ เขาก็กำลังเข้าเขตอันตราย ต่อให้พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใด เขาก็จะไม่สามารถตั้งมั่นในคริสตจักรได้ ดังนั้น ในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวพันกับประเด็นปัญหาอย่างการแก้ไขมโนคติอันหลงผิด—ผู้คนต้องใส่ใจหลีกเลี่ยงการทำสิ่งต่างๆ ที่ล่วงเกินพระเจ้า หรือสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ หรือสิ่งที่ทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น นี่คือหลักธรรม
ปัญหาเรื่องผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย! เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ผู้คนจะต้องธำรงรักษาสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าเอาไว้ แต่สิ่งที่ส่งผลต่อสัมพันธภาพนี้มากที่สุดก็คือมโนคติอันหลงผิดของผู้คน ต่อเมื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถรักษาสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าไว้ได้ ปัจจุบันนี้ ผู้คนมากมายมีปัญหาร้ายแรงอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีแล้วก็ตาม แม้พวกเขาอาจจะสามารถสู้ทนความทุกข์และจ่ายราคาในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขากลับไม่อาจแก้ไขได้อย่างครบถ้วน เรื่องนี้ส่งผลร้ายแรงต่อสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้า และส่งผลกระทบโดยตรงต่อความรักและความนบนอบที่พวกเขามีให้พระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้คนจะเกิดมโนคติอันหลงผิดเช่นใดเกี่ยวกับพระเจ้า ก็เป็นเรื่องร้ายแรงที่ต้องไม่มองข้าม มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ก็เหมือนกำแพง มันตัดขาดสัมพันธภาพของผู้คนกับพระเจ้า ทำให้พวกเขาไม่เชื่อมโยงกับพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ การที่ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าจึงเป็นปัญหาร้ายแรงมากที่ไม่อาจเพิกเฉยได้! หากผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและไม่สามารถแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติของตนได้อย่างทันท่วงที นี่ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการคิดลบ การไม่ยอมรับพระเจ้า และแม้กระทั่งการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ได้โดยง่าย ถึงตอนนั้นพวกเขายังสามารถยอมรับความจริงได้อีกหรือ? การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาก็จะหยุดอยู่กับที่ เส้นทางของการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่ราบรื่นและขรุขระ ด้วยเหตุที่ผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พวกเขาจึงสามารถใช้ทางอ้อมมากมาย และอาจลงเอยด้วยการก่อให้เกิดมโนคติอันหลงผิดในสถานการณ์ใดก็ได้ หากไม่แก้ไขมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ด้วยการแสวงหาความจริง ผู้คนก็อาจกบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ และเดินไปบนเส้นทางของการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ เมื่อผู้คนเลือกเส้นทางของพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเจ้าคิดหรือว่าพวกเขาจะมีโอกาสของความรอดเหลืออยู่อีก? ถึงตอนนั้นการจัดการไม่ใช่เรื่องง่าย และจะไม่มีโอกาสหลงเหลืออีกเลย เพราะฉะนั้น ก่อนที่พระเจ้าจะทรงปฏิเสธว่าเจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ เจ้าควรเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระเจ้า จงอย่าพยายามพินิจพิเคราะห์พระผู้สร้างหรือพยายามค้นหาว่าจะพิสูจน์และยืนยันได้อย่างไรว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อคือพระผู้สร้าง นี่ไม่ใช่ภาระผูกพันหรือหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า สิ่งที่เจ้าควรคิดและตรึกตรองอยู่ในหัวใจทุกวันก็คือทำอย่างไรจึงจะลุล่วงหน้าที่ของตนและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ได้มาตรฐาน แทนการคิดว่าทำอย่างไรจึงจะพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้างหรือไม่ พระองค์คือพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่ หรือพินิจพิเคราะห์ว่าพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งใดไปแล้วบ้าง และการกระทำของพระองค์ถูกต้องหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรพินิจพิเคราะห์
19 มิถุนายน ค.ศ. 2021